Whirligig : #1 อาถรรพ์ผีคุณไสย(The sorcery)
11) เงาของกระจก
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เงาของกระจก
มนุษย์เราเป็นรูปธรรมสามารถจับต้องได้ แต่ฉาบฉวยไปด้วยความหลอกลวง ต่างจากเงาในกระจกแม้ว่าจะเป็นของมายา จับต้องไม่ได้ แต่ก็แสดงความจริงให้เห็นออกมาเสมอ แดนสนธยาก็เปรียบได้กับเงาของกระจก เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่ก็แสดงความสัตย์จริงออกมา
ปังๆๆปังๆๆ!!?
“อัสดงได้ยินครูมั้ย เปิดประตูเร็วเข้า”
“เปิดประตูสิ อัสดง”
ธันวาทุบประตูอย่างบ้าคลั่งทันทีที่ประตูปิดลง ด้านหลังประตูบานนั้นมีความลับของใครบางคนซ่อนอยู่ ความลับที่ถูกปิดตายเพียงลำพังโดยการสังเวยผู้เคราห์ร้ายที่บริสุทธิ์ เพทายยืนนิ่งแข็งราวกับหุ่นสักพักก็เริ่มสั่นเทา น้ำตาเอ่อล้นเบ้า ลำคอที่เหมือนรู้สึกถึงก้อนเหนียวจุกอยู่ทำให้ยากต่อการเปล่งเสียง เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้งธันวารีบวิ่งเข้าไปในห้องโดยมีเพทายและเพื่อนของเขาเดินเข้ามาสมทบ
“อัสดง!! เธออยู่ไหน!?” ธันวาพยายามเข้าไปในกลุ่มโต๊ะที่ละเกะละกะ
อึก!!?
เพทายรู้สึกถึงปลายเท้าของตนเหยียบของเหลวบางอย่างที่หนืดๆ เขาไล่สายตาลงก้มมองที่พื้น
เลือด!!?
เพทายแน่ใจว่ามันคือเลือดเพราะกลิ่นคาวฟุ้งที่เข้าสู่ลมหายใจ ด้วยความหนืดของเลือดทำให้เขาเสียหลักล้มตอนที่ถอยหลังออกอย่างตกใจ เขาเพ่งมองที่มาของเลือด ซึ่งมันอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง สมุดที่ร่วงหล่นจากลิ้นชักของโต๊ะได้เปิดเผยผู้เป็นเจ้าของ
อัสดง รัตติกาล
ร่างของเพทายนั่งสั่นเทาอยู่กับพื้น น้ำตาไหลพรากเป็นเขื่อนแตก เขาหน้าเบ้ถอยหลังออกมองมือตัวเองที่เปื้อนเลือด
แกผิดเองนะ ที่ทำให้ฉันเกลียด
ฉันไม่ผิด ฉันไม่ได้ตั้งใจ
ฉันไม่รู้ มันก็แค่เรื่องหลอกเด็กนี่นา
มันต้องไม่เป็นแบบนี้
ฉัน....ฉันขอโทษ
****************************************
“นี่นายคิดจะเล่นจ้องตากับฉันรึไง” อัสดงกอดอกยิ้ม
“หืม เอ่อ...” เพทายตื่นจากภวังค์ ความทรงจำเก่าๆกลับเข้าสู่หัวใจที่ปิดตายอีกครั้ง เขาเลือกที่จะนิ่งเงีบยกับคำถามของอัสดง
“ฉันขอย้ำคำตอบเดิมนะ” อัสดงจ้องเพทายนิ่ง
“อะไร?” เพทายมองคนตรงหน้าอย่างฉงน
“ฉันไม่รู้จักนายจริงๆ”อัสดงยืนกรานอย่างหนักแน่น
“โอเค ฉันอาจอุปทานไปเองก็ได้” เพทายกล่าวอย่างจนใจ
จำไม่ได้ แต่คุ้นเคย
ท่ามกลางความเงียบเพทายเดินสำรวจห้องที่เขาพึ่งเข้าอยู่อย่างแปลกตา ในขณะที่อัสดงเลือกที่จะนั่งเงียบหยิบหนังสือจากชั้นหนังสือมาอ่านเล่น เพทายเพ่งมองชั้นหนังสือขนาดเล็กนั้น ซึ่งเหมือนกับชั้นหนังสือที่อยู่ในห้องเรียนประจำของเขา แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก อีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเด็กหนุ่ม นั่นคือ โต๊ะนักเรียนกลางห้องที่มีคราบเลอะเหมือนหมึกปากกา มันกระตุ้นปลุกความทรงจำที่หลับใหลอีกครั้ง สมองของเขาสั่งไม่ให้เฉียดใกล้โต๊ะตัวนั้น แต่ขาเจ้ากรรมไม่ฟังคำสั่งยังคงเดินมุ่งตรงไปที่โต๊ะปริศนานั้น
ความอยากรู้อยากเห็นเกาะกุมจิตใจ เพทายเริ่มเห็นโต๊ะตัวนั้นชัดเจนขึ้น คราบรอยดำลักษณะคล้ายของเหลวแห้งสีข้นแดงทำให้เขาใจสั่นและเต้นแรง มือหนากำลังเอื้อมไปลูบโต๊ะตัวอย่างโหยหา
“นายไม่ควรแตะโต๊ะตัวนั้น”
เพทายสะดุ้งตื่นขึ้น ภาพแรกที่เห็นคือฝ้าเพดานขาวสะอาดตา ห้องทั้งห้องเป็นสีขาวสว่าง สายน้ำเกลือที่แขนซ้ายทำให้ระลึกได้ว่าตนเองน่าจะอยู่ที่โรงพยาบาล
“ฟื้นแล้วเหรอ”ด้วยความที่ตายังพร่ามัวอยู่ เพทายจึงมองไม่เห็นหน้าเจ้าของเสียง จะเห็นก็แต่ผมสีทองซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของใครคนหนึ่ง
“รันเหรอ” เพทายหรี่ตามอง มือหนึ่งปัดแสงจ้าที่เข้าตา
“รู้สึกเป็นยังไงบ้าง” รุ่งอรุณเอื้อมมือแตะหน้าผากเพทาย
“หิวน้ำ”
“เดี๋ยวเอาให้” รุ่งอรุณเดินไปรินน้ำใส่แก้ว
“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เกิดอะไรขึ้นกับฉัน”
“นายสลบในห้องนอนตัวเอง เพราะอดหลับอดนอนหลายวัน เกิดความเครียดสะสมทำให้ร่างกายทรุดโทรม รู้มั้ยครั้งแรกที่ฉันมาเยี่ยม ฉันเห็นนายเหมือนซากศพที่หายใจมากกว่าคนเสียอีก”
“ฉันหลับไปกี่วัน
“สองอาทิตย์”
“นายเฝ้าไข้ฉันตลอดเลยเหรอ” เพทายหยิบแก้วน้ำจากรุ่งอรุณ
“เปล่า อาจารย์ธันวากับพวกน้ำจัดตารางเวรกันเฝ้าไข้นายน่ะ วันนี้วันเสาร์เป็นเวรฉัน”
“อืม เหรอ”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่ที่นายฝันร้ายบ่อยๆจนไม่กล้านอน แล้วหลับครั้งนี้ยังฝันร้ายอยู่รึเปล่า” รุ่งอรุณหยิบเก้าอี้มานั่ง
“ฝันครั้งนี้ มันเป็นฝันที่ไม่เหมือนเดิม” คำพูดของเพทายแทบจะกลืนเข้าไปในความเงียบ
“ฝันเห็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่น่ากลัว แลดูไม่มีพิษสใช่มั้ยล่ะ”รุ่งอรุณกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“นายรู้ได้ยังไง” เพทายตะลึงนิ่งมองคนตรงหน้า
“ฉันรู้ได้ยังไงไม่สำคัญ แต่ขอบอกไว้อย่างหนึ่ง”รุ่งอรุณกอดอกมองเพทายด้วยสายตาที่แน่นิ่ง เผยรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกจนน่าขนลุก
“อย่าไปยุ่งกับเด็กคนนั้น นั่นน่ะตัวอันตรายที่สุด”
***************************************
ภายในห้อง เด็กสาวมองใบหน้าตัวเองในกระจกด้วยปลาบปลื้มในความสวยของตน เธอมักส่องกระจกเป็นเวลานาน เพื่อเชยชมใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ผ่านเงาของกระจก แต่แล้ว......
ติ๊ด~~~~~
“ค่ะ แม่” เด็กสาวเบือนหน้าจากกระจกรับโทรศัพท์
“นัน พ่อกับแม่ติดงานอยู่คงจะกลับบ้านดึก เย็นนี้หนูอยู่กับป้าเล็กให้ดีๆนะ”
“ค่ะ”นันทภาฟังเสียงบุพการีจากปลายสายจนจบ เธอเลือกที่จะตอบสั้นๆ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา พ่อกับแม่ของนันทภาไม่เคยฟังคำพูดของลูกสาวอย่างเธอเลยสักครั้ง เด็กสาวเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจโดยไม่เคยแสดงออกมาให้ใครเห็น แต่สิ่งที่แสดงออกมาคือการที่เธอเป็นคุณหนูรวยล้นฟ้าที่แสนหยิ่งทะนงและโวยวายเอาแต่ใจ นั่นเป็นสิ่งที่เพื่อนในโรงเรียนเห็นเป็นประจำ
นันทภาถูกเลี้ยงด้วยเงินตราที่พ่อแม่หยิบยื่นให้ตั้งแต่จำความได้ บ้านหลังนี้ไม่เคยมีความอบอุ่นของครอบครัว เพราะมีเพียงเธอกับป้าแม่บ้านเท่านั้นที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในบ้านหลังนี้ พูดตรงๆเลยว่าจำนวนครั้งที่เธอเห็นหน้าป้าแม่บ้านมากกว่าจำนวนครั้งที่เธอเห็นหน้าพ่อแม่ตัวเองเสียอีก
เมื่อบุพการีของเธอวางสายไป นันทภาหันกลับมามองกระจกตั้งโต๊ะอีกครั้ง เพียงแค่กระพริบตาใบหน้าสะสวยที่มีเสน่ห์เย้ายวน กลายเป็นใบหน้าเละเหวอะหวะที่น่าสยดสยอง ด้วยความตะลึงไม่มีคำพูดใดออกจากปากหญิงสาว
เงาที่สะท้อนออกมาจากกระจก คือ ผู้หญิงที่ผมเผ้ารุงรัง ใบหน้าหนองเน่าเฟะมีหนอนชอนไชอยู่ทั่วหน้า
กึก....กึก
กระจกเริ่มแตกร้าว ดวงตาที่แดงก่ำชุ่มโชกด้วยเลือด ริมฝีปากแสยะยิ้มกว้าง มองเห็นฟันที่ชุ่มเลือดหนอนและของเหลวทะลักออกจากปากนั้น
กรี๊ด!!?
วินาทีที่นันทภากรีดเสียง มือเธอปัดกระจกตกลงจากโต๊ะ เด็กสาวเบิกตากว้างเมื่อเห็นของเหลวสีแดงข้นอยู่ภายในเศษกระจกนั้น เสียงหัวเราะแหลมเล็กที่น่ารังเกียจดังก้องในหัว ร่างบางสั่นเทาด้วยพรั่นพรึง
“เกิดอะไรขึ้นค่ะคุณหนู เมื่อกี้ป้าได้ยินเสียงร้อง” ป้าเล็กเคาะประตูด้วยความร้อนใจ เสียงหัวเราะที่ร้อนประสาทนั้นเงียบลง
“ไม่มีอะไรหรอกจ๊ะป้า พอดีเมื่อกี้ฉัน...ดูหนังผีอยู่ก็เลยตกใจนะ” เธอเลือกจะโกหก ก็แน่ล่ะเรื่องแบบนี้พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ นันทภารวบรวมสติเดินไปเปิดประตูห้องให้ป้าเล็ก
“ป้าจ๊ะ ฉันทำกระจกแตก วานป้าช่วยเก็บกวาดให้ฉันด้วยนะ”
“ตายจริง!! แล้วคุณนันโดนกระจกบาดรึเปล่าค่ะ”
“ฉันไม่เป็นไรจ๊ะ ฝากป้าเก็บเศษกระจกหน่อยนะจ๊ะ” นันทภาพพยายามไม่มองเศษกระจกนั้น เธอผละออกจากห้องอย่างรวดเร็ว
บ้าจริง ฉันต้องตาฝาดแน่ๆ
***************************************
ยามเย็นในห้องพักฟื้นผู้ป่วย เพทายเลือกที่จะอยู่คนเดียวในห้องก็เลยให้รุ่งอรุณกลับไปก่อน เพราะเขารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ไม่อยากเป็นภาระให้คนอื่นมาเฝ้าดูแล
เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนเตียงมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย เขาได้แต่กังขาคำพูดของรุ่งอรุณ
“อย่าไปยุ่งกับเด็กคนนั้น นั่นน่ะตัวอันตรายที่สุด”
ชะตากรรมของเด็กหนุ่มที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความหวาดระแวง เพทายไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่า คำพูดไหนที่เป็นจริงหรือคำโกหก แล้วอะไรที่จ้องทำร้ายหรือช่วยเขา มันเหมือนเมฆหมอกที่บังตาทำให้ทุกอย่างคลุมเคลือไปหมด เขาล้มตัวลงนอนข่มตาหลับด้วยความสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตนเองกันแน่
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
เสียงเคาะประตูเพทายสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อลอดใต้พื้นประตูก็เห็นเงาของใครบางคนที่สะท้อนแสงไฟจากข้างนอกยืนอยู่
“เพทาย นายตื่นอยู่รึเปล่า” เสียงนี้ทำให้เพทายคลายกังวลลงได้บ้าง เพราะรู้ว่าเจ้าของเป็นคนไม่ใช่ผี
“ฉันตื่นอยู่ นายเปิดประตูเข้ามาได้เลย” เด็กหนุ่มมองผู้มาเยือนที่เปิดประตูเข้ามา
“นึกว่านายกลับไปแล้วะอีก รัน” เพทายชันตัวขึ้นนั่งบนเตียง
“พอดี ฉันมีของจะให้นายอ่ะ” รุ่งอรุณเดินเข้ามาที่เตียงแล้วยื่นของบางอย่างให้เพทาย
“อะไรอ่ะ”เพทายรับมาอย่างงงๆ
“ตะกรุดน่ะ มันช่วยป้องกันสิ่งอัปมงคลทั้งหลายได้ นายควรใส่มันนะ ถ้าไม่อยากตาย” ประโยคสุดท้ายรุ่งอรุณพูดอย่างแผ่วเบาจนเพทายไม่ได้ยิน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ