Lemon Sherbet รักเปรี้ยวจี๊ดสุดขีดหัวใจ
1.3
1) บทนำเรื่อง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความLemon Sherbet รักเปรี้ยวจี๊ดสุดขีดหัวใจ
บทนำ
“กรี๊ดดดๆๆๆ”
“-_-++”
“ขงจื้อ ภาษาไทยมีเรียกกันหลายชื่อ เช่น ขงฟู่จื่อ ขงจื่อ ข่งชิว ชื่อรองคือ จ้งหนี เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของจีน คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิท...”
“อ๊ายย ชั้นไม่ยอมๆๆๆ”
“=O=;;”
“... ธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อนั้นเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัว และศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะ...”
“แก๊ มันทำกับฉันแบบนั้นได้ยังไง ฮือๆๆ”
“TOT”
“... สมของความสัมพันธ์ในสังคม ความยุติธรรมและบริสุทธิ์ใจศาสตร์สี่แขนง ที่ขงจื๊อวางรากฐานไว้ ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และความ...”
“เว้ย พอที!!!”
“/TOT\” สีหน้าของทั้งสองคนที่โดนขัดว่าฉันทำอะไรผิด
“อะไรกันนักกันหนาฮึยัยเชอร์เบท แกจะแหกปากร้องหาสวรรค์วิมานอะไรไม่ทราบ รู้ไหมว่าฉันหนวกหูกับเสียงร้องดั่งแมวขี้ไม่ออกของแกเอามากๆ ส่วนเธอยัยหมวยหลิงลี่จะมาขยันท่องตำราอะไรเอาตอนนี้เนี่ย นี่มันเวลาพักนะยะ ช่วยผ่อนคลายนิดนึงได้ไหม โอ๊ยยย นี่ฉันประสาทจะแตกตายเพราะมีเพื่อนแบบพวกเธอสองคนนี่แหละ”
ซูซี่เพื่อนชายตัวสูงแต่หัวใจนะยะบ่นออกมายืดยาวก่อนจะเอามือทึ้งหัวตัวเองเหมือนเป็นคนบ้า ฉันกับหลิงลี่จึงได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างงงๆ แต่คนละอารมณ์กัน
“ฮือๆๆ ซูซี่แกไม่เข้าใจช้าน แกไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง”
ฉันยังคงแหกปากโวยวายต่อไปอย่างไม่สนใจท่าทางหมดอาลัยของซูซี่
“แต่พรุ่งนี้เรามีพรีเซ็นต์วิชาปรัชญานะ ฉันก็ต้องอ่านไว้สิ”
หลิงลี่หมวยน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มกับทรงผมยาวๆ ที่ดัดปลายเป็นลอนน้อยๆ พร้อมกับจับมัดลวกๆ เป็นจุกกลมๆ อยู่กลางหัวทำให้ดูเซอร์อย่างไม่ได้ตั้งใจ และแว่นตากรอบดำหนาเตอะที่ใส่อยู่บนหน้าอย่างเด็กเนิร์ดผู้คงแก่เรียนส่งเสียงเล็กๆ ออกมาก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มหนาในมือต่อไป
“อ้าวเหรอ นี่ฉันลืมไปเลยนะเนี่ย งั้นเธอก็อ่านไปละกัน จำให้แม่นๆ ด้วยนะอย่าให้กลุ่มเราโดนหักคะแนนล่ะ”
ยัยซูซี่พูดอย่างเห็นแก่ตัวสุดๆ พร้อมกับหันมามองหน้าฉันต่อ
“แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้ ได้แก่ สำรวจตรวจสอบ ขยายพรมแดนความรู้ จริงใจ แก้ไขดัดแปลงตน บ่มความรู้ ประพฤติตามกฎบ้านเมือง ประเทศต้องได้รับการดูแล นำความสงบสุขมาสู่...”
“-__-++”
“โลก.... ฉันว่าฉันอ่านในใจก็ได้เนอะ”
น่าสงสารจริงๆ หมวยน้อยของเรา
“เอาล่ะ ส่วนเธอยัยเชอร์เบท ที่คร่ำครวญอยู่ตั้งนานเนี่ยเป็นอะไร ช่วยแจ้งแถลงไขมาให้ฉันเข้าใจหน่อยซิ”
ในที่สุดนาย เอ้ย เธอก็หันมาสนใจฉันซะทีสินะยัยซูซี่ ฉันจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามทำอารมณ์ให้คงที่จะได้ไม่ปรี๊ดแตกขึ้นมาอีกรอบ
“แกไม่เข้าใจช้าน ฮืออ TOT”
แต่ก็สายไปซะแล้ว
“โอ๊ย! ยัยนี่นี่ พูดออกมาซะสิฮะ ฉันรอฟังอยู่”
“ซูซี่แกรู้มั้ย...”
“ไม่รู้”
“อย่าเพิ่งขัดสิ ฮือ... แกรู้มั้ยว่าเมื่อวานฉันไปเจออะไรมา”
“ทำไม? แกไปเจออะไรถึงได้มาโวยวายแบบนี้ หรือว่าแฟนเก่าควงแฟนใหม่มาเย้ยเหรอ”
“แกรู้ได้ไง!!”
“จริงเหรอเนี่ย ฉันแค่เดานะ”
“แงงงๆๆๆ มันแค้น มันแค้นอยู่ในอกอะแก๊ มันสองคนควงกันมาเย้ยฉันทั้งที่ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นมันเพิ่งจะเลิกกับฉันไปได้ห้าเดือนเองนะ”
ฉันทุบโต๊ะลงไปอย่างแรงด้วยความโมโหและแค้นจัด อูย... เจ็บมือ TOT
“แล้วยังไง เค้าจะไปมีแฟนใหม่มันก็ช่างเค้าสิ หรือว่าแกยังรักแฟนเก่าแกอยู่ถึงได้มานั่งเวิ่นเว้ออยู่แบบนี้”
“อย่ามาพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้แบบนั้นนะ สิ่งที่ฉันรู้สึกตอนนี้ก็คือฉันแค้นมันต่างหากเล่า กรี๊ดๆ”
“โกรธคือโง่ โมโหคือบ้านะเชอร์เบท”
หลิงลี่เงยขึ้นจากหนังสือเล่มหนามาพูดกับฉัน ถ้าจะพูดแบบนี้ฉันว่าเงียบไปเลยจะดีกว่าไหมหมวยน้อย
“แต่ตอนนี้ฉันบ้าอย่างเดียวไม่ได้โง่ย่ะ”
“จะไปแค้นเค้าทำไม หมอนั่นไปดีแล้วก็ปล่อยเค้าไปสิยะ ถ้าเป็นฉันนะคงจะบอกเลิกแกตั้งแต่สองอาทิตย์แรกที่คบกันแล้ว ไม่รู้ว่าโปเซียร์ทนคบกับแกไปได้ยังไงตั้งสองปี นี่ขนาดเป็นแค่เพื่อนกันฉันยังแทบจะทนแกไม่ไหวเลย”
“อะไรยะยัยซูซี่ ฉันมันไม่ดีตรงไหน”
“ก็นิสัยแกทั้งเจ้าอารมณ์ ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด หวิดจะเป็นกระทิงไปหลายรอบแล้ว ไหนจะอาการขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกระทงหลงทางนี่อีก ถ้าแกดีจริงโปเซียร์จะเลิกกับแกทำไมฮะ”
“ฉันเป็นคนบอกเลิกหมอนั่นเองต่างหากเล่า”
“แล้วจะไปบอกเลิกกับเค้าด้วยเหตุผลแค่นั้นเนี่ยนะ”
“แกไม่มาเป็นฉัน แกไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นฉันรู้สึกยังไง”
พอนึกถึงวันที่ฉันกับไอ้บ้าโปเซียร์นั่นทะเลาะกันจนถึงขั้นแตกหัก เพราะว่าฉันไปเจอเขากับ... ฮึ่ย ไม่อยากจะพูด อารมณ์เสีย
“หูย ฉันไม่อยากเป็นแกหรอกย่ะ นิสัยเสีย ใช้แต่อารมณ์แถมยังเอาแต่ใจล่ะก็ที่หนึ่ง โปเซียร์นี่ก็ประสาทนะที่คบกับผีบ้าอย่างแกมาได้ตั้งนาน”
“กรี๊ดดๆๆๆ แกเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่าเนี่ยยัยซูซี่”
“พอๆๆๆ อย่ามากรี๊ดใส่หูฉัน กระเทยสุดสวยล่ะปวดเฮด”
ว่าแล้วก็หันไปคว้าแก้วน้ำส้มขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางนางเอกสุดๆ จนฉันยังต้องอาย
“แต่เรื่องนี้ฉันไม่ยอมนะแก มันเป็นอะไรที่แค้นมาก แกไม่รู้หรอกว่าทั้งแฟนเก่าและแฟนใหม่ของแฟนเก่ามันร้ายกาจขนาดไหน แกต้องช่วยฉันนะซูซี่ ฉันรู้ว่าแกต้องช่วยฉันได้แน่ๆ”
“จะพูดให้งงทำไมเนี่ย ไหนเล่ามาซิ”
“ก็คือว่าเมื่อวานนี้เนี่ย...”
บทนำ
“กรี๊ดดดๆๆๆ”
“-_-++”
“ขงจื้อ ภาษาไทยมีเรียกกันหลายชื่อ เช่น ขงฟู่จื่อ ขงจื่อ ข่งชิว ชื่อรองคือ จ้งหนี เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของจีน คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิท...”
“อ๊ายย ชั้นไม่ยอมๆๆๆ”
“=O=;;”
“... ธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อนั้นเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัว และศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะ...”
“แก๊ มันทำกับฉันแบบนั้นได้ยังไง ฮือๆๆ”
“TOT”
“... สมของความสัมพันธ์ในสังคม ความยุติธรรมและบริสุทธิ์ใจศาสตร์สี่แขนง ที่ขงจื๊อวางรากฐานไว้ ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และความ...”
“เว้ย พอที!!!”
“/TOT\” สีหน้าของทั้งสองคนที่โดนขัดว่าฉันทำอะไรผิด
“อะไรกันนักกันหนาฮึยัยเชอร์เบท แกจะแหกปากร้องหาสวรรค์วิมานอะไรไม่ทราบ รู้ไหมว่าฉันหนวกหูกับเสียงร้องดั่งแมวขี้ไม่ออกของแกเอามากๆ ส่วนเธอยัยหมวยหลิงลี่จะมาขยันท่องตำราอะไรเอาตอนนี้เนี่ย นี่มันเวลาพักนะยะ ช่วยผ่อนคลายนิดนึงได้ไหม โอ๊ยยย นี่ฉันประสาทจะแตกตายเพราะมีเพื่อนแบบพวกเธอสองคนนี่แหละ”
ซูซี่เพื่อนชายตัวสูงแต่หัวใจนะยะบ่นออกมายืดยาวก่อนจะเอามือทึ้งหัวตัวเองเหมือนเป็นคนบ้า ฉันกับหลิงลี่จึงได้แต่หันมามองหน้ากันอย่างงงๆ แต่คนละอารมณ์กัน
“ฮือๆๆ ซูซี่แกไม่เข้าใจช้าน แกไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉันบ้าง”
ฉันยังคงแหกปากโวยวายต่อไปอย่างไม่สนใจท่าทางหมดอาลัยของซูซี่
“แต่พรุ่งนี้เรามีพรีเซ็นต์วิชาปรัชญานะ ฉันก็ต้องอ่านไว้สิ”
หลิงลี่หมวยน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มกับทรงผมยาวๆ ที่ดัดปลายเป็นลอนน้อยๆ พร้อมกับจับมัดลวกๆ เป็นจุกกลมๆ อยู่กลางหัวทำให้ดูเซอร์อย่างไม่ได้ตั้งใจ และแว่นตากรอบดำหนาเตอะที่ใส่อยู่บนหน้าอย่างเด็กเนิร์ดผู้คงแก่เรียนส่งเสียงเล็กๆ ออกมาก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มหนาในมือต่อไป
“อ้าวเหรอ นี่ฉันลืมไปเลยนะเนี่ย งั้นเธอก็อ่านไปละกัน จำให้แม่นๆ ด้วยนะอย่าให้กลุ่มเราโดนหักคะแนนล่ะ”
ยัยซูซี่พูดอย่างเห็นแก่ตัวสุดๆ พร้อมกับหันมามองหน้าฉันต่อ
“แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้ ได้แก่ สำรวจตรวจสอบ ขยายพรมแดนความรู้ จริงใจ แก้ไขดัดแปลงตน บ่มความรู้ ประพฤติตามกฎบ้านเมือง ประเทศต้องได้รับการดูแล นำความสงบสุขมาสู่...”
“-__-++”
“โลก.... ฉันว่าฉันอ่านในใจก็ได้เนอะ”
น่าสงสารจริงๆ หมวยน้อยของเรา
“เอาล่ะ ส่วนเธอยัยเชอร์เบท ที่คร่ำครวญอยู่ตั้งนานเนี่ยเป็นอะไร ช่วยแจ้งแถลงไขมาให้ฉันเข้าใจหน่อยซิ”
ในที่สุดนาย เอ้ย เธอก็หันมาสนใจฉันซะทีสินะยัยซูซี่ ฉันจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามทำอารมณ์ให้คงที่จะได้ไม่ปรี๊ดแตกขึ้นมาอีกรอบ
“แกไม่เข้าใจช้าน ฮืออ TOT”
แต่ก็สายไปซะแล้ว
“โอ๊ย! ยัยนี่นี่ พูดออกมาซะสิฮะ ฉันรอฟังอยู่”
“ซูซี่แกรู้มั้ย...”
“ไม่รู้”
“อย่าเพิ่งขัดสิ ฮือ... แกรู้มั้ยว่าเมื่อวานฉันไปเจออะไรมา”
“ทำไม? แกไปเจออะไรถึงได้มาโวยวายแบบนี้ หรือว่าแฟนเก่าควงแฟนใหม่มาเย้ยเหรอ”
“แกรู้ได้ไง!!”
“จริงเหรอเนี่ย ฉันแค่เดานะ”
“แงงงๆๆๆ มันแค้น มันแค้นอยู่ในอกอะแก๊ มันสองคนควงกันมาเย้ยฉันทั้งที่ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นมันเพิ่งจะเลิกกับฉันไปได้ห้าเดือนเองนะ”
ฉันทุบโต๊ะลงไปอย่างแรงด้วยความโมโหและแค้นจัด อูย... เจ็บมือ TOT
“แล้วยังไง เค้าจะไปมีแฟนใหม่มันก็ช่างเค้าสิ หรือว่าแกยังรักแฟนเก่าแกอยู่ถึงได้มานั่งเวิ่นเว้ออยู่แบบนี้”
“อย่ามาพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้แบบนั้นนะ สิ่งที่ฉันรู้สึกตอนนี้ก็คือฉันแค้นมันต่างหากเล่า กรี๊ดๆ”
“โกรธคือโง่ โมโหคือบ้านะเชอร์เบท”
หลิงลี่เงยขึ้นจากหนังสือเล่มหนามาพูดกับฉัน ถ้าจะพูดแบบนี้ฉันว่าเงียบไปเลยจะดีกว่าไหมหมวยน้อย
“แต่ตอนนี้ฉันบ้าอย่างเดียวไม่ได้โง่ย่ะ”
“จะไปแค้นเค้าทำไม หมอนั่นไปดีแล้วก็ปล่อยเค้าไปสิยะ ถ้าเป็นฉันนะคงจะบอกเลิกแกตั้งแต่สองอาทิตย์แรกที่คบกันแล้ว ไม่รู้ว่าโปเซียร์ทนคบกับแกไปได้ยังไงตั้งสองปี นี่ขนาดเป็นแค่เพื่อนกันฉันยังแทบจะทนแกไม่ไหวเลย”
“อะไรยะยัยซูซี่ ฉันมันไม่ดีตรงไหน”
“ก็นิสัยแกทั้งเจ้าอารมณ์ ขี้โมโห ขี้หงุดหงิด หวิดจะเป็นกระทิงไปหลายรอบแล้ว ไหนจะอาการขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกระทงหลงทางนี่อีก ถ้าแกดีจริงโปเซียร์จะเลิกกับแกทำไมฮะ”
“ฉันเป็นคนบอกเลิกหมอนั่นเองต่างหากเล่า”
“แล้วจะไปบอกเลิกกับเค้าด้วยเหตุผลแค่นั้นเนี่ยนะ”
“แกไม่มาเป็นฉัน แกไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นฉันรู้สึกยังไง”
พอนึกถึงวันที่ฉันกับไอ้บ้าโปเซียร์นั่นทะเลาะกันจนถึงขั้นแตกหัก เพราะว่าฉันไปเจอเขากับ... ฮึ่ย ไม่อยากจะพูด อารมณ์เสีย
“หูย ฉันไม่อยากเป็นแกหรอกย่ะ นิสัยเสีย ใช้แต่อารมณ์แถมยังเอาแต่ใจล่ะก็ที่หนึ่ง โปเซียร์นี่ก็ประสาทนะที่คบกับผีบ้าอย่างแกมาได้ตั้งนาน”
“กรี๊ดดๆๆๆ แกเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่าเนี่ยยัยซูซี่”
“พอๆๆๆ อย่ามากรี๊ดใส่หูฉัน กระเทยสุดสวยล่ะปวดเฮด”
ว่าแล้วก็หันไปคว้าแก้วน้ำส้มขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางนางเอกสุดๆ จนฉันยังต้องอาย
“แต่เรื่องนี้ฉันไม่ยอมนะแก มันเป็นอะไรที่แค้นมาก แกไม่รู้หรอกว่าทั้งแฟนเก่าและแฟนใหม่ของแฟนเก่ามันร้ายกาจขนาดไหน แกต้องช่วยฉันนะซูซี่ ฉันรู้ว่าแกต้องช่วยฉันได้แน่ๆ”
“จะพูดให้งงทำไมเนี่ย ไหนเล่ามาซิ”
“ก็คือว่าเมื่อวานนี้เนี่ย...”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ