ทอฝันสุดสายรุ้ง
10.0
3) คุณพ่อ... คุณม่...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ ๓
คุณพ่อ... คุณแม่...
บรรพตได้รับการแจ้งข่าวจากชุดาเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากจัดการกับธุระเรื่องงานจนเสร็จสิ้น เขาจึงมีเวลาได้อ่านจดหมายจากชุดาที่แจ้งผ่านนักสืบซึ่งหล่อนได้จ้างวานเอาไว้
ซึ่งชุดาก็ใช้เส้นสายทางราชการของสามีและการรวบรวมข้อมูลทางเวชระเบียนจากเพื่อนนางพยาบาลในโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นหาบิดาบังเกิดเกล้าของเด็กๆ ที่หล่อนเองก็พอจะรู้ข้อมูลส่วนเล็กๆ ในตัวเขา ถึงกระนั้นก็ใช้เวลานานหลายปีทีเดียว หากเขาติดต่อมาเร็วกว่านี้ อะไรหลายๆ อย่างในชีวิตของเด็กๆ คงจะดีขึ้น หล่อนเชื่ออย่างนั้นเสมอ แม้จะไม่รู้เลยว่าเหตุใดบรรพตจึงต้องทิ้งลูกไปอย่างนั้น
เมื่อการพูดคุยต่างๆ เป็นไปตามที่ทุกฝ่ายต้องการแล้ว ทอป่านและทอฝันก็ได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังงามของบรรพตที่กรุงเทพฯ โดยที่ชุดาก็ได้เงินค่าเลี้ยงดูไปจำนวนหนึ่ง ทั้งที่หล่อนปฏิเสธไปแล้ว แต่ทว่าสกลนั่นเองที่เป็นฝ่ายคะยั้นคะยอกึ่งบังคับให้หล่อนรับเงินนั่นมา
กลับมาที่บ้านหลังเดี่ยวซึ่งเป็นปูนซีเมนต์ทั้งสองชั้น มีบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านให้เด็กสิบคนวิ่งเล่นกันได้อย่างสบายๆ ใหญ่กว่าของชุดาตั้งหลายเท่า ทอป่านนึกประเมินเมื่อมองไปรอบๆ ขณะที่หัวใจดวงน้อยๆ ก็เต้นรัวเพราะไม่รู้ว่าในบ้านหลังใหญ่นั้นจะมีอะไรรอต้อนรับเธอกับน้องสาวอยู่บ้าง
“สวัสดีจ้ะ”
หญิงสาวแปลกหน้าแต่รูปเครื่องสะสวยเอ่ยทักทายเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
ทอป่านละล่ำละลักมองหน้าหล่อนอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“เด็กๆ สวัสดีคุณแม่สิลูก”
บรรพตบอก แต่ทอป่านรู้สึกตกใจที่ได้ยินพ่อพูดแบบนั้น
แม่...
แม่ของหนูคือแม่ลินดา...
ทอป่านคิด และเข้าใจว่าน้องที่ได้ยินเหมือนกันก็คงคิดเช่นเดียวกันกับเธอ
“สวัสดีค่ะ... คุณ... แม่...”
ทั้งคำสุภาพ ทั้งสรรพนามที่ไม่เป็นจริง เด็กหญิงรู้สึกประหม่ากับผู้หญิงคนนี้
“โอย ตายล่ะคุณ ไปบังคับให้แกเรียกฉันยังงั้นได้ไงกันล่ะคะ”
‘กานดา’ ร้องครวญเมื่อฟังน้ำเสียงกระอักกระอ่วนของเด็กๆ
“อืม... เรียกพี่... ก็ดูสาวไป เรียกป้าก็ไม่ไหว งั้นให้เรียกน้าละกัน”
“ได้ยังไงกันล่ะ ทั้งสองคนนี้เป็นลูกของผม เราสองคุณอยากมีลูกด้วยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ให้พวกแกเรียกคุณว่าแม่ล่ะ”
“เอ่อ... เอาอย่างนั้นหรือคะ”
ด้วยเพราะไม่อยากให้สามีคิดว่าตัวเองรังเกียจเด็กๆ ก็เลยต้องจำยอมพร้อมรอยยิ้มอย่างเอ็นดู
“ฉัน... เอ่อ แม่... แม่ชื่อกานดาจ้ะ”
หล่อนนั่งลง แล้วลูบหัวเด็กๆ เป็นการผูกมิตร
“แม่จะเลี้ยงดูพวกหนูอย่างดีนะจ๊ะ”
ทอป่านและทอฝันยิ้มรับกานดาด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ สัมผัสพิเศษนี้ที่ไม่ได้รับมานานแสนนาน... นี่กระมัง สถานที่สุดท้ายที่พวกเธอจะใช้ชีวิตอยู่ได้ต่อไปอย่างมีความสุขและสมหวังเหมือนคนอื่นเขาเสียที...
เมื่อมาอยู่ที่บ้านของบรรพต สองพี่น้องก็เหมือนกับได้เกิดใหม่ การได้ใช้ชีวิตครอบครัวอย่างพร้อมหน้าแบบนี้ เป็นของขวัญที่วิเศษสุดแล้ว แม้ผู้หญิงที่เรียกว่าแม่ จะไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของพวกเธอก็ตาม
“ตุ๊กตาตัวนั้นเก่าแล้ว เดี๋ยวแม่จะซื้อให้ใหม่เอามั้ยจ๊ะทอฝัน”
เด็กน้อยส่ายหน้าแทนคำตอบ
“อ้าว ทำไมล่ะ?”
“ทอฝันรักตุ๊กตาตัวนี้ พี่ทอป่านทำให้ทอฝัน”
“โอ... อย่างนั้นเหรอ แล้วมันมีชื่อมั้ยล่ะจ๊ะ หือ?”
“พี่ทอป่านบอกว่า มันชื่อ มอมแมม”
ว่าแล้ว เธอก็กอดตุ๊กตาตัวนั้นเอาไว้แน่น ด้วยกลัวว่าใครจะมาพรากมันไป กานดา บรรพตและทอป่าน หัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของทอฝันอย่างนึกเอ็นดู และไม่ว่าจะไปที่ไหน เด็กน้อยก็ต้องหอบหิ้วตุ๊กตามอมแมมนี้ไปด้วยทุกครั้ง แม้จะมีของเล่นใหม่ๆ ที่ทั้งพ่อและแม่ซื้อให้ แต่เจ้ามอมแมมก็ยังไม่เคยถูกทอดทิ้งเลย
ทอป่านและทอฝันได้เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นดีทั้งคู่ โดยมีกานดาไปรับไปส่งและดูแลเป็นอย่างดี กินอิ่มนอนหลับได้โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเร่หากินเอง แถมที่บ้านก็ยังมีคนใช้คอยเรียก ‘คุณหนูๆ’ อยู่ตลอดเวลา จะไปไหนก็มีพี่เลี้ยงคอยดูแล
ส่วนบรรพตเองก็มีความสุข ที่มีลูกๆ มาอยู่ด้วย ยิ่งมองหน้าทอป่าน ก็ยิ่งเหมือนลินดาเหลือเกิน...
ย้อนกลับไปเมื่อสิบสี่ปีก่อน เขาพบรักกับลินดาตอนที่ไปเที่ยวสถานบันเทิงซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา วันที่เขาเรียนจบ เพื่อนๆ จึงพาไปเลี้ยงฉลองยังสถานที่ที่เขาไม่ค่อยจะชอบใจนัก แต่ไหนแต่ไรมา เขาเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายสำหรับพ่อแม่เสมอ และรู้จักแยกแยะได้ว่าอะไรดีชั่วได้ด้วยตัวเอง แต่กระนั้น เมื่อเพื่อนๆ หวังดีอยากให้เขาได้เรียนรู้การใช้ชีวิตวัยหนุ่ม การได้ลิ้มลองประสบการณ์แปลกใหม่ จึงไม่กล้าปฏิเสธความอุตส่าห์หวังดีของเพื่อนในครั้งนั้น
ตั้งใจเพียงว่าจะเข้าไปนั่งดื่มเล็กๆ น้อยๆ และเก็บเกี่ยวบรรยากาศพอให้ได้ตื่นเต้นเท่านั้น แต่ทว่า... เขาก็ได้พบกับลินดา... ผู้หญิงใบหน้าหมดจดเกลี้ยงเกลา แต่แววตากลับฉายแววแห่งความเศร้าสร้อย ความสงสารในครั้งนั้น ทำให้เขาอยากรู้จักกับหล่อนขึ้นมาทันที และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
บรรพตบอกให้ลินดาเลิกอาชีพนี้หลังจากเขาทั้งสองทำความรู้จักกันไม่นาน เพศสัมพันธ์ไม่ใช่ตัวเชื่อมพวกเขา หากแต่เป็นเพราะความเวทนาของบรรพตที่มีต่อลินดาต่างหาก โดยเขารับปากว่าจะเป็นฝ่ายดูแลเธอเอง
อยู่กินกันไม่กี่เดือน หล่อนก็ตั้งครรภ์ ซึ่งตรงนี้เองที่เขาคิดจะบอกให้ทางบ้านได้รับรู้ ลินดาเองก็ดีใจปลาบปลื้ม ที่ชีวิตนี้บุญพาวาสนาส่งให้ได้เจอคนดีๆ อย่างบรรพต ชาตินี้จะได้ไม่ต้องลำบากอีกต่อไปแล้ว หล่อนจะได้รับแม่มาอยู่ด้วยตามที่ได้ให้สัญญาไว้เสียที ดังนั้นแล้วหล่อนจึงพาเขาไปแนะนำกับจุลี ทำให้สองแม่ลูกต่างมีความหวังในหัวใจ
แต่ทว่า... เรือลำน้อยที่พายมาจวนจะถึงฝั่ง ต้องล่มลงกลางมหาสมุทร เมื่อหล่อนไม่เป็นที่ยอมรับในครอบครัวของเขา
ลินดาถูกต่อว่าถากถางดูถูกดูแคลนซึ่งๆ หน้า บรรพตไม่แม้แต่จะปริปากช่วยเหลือหล่อนเลย ด้วยเกรงกลัวในอำนาจของผู้เป็นบังเกิดเกล้ามากกว่า หากแต่ในใจของเขาก็ร่ำร้องออกมาเพราะความรักและความสงสารที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเมียรักได้เลย
ลินดาตัดสินใจยุติความสัมพันธ์อันแสนจะมีค่านั้นลง หล่อนเป็นฝ่ายบอกเลิกเขาและแยกตัวออกมา โดยยอมที่จะรับผิดชอบลูกน้อยในครรภ์แต่เพียงผู้เดียว ก่อนจะหวนกลับไปสู่วงการโสมมตามเดิม ในสถานที่ซึ่งหล่อนแน่ใจแล้วว่าเขาไม่มีทางตามเจอ
ตรงนั้นเองที่บรรพตเสียใจเป็นที่สุด เขารู้สึกผิดบาปในใจอย่างมหันต์ที่ปล่อยหล่อนไปอย่างนั้น เขากลับไปตามหาหล่อนที่บ้านเกิดอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงว่าที่แม่ยายของเขาเท่านั้น เมื่อตามหาอยู่นานก็ไม่พบวี่แววของหล่อนเลย บรรพตจึงตัดสินใจกลับไปเรียนต่อที่เมืองนอกเพื่อให้ลืมเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะกลับมาเมืองไทยกลางครันเมื่อได้รับแจ้งว่าพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเรือสำราญล่มกลางมหาสมุทร ความสูญเสียครั้งใหญ่นี้ ทำให้เขาต้องเข้ารับการบำบัดสภาพจิตใจและนั่นเอง ที่เขาได้พบกับกานดา นางแบบสาวที่มีภาพถ่ายแฟชั่นของหล่อนออกมาอยู่เนืองๆ ทั้งสองทำความรู้จักกันไม่นาน ก่อนจะตกลงปลงใจแต่งงานกันท่ามกลางสภาพจิตใจอันเลวร้ายของบรรพต
ส่วนทางฝ่ายลินดานั้น เมื่อตีจากมาแล้ว หล่อนก็เสียใจไม่แพ้กัน แต่เพราะเมื่อได้พบเจอกับครอบครัวของเขาแล้ว ทำให้หล่อนตระหนักตัวเองได้ดีว่าไม่มีอะไรคู่ควรจะเป็นสะใภ้ของครอบครัวเศรษฐีนี้ได้เลย ทำให้หล่อนรังเกียจตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ และคิดว่าไม่ควรจะทำให้ผู้ชายที่ตัวเองรักต้องมัวหมองอีก หล่อนสกปรกเกินกว่าจะได้รับการเชิดชูในฐานะเมียแต่งจากใครทั้งนั้น
หากแต่เรื่องราวต่างๆ ล่วงเลยมากว่าสิบสามปีแล้ว บัดนี้แม้จะไม่ได้เห็นหน้าหญิงอันเป็นอดีตรัก แต่สักขีพยานรักระหว่างเขากับหล่อน ก็ได้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว แม้ทอฝันจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขาก็ตาม แต่เมื่อเด็กน้อยได้ชื่อว่าเป็นลูกของลินดา นั่นก็เท่ากับว่าเธอเป็นลูกสาวของเขาเช่นเดียวกัน
หนึ่งปีผ่านไป... ความรักและความเมตตาของบรรพต ทำให้เด็กๆ อยู่ในบ้านอย่างมีความสุขมาโดยตลอด จนกระทั่ง...
“ว่าไงนะคะ?”
ทอป่านและทอฝันหันมองไปยังกานดาที่ส่งเสียงเอ็ดตะโรขณะรับสายโทรศัพท์ หล่อนมีสีหน้าซีดเผือดไม่รู้ว่าปลายสายกำลังพูดเรื่องอะไร
“ค่ะ... แล้วฉันจะรีบไป...”
หล่อนวางสายโทรศัพท์ด้วยดวงหน้าเลื่อนลอย
“มีอะไรหรือคะคุณแม่?”
ทอป่านถาม หล่อนจ้องหน้าเด็กหญิงอยู่นานหลายนาทีโดยไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกมา ก่อนจะทอดถอนลมหายใจออกมาเหยียดยาว
“ทอป่าน อยู่บ้านดูแลน้อง เดี๋ยวแม่กลับมา”
พูดจบแล้ว กานดาก็คว้าเสื้อคลุมมาสวมแบบลวกๆ ก่อนจะผลีผลามขับรถออกจากบ้านไปโดยไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้
ผ่านไปหลายชั่วโมง ทอฝันหลับไปแล้ว แต่ทอป่านยังคงนั่งรอการกลับมาของทั้งพ่อและแม่อย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรน่ากลัวรึเปล่า แต่ก็รู้สึกใจไม่ดีเลย
จนกระทั่งรุ่งเช้า กานดาจึงกลับเข้ามาในบ้านด้วยสภาพอิดโรย ใบหน้าบวมตึงเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ทอป่านรีบเข้าไปเอาน้ำเย็นๆ มาให้หล่อน ก่อนหล่อนจะนอนมึนตึงอยู่อย่างนั้นไม่พูดไม่จากับใครตลอดทั้งวัน จนบ่ายแก่ๆ หล่อนจึงได้ให้เด็กรับใช้ในบ้านไปจัดเตรียมชุดสีดำเอาไว้สำหรับทุกคน และบอกให้เด็กๆ อาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีนั้น
“คุณแม่คะ ทำไมเราจะต้องใส่ชุดแบบนี้ด้วย มันเหมือนกับชุดที่ทุกคนใส่กันตอนยายตาย”
ทอป่านถาม ในใจพอจะเริ่มรับรู้ได้เลาๆ เมื่อไม่เห็นพ่อกลับมาด้วย
กานดาเหลือบมองเด็กๆ ด้วยแววตาว่างเปล่าและลูบศีรษะของเธอทั้งสองอย่างอ่อนโยน
“พวกหนูฟังแล้ว... ทำใจดีๆ นะลูก”
“...?”
“คุณพ่อจ้ะ... คุณพ่อเสียแล้ว... พ่อบรรพตของพวกหนู ไม่อยู่กับเราแล้ว...”
“...!”
ทอป่านนิ่งอึ้งด้วยเพราะเฝ้าอุตส่าห์อธิษฐานวิงวอนไปแล้วว่าอย่าให้เป็นเรื่องจริง เด็กหญิงคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป กุมมือของน้องสาวเอาไว้แน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ แต่ขณะเดียวกันทอฝันที่โตวันโตคืนและแสนฉลาด พอได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้กระจองอแงจะหาพ่อเสียให้ได้
ทั้งหมดจึงพากันไปยังศาลาสวดศพที่มีรูปถ่ายของบรรพตเป็นเครื่องยืนยัน เขาเสียชีวิตอย่างเร่งด่วนจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อตอนไปดูงานที่ต่างจังหวัด ไม่พบแอลกอฮอล์ ตำรวจสันนิษฐานว่าเขาคงหลับใน
เมื่อมาถึงเวลานี้แล้วก็ไม่มีใครสามารถอดทนกับสิ่งเร้าภายในใจได้อีกต่อไป มีเสียงสะอื้นไห้ดังระงมไปตลอดทั้งงาน ทอป่านนั้นดูเหมือนจะหนักสุด เพราะเด็กหญิงร้องไห้จนเป็นลมล้มฟุบไป ในใจของเธอคงคิดเพียงว่า ได้อยู่ร่วมกันไม่นาน ก็มีอันต้องพลัดพรากอีกแล้ว และมันจะไม่มีวันที่ได้พบกันอีกแล้วด้วย...
เสร็จสิ้นพิธีศพไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างต้องกลับมาสู่สภาวะปกติ กานดาเองหล่อนเป็นนางแบบที่ละเวทีไปนานแล้ว เนื่องด้วยหล่อนเห็นว่าบรรพตจะมาสามารถเลี้ยงดูหล่อนไปได้ตลอดทั้งชาติ แต่สุดท้ายก็ต้องลอยเคว้งอยู่ท่ามกลางความมืดตามลำพัง หล่อนเริ่มเครียดหนักเมื่ออดีตของหล่อนผุดขึ้นในวันหนึ่ง
“มันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก?”
“ทำไมพูดจาไม่เพราะเลยล่ะที่รัก เธอไม่สงสารลูกเหรอกานดา”
หล่อนเสมองไปด้านหลังของเฉลิม เด็กหญิงตัวน้อยกำลังแอบมองหล่อน
ใช่แล้ว... นี่คือสามีและลูกของหล่อนก่อนที่จะมาตบแต่งกับบรรพต พวกเขาเลิกกันเพราะความยากลำบากที่เฉลิมไม่สามารถดูแลหล่อนได้เลย หล่อนตั้งใจจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ จึงยอมที่จะแอบส่งส่วยเป็นระยะ เพื่อที่จะปิดปากผัวเก่าตามคำขู่ แม้แสนจะเจ็บใจ แต่ก็ต้องแลกมาเพื่อความอยู่รอด และก็ดูเหมือนว่ามันจะราบรื่นดีเสียด้วย
“ต้องการอะไร?”
“ไหนๆ ผัวใหม่เธอก็ตายไปแล้ว ไม่คิดจะรับพวกเราไปอยู่ด้วยเหรอ? รู้มั้ยว่าที่เธอส่งเงินมาให้พวกเราพ่อลูกใช้น่ะ มันไม่พอยาไส้หรอกนะ แต่เพราะเห็นแก่ความรักที่เราเคยมีให้กัน ฉันถึงยอมช่วยเธอ”
“กลับไปซะ ทุกอย่างจะยังเป็นเหมือนเดิม ฉันจะส่งเงินไปให้ใช้ทุกเดือน ยังไงก็เลี้ยงลูกให้ดีๆ ล่ะ”
ว่าแล้วหล่อนก็หมุนตัวจะกลับเข้าบ้าน แต่เฉลิมก็ฉุดรั้งแขนเอาไว้ก่อน
“เธอเคยพูดเองว่าถ้ารวยแล้วจะได้มาอยู่ด้วยกัน”
“แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้!”
“กานดา...”
“กลับไปซะ”
“เธอไม่รักฉัน... ไม่สงสารลูกแล้วเหรอ”
“แม่... หนูคิดถึงแม่มากเลยนะ”
เมื่อได้ฟังสองพ่อลูกพูดอย่างนั้น สิ่งที่ถูกปกปิดภายในใจก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
จะเป็นอย่างไร ถ้าหล่อนยอมรับตัวเองว่าที่อยู่กับบรรพตและยอมทุกอย่างก็เพื่อเงิน หากแต่ผู้ชายที่หล่อนรักจริงๆ คือเฉลิม... ผู้ชายที่ไร้แก่นสารแต่ความเป็นเลิศเรื่องบนเตียงนั้นเล่า... ซึ่งหล่อนไม่สามารถสัมผัสได้จากบรรพตเลยแม้แต่น้อย...
คุณพ่อ... คุณแม่...
บรรพตได้รับการแจ้งข่าวจากชุดาเมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากจัดการกับธุระเรื่องงานจนเสร็จสิ้น เขาจึงมีเวลาได้อ่านจดหมายจากชุดาที่แจ้งผ่านนักสืบซึ่งหล่อนได้จ้างวานเอาไว้
ซึ่งชุดาก็ใช้เส้นสายทางราชการของสามีและการรวบรวมข้อมูลทางเวชระเบียนจากเพื่อนนางพยาบาลในโรงพยาบาลอื่นๆ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการค้นหาบิดาบังเกิดเกล้าของเด็กๆ ที่หล่อนเองก็พอจะรู้ข้อมูลส่วนเล็กๆ ในตัวเขา ถึงกระนั้นก็ใช้เวลานานหลายปีทีเดียว หากเขาติดต่อมาเร็วกว่านี้ อะไรหลายๆ อย่างในชีวิตของเด็กๆ คงจะดีขึ้น หล่อนเชื่ออย่างนั้นเสมอ แม้จะไม่รู้เลยว่าเหตุใดบรรพตจึงต้องทิ้งลูกไปอย่างนั้น
เมื่อการพูดคุยต่างๆ เป็นไปตามที่ทุกฝ่ายต้องการแล้ว ทอป่านและทอฝันก็ได้เข้ามาอยู่ในบ้านหลังงามของบรรพตที่กรุงเทพฯ โดยที่ชุดาก็ได้เงินค่าเลี้ยงดูไปจำนวนหนึ่ง ทั้งที่หล่อนปฏิเสธไปแล้ว แต่ทว่าสกลนั่นเองที่เป็นฝ่ายคะยั้นคะยอกึ่งบังคับให้หล่อนรับเงินนั่นมา
กลับมาที่บ้านหลังเดี่ยวซึ่งเป็นปูนซีเมนต์ทั้งสองชั้น มีบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้านให้เด็กสิบคนวิ่งเล่นกันได้อย่างสบายๆ ใหญ่กว่าของชุดาตั้งหลายเท่า ทอป่านนึกประเมินเมื่อมองไปรอบๆ ขณะที่หัวใจดวงน้อยๆ ก็เต้นรัวเพราะไม่รู้ว่าในบ้านหลังใหญ่นั้นจะมีอะไรรอต้อนรับเธอกับน้องสาวอยู่บ้าง
“สวัสดีจ้ะ”
หญิงสาวแปลกหน้าแต่รูปเครื่องสะสวยเอ่ยทักทายเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
ทอป่านละล่ำละลักมองหน้าหล่อนอย่างไม่ค่อยไว้ใจ
“เด็กๆ สวัสดีคุณแม่สิลูก”
บรรพตบอก แต่ทอป่านรู้สึกตกใจที่ได้ยินพ่อพูดแบบนั้น
แม่...
แม่ของหนูคือแม่ลินดา...
ทอป่านคิด และเข้าใจว่าน้องที่ได้ยินเหมือนกันก็คงคิดเช่นเดียวกันกับเธอ
“สวัสดีค่ะ... คุณ... แม่...”
ทั้งคำสุภาพ ทั้งสรรพนามที่ไม่เป็นจริง เด็กหญิงรู้สึกประหม่ากับผู้หญิงคนนี้
“โอย ตายล่ะคุณ ไปบังคับให้แกเรียกฉันยังงั้นได้ไงกันล่ะคะ”
‘กานดา’ ร้องครวญเมื่อฟังน้ำเสียงกระอักกระอ่วนของเด็กๆ
“อืม... เรียกพี่... ก็ดูสาวไป เรียกป้าก็ไม่ไหว งั้นให้เรียกน้าละกัน”
“ได้ยังไงกันล่ะ ทั้งสองคนนี้เป็นลูกของผม เราสองคุณอยากมีลูกด้วยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ให้พวกแกเรียกคุณว่าแม่ล่ะ”
“เอ่อ... เอาอย่างนั้นหรือคะ”
ด้วยเพราะไม่อยากให้สามีคิดว่าตัวเองรังเกียจเด็กๆ ก็เลยต้องจำยอมพร้อมรอยยิ้มอย่างเอ็นดู
“ฉัน... เอ่อ แม่... แม่ชื่อกานดาจ้ะ”
หล่อนนั่งลง แล้วลูบหัวเด็กๆ เป็นการผูกมิตร
“แม่จะเลี้ยงดูพวกหนูอย่างดีนะจ๊ะ”
ทอป่านและทอฝันยิ้มรับกานดาด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ สัมผัสพิเศษนี้ที่ไม่ได้รับมานานแสนนาน... นี่กระมัง สถานที่สุดท้ายที่พวกเธอจะใช้ชีวิตอยู่ได้ต่อไปอย่างมีความสุขและสมหวังเหมือนคนอื่นเขาเสียที...
เมื่อมาอยู่ที่บ้านของบรรพต สองพี่น้องก็เหมือนกับได้เกิดใหม่ การได้ใช้ชีวิตครอบครัวอย่างพร้อมหน้าแบบนี้ เป็นของขวัญที่วิเศษสุดแล้ว แม้ผู้หญิงที่เรียกว่าแม่ จะไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของพวกเธอก็ตาม
“ตุ๊กตาตัวนั้นเก่าแล้ว เดี๋ยวแม่จะซื้อให้ใหม่เอามั้ยจ๊ะทอฝัน”
เด็กน้อยส่ายหน้าแทนคำตอบ
“อ้าว ทำไมล่ะ?”
“ทอฝันรักตุ๊กตาตัวนี้ พี่ทอป่านทำให้ทอฝัน”
“โอ... อย่างนั้นเหรอ แล้วมันมีชื่อมั้ยล่ะจ๊ะ หือ?”
“พี่ทอป่านบอกว่า มันชื่อ มอมแมม”
ว่าแล้ว เธอก็กอดตุ๊กตาตัวนั้นเอาไว้แน่น ด้วยกลัวว่าใครจะมาพรากมันไป กานดา บรรพตและทอป่าน หัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของทอฝันอย่างนึกเอ็นดู และไม่ว่าจะไปที่ไหน เด็กน้อยก็ต้องหอบหิ้วตุ๊กตามอมแมมนี้ไปด้วยทุกครั้ง แม้จะมีของเล่นใหม่ๆ ที่ทั้งพ่อและแม่ซื้อให้ แต่เจ้ามอมแมมก็ยังไม่เคยถูกทอดทิ้งเลย
ทอป่านและทอฝันได้เข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นดีทั้งคู่ โดยมีกานดาไปรับไปส่งและดูแลเป็นอย่างดี กินอิ่มนอนหลับได้โดยไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเร่หากินเอง แถมที่บ้านก็ยังมีคนใช้คอยเรียก ‘คุณหนูๆ’ อยู่ตลอดเวลา จะไปไหนก็มีพี่เลี้ยงคอยดูแล
ส่วนบรรพตเองก็มีความสุข ที่มีลูกๆ มาอยู่ด้วย ยิ่งมองหน้าทอป่าน ก็ยิ่งเหมือนลินดาเหลือเกิน...
ย้อนกลับไปเมื่อสิบสี่ปีก่อน เขาพบรักกับลินดาตอนที่ไปเที่ยวสถานบันเทิงซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา วันที่เขาเรียนจบ เพื่อนๆ จึงพาไปเลี้ยงฉลองยังสถานที่ที่เขาไม่ค่อยจะชอบใจนัก แต่ไหนแต่ไรมา เขาเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายสำหรับพ่อแม่เสมอ และรู้จักแยกแยะได้ว่าอะไรดีชั่วได้ด้วยตัวเอง แต่กระนั้น เมื่อเพื่อนๆ หวังดีอยากให้เขาได้เรียนรู้การใช้ชีวิตวัยหนุ่ม การได้ลิ้มลองประสบการณ์แปลกใหม่ จึงไม่กล้าปฏิเสธความอุตส่าห์หวังดีของเพื่อนในครั้งนั้น
ตั้งใจเพียงว่าจะเข้าไปนั่งดื่มเล็กๆ น้อยๆ และเก็บเกี่ยวบรรยากาศพอให้ได้ตื่นเต้นเท่านั้น แต่ทว่า... เขาก็ได้พบกับลินดา... ผู้หญิงใบหน้าหมดจดเกลี้ยงเกลา แต่แววตากลับฉายแววแห่งความเศร้าสร้อย ความสงสารในครั้งนั้น ทำให้เขาอยากรู้จักกับหล่อนขึ้นมาทันที และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
บรรพตบอกให้ลินดาเลิกอาชีพนี้หลังจากเขาทั้งสองทำความรู้จักกันไม่นาน เพศสัมพันธ์ไม่ใช่ตัวเชื่อมพวกเขา หากแต่เป็นเพราะความเวทนาของบรรพตที่มีต่อลินดาต่างหาก โดยเขารับปากว่าจะเป็นฝ่ายดูแลเธอเอง
อยู่กินกันไม่กี่เดือน หล่อนก็ตั้งครรภ์ ซึ่งตรงนี้เองที่เขาคิดจะบอกให้ทางบ้านได้รับรู้ ลินดาเองก็ดีใจปลาบปลื้ม ที่ชีวิตนี้บุญพาวาสนาส่งให้ได้เจอคนดีๆ อย่างบรรพต ชาตินี้จะได้ไม่ต้องลำบากอีกต่อไปแล้ว หล่อนจะได้รับแม่มาอยู่ด้วยตามที่ได้ให้สัญญาไว้เสียที ดังนั้นแล้วหล่อนจึงพาเขาไปแนะนำกับจุลี ทำให้สองแม่ลูกต่างมีความหวังในหัวใจ
แต่ทว่า... เรือลำน้อยที่พายมาจวนจะถึงฝั่ง ต้องล่มลงกลางมหาสมุทร เมื่อหล่อนไม่เป็นที่ยอมรับในครอบครัวของเขา
ลินดาถูกต่อว่าถากถางดูถูกดูแคลนซึ่งๆ หน้า บรรพตไม่แม้แต่จะปริปากช่วยเหลือหล่อนเลย ด้วยเกรงกลัวในอำนาจของผู้เป็นบังเกิดเกล้ามากกว่า หากแต่ในใจของเขาก็ร่ำร้องออกมาเพราะความรักและความสงสารที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเมียรักได้เลย
ลินดาตัดสินใจยุติความสัมพันธ์อันแสนจะมีค่านั้นลง หล่อนเป็นฝ่ายบอกเลิกเขาและแยกตัวออกมา โดยยอมที่จะรับผิดชอบลูกน้อยในครรภ์แต่เพียงผู้เดียว ก่อนจะหวนกลับไปสู่วงการโสมมตามเดิม ในสถานที่ซึ่งหล่อนแน่ใจแล้วว่าเขาไม่มีทางตามเจอ
ตรงนั้นเองที่บรรพตเสียใจเป็นที่สุด เขารู้สึกผิดบาปในใจอย่างมหันต์ที่ปล่อยหล่อนไปอย่างนั้น เขากลับไปตามหาหล่อนที่บ้านเกิดอีกครั้ง แต่ก็พบเพียงว่าที่แม่ยายของเขาเท่านั้น เมื่อตามหาอยู่นานก็ไม่พบวี่แววของหล่อนเลย บรรพตจึงตัดสินใจกลับไปเรียนต่อที่เมืองนอกเพื่อให้ลืมเรื่องราวทั้งหมด ก่อนจะกลับมาเมืองไทยกลางครันเมื่อได้รับแจ้งว่าพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเรือสำราญล่มกลางมหาสมุทร ความสูญเสียครั้งใหญ่นี้ ทำให้เขาต้องเข้ารับการบำบัดสภาพจิตใจและนั่นเอง ที่เขาได้พบกับกานดา นางแบบสาวที่มีภาพถ่ายแฟชั่นของหล่อนออกมาอยู่เนืองๆ ทั้งสองทำความรู้จักกันไม่นาน ก่อนจะตกลงปลงใจแต่งงานกันท่ามกลางสภาพจิตใจอันเลวร้ายของบรรพต
ส่วนทางฝ่ายลินดานั้น เมื่อตีจากมาแล้ว หล่อนก็เสียใจไม่แพ้กัน แต่เพราะเมื่อได้พบเจอกับครอบครัวของเขาแล้ว ทำให้หล่อนตระหนักตัวเองได้ดีว่าไม่มีอะไรคู่ควรจะเป็นสะใภ้ของครอบครัวเศรษฐีนี้ได้เลย ทำให้หล่อนรังเกียจตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ และคิดว่าไม่ควรจะทำให้ผู้ชายที่ตัวเองรักต้องมัวหมองอีก หล่อนสกปรกเกินกว่าจะได้รับการเชิดชูในฐานะเมียแต่งจากใครทั้งนั้น
หากแต่เรื่องราวต่างๆ ล่วงเลยมากว่าสิบสามปีแล้ว บัดนี้แม้จะไม่ได้เห็นหน้าหญิงอันเป็นอดีตรัก แต่สักขีพยานรักระหว่างเขากับหล่อน ก็ได้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว แม้ทอฝันจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขาก็ตาม แต่เมื่อเด็กน้อยได้ชื่อว่าเป็นลูกของลินดา นั่นก็เท่ากับว่าเธอเป็นลูกสาวของเขาเช่นเดียวกัน
หนึ่งปีผ่านไป... ความรักและความเมตตาของบรรพต ทำให้เด็กๆ อยู่ในบ้านอย่างมีความสุขมาโดยตลอด จนกระทั่ง...
“ว่าไงนะคะ?”
ทอป่านและทอฝันหันมองไปยังกานดาที่ส่งเสียงเอ็ดตะโรขณะรับสายโทรศัพท์ หล่อนมีสีหน้าซีดเผือดไม่รู้ว่าปลายสายกำลังพูดเรื่องอะไร
“ค่ะ... แล้วฉันจะรีบไป...”
หล่อนวางสายโทรศัพท์ด้วยดวงหน้าเลื่อนลอย
“มีอะไรหรือคะคุณแม่?”
ทอป่านถาม หล่อนจ้องหน้าเด็กหญิงอยู่นานหลายนาทีโดยไม่มีคำตอบใดๆ หลุดออกมา ก่อนจะทอดถอนลมหายใจออกมาเหยียดยาว
“ทอป่าน อยู่บ้านดูแลน้อง เดี๋ยวแม่กลับมา”
พูดจบแล้ว กานดาก็คว้าเสื้อคลุมมาสวมแบบลวกๆ ก่อนจะผลีผลามขับรถออกจากบ้านไปโดยไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านี้
ผ่านไปหลายชั่วโมง ทอฝันหลับไปแล้ว แต่ทอป่านยังคงนั่งรอการกลับมาของทั้งพ่อและแม่อย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรน่ากลัวรึเปล่า แต่ก็รู้สึกใจไม่ดีเลย
จนกระทั่งรุ่งเช้า กานดาจึงกลับเข้ามาในบ้านด้วยสภาพอิดโรย ใบหน้าบวมตึงเหมือนคนที่ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ทอป่านรีบเข้าไปเอาน้ำเย็นๆ มาให้หล่อน ก่อนหล่อนจะนอนมึนตึงอยู่อย่างนั้นไม่พูดไม่จากับใครตลอดทั้งวัน จนบ่ายแก่ๆ หล่อนจึงได้ให้เด็กรับใช้ในบ้านไปจัดเตรียมชุดสีดำเอาไว้สำหรับทุกคน และบอกให้เด็กๆ อาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีนั้น
“คุณแม่คะ ทำไมเราจะต้องใส่ชุดแบบนี้ด้วย มันเหมือนกับชุดที่ทุกคนใส่กันตอนยายตาย”
ทอป่านถาม ในใจพอจะเริ่มรับรู้ได้เลาๆ เมื่อไม่เห็นพ่อกลับมาด้วย
กานดาเหลือบมองเด็กๆ ด้วยแววตาว่างเปล่าและลูบศีรษะของเธอทั้งสองอย่างอ่อนโยน
“พวกหนูฟังแล้ว... ทำใจดีๆ นะลูก”
“...?”
“คุณพ่อจ้ะ... คุณพ่อเสียแล้ว... พ่อบรรพตของพวกหนู ไม่อยู่กับเราแล้ว...”
“...!”
ทอป่านนิ่งอึ้งด้วยเพราะเฝ้าอุตส่าห์อธิษฐานวิงวอนไปแล้วว่าอย่าให้เป็นเรื่องจริง เด็กหญิงคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป กุมมือของน้องสาวเอาไว้แน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ แต่ขณะเดียวกันทอฝันที่โตวันโตคืนและแสนฉลาด พอได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้กระจองอแงจะหาพ่อเสียให้ได้
ทั้งหมดจึงพากันไปยังศาลาสวดศพที่มีรูปถ่ายของบรรพตเป็นเครื่องยืนยัน เขาเสียชีวิตอย่างเร่งด่วนจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อตอนไปดูงานที่ต่างจังหวัด ไม่พบแอลกอฮอล์ ตำรวจสันนิษฐานว่าเขาคงหลับใน
เมื่อมาถึงเวลานี้แล้วก็ไม่มีใครสามารถอดทนกับสิ่งเร้าภายในใจได้อีกต่อไป มีเสียงสะอื้นไห้ดังระงมไปตลอดทั้งงาน ทอป่านนั้นดูเหมือนจะหนักสุด เพราะเด็กหญิงร้องไห้จนเป็นลมล้มฟุบไป ในใจของเธอคงคิดเพียงว่า ได้อยู่ร่วมกันไม่นาน ก็มีอันต้องพลัดพรากอีกแล้ว และมันจะไม่มีวันที่ได้พบกันอีกแล้วด้วย...
เสร็จสิ้นพิธีศพไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างต้องกลับมาสู่สภาวะปกติ กานดาเองหล่อนเป็นนางแบบที่ละเวทีไปนานแล้ว เนื่องด้วยหล่อนเห็นว่าบรรพตจะมาสามารถเลี้ยงดูหล่อนไปได้ตลอดทั้งชาติ แต่สุดท้ายก็ต้องลอยเคว้งอยู่ท่ามกลางความมืดตามลำพัง หล่อนเริ่มเครียดหนักเมื่ออดีตของหล่อนผุดขึ้นในวันหนึ่ง
“มันตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก?”
“ทำไมพูดจาไม่เพราะเลยล่ะที่รัก เธอไม่สงสารลูกเหรอกานดา”
หล่อนเสมองไปด้านหลังของเฉลิม เด็กหญิงตัวน้อยกำลังแอบมองหล่อน
ใช่แล้ว... นี่คือสามีและลูกของหล่อนก่อนที่จะมาตบแต่งกับบรรพต พวกเขาเลิกกันเพราะความยากลำบากที่เฉลิมไม่สามารถดูแลหล่อนได้เลย หล่อนตั้งใจจะปกปิดเรื่องนี้ไว้ จึงยอมที่จะแอบส่งส่วยเป็นระยะ เพื่อที่จะปิดปากผัวเก่าตามคำขู่ แม้แสนจะเจ็บใจ แต่ก็ต้องแลกมาเพื่อความอยู่รอด และก็ดูเหมือนว่ามันจะราบรื่นดีเสียด้วย
“ต้องการอะไร?”
“ไหนๆ ผัวใหม่เธอก็ตายไปแล้ว ไม่คิดจะรับพวกเราไปอยู่ด้วยเหรอ? รู้มั้ยว่าที่เธอส่งเงินมาให้พวกเราพ่อลูกใช้น่ะ มันไม่พอยาไส้หรอกนะ แต่เพราะเห็นแก่ความรักที่เราเคยมีให้กัน ฉันถึงยอมช่วยเธอ”
“กลับไปซะ ทุกอย่างจะยังเป็นเหมือนเดิม ฉันจะส่งเงินไปให้ใช้ทุกเดือน ยังไงก็เลี้ยงลูกให้ดีๆ ล่ะ”
ว่าแล้วหล่อนก็หมุนตัวจะกลับเข้าบ้าน แต่เฉลิมก็ฉุดรั้งแขนเอาไว้ก่อน
“เธอเคยพูดเองว่าถ้ารวยแล้วจะได้มาอยู่ด้วยกัน”
“แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้!”
“กานดา...”
“กลับไปซะ”
“เธอไม่รักฉัน... ไม่สงสารลูกแล้วเหรอ”
“แม่... หนูคิดถึงแม่มากเลยนะ”
เมื่อได้ฟังสองพ่อลูกพูดอย่างนั้น สิ่งที่ถูกปกปิดภายในใจก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
จะเป็นอย่างไร ถ้าหล่อนยอมรับตัวเองว่าที่อยู่กับบรรพตและยอมทุกอย่างก็เพื่อเงิน หากแต่ผู้ชายที่หล่อนรักจริงๆ คือเฉลิม... ผู้ชายที่ไร้แก่นสารแต่ความเป็นเลิศเรื่องบนเตียงนั้นเล่า... ซึ่งหล่อนไม่สามารถสัมผัสได้จากบรรพตเลยแม้แต่น้อย...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ