ทอฝันสุดสายรุ้ง

10.0

เขียนโดย Jeremiiz

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 02.07 น.

  12 บท
  12 วิจารณ์
  20.78K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) โชคชะตาเล่นตลก (๒)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๔

          โชคชะตาเล่นตลก (๒)

 

          “ทอป่าน เก็บเสื้อผ้าซะ”

          “ทำไมล่ะคะ?”

            “อย่าถามเซ้าซี้จะได้มั้ย!”

            “คุณแม่...”

            ทอป่านตกใจเมื่อเห็นท่าทีของกานดาที่เปลี่ยนไป ที่ผ่านมาหล่อนไม่เคยตวาดใส่เธอเลยสักครั้งเดียว

            “เก็บให้หมด ทั้งของเธอและของน้อง”

            แม้จะไม่เข้าใจ แต่ทอป่านก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าตามคำสั่งอย่างว่าง่าย

            เมื่อลงมาทอป่านและทอฝันก็พบกับคนแปลกหน้านั่งอยู่ในบ้าน เป็นผู้ชายวัยกลางคนกับเด็กผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับทอฝันอีกหนึ่งคน พวกเขารื้อของจากในครัวออกมาวางบนโต๊ะรับแขกเต็มไปหมดพร้อมกับนอนกินอย่างมูมมามอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์

            “พวกเขาเป็นใครคะพี่แจ่ม”

            ทอป่านกระซิบถามสาวรับใช้

            “พี่ก็ไม่ทราบหรอกค่ะคุณหนู คุณผู้หญิงพาเขาเข้ามาน่ะค่ะ”

            และระหว่างนั้น ทอฝันที่เห็นผิดสังเกตก็วิ่งเข้าไป พร้อมตะโกนเสียงดัง

“พวกแกเป็นใคร เข้ามากินของของคุณพ่อได้ยังไง!”

สองพ่อลูกหันมายิ้มเหยียด ก่อนเด็กน้อยผู้มาใหม่ จะโยนเปลือกกล้วยที่เพิ่งกินเสร็จใส่หน้าทอฝันอย่างแม่นยำ พร้อมกับหัวเราะคิกคักด้วยความสะใจ

“พี่ทอป่าน ไล่พวกมันออกไปเร็ว มันเป็นขโมย!”

ทอฝันเข้าไปหลบหลังพี่สาวพร้อมตะโกนแหกปากอีกครั้ง

“เฮ่ย! ไอ้หนู เอ็งว่าใครเป็นขโมยวะ เดี๋ยวเถอะ!”

เฉลิมง้างมือขึ้นจะตบปากทอฝัน แต่โชคดีที่กานดาลงมาห้ามได้ทัน

“หยุดนะ! บ้ารึไง จะตบเด็กน่ะหา!”

“ก็เด็กมันปากเสียนี่หว่า”

“พวกเขาเป็นใครคะคุณแม่”

ทอป่านรีบแทรกถาม

“ก็ไม่ต้องรู้อีกนั่นแหละ ต่อไปนี้ห้ามถามเซ้าซี้อีก รู้มั้ย!”

อีกครั้งแล้ว ที่หล่อนมีท่าทีน่าหวาดกลัวต่างไปจากเดิม นี่ไม่ใช่คุณแม่กานดาคนเก่าแน่ๆ

“รีบไปซะ เดี๋ยวจะมืดซะก่อน”

แม้อยากจะถามว่าตัวเองต้องไปที่ไหนและไปทำไม แต่ก็ต้องเก็บเงียบไว้เพราะกลัวว่าจะโดนดุอีก

 

            สองพี่น้องถูกกานดาพามาที่ท่ารถโดยสาร มีคนมากมายวุ่นวายไปหมด หล่อนพาเด็กทั้งสองไปซื้อตั๋วและนั่งรอเวลารถออก

            “เราจะไปทะเลกันเหรอคะคุณแม่? คุณพ่อเคยบอกว่าจะพาเราไปทะเล”

            “นี่ ทอป่าน บอกให้น้องสาวเธอเงียบปากไปทีซิ”

            “ค่ะ...”

            เมื่อรับคำสั่งแล้ว เด็กหญิงก็หันไปพูดกับน้องสาวที่พอจะรู้เรื่องกันสองคน ทอฝันพยักหน้าอย่างเข้าใจ

            นั่งรอได้สักพัก ก็ได้เวลาออกเดิน กานดาพาเด็กๆ ขึ้นไปนั่งบนรถและซื้อขนมมากมายเอาไว้

            “ทอป่านจ๊ะ...”

            น้ำเสียงของคุณแม่กานดาคนเดิมกลับมาแล้ว

            “คะคุณแม่?”

            “หนูต้องดูแลน้องนะรู้มั้ยลูก ต่อไปนี้จะเหลือแค่ทอป่านกับทอฝันสองคนแล้วนะ”

            “คุณแม่...”

            “จะยังไงก็ช่าง แม่ขอให้พวกหนูโชคดี มีคนใจบุญรับไปอยู่ด้วยก็แล้วกันนะ”

            พูดจบ หล่อนก็ยัดเงินจำนวนหนึ่งใส่มือของทอป่านก่อนจะผลีผลามลงจากรถไป ท่ามกลางเสียงร้องเรียกของเด็กๆ ที่ตะโกนเรียกหล่อนว่า ‘คุณแม่’ ปาวๆ

            เพราะไม่มีทางเลือก... ถ้าต้องฝืนทนเลี้ยงสองพี่น้องนี้เอาไว้ต่อไป อนาคตต้องมีปัญหาแน่ๆ ค่าเลี้ยงดูเด็กสองคน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะแบกรับไปได้ตลอด และยิ่งพวกเธอไม่ใช่ลูกในไส้ของหล่อนแล้ว... จะต้องลำบากไปทำไม เด็กสองคนนั่นน่าสงสารก็จริง แต่ก็คงไม่ต่างไปจากลูกสาวของหล่อนเองหรอก เพราะฉะนั้น... คงไม่ต้องเลือก...

            “พี่ป่าน คุณแม่ไปไหนล่ะ?”

            เด็กหญิงปาดน้ำตาก่อนจะก้มมองน้องสาวด้วยความเจ็บช้ำ ขณะที่ก็ต้องยอมรับชะตากรรมเมื่อรถเคลื่อนตัวออกจากท่ารถไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว

            ทอฝันคิดว่ากำลังจะได้ไปเที่ยวทะเลและได้ไปพบคุณพ่ออีกครั้งที่นั่น เด็กน้อยยังไม่ค่อยเข้าใจว่าการพลัดพรากคืออะไร

            “คุณแม่ไปแล้วล่ะจ้ะ ทอฝันจะต้องอยู่กับพี่แค่สองคนอีกครั้ง... และต้องเป็นเด็กดีด้วยนะ“

            ทอฝันจ้องหน้าพี่สาวแล้วพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหยิบขนมขบเคี้ยวขึ้นมาใส่ปาก สำหรับเด็กน้อยแล้ว ต่อให้ต้องไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ หากข้างๆ ตัวเธอนั้นยังมีพี่สาวผู้แสนดีอยู่เคียงข้างก็อุ่นใจได้ทุกเมื่อ...

 

            สองพี่น้องไม่รู้เลยว่ารถโดยสารคันนี้จะไปสิ้นสุดจุดหมายปลายทางที่ไหน กานดาไม่ได้บอกเอาไว้ หล่อนช่างเลือดเย็นเสียจริง ปล่อยให้เด็กผู้หญิงสองคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องเผชิญโลกกว้างอันเต็มไปด้วยอันตรายตามลำพัง

            เมื่อรถจอดสนิท ทอฝันก็เดินตามพี่สาวลงจากมาจากรถ ที่นี่คือที่ไหน มีคนพลุกพล่านเหมือนกับที่ที่แม่กานดาพามาเลย มองขึ้นไปก็เห็นพี่สาวยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น หันซ้ายแลขวาด้วยความสับสน

            “พี่ป่าน ฝันปวดฉี่”

            เห็นน้องยืนบิดไปบิดมา ทอป่านก็จำต้องพาไปเข้าห้องน้ำทั้งที่ยังคงสับสน และเมื่อเดินออกมาหลังจากเสร็จธุระแล้ว ทอป่านก็ต้องดีใจเมื่อพบกับใครคนหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ

            “ป้านก!”

            เด็กหญิงไม่รอช้าตัดสินใจตะโกนเรียกแม่ค้าขายปลาคนคุ้นตาที่พบเจอกันบ่อยๆ ตอนเร่ขายพวงมาลัยในตลาด แม้จะไม่ใช่คนที่อยู่ในละแวกบ้านเดียวกันแต่ก็พออุ่นใจที่จะขอความช่วยเหลือได้

            “อ้าว! ทอป่าน... เป็นไงมาไงล่ะเนี่ย ได้ข่าวว่าไปอยู่กับพ่อไม่ใช่เร๊อะ”

            “เอ่อ คือ...”

            “นี่คงกลับมาเยี่ยมบ้านล่ะสิ ไหนพ่อเอ็งล่ะ”

            หญิงวัยกลางคนฝีปากจัดจ้าน ชะเง้อคอมองไปรอบๆ

            “ไม่ได้มาหรอกจ้ะ ป่านมากับน้องสองคน”

            “เอ้อ เก่งนี่ อยู่ดีกินดีแล้วก็ไม่ลืมบ้านเกิด ตัวแค่นี้รู้จักมาเที่ยว”

            ทอป่านยิ้มแห้งๆ ด้วยเพราะไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้

            “เอ่อ ป้าช่วยพาป่านไปที่ตลาดหน่อยได้มั้ยจ๊ะ”

            “ได้สิ ข้าก็กำลังจะไปพอดี”

            ทอป่านยิ้มดีใจด้วยความหวัง อย่างน้อยพอไปถึงตลาดแล้ว ก็พอจะจำทางกลับไปที่บ้านได้ แม้ยายจะไม่อยู่แล้ว แต่น้าชุดายังอยู่... น้าชุดาจะต้องช่วยเหลือเธอได้แน่ๆ

            แต่ทว่าเมื่อระเห็จระเหินมาจนถึงบ้านของคนที่คุ้นเคยแล้ว กลับพบเพียงความว่างเปล่า ไม่ว่าจะกดกริ่งหรือตะโกนเรียกเท่าใด ก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ออกมา

            “น้าชุดาคะ นี่ทอป่านเองค่ะ!”

            “โอย ตะโกนเรียกก็ไม่มีใครออกมาหรอกนังหนู บ้านนั้นเขาย้ายออกไปเป็นเดือนแล้ว!”

            ได้ฟังคำเฉลยของบุรุษนิรนามที่เดินผ่านไป ก็แทบอยากจะทรุดลงตรงหน้าประตูเสียให้ได้ ความหวังทั้งหมดพังทลายลงแล้ว ไม่มียาย ไม่มีน้าชุดา... จะทำอย่างไรต่อไปดี

            ทอป่านพานอกออกมาจากบ้านหลังที่เคยพักพิงนั้น และรอนแรมไปเรื่อยๆ หากจะแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ก็เกรงจะไม่สะดวกใจนัก ถึงแม้จะเคยรู้จัก ทักทายพูดคุย แต่ก็ไม่มักจี่ถึงขนาดขอที่พักหลับนอนได้

            นี่ก็เย็นมากแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าคืนนี้จะไปนอนหลบน้ำค้างที่ไหนเลย แต่ฉับพลัน เด็กหญิงก็คิดถึงบ้านที่ตัวเองเคยอยู่ เพิงเล็กๆ ที่ตอนเด็กๆ เคยลำบากมากับยาย ถ้าไปนอนในนั้นอาจจะไม่มีใครว่าอะไรได้

            เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ทอป่านก็จูงมือนอนไปยังเป้าหมายด้วยความหวังเล็กๆ ที่ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แต่พอไปถึง ความหวังนั้นก็ถูกกลบจนมอดไปด้วยกองปูนซีเมนต์และกองทราย บ้านหลังใหม่กำลังถูกสร้างทับบ้านหลังเก่าของพวกเธอ

            “ทอฝันเหนื่อยมั้ย?”

            เด็กหญิงก้มลงถามน้องสาวที่เดินตามไปทั่วทุกทิศอย่างไม่งอแง ใบหน้าของเด็กน้อยแดงก่ำ และมอมแมมไปด้วยคราบเหงื่อไคลไม่ต่างไปจากตุ๊กตามอมแมมที่เธออุ้มอยู่เลย

            “นั่งพักก่อนเถอะ”

            ว่าแล้วสองพี่น้องก็นั่งลงยังฟุตบาทใต้ร่มไม้ที่หน้าเขตก่อสร้างของบ้านหลังนั้น

            “หิวข้าวรึยัง?”

            ทอฝันพยักหน้าน้อยๆ

            “งั้นนั่งรอพี่อยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวจะไปซื้ออะไรมาให้กิน ห้ามไปไหนเด็ดขาดนะ”

            ทอป่านกำชับ เด็กน้อยพยักหน้าอีกครั้ง

            เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว ทอป่านก็กำธนบัตรใบละหนึ่งร้อยบาทที่กานดายัดใส่มือไปซื้อของกินมาให้น้องและตัวเอง เธอชั่งใจอยู่นานว่าเงินร้อยบาทนี้จะต่อชีวิตพวกเธอไปได้อีกสักกี่วัน เมื่อนึกถึงความจำเป็นในอนาคตแล้ว จึงตัดสินใจซื้อข้าวมาเพียงกล่องเดียวและแบ่งกันกินสองคนพี่น้อง

            จวบจนเมื่อพลบค่ำ คนงานก่อสร้างต่างทยอยกลับกันไปหมดแล้ว ทอป่านจึงแอบพาน้องเข้าไปข้างในเพื่อขอใช้ที่เป็นหลับนอนชั่วคราว อย่างน้อยพื้นที่ตรงนี้แต่เดิมก็เคยเป็นของพวกเธอล่ะนะ

            “พี่ป่าน ในนี้ร้อนจัง ฝันนอนไม่หลับ”

            “งั้นเหรอจ๊ะ”

            เห็นน้องไม่สบายตัว ทอป่านจึงลุกขึ้นเดินหาสิ่งของที่พอจะโบกเรียกลมได้บ้าง โชคยังดีที่บริเวณนั้นมีกล่องกระดาษที่ใช้แล้วอยู่ใบหนึ่ง เธอจึงนำมาพับให้แบนแล้วโบกพัดให้น้องสาว

            “ดีขึ้นรึเปล่า?”

            “อื้ม”

            “คืนนี้ทนนอนในนี้ไปก่อนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่สัญญาว่าจะหาที่นอนที่ดีกว่านี้ให้”

            ถึงจะให้สัญญาไปแบบนั้น แต่ก็ไม่รู้เลยว่าจะทำได้จริงๆ รึเปล่า มันช่างทรมานใจเหลือเกิน...

            “พี่ป่าน ฝันคิดถึงคุณพ่อ...”

            “...”

            “พี่ป่านบอกว่าตอนนี้คุณพ่อไปอยู่บนฟ้า แล้วเมื่อไหร่คุณพ่อจะกลับมาหาเราอีกล่ะ”

            “โธ่... ทอฝัน...”

            “ฮึก...”

            ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ของน้องสาว ตัวเองก็มิอาจอัดอั้นมันไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ถ้าคุณพ่อไม่ด่วนจากไป ชีวิตของพวกเธอก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ คุณพ่อจากไป โดยไม่แม้แต่จะมีคำสั่งเสียใดๆ ออกมาด้วยซ้ำ...

            สองพี่น้องนอนกอดกันร้องไห้ในคืนนั้น ท่ามกลางความมืดในบ้านที่ไร้ซึ่งความมั่นคง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ไม่มีประตู ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ และ... ไม่มีพ่อแม่... ความวังเวง อ้างว้าง ความโดดเดี่ยวเดียวดาย ช่างโหดร้ายเหลือเกิน...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา