Supernatural:Spin Off

4.8

เขียนโดย รถขนมปังกรอบ

วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23.31 น.

  3 chapter
  10 วิจารณ์
  9,522 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) At the end of the beginning(Part 2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
                มิ้ลเชคที่เพิ่งดูดค้างในปากแก้เก้อเมื่อสักครู่กลายสภาพเป็นของแข็งขึ้นทันที ฉันกล้ำกลืนลงไปอย่างยากลำบาก คล้ายจะสำลักเสียให้ได้ หลังจากที่ฉันฝืนใจกระเดือกมันลงคอสำเร็จ ฉันก็รีบถามย้ำทันที
                “เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?”
                “แวมไพร์ไง คิดว่าไงล่ะ มีจริงหรือเปล่า?” เอ็ดย้ำคำถาม แน่นอนว่าด้วยสีหน้าซูบซีดจริงจังอย่างที่สุด
                “เอ่อ..ก็..” ฉันเว้นช่วง คิดวนเวียนวุ่นวายในสมองอย่างหนัก คือจริงแล้วตามนิยามที่พวกภาพยนตร์หรือนิยายประโลมโลกต่างๆให้มา ความเป็นแวมไพร์ ก็ดูจะประหลาดพอๆกับสภาพที่เป็นอยู่ของฉันทีเดียว ซึ่งถ้าสิ่งนี้มันเกิดกับฉันได้จริง แล้วทำไมแวมไพร์จะไม่มีจริง
                แต่จะยังไงดีล่ะ คือฉันเป็นพวกเชื่อยาก แถมยังไม่เคยเจอแวมไพร์ตัวเป็นๆนี่นา อีกอย่างฉันก็ไม่รู้ว่าตานี่จะมาไม้ไหน ถึงดึงเอาหัวข้อแบบนี้มาคุยเป็นจริงเป็นจัง
                “ก็... แบบ ฉันไม่ใช่พวกที่เชื่อเรื่องแบบนี้... เท่าไรนัก” ฉันตอบอ้อมแอ้ม
                 เอ็ดเลียริมฝีปาก นัยน์ตาวาววาม ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนน่ากลัว เขาขยับตัวโน้มเข้ามาใกล้ฉันอย่างกระตือรือร้น
                “แฮรี่ ฉันคิดว่าบรีถูกแวมไพร์ฆ่าตายนะ”
                “โว้ว..” ฉันร้องเบาๆ อย่างไม่รู้จะตอบรับประโยคนั้นอย่างไร “เจ๋งเป้ง... คือ เอ็ด ..นายเคยไปพบที่ปรึกษาจิตวิทยาบำบัดวัยรุ่นมั้ย? เขามีคลินิกในตัวเมืองนะ เขาใจดีมากๆ.. ฉันจะให้นามบัตรเขาไว้ละกัน.....”
                “ให้ตายเถอะ! ฉันไม่ได้บ้านะ!” เขาตบโต๊ะดังปัง...
                ทั้งร้านสวินี่ไดเนอร์ตอนนั้นมีคนไม่มาก นับเขา ฉัน รวมสาวเสิร์ฟและคนครัวมีไม่ถึงสิบชีวิต ตอนนี้ทั้งสิบชีวิตต่างเงียบกริบพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย คนทั้งร้านหันมองโต๊ะของฉันเป็นตาเดียว พ่อครัวคนหนึ่งถึงกับเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ จนฉันหันไปยิ้มแล้วบอกขอโทษอย่างสุภาพนั่นแหละ เขาจึงถอยกลับไปประจำที่เดิม
                “เอ็ด..ใจเย็นๆนะ สมมติว่าแวมไพร์มีจริง...” ฉันเริ่ม หลังจากถอนหายใจเรียกความผ่อนคลายไปครั้งหนึ่ง “คิดดูนะเอ็ด ฉันเป็นคนที่อยู่ตรงนั้น....คือ ที่ฉันเห็น บรีเลือดออกมาก.. มากๆ ... แล้วมันจะมีเหตุผลอะไรที่แวมไพร์จะกัดคอบรี แล้วปล่อยเลือดอร่อยๆไหลเจิ่งนองขนาดนั้น....ฮึ?”
                ฉันยกเหตุผล ซึ่งคิดอีกทีก็น่าสงสัย หากเป็นเผ่าพันธุ์ดูดเลือดจริงๆ และอ้างอิงจากความกระหายหิวของฉัน มันก็ไม่น่าปล่อยของอร่อยๆไหลทิ้งนองพื้นขนาดนั้นนี่นา
                อย่างไรก็ตามเอ็ดเริ่มคล้อยตาม ฉันจึงพูดต่อ
                “แล้วแผลของบรี ....ที่ต้นคอ มันไม่ใช่รอย....กัด...แบบกัดธรรมดานะ เนื้อมันหลุดหายไปก้อนนึงเลย.. ซึ่งถ้าถามฉันนะ.. อะไรก็ตามที่ทำบรี ต่อให้เป็นแวมพ์ด้วยเอ้า... ไม่น่ามีจุดประสงค์แค่ตื้นๆอย่างแค่หาอาหารหรือทำร้ายเฉยๆหรอก แต่น่าจะจงใจ ‘ฆ่า’ อย่างเต็มที่เลยล่ะ”
                “เธอคิดอย่างนั้นเหรอ...?”
                “ชัวร์สิ..” ฉันยืนยันเสียงสูง
                เอ็ดโน้มตัวมาใกล้ฉันอีกครั้ง แล้วลดเสียงต่ำลงเหมือนกระซิบ
                “ฉันจะเล่าอะไรให้เธอฟังนะแฮรี่...” เขาเริ่ม “มันเริ่มจากเมื่อสัปดาห์ก่อน เรามีปาร์ตี้กันที่บาร์เอททิล ปาร์ตี้ของพวกเด็กเชียร์ลีดเดอร์น่ะ เธอรู้ใช่มั้ย?”
                 “จริงๆฉันไม่รู้หรอกเอ็ด ฉันมันพวกนอกวงโคจร แต่จะอะไรก็ตาม เล่าต่อเถอะ ได้โปรด..”         
                “ฉันกับบรีเรา..แบบว่า มึนๆกันนิดหน่อย ก็เลยชวนกันออกไปข้างนอก แล้ว..เธอก็รู้ เราเป็นแฟนกัน แล้วมันมีตรอกข้างร้าน... แบบ ค่อนข้าง.. เปลี่ยว... แล้วบรีก็.. แต่งตัวสวย เราเลยคิดจะลองอะไรใหม่ๆ...”
                “ได้โปรด” ฉันรีบขัดจังหวะ “... อย่าลงรายละเอียดเลยนะ ... ขอร้อง”
                “โอเค..” เอ็ดรับคำ ด้วยแววประหลาดใจนิดๆ “เรื่องของเรื่องก็คือ ระหว่างที่เรากำลัง แบบ..นัวเนีย มันมีพวกนักเลงกลุ่มหนึ่งมาเห็นเข้า คือเราก็ไม่เคยรู้ ว่าแถบนั้นมีผู้คุ้มครองอะไรเทือกนี้ด้วย พวกมันมาจากไหนก็ไม่รู้มาถึงก็ล้อมกรอบ ท่าทางมันสนใจบรีมาก ก็ตอนพวกเรากำลังยื้อยุดกันกับพวกมันอยู่นั่นแหละ พวกนั้นก็โผล่มา”
                “พวกนั้นพวกไหน?” ฉันถาม
                “ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นคนแถบนั้น แบบ คู่อริต่างแก็งค์ แต่มันไม่ใช่ .. พวกนี้แต่งตัวประหลาด เหมือนไม่ใช่คนในพื้นที่ มากันสี่ห้าคน ใส่แจ็กเก็ตหนัง รองเท้าบู้ท เจาะหน้า เจาะจมูก อะไรเทือกๆ..”
                “เหมือนพวกแก็งค์ซิ่งเหรอ?” ฉันรับถาม ใจนึกไปถึงเจ้าตัวเขมือบสามมิติที่ฉันตะครุบได้ข้างโรงเรียน เจ้านั้นก็ใส่แจ็กเก็ตหนัง และเจาะหูหลายๆรูเหมือนกัน
                “ใช่ เหมือนพวกแก๊งค์ซิ่ง พอมาถึงมันก็บอกให้ปล่อยพวกเราซะ แต่พวกนักเลงนั่นไม่ค่อยสบอารมณ์ เถียงกันอยู่สองสามคำ ไอ่นักเลงเจ้าถิ่นคนหนึ่งเลยชักปืนออกมา”
                “พวกนายไม่วิ่งหนีล่ะ”
                “ฉันกับบรี คือเรากลัวจนเข่าอ่อนน่ะ ก็เลยหลบๆไปซะแล้วก็ซ่อนอยู่ใกล้ๆ ยังไงก็ตามเถอะ ไอ้เจ้านักเลงคนนั้นก็ยิงไปนัดหนึ่ง โดนเจ้าพวกหน้าใหม่คนหนึ่งเต็มพุงเลย แต่ไอ้คนนั้นมันกลับทำเฉย เหมือนไม่เจ็บไม่คันอะไรเลย...”
                “เอ็ด ในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่า เสื้อเกราะกันกระสุนอยู่นะ”
                “ฟังก่อนสิ ไม่ใช่แค่นั้นน่ะ คือ.. หลังจากพวกนั้นเปิดฉากยิง เจ้าพวกนังเลงเจ้าถิ่นก็พากันตะลุมบอน ฉันไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแต่งเสียงโครมคราม จนเจ้าแก็งค์ซิ่งคนหนึ่งมันเตะนักเลงมาทางเรา หัวมันชนถังขยะแตกเลือดซิบ.. แล้ว..”
                เอ็ดหยุด หายใจเข้าออกโดยแรงสองสามทีก่อนเล่าต่อ
                “ฉันกับบรี เราเห็นเต็มตา ไอ้เด็กแวนซ์นั่น มันรวบหมอนั่นไปติดกำแพงแล้วมันก็อ้าปาก แล้ว.... ฟัน...แบบหลายสิบซี่เลยงอกๆออกมาจากเหงือกเหมือนไส้เดือนโผล่ออกมาจากดิน แล้วมันก็งับบั่บเข้าให้ที่ต้นคอหมอนั่น”
                ฉันอ้าปากค้าง พอจะนึกภาพออก คือ... นึกออกถึงแค่ตอนที่มันอ้าปากฟันงอกน่ะนะ หลังจากนั้นก็ช่างมันเถอะ...
                หลังจากที่ฉันตั้งสติกับข้อมูลใหม่ของตัวเขมือบได้บ้าง ฉันก็ถามต่อ
                “แล้ว... ไงต่อ”
                “เจ้าพวกเพื่อนแว๊นซ์ของหมอนั่นมาจับแยก ไอ้เจ้าคนที่โดนงับเข้าไปงี้ตัวซีด หน้าซีด ทรุดฮวบเลย ฉันได้ยิน พวกนั้น... พวกเด็กแว๊นซ์มีฟันน่ะ เถียงกันสองสามประโยค ก่อนที่พวกมันจะเห็นฉัน”
                “พวกมันเห็นนาย? แล้วพวกมันทำไง?”
                “มันไม่ไง มันก็เลยรีบหนีไป แต่แฮรี่..” เอ็ดกลับมาสู่โหมดหวาดระแวงอีกครั้ง “ฉันว่าพวกมันต้องตามมาฆ่าบรีแน่ แย่แน่... คนต่อไปต้องเป็นฉัน ... เป็นฉันแน่ๆ... มันกะจะปิดปากเราสองคน...ฉัน..”
                “เอ็ด! ใจเย็น!” ฉันเอื้อมมือไปจับแขนเขาเขย่าอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็ได้ผล ดูเขาสงบขึ้นระดับนึง ฉันจึงฉวยโอกาสพูดต่อ
                “ฟังนะ.. ฉันจะถามนายบางอย่าง อยากให้นายตอบฉันอย่างตรงไปตรงมา โอเค๊?”
                เอ็ดพยักหน้าอย่างมั่นคง
                “พวกมัน... พวกแวมพ์ เห็นนายกับบรีที่ตรอกนั่นด้วยใช่ไหม?”
                “เห็น.. อือม์... เห็นแน่.. คือ..แบบ..”
                “โอเค..” ฉันรีบตัดบทเมื่อคำตอบเริ่มจะยาวเกินความจำเป็น “มันรู้ด้วยว่านายเห็น...เอ่อ...ฟัน...แล้วก็เห็นมัน.. แบบ..ดูดเลือด? อะไรอย่างนั้นใช่ไหม?”
                “อือม์... ฉันคิดว่างั้น?...เห็นสิ.. เห็นชัวร์”
                “แต่พวกมันก็หนีไปเฉยๆแล้วก็ปล่อยพวกนายไว้.. ถูกมั้ย?”
                “ใช่...ใช่..”
                “เอ็ด.. ถ้าพวกมันจะฆ่านายกับบรี ทำไมมันไม่ทำในตรอกนั่นล่ะ.. พวกมันมีมากกว่าสอง ..พวกนายมีกันแค่สอง.. มันจะรอมาเก็บที่โรงเรียนให้เอิกเกริกทำไม?”
                “แต่..แต่ว่า...”
                “ใช่ป่ะล่ะ ถ้าพวกมันคิดจะปิดปากหรืออะไร.. ก็น่าจะทำได้ตั้งแต่ตอนนั้นนี่”
                เอ็ดนิ่งไป เขาทำหน้างงงวยเหมือนคิดสะระตะ จนสุดท้ายก็หันมามองหน้าฉันอย่างสับสน
                “เอ็ด..” ฉันพูดต่อ อย่างจริงจัง “นายต้องการที่ปรึกษาทางจิตวิทยาบำบัดจริงๆนะ อย่างเร็วด้วย.. มานี่มา”
                ฉันยื้ออุ้งมือนักกีฬาอันใหญ่โตของเขามาข้างหน้า เอื้อมมือควักปากกาของตัวเองขึ้นมาแล้วจดเบอร์โทรตัวเองลงไป จากนั้นก็หยิบนามบัตรเจ้าของคลินิกที่ฉันไปยัดใส่มือนั้นไปด้วย
                “เบอร์ฉัน กับนามบัตรที่ปรึกษา ฉันก็เพิ่งเสียพ่อไป ฉันรู้ว่ามันยากขนาดไหน ถือว่าฉันเป็นเพื่อนนาย ช่วยไปตามที่อยู่นี้ก็แล้วกันนะ โอเค๊?”
                เอ็ดเลียริมฝีปากอันซีดแห้งอีกครั้ง เขาพูดว่า “แฮรี่ ฉันไม่ได้บ้านะ ไม่ได้โกหกด้วย”
                “ฉันรู้” ฉันพูดตรงๆ “ฉันเชื่อนาย และไม่ได้คิดว่านายบ้า แต่แค่อยากให้นายสบายใจขึ้น.. ก็เท่านั้น.. เอางี้ดีกว่า.. ถ้านายเจอพวกแวมพ์นั้นอีก ก็โทรหาฉัน.. ฉันจะ... ไปช่วย หรือตามคนไปช่วยหรืออะไรก็ตาม เต็มที่เลย โอเคนะ?”
                 “โอเค... ขอบคุณนะแฮรี่”
                “ได้เสมอ..” ฉันยิ้มรับ กำลังจะเก็บของใส่กระเป๋าเป้ตามเดิม แต่กลับฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง
                “เดี๋ยวนะเอ็ด.. เมือ่กี้นายบอกว่าพวกมันเถียงกันด้วยนี่ นายพอจะจำได้ไหมว่าพวกมันเถียงกันเรื่องอะไร?”
                “อ้อ.. ฉันฟังไม่ค่อยเข้าใจหรอก ตัวนึงมันพูดกับเพื่อนมันประมาณ ‘นักล่าจะได้กลิ่นเราเพราะนาย’ อะไรทำนองนี้แหละ”
                “อ้อ...” ฉันพยักหน้ารับรู้ พยายามวางสีหน้าเป็นปกติที่สุด ก่อนระเร่งมือเก็บกระเป๋าเป้อย่างรวดเร็ว บอกตรงๆฉันอยากไปจากตรงนี้ใจจะขาดอยู่แล้ว แค่ข้อมูลที่ฉันได้รับรู้มานี่ก็ทำให้ปวดหัวจะแย่อยู่แล้ว อีกอย่าง.. ตั้งแต่เมื่อคืน ฉันยังไม่ได้แตะเลือดสักหยด จนคอแห้งเป็นผง ในอกร้อนรุมๆ ดีนะที่ฉันหยิบถุงเลือดที่บ้านติดมาในเป้สองถุง คิดว่าอีกไม่นานคงต้องหาที่เงียบๆดับกระหายสักนิด
                ฉันย้ำกับเอ็ดก่อนจากมาให้โทรหาที่ปรึกษา และโทรหาฉันด้วย แปลกดี ตอนนี้ฉันมีเพื่อนเป็นนักกีฬาโรงเรียนอย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากหลุดวงโคจรทางสังคมมาตลอด
                ฉันฉวยจักรยานที่จอดไว้ข้างร้าน มองเข้าไปในสวินี่ไดเนอร์ผ่านกระจกหน้าร้าน เอ็ดยังนั่งอยู่ที่เดิม ก้มหน้าพิจารณาเบอร์โทรบนฝ่ามือของเขาเหมือนตัดสินใจไม่ได้ว่าจะลบมันออกหรือจะเก็บมันไว้ดี สุดท้ายเขาก็ยัดมือข้างนั้นใส่กระเป๋าเสื้อ
                ฉันยิ้มให้ท่าทางของเขาเงียบๆคนเดียว เคยคิดกับตัวเองเล่นๆว่าหากฉันมีเพื่อนเป็นพวกนักกีฬาพวกป็อบปูล่าหรืออะไรเทือกนั้นมันจะเป็นยังไงหนอ เอาเข้าจริงก็คนพวกนั้นก็ดูไม่ได้ผิดปกติไปจากเดซี่สักเท่าไร ดูหลุดๆล้นๆเหมือนๆกันกับฉันและเดซี่ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
                ว่าไปฉันก็สงสัยเรื่องที่เอ็ดเล่าอยู่ไม่น้อย แวมไพร์ นักเลง ดื่มเลือด และบรี เรื่องราวที่เหมือนเปิดฉากหนังละเลงเลือดเกรดบี โอเค.. ฉันยอมรับแล้วก็ได้ จากที่ฉันเคยเห็นตัวเขมือบในระยะประชิด และเรื่องที่เอ็ดเล่ามันตรงกันอย่างประหลาด แต่จากอาการของเอ็ดที่ดูหลุกหลิกแล้วก็..เอ่อบาดเจ็บทางจิตใจนิดหน่อย อาจทำให้เรื่องมันบิดเบือนจากความเป็นจริงได้เล็กน้อยเช่นกัน ต่อให้เรื่องทั้งหมดเป็นความจริงทุกเม็ด มันก็ออกจะเห็นได้ชัดว่าพวกแวมพ์พวกนั้นไม่ชอบเปิดเผยตัวต่อสาธารณะชนเท่าไรนัก แล้วเรื่องอะไรพวกเขาจะทำการเอิกเกริกอย่างฆ่าเชียร์ลีดเดอร์สาวในโรงเรียนล่ะหรือ
                ฉันคิดตลบไปมาระหว่างขี่จักรยานออกมาจากที่นั่น ข้ามทางรถไฟจะเป็นสามแยก เลี้ยวไปด้านขวาอีกยี่สิบนาที่ถึงจะถึงโรงเรียน ในขณะที่ด้านซ้ายอันเป็นทางเข้าย่านเริงราตรีของเมืองเริ่มเปิดไฟบ้างแล้ว ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบหกโมง ฉันหิวเลือดจนแสบคอ แถมยังคิดขึ้นได้ว่าบาร์เอททิลที่เป็นต้นเรื่อง อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก ลองไปสำรวจดูหน่อยมันจะเสียหายอะไร ฉันจึงตัดสินใจเลี้ยวซ้ายเข้าไปในย่านท่องเที่ยวกลางคืนแทนที่จะกลับบ้าน
                บาร์เอททิล เป็นบาร์ที่ค่อนข้างผู้ใหญ่ ตั้งลึกเข้าไปจนเกือบสุดถนน เด็กๆที่มาเที่ยวจะมากันเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่ค่อยมีใครกล้ามาคนเดียว บรรยากาศในร้านถูกตกแต่งเป็นสไตล์ร็อคยุคเก่า ลูกค้าบางส่วนเป็นพวกขีฮาเล่ย์หรือชอปเปอร์ กลิ่นบุหรี่กลิ่นเหล้าแรงๆโขมงไปหมด ฉัน..ที่ตอนนี้อยู่ในชุดกางเกงยินส์เสื้อยืดธรรมดาและสะพายเป้อย่างเด็กไฮสคูลทั่วไป ถือเป็นของแปลกปลอมในร้านเลยทีเดียว
                แม้กระนั้นฉันก็ยังก้าวเข้าไปอย่างมั่นคง ถามหาห้องน้ำจากบาร์เทนเดอร์เคราเฟิ้ม ซึ่งเขาก็ฉีกยิ้มให้ฉันทันทีที่ได้ยิน
                “คิดว่าเด็กๆอย่างหนูมาทำอะไรที่นี่ซะอีก ที่แท้ก็มาเข้าห้องน้ำ”
                เขาบอกอย่างยิ้มแย้ม ฉันพาตัวเองเข้าไปด้านใน เข้าห้องน้ำ ปิดประตูลงกลอน แล้วรีบเอาถุงเลือดจากในเป้ออกมาถุงหนึ่ง ฉีกซองแล้วยกซดทีเดียวหมดถุง ความอุ่นและกลิ่นคาวหวานคุ้นลิ้นกำซาบไปทั่วท้อง  ฉันหยิบกระจกออกมาเช็คสภาพตัวเอง ปาดนิ้วเช็ดเลือดที่มุมปากจนสะอาด มั่นใจว่าไม่มีหลักฐานหลงเหลือแล้วก็พับถุงเลือดเปล่าๆยัดใส่กระเป๋าเป้ แล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ
                ขาของฉันกำลังจะก้าวพ้นทางเดิน หูก็ได้ยินเสียงหนึ่ง
                “บ้าเอ๊ย!.. เบน นายต้องโกงฉันแน่ๆ”
                เสียงนั้นสะดุดหูจนฉันขาของฉันชะงักกึก สัญชาตญาณบอกให้ฉันถอยฉากเข้ามุมอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ฉันจะจำได้ซะอีกว่าฉันเคยได้ยินเสียงนี้จากที่ไหน ซึ่งไม่ยากเลย คำตอบมันลอยมาในไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ
                สำเนียงยุโรปนิดๆ เสียงทุ้มต่ำปนแหบๆ วิธีพูดว่า ‘บ้าเอ๊ย’ อย่างมีเอกลักษณ์
                เสียงเจ้าตัวเขมือบสามมิติที่ฉันรวบได้เมื่อคืนนี่นา!
                พอคิดได้ฉันก็รีบยืนยันคำตอบ ฉันพยายามโผล่หัวไปดูต้นเสียงจากมุมของฉัน ไม่กี่นาทีที่ฉันเข้าห้องน้ำ บาร์เอททิลคนเยอะขึ้นกว่าหนี่งเท่าตัว แต่ความเบียดเสียด และเสียงดนตรีจากตู้ดนตรี ก็ไม่เป็นอุปสรรค ไม่สำหรับฉัน ฉันกวาดตามองรอบเดียว เจ้าตัวเขมือบตัวดีก็อยู่ในสายตา เด่นเป็นสง่าจนน่าตกใจ
                หมอนั่นใส่เสื้อผ้าชุดคล้ายเดิม แจ็กเก็ตหนังยาวๆตัวเดิม เขารูปร่างสันทัดแต่ดูแข็งแรง ตาคมประกายวาววับสีเขียวล้อกับแสงนีออน ดูตัดกับผิวสีซีดๆ ผมสีดำสั้นๆยุ่งเหยิง และตุ้มหูที่ใส่เสียข้างละหลายคู่จนดูเกินความจำเป็น แต่วันนี้หน้าตาเขาไม่ได้ขึงขังและมีฟันเป็นแถบอย่างที่ฉันจำได้ เขาวนเวียนอยู่แถวโต๊ะบิลเลียด ถือไม้คิวพาดกับไหล่อย่างผ่อนคลาย ยิ้มในหน้าอวดฟันขาว(ซึ่งดูปกติดี)ให้คู่ต่อสู้ที่ดูเหมือนจะสนิทกันดีเป็นระยะ
                ฉันแอบอยู่ในมุมมืด จากตรงนี้ไม่มีทางที่จะเดินออกไปจากบาร์โดยที่เขาไม่สังเกต ระหว่างที่ฉันคิดโน่นคิดนี่อยู่นั้น เจ้าตัวเขมือบก็ถึงคิวเล่น เขาตีลูกอย่างสบายๆ ก่อนวางเงินลงบนโต๊ะบิลเลียตด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยกมือตบบ่าคู่ต่อสู้ไปสองทีอย่างเพื่อนอำลาเพื่อน ก่อนจะวางไม้คิว แล้วค่อยๆหันหลังเดินออกไป
                ฉันคิดในใจว่า หากรอให้หมอนั่นออกไปจากบาร์แล้ว ฉันคงจะออกจากที่นี่ได้อย่างสวัสดิภาพด้วยความง่ายดายที่สุด แต่สัญชาตญาณเจ้ากรรมดูเหมือนจะไม่เล่นด้วยอีกครั้ง จู่ๆฉันก็มีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ‘ฉันต้องตามหมอนี่ไป ต้องตามไปเดี๋ยวนี้’ ฉันตัดสินใจเดินตามเจ้าตัวเขมือบนั่นออกไปทั้งที่ยังสับสนนิดหน่อย
                พอหมอนั่นลับหายจากประตูแกว่งหน้าบาร์เอททิล ฉันจึงสาวเท้ายาวๆลอบตามออกไปเงียบๆ
                ฉันไม่เคยสะกดรอยตามใคร แต่ก็พอจะรู้ว่าควรกำหนดระยะห่างไว้พอควร ฉันแกล้งเดินเรื่อยเปื่อยไปอีกทางเพื่อไม่ให้เขาสังเกต พอหลังหมอนั่นลับหายไปที่มุมตึก ฉันค่อยย่องตอดตาม ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลพอควร หมอนั่นนเดินดุ่ยๆอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน ฉันได้ยินเสียงผิวปากหวือเป็นทำนองเพลงต่างชาติเป็นระยะด้วยซ้ำ
                เจ้าตัวเขมือบเดินลัดเลาะไปตามถนนจนสุดทาง และหายเข้าไปในตึกร้างแห่งหนึ่ง
                เป็นอีกที่หนึ่งที่ฉันควรจะหยุดฝีเท้า และคงจะถอยทัพ แต่ฉันกลับคิดอย่างย่ามใจ ไหนๆก็มาขนาดนี้แล้ว ตามต่ออีกสักหน่อยจะเป็นไร ฉันอยู่ในสภาพอย่างนี้แล้ว ใครจะทำอะไรฉันได้...
                ฉันตามหลังแจ็กเก็ตหนังเข้าไปในตึกร้าง ค่อยๆเหยียบย่างเบาๆ หลบอยู่ข้างเสาเข็มโตๆต้นต่างๆ มีครั้งหนึ่งฉันก้าวพลาดจนเกิดเสียงกรอบแกรบเล็กๆ หมอนั่นดูเหมือนจะหยุดผิวปากหันมาสำรวจอย่างสงสัย แต่โชคดีที่ฉันไวพอตัว แวบเข้าหลังเสาทันควัน เจ้านั่นเหมือนจะไม่เห็นอะไร เดินต่อไปตามปกติ
                หมอนั่นเดินตัดลานโล่งกลางตึกเพื่อเข้าไปข้างใน ฉันก็แอบอยู่ตรงหลังเสา รอให้หลังแจ็กเก็ตลับตาไปหลายอึดใจจึงค่อยๆย่องตามไปทางเดียวกัน
                ทว่า...
                พอฉันย่องมาถึงกลางลานโล่ง หวังจะเดินตัดไปตามทางอย่างที่หมอนั่นไป ฉันต้องชะงักเท้ากึก ฉับพลันฉันรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักอะไรสักอย่างมากดทั้งตัวจนหนักอึ้ง ฉันทำเป็นไม่ใส่ใจ รีบเดินต่อ กลับชนโครมกับอะไรสักอย่าง 
                ฉันลืมตา ความว่างเปล่าอยู่ในอากาศ ฉันพยายามออกเดินอีกครั้ง ก็ชนกับโครมกับกำแพงในอากาศธาตุอีกครั้ง ฉันเริ่มตื่นกลัว หันไปจะเดินกลับทางเดิม เดินไปไม่กี่ก้าวก็ชนกับกำแพงอันว่างเปล่าเหมือนเดิม คราวนี้ฉันสติแตกไปเลย ลองวิ่งไปทุกทิศทาง กำแพงอันว่างเปล่าก็ขนาบทุกทิศทาง ฉันได้แต่วิ่งวน ติดอยู่ในลานโล่งนี่อย่างไม่รู้สาเหตุ
                กระทั่งเจ้าตัวเขมือบโผล่ออกมาจากเงามืด หมอนั่นยืนพิงกำแพงทางเดินอย่างมีมาด ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มองฉันเต้นเป็นหนูติดกับอยู่ในลานโล่งอย่างบันเทิงใจเป็นที่สุด
                “จับได้แล้ว..”
สำเนียงยุโรปกลั้วหัวเราะอย่างเยียบเย็น
หมอนั่นชี้มือขึ้นบนเพดานเหมือนจะโอ้อวดอะไรสักอย่าง ฉันมองขึ้นไปตาม บนเพดานที่ตรงกับศีรษะฉันพอดี ถูกเขียนด้วยวงกลมประหลาดกว้างกว่าเมตร ในวงกลมประกอบด้วยดาวห้าแฉกอักษรประหลาดๆที่ฉันไม่รู้จัก ฉันยังตื่นตระหนกและจับต้นชนปลายไม่ถูก ตอนที่หมอนั่นพูดขึ้นอีกครั้ง
“กับดักมารของโซโลมอน.. เจ๋งดีมั้ยล่ะ?”
ฉันยังคงขมวดคิ้วใส่คำนั้น เงยหน้าขึ้นไปดูวงกลมประหลาดนั่นอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้นสักนิด หมอนั่นคงเห็นฉันงงๆ ก็เลยอธิบายต่อ
“กับดักมารไง...” เขาพูด ขยับมือไม้ตามเหมือนเป็นนิสัย “ไว้ดักปิศาจ อย่างเธอ...”
“หนูไม่ใช่ปิศาจ! ปล่อยหนูไปนะ!” ฉันตะโกนใส่เจ้านั่น ซึ่งก็มานึกได้ทีหลังว่าช่างเป็นประโยคที่สิ้นคิดสิ้นดี โดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนั้น
                “ไม่ใช่ปิศาจ ....หึๆ” เจ้านั่นหัวเราะใส่ฉัน เหมือนฉันเพิ่งปล่อยมุกฝืดๆอะไรออกไป “แล้วติดกับดักมารได้ไงล่ะ...ฮึ?”
                “หนูไม่ใช่ปิศาจ!”
                “ก็ได้.. ก็ได้.. จะไม่ใช่ปิศาจ ไม่ใช่มิคกี้เม้าส์ หรือจะยังไงก็ตามสบายเถอะ ตอนนี้โยนกระเป๋ามาทางนี้ซะ”
                พอได้ยินอย่างนั้น ฉันก็ถอดเป้ลงมากอดแน่น ไม่ไว้วางใจอย่างยิ่ง
                “โยนมาทางนี้ซะ อย่าให้ต้องใช้กำลัง..” สำเนียงยุโรปแหบห้าวแฝงความเยียบเย็นอีกครั้ง
                “จะเอาเงินหนูเหรอ หนูไม่มีหรอกนะ..”
                 “พูดซะน่ารักอย่างกับมนุษย์จริงๆ เป็นปิศาจแท้ๆ..”
                “หนูไม่ใช่ปิศาจ!”
                “แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์.. มนุษย์ไม่ติดกับดักมาร..”
                ฉันเถียงไม่ออก ได้แต่เงยหน้ามองอักขระแปลกๆบนเพดานอีกครั้ง แขนสองข้างยังกอดกระเป๋าแน่นไม่ปล่อย
                “จะบอกให้นะ..” เขาเริ่มพูดอีกครั้ง “ถ้าวันหลังจะสะกดรอยตามแวมไพร์ อย่าเอาเลือดติดกระเป๋ามาด้วย กลิ่นมันจะหอมคลุ้งไปไกลสองสามบล็อคเลยล่ะ...เอ้า! ทีนี้โยนกระเป๋ามาซะ”
                 พอได้ยินฉันก็รวบกระเป๋าแน่นเข้า เม้มริมฝีปากอย่างรู้สึกผิด ฉันลืมคิดไปเลยว่าพวกดูดเลือดน่าจะได้กลิ่นจากกระเป๋าของฉันไม่ยาก ในเมื่อมีเลือดตั้งสองถุงอยู่ในกระเป๋าของฉัน และถุงหนึ่ง ถูกฉีกกินไปแล้วเสียด้วย
                คิดได้อย่างนั้นฉันก็เลยจำใจโยนกระเป๋าไปให้เจ้านั่น หมอนั่นรับได้ก็เทของทั้งหมดออกลงพื้นอย่างไม่ไยดี โดยที่ฉันไม่ทันจะร้องห้ามด้วยซ้ำ กระเป๋าสตางค์ สมุดหนังสือ ปากกา และเลือดถุงหนึ่ง กองอยู่บนพื้น แน่นอนว่ามีถุงเลือดที่กินแล้ว ที่ฉันพับๆไว้ปลิวตามลงมาด้วย
                หมอนั่นแหวกๆของที่กองกันอยู่ หยิบถุงเลือดที่ยังไม่ถูกฉีกออกมาพิจารณาสักอึดใจ ก่อนเก็บเข้าไปในกระเป๋าแจ็กเก็ตของตัวเอง แล้วหันมาสนใจถุงเลือดเปล่าที่ถูกพับกับกระเป๋าสตางค์ของฉัน
                “ทำไมถุงนี้หมดแล้ว เลือดหายไปไหน?” เขาถาม
                “กินไปแล้ว..” ฉันตอบตรงๆ แต่หมอนั่นกลับเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
                “ใครกิน ?“
                “ก็ต้องเป็นหนู..สิ”
                “เธอ?” เขาขึ้นเสียงสูง ขมวดคิ้ว “ปิศาจกินเลือดมนุษย์ตั้งแต่เมื่อไร?”
                “หนูไม่ใช่ปิศาจ!”
                “โอเค! เธอจะเป็นเผ่าพันธุ์ไหนฉันไม่สนใจอยู่แล้ว ถ้าเธอไม่ยุ่งกับพวกเราก่อน...”
                “หนูไปยุ่งกับพวกนายตอนไหนกัน!? นายต่างหากที่มาฆ่าเด็กโรงเรียนหนู!”
                “ปิศาจอย่างเธอต่างหากที่ฆ่าเด็กคนนั้น! ฆ่าแล้วป้ายสีว่าเป็นพวกแวมพ์อย่างฉัน คิดจะเบี่ยงเบนความสนใจพวกนักล่ามาที่พวกฉันล่ะสิ”
                “หนูไม่ได้ฆ่าบรี! ไม่ใช่ปิศาจด้วย! กับดักมารหรือนักล่าอะไรหนูก็ไม่รู้จัก! นายต่างหากที่คืนนั้นอยู่ที่นั่น! นายกัดบรีตาย!”
                “ฉันไม่ได้ฆ่าเด็กคนนั้นโว้ย!” เขากระชากเสียง ฟังทุ้มแหบราวกับคำราม “ฝูงของฉันก็ไม่มีใครโง่ขนาดที่จะฆ่าคนให้พวกนักล่ามันตามกลิ่นถูกหรอกนะ! คืนนั้นก็มีแต่เธอที่อยู่ที่นั่น แถมเธอยังเป็นปิศาจ ไม่ใช่เธอแล้วจะเป็นใคร!”
                 “หนูได้กลิ่นเลือด ก็เลยตามไปดู นายต่างหากที่อยู่ตรงนั้น!”
                “ฉันต่างหากที่ได้กลิ่นเลือด ก็ตามไปดู เห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้น!”
                พอพูดจบ ทั้งเขาทั้งฉันก็เหมือนจะรู้สึกแปลกๆโดยพร้อมเพรียงกัน เราทั้งคู่หยุดกึก ความสงสัยโรยตัวเงียบๆในบรรยากาศ แม้ไม่มีสักคำพูด แต่สีหน้าที่เรามองกันและกัน ต่างก็ส่งข้อความเดียวกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
                หรือว่า... ที่เขาพูดจะเป็นจริง.. เขาไม่ได้ฆ่าเด็กคนนั้นจริงๆ....
                “นาย...” ฉันเริ่มพูดก่อนบ้าง “ไม่ได้ฆ่าบรีจริงๆเหรอ?”
                “ไม่ได้ฆ่า ไม่ได้แตะต้องเพื่อนเธอเลยด้วย...”
                “หนูไม่เชื่อหรอก.. ไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใคร?”
                “ก็เป็นเธอไง.. ปิศาจที่โคตรบังเอิญมาอยู่ในที่เกิดเหตุ”
                “หนูบอกแล้วว่าไม่ใช่ปิศาจ! แล้วก็ไม่ได้ฆ่าบรีด้วย!”
                “ใช่ไหมล่ะ?... ฉันถึงไม่เชื่อเธอเหมือนกันยังไงล่ะ”
                ฉันนิ่ง กระแสเสียงทั้งเขาทั้งฉันอ่อนลงอย่างมาก หากลองคิดกลับแล้ว ก็ดูมีเหตุผล เราทั้งคู่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันอย่างประหลาด ฉันสงสัยว่าเขาเป็นฆาตกร เพราะเขาเป็นแวมไพร์ที่บังเอิญอยู่ในที่เกิดเหตุ เขาสงสัยฉัน เพราะฉันบังเอิญเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ที่บังเอิญไปโผล่ที่นั่น
                เราทั้งคู่จดๆจ้องๆกันไปมาในความเงียบหลายสิบวินาที โดยไม่มีคำพูดอะไรเพิ่มเติม จนหมอนั่นทำลายความเงียบก่อน
                “ฉันชื่อสตีฟ...” เขาพูดสบายๆ แล้วผายมือมาทางฉัน ทำนองว่าให้ฉันแนะนำตัวด้วย
                “แฮรี่...” ฉันแนะนำชื่อตัวเองสั้นๆ
                “แฮรี่.. อา...แฮรี่..” เขาทวนชื่อฉันด้วยน้ำเสียงประหลาด “อายุเท่าไรแล้วล่ะ แฮรี่?”
                “สิบเจ็ด..” ฉันตอบ สั้นๆเหมือนเดิม
                “สิบเจ็ดมากี่ปีแล้วล่ะ”
                “เพิ่งสิบเจ็ด ปีนี้..” 
                พอได้ยินเขาก็ขมวดคิ้ว ความประหลาดใจปะปนในสีหน้าอย่างชัดแจ้ง ก่อนที่จะพูดไปข้างหลังของฉันดังๆ
                “คิดว่าไง แอล ?”
                แล้วฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากด้านหลัง เป็นเสียงฝีเท้าที่เงียบกว่าปกติกว่าสิบคู่ ฉันค่อยๆหันหลังไปดูอย่างครั่นคร้าม เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังแว่วขึ้นมาก่อน  
                “ไม่รู้สิ สตีฟ เราอาจเจอพวกน้องใหม่เข้าจริงๆก็ได้”
                หญิงสาวคนนี้เดินนำหน้ามาก่อน ฝีเท้าคู่อื่นๆ เธอเป็นคนรูปร่างสูงสง่ามาก ซึ่งนั่นเป็นส่วนที่จับตาฉันเป็นอย่างแรก โครงหน้าคมเข้ม ผมสีแดงเพลิงจับลอนอย่างพอดีล้อมรอบวงหน้าขาว เธอใส่รองเท้าบู้ทส้นสูง สวมแจ็กเก็ตสีน้ำตาล ดูราวกับนางแบบที่เดินออกมาจากนิตยสารคาวบอยเลยทีเดียว
                จะบารมี หรือความน่าเกรงขาม หรืออะไรก็ตาม แต่รอบๆตัวผู้หญิงคนนี้มีบรรยากาศแปลกๆ แปลกจนฉันถึงกับเผลอถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่ได้ตั้งใจเมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้              
                ฝีเท้าคู่อื่นๆเดินตามเธอมารอบๆ กว่าสิบคู่เห็นจะได้ ฉันนึกถึงคำบรรยายลักษณะ ‘ต่างถิ่น’ ของคนพวกนี้ที่เอ็ดว่าไว้ ซึ่งถูกต้องทีเดียว พวกเขาทั้งหมดดูผิดที่ผิดทางในเมืองนี้เหลือเกิน ทั้งการแต่งกาย รูปลักษณ์ และบรรยากาศ ทุกๆคนจับจ้องมาที่ฉันเป็นตาเดียว ด้วยอารมณ์ที่ประมาณไม่ถูก
                ฉันมองซ้ายมองขวาอย่างประหม่า สตีฟยืนอยู่ที่เดิม ในขณะที่แอลเดินไปรอบๆฉันอย่างพินิจพิเคราะห์
                “ว่าไงแม่หนู...” แอลส่งเสียง “เผ่าพันธุ์ไหนกันนะเราน่ะ?”
                ฉันคิด และหวังอย่างแรงกล้าว่าจะสามารถตอบคำถามนั้นได้ แต่ฉันตอบไม่ได้ จึงเลือกที่จะเงียบไว้
                “อ้าว..กินเลือดด้วย แต่คงไม่ใช่พวกเราสินะ พวกเราไม่ติดกับดักมาร..” แอลพูดเมื่อเอื้อมมือรับถุงเลือดเปล่าจากสตีฟมาพิจารณาด้วยสีหน้าที่คาดเดาไม่ถูก ก่อนที่จะหันมาหาฉันอีกครั้ง
                “ดูเหมือนจะเป็นมนุษย์มาก่อนเหมือนกันนี่... ถูก..เปลี่ยน.. มานานหรือยัง?” เธอถาม
                “สองปีค่ะ”
                เธอเลิกคิ้วรับคำตอบฉันอย่างประหลาดใจนิดๆ ก่อนจะเรียกสตีฟเข้าไปใกล้ๆ แล้วทั้งสองคนก็เดินห่างออกไป ซุบซิบอะไรกันสักครู่ ก็เดินกลับมา
                “สตีฟบอกว่า เธอปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่าเด็กคนนั้น”
                “ค่ะ”       
                “เหรอ... อย่างนั้นสตีฟคงเป็นคนฆ่าล่ะมั้ง?”
                เสียงหัวเราะห้าวๆดังไปรอบๆตัวฉัน สตีฟผายมือยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
                “เอาเถอะ.. เห็นเธอยังเด็กมาก ไม่รู้จักแม้แต่กับดักมาร..(เสียงหัวเราะห้าวๆดังขึ้นรอบๆอีกครั้ง) ฉันจะบอกให้”
                แอลเว้นวรรค เหมือนกำลังจะพูดเรื่องเป็นทางการ “พวกเราเป็นแวมไพร์ฝูงเดียวกันมานานหลายสิบปีแล้ว และตั้งแต่รวมฝูง พวกเราไม่เคยฆ่ามนุษย์คนใดประทังชีวิตเลย มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกที่พวกเราจะมาตบะแตกกับแม่เชียร์ลีดเดอร์คนหนึ่งที่นี่”
                “แถมแม่นั่นยังตัวเหม็นน้ำหอมจะแย่..” สตีฟพูดขึ้น นำพาเสียงหัวเราะเบาๆดังไปรอบๆ
                “ตอนนี้ เผ่าพันธุ์แวมไพร์ถูกล่าจนเหลือน้อยแทบจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย คดีเล็กๆน้อยๆเรายังไม่ทำ กลัวว่าพวกนักล่าจะตามกลิ่นถูก เพราะฉะนั้น.....”
                จู่ๆแอลก็หยุดพูดเสียดื้อๆกลางประโยค พร้อมทั้งทำท่าราวกับได้ยินเสียงจากที่ไหนสักที่
                พอแอลหยุด ทุกคนก็ขยับตัวเหมือนระแวดระวังไปด้วย สตีฟที่เคยกอดอกยืนพิงกำแพงอย่างผ่อนคลายก็ยืดตัวขึ้น แขนทั้งคู่อยู่ข้างลำตัวในลักษณะเตรียมพร้อม
                “แอลคะ?..” ฉันรียกเบาๆ เธอก็ยกนิ้วเรียวขึ้นแตะริมฝีปากตนเองเป็นเชิงระงับไว้ทันที
                ฉับพลันก็มีเสียงฉั้วะเหมือนของมีคมตัดผ่านอะไรสักอย่างดังก้องตึก ทันใดนั้นใครบางคนตะโกนว่า “นักล่า..!!!!” แล้วความอลหม่านก็มาเยือน
                แวมไพร์มากกว่าสิบชีวิตพร้อมใจกันอวดเขี้ยวเป็นแถบทั้งคำรามกันกึกก้อง บางส่วนตื่นตกใจวิ่งหนีออกไปก่อน บางส่วนกางกรงเล็บวิ่งไปด้านหลังอย่างเอาเรื่อง  ส่วนฉันยังงงงวยอยู่กับที่ หูได้ยินเสียงฉัวะอีกครั้ง ส่วนหัวของใครบางคนกลิ้งหลุนๆเข้ามาแทบเท้าของฉัน ตอนนั้นแหละฉันถึงรู้ว่าเสียงฉั่วะที่ได้ยินมันเป็นเสียงอะไร
                ฉันร้องกรี๊ด ถอยกรูดอยู่ในกับดักมารไปไหนไม่ได้ แอลวิ่งออกไปราวีกับผู้รุกราน ซึ่งตอนนี้ เหล่าแวมไพร์กระเจิดกระเจิงหนีไปมากจนฉันสามารถเห็นอะไรๆได้ชัดเจนแล้ว
                คนที่ถูกเรียกว่า ‘นักล่า’ เป็นชายรูปร่างใหญ่ ผิวขาว อายุประมาณสามสิบ ผมสีน้ำตาลตัดสั้น ดวงตาฉายแววคมกล้าสีน้ำเงินเข้ม เครารำไรอยู่ตรงแนวกราม ลักษณะของเขาคล้ายทหาร เขาสวมเสื้อแจ็กเก็ตยาวคล้ายของสตีฟ มือข้างหนึ่งถืออาวุธที่มีลักษณะคล้ายเคียวเปื้อนเลือด อีกข้างถือปืนสั้นอัตโนมัติที่ฉันไม่รู้จักชื่อรุ่น
                  แอลเข้าไปต่อสู้กับชายคนนั้นร่วมกับแวมไพร์อีกตนหนึ่ง ชายคนนั้นก็คล่องแคล่วจัด เขาหลบซ้าย จ่อปืนยิงสาวกแวมไพร์ล้มไปตนหนึ่ง ตอนนั้นเองที่เขาหันมาเห็นฉัน
                นัยน์ตาสีน้ำเงินเดือดดาลว่างเปล่า เขายกปืนขึ้น และส่องมาที่ฉันอย่างอัตโนมัติ
                “พลั่ก!” หมัดของสตีฟที่ลอยมาจากไหนก็ไม่รู้ตรงเข้าเบ้าตาหมอนั่นพอดีจนหน้าหงาย แอลเห็นคู่ต่อสู้เสียหลัก เธอจึงเข้าไปซ้ำเติมต่อ แต่นักล่าคนนั้นก็ยังมีสติต่อสู้กับแอลต่อได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ
                สตีฟไม่สนใจสมรภูมิเบื้องหลัง เขาปรี่มาที่ฉัน ควักมีดอันใหญ่ออกมาจากรองเท้าบู้ท เสี้ยววินาทีหนึ่งฉันนึกว่าตัวเองจะถูกฆ่า แต่สตีฟกลับโยนมีดอันนั้นขึ้นไปบนเพดาน มันปักติดแน่นกับเพดาน ตัดฉับตรงเส้นหนึ่งในวงกลมกับดักมารพอดี
                “หนีเร็ว...” เขาพูดเบาๆ พลางคว้าข้อมือฉันวิ่งออกมาจากตรงนั้นโดยไม่ฟังคำตอบใดๆทั้งสิ้น....
.......................................................................................................
 
(จากผู้เขียน)
1.พาร์ทนี้ตัดสั้นลงหน่อยค่ะ เพราะดูตอนPilot มันยาวมาก ดีไม่ดียังไงช่วยบอกด้วยนะคะ
2.แจ้งให้ทราบไว้ก่อนว่าตอน At the end of the beginning น่าจะมีประมาณ 4 part นะคะ(Mark Plot ไว้ประมาณนั้น)
3.สำหรับเรื่องบรรยากาศของภาษาที่ไม่ค่อยเป็นต่างประเทศที่คอมเม้นต์มา จะค่อยๆปรับปรุงนะคะ ขอบคุณค่ะ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา