Supernatural:Spin Off

4.8

เขียนโดย รถขนมปังกรอบ

วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23.31 น.

  3 chapter
  10 วิจารณ์
  9,622 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) At the end of the beginning (Pilot)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                ฉันกำลังนอนราบกับพื้นนุ่มนิ่มชื้นแฉะ กลิ่นดินใหม่ๆผสมกลิ่นคาวจัดโชยเข้าจมูก ประสาทรับรู้ชืดชาเพราะสมองสั่งงานให้ยุติความรู้สึกเจ็บปวด แขนข้างหนึ่งฉีกขาดไพล่ขึ้นไปบนศีรษะ ขาขวาตั้งแต่หัวต้นขาลงไปหมดความรู้สึกว่ามีอยู่ ที่สะเอวด้านซ้ายมีน้ำพุสีแดงไหลออกจากแผลใหญ่เหวอะหวะ จะพูดให้ถูกคือเนื้อสะเอวของฉันถูกตะกุยแหว่งหายไปด้านหนึ่ง จนเผยให้เห็นอวัยวะภายใน

                ขากรรไกรฉันเผยอค้าง หมดความสามารถแม้จะกลอกตา หัวฉันเอียงกะเท่เร่เหมือนจงใจถูกจับบิด เพราะอย่างนั้นฉันจึงเห็นแผลที่สะเอวชัดเจน น้ำสีแดงฉานเฉอะแฉะไปทั่วผม บางส่วนไหลย้อยลงมาที่คอ ความรู้สึกเจ็บมีพียงช่วงแรก ตอนนี้ฉันไม่รู้สึกอย่างนั้นอีกแล้ว ฉันมองดูภาพเบลอๆของแผลเหวอะหวะบนร่างตัวเองราวกับเป็นร่างคนอื่น สติสัมปชัญญะฉันใกล้หลุดลอย ห้วงความคิดสุดท้ายเป็นความแน่ใจอย่างที่สุด เท่าที่ฉันจะแน่ใจได้

                ฉันกำลังจะตาย..

                ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดเบาๆ ร่างของฉันกระตุกหนึบ เวลาเดินช้าเหมือนภาพสโลวโมชั่น ฉันเรียบเรียงเหตุการณ์เป็นครั้งสุดท้าย ฉันมาแคมปิ้งกับคุณพ่อ เหมือนที่เราทำกันทุกปีในวันครบรอบวันตายของแม่ ระหว่างที่เราผลัดกันเล่าเรื่องผี จู่ๆพ่อก็ลุกขึ้นเหมือนอะไรผิดปกติ แล้วยังไงนะ ฉันรู้สึกหนึบที่สะเอวแวบหนึ่ง ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะปลิวขึ้นฟ้าและปะทะกับต้นไม้ใหญ่เต็มแรง จากนั้นร่างทั้งร่างของฉันก็ถูกลากผ่านพงไม้กว่าหลายสิบนาที

                ระหว่างนั้นฉันได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังของพ่อชั่วเสี้ยววินาที ก่อนที่จะไกลออกไป และกลบด้วยเสียงกรีดร้องของตัวฉันเองด้วยความตื่นตกใจอย่างที่สุด

                มันเป็นสุนัขจิ้งจอกขนาดใหญ่ ใหญ่มากขนาดที่ยืนแล้วจะสูงเท่าฉัน ฉันรู้เมื่อมันปล่อยฉันลงบนพื้น แล้วเริ่มกระชากขาฉันออก ตะกุยกระชากสะเอวฉันจนเนื้อหลุด ดวงตาสีเทาหม่นเจิดจ้า ขนสีดำสนิทเนียนในความมืด มันเหวี่ยงทึ้งฉันไปมาสักสองสามนาทีก็จากไป เหลือไว้แต่ซากฉันที่เละเทะใกล้ตาย

                อย่างที่ฉันบอก ความเจ็บและตระหนกเกิดขึ้นเพียงช่วงแรก แต่พอผ่านไปชั่วลมหายใจ ฉันก็รู้ว่าฉันกำลังจะตายแน่ๆ ความเจ็บก็เริ่มหายไป และฉันรู้ว่ามันกำลังจะจบ...

                ฉันคิดผิด....

                ฉันกำลังสูดลมหายใจที่คิดว่าเป็นห้วงสุดท้าย ตอนที่ได้ยินเสียงสวบสาบข้างตัว ตอนนั้นเองที่ขากางเกงกับร้องเท้าบู้ทแบบทหารอันใหญ่โตข้างหนึ่งก็เข้ามาอยู่ในสายตา ขาใหญ่โตกำยำเหมือนผู้ชายตัวใหญ่ น่าจะตัวใหญ่กว่าพ่อฉันสักสองเท่า ฉันสงสัย แต่ไม่อยู่ในสภาพที่จะสำรวจอย่างอื่นจนทั่วถึงได้ เจ้าของขาข้างนั้นทำท่าเหมือนย่อตัวลงข้างฉัน แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มขึ้น

                ร่างทั้งร่างของฉันกระตุกหนึบอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ก่อนฉันจะรู้สึกหนาววาบไปทั้งตัวเหมือนถูกโยนใส่อ่างอาบน้ำเย็นในวันหิมะตก ความเจ็บปวดที่ฉันคิดว่ามันจากไปแล้วกลับพุ่งชนสติสัมปะชัญญะของฉันเหมือนรถบรรทุกคันใหญ่ ก่อนจะระเบิดตูมในศีรษะเหมือนพลุวันชาติ และมันไม่ใช่อะไรที่ฉันคุ้นเคยสักนิด มันแย่กว่า เยอะกว่า เจ็บปวดทรมานกว่า เนิบนาบกว่าสักสิบเท่าของเมื่อครู่ แผลเหวอะหวะทั่วร่างส่งเสียงประท้วงจู่โจมพร้อมกันจนหัวแทบระเบิด ก่อนที่ความระบมปวดแสบปวดร้อนและแปลกปลอมจะกระจายไปทั่วจนถึงปลายผม ปลายนิ้ว ครั้งแล้วครั้งเล่า จนฉันไม่รู้สึกถึงแผลใดอีกแล้ว เพราะทุกส่วนในร่างกายและวิญญาณกรีดร้องพร้อมกันอย่างเท่าเทียม ฉันกรีดร้องด้วย แต่คงไม่มีเสียงอะไรออกจากลำคอ หูตาของฉันมืดบอดไปแล้วด้วยความเจ็บปวด

                กระบวนการหฤโหดดำเนินตามครรลองไปเรื่อยๆ คล้ายไม่มีจุดสิ้นสุด เหมือนจะผ่อนคลายนิดหน่อยสองสามอึดใจเล็กๆ แล้วความทรมานก็พลุ่งขึ้นระเบิดตูมตามขึ้นมาอีกกว่านานนับชั่วโมง สลับกันไปเรื่อยๆ จนฉันหมดสติไป จริงๆก็ไม่แน่ใจว่าหลับ หรือหมดสติ หรืออย่างไร แต่ฉันหนีออกจากความรู้สึกนั้นได้ครู่ใหญ่ๆ และตื่นขึ้นมาด้วยความแปลกเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง

                ฉันกำลังนอนรอบกับพื้นชื้นแฉะ จมูกยังคงได้กลิ่นคาวจัดปนกับดินใหม่ แต่ความเจ็บปวดนั้นหายไปหมด แผลเหวอะที่สะเอวกลายเป็นเนื้อเนียนๆที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตขาดวิ่น แขนฉีกขาดกลับอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ขาขวาที่ฉันคิดว่าอย่างไรคงไม่อยู่ที่เดิมแล้ว กลับอยู่ที่เดิมในกางเกงยีนส์ของฉัน อยู่ดีแม้แต่รองเท้าคอนเวอร์สคูเก่งด้วยซ้ำ

                ฉันกระพริบตาถี่ๆ และพบว่าเรี่ยวแรงความแจ่มใสของตัวเองก็กลับมาด้วย และคงพูดได้ว่ารู้สึกสบายดีเป็นปกติถ้าฉันไม่รับรู้อะไรแปลกๆนอกเหนือจากนั้น

                อย่างแรก ฉันมองเห็นตัวเองอย่างชัดเจน ฉันหมายถึงชัดมาก ชัดอย่างที่คนดวงตาปกติมองเห็น ไม่ใช่คนที่สายตาสั้นอย่างฉันเคยเห็น พอลองเงยขึ้นมองยอดไม้ไกลออกไป มันก็ชัด เหมือนเป็นกล้องส่องทางไกล และไม่ใช่เพราะตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นแล้วซะด้วย

                อย่างที่สอง ฉันได้ยิน คือได้ยินยิ่งกว่าที่เคย ฉันแน่ใจว่าได้ยินเสียงใบไม้กระทบกันไกลๆ หรือแมลงปอที่เกาะอยู่บนหญ้าข้างๆฉันตอนนี้ด้วยซ้ำ

                อย่างที่สามที่ชัดเจนและปฏิเสธไม่ได้ คือกลิ่น แน่นอนว่ากลิ่นคาวเลือดของฉันเองที่อยู่บนพื้น แต่นอกเหนือจากนั้น มันเป็นกลิ่นคาวหวานๆที่โชยรอบตัวเหมือนมีครัวทำขนมปังอบอยู่ต้นลมที่ไหนสักแห่ง ซึ่งทำให้คอของฉันแห้งผากแสบเหมือนกระดาษทราย

                ฉันยันตัวลุกขึ้น กล้ามเนื้อทุกมัด กระดูกทุกชิ้นเคลื่อนที่อย่างเรียบกริบลื่นไหลเหมือนเป็นของใหม่ แม้แต่ตอนฉันลองสูดหายใจเข้าปอด ก็เหมือนทุกๆอย่างในร่างกายจะตอบสนองได้อย่างดีเหมือนเครื่องยนต์รถแข่งที่รอการเหยียบคันเร่ง ฉันลุกยืน ลมพัดเอากลิ่นคาวๆหวานๆมาอีกระลอก ในปากของฉันก็สอด้วยน้ำลาย คอยิ่งแห้งจัด ฉันเริ่มเดินหาน้ำ ทิ้งหย่อมเลือดชื้นแฉะไว้เบื้องหลัง น่าแปลก พอฉันคิดถึงน้ำ กลิ่นชื้นๆอันสดชื่นของน้ำของถูกแยกแยะออกมา หูของฉันก็ได้ยินเสียงซูซ่าคล้ายอยู่ไม่ไกลนัก ฉันจึงเริ่มเดินไปทางที่ได้ยินเสียง แต่ระยะทางที่คาดเดาไว้ผิดจากความเป็นจริงมโหฬาร คือฉันต้องเดินไปกว่ายี่สิบนาทีกว่าจะเจอน้ำตกต้นเสียงซู่ซ่านั้นจริงๆ

                ฉันวักน้ำดื่มด้วยหวังจะดับกระหาย แต่กลับกลายเป็นรสขมฝาดบาดคอจนผงะ คอยิ่งแห้งผาก ยิ่งกระหายมากขึ้นทุกๆวินาที น้ำลายที่สอเต็มปากก็ไม่สามารถบรรเทาได้ ฉันอ้าปากหอบหายใจอย่างติดขัด จนกระทั่งได้ยินเสียงหายใจที่แปลกปลอมของสิ่งอื่นอยู่ไม่ไกลออกไป

                ฉันมองออกไป เห็นเสือตัวหนึ่งซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ พอฉันหันไป เสี้ยววินาทีนั้นมันก็กระโจนจากที่ซ่อน อวดลำตัวใหญ่โตลายพาดกลอน กางกรงเล็บเข้าจู่โจมเหยื่ออย่างฉัน..

                น่าแปลก แทนที่ฉันจะกลัว แต่ฉันกลับได้กลิ่นหวานเต็มจมูก ได้ยินเสียงหัวใจของมันเต้นตึ่กตักถี่ๆอยู่ในลำตัวอันใหญ่โต สูบฉีดเลือดให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายอันทรงพลัง

                เลือด...

                คิดได้แค่นั้นเอง จากนั้นมันก็เหมือนเป็นธรรมชาติ ฉันยื่นมือทั้งสองไปข้างหน้า รวบลำคอของเสือตัวนั้นได้พอดี ก่อนที่ฉันจะกดมันลงบนพื้น พร้อมๆกับเหงือกบนของฉันกระตุกน้อยๆครั้งหนึ่ง แล้วก็เหมือนฉันจะรู้ว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น ฉันก้มลงงับลงไปบนคอของมันด้วยแรงไม่มากนัก เหมือนจะเป็นฟันของฉันสักสองซี่ที่เจาะทะลุผิวหนังหุ้มขนหยาบๆของมันลงไป เลือดอุ่นๆไหลทะลักย้อนขึ้นมา

                ก่อนที่ฉันจะตั้งคำถามกับตัวเอง รสเลือดที่แตะลิ้น ก็ตอบทุกสิ่งทุกอย่าง นี่คือสิ่งที่ฉันเดินตามหา นี่คือแหล่งกำเนิดน้ำลายที่สอเต็มปาก คอของฉันแห้งผากและกระหายแทบแย่เพราะต้องการสิ่งนี้

                แล้วฉันก็กลืนเลือดเหล่านั้นลงคอเหมือนนมอุ่นๆ

                ฉันได้ยินเสียงเสือตัวนั้นร้องในลำคอสักอึดใจ ก่อนจะเงียบสนิทลง ฉันดื่มเลือดมันไปกว่าสองระลอกใหญ่ จึงผละออก รสคาวหวานเข้มข้นอยู่ในปาก

                ฉันมองซากเสือที่ฉันเพิ่งจัดการไปด้วยความมึนงง ก่อนจะบอกตัวเองถูก ฉันเพิ่งดูดเลือดเสือจนตาย มือของฉันยกขึ้นแตะเหงือกที่เพิ่งกระตุกหนึบ กระทบกับอวัยวะแปลกปลอม ฉันรีบไปส่องตัวเองกับผิวน้ำทันที

                เขี้ยวสองอันโค้งงอกออกมาจากเหงือกด้านบนเหมือนเขี้ยวสัตว์ร้าย..

                ฉันตระหนกจนส่งเสียงในลำคอ ลืมคิดถึงภาพสะท้อนที่แสดงว่าสภาพแผลที่ศีรษะและลำคอที่หายไปเหมือนเวทย์มนต์ เขี้ยวนี้เหมือนเขี้ยวดูดเลือดในหนังแดร็กคิวล่า ฉันยกมือจับมันโยกไปมาเหมือนกับฟันซี่อื่น มันก็ติดแน่นอยู่บนเหงือกไม่มีท่าทีว่าเป็นของปลอม พอฉันกระตุกเหงือกอีกครั้ง มันก็หดกลับไปดังฉึบ

                ฉันงงเป็นไก่ตาแตก ฉันถูกสุนัขจิ้งจอกทึ้ง ทรมานมาหนึ่งคืน ตื่นขึ้นมามีเขี้ยวและดูดเลือดเสือ นี่ฉันอยู่บนดาวเคราะห์ดวงไหน

                “เดี๋ยว..” ฉันบอกตัวเอง รวบรวมสติพลางนั่งพับเพียบบนของตลิ่ง ข้างตัวมีศพเสือพาดกลอนตัวโตนอนเคียงข้าง “ฉัน..เป็นตัวอะไรวะ..”

                ฉันรำพึงเบาๆ ก่อนจะรีบคลานไปส่องตัวเองกับผิวน้ำอีกครั้ง ภาพที่สะท้อนมาช่างคุ้นตา ผมสีบรูเน็ทยาวเลยบ่าถึงกลางหลังยุ่งเหยิงและจับเป็นก้อน มันไหลลงมาระแก้ม ผิวขาวซีดอย่างเดิม คิ้วหนาเหมือนเดิม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มในกรอบขนตาเป็นดวงเดิมชัดเจน ปากเลอะคราบเลือดไปถึงแก้ม แต่ฉันก็รู้ว่ามันคือปากเดิมที่ฉันเคยส่องกระจกเห็น เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีน้ำเงินตัวเดิมที่ใส่เมื่อคืนแต่แขนขาดไปข้างหนึ่ง รูปร่างก็ดูจะสูงต่ำเท่าเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป

                ฉันลองแยกเขี้ยว กระตุกเหงือกตัวเองเบาๆ เขี้ยวคู่เดิมก็ทิ้งตัวฉับลงมาเหมือนมีดพกสปริง

                พอเห็นอย่างนั้นฉันก็ทิ้งตัวลงกับพื้น หมดอาลัยตายอยาก ตั้งแต่โตมาฉันไม่เคยเชื่อเรื่องนิทาน ตำนานอะไรก็ตามแต่ ไม่เชื่อเรื่องผีสางด้วยซ้ำ แต่การที่เพิ่งติ่นจากการบาดเจ็บสาหัสอย่างไร้ร่องรอยขีดข่วน พร้อมขี้ยวประหลาดงอกจากเหงือกและดื่มเลือดเสือ คงทำให้เปลี่ยนใจขึ้นมาบ้าง

                ฉันกลืนกลิ่นเลือดที่เข้มข้นปนน้ำลายอยู่ในปากลงคอ ยังสรุปไม่ได้ว่าตัวเองกลายเป็นตัวอะไร เริ่มจากทำใจเริ่มยอมรับว่าตัวเองคงจะไม่ใช่มนุษย์อีกแล้วก่อนเป็นอย่างแรกก็แล้วกัน

                ......................................................................................................................................................

                หลังจากนั่งนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ พอปรับอารมณ์ให้หายตกใจขึ้นมาบ้าง ฉันก็เริ่มเดินเท้าออกจากที่ ไอ้หูกับจมูกที่ได้กลิ่นเลือดแผ่วๆในอากาศนี่มีส่วนช่วยอย่างมาก ฉันเดินตามกลิ่นหวานๆไปตามสายลมเรื่อยๆ กว่าสองวัน ฉันก็เดินมาถึงแคมป์เด็กประถมแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลชายป่า

                ด้วยสภาพเสื้อผ้าขาดวิ่นเลอะเปรอะไปด้วยเลือด และผมเผ้ายุ่งเหยิงของฉัน ทำให้พี่เลี้ยงค่ายแตกตื่น ช่วยกันเข้ามาประคองฉันเป็นการใหญ่ กลิ่นเลือดตลบอบอวลเข้าจมูก ดีที่ได้เสือตัวนั้นช่วยไว้ ฉันจึงไม่ได้กระหายจนขาดสติอ้าปากงับคอใคร ได้แต่เลียริมฝีปากแห้งผากไปมา ระหว่างที่ทุกคนพาฉันไปปฐมพยาบาลด้านใน ซึ่ง ไม่จำเป็นเลยสักนิด

                ครูพยาบาลพยายามตามหาแผลบนศีรษะของฉัน เพราะเลือดกรังเกาะผมของฉันเต็มไปหมด ฉันก็ได้แต่เบี่ยงเบนไปด้วยการบอกชื่อและขอให้เขาติดต่อพ่อของฉันแทน

                “พ่อของหนูชื่ออะไรนะคะ” เขาถาม ตายังจับอยู่บนเสื้อผ้าอันย่อยยับของฉันอย่างเป็นห่วง

                “พ่อหนูชื่อ ชาร์ลี มอร์ทิสัน”

                ฉันบอกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ หลังจากพร่ำบอกว่าฉันไม่เป็นไรอยู่สักสามสิบรอบ พวกเขาก็เริ่มเชื่อ และหาเสื้อผ้าใหม่มาให้ฉันอาบน้ำเปลี่ยนออก แทนที่จะหาแผลบนร่างกายฉัน

                ไม่ถึงครึ่งวัน ฉันก็ได้พบพ่อ ที่มาพร้อมกับทีมกู้ภัยกว่าหลายสิบชีวิต พ่อวิ่งลงจากรถคนแรกตั้งแต่รถยังจอดไม่สนิท น้ำตารื้นอยู่ในตาสีเดียวกับฉันระหว่างที่กางแขนเข้ามาหาฉันอย่างพึ่งพาได้เป็นที่สุด

                ฉันโผเข้าหาพ่ออย่างดีใจที่สุดในชีวิต แช่มชื่นราวกับความทรมานและเหตุการณ์ประหลาดเหมือนฝันร้ายได้ผ่านไปแล้ว แน่นอนว่าฉันร้องไห้ อย่างดังด้วย แถมกรีดร้องอีกด้วย มันทั้งตกใจ ดีใจ ประหลาดใจรวมกัน เหมือนอารมณ์ทั้งหมดในหลายวันปะทุขึ้นในคราวเดียว

                เราสองคนมัวแต่ร้องไห้กอดกันและกัน จนฉันลืมมองว่าหน่วยกู้ภัยเอาแปลและอุปกรณ์หลายอย่างมาด้วย พวกเขาดูเคว้งคว้างหน่อยๆที่เห็นฉันเดินปร๋อเคียงข้างพ่อไปที่รถอย่างสบายดี แต่พวกเขาก็ไม่วางใจฉันนัก ในที่สุด พวกเขารวมทั้งพ่อก็ยังยืนยันจะส่งฉันไปโรงพยาบาล แล้วให้นอนดูอาการคืนหนึ่งพร้อมน้ำเกลือผสมวิตามิน

                ฉันกับพ่อ เราไม่เคยมีความลับต่อกัน กลางดึกคืนนั้น ระหว่างที่ฉันฟังพ่อเล่าถึงการค้นหาฉันตลอดสองสามวันในป่าอันกว้างใหญ่ ฉันก็ตัดสินใจเล่าทุกสิ่งทุกอย่างออกไปอย่างฉับพลัน ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ฉันกำลังจะตาย ร้องเท้าคอมแบทบู้ทลึกลับ และอาหารชนิดใหม่ที่ทำฉันคอแห้งแทบจะตลอดเวลา 

                ตอนแรกพ่อฉันคงสงสัย แต่ท่านก็ไม่ได้ขัด มีแต่ส่งเสียงฮึ่มในลำคออย่างทุกทรมานตอนฉันเล่าถึงตอนใกล้ตาย แล้วแววตาเศร้าก็เปลี่ยนเป็นตกใจ งงงวย เมื่อฉันเล่าถึงบาดแผลที่หายไป เสือลายพาดกลอน และเขี้ยว ท่านอ้าปากค้างเมื่อเรื่องทั้งหมดจบลงที่แคมป์หน้าร้อนของเด็กประถม

                ท่านถึงกับขยับตัวหนีอย่างตกใจด้วยซ้ำ ตอนที่ฉันโชว์เขี้ยวที่งอกออกมาจากเหงือกให้ดู

                หลังจากผ่านไปหลายวินาที คำแรกที่ท่านพูดได้คือ “แล้วลูกยังหิวอยู่มั้ย?”

                ฉันพยักหน้าหงึกหงัก พ่อของฉันทำท่ารับรู้ก่อนบอกฉันเบาๆว่า “เดี๋ยวมา” แล้วท่านก็ลุกขึ้นหายไปจากห้อง สักครู่ใหญ่ก็กลับมาพร้อมเลือดสดๆถุงหนึ่ง

                “พ่อเอามาจากตู้เย็นเก็บเลือดสำรอง”

                ฉันยื่นมือไปรับอย่างงงๆ หูได้ยินเสียงพ่อบอกว่า “ทานซะ”

                ฉันได้กลิ่นของมันแตะจมูก มันหอมกว่ากลิ่นเลือดสัตว์มาก แต่ฉันยังคงมองหน้าพ่อที่กำลังจับจ้องฉันอย่างใกล้ชิด ก่อนฉันจะพูดอะไร พ่อก็บอกฉันอย่างรวดเร็ว “ทานก่อน พ่อไม่อยากให้ลูกกัดใครอีก”

                คำนี้เจ็บจี้ด แต่ก็ไม่ผิดนัก ฉันรู้แล้วว่าการอ้าปาก งับ ดูดเลือด สำหรับฉันมันธรรมชาติแค่ไหน ก่อนที่ความกระหายจะครอบงำ ฉันควรระวังไว้ ฉันจึงฉีกถุงเลือดเทเข้าปาก ทั้งๆที่พ่อดูอยู่ และขอบอกเลยว่า เลือดมนุษย์หอมหวานเข้มข้นยิ่งกว่าเลือดสัตว์ไม่รู้กี่เท่า รสชาติมันเติมเต็มข้างในฉันอย่างประหลาด ฉันยกซดทีเดียวหมดถุงอย่างลืมตัว ก่อนจะหันมาหาพ่ออย่างรอคำพิพากษา

                พ่อรำพึงเบาด้วยสีหน้าหดหู่ “ลูกไม่ได้โกหกจริงๆ” ท่านทรุดลงนั่งข้างเตียง ยกมือกุมขมับอย่างใช้ความคิด

                ฉันเข้าใจ ยิ่งกว่าเข้าใจ แต่เพราะเป็นพ่อ ฉันจึงวางใจ ทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าพ่อ ฉันสามารถพูดสิ่งที่ตัวเองกังวลได้ทุกเรื่อง ได้เสมอมา คราวนี้ก็เช่นกัน

                “พ่อขา หนูเป็นตัวอะไร?” ฉันถาม

                “พ่อไม่รู้หรอกแฮรี่ แต่ไม่ว่าหนูจะเป็นตัวอะไร หนูเป็นลูกพ่อแน่ๆ”

                เราสองคนยิ้มแห้งๆให้กันและกันเงียบๆ ต่างก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อ จนพ่อฉันยื่นมือมาเช็ดคราบเลือดที่มุมปากของฉัน เป็นอันว่าพวกเรายอมรับสภาพซึ่งกันและกันอย่างไร้คำพูด

                หลังจากฉันกลับมาที่บ้าน ความเป็นอยู่ของฉันกับพ่อก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากอย่างที่ฉันคิด แน่นอนฉันเปลี่ยน ฉันหมายถึง ฉันคงไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว เพราะฉันไม่โต ฉันรู้ เพราะรู้สึกได้อย่างชัดเจน คล้ายนาฬิกาในตัวฉันหยุดเดิน ไม่ว่าลองดื่มแอลกอฮอล์มากขนาดไหนก็ไม่เมา ไม่ว่าถูกเจ็บแค่ไหนก็หายเอง นอนดึกแค่ไหนดวงตาก็ไม่คล้ำ ผมของฉันก็เช่นกัน ไม่ว่าจะพยายามตัดยังไงมันก็กลับมาเหมือนเดิมในสองสามนาที ไม่ยาวขึ้น ไม่สั้นลง ฉันเคยลองโกนหัวดูด้วยซ้ำ ซึ่งภาพต่อมา คือผมฉันยาวแบบเร่งสปีด กลับมาเท่าเดิม ซึ่งฉันก็นึกดีใจอยู่ไม่น้อย ที่ฉันไม่ตัดสินใจตัดสั้นรับหน้าร้อนตามเดซี่ เพื่อนสนิทของฉัน ไม่อย่างนั้นแล้ว แทนที่ฉันจะได้ผมยาวหยักศกธรรมชาติอยู่กับฉันตลอดไป คงต้องกลายเป็นทรงผมสั้นอันแหวกแนวที่กำจัดยังไงก็ไม่ได้แน่ๆ

                นอกจากนั้น ฉันยังได้ตู้เย็นเล็กๆไว้ในห้องนอน พ่อของฉันทำงานเป็นบุรษพยาบาล ท่านบอกว่ามีช่องทางแอบเอา “อาหารพิเศษ” มาให้ฉันได้ ซึ่งท่านจะเอามาแขวนไว้ในตู้เย็นเล็กๆนี่ สัปดาห์ละครั้ง ครั้งละสองถุง ตามอัตราการกินปกติของฉันที่สังเกตตัวเอง นอกจากนั้น ฉันยังกินอาหารได้อย่างคนธรรมดาทุกอย่าง ฉันยังชื่นชอบชีสเบอร์เกอร์อย่างยิ่งเหมือนเดิม แต่อาจกินได้น้อยกว่าที่ควรเป็นนิดหน่อย  

                นอกจากนี้ พวกเราทดลองกับสภาพใหม่ของฉันหลายอย่าง โดยมากเราจะลองว่าฉันแพ้อะไรอย่างที่ตัวประหลาดเขาแพ้กันบ้างหรือไม่ กับกระเทียม หรือสมุนไพรชนิดอื่นๆ ปกติดีไม่แสบไม่คัน กับเกลือนี่พอโดนแล้วทั้งคันทั้งแสบยิบๆ แต่กับของที่ทำด้วยเงินนี่โดนแล้วผิวไหม้ควันขึ้นเลย น้ำมนต์ก็เหมือนกัน โดนเข้าไปนี่ร้องลั่นบ้าน เนื้อไหม้ควันคลุ้งทีเดียว

                น่าแปลกใจที่ฉันปรับตัวกับความแปลกประหลาดของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว แม้ลึกๆจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจนิดหน่อย แต่ฉันก็เหมือนจะดำเนินชีวิตตามปกติ ไปโรงเรียน ทำการบ้าน ทำรายงาน คบกับเพื่อนสนิท ถูกพ่อดุ คล้ายการกลายสภาพของฉันเป็นแค่ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หายาก เป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วผ่านไป พอนานเข้า ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร

                จนกระทั่ง วันเวลาผ่านไปสองปี....

                ฉันคงจะยังอยู่กับพ่อสองคน ยังดำเนินตามวิถีชีวิตปกติ ถ้าเช้าวันนั้นพ่อไม่เกิดอุบัติเหตุ....

                ไม่หรอก พ่อยังไม่สิ้นใจโดยทันที แต่อาการบาดเจ็บยืดยาวอยู่เป็นเดือน พ่ออาการดีขึ้นบ้างทรุดลงบ้างเป็นช่วงๆ จนท้ายที่สุด ก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว จนสิ้นใจตาย..

                ฉันอยู่ในอาการเคว้งคว้าง คิดอะไรไม่ออกอยู่นานหลายวัน แม้แต่ตอนที่นั่งอยู่ในงานไว้อาลัยของพ่อ คนคู่หนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้ โอบล้อม บอกว่าตนเองเป็นญาติที่เคยเห็นฉันตั้งแต่ห้าขวบ บอกว่าพวกเขาอยากจะช่วยเหลือฉัน ฉันยังไม่มีปัญญาจะตอบรับหรือปฏิเสธอะไรเลยทั้งสิ้น

                จนกระทั่งวันที่ฉันต้องเก็บของในอพาร์ทเม้นของเรา ฉํนจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า คนคู่นั้นคือลุงอาร์เทอร์กับป้าเอมม่าที่เคยมางานวันเกิดของฉันครั้งสองครั้ง นับกันแล้วป้าเอมม่าเป็นพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพ่อ สายเลือดห่างกันพอควร แต่เห็นพ่อเคยเล่าว่าโตมาด้วยกันระยะหนึ่ง ป้าเขาดูไม่มีพิษมีภัย มีแต่นิสัยขี้ระแวงไปบ้างตามประสาผู้หญิง เขาย้ายออกมาจากบ้านพ่อนานเหมือนกันกว่าจะแต่งงานกับเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ซึ่งพ่อเคยให้นิยามว่า เป็นผู้ชายที่ดูจืดๆ ไม่ค่อยพูด และคงลงพุงในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน

                “ลุงกับป้าเห็นหนูเรียนไฮสคูลปีสุดท้ายแล้ว คิดจะเข้ามหาลัยที่ไหนหรือยัง?”

                คุณป้าถาม เธอเป็นคนเสียงทุ้มนุ่มผิดกับรูปร่างที่ค่อนข้างเล็ก มือของเธอเกาะเกี่ยวอยู่กับสามีอย่างคุ้นชิน

                “หนูส่งคำร้องไปที่เอ็นวายยู กับบอสตัน แล้วก็เวอร์จิเนียร์ด้วยค่ะ คิดว่าจะเรียนกฎหมายอย่างที่พ่ออยากให้เรียน”

                ลุงป้ายิ้มรับคำตอบของฉันอย่างดี ก่อนจะมองหน้ากันและกันชั่วแวบ แล้วพูดว่า “ป้ากับพ่อของแฮรี่สนิทกันพอควร ใจป้าอยากให้เธอไปอยู่ด้วยกัน แต่เธอเรียนไฮสคูลปีสุดท้าย ส่งคำร้องไปมหาลัยแล้ว คิดว่าให้ย้ายรัฐคงไม่สะดวก ป้าเลยคิดว่าช่วงสองสามเดือนสุดท้ายนี้แฮรี่ก็อยู่ที่เดิมไปก่อน ป้าจะลงชื่อเป็นผู้ปกครอง จ่ายค่าอพาร์ทเม้นให้ แล้วช่วยสัญญาอย่างหนึ่งด้วยว่าทุกคริสมาสต์เธอจะมาที่บ้านเรา”

                ในที่สุดฉันก็รับข้อเสนอ เธอเป็นผู้ปกครองที่ไม่จู้จี้เซ้าซี้ดี ตามกฎหมายฉันอายุสิบเจ็ดแล้ว อีกไม่กี่ปีก็จะบรรลุนิติภาวะ และไม่ต้องพึ่งพาผู้ปกครองอีก เรื่องเรียนฉันจะลองหาทางขอทุนการศึกษาบวกกับเงินมรดกที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้ก็พอมีกินมีใช้ แม้ว่าคุณป้าจะยืนยันว่าจะรับผิดชอบค่าหน่วยกิจและค่ากินอยู่ให้จนกว่าจะจบก็ตาม

                อพาร์ทเม้นดูว่างจนน่าใจหายเมื่อฉันอยู่คนเดียว ยิ่งทำงานบ้านคนเดียวยิ่งโหวงๆ ยิ่งแล้วใหญ่เมื่อฉันเห็นถุงลือดห้อยอยู่ในตู้เย็นส่วนตัวในห้องนอนของฉัน อาจารย์ที่ปรึกษายอมให้ฉันขาดเรียนหนึ่งวัน เพื่อพบที่ปรึกษาจิตวิทยาวัยรุ่น ฉันกลับใช้เวลาหนึ่งวันขดอยู่บนที่นอน แล้วร้องไห้เสียงดังอยู่คนเดียว

                จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วโมงก็นึกขึ้นได้ว่าการจ่อมจมอยู่กับที่นอนและน้ำตาเป็นเวลานานคงไม่ใช่ไอเดียที่ดีนักในการรับมือกับความสูญเสีย จึงตัดสินใจล้างหน้าล้างตาลุกขึ้นแต่งตัวไปพบที่เจ้าหน้าที่ที่ปรึกษาที่ดีใจหาย ถึงกับยิ้มแย้มบอกว่าไม่เป็นไรทั้งที่ฉันไปสายตั้งสามชั่วโมง  

                เพราะสายจัด กว่าจะเสร็จจึงค่ำมืด ฉันที่มีนัดทานข้าวเย็นที่บ้านอาร์มสตรอง บ้านของเคซี่จึงรีบจัด นัดนี้เลื่อนมาหลายหนตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วที่เคซี่หวังว่าจะสร้างความแช่มชื่นให้ฉันบ้างด้วยการชวนฉันกินข้าวเย็นกับครอบครัวของเธอ แต่ก็เป็นเคซี่เองที่เลื่อนไป เพราะช่วงสัปดาห์ที่แล้ว เธอยุ่งเหยิงกับการเริ่มเดทกับหนุ่มนักกีฬาหน้าตาดีในห้องคนหนึ่ง

                ฉันออกจากคลินิกอย่างรวดเร็ว คว้าจักรยานคันเก่งปั่นออกไป ทางไปบ้านเคซี่ไม่ไกลนัก ต้องผ่านไฮสคูลของพวกเราไปอีกด้านของเมือง เส้นทางช่วงหลังค่อนข้างเงียบและเปลี่ยว ปกติถ้าพ่อจะขับรถไปส่งฉันเสมอ แต่ก็นะ..

                ระหว่างที่ฉันผ่านประตูหน้า กลิ่นคาวหวานๆระลอกใหญ่ก็ลอยมาเตะจมูกเปรี้ยงเบ้อเริ่ม....

                ฉันหยุดจักรยานข้างทางทันที น้ำลายสอเต็มปาก คอแห้งผากจนเหนียวหนึบและแสบร้อนในอก ความกระหายพลุ่งขึ้นระลอกหนึ่ง แต่ไม่เป็นไรหรอก สองปีที่ผ่านมา ฉันฝึกตัวเองให้ทำเป็นไม่สนใจมันได้พักใหญ่ ในเวลาที่อาการแบบนี้มันเล่นงานเอา จริงๆคือฉันสามารถอดทนได้อยู่สักครึ่งค่อนวันโดยไม่แสดงอาการผิดสังเกตให้คนอื่นจับได้ทีเดียว

                แต่ที่ฉันตกใจ ไม่ใช่เพราะอาการกระหายที่คุกคาม แต่เป็นความเข้มข้นของกลิ่นเลือดในอากาศ กลิ่นรุนแรงขนาดทำให้ฉันมีปฏิกิริยาขนาดนี้ ไม่ได้เกิดจากเลือดหยดสองหยดหรอก มันต้องเกิดจากเลือดเป็นกองๆที่กำลังไหลริน และกลิ่นหอมหวนขนาดนี้ พนันได้เลยว่าเจ้าของเลือดยังไม่ตาย

                ฉันทิ้งจักรยานไว้บนทางเท้าทันใด และวิ่งไปตามกลิ่นที่โชยมา ซึ่งก็คือในอาณาเขตโรงเรียน ฉันปีนรั้วอย่างไม่คิดชีวิต ทันทีที่เข้ามาในบริเวณ กลิ่นก็ม้วนต้วนมัวเมาไปรอบๆ ฉันจึงวิ่งไปด้านหลังอาคารเรียน บริเวณนั้นเป็นทางแคบ ไม่ไกลเป็นห้องเก็บของและห้องทำงานภารโรง ช่องว่างระหว่างหลังอาคารกับโรงยิมอีกหลังมีประมาณระยะยืดแขนของฉัน ฉันจัดการแทรกตัวไปที่ช่องแคบนั้น กลิ่นรุนแรงขึ้นทุกขณะ ฉันแทบไม่ต้องใช้ไฟฉายเมื่อเห็นเงาอะไรบางอย่างพิงคู้อยู่ที่มุมเสา ซ่อนอยู่ในความมืดท่ามกลางความชื้นแฉะเจิ่งนองของกลิ่นคาวๆอันหวานหอม

                ฉันปรี่เข้าไปใกล้ ร่างนั้นเป็นหญิง เด็กหญิงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉัน ผมเผ้ายุ่งเหยิงสีบลอนด์ทอง สวมชุดเชียร์ลีดเดอร์ของโรงเรียน หน้าขาวซีดจนเขียวคล้ำ ที่ลำคอเป็นแผลกัดเหวอะจนเนื้อแหว่งที่เส้นเลือดใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุของเลือดที่กำลังปรี่ไหลอย่างเงียบๆอยู่ตอนนี้นี่เอง

                ลมหายใจของเธอกำลังขาดห้วง มันกระตุกเป็นระยะ ฉันยกมือข้างหนึ่งไปปิดปากแผลห้ามเลือดเป็นมั่นเหมาะ ส่วนอีกข้างรีบควักผ้าเช็กหน้า ผ้าขนหนู หรืออะไรก็ตามที่จะคิดได้ว่าน่าจะใช้ห้ามเลือดได้

                “เธอ...  อดทนหน่อยนะ อย่ามาตายใส่ฉันนะเข้าใจไหม”

                ตาของเธอหรี่ปรือ ลมหายใจแผ่วผิว ฉันควักผ้าขนหนูเล็กๆในกระเป๋ากางเกงได้ผืนหนึ่ง ก็โปะลงไปบนแผลอย่างลวกๆ ตอนนั้นเองที่กลิ่น ‘ชีวิต’ ที่อยู่ในเลือดของเธอเหือดหายลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นกลิ่นด้านๆ คาวๆแทนที่ 

                ฉันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก กลิ่นชีวิตวูบดับไปในกำมือของฉัน ตาที่หรี่ปรือเมื่อกี้ตอนนี้หรุบลงหลับสนิท แม้เลือดยังไหลซึมซับผ้าขนหนูของฉัน แต่กลิ่นของมันไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว

                ฉันยื้อผ้าขนหนูชุ่มเลือดออกจากแผล กลิ่นเลือดจากความตายมันกระตุกแผลใหม่ๆจากการสูญเสียในหัวใจฉันจนน้ำตาแทบร่วง แต่ก็แค่เสี้ยววินาที อึดใจต่อมาฉันก็ดึงตัวเองกลับมาสู่ความเป็นจริงสำเร็จ คำถามเกิดขึ้นทันใด เธอคนนี้เป็นอะไรตาย?

                   ฉันก้มลงมองกองเลือดหนานอง กลับแปลกใจกว่าเดิม ปริมาณมันน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ฉันหมายถึง... ฉันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรอกนะ แต่ร่างกายของเธอคนนี้มีเลือดเหลือน้อยกว่าที่ควรสักหน่อย แผลเหวอะแหว่งขนาดนั้นที่เส้นเลือดใหญ่ จริงๆแล้วมันน่าจะพุ่งเป็นน้ำพุเลยนี่นา

                ฉันก็ไม่เคยมีประสบการณ์หรอก...แต่...แวมไพร์รึเปล่านะ...?

                ตอนนั้นเองที่หูของฉันได้ยินเสียงแกร๊งของโลหะเบาๆ พอหันไปก็มองเห็นเงาร่างของชายคนหนึ่งจากมุมอาคาร..

                วูบเดียว เร็วมาก เหมือนรู้ตัวว่าฉันเห็น เขารีบหันหลังวิ่ง แล้วสัญชาตญาณอะไรก็ไม่รู้สั่งให้ฉันรีบลุกขึ้นเร่งฝีเท้าตามไปทันที

                “....นาย! หยุดนะ!”

                ฉันตะโกนไล่หลัง พลางรีบวิ่งตามร่างนั้นสุดกำลัง เขาเร็วมาก ฉันก็สับเท้าตามสุดชีวิตเหมือนกัน เขาวิ่งลดเลี้ยวไปที่รั้วโรงเรียน ฉันเห็นแค่หลังเสื้อเจ๊กเก็ตหนังกับผมสั้นดกดำของเขาไวๆ แต่ก็ตามไม่ลดละ

                เงาหลังของเขาวิ่งปรู๊ดปร๊าด เสียงโลหะเคร้งคร้างพุ่มไม้ไหวแซกซากเบาๆ ฉันรีบสับเท้าตาม ก่อนที่จะได้ยินเสียงตุ้บหนักๆอยู่ข้างหน้า ฉํนรู้ทันที เขาข้ามรั้ว..

                หมอนี่คงไม่ใช่เด็กนักเรียน ก็เลยไม่รู้ทางลัด ฉันสับฝีเท้าไปอีกทาง เป็นทางที่ไปสุดที่รั้วอีกด้าน รีบปีนข้ามรั้วอย่างรวดเร็ว หากฉันเร็วพอ ฉันจะดักเขาทันตอนเขาพยายามออกทางด้านหน้า

                ฉันคิดถูก ฉันวิ่งออกมาเจอเขากำลังพยายามออกทางด้านหน้า ฉันจึงเร่งความเร็วสุดแรงเกิด พุ่งชนกลางลำตัวของหมอนั่น จนเราสองคนกลิ้งโค่โล่กระเด็นไปปะทะกำแพงคอนกรีตอีกด้านดังอั่ก

                “บ้าเอ๊ย...” ฉันได้ยินเสียงเขาสบถแหบห้าว ระหว่างเขาพยายามยันร่างตัวเองลุกขึ้น ฉันรีบกระโจนเข้าตะครุบทันที แล้วเราจึงประจันหน้าเป็นครั้งแรก..

                ฉันเห็นหน้าหมอนั่นเต็มตา เขาสวมเเจ็กเก็ตหนังทับเสื้อยืดสีเข้ม ผมดกดำตัดสั้น หูทั้งสองข้างเจาะห่วงที่มากเกินความจำเป็น หน้าตาที่บ่งบอกอายุยี่สิบกลางๆถึงปลายๆมีแววตกใจเมื่อมองเห็นหน้าฉันที่กำลังขึ้นคร่อมเขาอยู่ทั้งตัว

                ฉันก็ตกใจ ตกใจที่จับเขาได้ และยิ่งตกใจมาก เมื่อทันใดนั้นเขาก็ผงกหัวอ้าปากส่งเสียงคล้ายคำรามจากช่องท้อง ซึ่งยิ่งประหลาดสุดๆ ที่มีฟันแหลมๆนับซี่ไม่ถ้วนงอกออกมาจากเหงือกด้านบนด้านล่างของเขา ฉันอยู่ในกิริยาที่ค่อนข้างใกล้ชิด นี่เหมือนดูหนังเรื่องตัวเขมือบสามมิติหน้าจอกันเลยทีเดียว

                ระหว่างที่ฉันตกใจจนผงะร้องกรี๊ด เจ้านั่นก็กำหมัดต่อยเข้าลูกตาซ้ายของฉันเหมาะเจาะดังบึ่ก จนฉันกระเด็นออกจากตัวเขา ซึ่งพอฉันหายมึน หันมามองอีกทีหมอนั่นก็หายจ้อย 

                หลังจากนั้นฉันก็ทำตามตำรา ใช้โทรศัพท์คลื่อนที่(น่าอัศจรรย์เหลือเกินที่มันยังใช้ได้หลังจากกระแทกกำแพงไปซะโครมใหญ่จากเมื่อครู่) โทรไปยังเบอร์แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย และหลังจากนั้นไม่กี่นาที ตำรวจพร้อมเส้นที่เกิดเหตุ และรถเก็บศพก็เต็มบริเวณ

                ฉันให้การกับตำรวจไปตามที่ให้ได้ ซึ่งแน่นอน ฉันต้องข้ามตอนที่ได้กลิ่นเลือดกับตัวเขมือบสามมิติไป นอกนั้นฉันก็เล่าไปตามจริงทุกอย่าง

                “แล้วเธอก็ไล่ตามผู้ชายคนนั้นไป.. ใช่ไหม? เอ่อ... มิสมอร์ทิสัน”

                คุณตำรวจร่างอ้วนถามเป็นครั้งที่สอง คงเพื่อความแน่ใจ ฉันก็ตอบไปตามจริง

                “หนูเห็นเงาเขาตรงมุมอาคารน่ะค่ะ พอเขาเห็นว่าหนูหันมอง เขาก็วิ่งหนี หนูเลยวิ่งตาม”

                “เขาแต่งตัวยังไง? จำได้ไหม?”

                ฉันพยักหน้าหงึกหงัก “เขาใส่กางเกงยีนส์สีดำกับรองเท้าหนังค่ะ หนูได้ยินเสียงมันกระทบพื้น แล้วแจ็กเก็ตหนังตัวยาวๆหน่อย ใส่ทับเสื้อยืดสีเข้มๆ น่าจะเป็นน้ำเงินค่ะ”

                “อือม์... แล้วหน้าตาล่ะ?”

                “จำได้แม่นเลยค่ะ หนูรวบเขาได้ตรงโน้น..” ฉันชี้มือระบุที่ด้วยเป้นของแถม  “ผมเขาสีดำ สั้นๆ ยุ่งนิดๆ หน้าเหลี่ยมๆหน่อย ดูแก่กว่าหนู เขาเจาะหูเยอะเลยค่ะ เหมือนพวกแก๊งค์ซิ่ง เขาซัดหนูหมัดนึง แล้วก็หนีไป”

                พอจบประโยค คุณตำรวจอ้วนก็ตวัดสายตาขึ้นมองฉัน คิ้วบางๆขมวดไปด้วย

                “แต่เธอไม่เห็นบาดเจ็บเลยนี่นา”

                “เขาต่อยพลาดค่ะ...” ฉันรีบบอก “หนูตกใจจนปล่อยเขาหนีไปได้เลย”

                “อ๋อ...” คุณตำรวจรับข้อแก้ตัวของฉันง่ายๆ จะให้บอกได้ยังไงล่ะว่าเขาต่อยโดนจังเบ้อเร่อ แต่แผลของฉันมันหายเร็วจัดจนคุณตำรวจมาไม่ทันเห็น

                  “งั้นเดี๋ยวเธอไปโรงพัก ให้การอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วเราจะได้เสก็ตภาพคนร้ายกัน โอเคมั้ย? เราต้องโทรแจ้งผู้ปกครองเธอด้วย”

                ฉันเงียบไปหนึ่งอึดใจ “หนูไม่มีคุณพ่อคุณแม่แล้วค่ะ เป็นคุณพ่อคุณแม่ของเพื่อนได้มั้ยคะ?”

                คุณตำรวจอ้วนได้ยินก็เหมือนอึ้งไปกว่าอึดใจ ก่อนจะพยักหน้าเงียบๆ แล้วก็พาฉันไปที่รถตำรวจอย่างสุภาพกว่าตอนที่ถามคำถามนิดหน่อย

                 ฉันนั่งให้เขาเสก็ตรูปคนร้ายกว่าหลายชั่วโมง ก่อนที่พ่อแม่ของเดซี่จะมารับฉันที่โรงพัก คืนนั้นฉันก็เลยต้องค้างที่บ้านเดซี่อย่างช่วยไม่ได้

                แม้จะกลับจากโรงพักดึกดื่น แต่ฉันกับเดซี่ก็ยังกลับมานั่งคุยเรื่องไร้สาระกันอีกจนค่อนคืน จริงๆคือส่วนมากฉันเป็นคนฟังนั่นแหละ ตอนนี้ประเด็นร้อนที่อยากแชร์ของเจ้าหล่อนก็ไม่พ้นเรื่องแฟนสดๆร้อนๆที่เพิ่งเดท ดูเหมือนส่วนของเรื่องสำหรับคืนนี้ที่เดซี่สนใจที่สุด จะมีแค่ผู้ตายเป็นเชียร์ลีดเดอร์เท่านั้น

                “ผมบลอนด์น่ะ ฉันจำหน้าไม่ได้ รู้แต่ว่าเขียวมาก เหมือนขาดเลือด”

                ฉันเล่า เดซี่นอนเท้าแขนฟังอยู่บนเตียง เธอเป็นผู้หญิงร่างเล็กบาง ผมแดงถูกรีดจนตรงเรียบเป็นทรง หน้าตกหระเป็นริ้วบนดั้งจมูกและแนวกราม ดวงตาสีฟ้าสดใส เธอสวยทีเดียว ยิ่งตอนที่แต่งหน้าปิดกระ ทำผมเป็นทรงยิ่งสวย ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันพยายามบอกเธอมาหลายปี กว่าเธอจะยอมเชื่อ ยอมให้ฉันลากเข้าร้านทำผมเป็นครั้งแรก

                เราอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อยแล้ว ฉันนั้นซุกตัวอยู่ในถุงนอนบนพื้นเรียบร้อยแล้วด้วยตอนที่เดซี่คะยั้นคะยอให้อธิบายลักษณะเชียร์ลีดเดอร์คนนั้นให้ฟัง

                “แล้วไฝล่ะ” เธอถามอย่างกระตือรือร้น “แบบกระ หรือพวกขี้แมลงวัน มีบ้างมั้ย? ...ให้ตายเถอะแฮรี่ พวกตำรวจไม่บอกชื่อเธอบ้างเลยรึไงนะ?”

                “ฉันไม่ทันถามไง..” ฉันรับคำง่ายๆ “มาถึงพวกเขาก็สนใจแต่ผู้ชายที่หนีไปได้คนนั้น”

                “โธ่..” เดซี่ร้อง “ฉันอยากรู้จะตายอยู่แล้ว เป็นยัยเอเรียลหรือเปล่านะ แม่พวกเชียร์ลีดเดอร์นี่ก็บลอนด์กันเกือบหมดด้วย”

                “พรุ่งนี้ก็รู้เองแหละ” ฉันตอบ

                เดซี่เบะปากน้อยๆ ก่อนทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม ฉันนึกว่าการสนทนาจบลงแล้วด้วยซ้ำ แต่เธอกลับส่งเสียงลอยๆขึ้นมาใหม่

                “แฮรี่” เธอเรียก

                “หือม์..” ฉันรับคำในลำคอ

                “เธอมีอะไรปิดฉันอยู่รึเปล่า?”

                ฉันยิ้มกับเพดานเงียบๆ เรื่องปิดบังมีเป็นกระบุงเลยล่ะเดซี่เอ๋ย

                “เธอน่ะ” เดซี่ส่งเสียง “เหมือนห่างๆฉันออกไปตั้งแต่สองปี่ที่แล้วนะ ไม่สนิทเหมือนก่อน เธอมีอะไรปิดฉันหรือเปล่า? “

                “ไม่มีหรอก” ฉันตอบเรียบๆ “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

                “ก็.. ฉันไม่ไปค้างบ้านเธอมานานแล้ว.. แล้วอย่างตอนชาร์ลี เธอก็ไม่พูดอะไรกับฉันเลย อย่างตอนนี้อีก ...คือ เธอเพิ่งเผชิญหน้ากับฆาตกรฆ่าคนนะ เธอก็ทำเหมือนเล่าเรื่องตัวเองไปตลาด เธอ... ไม่เคยแสดงความรู้สึกต่อหน้าฉัน ไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าฉันเลยนะ”

                ฉันผ่อนลมหายใจยาว ยอมรับเงียบๆ แม้ฉันจะคิดว่าตัวเองอยู่อย่างเดิมได้ดี แต่ความลับเรื่องการกินเลือดมนุษย์เป็นประจำ กับร่างกายที่ไม่เจริญเติบโตนี่  มันทำให้ฉันห่างจากเพื่อนสนิทคนนี้ไปเรื่อยๆจริงๆ ฉันจะเล่าได้ยังไงล่ะว่าฉันกลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้แล้วตอนนี้ ไม่เอาน่า....นี่ไม่ใช่เรื่องบัฟฟี่เดอะแวมไพร์สเลเยอร์นะ อะไรพรรนี้จะได้เกิดขึ้นได้เป็นปกติ

                แต่ส่วนที่เดซี่ควรได้ ฉันก็ควรให้ อ้างอิงจากกฎเหล็กของพ่อ.. 

                “ฉันน่ะนะ..” ฉันรวบรวมคำพูด “ตอนที่ฉันเข้าไปตรงนั้น เธอยังหายใจอยู่ด้วยล่ะ..”

                “เหรอ...” เดซี่รับคำ ซึ่งฉันจับความตระหนกในน้ำเสียงได้

                “ฉันก็พยายามห้ามเลือด แต่ไม่กี่วิเธอก็ขาดใจตาย... ง่ายๆ..เหมือนดับไฟเลย ตอนนั้นฉันรู้สึกไร้ค่าสุดๆเลยล่ะเดซี่ ชาร์ลีก็คนนึงแล้ว เด็กคนนั้นก็ตายใส่ฉันอีก รู้มั้ย? ฉันไม่มีปัญญาทำอะไรเลยล่ะ ....โกรธตัวเองขึ้นมาเลย อยู่ตรงนั้นแท้ๆ แต่ไม่มีปัญญาแก้ไขอะไรสักอย่าง..”

                “แฮรี่..” เดซี่เรียก เสียงเธอสั่นน้อยๆ

                “ฉันมันโคตร...โคตร..เล็กน้อยเลย ขนาดฉัน.. ฉันที่เป็นอย่างตอนนี้... ยังห้ามอะไรไม่ได้สักอย่าง ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง..  รู้มั้ยเดซี่ บางทีนะ...บางที.. ฉันก็คิดว่าถ้าฉันตายไปเลยอย่างสงบในป่านั่นเมื่อสองปีก่อน....”

                “แฮรี่...ห้ามคิดแบบนั้นนะ!”

                ฉันหันไปยิ้มให้เดซี่ ที่ตอนนี้ผงกหัวขึ้นมองฉันอย่างห่วงใย

                “ไม่ต้องห่วงหรอก ....ฉันยังอยู่ตรงนี้ใช่ไหมล่ะ ฉันแค่โกรธความไม่เอาไหนของตัวเองเท่านั้น”

                “ความผิดเธอที่ไหน.. เด็กคนนั้นถูกฆ่า ชาร์ลีก็รถคว่ำ”

                “ไม่รู้สิ เดซี่ ....ฉันพยายามไม่คิดถึงมันมาตลอด แต่ลึกๆฉันก็สงสัยนะ สงสัยมากๆ .. แบบว่า.. ฉัน..ที่เป็นฉันอย่างนี้ มีประโยชน์อะไรที่ไหนกับเขาบ้างหรือเปล่า? หรือมันมีจุดประสงค์อะไรสำคัญหรือเปล่าที่....ฉันรอดจากป่านั่น..”

                เดซี่มองหน้าฉันอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนท่าเดิม ส่งเสียงเบาๆ “ฉันพอรู้บ้างแล้วล่ะ ว่าทำไมเราถึงไม่สนิทกันเหมือนก่อน เพราะระหว่างที่ฉันเรียนไฮสคูล ตั้งใจเข้ามหาวิทยาลัย เธอยังอยู่ในป่านั่น ไม่เคยออกจากป่านั่นได้เลย”

                ฉันตะแคงตัวหันหน้าไปอีกทาง ทำเป็นไม่ได้ยิน

                “แฮรี่” เธอเรียกอีกครั้ง “อย่ามาทำเป็นไม่ได้ยินนะ”

                ฉันยังเม้มปากสนิท แต่เดซี่เสียงแข็งขึ้น “อย่ามาทำเฉยนะ โตๆกันแล้ว จะคุยก็คุยให้จบสิ”

                “อือม์.. ฉันยังอยู่ในป่าไง” ฉันบอก

                “แล้วไม่คิดจะออกมาเลยรึไงนะ แฮรี่ เพราะเราคบกันมานานนะ ฉันถึงพูดตรงๆ ไอ้การเผชิญปัญหาแบบแกล้งทำลืมๆนี่ไม่เหมือนเธอเลยสักนิด”

                ฉันนิ่งฟัง เดซี่พูดน่าคิดไม่น้อย ตอนพ่อมีชีวิตอยู่นั้น ฉันเหมือนมีชีวิตไปเรื่อยๆตามปกติ แม้จะสงสัย แต่พ่อมักบอกเสมอว่า ‘ช่างมันเถอะ ลูกรอดมาได้ก็ดีถมไปแล้ว เรื่องเหตุผลเราไม่ต้องค้นคว้าอะไรหรอกง’ แม้ฉันจะสงสัยแค่ไหน แต่ความอุ่นใจที่อยู่กับพ่อ มันทำให้ฉันไม่เคยคิดกระตือรือร้นหาคำตอบจริงๆสักครั้ง

                เหมือนมีใครมาจุดไฟให้สว่างวาบในหัวของฉัน ในที่สุด เป็นครั้งแรก ที่ฉันรู้ว่าฉันต้องทำอะไร หลังจากชาร์ลีจากไป นอกเหนือจากการหมกตัวคร่ำครวญบนเตียง

                “ว่าไง” เดซี่ส่งเสียง

                “เธอพูดถูก” ฉันว่า “ฉันไม่น่าเสียเวลากับที่ปรึกษาจิตวิทยาบำบัดนั่นเลย มานอนคุยกับเธอมีประโยชน์กว่าเป็นไหนๆ”

                “อยู่แล้วล่ะ ฉันเป็นใครกัน แล้วไง..จะเอายังไง”

                “ก็...” ฉันยิ้มให้เดซี่ที่ตอนนี้นอนตะแคงมองฉันอยู่อย่างเป็นทางการ “ฉันคงต้องเริ่มจากในป่าจริงมั้ย? หาคำตอบว่าทำไมเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับฉัน”

                 แน่นอนว่าคำถามแรกที่ฉันต้องหาคำตอบ เป็นคำถามที่ฉันถามตัวเองมาตลอดสองปีอย่างไม่มีเบาะแส

                ที่แท้ฉันเป็นตัวอะไรกันแน่?....

                .......................................................................................................................................................

                ฉันกับเดซี่ไปถึงโรงเรียนตอนเช้า และเกือบจะในทันที จากตำรวจที่ตรวจตรารอบๆบริเวณ และเรียกหาบางคนไปสอบปากคำ และที่ชัดเจนที่สุดคือภารโรงปากสว่างที่เล่าเรื่องเมื่อคืนควันโขมงราวกับเจอศพเอง สุดท้ายราทั้งคู่ก็ทราบว่าเชียร์ลีดเดอร์ผู้จมกองเลือดเมื่อคืนเป็นใคร

                เธอไม่ใช่เอเรียล หัวหน้าเชียร์ลีดเดอร์ผมบลอนด์อย่างที่เดซี่คาด เธอชื่อ บรี เป็นรองหัวหน้าเชียร์ลีดเดอร์ รองจากเอเรียล และจากปากคำของเดซี่ บรีกำลังคบอยู่กับเอ็ด

                ฟังแล้วมึนงงนิดหน่อย สำหรับฉันที่เป็นพวกนอกวงโคจรสังคมไฮสคูล ..

                ไม่ทันที่เดซี่จะเล่าอะไรให้ฉันงงหนักกว่าเดิม ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าเรา

                “เฮ้... พวกเธอ..” เขาทักเราทั้งคู่

                “เฮ้..” ฉันยกมือทักตอบ แล้วฉันก็ยกมือเก้อ เพราะเดซี่สาวน้อยตะครุบต้นคอของเขาไปจูบอย่างดูดดื่ม ตอบรับการทักทายแทนส่วนของฉันไปอย่างเกินพอ

                หมอนี่ชื่อเจมส์ ลาวเดอร์ เป็นนักกีฬาฟุตบอลตัวสำรองที่เพิ่งติดทีมเทอมที่แล้ว ฝีมือการเล่นพอประมาณ แต่นิสัยถือว่าดีโดดออกจาทีมเดียวกันอยู่ไม่น้อย คือเป็นคนไม่ค่อยถือชั้นวรรณะอย่างคนส่วนใหญ่ที่บูชาความนิยมชมชอบในจากคนในสังคมมากกว่าน้ำใจ เจมส์ค่อนข้างมุ่งมั่นเป็นตัวของตัวเอง และตาแหลมอย่างยิ่ง ฉันปลื้มนิดหน่อยที่สองคนนี้ตัดสินใจเดทกัน

                หลังจากแลกลิ้นกันเป็นที่สาแก่ใจ ริมฝีปากของทั้งคู่ก็ค่อยๆผละจากกันอย่างอาลัยอาวรณ์ ตอนนั้นเองฉันจึงมีช่องว่างให้พูดบ้าง

                “หวัดดีอีกทีนะ เจมส์ ...”

                “อ้อ! แฮรี่..” เขาหันมาฉันราวกับเพิ่งมองเห็นว่าฉันอยู่ตรงนี้ “ไงบ้าง...เอ่อ.. เสียใจด้วยนะเรื่องพ่อ”

                “ช่าย.. ฉันเห็นแล้วว่าเธอเสียใจม้ากมาก..”

                เจมส์หัวเราะเก้อๆ มือยังโอบเอวเดซี่ไม่คลาย เขาคงนึกเขินไม่น้อยจึงเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

                “เธอสองคนรู้เรื่องบรีแล้วรึยัง? เขาว่าเด็กโรงเรียนเราเป็นคนพบศพด้วย”

                เดซี่รีบพูดทันที “เด็กคนนั้นคือแฮรี่หล่ะ เจมส์ เมื่อคืนพ่อแม่ฉันต้องไปรับเธอจากโรงพักแน่ะ”

                “จริงดิ..” เจมส์ตาโต “เธอพบศพเหรอ..ว้าว.. เจ๋งไปเลย”

                ฉันรู้สึกแปลกๆกับนิยามความเจ๋งของเจมส์ จึงไม่ตอบประโยคนั้น แต่เฉไฉไปเรื่องอื่นแทน

                “เพิ่งรู้เหมือนกันว่าหล่อนคือบรี เบรสเตอร์”

                “ทุกคนอึ้งเลยล่ะ เชียร์ลีดเดอร์จับกลุ่มซับน้ำตากันมุมตึกแต่เช้า เอ็ดดี้บ้าไปเลย แม้แต่พ่อแม่บรีเองยังแทบไม่เชื่อ นี่เห็นว่ากำลังอยู่บนเครื่องเพื่อกลับมาดูศพ”

                “แล้วนายล่ะ รู้จักเธอบ้างไหม?” ฉันถาม

                “โอ้ย..ฉันเหรอ” เจมส์ชี้หน้าอกตัวเอง “ฉันมันแค่ลูกชายช่างซ่อมรถ เขาไม่เสวนากับฉันหรอก แต่พอได้ยินว่าหล่อนเป็นแบบนี้ไปซะแล้วก็นินทาไม่ลงน่ะ”

                เดซี่มองหน้าเขาอย่างเห็นด้วยอย่างสุดซึ้ง แล้วเธอก็ยกมือแตะแก้มเจมส์พร้อมทั้งชายตามองพูดว่า “ดูแฟนฉันสิ ใจดีแล้วก็น่ารักที่สุด...”

                เจมส์ยิ้มที่มุมปากพูด “เหรอจ๊ะ...” คำเดียว ทั้งคู่ก็โถมเข้าหากันอีกรอบ ต่อหน้าฉันเนี่ยแหละ

                ฉันขมวดคิ้วมองทั้งคู่อย่างเหนื่อยหน่าย ก็ดีนะ.. แบบว่า..ดูรักกันอย่างเร่าร้อนดี ฉันก็ได้แต่ถอนหายใจยกมือตบบ่าทั้งคู่เบาๆ พร้อมกับพูดว่า

                “พวกเธออย่าลืมไปเข้าคลาสละกันนะ.. ฉันไปก่อนล่ะ”

                แล้วฉันก็จากมา เดซี่ยังมีกะใจยกมือโบกลาให้ฉันด้วย แม้ริมฝีปากยังติดพันก็ตาม

                เที่ยงนั้น หลังจากที่ฉันกับเดซี่กินอาหารกลางวันกันเรียบร้อยตามปกติ เดซี่ก็ขอตัวไป ‘พูดคุยเพื่อเรียนรู้อุปนิสัยของกันและกัน’ เพิ่มเติมกับเจมส์ ฉันหัวเราะใส่ไปเธอไปยกหนึ่ง แซวไปอีกหลายตลบ กว่าจะปล่อยเธอไปตามทาง ให้ตายถอะ... ถึงฉันจะดีใจที่ทั้งคู่ตกลงใจคบกันซักทีหลังจากที่จดๆจ้องๆกันมาตั้งสองปี แต่นี่มันออกจะเป็นปฏิกิริยาทางเคมีที่รุนแรงกว่าที่ฉันคิดไว้มากๆ

                 ฉันคิดเรื่อยเปื่อยระหว่างพาตัวเองไปที่ห้องสมุดเพื่อหาหนังสือทำรายงานเรื่องประวัติศาสตร์ เวลาพักกลางวันที่นี่คนเยอะ แต่บรรณารักษ์ที่ชื่อมิสซิสเกรลเป็นคนเจ้าระเบียบจัด แม้คนเยอะแค่ไหน เธอก็ไม่ยอมให้มีเสียงดังกว่าเสียงปากกาขูดขีดไปบนกระดาษ ทว่าวันนี้ดูเหมือนมิสซิศเกรลไม่มาทำงาน แต่เป็นครูสาวในชุดแซ็กผมบลอนมาทำแทนที่ เสียงที่เคยเงียบเชียบจึงดังขึ้นบ้าง

                ฉันกำลังไล่เรียงสายตาไปตามชั้นหนังสือ ตอนที่มีใครคนหนึ่งเข้ามาทักข้างหลัง

                “เฮ้..เธอ..”

                ฉันหันไป แต่ต้องเงยหน้ามองร่างเจ้าของเสียงทุ้มต่ำเสียอย่างนั้น เขาเป็นชายร่างหนาผมสีน้ำตาลยาว สูงใหญ่อย่างนักกีฬา และเป็นนักกีฬาฟุตบอลอย่างแน่นอน เพราะเขาสวมเสื้อทีม

                “เฮ้..” ฉันตอบอย่างหวาดระแวง

                “ฉัน เอ็ด..วินสโลว” เขารีบยื่นมือมาให้ฉันจับ ฉันก็ยื่นไปจับอย่างอัตโนมัติ

                “แฮเรียท มอร์ทิสัน” ฉันแนะนำตัว “เรียกว่า แฮรี่ก็ได้..”

                ตอนนั้นเองที่ฉันสังเกตเห็นแววตาสีน้ำตาลหม่นหมอง ผิวซูบซีดขรุขระ เสียงหัวใจเต้นปั้มพ์เลือดในร่างเขาเบาไปกว่าคนปกตินิดหน่อย ซึ่งเป็นอาการปกติของคนที่นอนน้อย มันทำให้ฉันนึกได้ว่า ที่แท้เขาคนนี้ควรเป็นใคร

                “นาย..คือ เอ็ดคนนั้นหรือเปล่า.. เอ็ด...ของบรี” ฉันถาม

                เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าเซื่อมซึมเหงาหงอย “เขาว่าเธอเป็นคนเจอบรีคนแรก ฉันอยากคุยกับเธอ เป็นการส่วนตัว...”

                “โอเค..” ฉันว่า “คุยเลย..”

                “ไม่ใช่..” เขารีบพูด ทำหน้าเบ้เหมือนระงับอารมณ์โศกที่กำลังล้นทะลัก “ร้านสวินี่ไดเนอร์ ห้าโมงเย็น... ได้โปรด ฉันต้องการคุยจริงๆ”

                เขาไม่รอคำตอบ หลังจากที่เออออการนัดหมายอยู่คนเดียวเขาก็เลี่ยงหายไปเหมือนกลัวฉันจะตะโกนปฏิเสธไล่หลัง ฉันก็ได้แต่เอ้อๆอ้าๆ งงงวยอยู่ตรงนั้น

                ..........................................................................................................................................

                อย่างไรก็ตาม ฉันไปตามนัด..

                ร้านสวินี่ไดเนอร์ห่างจากเขตสุมหัวของเด็กนักเรียมตามปกติพอควร มันตั้งอยู่ในขอบๆย่านสถานที่เที่ยวกลางคืนด้วยซ้ำ ในเวลาช่วงนี้คนส่วนมากที่มาร้านนี้เป็นพนักงานเตรียมเข้ากะบ้าง สาวเสิรฟ บาร์เทนเดอร์บ้าง เด็กเที่ยวอาจมาแวะกินก็เป็นส่วนน้อย ส่วนมากเขาจะแวะมาตอนดึกกว่านี้มาก เวลาห้าโมงเย็นของสวินี่ไดเนอร์ จึงถือเป็นเวลาหลีกเลี่ยงการต่อคิวอย่างดี

                เอ็ดนั่งรออยู่ก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขามาก่อนเวลาพอควร เครื่องดื่มที่อยู่ตรงหน้าเขาพร่องไปแล้วกว่าครึ่งแก้ว ทันทีที่เขาเห็นฉันก็โบกมือเรียกให้นั่งลงตรงข้ามอย่างรีบร้อนราวกับมีเรื่องด่วน

                ฉันทรุดตัวลงนั่ง เขาก็พูดขึ้นทันที

                “ขอบคุณที่มา..”

                “โอเค..” ฉันตอบกลับไป

                คุยได้แค่นั้นพนักงานก็เข้ามารับออร์เดอร์ ฉันก็สั่งมิลก์เชคไปแก้เก้อ พอลับหลังพนักงานเอ็ดก็เริ่มพูดต่อ

                “ฉันได้ยินมาเรื่องพ่อของเธอ.. เสียใจด้วยนะ”

                ฉันพยักหน้ารับคำเงียบๆ “เธอไม่ได้นัดฉันมาเรื่องพ่อของฉันใช่ไหม?”

                “ไม่อย่างแน่นอน .........เรื่องบรีน่ะ..” พูดถึงตรงนี้แววตาเขาก็อ่อนแสงอีกครั้ง

                “อือม์... ฉันเล่าอะไรไม่ได้มากหรอกนะ บอกตำรวจไปหมดแล้วด้วย.. “ ฉันพยายามรวบรัด ไม่ว่าฉันจะเล่าเรื่องนี้ในทางไหน ก็เหมือนจะทำร้ายจิตใจเขาทั้งสิ้น

                “ฉันต้องการฟังจากเธอ.. ถ้าเธอจะตอบคำถามของฉัน..”

                “ก็เท่าที่ตอบได้ละกัน” ฉันแบ่งรับแบ่งสู้

                “บรีเขา... เป็นยังไง.. ตอนที่..เธอไปถึง...”

                ฉันหยุดสูดหายใจเข้า มองแววตาอ้อนวอนอย่างชั่งใจ ค่อยๆเรียบเรียงคำพูดในหัว

                “ตอนนั้น.... เธอหมดแรงแล้ว ..”

                “บรียังไม่ตายเหรอ? ตอนนั้นที่เธอเจอเขา”

                “ยัง... “

                “เขาพูดอะไรบ้างหรือเปล่า?”

                ฉันสะดุดกึกกับคำถามนั้นจนขมวดคิ้ว แต่ก็ยังตอบอย่างซื่อสัตย์ “ไม่.. เขาพูดไม่ไหวแล้ว หายใจยังแทบไม่ไหวเลย”

                “แล้ว... เขาบาดเจ็บยังไงบ้าง?”

                “ก็ตามที่ตำรวจรายงาน...”

                “ตำรวจบอกแค่ว่าเสียเลือดมากนี่นา เธอโดนทำอะไร..”

                ฉันงับลิ้น คิดสะระตะหาคำอธิบายที่นุ่มนวลและเป็นปกติที่สุด “เธอมีแผล.. แบบ..คล้ายของมีคมทำร้ายที่คอ..”

“แบบถูกกัดน่ะเหรอ?”

ฉันระงับคำว่า ใช่เลย ลงไปในลำคอ แล้วหลีกเลี่ยงไป “ก็...คล้ายๆอย่างนั้นน่ะนะ แต่หลักๆก็คือเธอเสียเลือดมาก”

พอฉันตอบไปอย่างนั้น คำถามของเอ็ดก็เหมือนจะหมดสต็อก เขาเงียบ คิ้วขมวดมุ่นด้วยความคิดพลางหมุนแก้วในมือเล่นอยู่หลายนาที เมื่อไม่มีคำถามเพิ่ม ฉันจึงเริ่มคิดจะปลีกตัว ทว่าพอฉันคิดอย่างนั้น จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นถามฉันอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“แฮรี่ เธอเชื่อเรื่องแวมไพร์ไหม?”

...........................................................................................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา