Supernatural:Spin Off

4.8

เขียนโดย รถขนมปังกรอบ

วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เวลา 23.31 น.

  3 chapter
  10 วิจารณ์
  9,623 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) At the end of the beginning(Part 3)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                สตีฟพาฉันลัดเลาะออกทางด้านหลังตึก ทิ้งเสียงคำราม เสียงอาวุธฟาดฟัน และความอลหม่านไว้เบื้องหลัง ดูเหมือนเขาจะค่อนข้างชำนาญทาง เจอตรอกเล็กตรอกน้อยหรือทางแยกใดก็พาฉันเลี้ยวพาฉันแทรกตัวออกไปอย่างไม่หยุดคิดสักนิด

                วิ่งกันมาไม่กี่อึดใจก็ถึงโกดังเก็บอุปกรณ์ก่อสร้างด้านหลัง สตีฟรุนหลังฉันเข้าไปในโกดังแห่งหนึ่ง แล้วจัดการปิดประตู

                “ตรงนี้น่าจะปลอดภัย อีกสักพักค่อยออกไปละกัน..” เขากระซิบบอกขณะจูงฉันเข้าไปด้านใน ท่ามกลางความมืดมิด

                มือของเขาจับข้อมือฉันจนเจ็บ ร้อนรนจูงฉันไปข้างหน้าจนตัวโย้ อารามตกใจฉันจึงไม่ส่งเสียงประท้วงแต่แรก สตีฟพาฉันเข้าไปหลบหลังกองท่อเหล็กที่ด้านข้างโกดัง พอเราทั้งคู่นั่งเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วเขาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนคลายใจได้เปลาะหนึ่ง

                ฉันรับฟังอย่างสงสัย จึงส่งเสียงกระซิบถามไป

                “พวกคุณต้องกลัวนักล่าขนาดนี้เลยเหรอ?”

                เพราะในโกดังมืดจนฉันมองไม่เห็นหน้าเขา แต่ดูเหมือนเขาจะหัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะกระซิบตอบฉัน

                “เฉพาะบางคนหรอกแฮรี่ บังเอิญเจ้าเทอร์เนอร์มันตัวอันตรายอันดับต้นๆ แค่มาคนเดียวก็หืดขึ้นคอแล้ว ไม่รู้คราวนี้พกเพื่อนมาด้วยหรือเปล่า หนีได้ก็หนีดีกว่า”

                ฉันขมวดคิ้ว “แต่เท่าที่เห็น เขา..เป็นมนุษย์ธรรมดาเองนี่นา”

                “เธอน่ะไม่รู้อะไร มนุษย์น่ะเป็นเผ่าพันธุ์ที่น่ากลัวที่สุดแล้ว โดยเฉพาะตอนที่มุ่งมั่นกับอะไรสักอย่างแบบลืมตายน่ะ”

                ฉันสีหน้างุนงงใส่ความมืด กำลังตั้งต้นจะถามอะไรต่อ ก็รู้สึกว่าฉับพลันตัวทั้งตัวถูกรวบเข้าไปในอกของสตีฟอย่างรวดเร็ว ฉันตกใจจะส่งเสียงกรี๊ด มือหนาของเขาก็เอื้อมมาปิดปากหมับ พร้อมทั้งส่งเสียงชู่ว์เบาๆ ส่งสัญญาณให้ฉันไม่ต้องส่งเสียงใดอีก

                ตอนแรกฉันคิดดื้อดึง แต่อึดใจต่อมาก็เข้าใจ เมื่อประตูโกดังเปิดผางออกอย่างเชื่องช้าและส่งเสียงโครมครามระลอกใหญ่ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาด้านใน นักล่าที่ชื่อเทอร์เนอร์เดินอาดๆเข้ามาข้างในอย่างเชื่องช้า นัยน์ตาคมกริบสีน้ำเงินเข้มกลอกซ้ายขวาอย่างระวังระไวเหมือนเหยี่ยว มือข้างหนึ่งเขายังถืออาวุธคล้ายเคียวเปื้อนเลือด อีกมือยังถือปืนสั้นอัตโนมัติกระบอกเดิม สีหน้าของเขาเฉยชาเหมือนหุ่นยนต์มากกว่ามนุษย์ แนวสันกรามขยับของเขาน้อยๆ

                ไม่รู้เพราะอะไร แทนที่เขาจะเดินไปทางอื่นตามที่ฉันอธิษฐานในใจ เขากลับเดินมาด้านข้างโกดังที่เราซ่อนอยู่ เงาของเขาที่สะท้อนจากแสงข้างนอกดูยาวกว่าความเป็นจริง มันพาดผ่านมาตรงพวกเราด้วยซ้ำ สตีฟโอบไหล่ฉันแน่น ฉันมองเห็นเขาเม้มริมฝีปากเข้าด้วยกันอย่างเตรียมพร้อมในที มือของเขาอีกข้างที่ปิดปากฉันแน่นจนชื้นน้ำลาย ระหว่างที่ฉันไขว้นิ้วอธิษฐานอยู่ข้างหลัง

                นักล่าคนนั้นเดินมาตรงกองท่อเหล็กเงียบๆ เขามองซ้ายมองขวาข้างบนข้างล่างอยู่หลายอึดใจ ก่อนที่จะหันหลังกลับ...  

                ขณะนั้นเอง เสียงแปลกปลอมก็ดังขึ้นจากกระเป๋ากางเกงของฉัน....

                “We're going off tonight!~~ To kick out every light!~~~”

                ปกติฉันมักจะตั้งเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือให้ดังไว้ที่สุด เพราะมักถูกเดซี่ค่อนให้เสมอว่าฉันมักไม่รับโทรศัพท์เพราะไม่ได้ยินเสียง ซึ่งเป็นผลให้เสียงริงโทนเพลงของนิคเคิลแบ็คของฉันตอนนี้ยิ่งดังเสียดความเงียบงันขึ้นลั่นโกดังอย่างโหดร้ายที่สุด

                แน่นอนว่าเทอร์เนอร์สะดุดกึก และรีบหันชี้ปืนมาทางเราพร้อมสาวเท้าแบบเกือบวิ่งเข้ามาตรงที่ๆเราซ่อน ฉันรีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าหลังอย่างใจหายใจคว่ำ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะช่วยอะไรได้ พอฉันควักโทรศัพท์เจ้ากรรมขึ้นมาได้ สตีฟก็ฉกออกไปจากมือฉันทันควันโดยที่ฉันยังไม่ได้กดรับหรือปิดเสียงทั้งนั้น ได้โทรศัพท์ในมือเขาก็ยืดตัวขึ้นเดินออกจากที่ซ่อน ทิ้งฉันไว้ข้างหลัง

                เทอร์เนอร์ถึงกับเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นสตีฟโผล่ออกมาจากด้านหลังกองท่อเหล็กอย่างสง่าผ่าเผย พลางเก็บโทรศัพท์ของฉันยัดใส่กระเป๋าแจ็กเก็ตอย่างใจเย็น เขายกปืนขึ้นส่องไปที่หน้าสตีฟอย่างหวาดระแวงในที

                “ไง เทอร์เนอร์...” สตีฟเริ่มทักอย่างผ่อนคลายด้วยสำเนียงยุโรป

                “ไง สตีฟ” เทอร์เนอร์ทักเสียงเรียบ

                สตีฟโคลงหัวรับ “แย่จังเนอะ.. นึกว่าไม่ต้องเปลืองแรงแล้ว กิ๊กดันโทรเข้าซะได้”

                เทอร์เนอร์ยิ้มที่มุมปากอย่างเย้ยหยัน “กิ๊กที่เป็นเชียร์ลีดเดอร์ด้วยมั้ยล่ะพวก อ่อ..ลืมไป.. คนนั้นถูกกัดตายไปแล้วนี่นา”

                “โอ๊ะ...” สตีฟยกมือข้างหนึ่งปิดปากพลางส่งเสียงคล้ายตกใจเสียเต็มประดา “งั้นก็เหมือนเมียนายเลยน่ะสิ..”

                “ปัง!”

                ยังไมทันที่สตีฟจะลากเสียงจบประโยค เสียงปืนก็ดังลั่นขึ้นหนึ่งนัด..

                ต่อด้วยเสียงแหบร้องคำรามอย่างเจ็บปวดของสตีฟดังลั่นโกดัง ฉันสะดุ้งเฮือกอยู่ด้านหลัง ใจตกลงไปที่ตาตุ่ม ดีที่ฉันยังเงียบกริบ ไม่ทะเล่อทะล่าจนส่งเสียงอะไรเข้า ฉันมือไม้สั่นรีบขยับโผล่ศีรษะขึ้นดูความเป็นไปด้านนอก

                สตีฟทรุดอยู่กับพื้น มือทั้งสองกุมหน้าแข้งไว้แน่น เขี้ยวนับสิบซี่โผล่ขึ้นมาจากเหงือกบนและล่างสลอน เขาหอบหายใจปนคำรามเสียงครืดคราดเบาๆคล้ายสัตว์บาดเจ็บ

                “ใครให้พูดถึงเมียฉันพล่อยๆ..” เทอร์เนอร์ส่งเสียงบอกเรียบๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปืนยังส่องตรงลงมาที่สตีฟอย่างไม่ลดละ เขาย่างสามขุมเข้ามาที่สตีฟอย่างเอาเรื่อง

                ฉันมือพันกันอยู่ในที่ซ่อน สมองจะระเบิดด้วยความคิดร้อยแปด จะหนีไปดีไหม? จะหนีไปยังไง? เขาจะฆ่าสตีฟมั้ย? แล้วไหนจะเรื่องบรี ที่ฉันเอามาคิดตอนนี้ทำไมไม่รู้ ตอนนั้นเองที่สายตาฉันเหลือบไปเห็นท่อเหล็กขนาดเล็กกว่าเพื่อนอยู่อันหนึ่ง มันยาวสองฟุตเห็นจะได้ ฉันค่อยๆยื่นมือไปหยิบออกมาจากกองเงียบๆ ก่อนจะโผล่หัวขึ้นสำรวจข้างนอกอีกครั้ง

                สตีฟหัวเราะน้อยๆท่ามกลางเสียงหอบหายใจ “โถ..จี้ใจดำไม่ได้เลยนะพ่อคุณ..”

                เทอร์เนอร์ตอบรับด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น เขาก้าวเท้าเข้ามาอีกก้าว

                “อย่ามาเฉไฉน่าสตีฟ ฉันรู้จักนายดีกว่านั้น รู้ด้วยว่านายไม่เคยชอบฟังเพลงร็อคอย่างนิคเคิลแบ็ค”

                รอยยิ้มของสตีฟเลื่อนหลุดจากใบหน้า เทอร์เนอร์ก็หุบยิ้ม ความเข้าใจกระจ่างขึ้นในดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้น

                “โทรศัพท์ของใครน่ะสตีฟ .. นายซ่อนใครไว้เหรอ...หือม์?”

                เทอร์เนอร์พูดได้แค่นั้น  ฉันซึ่งย่องมาข้างหลังได้พักหนึ่ง ก็ตัดสินใจวาดวงสวิงเต็มเหนี่ยวฟาดท่อนเหล็กเข้าใส่ศีรษะของเขาดังบึ่ก!

                เสียงมันไม่ได้ดังมากเหมือนตอนเสียงปืน แต่เทอร์เนอร์ก็ร่วงลงกับพื้นทันใจ พอฉันมั่นใจว่าเขาหมดสติ ฉันก็รีบเข้าไปพยุงสตีฟที่กำลังโซซัดโซเซลุกขึ้นมา

                “ขาคุณ...” ฉันถาม จับจ้องไปที่รูกระสุนที่ขาอย่างเป็นห่วง

                “ไม่เป็นไร เธอรีบออกไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า อย่าให้เจ้าหมอนี่มันตื่นมาเห็นเธอล่ะ เจ้านี่มันไม่ใจดีกับพวกปิศาจเหมือนที่มันใจดีกับพวกแวมพ์หรอกนะ”

                ฉันขยับจะเถียงว่าตัวเองไม่ใช่ปิศาจ แถมที่เห็นนี่ก็ไม่ได้ใกล้เคียงคำว่าใจดีสักนิด แต่พอนึกถึงกาลเทศะได้ก็เงียบไว้ สตีฟเห็นฉันอึกๆอักๆจึงรีบสำทับ

                “ไปสิ! ฉันไม่เป็นไรหรอก เร็ว!” เขาพูดพลางยื่นโทรศัพท์คืนให้ฉัน ฉันเก้ๆกังๆอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะยื่นมือรับมาแล้วหันหลังออกวิ่งจากที่นั่นไม่คิดชีวิต

                ฉันวิ่งและวิ่ง อ้อมตึกร้างออกมาด้านหน้า เสียงจากข้างในเงียบสนิทจนเหมือนไม่เคยมีความวุ่นวายใด้เกิดขึ้นมาก่อน ฉันทิ้งตึกร้างไว้เบื้องหลังในเงามืด พระจันทร์ด้านบนโพล้เพล้บอกเวลากลางคืน

                ฉันวิ่งกลับทางเดิมจนมาถึงบาร์เอททิล ตรงไปยังรถจักรยานที่จอดเค้เก้อยู่ที่เดิมที่ฉันทิ้งไว้ ตอนนี้ถนนสายนี้คนพลุกพล่านไม่น้อยแล้ว แต่ฉันไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น คว้าจักรยานได้ก็ปั่นออกจากที่นั่นสุดกำลัง ฉันปั่นแบบไม่ลืมหูลืมตาจนมาถึงแถบโรงเรียน และต้องลดความเร็วลงอย่างลืมตัวด้วยความงุนงง

                ข้างหน้าเหมือนภาพฉายซ้ำ ซึ่งประกอบด้วยตำรวจที่เดินกันขวักไขว่ เทปสีเหลืองที่คุ้นตา รถตำรวจจอดเรียงกันเป็นตับ และรถเก็บศพที่จอดอยู่ด้านหนึ่ง เหมือนคืนที่ฉันเจอศพบรีนอนอยู่หลังอาคารเรียนไม่มีผิด

                เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนเห็นฉันปั่นจักรยานเข้ามาใกล้ พวกเขาก็บุ้ยใบ้ใส่กันชี้มือมาที่ฉัน คุณตำรวจอ้วนคนเดิมที่เคยสอบปากคำฉันเดินน้ำหน้าออกมาก่อน เขาโบกมือให้ฉันหยุดรถจักรยานข้างทาง

                “แฮเรียท มอร์ทิสัน” เขาเรียกชื่อฉันอย่างเป็นการเป็นงาน “ขอเชิญตัวไปให้ปากคำที่โรงพักหน่อย”

                ฉันเลิกคิ้ว เรียบเรียงประโยคคำถามไม่ถูกเลยทีเดียว คุณตำรวจอ้วนเห็นฉันทำหน้าเหลอหลา จึงขยายความให้

                “เอ็ด วินสโลว์ ถูกฆาตกรรมเมื่อค่ำนี้ ..ดูเหมือนก่อนตายเขาพยายามโทรหาคนๆหนึ่ง... ซึ่งก็คือเธอ..”

                ฉันอ้าปากค้าง พอรู้สึกตัวก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าหลัง กดดูเบอร์มิสคอลมือสั่น ซึ่งก็คือเบอร์ล่าสุดที่โทรมาตอนเข้าด้ายเข้าเข็มเมื่อครู่ใหญ่ ตัวเลขนั้นไม่คุ้นตาฉันเอาเสียเลย แต่ดูเหมือนหลังจากมิสคอลแล้ว เบอร์นั้นยังพยายามส่งข้อความหาฉันอีกหนึ่งประโยค

                ‘ไม่ใช่แวมไพร์..’

                คือข้อความสั้นๆ ที่เจ้าของเบอร์ส่งมาหาฉันเป็นครั้งสุดท้าย ฉันอ่านข้อความนั้นกลับไปมาแวบหนึ่ง แล้วคุณตำรวจอ้วนก็ฉวยโทรศัพท์ไปจากมือฉัน

                “ขอผมเก็บไว้เป็นหลักฐานนะ” เขาพูดพลางใส่โทรศัพท์ฉันเข้าไปในถุงพลาสติก ก่อนจะพยักเพยิดให้ตำรวจอีกสองนายพาฉันขึ้นรถตำรวจไป ก่อนรถตำรวจจะเคลื่อนที่ออกไป ฉันเหลียวกลับมาที่ท้ายรถเก็บศพ ทันเห็นถุงดำใบโตนอนอยู่บนเตียงเคลื่อนที่ ที่กำลังถูกเจ้าหน้าที่เสือกส่งเข้าไปในรถ

                .............................................................................................................................................

                 “แฮเรียท มอร์ทิสัน เธอรู้ตัวไหมว่ากำลังตกที่นั่งลำบากแค่ไหน?”

                นี่เป็นประโยคแรกที่คุณนายอำเภอพูดกับฉันตั้งแต่ย่างเท้าเข้าห้องสอบสวนที่ฉันถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวมาชั่วโมงครึ่ง ซึ่งจนถึงตอนนี้ฉันก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเขาจะทิ้งฉันไว้ชั่วโมงครึ่งเฉยๆทำไม เขาเป็นชายผิวขาวหัวล้านเลี่ยน ร่างอ้วนทว่ากำยำ พุงป่องปลิ้นเกือบปริออกมาจากเสื้อเชิ้ตเครื่องแบบ นัยน์ตาวาววามสีน้ำตาลคมกรายแต่ไม่มีบรรยากาศกดดันในแววตา

                ฉันนั่งหลังค่อม อ้าปากหวอ รับฟังด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก คล้ายๆ.. ผิดที่ผิดทางล่ะมั้ง?

                “ว่าไง” เขาย้ำ พลางทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามฉัน ก่อนจะจับจ้องอย่างคาดคั้น ฉันคิดโน่นนี่ในใจ ยังไงเขาคงอย่างได้คำตอบอะไรสักอย่างสินะ

                “ก็...ก็ได้ค่ะ..” ฉันตอบอย่างสิ้นคิด

                เขาหรี่ตาให้ฉันอย่างมาดร้าย เหมือนฉันเพิ่งตอบอะไรที่กระตุกต่อมโทสะเขาไปหมาดๆ เขาวางแฟ้มที่ถือมาบนโต๊ะดังโครมอย่างจงใจ ก่อนเปิดมันออกด้วยแรงเกินจำเป็น

                “เรามาดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นกันก่อนนะแฮเรียท.. เมื่อคืนเธอเป็นคนพบศพบรี เบรสเตอร์ อายุสิบเจ็ดปีเสียชีวิตในชุดเชียร์ลีดเดอร์หลังอาคารโรงเรียน สาเหตุการตายคือเสียเลือดมากจากแผลฉกรรจ์ที่ลำคอ เนื้อส่วนหนึ่งหลุดหายไปด้วย ใช่ไหม?...”

                ฉันพยักหน้าเบาๆ ซึ่งจริงๆแล้วแทบไม่มีประโยชน์เพราะเขาตั้งต้นเล่าต่อโดยไม่สนใจฉันด้วยซ้ำ

                “อ้า.. แล้วนี่เรื่องราวสำหรับคืนนี้ ... เอ็ด วินสโลว์ อายุสิบเจ็ดปี ภารโรงพบศพเขานอนแน่นิ่งอยู่บนทางเดินในอาคารชั้นสามระหว่างตรวจตราครั้งสุดท้ายก่อนปิดอาคาร สาเหตุการตายคือเสียเลือดมากจากแผลฉกรรจ์ที่ลำคอ เนื้อส่วนหนึ่งคล้ายถูกคว้านออกไป ฟังคุ้นๆมั้ย?..”

                ฉันพยักหน้าอีกครั้ง และแน่นอน ไม่มีประโยชน์อีกครั้ง

                “โอ๊ะ..ไม่สิ มีอะไรเพิ่มเติมมาด้วย.. ไหนดูสิ.. จากการสอบปากคำพยานขั้นต้นมีพยานคนสุดท้ายเห็นเอ็ด วินสโลว์นั่งอยู่ในร้านสวินี่ไดเนอร์ กับเพื่อนผู้หญิงที่ชื่อแฮเรียท มอร์ทิสันสองต่อสอง ทั้งสองมีปากเสียงกันเล็กน้อย และจากหลักฐานในที่เกิดเหตุพบว่าเอ็ด วินสโลว์เสียชีวิตขณะกำลังพยายามติดต่อกับใครคนหนึ่ง.. ซึ่งคนๆนั้นก็เป็นเธอ...ดูสิ เขาส่งข้อความหาเธอก่อนตายด้วย ‘ไม่ใช่แวมไพร์’ น่ารักซะไม่มี”

                “ค่ะ..” ฉันรับคำง่ายๆ “แต่ยกเว้นตรงมีปากเสียงนะคะ หนูกับเอ็ดไม่ได้ทะเลาะกันค่ะ คือเอ็ดเขาแค่..น็อตหลวมนิดหน่อย..”

                “น๊อตหลวม?” เขาทวนคำของฉัน “พ่อครัวให้การว่าเขาตบโต๊ะเสียงดังจนสะดุ้งกันทั้งร้าน...”

                “หนูยังพอรับได้นะคะ ตราบใดที่เขาไม่ได้ตบอย่างอื่นด้วย”

                เขาหรี่ตามองฉันอีกหน ก่อนเริ่มถามใหม่

                “พวกเธอคุยกันเรื่องอะไร?”

                ฉันขมวดคิ้วฉับพลัน คิดวนเวียนอยู่สองสามรอบก็ตอบไปตามตรง “เขาอยากเจอหนูที่เป็นคนพบศพคนแรกน่ะค่ะ เขามีทฤษฎีเรื่องการตายของบรีที่อยากคุย แบบ... เขาคิดว่าบรีถูกกัดตาย โดย......แวมไพร์”

                คำสุดท้ายฉันเบาเสียงลงพลางเหลือบมองคุณนายอำเภอตัวอ้วน หวังว่าจะได้เห็นสีหน้าประหลาดใจเป็นล้นพ้น แต่เปล่าเลย เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนถามกลับ

                 “เขาเล่าเรื่องที่เขากับบรีเจอแวมไพร์ที่ย่านคอแนลหรือเปล่า?”

                คราวนี้กลับเป็นฉันที่ประหลาดใจแทน...

                “ตกใจหรือ?..เขารู้กันทั่วโรงเรียน รู้กันมาตั้งแต่ก่อนบรีตาย สองคนนั่นพูดถึงเรื่องนี้กับทุกคนที่นั่งเฉยๆเกินยี่สิบวินาทีเชียวล่ะ”

                ฉันเลิกคิ้ว กลายเป็นว่าความลับของเอ็ด ไม่ได้เป็นความลับอะไรเลยสินะ แถมฉันยังรู้เป็นคนสุดท้ายของโรงเรียนเสียอีก

                “คุณไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเหรอ บรีไม่เคยเล่าให้คุณฟัง?” นายอำเภอถามขึ้น..

                “บรีกับหนู ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ..”

                “แล้วเอ็ด วินสโลว์ล่ะ”

                “ก่อนหน้าที่เขาจะนัดเจอหนูที่สวินี่ไดเนอร์ ก็ไม่เคยคุยกันมาก่อนเลยค่ะ.. แบบ..คนละโลกกันเลย”

                “อย่างนั้นก็น่าแปลกจริงๆนะ ท่ามกลางเพื่อนสนิทและไม่สนิททั้งหมด เขากลับเลือกที่จะโทรหาเธอก่อนตาย และส่งข้อความสุดท้ายว่า ‘ไม่ใช่แวมไพร์’ ไปถึงคนที่อยู่ ‘คนละโลก’ อย่างเธอ”

                “หนูไม่รู้สิคะ อาจเป็นเพราะหนูแนะนำที่ปรึกษาปัญหาชีวิตให้เขาไปหรือเปล่า?..” ฉันพูดได้แค่นั้นก็หยุด แล้วฉุกคิดเรื่องบ้าๆได้อย่างหนึ่ง

                “เดี๋ยวนะคะ..นายอำเภอ คุณคงไม่คิดว่าหนูจะเป็นคนฆ่าสองคนใช่มั้ย?”

                นายอำเภอกระตุกมุมปากยิ้มในหน้าแป้นแล้นเงียบๆ..

                “โอ๊ย!....พระเจ้า!” ฉันร้อง ยกมือกุมขมับ ไม่นึกไม่ฝันว่าวันนี้จะต้องพูดประโยคนี้อีกครั้ง “หนูไม่ได้ฆ่าบรีนะคะ ไม่ได้ฆ่าเอ็ด ไม่ได้ฆ่าใครทั้งนั้น!”

                “รู้มั้ยฉันคิดยังไง? แม่หนูน้อย...” เขาพูดด้วยเสียงต่ำลงอย่างจงใจ “ฉันรู้ว่าไฮสคูลมันเป็นยังไง ฉันผ่านมาก่อน หนุ่มนักกีฬาเหมือนเทพเจ้าทีเดียว แล้วบางที...บางที... วินสโลว์ อาจจะคุยกับเธอบ้าง.. ไปไหนมาไหนด้วยบ้าง แต่ไม่จริงจังอย่างที่เธอหวัง... แล้วมันอาจทำให้เธอโกรธ..”

                “หนูไม่เคยคุยกับเอ็ดมาก่อนเลยค่ะ!...” ฉันขึ้นเสียงบ้างแล้ว แต่นายอำเภอไม่ยอมให้ฉันพูดจนจบ

                “พอเธอโกรธ เธอก็พาลไปโกรธบรี.. แล้วบางที...บางที..เธอสองคนอาจจะนัดกันพูดคุยที่โรงเรียน แล้วเธอก็พลั้งมือทำร้ายบรีเข้า.. เธอโทรเรียกตำรวจ.. แต่งเรื่องนิดหน่อย.. พ่อเธอเพิ่งเสีย อยู่ในความเศร้าโศก ทุกคนสงสารเธอ เธอรอดตัว...”

                “อย่าพูดถึงเรื่องพ่อของหนูแบบนี้ค่ะ ได้โปรดค่ะ!” ฉันเสียงเย็น โทสะเดือดปุดๆอยู่ในอก มือทั้งสองกำแน่นอยู่ใต้โต๊ะ แต่เขาก็ยังไม่ยอมหยุด

                “ทีนี้เอ็ดอาจนึกสงสัย ก็เลยนัดเธอไปเพื่อถามความจริง...เธอโกรธ..ก็เลยลงมือกับเขาเพื่อปิดปากใช่มั้ย?.... ว่ายังไงล่ะ? เอ็ดเขาจะทิ้งเธอไปเหมือนพ่อของเธอใช่ไหม? เธอถึงยอมไม่ได้....”

                “หุบปาก!” ฉันลุกยืน คำรามก้อง ยกมือสองข้างทุบโต๊ะดังเปรี้ยงใหญ่

                นายอำเภอสะดุ้งสุดตัว เขากระโดดถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นบังลำตัวอย่างหวาดระแวง ส่วนฉันกำลังพยายามสูดหายใจยาวๆช้าๆหลายครั้ง เหงือกด้านบนรู้สึกหนึบๆคันๆเหมือนเขี้ยวทั้งสองข้างของฉันอยากออกมาอวดโฉมเต็มแก่ ฉันกำลังพยายามอย่างที่สุดที่จะกำจัดจินตนาการใดๆก็ตามที่เกี่ยวกับเลือด และการที่ฉันได้กัดลงบนลำคอของชายร่างอ้วนตรงหน้า แล้วดูดกินเลือดจนเขาขาดใจตาย

                ฉันทำได้ ฉันควบคุมตัวเองเป็น สองปีที่ผ่านมาฉันเรียนรู้มันจนโม้ได้เชียวล่ะ ฉันใช้เวลาไม่กี่อึดใจ ควบคุมความคิดจนเข้าที่เข้าทาง พอจังหวะหายใจเข้าสู่ภาวะปกติ ฉันก็ขยับนั่งลงเงียบๆ

                นายอำเภอยังนิ่งอยู่ที่เดิม ในท่าเดิม พอเขาเห็นฉันนั่งลงแล้ว ก็ขยับคอเสื้ออย่างประหม่า ตอนนั้นเองที่ใครบางคนเคาะประตูขัดจังหวะ พร้อมทั้งส่งเสียงสุภาพเข้ามาในห้อง

                “นายอำเภอคะ ขออนุญาตค่ะ” แล้วเธอก็เปิดประตูพาตัวเองเข้ามา เธอเป็นหญิงสาววัยกลางคนที่หน้าตาดีคนหนึ่ง สวมเครื่องแบบรัดกุม เข้ามากระซิบกระซาบกับนายอำเภอ โดยหลีกเลี่ยงให้ฉันไม่ได้ยิน แต่ฉันได้ยินอยู่แล้ว

                “นายอำเภอคะ ศพของบรี เบรสเตอร์หายไปจากห้องใต้ดินค่ะ”

                “หา! อีกแล้วเหรอ! มันจะขโมยศพไปทำไมเยอะแยะ!” นายอำเภอร้องดัวยเสียงดังเกินไป เขาหันมองฉันอย่างประหม่าน้อยๆ ก่อนพูดกับหญิงคนนั้น “เดี๋ยวผมสอบปากคำคดีนี้ก่อน เรื่องนั้นเราค่อยสืบสวนอีกที”

                ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าเบาๆ ก่อนหันหลังจากไป พอลับตาจากหล่อน นายอำเภอก็กลับมาไล่เบี้ยฉันอีกครั้ง

                “แล้ว...” เขาพูดขึ้นพลางเคลื่อนตัวมานั่งลงที่เดิม “ว่าไง.. เราถึงไหนแล้วนะ.. อ้อ ..เธออาจทำร้ายเอ็ด....”

                “หนูไม่ได้ฆ่าเอ็ด.. ไม่เคยแม้แต่ทำร้าย..” ฉันพูดขัดคอเสียงเรียบ “เขาเป็นนักกีฬา หนูเป็นเด็กผู้หญิงสูงแค่ไหล่เขาเอง หนูจะเอาอะไรไปทำร้ายเขาคะ”

                “ไม่รู้สิ” เขาพูดหน้าตาเฉย จนฉันคันเหงือกตงิดๆอีกรอบ “ก็ตอนเธอออกจากสวินี่ไดเนอร์ไปแล้ว ไม่มีใครพบเห็นเธอเลยเกือบสองชั่วโมง..... เกือบสองชั่วโมงเชียวนะ จนเธอโผล่มาถึงที่เกิดเหตุ เธออาจจะใช้เวลาพวกนี้ไปทำอะไรก็ได้นี่นา ...”

                ถึงตอนนี้ เขาก็โน้มตัวมาข้างหน้าอย่างคุกคาม “ตอบฉันมาซิ... เธอหายไปไหนมาเกือบสองชั่วโมง...”

                ฉันขับไล่โทสะออกจากหัวอีกครั้ง ค่อยๆเรียบเรียงคำพูดอย่างละเอียดที่สุด ก่อนตอบไปอย่างใจเย็น “หนูอยู่แถวถนนคอแนลค่ะ..”

                “ย่านเริงราตรี?..” เขามองฉันหัวจรดเท้าอย่างเยาะเย้ย “เธอแต่งตัวได้เรียบร้อยมากเลยนะ ถ้าเทียบกับนักเที่ยวทั่วไป”

                “หนูไม่ได้ไปเที่ยวค่ะ ไปเข้าห้องน้ำที่บาร์เอททิล ลองถามบาร์เทนเดอร์ดูได้..”

                “แล้วหลังจากนั้นล่ะ.. ฮือม์?”

                “ก็...ปั่นจักรยานวนไปวนมาดูแสงสีไปเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวก็มืดแล้ว..”

                “ปั่นจักรยานเหรอ?” นายอำเภอทวนคำ “รู้ไหม? แม่หนู คนปกติเขาไม่ใช้เวลาปั่นจักรยานเล่นในที่แบบนั้นนานขนาดนั้นหรอกนะ..”

                “.. หนูแค่อยากคลายเครียด..” ฉันตอบโดยพยายามรักษาน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด ทั้งที่มือทั้งสองข้างกำลังชื้นเหงื่ออยู่ใต้โต๊ะ ภาวนาในใจเงียบๆไม่ให้เขาจับพิรุธได้

                “จะบอกให้นะ แม่หนู... ที่แถวนั้น มีกล้องวงจรปิดอยู่เกือบทุกมุมถนน คนของฉันกำลังไปรวบรวมเทปมาที่นี่ ถ้าเธอพูดจริง เราคงเห็นเธอขี่จักรยานวนไปวนมาผ่านกล้องโน้นออกกล้องนี้.. แต่ถ้าเธอโกหก......”

                นายอำเภอเว้นช่วงหลายอึดใจ เขาใช้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่น่าเกลียดบนหน้าแป้นนั้นต่อประโยคด้วยจิตนาการจนจบแทน ฉันเม้มปากแน่น กำลังคิดว่าถึงเวลาจะขอทนายหรือยังหนอ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง

                คราวนี้เป็นเจ้าหน้าที่ชาย เขาพยักเพยิดให้นายอำเภอออกไปด้านนอกเหมือนรู้ว่าถ้ากระซิบในนี้ ยังไงฉันก็ได้ยิน

                นายอำเภอร่างอ้วนออกไปสักครู่ แล้วกลับเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

                “เธอ...” เขาเรียกฉันอย่างฮึดฮัดเหมือนเสียไม่ได้ “กลับบ้านได้แล้ว!”

                ฉันงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อกี้ยังถูกซักฟอกต้อนไปต้อนมาจนฉันจะจนมุมด้วยซ้ำ แล้วไหงจู่ๆ เกมพลิกอย่างนี้ล่ะ

                “มีคนมาประกันตัวหนูเหรอคะ?” ฉันถาม แต่แทนที่จะเป็นนายอำเภออธิบาย เจ้าหน้าที่ชายตอบฉันแทน

                “ไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ ดีกว่านั้นอีก .. แฟนคุณเขามาเป็นพยานอ้างอิงให้น่ะ.. โธ่เอ๊ย.. แค่สารภาพว่าไปเดทกับแฟนมา ไม่เห็นต้องเก็บเป็นเรื่องใหญ่โตเลย”

                “แฟน?... แฟนหนู?” ฉันทวนคำอย่างมึนงง

                แล้วก็มากระจ่างเอาตอนที่เจ้าหน้าที่ชายคนนั้นพาฉันออกมาด้านหน้า ฉันเห็นพ่อแม่ของเดซี่และตัวเดซี่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาว เขาทั้งสามกำลังสนทนาอย่างออรสกับชายคนหนึ่ง ตอนแรกฉันเห็นเขาแค่ข้างหลัง แต่ต่อให้ไม่ต้องหันมา ฉันก็จำได้

                สตีฟ..

                ฉันยิ้มกับตัวเองแห้งๆ ทันทีที่เขาหันมาเห็นฉันที่ค่อยๆเดินออกมาจากด้านใน เขาก็ยิ้มกว้างกระจ่างในหน้า ตาคมวาวสีเขียวล้อกับแสงไฟ เขารีบลุกขึ้นเดินออกมารับหน้าฉันก่อนคนอื่น

                “ไง..เบบี๋...” เขาทัก ชัดถ้อยชัดคำและสะดวกปากจนฉันเหยหน้าใส่

                แต่แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นแหละ เขาก็กางแขนรวบทั้งตัวและหน้าที่กำลังเหยเกของฉันเข้าไปไว้ในอก และกอดแนบแน่นสมบทบาทเป็นที่สุด

                “ตกใจใช่มั้ย? ผมมาช่วยแล้วนะ..” ฉันอยากจะบอกว่าเปล่า กลับทำได้แค่อู้อี้อยู่บนเสื้อแจ็กเก็ตของเขา

                ในที่สุดเขาก็ผ่อนอ้อมแขน ปล่อยฉันเป็นอิสระ แต่ยังไม่วายยกมือลูบแก้มลูบผมฉันอย่างเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ฉันเหลือบมองหน้าทุกคน พ่อแม่เดซี่ที่ยิ้มแย้มให้อย่างเอ็นดู เดซี่เองที่ทำหน้าคล้ายเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เจ้าหน้าที่ที่ส่ายหน้าหัวเราะอย่างประมาณอารมณ์ไม่ถูก และนายอำเภออ้วนที่ตามมาทำหน้ามู่ทู่เท้าสะเอวมองอย่างสงสัย

                สุดท้ายก็หันมามองดูหมอนี่ คนที่กำลังทำท่ากระดี๊กระด๊าเต็มประดาอย่างแนบเนียน

                “เขาคงคิดว่าผมอายุเยอะกว่า แล้วผมก็ดูไม่น่าไว้ใจ ก็เลยอายที่จะบอกใครๆว่าเป็นแฟนกับผมน่ะครับ”

                หมอนั่นยิ้มแย้มชี้แจงกับเจ้าหน้าที่และนายอำเภออย่างคล่องแคล่ว มือข้างหนึ่งฉวยไหล่ของฉันไว้ข้างตัว ฉันยิ้มๆ ไม่รู้จะพูดยังไงต่อดี

                “เป็นคนต่างถิ่นเหรอครับ” เจ้าหน้าที่ชายถามอย่างมีไมตรีจิต

                “ครับ ผมมาเมืองนี้เมื่อหลายเดือนก่อนกับเพื่อนในแก็งค์น่ะครับ”

                ยิ้มของหลายคนในที่นั้นดูห่อเหี่ยวชอบกลเมื่อได้ยินคำว่า ‘แก็งค์’ ตาหลายคู่จับลงไปบนแจ็กเก็ตหนังและตุ้มหูตุ้มห่วงบนหูของสตีฟอย่างระแวงสงสัย

                “แฮรี่อยู่กับชั้นตลอดนี่นา” เดซี่ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “พวกคุณไปเจอกันตอนไหนคะ?”

                “เจอกันออนไลน์” ฉันรีบบอก

                “แปลกจัง เธอเอาเวลาที่ไหนไปเดทกับเขา” เดซี่ซักต่อ

                “เดทออนไลน์” ฉันตอบส่งๆก่อนจะตัดบทกับทุกคน “เดี๋ยวต้องขอตัวพวกเราสักครู่นะคะ หนูมีเรื่องต้องคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวนิดหน่อย”

                ว่าแล้วฉันก็รุนหลังสตีฟออกมาจากโรงพัก พอฉันมองเข้าไปไม่เห็นใครตามมา ฉันก็หันมาเผชิญหน้ากับสตีฟที่ยิ้มแย้มลอยหน้าลอยตาอยู่ก่อนแล้ว

                “ขอบคุณค่ะ สตีฟ คุณช่วยชีวิตหนูไว้จริงๆ” ฉันพูดอย่างอ่อนเสียงให้ “ขาคุณหายแล้วเหรอคะ?..”

                “จริงๆฉันอยากให้เธอซาบซึ้งกว่านี้หน่อยนะเนี่ย” เขาโบกไม้โบกมือประกอบอย่างร่าเริง “แต่ก็โอเค๊ ขาที่โดนยิงไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แงะเอากระสุนออกก็ไม่เป็นไรแล้ว”

                “แล้วเรื่องเทอร์เนอร์...”

                “ฉันก็มาเรื่องนี้แหละ ฝูงของฉันจะออกจากเมืองคืนนี้แล้ว..จะเอ๋กับนักล่าจังเบอร์ขนาดนั้น..”

                “อ้อ..” ฉันอุทานรับรู้

                “แต่ฉันเป็นห่วงเธอ ก็เลยมาที่นี่ก่อน” เขาเว้นช่วง “พวกนักล่าได้กลิ่นคดีของเพื่อนเธอแล้ว มะรืนนี้คงจะเห่กันมาตามสืบ ทีนี้ไม่ว่าตัวอะไรที่ฆ่าเพื่อนเธอก็ไม่รอดแน่นอน พวกนักล่าน่ะทำงานกันแบบลืมตาย”

                “ค่ะ” ฉันรับคำง่ายๆ ก่อนความคิดบ้าๆบางอย่างจะวาบขึ้นในสมอง “สตีฟ พวกคุณ..พวกแวมไพร์นี่กินเนื้อคนหรือเปล่า?”

                สตีฟทำหน้าสะอิดสะเอียนใส่ฉัน “อี๋...ไม่หรอก แต่ถ้าบังคับกันจนถึงที่สุดก็อาจจะได้นะ แต่ก็.........อี๋ ถามทำไมเหรอ?”

                “ศพบรี ที่คอมีรอยกัดจนเนื้อหลุดไปชิ้นเบ้อเริ่มเลย ศพของเอ็ด หนูยังไม่เห็น แต่ได้ยินว่าเหมือนกัน เป็นไปได้ไหมว่าตัวอะไรจะกัดเนื้อบรีออกไปอย่างนั้น”

                “หมายถึงตัวที่กินเนื้อคนน่ะเหรอ... ไม่รู้สิ ฉันก็รู้มาอยู่บ้าง ก็พอมีนะ มีพวกกินคน พวกกินศพ...”

                “กินศพ….” ฉันเลิกคิ้ว

                “ใช่.. พวกกูลส์ ขุดดินกินศพแล้วปลอมเป็นคน เคยมีเรื่องกับฉันครั้งหนึ่ง พวกนี้ตายยากยังกับแมลงสาบ ต้องเด็ดหัวออกถึงจะตาย”

                ฉันขมวดคิ้ว หยุดคิดชั่วแวบ “ดูเหมือนที่โรงพักนี้ศพจะหายไปไม่น้อย..”

                “ที่นี่อยู่ใกล้กับโรงเรียนที่เธอเจอศพเพื่อนหรือเปล่า?”

                ฉันชี้มือไปด้านหลัง แสดงทิศทางให้ด้วย “มาทางถนนต้องใช้รถ เพราะถนนเป็นรูปตัวยู แต่ถ้าจากตรงนี้ข้ามรั้วไปด้านหลัง ผ่านบ้านไปสองสามหลังก็ถึงโรงเรียนแล้ว”

                ฉันพูดจบก็มองหน้าสตีฟ ซึ่งคิดอย่างเดียวกันโดยไม่ต้องนัดหมาย แต่ไม่ทันที่เราจะคุยอะไรกันต่อ รถเก๋งสีดำสนิทคันหนึ่งก็มาจอดเทียบด้านข้างเรา แอลโผล่หน้าขาวๆพร้อมกลุ่มผมสีเพลิงออกมาจากหน้าต่างเรียกสตีฟเสียงดัง

                สตีฟหันไปพยักเพยิดกับแอล แล้วหันกลับมาฉัน พูดไปพลางถอยไปเปิดประตูรถพลาง

                “เธอควรอยู่ไกลๆจากเรื่องนี้ดีกว่า แฮรี่ ปล่อยนักล่าเขาจัดการ ถ้าเขารู้ว่าเธอเป็นปิศาจมันจะยุ่ง”

                “หนูไม่ใช่ปิศาจ...” ฉันประท้วง

                “ตามใจ” สตีฟบอกยิ้มๆก็แทรกตัวเข้าไปในรถ ก่อนปิดประตู แล้วรถเก๋งสีดำคันโตก็เคลื่อนจากที่หายไปจากสายตาฉันที่สุดถนน

                  ....................................................................................................................................................    

(จากผู้เขียน)

1. คิดว่าน่าจะมี 4 part เกือบเป็นที่แน่นอนแล้วค่ะ สำหรับ At the end of the beginning

2. ขอบคุณทุกท่านที่หลงเข้ามาอ่านนะคะ ต้องขอโทษที่ตัดให้สั้นกว่านี้ไม่ได้นะคะ เนื้อหาที่ต้องเล่ามันเยอะจริงๆ คนเขียนมึนดีมาก นี่ก็กลัวอยู่ว่าจะลืมเล่าอะไรไปหรือเปล่า? 555+

3. ยินดีต้อนรับคำติและชมในทุกรูปแบบ ยำกันมาได้ ไม่ต้องไว้หน้าค่ะ รับรองว่าไม่โกรธไม่น้อยใจ

4. อันนี้ของแถม ริงโทนของแฮรี่ มาจากเพลง Burn it to the ground ของนิคเคิลแบ็ค อัลบั้ม Dark Horse ค่ะ ลองหาฟังดูได้ ร็อคสะใจมาก(อ่านต่อไปเรื่อยๆอาจเจอเพลงร็อคโผล่มาเป็นระยะๆ เป็น Theme ของ Series Supernatural น่ะค่ะ่)

5. เพิ่งกลับมาอ่านเช็คภาพรวมพาร์ทนี้ หลุดสุดๆ เหยียบคันเร่งเดินเรื่องไปข้างหน้ากันไม่เห็นวิวทิวทัศน์เลยทีเดียว บางคำโดดๆมาไม่ได้เกลาด้วย โอ้ว.. แม่เจ้า เอาเป็นว่าหยวนๆให้หน่อยนะคะ พาร์ทหน้าจะพยายามให้สมดุลกว่านี้ (ถ้ามีเวลาจะกลับมาเกลาพาร์ทนี้ด้วยค่ะ)  


 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
4.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา