พิศวาสสีชมพู
9.2
7) ตอนที่ 6 จบตอนแล้วคร่า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมาแล้วคร๊า ขอโทษที่ให้รอนานมากเลยนะคะ
ณ บ้านสิริพิพัฒน์ที่จะเรียกว่าคฤหาสน์ก็ไม่ผิดนักเพราะจากประตูรั้วอัลลอยกว่าจะถึงตัวบ้านกินระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตรโดยตลอดทางเต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธ์ที่ปลูกห้อมล้อมเป็นทางยาวราวกับจะทำเป็นอุโมงค์ต้นไม้ซึ่งเจ้าของบ้านตั้งใจจะให้ทุกคนที่ก้าวเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้านหลังนี้มีแต่ความร่มเย็นสุขกายสบายใจเมื่อพ้นอุโมงค์ต้นไม้จะพบกับสระน้ำขนาดใหญ่ที่ขุดไว้เป็นทางยาวล้อมตัวบ้านโดยจะมีสะพานข้ามไปยังตัวบ้านขณะที่ตัวบ้านแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองหลังโดยมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันทางด้านขวาเป็นซุ้มไม้เลื้อยที่ปลูกปกคลุมศาลาพักผ่อนที่ครอบครัวมักจะออกมานั่งรับลมในวันว่างๆขณะที่ด้านซ้ายเป็นมุมสนามหญ้าสำหรับจัดงานรื่นเริงต่างๆของเจ้าของบ้าน
“ป้องมานี่หน่อย” เสียงทรงอำนาจหากแต่ไม่ดุจนเกินไปเอ่ยเรียกคนสนิทของบุตรชายที่เดินผ่านเข้ามายังห้องนั่งเล่นที่ท่านทรงพลสิริพิพัฒน์กำลังนั่งพักผ่อนอยู่
“ครับท่าน” ปกป้องรับคำแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างนัก
“เจ้าซันเป็นยังไงบ้าง” ท่านเอ่ยเสียงเรียบติดดุหากแต่สายตาที่ทอดมองชายหนุ่มรุ่นลูกกลับทอประกายความเมตตา
“สบายดีครับท่านท่านจะให้เรียกมาหรือเปล่าครับ”ปกป้องเอ่ยถามนิ่งหากแต่อดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติสองพ่อลูกจะเจอกันสัปดาห์ละครั้งและวันนี้ก็เป็นวันที่ครอบครับสิริพิพัฒน์จะต้องกลับมาอยู่พร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารของบ้านใหญ่
“แล้วเราล่ะอยากพักบ้างหรือเปล่าตามเจ้าซันตลอดแบบนี้จะมีเวลาส่วนตัวหรอ” ท่านทรงพลส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงที่เจ้าตัวพยายามผ่อนให้นุ่มลงหากแต่ก็ยังฟังดูดุจนหลายคนไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้อย่างใจดีจะว่าไปปกป้องก็เหมือนลูกเหมือนหลานเขาส่งเสียเลี้ยงดูให้การศึกษาไม่ได้เลี้ยงให้ต่ำต้อย หากแต่ปกป้องเองที่พยายามทำตัวเองให้ต่ำลง
“มีครับ” คำตอบสั้นๆตามนิสัยหากแต่คนฟังกลับมีอาการไม่ค่อยจะพอใจก่อนจะส่งเสียงเข้มขึ้น
“ถึงงั้นก็เถอะหยุดพักบ้างไม่ต้องห่วงเจ้าซันนักเดี๋ยวฉันจะให้วินัยขับรถให้แทน” เสียงเฉียบขาดที่มักจะใช้เมื่อไม่ต้องการคำปฏิเสธดังขึ้นจนคนฟังที่คิดจะค้าน หากแต่ทำได้แค่พยักหน้ารับคำสั่งดังกล่าว
“ไปพักเถอะฉันจะบอกเจ้าซันเอง” เอ่ยปากพร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณให้ออกไปก่อนจะมองตามหลังชายหนุ่มอย่างครุ่นคิด
ก่อนจะได้คิดอะไรมากไปกว่านี้กลับได้ยินเสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฏตัวด้วยซ้ำไปถึงแม้จะมีแค่เพียงเสียงแต่ก็เรียกรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าเคร่งได้เป็นอย่างดี
“มีอะไรกันหรอคะคุณพ่อมูนเห็นป้องเดินหน้าหงิกออกไป” อินทิราสิริพิพัฒน์หรือมูนบุตรสาวคนเล็กของท่านทรงพลเดินเข้ามาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโตตัวเดียวกันก่อนจะเอนหน้าซบลงบนไหล่หนาของบิดาอย่างออดอ้อน
“ไม่มีอะไรหรอกว่าแต่ป้องทำหน้าแบบอื่นเป็นด้วยหรือพ่อนึกว่าทำเป็นแต่หน้านิ่งๆซะอีก” ท่านทรงพลเอ่ยเย้าบุตรสาวเนื่องจากตั้งแต่เติบโตขึ้นมาตะวันและปกป้องที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันมักจะทำหน้านิ่งๆมากกว่าจะแสดงความรู้สึกอื่นใดบนใบหน้าคมนั้น
“แหมคุณพ่อก็ไม่ต้องมาแซวมูนเลยค่ะไม่ออกไปไหนหรอคะวันนี้” หญิงสาวเอ่ยขัดบิดาก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นชุดที่บิดาสวมอยู่ตอนนี้ที่เป็นเพียงเสื้อยืดคอปกกับกางเกงขายาวธรรมดาที่ท่านมักจะสวมใส่เมื่ออยู่บ้านสบายๆ
“ไม่ล่ะแล้วมูนล่ะลูกไปไหนมาถึงเพิ่งกลับ” เพราะตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้วซึ่งโดยปกติแล้วน้อยครั้งนักที่บุตรสาวจะกลับบ้านเย็นในวันครอบครัวเช่นนี้
“นัดลูกค้าคุยเรื่องแบบค่ะพอดีมีปัญหานิดหน่อยกว่าจะคุยกันรู้เรื่องเลยยาวไปนิด” เอ่ยพรางมองไปรอบๆเหมือนจะหาใครสักคนหากแต่ยังไม่ทันได้ถามออกมา
“เจ้าซันยังไม่มาหรอกไม่ต้องมองหาเลยอยากเจอก็ต้องไปหาที่บ้านเขา” ท่านทรงพลเอ่ยตอบเหมือนรู้ใจบุตรสาวเป็นอย่างดีเรียกเอารอยยิ้มบนใบหน้าหวานก่อนจะได้การหอมแก้มเป็นรางวัล
“รู้ใจมูนที่สุดเลยผู้ชายคนนี้เนี๊ยงั้นมูนไปหาพี่ซันก่อนนะคะ”พูดจบก็กระโดดตัวลอยไปยังทางเชื่อมจากบ้านใหญ่ไปสู่บ้านส่วนตัวของชายหนุ่มที่มีความเป็นส่วนตัวสูงจนกระทั่งบิดาต้องสร้างบ้านอีกหลังข้างๆกันให้อยู่ส่วนตัว
*******************************************
เอามาต่อให้ ขอโทษที่หายไปนะคะ
เพราะว่าเป็นบริเวณบ้านของตนเอง อินทิราไม่จำเป็นต้องวางท่าทางให้น่าเกรงใจสักเท่าไหร่ ปกติเธอมักจะเป็นคนสดใสร่าเริง อารมณ์ดีและใจดีกับทุกๆคน เพราะเหตุนี้ ทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน คนสวน หรือแม้แต่บอดี้การ์ด ต่างก็รักและเทิดทูนคุณหนูของบ้านกันยิ่งนักและครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่สาวสวยวิ่งอย่างกับเด็กข้ามสะพานน้อยๆจากบ้านของบิดามารดา มายังฝั่งบ้านของพี่ชายสุดที่รัก
“อุ้ยพี่ป้องตกใจหมดเลย” หญิงสาวหยุดวิ่งแทบจะทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปยังบ้านของหนุ่มโสดเนื้อหอมเพราะชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้าน
“คุณมูนมาหาซันหรอครับ” ปกป้องเอ่ยเสียงเรียบหากแต่แววตาที่จ้องมองทำเอาหญิงสาวถึงกับพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้ารับ
“ซันอยู่บนห้องเดี๋ยวผมไปตามให้ดีกว่า” ปกป้องเอ่ยก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินเข้าชั้นบนของบ้านเพื่อบอกเจ้าของบ้านหนุ่มหากแต่กลับมีมือรั้งไว้เสียก่อน
“ค่อยตามก็ได้ค่ะพี่ซันคงพักผ่อนอยู่พี่ป้องคุยกับมูนก่อนได้หรือเปล่าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยพรางอยากกัดลิ้นตัวเองที่รั้งเขาไว้ตามใจคิดโดยไม่ทันคิดถึงความเหมาะสมที่จะอยู่กับชายหนุ่มตามลำพัง
“คุณมูนมีอะไรหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงที่ใช้ ยังคงนอบน้อมและเจียมตัวราวกับพูดอยู่กับเจ้านายใหญ่ ทั้งๆที่ทุกคนในบ้าน ไม่เคยแบ่งแยกชนชั้นกัน
“พี่ป้องไม่ต้องเรียกมูนว่าคุณหรอกค่ะเมื่อครู่คุณพ่อคุยอะไรกับพี่ป้องหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยติงคำเรียกชื่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยในใจ
“ไม่มีอะไรหรอกครับแค่ถามอะไรนิดหน่อย”คำตอบที่ยังคงหลุดออกจากปากน้อยนิด
“มูนว่าพี่ป้องทำงานหนักไปนะคะดูสิผอมมากเลย”หญิงสาวยังคงเอื้อนเอ่ยตอบอย่างสังเกตไปเรื่อยๆ
“ไม่หรอกครับซันลงมาแล้วผมขอตัว”ปกป้องเอ่ยขึ้น ก่อนจะเหลือบไปเห็นเจ้าของบ้านหนุ่มกำลังเดินลงบันไดมา จึงเอ่ยขอตัวในทันที
“ซันเดี๋ยวนี้จะเจอตัวทีต้องนัดคิวล่วงหน้าหรือเปล่าเนี๊ย”หญิงสาวเอ่ยขึ้น ขณะที่เจ้าของบ้านหนุ่มเดินมาถึงตัว ก่อนจะกอดกันแน่นอย่างที่ทำกันเสมอเมื่อพบกัน
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีซันกลับบ้านเร็วตั้งหลายวันแล้วไม่เห็นเคยเจอเราสักทีติดหนุ่มที่ไหนหรือเปล่าหืม”เอ่ยอย่างเอ็นดู เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากองถ่ายละครเลิกเร็ว จึงได้กลับบ้านเร็ว หากแต่ไม่เจอรถยนต์ส่วนตัวของน้องสาวจอดอยู่ในที่จอดประจำสักครั้ง จึงเอ่ยถามติดแซว
“จะบ้าหรอซันอย่างมูนนี่นะจะมีหนุ่มที่ไหนมาจีบ” เอ่ยเสียงหลง หากแต่ก็ยังยิ้มได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน แม้ตอนนี้จะอายุ 25 ปีแล้วก็ตาม หากแต่กลับไม่เคยมีหนุ่มๆคนไหน ที่มาข้องแวะแล้วทำให้เธอสนใจจริงๆจังๆสักคน
“ทำไมล่ะมูนออกจะน่ารัก” พระเอกหนุ่มเอ่ยพรางดันตัวน้องสาวออกมองอย่างพิจารณาใบหน้าที่หวานใส ดวงตาที่ทอประกายแวววาว จมูกที่โด่งคม เรียวปากที่บางเป็นกระจับสีแดงราวกับลูกเชอร์รี่สด
“แต่ก็สู้สาวๆในสต็อกซันไม่ได้สักคน” น้องสาวคนเดียวอดจะแขวะไม่ได้ เพราะข่าวคราวแต่ละครั้งที่ลงหน้าหนังสือพิมพ์สายบันเทิงแทบทุกฉบับ จะต้องพาดพิงถึงคู่ควงที่แต่ละคนมีดีกรีถึงนางเอกแทบจะทั้งนั้น
“ว่าไปนั่น ไปทานข้าวกันดีกว่า ป่านนี้ตั้งโต๊ะรอกันเสร็จแล้วมั้ง” พระเอกหนุ่มจึงได้แต่ชวนกันกลับไปยังบ้านใหญ่ เพื่อรับประทานอาหารเย็นเพราะเหลือบดูนาฬิกาที่ติดตรงผนังบ้านบอกเวลาเกือบจะหกโมงเย็น
“ไปค่ะ” ไม่โยกโย้ เพราะตอนนี้ท้องของเธอเองก็เริ่มออกอาการประท้วงเรียกร้องหาอาหารมาย่อยเสียแล้ว
เมื่อสองศรีพี่น้องเดินกอดคอกันออกสู่ทางเดินที่เชื่อมต่อสู่บ้านใหญ่ ทำให้ใครคนหนึ่งที่ยืนหลบมุมแอบมองทั้งสองคุยกันเมื่อครู่ ก้าวออกมายืนมองตามหลัง ด้วยแววตาเปี่ยมรัก หากแต่เป็นรักที่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในใจเพียงผู้เดียว
“คุณพ่อ คุณแม่” เมื่อทั้งสองเดินผ่านสะพานที่สร้างค่อมสระว่ายน้ำที่อยู่กั้นกลางระหว่างบ้านทั้งสองหลัง เสียงหวานใสเอ่ยเรียกบุพการีที่เห็นเดินอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนที่เจ้าตัวจะสะบัดตัวออกจากผู้เป็นพี่ชายเพื่อวิ่งเข้าไปหาท่านทั้งสอง เรียกอาการส่ายหน้ายิ้มๆจากพี่ชาย ที่เอือมระอากับพฤติกรรมเยี่ยงเด็กน้อยของเธอ
“เสียงดังอะไรกันมูน โตเป็นสาวแล้วนะเรา ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้” คุณมารตีเอ่ยติงไม่จริงจังนัก เพราะรู้ดีว่าบุตรสาวคนเดียวของนางเป็นคนร่าเริงมาก แตกต่างจากบุตรชาย ที่ออกจะเงียบขรึม ทั้งที่เลี้ยงดูมาเหมือนกันก่อนจะมองเลยไปยังบุตรชายที่ยืนเงียบๆอยู่ไม่ไกลกันนัก
“ซันล่ะลูก ช่วงนี้ว่างหรอ แม่เห็นป้องอยู่บ้านบ่อย”นางเอ่ยเสียงใส เมื่อบุตรชายเพียงคนเดียวเดินเข้ามากอดพร้อมกับหอมแก้มนุ่มของนาง
“ผมให้ป้องพักครับ ไปกับผมตลอด อีกอย่างช่วงนี้งานไม่เยอะ”ดาราหนุ่มเอ่ยขณะที่ยังคงกอดร่างที่ติดจะเจ้าเนื้อเล็กน้อยของมารดา
“ลูกเองก็พักบ้างนะ ไม่รู้จะทำงานหนักขนาดนี้ไปทำไม”คุณมารตีเอ่ยอีกครั้งอย่าง
“เรื่องผู้หญิงก็หัดพักบ้างอะไรบ้าง มูนเห็นลงข่าวไม่เว้นแต่ละวัน”น้องสาวเพียงคนเดียวเอ่ยแซวพี่ชาย เพราะรู้ดีว่า มารดาไม่ค่อยจะพอใจพี่ชายนักเรื่องนี้ และเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มมักจะโดนบ่นเพียงเรื่องเดียว
“หยุดพูดเลยยายมูน”เมื่อน้องสาวเอ่ยเรื่องต้องห้ามสำหรับเขากับมารดา ดาราหนุ่มจึงเอ่ยห้ามปรามพร้อมทำท่าจะลุกขึ้นไปจัดการ
“ไม่หยุด มูนพูดเรื่องจริง พี่ซันนั่นแหละ อย่านะ”บุตรสาวเพียงคนเดียวของบ้านยังคงพูดลอยหน้าต่ออย่างไม่เกรงกลัวกับท่าทีเอาเรื่องนั้น ก่อนจะร้องเสียงหลง เมื่อพี่ชายหน้าโหดทะยานเข้าหาแทบจะทันที จนต้องวิ่งวนไปทั่วบ้าน
“มาให้จับซะดีๆ ยายตัวแสบ”ดาราหนุ่มเอ่ยพรางพยายามคว้าคนตัวเล็กแต่กลับจับไม่ติดสักที
“เรื่องอะไรจะหยุดให้โง่”แม้จะยังวิ่งอยู่ หากแต่ก็ไม่วายต่อปากต่อคำกลับ พรางส่ายสายตาหาที่กำบัง
“พี่บอกให้หยุด”เสียงเข้มเอ่ย พรางจะคว้าตัวน้องสาวคนเดียวให้ได้ และเขาก็เกือบจะคว้าตัวแสบได้อยู่แล้ว เจ้าตัวกลับร้องเสียงหลง
“ว๊าย คุณพ่อขาช่วยมูนด้วย” เกือบพลาดท่าให้จับได้ หญิงสาวตัดสินใจคว้าแขนบิดาเพื่อให้หันหน้ามาประจันกับพี่ชาย ก่อนที่ตัวเองจะหลบไปอยู่หลังบิดาพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกชายหนุ่ม ที่บัดนี้ พยายามจะคว้าแขนเธอด้านหลังบิดา จนเธอต้องหมุนบิดาไปมาเพื่อเป็นที่กำบังตัวเอง
“พอๆๆหยุดทั้งคู่เลย เล่นเป็นเด็กๆไปได้” ท่านทรงพลที่ยืนเป็นกำบังให้บุตรสาวแกว่งไปมาอยู่นาน เอ่ยพรางส่ายหน้า เมื่อเห็นว่าบุตรชายที่นิ่งขรึมของท่านเริ่มทำตัวเป็นเด็ก วิ่งไล่จับกับบุตรสาวที่วิ่งวนตัวท่านหากใครมาเห็นเวลานี้ คงนึกว่าตาฝาด เพราะน้อยครั้งนักที่คนมาดขรึมจะแสดงอาการเป็นเด็กๆเช่นนี้ นอกเสียจากเวลาอยู่กับครอบครัวหรือน้องสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ฝากไว้ก่อนนะยายมูน คุณพ่อไม่อยู่เมื่อไหร่ เจอดีแน่” ชายหนุ่มจำต้องหยุดวิ่งไล่จับน้องสาวตัวแสบ แต่ยังไม่วายขู่สมทบอีกระลอกก่อนจะยอมเดินไปนั่งข้างๆมารดา
“แม่ว่า ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นซะหมด” มารดาเอ่ยตัดบท แม้จะอยากตักเตือนบุตรชายเรื่องผู้หญิงเท่าไหร่ก็ตามแต่เมื่อเห็นทั้งสองหนุ่มสาวยังไม่เลิกส่งส่ายตาและท่าทางกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใครก็จำต้องห้ามทัพก่อนจะมีการวางมวยอีกรอบ
แต่ใครจะรู้ว่า ขณะที่ครอบครัวกำลังสนุกสนานมีความสุขอยู่นั้น ในมุมหนึ่ง กลับมีใครคนหนึ่ง ยืนจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวภายในอยู่เงียบๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างเศร้าใจ และเดินจากภาพเหล่านั้นกลับไปยังห้องพักของตนเองเงียบๆ โดยเขาเองก็หารู้ไม่ว่า ทุกความเคลื่อนไหวของเขานั้น กลับอยู่ในสายตาของแม่นวลมาตั้งแต่ต้น
แม่นวล หรือ นวลนาง แม่บ้านเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ ตั้งแต่ท่านทรงพลและคุณมารตีแต่งงานกันใหม่ๆ แม่นวลเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่กับมารดาของคุณมารตี จนเมื่อนางคลอดบุตรชายคนโตมารดาจึงได้ให้แม่นวลมาคอยดูแลเรื่องต่างๆ รวมถึงคอยเป็นพี่เลี้ยงให้แก่หลานรัก อย่างซัน ซึ่งหลานชายเองก็ติดแม่นวล ต้องนอนห้องเดียวกันจนคุณมารตีตั้งครรภ์บุตรคนที่สองในอีก 7 ปีต่อมา แม่นวลก็ยังคงทำหน้าที่ของนางไม่ขาดตกบกพร่อง จนกระทั่งปัจจุบัน
“ป้องเอ้ย ป้าไม่รู้จะช่วยเอ็งยังไงดี” แม่บ้านเก่าแก่เอ่ยพรางส่ายหน้า แม้นางจะอยากช่วยเหลือชายหนุ่มที่รักเหมือนลูกเหมือนหลานมากแค่ไหน หากแต่นางเองก็เป็นเพียงแค่แม่บ้าน แม้จะได้รับการยกย่องเสมือนญาติผู้ใหญ่แค่ไหน หากแต่นางก็รู้ตัวเองดี ว่าไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปวุ่นวายเรื่องของเจ้านาย ก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าไปในครัว เพื่อทำหน้าที่ของนางต่อไป
ทางด้านชายหนุ่มที่เพิ่งได้รับวันหยุดพักร้อนอย่างกระทันหัน ก็ไม่รู้ว่ตัวจะทำอะไรดี เพราะช่วงหลังมานี้ หากตะวันไม่มีงานมากจนเกินไป หรือไม่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด เขาเองก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว เพียงแค่ช่วยจัดสรรเวลาให้เจ้านายหนุ่ม หรือบางครั้ง แค่แจ้งตารางงานล่วงหน้าให้เป็นรายสัปดาห์เท่านั้น เขาเองก็ว่างมากเสียจนนึกเกรงใจ หากแต่ก็ได้รับคำตอบที่หนักแน่นติดเอาแต่ใจกลับมาทุกครั้งที่จะติดตามไปด้วย
“นายไม่ต้องไปหรอก วันนี้มีถ่ายแค่ไม่กี่ฉากเองก็หมดแล้ว ฉันจะไปต่อกับวิตา”หรือจะเป็น
“นายไปช่วยดูแลยายมูนก็ได้นะ ช่วงนี้บ่นๆว่าเหนื่อย”หรือหนักเข้าก็จะเป็น
“ฉันให้นายพักร้อนเลยป้อง สักเดือนหนึ่งเป็นไง ไปทะเลหรือขึ้นเขาดี ฉันให้พ็อกเก็ตมันนี่นายด้วย” จากสีหน้าและท่าทางที่รับรู้ได้ ว่าเจ้านายหนุ่มหาได้ล้อเล่นไม่ และเขาก็ต้องจำใจยอมหยุดอยู่กับบ้านเฉยๆ ไม่เช่นนั้น คงได้ระเห็จไปเที่ยวโดยไม่เต็มใจแน่
จบตอนแล้วนะคะ แล้วจะเอามาต่อให้อีกค่ะ
ณ บ้านสิริพิพัฒน์ที่จะเรียกว่าคฤหาสน์ก็ไม่ผิดนักเพราะจากประตูรั้วอัลลอยกว่าจะถึงตัวบ้านกินระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตรโดยตลอดทางเต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธ์ที่ปลูกห้อมล้อมเป็นทางยาวราวกับจะทำเป็นอุโมงค์ต้นไม้ซึ่งเจ้าของบ้านตั้งใจจะให้ทุกคนที่ก้าวเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้านหลังนี้มีแต่ความร่มเย็นสุขกายสบายใจเมื่อพ้นอุโมงค์ต้นไม้จะพบกับสระน้ำขนาดใหญ่ที่ขุดไว้เป็นทางยาวล้อมตัวบ้านโดยจะมีสะพานข้ามไปยังตัวบ้านขณะที่ตัวบ้านแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองหลังโดยมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันทางด้านขวาเป็นซุ้มไม้เลื้อยที่ปลูกปกคลุมศาลาพักผ่อนที่ครอบครัวมักจะออกมานั่งรับลมในวันว่างๆขณะที่ด้านซ้ายเป็นมุมสนามหญ้าสำหรับจัดงานรื่นเริงต่างๆของเจ้าของบ้าน
“ป้องมานี่หน่อย” เสียงทรงอำนาจหากแต่ไม่ดุจนเกินไปเอ่ยเรียกคนสนิทของบุตรชายที่เดินผ่านเข้ามายังห้องนั่งเล่นที่ท่านทรงพลสิริพิพัฒน์กำลังนั่งพักผ่อนอยู่
“ครับท่าน” ปกป้องรับคำแล้วเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ไม่ห่างนัก
“เจ้าซันเป็นยังไงบ้าง” ท่านเอ่ยเสียงเรียบติดดุหากแต่สายตาที่ทอดมองชายหนุ่มรุ่นลูกกลับทอประกายความเมตตา
“สบายดีครับท่านท่านจะให้เรียกมาหรือเปล่าครับ”ปกป้องเอ่ยถามนิ่งหากแต่อดแปลกใจไม่ได้เพราะปกติสองพ่อลูกจะเจอกันสัปดาห์ละครั้งและวันนี้ก็เป็นวันที่ครอบครับสิริพิพัฒน์จะต้องกลับมาอยู่พร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารของบ้านใหญ่
“แล้วเราล่ะอยากพักบ้างหรือเปล่าตามเจ้าซันตลอดแบบนี้จะมีเวลาส่วนตัวหรอ” ท่านทรงพลส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงที่เจ้าตัวพยายามผ่อนให้นุ่มลงหากแต่ก็ยังฟังดูดุจนหลายคนไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้อย่างใจดีจะว่าไปปกป้องก็เหมือนลูกเหมือนหลานเขาส่งเสียเลี้ยงดูให้การศึกษาไม่ได้เลี้ยงให้ต่ำต้อย หากแต่ปกป้องเองที่พยายามทำตัวเองให้ต่ำลง
“มีครับ” คำตอบสั้นๆตามนิสัยหากแต่คนฟังกลับมีอาการไม่ค่อยจะพอใจก่อนจะส่งเสียงเข้มขึ้น
“ถึงงั้นก็เถอะหยุดพักบ้างไม่ต้องห่วงเจ้าซันนักเดี๋ยวฉันจะให้วินัยขับรถให้แทน” เสียงเฉียบขาดที่มักจะใช้เมื่อไม่ต้องการคำปฏิเสธดังขึ้นจนคนฟังที่คิดจะค้าน หากแต่ทำได้แค่พยักหน้ารับคำสั่งดังกล่าว
“ไปพักเถอะฉันจะบอกเจ้าซันเอง” เอ่ยปากพร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณให้ออกไปก่อนจะมองตามหลังชายหนุ่มอย่างครุ่นคิด
ก่อนจะได้คิดอะไรมากไปกว่านี้กลับได้ยินเสียงหวานใสดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงจะปรากฏตัวด้วยซ้ำไปถึงแม้จะมีแค่เพียงเสียงแต่ก็เรียกรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าเคร่งได้เป็นอย่างดี
“มีอะไรกันหรอคะคุณพ่อมูนเห็นป้องเดินหน้าหงิกออกไป” อินทิราสิริพิพัฒน์หรือมูนบุตรสาวคนเล็กของท่านทรงพลเดินเข้ามาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวโตตัวเดียวกันก่อนจะเอนหน้าซบลงบนไหล่หนาของบิดาอย่างออดอ้อน
“ไม่มีอะไรหรอกว่าแต่ป้องทำหน้าแบบอื่นเป็นด้วยหรือพ่อนึกว่าทำเป็นแต่หน้านิ่งๆซะอีก” ท่านทรงพลเอ่ยเย้าบุตรสาวเนื่องจากตั้งแต่เติบโตขึ้นมาตะวันและปกป้องที่ถูกเลี้ยงดูมาด้วยกันมักจะทำหน้านิ่งๆมากกว่าจะแสดงความรู้สึกอื่นใดบนใบหน้าคมนั้น
“แหมคุณพ่อก็ไม่ต้องมาแซวมูนเลยค่ะไม่ออกไปไหนหรอคะวันนี้” หญิงสาวเอ่ยขัดบิดาก่อนจะเอ่ยถามเมื่อเห็นชุดที่บิดาสวมอยู่ตอนนี้ที่เป็นเพียงเสื้อยืดคอปกกับกางเกงขายาวธรรมดาที่ท่านมักจะสวมใส่เมื่ออยู่บ้านสบายๆ
“ไม่ล่ะแล้วมูนล่ะลูกไปไหนมาถึงเพิ่งกลับ” เพราะตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะหกโมงเย็นแล้วซึ่งโดยปกติแล้วน้อยครั้งนักที่บุตรสาวจะกลับบ้านเย็นในวันครอบครัวเช่นนี้
“นัดลูกค้าคุยเรื่องแบบค่ะพอดีมีปัญหานิดหน่อยกว่าจะคุยกันรู้เรื่องเลยยาวไปนิด” เอ่ยพรางมองไปรอบๆเหมือนจะหาใครสักคนหากแต่ยังไม่ทันได้ถามออกมา
“เจ้าซันยังไม่มาหรอกไม่ต้องมองหาเลยอยากเจอก็ต้องไปหาที่บ้านเขา” ท่านทรงพลเอ่ยตอบเหมือนรู้ใจบุตรสาวเป็นอย่างดีเรียกเอารอยยิ้มบนใบหน้าหวานก่อนจะได้การหอมแก้มเป็นรางวัล
“รู้ใจมูนที่สุดเลยผู้ชายคนนี้เนี๊ยงั้นมูนไปหาพี่ซันก่อนนะคะ”พูดจบก็กระโดดตัวลอยไปยังทางเชื่อมจากบ้านใหญ่ไปสู่บ้านส่วนตัวของชายหนุ่มที่มีความเป็นส่วนตัวสูงจนกระทั่งบิดาต้องสร้างบ้านอีกหลังข้างๆกันให้อยู่ส่วนตัว
*******************************************
เอามาต่อให้ ขอโทษที่หายไปนะคะ
เพราะว่าเป็นบริเวณบ้านของตนเอง อินทิราไม่จำเป็นต้องวางท่าทางให้น่าเกรงใจสักเท่าไหร่ ปกติเธอมักจะเป็นคนสดใสร่าเริง อารมณ์ดีและใจดีกับทุกๆคน เพราะเหตุนี้ ทุกคนในบ้านไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน คนสวน หรือแม้แต่บอดี้การ์ด ต่างก็รักและเทิดทูนคุณหนูของบ้านกันยิ่งนักและครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่สาวสวยวิ่งอย่างกับเด็กข้ามสะพานน้อยๆจากบ้านของบิดามารดา มายังฝั่งบ้านของพี่ชายสุดที่รัก
“อุ้ยพี่ป้องตกใจหมดเลย” หญิงสาวหยุดวิ่งแทบจะทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปยังบ้านของหนุ่มโสดเนื้อหอมเพราะชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้าน
“คุณมูนมาหาซันหรอครับ” ปกป้องเอ่ยเสียงเรียบหากแต่แววตาที่จ้องมองทำเอาหญิงสาวถึงกับพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้ารับ
“ซันอยู่บนห้องเดี๋ยวผมไปตามให้ดีกว่า” ปกป้องเอ่ยก่อนจะหมุนตัวเตรียมเดินเข้าชั้นบนของบ้านเพื่อบอกเจ้าของบ้านหนุ่มหากแต่กลับมีมือรั้งไว้เสียก่อน
“ค่อยตามก็ได้ค่ะพี่ซันคงพักผ่อนอยู่พี่ป้องคุยกับมูนก่อนได้หรือเปล่าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยพรางอยากกัดลิ้นตัวเองที่รั้งเขาไว้ตามใจคิดโดยไม่ทันคิดถึงความเหมาะสมที่จะอยู่กับชายหนุ่มตามลำพัง
“คุณมูนมีอะไรหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงที่ใช้ ยังคงนอบน้อมและเจียมตัวราวกับพูดอยู่กับเจ้านายใหญ่ ทั้งๆที่ทุกคนในบ้าน ไม่เคยแบ่งแยกชนชั้นกัน
“พี่ป้องไม่ต้องเรียกมูนว่าคุณหรอกค่ะเมื่อครู่คุณพ่อคุยอะไรกับพี่ป้องหรอคะ” หญิงสาวเอ่ยติงคำเรียกชื่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเอ่ยถามสิ่งที่สงสัยในใจ
“ไม่มีอะไรหรอกครับแค่ถามอะไรนิดหน่อย”คำตอบที่ยังคงหลุดออกจากปากน้อยนิด
“มูนว่าพี่ป้องทำงานหนักไปนะคะดูสิผอมมากเลย”หญิงสาวยังคงเอื้อนเอ่ยตอบอย่างสังเกตไปเรื่อยๆ
“ไม่หรอกครับซันลงมาแล้วผมขอตัว”ปกป้องเอ่ยขึ้น ก่อนจะเหลือบไปเห็นเจ้าของบ้านหนุ่มกำลังเดินลงบันไดมา จึงเอ่ยขอตัวในทันที
“ซันเดี๋ยวนี้จะเจอตัวทีต้องนัดคิวล่วงหน้าหรือเปล่าเนี๊ย”หญิงสาวเอ่ยขึ้น ขณะที่เจ้าของบ้านหนุ่มเดินมาถึงตัว ก่อนจะกอดกันแน่นอย่างที่ทำกันเสมอเมื่อพบกัน
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีซันกลับบ้านเร็วตั้งหลายวันแล้วไม่เห็นเคยเจอเราสักทีติดหนุ่มที่ไหนหรือเปล่าหืม”เอ่ยอย่างเอ็นดู เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากองถ่ายละครเลิกเร็ว จึงได้กลับบ้านเร็ว หากแต่ไม่เจอรถยนต์ส่วนตัวของน้องสาวจอดอยู่ในที่จอดประจำสักครั้ง จึงเอ่ยถามติดแซว
“จะบ้าหรอซันอย่างมูนนี่นะจะมีหนุ่มที่ไหนมาจีบ” เอ่ยเสียงหลง หากแต่ก็ยังยิ้มได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน แม้ตอนนี้จะอายุ 25 ปีแล้วก็ตาม หากแต่กลับไม่เคยมีหนุ่มๆคนไหน ที่มาข้องแวะแล้วทำให้เธอสนใจจริงๆจังๆสักคน
“ทำไมล่ะมูนออกจะน่ารัก” พระเอกหนุ่มเอ่ยพรางดันตัวน้องสาวออกมองอย่างพิจารณาใบหน้าที่หวานใส ดวงตาที่ทอประกายแวววาว จมูกที่โด่งคม เรียวปากที่บางเป็นกระจับสีแดงราวกับลูกเชอร์รี่สด
“แต่ก็สู้สาวๆในสต็อกซันไม่ได้สักคน” น้องสาวคนเดียวอดจะแขวะไม่ได้ เพราะข่าวคราวแต่ละครั้งที่ลงหน้าหนังสือพิมพ์สายบันเทิงแทบทุกฉบับ จะต้องพาดพิงถึงคู่ควงที่แต่ละคนมีดีกรีถึงนางเอกแทบจะทั้งนั้น
“ว่าไปนั่น ไปทานข้าวกันดีกว่า ป่านนี้ตั้งโต๊ะรอกันเสร็จแล้วมั้ง” พระเอกหนุ่มจึงได้แต่ชวนกันกลับไปยังบ้านใหญ่ เพื่อรับประทานอาหารเย็นเพราะเหลือบดูนาฬิกาที่ติดตรงผนังบ้านบอกเวลาเกือบจะหกโมงเย็น
“ไปค่ะ” ไม่โยกโย้ เพราะตอนนี้ท้องของเธอเองก็เริ่มออกอาการประท้วงเรียกร้องหาอาหารมาย่อยเสียแล้ว
เมื่อสองศรีพี่น้องเดินกอดคอกันออกสู่ทางเดินที่เชื่อมต่อสู่บ้านใหญ่ ทำให้ใครคนหนึ่งที่ยืนหลบมุมแอบมองทั้งสองคุยกันเมื่อครู่ ก้าวออกมายืนมองตามหลัง ด้วยแววตาเปี่ยมรัก หากแต่เป็นรักที่ต้องเก็บซ่อนเอาไว้ในใจเพียงผู้เดียว
“คุณพ่อ คุณแม่” เมื่อทั้งสองเดินผ่านสะพานที่สร้างค่อมสระว่ายน้ำที่อยู่กั้นกลางระหว่างบ้านทั้งสองหลัง เสียงหวานใสเอ่ยเรียกบุพการีที่เห็นเดินอยู่ไม่ไกลนัก ก่อนที่เจ้าตัวจะสะบัดตัวออกจากผู้เป็นพี่ชายเพื่อวิ่งเข้าไปหาท่านทั้งสอง เรียกอาการส่ายหน้ายิ้มๆจากพี่ชาย ที่เอือมระอากับพฤติกรรมเยี่ยงเด็กน้อยของเธอ
“เสียงดังอะไรกันมูน โตเป็นสาวแล้วนะเรา ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้” คุณมารตีเอ่ยติงไม่จริงจังนัก เพราะรู้ดีว่าบุตรสาวคนเดียวของนางเป็นคนร่าเริงมาก แตกต่างจากบุตรชาย ที่ออกจะเงียบขรึม ทั้งที่เลี้ยงดูมาเหมือนกันก่อนจะมองเลยไปยังบุตรชายที่ยืนเงียบๆอยู่ไม่ไกลกันนัก
“ซันล่ะลูก ช่วงนี้ว่างหรอ แม่เห็นป้องอยู่บ้านบ่อย”นางเอ่ยเสียงใส เมื่อบุตรชายเพียงคนเดียวเดินเข้ามากอดพร้อมกับหอมแก้มนุ่มของนาง
“ผมให้ป้องพักครับ ไปกับผมตลอด อีกอย่างช่วงนี้งานไม่เยอะ”ดาราหนุ่มเอ่ยขณะที่ยังคงกอดร่างที่ติดจะเจ้าเนื้อเล็กน้อยของมารดา
“ลูกเองก็พักบ้างนะ ไม่รู้จะทำงานหนักขนาดนี้ไปทำไม”คุณมารตีเอ่ยอีกครั้งอย่าง
“เรื่องผู้หญิงก็หัดพักบ้างอะไรบ้าง มูนเห็นลงข่าวไม่เว้นแต่ละวัน”น้องสาวเพียงคนเดียวเอ่ยแซวพี่ชาย เพราะรู้ดีว่า มารดาไม่ค่อยจะพอใจพี่ชายนักเรื่องนี้ และเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มมักจะโดนบ่นเพียงเรื่องเดียว
“หยุดพูดเลยยายมูน”เมื่อน้องสาวเอ่ยเรื่องต้องห้ามสำหรับเขากับมารดา ดาราหนุ่มจึงเอ่ยห้ามปรามพร้อมทำท่าจะลุกขึ้นไปจัดการ
“ไม่หยุด มูนพูดเรื่องจริง พี่ซันนั่นแหละ อย่านะ”บุตรสาวเพียงคนเดียวของบ้านยังคงพูดลอยหน้าต่ออย่างไม่เกรงกลัวกับท่าทีเอาเรื่องนั้น ก่อนจะร้องเสียงหลง เมื่อพี่ชายหน้าโหดทะยานเข้าหาแทบจะทันที จนต้องวิ่งวนไปทั่วบ้าน
“มาให้จับซะดีๆ ยายตัวแสบ”ดาราหนุ่มเอ่ยพรางพยายามคว้าคนตัวเล็กแต่กลับจับไม่ติดสักที
“เรื่องอะไรจะหยุดให้โง่”แม้จะยังวิ่งอยู่ หากแต่ก็ไม่วายต่อปากต่อคำกลับ พรางส่ายสายตาหาที่กำบัง
“พี่บอกให้หยุด”เสียงเข้มเอ่ย พรางจะคว้าตัวน้องสาวคนเดียวให้ได้ และเขาก็เกือบจะคว้าตัวแสบได้อยู่แล้ว เจ้าตัวกลับร้องเสียงหลง
“ว๊าย คุณพ่อขาช่วยมูนด้วย” เกือบพลาดท่าให้จับได้ หญิงสาวตัดสินใจคว้าแขนบิดาเพื่อให้หันหน้ามาประจันกับพี่ชาย ก่อนที่ตัวเองจะหลบไปอยู่หลังบิดาพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกชายหนุ่ม ที่บัดนี้ พยายามจะคว้าแขนเธอด้านหลังบิดา จนเธอต้องหมุนบิดาไปมาเพื่อเป็นที่กำบังตัวเอง
“พอๆๆหยุดทั้งคู่เลย เล่นเป็นเด็กๆไปได้” ท่านทรงพลที่ยืนเป็นกำบังให้บุตรสาวแกว่งไปมาอยู่นาน เอ่ยพรางส่ายหน้า เมื่อเห็นว่าบุตรชายที่นิ่งขรึมของท่านเริ่มทำตัวเป็นเด็ก วิ่งไล่จับกับบุตรสาวที่วิ่งวนตัวท่านหากใครมาเห็นเวลานี้ คงนึกว่าตาฝาด เพราะน้อยครั้งนักที่คนมาดขรึมจะแสดงอาการเป็นเด็กๆเช่นนี้ นอกเสียจากเวลาอยู่กับครอบครัวหรือน้องสาวเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ฝากไว้ก่อนนะยายมูน คุณพ่อไม่อยู่เมื่อไหร่ เจอดีแน่” ชายหนุ่มจำต้องหยุดวิ่งไล่จับน้องสาวตัวแสบ แต่ยังไม่วายขู่สมทบอีกระลอกก่อนจะยอมเดินไปนั่งข้างๆมารดา
“แม่ว่า ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นซะหมด” มารดาเอ่ยตัดบท แม้จะอยากตักเตือนบุตรชายเรื่องผู้หญิงเท่าไหร่ก็ตามแต่เมื่อเห็นทั้งสองหนุ่มสาวยังไม่เลิกส่งส่ายตาและท่าทางกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใครก็จำต้องห้ามทัพก่อนจะมีการวางมวยอีกรอบ
แต่ใครจะรู้ว่า ขณะที่ครอบครัวกำลังสนุกสนานมีความสุขอยู่นั้น ในมุมหนึ่ง กลับมีใครคนหนึ่ง ยืนจับจ้องทุกความเคลื่อนไหวภายในอยู่เงียบๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างเศร้าใจ และเดินจากภาพเหล่านั้นกลับไปยังห้องพักของตนเองเงียบๆ โดยเขาเองก็หารู้ไม่ว่า ทุกความเคลื่อนไหวของเขานั้น กลับอยู่ในสายตาของแม่นวลมาตั้งแต่ต้น
แม่นวล หรือ นวลนาง แม่บ้านเก่าแก่ที่อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ ตั้งแต่ท่านทรงพลและคุณมารตีแต่งงานกันใหม่ๆ แม่นวลเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่กับมารดาของคุณมารตี จนเมื่อนางคลอดบุตรชายคนโตมารดาจึงได้ให้แม่นวลมาคอยดูแลเรื่องต่างๆ รวมถึงคอยเป็นพี่เลี้ยงให้แก่หลานรัก อย่างซัน ซึ่งหลานชายเองก็ติดแม่นวล ต้องนอนห้องเดียวกันจนคุณมารตีตั้งครรภ์บุตรคนที่สองในอีก 7 ปีต่อมา แม่นวลก็ยังคงทำหน้าที่ของนางไม่ขาดตกบกพร่อง จนกระทั่งปัจจุบัน
“ป้องเอ้ย ป้าไม่รู้จะช่วยเอ็งยังไงดี” แม่บ้านเก่าแก่เอ่ยพรางส่ายหน้า แม้นางจะอยากช่วยเหลือชายหนุ่มที่รักเหมือนลูกเหมือนหลานมากแค่ไหน หากแต่นางเองก็เป็นเพียงแค่แม่บ้าน แม้จะได้รับการยกย่องเสมือนญาติผู้ใหญ่แค่ไหน หากแต่นางก็รู้ตัวเองดี ว่าไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปวุ่นวายเรื่องของเจ้านาย ก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าไปในครัว เพื่อทำหน้าที่ของนางต่อไป
ทางด้านชายหนุ่มที่เพิ่งได้รับวันหยุดพักร้อนอย่างกระทันหัน ก็ไม่รู้ว่ตัวจะทำอะไรดี เพราะช่วงหลังมานี้ หากตะวันไม่มีงานมากจนเกินไป หรือไม่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด เขาเองก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว เพียงแค่ช่วยจัดสรรเวลาให้เจ้านายหนุ่ม หรือบางครั้ง แค่แจ้งตารางงานล่วงหน้าให้เป็นรายสัปดาห์เท่านั้น เขาเองก็ว่างมากเสียจนนึกเกรงใจ หากแต่ก็ได้รับคำตอบที่หนักแน่นติดเอาแต่ใจกลับมาทุกครั้งที่จะติดตามไปด้วย
“นายไม่ต้องไปหรอก วันนี้มีถ่ายแค่ไม่กี่ฉากเองก็หมดแล้ว ฉันจะไปต่อกับวิตา”หรือจะเป็น
“นายไปช่วยดูแลยายมูนก็ได้นะ ช่วงนี้บ่นๆว่าเหนื่อย”หรือหนักเข้าก็จะเป็น
“ฉันให้นายพักร้อนเลยป้อง สักเดือนหนึ่งเป็นไง ไปทะเลหรือขึ้นเขาดี ฉันให้พ็อกเก็ตมันนี่นายด้วย” จากสีหน้าและท่าทางที่รับรู้ได้ ว่าเจ้านายหนุ่มหาได้ล้อเล่นไม่ และเขาก็ต้องจำใจยอมหยุดอยู่กับบ้านเฉยๆ ไม่เช่นนั้น คงได้ระเห็จไปเที่ยวโดยไม่เต็มใจแน่
จบตอนแล้วนะคะ แล้วจะเอามาต่อให้อีกค่ะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ