พิศวาสสีชมพู
8) ตอนที่ 8 จบตอนค่ะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยกำลังวุ่นวายราวกับเกิดจราจล หากแต่เป็นจราจลซึ่งเกิดจากนักศึกษาที่กรูกันออกจากทุกห้อง บ้างก็ตะโกนโห่ร้อง บ้างก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เพราะวันนี้เป็นวันสอบวิชาสุดท้ายของปีการศึกษา สำหรับนักศึกษาปี 4 ของหลายๆคน ก็ถือได้ว่าเป็นวิชาสุดท้ายของการเรียนระดับปริญญาตรี และนั่นก็หมายถึงว่า หลังจากสอบวิชานี้เรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแค่เพียงรอลุ้นว่าเกรดจะออกมาเป็นเช่นไร หลายๆคนก็จับกลุ่มกันเพื่อเตรียมตัวไปเที่ยวฉลองวิถีชีวิตใหม่ บ้างก็ร่ำลาก่อนจะแยกจากกัน หากแต่มีเพียงไม่กี่คน ที่ยังคงปักหลักอยู่ที่นี่ เพื่อศึกษาต่อจากการได้ทุน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ พิมพ์นภา ที่ตอนนี้แยกตัวจากเพื่อนๆเพื่อโทรศัพท์
“พี่ภัส พิมพ์เรียนจบแล้วนะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างสดใสทันทีที่ปลายสายกดรับ
“ดีใจด้วยจ๊ะ อย่างนี้พี่ต้องพาไปฉลองแล้วสิ ว่าแต่ที่ไหนดีน๊า” แพรวนภัสเอ่ยอย่างยินดี เมื่อน้องสาวเพียงคนเดียวของเธอประสบความสำเร็จในชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง
“พี่ภัสว่างหรอคะ พิมพ์อยากไปอเมซอน” พิมพ์นภาเอ่ยชื่อผับหรูแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าดารานางแบบ หรือแม้กระทั่งคนดังก็ไม่เว้น
“เอาจริงๆหรอพิมพ์ พี่ว่า เราไปที่อื่นดีกว่ามั๊ย” คำตอบของน้องสาว ทำเอาคนเป็นพี่ถึงกับเหนื่อยใจ ไม่ใช่เพราะสถานที่ หากแต่เป็นบุคคลต่างหากที่เธอนึกเบื่อ
“พิมพ์อยากไปที่นี่ นะๆ”พิมพ์นภาเอ่ยเสียงโอดครวญ เพราะหากพี่สาวเธอคิดปฏิเสธ ก็ยากที่เธอจะเปลี่ยนใจ
“ไว้คุยกันเย็นนี้ รีบกลับบ้านแล้วกัน โอเคนะ” ใจหนึ่งก็อยากทำตามใจน้อง หากแต่อีกใจหนึ่งก็ไม่นึกสนุก หากต้องไปเจอเจ้าของสถานที่แห่งนั้น เมื่อตัดสินใจไม่ได้ จึงได้แต่เอ่ยตัดบท ก่อนจะดึงสมาธิกลับมาสู่งานตรงหน้า เพราะวันนี้เธอมีงานถ่ายแบบนิตยสารชั้นนำเล่มหนึ่ง ที่นัดสัมภาษณ์พร้อมถ่ายแฟชั่นลงหนังสือ ในหัวข้อเรื่อง นางเอกหน้าใหม่ ที่ผันตัวจากเวทีนางแบบ
“พิมพ์โทรมาหรอภัส” แจงเดินเข้ามาถาม เมื่อเห็นหญิงสาววางโทรศัพท์ลงในกระเป๋าถือเรียบร้อยแล้ว
“ใช่พี่แจง สอบเสร็จแล้ว นัดไว้ที่บ้าน ว่าจะพาไปฉลองสอบเสร็จเสียหน่อย”หญิงสาวเอ่ยตอบเสียงสดใส เธอดีใจกับน้องด้วยที่ในที่สุดก็ทำอย่างที่ตั้งใจไว้จนสำเร็จ
“เอาสิ ที่ไหนดีล่ะ”แจงเองก็ดีใจไม่แพ้กัน เพราะเธอรู้ดีว่า ทั้งสองคนรักการเรียนแค่ไหน ยิ่งพิมพ์นภาด้วยแล้ว รายนั้นปกติเรียนเก่ง ยิ่งเห็นพี่สาวทำงานหนักเพื่อส่งเสียเธอ ก็ยิ่งตั้งใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว
“พิมพ์บอกอยากไปอเมซอน” แพรวนภัสเอ่ยด้วยสีหน้ามีรอยกังวล ก่อนจะสบตาเพื่อนสาวอย่างขอความเห็น
“แล้วภัสว่าไงล่ะ กังวลอะไร ไม่น่าจะมีอะไรมั้ง” แจงเอ่ยอย่างรู้ใจ เมื่อเห็นท่าทางและสีหน้า รวมทั้งนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบมีข่าว และยิ่งไม่ชอบมากที่จะต้องมาให้สัมภาษณ์เรื่องส่วนตัว
“ไม่รู้สิพี่แจง ไว้คุยต่อเย็นนี้แล้วกัน” หญิงสาวเอ่ยตอบก่อนจะเหลือบมองไปยังทีมงานที่กำลังดูภาพถ่ายเธอชุดก่อนจากคอมพิวเตอร์ จึงลุกขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณว่าเธอพร้อมจะถ่ายชุดต่อไปแล้ว
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง หากแต่ตึกราบ้านช่องรวมทั้งถนนหนทางกลับสว่างไสวไปด้วยแสงไฟที่นำมาประดับตกแต่งกัน ยิ่งท้องฟ้ามืดบรรยากาศที่นี่ยิ่งดูคึกคัก นักท่องราตรีต่างก็ทยอยกันเข้ามา
“ซัน เอาไง จะเข้าไปดูเองหรือเปล่า หรือจะรอในรถ” ปกป้องที่เพิ่งได้กลับมาทำหน้าที่ของตนอีกครั้ง หลังจากได้วันหยุดอย่างไม่รู้ตัวเอ่ยขึ้น ขณะกำลังนำรถเข้าจอดในที่เฉพาะ
“ลงไปก็ได้ ไม่ได้เข้าไปนานแล้ว” ซันเอ่ยตอบ พรางส่ายสายตามองไปรอบๆลานจอดรถที่เริ่มแน่นขนัดอย่างสังเกตุ
“คนเยอะเหมือนทุกวัน” ปกป้องเอ่ยบอกขณะก้าวออกจากรถ พร้อมทั้งกดล็อคเรียบร้อย หน้าที่หลักของเขาอีกอย่างคือต้องเข้ามาดูแลความเรียบร้อยของร้าน ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจของทั้งคู่ ที่ร่วมกันลงเงินลงแรงในการสร้าง โดยซันจะออกเงินเป็นหลักและไม่ค่อยเข้ามาดูแล ส่วนหนึ่งเพราะไม่อยากเป็นข่าว และเพราะไม่ชอบบรรยากาศการเที่ยวกลางคืนแบบนี้ ส่วนปกป้องออกเงินบางส่วนและรับหน้าที่ดูแลทุกอย่างเกี่ยวกับร้าน
“เข้าไปข้างในกันเถอะ” ซันเอ่ยก่อนจะออกเดินนำเข้าไปภายในทางประตูเฉพาะ
เวลาเกือบ 4 ทุ่มแล้ว เมื่อสาวๆมาถึงอเมซอน บรรยากาศตึกขนาด 3 ชั้นด้านนอกที่เห็นดูใหญ่โตสมคำล่ำลือที่เคยได้ยินมา ยิ่งตกแต่งประดับตัวอักษรชื่อร้าน ยิ่งให้ความรู้สึกหรูหรา จำนวนคนที่เข้าแถวทยอยกันเข้าไปเพื่อตรวจบัตรก็เริ่มไม่น้อย เรียกได้ว่าเยอะทีเดียว เสียงเพลงที่เปิดดังลั่น จังหวะสนุกสนาน กับบรรยากาศสลัวๆของแสงไฟที่เปิดหรี่ไว้เพียงแค่ให้มองเห็นทางรำไรๆ เรียกความตื่นตาตื่นใจในความรู้สึกของพิมพ์นภาได้เป็นอย่างดี จะบอกว่าเธอไม่เคยเข้ามาสถานที่แบบนี้มาก่อนก็ไม่ผิดนัก เพราะการหมุกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องเรียนมาตลอด และนั่นเหมือนเป็นข้ออ้าง ในการต่อรองของเธอเมื่อเกือบ 2 ชั่วโมงที่แล้ว
“พิมพ์พี่ว่า เราอย่าไปที่นั่นเลยนะ” แพรวนภัสเอ่ยตรงประเด็นทันทีที่เห็นหน้าน้องสาว
“ทำไมล่ะพี่ภัส” พิมพ์นภาเอ่ยถามกลับด้วยสีหน้าเศร้า ทำเอาคนเป็นพี่รู้สึกผิดตะหงิดๆ
“คนมันเยอะ อีกอย่างร้านอเมซอน ก็มีแต่พวกคนดังๆกับนักข่าวทั้งนั้นที่ไปกัน” ผู้เป็นพี่สาวเอ่ยพรางจูงมือน้องมานั่งบนโซฟากลางห้องรับแขกของบ้านที่บิดามารดาซื้อไว้ให้อยู่เมื่อสมัยเข้ามาอยู่กรุงเทพใหม่ๆ
“ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย หรือว่าเพราะพิมพ์ไม่ได้เป็นดาราดังเลยเข้าไปไม่ได้” พิมพ์นภาเอ่ยแทบจะทันทีที่นั่งลง ร้อนถึงคนเป็นพี่สาวที่ต้องรีบหาคำอธิบายก่อนที่น้องจะเข้าใจเธอผิดไป
“ไม่ใช่แบบนั้นพิมพ์ พี่แค่ไม่อยากเป็นข่าว” คำตอบแรกที่ดูเหมือนจะร้อนรนแก้ต่างให้แก่ตัวเอง หากแต่ปลายประโยคกลับแผ่วเบาลงอย่าคิดหนัก จนคนฟังถึงกับอมยิ้ม
“โธ่ พี่ภัสก็ จะมีข่าวว่าอะไรล่ะคะ หรือนักข่าวจะลงข่าวพี่ภัสว่า “นางเอกหน้าใหม่แพรวนภัส ควงสาวสวยมาเที่ยวผับ” อย่างนั้นหรอ” เอ่ยพรางหัวเราะพราง
“ล้อพี่หรอพิมพ์ เดี๋ยวจะโดนดี” เมื่อน้องยิ้ม คนเป็นพี่ก็อดยิ้มด้วยไม่ได้
“นะพี่ภัส ไปที่นี่แหละ เพื่อนๆพิมพ์ก็ไปกันตั้งบ่อย ไม่เห็นจะมีอะไรเลย พิมพ์เองก็มัวแต่เรียนเลยไม่เคยไปกับใครเขา” เอ่ยอย่างพยายามทำให้ดูน่าสงสาร พรางสังเกตุสีหน้าของพี่สาวอย่างจดจ่อ จนเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉยเหมือนกำลังตัดสินใจจึงเอ่ยต่ออย่างเด็ดเดี่ยว
“ถ้าพี่ภัสไม่พาไป พิมพ์จะแอบไปเอง ไม่เชื่อคอยดู” พูดจบก็ทำหน้าบึ้งอย่างคนเอาแต่ใจ พรางหันหลังให้พี่สาวอย่างแง่งอน จนคนฟังถึงกับตกใจในท่าทีที่เปลี่ยนไป จึงทำได้แค่ถอนหายใจ
“เอาน่าภัส พาน้องมันไปเถอะ เดี๋ยวพี่ไปด้วยจะได้ไม่มีปัญหา” แจงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นความกดดันที่น้องสาวตัวแสบสร้างให้แก่พี่สาว
“เอา ไปก็ไป แต่ไม่กลับดึกนักนะ พี่บอกให้กลับตอนไหนก็ต้องกลับ ห้ามต่อรองเด็ดขาด” แพรวนภัสเอ่ยอย่างตัดใจ ก่อนจะตั้งเงื่อนไขไว้ ทำเอาคนรอฟังคำตอบแทบกระโดดจากเก้าอี้ยิ้มหน้าบาน พร้อมพยักหน้ายินยอมแต่โดยดี
“แล้วมีเพื่อนไปด้วย หรือว่าไปแค่เรา” หญิงสาวเอ่ยอย่างรู้ใจน้องสาวที่ค่อนข้างจะติดเพื่อนมาก
“ก็มีคนเดิมๆค่ะ อีกเดี๋ยวก็คงมาถึง” เอ่ยตอบพี่สาวอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะทำท่าลุกขึ้น
“นี่ถ้าพี่ไม่ยอมจะทำยังไงหึ” แพรวนภัสเอ่ยพรางส่ายหน้ากับความเป็นเด็กของเพื่อนๆน้องสาวแต่ละคน
“พิมพ์รู้ ยังไงพี่ภัสก็ต้องพาไป พิมพ์ไปแต่งตัวก่อนนะพี่ภัส” เอ่ยอย่างออดอ้อน ก่อนจะวิ่งตัวปลิวขึ้นห้องนอน ทิ้งให้พี่สาวนั่งจมความคิดตัวเองไปคนเดียว
หากแต่โซนที่พวกเธอถูกพามา เป็นส่วนของชั้น2 ที่ทางร้านจัดเอาไว้สำหรับเหล่าคนดัง เพื่อความเป็นส่วนตัว นอกจากใครต้องการจะอยู่รวมด้านล่างก็บอกได้ ตัวตึกเป็น 3 ชั้น หากแต่เปิดให้บริการเพียง 2 ชั้นเท่านั้น ในชั้นแรกจากประตูทางเข้ารายล้อมไปด้วยโต๊ะตัวเล็กๆและเก้าอีกไม่มีพนักพิง ล้อมรอบเวทีที่ตั้งไว้กึ่งกลางของห้อง ด้านซ้ายและขวาจัดไว้สำหรับเป็นห้องน้ำ ส่วนชั้น2 พื้นที่ตรงกลางเจาะเป็นช่องทะลุโล่งรวมไปถึงชั้น3 ไว้สำหรับดูนักร้องที่แสดงอยู่บนเวทีชั้นล่าง รอบๆจัดเป็นโต๊ะขนาด 4-6 คน กับเก้าอี้หนังตัวไม่ใหญ่รายล้อมไปทั้งชั้น ส่วนชั้น3 ทำเป็นห้องพักไว้สำหรับเจ้าของร้าน รวมทั้งห้องสำหรับควบคุมเครื่องเสียงยามไม่มีนักร้องมาร้องสดแม้วันนี้คนจะเยอะ หากแต่ชั้น2 ก็ยังพอมีที่ว่างสำหรับพวกเธอ
เมื่อมีโต๊ะนั่งประจำกันเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็เริ่มสั่งเครื่องดื่มสำหรับตัวเองกัน 6 สาวก็เริ่มมองไปเรื่อย บ้างก็เริ่มโยกไปตามจังหวะของดนตรีที่เปิด บ้างก็ร้องคลอไปกับเพลงอย่างสนุกสนาน หากแต่คนที่ไม่อยากมาที่นี่กลับนั่งมองนั่นนี่ไปเรื่อยอย่างเบื่อหน่าย เธอตั้งใจเอาไว้แล้วว่า เธอจะให้เวลาน้องสาวสนุกกับที่นี่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เที่ยงคืนก็จะพากลับในทันที หากแต่เธอหารู้ไม่ว่า ตั้งแต่เธอได้ก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เธอได้ถูกสายตาหนึ่งจับจ้องแทบตลอดเวลา และเมื่อดื่มเครื่องดื่มเข้าไปพอสมควร เธอจึงเอ่ยปากบอกแจงเพื่อนสาวคนสนิท
“พี่แจง ภัสปวดห้องน้ำ เดี๋ยวมานะ” ว่าพรางเตรียมตัวจะลุกจากเก้าอี้ หากแต่แจงเอ่ยขัดไว้ก่อน
“ไปเป็นเพื่อนไหม”แจงเอ่ยถามอย่างมีน้ำใจ
“ไม่เป็นไรพี่ แค่นี้เอง เดี๋ยวภัสมา ฝากดูเด็กๆด้วยนะ อย่าให้ดื่มกันเยอะ” หญิงสาวเอ่ยยิ้มๆ ก่อนจะฝากฝัง เพราะเธอเห็นเด็กๆพวกนี้ดื่มกันไม่น้อยเลยทีเดียว
ทันทีที่หญิงสาวก้าวออกจากโต๊ะเพียงก้าวเดียว สายตาที่จับจ้องมองเธอก็ลุกขึ้นตามไปยังทิศทางเดียวกันในทันที ก่อนจะเฝ้ารอคอยสาวอย่างในเย็นในมุมมืดใกล้ประตูห้องน้ำหญิง ที่หากไม่สังเกตุให้ดีจะมองไม่เห็นว่ามีคนยืนอยู่
แพรวนภัสเข้าห้องน้ำเรียบร้อย ก่อนจะยืนมองกระจกเพียงลำพัง เพราะชั้นนี้เป็นโซนเฉพาะทำให้คนไม่เยอะอย่างชั้นล่างที่รับนักท่องราตรีทั่วไป เธอเบื่อหน่ายและไม่ชอบการเที่ยวแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งเป็นนางแบบด้วยแล้ว ก็ไม่พ้นต้องทำงานในสถานที่ไม่ต่างจากนี้นัก เพราะฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวยมากมาย เธอจึงต้องทำทุกอย่างที่เป็นงานสุจริต เพื่อให้ได้เงินมามากที่สุด แม้เธอจะเหนื่อยล้าแค่ไหน หากแต่เธอก็จะแสดงให้คนในครอบครัวรู้ไม่ได้ เพราะสงสารพ่อแม่ที่ต้องทำงานหนักเพื่อส่งเสียให้เธอและน้องได้เรียนสูงๆ เมื่อเริ่มทำงานตอนเรียนมหาวิทยาลัยพอจะมีเงิน เธอก็เริ่มดูแลค่าใช้จ่ายส่วนตัวของตัวเอง โดยให้บิดาส่งให้แค่น้องสาว และค่าเล่าเรียนของเธอ จนเมื่อเธอเรียนจบทำงานเต็มเวลา จึงได้ขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของน้องสาวเอง เมื่อเริ่มรู้สึกดีขึ้นจากอาการหูอื้อแล้ว หญิงสาวจึงเปิดน้ำล้างมือก่อนจะเปิดประตูออกเดินกลับไปยังโต๊ะของเธอ
เมื่อเห็นเป้าหมายเปิดประตูและกำลังเดินมาตามทางเดิน ก่อนจะผ่านหน้าเขาไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น ร่างหนาที่ยืนรออยู่ไม่รอช้าที่จะก้าวตามเมื่อเธอเดินผ่านหน้า และคว้าร่างบางติดมือพร้อมทั้งเอามือหน้าอีกข้างปิดปากบางไว้ ก่อนจะลากมายังห้องรับรองใกล้ๆ อย่างยากลำบาก เนื่องจากหญิงสาวค่อนข้างสูงบวกกับรองเท้าส้นสูงที่สวมอยู่ก็คอยแต่จะเหยียบเท้าเขา และแรงดิ้นของคนร่างบาง ที่มองแล้วเหมือนจะไม่น่าจะยากนัก แต่ก็เล่นเอาเหนื่อยพอควร ก่อนจะยอมปล่อยหญิงสาวให้เป็นอิสระเมื่อจัดการปิดล็อคประตูเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเป็นอิสระ ร่างบางก็ไม่รอช้าที่จะหันหน้ามามองบุคคลที่กล้าทำเรื่องอุกอาจ เหมือนจะลักพาตัวเธอเช่นนี้ ก่อนจะต้องต้องอ้าปากค้างเมื่อเห็นหน้ามือมืดชัดเจน
“นี่คุณ พาฉันมาที่นี่ทำไม” แพรวนภัสเอ่ยเสียงแข็งใส่อย่างโมโห เธอไม่คิดมาก่อนว่า คนอย่างตะวันจะทำอะไรเช่นนี้ แล้วเธอก็จำได้ว่าไม่เคยไปทำอะไรให้เขาต้องเดือดร้อน หากแต่เขาก็ยังวุ่นวายหาเรื่องเธอไม่ยอมเลิกรา
“ว่ายังไง” หลังจัดการล็อคประตูเรียบร้อยแล้ว ก็หันกลับมายืนพิงประตู กอดอกมองหญิงสาวอย่างประเมินในที
“คุณพาฉันมาที่นี่ทำไม” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หากแต่คราวนี้หาได้แข็งอย่างเมื่อครู่ เธอเพิ่งนึกรู้ตัวว่าตอนนี้ตนอยู่กับชายหนุ่มเพียงลำพังในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ
“อืม นั่นสินะ ฉันพาเธอมาทำไม” ชายหนุ่มเอ่ยยอกย้อน ก่อนจะทำหน้าตาครุ่นคิด จนคนมองอดหงุดหงิดไม่ได้
“หลีกไปนะคุณตะวัน ฉันจะกลับโต๊ะ” เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าจะคุยกันรู้เรื่อง แพรวนภัสจึงเอ่ยปากไล่ พรางก้าวเดินเพื่อเปิดประตูกลับออกไป นอกจากตะวันจะไม่หลีกอย่างที่เธอต้องการ กลับคว้าแขนเธอเอาไว้ก่อนจะกระชากอย่างแรง จนร่างบางเซถลาเข้าหาร่างหนาของชายหนุ่ม
“ฉันยังไม่ได้อนุญาตให้เธอไป เธอก็ยังไปไหนไม่ได้” เสียงทุ้มเอ่ยเข้มดุ พรางก้มมองหน้าสวยหวานที่วันนี้แต่งแต้มสีสันฉูดฉาดแปลกตา หากแต่กลับสวยเซ็กซี่ไปอีกแบบ แต่เพราะรองเท้าส้นสูง 5 นิ้ว และปลายเรียวแหลม นั่นยิ่งทำให้การทรงตัวยากจนทำให้หญิงสาวต้องพึ่งร่างของชายหนุ่มกับมือแกร่งในการพยุงไม่ให้ล้ม
“คุณจะทำอะไรฉัน” แพรวนภัสเอ่ยเสียงห้วนอย่างต้องการข่มขู่ หากแต่ในใจกลับนึกหวั่นๆ เพราะเมื่อเทียบความเป็นไปได้แล้ว หากชายหนุ่มตรงหน้าคิดจะทำอะไรเธอก็ตาม ยากนักที่เธอจะรับมือเขาได้
“ฉันจะทำอะไรเธอดี” พระเอกหนุ่มเอ่ยขณะที่ตายังคงต้องมองร่างบางตรงหน้า ราวกับสิงโตผู้หิวโหยจ้องจะตะครุบเหยื่อ
“คุณไม่ทำอะไรฉันหรอก” เสียงที่เอ่ยเบาหวิวเหมือนจะบอกตัวเอง เพราะใบหน้าคมที่ค่อยๆเลื่อนต่ำลงทีละน้อยๆ
ไม่มีคำตอบหลุดออกมา หากแต่ชายหนุ่มกลับค่อยๆเคลื่อนกายต่ำลง พร้อมกับจ้องตาราวกับจะต้องมนตร์
“อย่า อย่ะ.. อื้ออ” เสียงร้องห้ามเงียบลง กลายเป็นเสียงอื้ออึงที่ฟังไม่ได้สรรพ เมื่อใบหน้าคมก้มปิดปากเล็กราวกับกำลังลงโทษด้วยจูบดุดันแต่ไม่แข็งกระด้าง หญิงสาวพยายามสู้ทุกทาง ทั้งทุบตีไหล่หนา หากแต่ชายหนุ่มหาได้รู้สึกเจ็บแม้แต่นิดมีเพียงความรำคาญ ชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิดจึงใช้มือหนาจับข้อมือบางเพื่อหยุดการทำร้ายเขา ก่อนจะส่งลิ้นอุ่นชื้นเข้าสำรวจโพรงปากอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม จะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปหรือเพราะความชำนาญของชายหนุ่มก็สุดจะรู้ หากแต่ตอนนี้ร่างที่ต่อต้านเมื่อครู่กลับอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ลิ้นหนาเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กจนตอบสนองอย่างไม่ประสา ทำเอาคนที่ต้องการจะกลั่นแกล้งแทบร้องคราง มือบางที่ทุบตีเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นโอบรั้งคอแกร่งเพื่อพยุงตน เมื่อหยุดต่อต้าน มือหนาจึงค่อยๆลูบไล้ไปตามแนวหลังนุ่มมือ อย่างจาบจ้วง หากแต่ไร้การปัดป้องเหมือนเช่นเคย ตะวันเห็นดังนั้นจึงค่อยๆดันร่างบางให้เดินถอยหลังไปยังมุมห้องที่มีโซฟาตัวหนาตั้งอยู่ ชายหนุ่มค่อยๆโน้มร่างบางให้นอนราบลง ก่อนจะทาบทับลงไปโดยเทน้ำหนักลงไปบนศอกข้างหนึ่งเพื่อช่วยให้คนใต้ร่างไม่ให้หนักเกินไป เมื่อหญิงสาวไม่มีท่าทีปฏิเสธ ตะวันจึงไม่รอช้าที่จะค่อยๆใช้ทั้งปากและจมูกซอกแซกไปทั่วใบหน้าและลำคอ ก่อนจะค่อยๆเลื่อนต่ำลงไปยังไหล่นวลที่โผล่พ้นเสื้อเกาะอกสีดำที่ตัดกับผิวขาวๆของหญิงสาวที่เห็นว่ามันนิ่มและนวลเนียนเพียงใด ขณะที่ปากยังไม่หยุดทำงาน มือหนาก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพราะสัมผัสจากมือที่ปัดปายไปทั่วสะโพกงามและขาเรียวก่อนจะค่อยๆเลื่อนมือเข้าไปขาอ่อนขาวในกระโปรงสั้นที่บัดนี้เขาดึงรั้งให้ขึ้นไปกองอยู่ที่บั้นเอว ทำเอาคนไม่เคยต้องมือชายถึงกับออกอาการทุรนทุราย ร้องครางเสียงดัง จนชายหนุ่มต้องใช้ปากปิดประกบเพื่อสกัดกั้นเสียงร้อง เพราะเกรงจะมีใครได้ยิน หากแต่ก่อนที่จะมีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องบางที่หล่นอยู่ไม่ไกลจากประตูนักก็ดังขึ้น ทำเอาคนทั้งสองที่กำลังถูกไฟพิศวาสครอบงำถึงกลับสะดุ้ง ดูเหมือนฝ่ายชายจะมีสติมากกว่าจึงได้ลุกขึ้นเดินมาหยิบก่อนจะนำกลับไปส่งให้เจ้าของ
แพรวนภัสลนลานจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ทันทีที่เมื่อชายหนุ่มลุกออกไป ก่อนจะรับโทรศัพท์มาถือไว้เมื่อเขาส่งให้ หากแต่ไม่พูดอะไรต่อกันก่อนจะหันหลังให้คนที่ปล้นจูบแรกของตนไป
“ฮัลโหล กำลังกลับ ไม่มีอะไร แค่นี้ก่อนนะพี่แจง” น้ำเสียงที่พยายามปรับให้เป็นปกติ หลังจากต้องผ่านสงครามอารมณ์หวามเมื่อครู่และกดตัดสายในทันที ขณะที่ลุกเดินออกจากห้องนั้นไปโดยไร้การทักท้วงจากอีกคน
อ่านจบแล้ว เม้นท์ให้หน่อยนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ