What is under the moonlight

6.8

เขียนโดย kang

วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.09 น.

  11 ตอน
  49 วิจารณ์
  19.83K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 13.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) การเผยโฉมและจุดเริ่มต้นแห่งฝันร้าย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 5 จุดเริ่มแห่งฝันร้าย

                เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามา มาร์คัสเผลอสะดุ้งตื่นมาพร้อมกับเหงื่อที่โชกไปทั่วทั้งร่างของเขา หลังจากที่เขาฝันเห็นภาพอมนุษย์ตนนั้นกำลังวิ่งไล่ตามเขามา  เขาหอบหายใจแรงๆแล้วลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับถอนหายใจเฮือกยาวๆให้ตัวเองสบายใจขึ้นแล้วลุกขึ้นจากยืน

                “ฝันร้ายอะไรแบบนั้นนะเรา อมนุษย์อะไรกัน ขอบใจที่เป็นแค่ความฝัน” มาร์คัสพูดขึ้นลอยๆเพื่อปลอบใจตัวเอง แล้วเดินออกจากห้อง แล้วเดินลงบันไดไปยังชั้นล่าง

                เมื่อมาร์คัสเดินลงมาชั้นล่างของบ้าน ผู้เป็นพ่อก็โวยวายขึ้นมา ด้วยอาการเมาค้างดั่งเช่นทุกวัน ซึ่งมาร์คัสก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก เขาเดินทื่อๆตรงไปหยิบเหยือกน้ำมารินใส่แก้ว แล้วยกขึ้นดื่ม

                “มาร์คัส วันนี้แกต้องไปล่าสัตว์กับฉันนะ กระต่ายเมื่อวานที่แกได้มาตัวเล็กไม่พอกิน อีกอย่างนะ ช่วยบอกทีเถอะ เมื่อวานนี้แกหนีตัวอะไรมารึไง?” เมื่อผู้เป็นพ่อพูดจบ มาร์คัสแทบจะสักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ออกมา แล้วยืนนิ่งไปอย่างไม่คิดเชื่อในสิ่งที่เขาได้ยิน

                “แกบ้าไปจนใบ้กินรึไง มาร์คัส?” ชายวัยกลางคนเริ่มถามขึ้นอย่างหัวเสีย แต่เมื่อเห็นลูกชายยืนนิ่งเหมือนกำลังตกตะลึงอะไรอยู่เป็นเวลานาน ชายชราจึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่ายที่จะถามไถ่อะไร

                “เอาเถอะ แกจะเงียบยังไงฉันไม่ว่าและไม่ถามแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามนะ วันนี้แกต้องออกไปล่าสัตว์กับฉัน”

เมื่อได้ยินแบบรั้ร มาร์คัสรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าที่กลางศีรษะ เขารีบหันไปตอบผู้เป็นพ่ออย่างทันทีทันใด

                “ไม่ ยังไงก็ไม่ ผมไม่ออกไปอีกแน่ ผมจะไม่ล่าสัตว์อีกแล้ว และจะไม่เข้าไปในป่านั่นอีกแน่ !”มาร์คัสพูดเสียงแข็ง พร้อมด้วยดวงตาที่ดุดันด้วยอารมณ์โกรธ ทำให้พ่อของเขาถึงกับชะงักและไม่กล้าต่อปากต่อคำด้วย ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ชายวัยกลางคนกลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

                “ถ้าแกไม่ล่าสัตว์ แล้วแกจะไปทำบ้าอะไร หา !” ชายวัยกลางคนแผดเสียงดังลั่นบ้านพร้อมกับทำตาขวางเพื่อข่มขู่ให้อีกฝ่ายยอมแพ้

                “ผมไม่สน ผมหาทางออกเองได้ แต่ไม่ว่ายังไงผมไม่เข้าไปอีกแน่” มาร์คัสพูดเสียงแข็งอย่างคนที่ไม่มีวันยอมแพ้ จากนั้นเขาจึงหันหลังให้พ่อแล้วทำท่าจะเดินขึ้นบันไดไป  เมื่อชายวัยกลางคนเห็นว่าหมดหนทางที่เขาเอาชนะด้วยการข่มขู่ เขายืนนิ่งเพื่อคิดหาทางทำให้มาร์คัสยอมออกไปล่าสัตว์กับเขา ซึ่งถึงแม้ใจจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะออกไปล่าสัตว์  แต่นั่นมันหมายถึงเหล้า ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาขาดไม่ได้ เพราะสำหรับเขาแล้ว การขาดเหล้ามันก็เหมือนขาดน้ำ

                 “ให้ตายสิวะ ไม่นึกเลย คราวนี้มันจะหัวแข็งกว่าเก่าอีก บ้าเอ้ย ฉันก็ไม่อยากง้อมันหรอกนะ แต่อาการมันเมื่อวานดูท่าแล้วฉันก็ไม่ขอเสี่ยงไปคนเดียวแน่นอน เพราะฉะนั้นฉันจะต้องเปลี่ยนใจมันให้ได้”  ชายวัยกลางคนเริ่มคิดหาเล่ห์กลขึ้นใหม่และในไม่ช้า เขาก็สามารถคิดหาเล่ห์กลใหม่ได้สำเร็จ

                “เมื่อใช้อารมณ์เปลี่ยนใจมันไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นเรามาเจอที่สามัญสำนึกกันหน่อย ” ชายชราคิดแล้วเริ่มยิ้มที่มุมปาก 

                “มาร์คัส..” มาร์คัสหยุดชะงักทันที เมื่อได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่มยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาราวกับเป็นคนละคน

“คิดจะเล่นมุขอะไรอีกล่ะพ่อ เอาเถอะว่ามาเลย เพราะยังไงคำตอบก็ยังเหมือนเดิม”มาร์คัสพูดขึ้นในใจระหว่างที่เขากำลังยืนรอผู้เป็นพ่อพูด

                “ฉันรู้ ตั้งแต่ที่แม่แกตาย ฉันก็ทำตัวไม่น่านับถือและแกก็หมดศรัทธาในตัวฉันตั้งแต่ตอนนั้น ...” ชายกลางคนเริ่มเว้นการพูดเล็กน้อย พร้อมกับคิดขึ้นในใจ

                 “อย่าคิดว่าฉันแก่แล้ว ฉันจะหมดเล่ห์ง่ายๆนะเว้ย เพราะไม่เช่นนั้นแกก็มองฉันผิดแล้ว ไอ้ลูกชาย” แล้วจากนั้นเขาจึงเริ่มพูดต่อ

“...แต่ตลอดที่ผ่านมา ฉันไม่เคยขออะไรแกเลย อย่างน้อยแล้ว เห็นแก่ฉันที่เป็นพ่อได้มั้ย ฉันขอแกสักครั้ง ฉันสัญญาครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แกจะต้องออกไปล่าสัตว์ และจากนี้ แกไปทำงานอะไรก็ตามใจแก แต่ครั้งนี้ฉันขอจะได้มั้ย?”  แม้มาร์คัสต้องการจะพูดออกมาเสียงดังๆว่า “ไม่” แต่เมื่อเจอคำขอร้องที่แทงใจดำเข้าอย่างจัง มาร์คัสถึงกับอึ้งไปในทันที  แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการที่จะกลับเข้าไปในป่านั้นอีกครั้ง แต่สิ่งที่พ่อของเขาพูดล้วนเป็นความจริง และด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นลูกผู้ชาย เมื่อผู้เป็นบุพการีเอ่ยปากขอ ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องตอบ  “ตกลง”

มาร์คัสยืนกำมือและกัดฟันแน่น แล้วถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์นัก แล้วพูดออกมาช้าๆ          

“ถ้ายังไงครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายและเมื่อพ่อเอ่ยปากขอแบบนี้ ผมก็จะทำ”

แม้ชายวัยกลางคนจะยังคงมีอาการเมาค้างอยู่ แต่เมื่อเขาได้ยินแบบนั้น เขารู้สึกดีใจจนเผลอยิ้มออกมา จนลืมเรื่องที่เขาเคยสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับมาร์คัสไปเสียสนิท

                “สุดท้ายมันก็ติดกับดักของเราจนได้  แต่ในเมื่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่มันจะยอมไปล่าสัตว์กับเรา เพราะฉะนั้นวันนี้ต้องล่าสัตว์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยต้องได้กวางสักหนึ่งตัว จะได้เอามาแลกเหล้าได้เยอะๆให้พอกินไปหลายวันเลย” ชายวัยกลางคนคิดในใจพร้อมกับหัวเราะชอบใจ  แต่เมื่อมาร์คัสเดินลงบันไดกลับลงมาอีกครั้ง เขาก็รีบทำหน้านิ่งทันที

                “ผมจะมาบอกพ่อว่า หายเมาค้างแล้ว รีบมาบอกผมด้วย แล้วรีบไปเลย ผมอยากกลับก่อนมืด” เมื่อพูดจบ มาร์คัสจึงเดินกลับขึ้นชั้นบนไปเพื่อจัดเตรียมและทำความสะอาดอุปกรณ์ให้พร้อมใช้ 

เมื่อมาร์คัสจากไปแล้ว แม้ชายกลางคนจะรู้สึกสงสัยในคำพูดของลูกชายไม่น้อย แต่มันก็ไม่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนความคิดที่จะออกไปล่าสัตว์ได้

                 “ครั้งนี้ฉันตัดสินใจ มาร์คัส แล้วแกจะได้รู้ ฉันไม่พอใจ ฉันก็มีวิธีทำให้แกต้องยอมทำตามฉัน” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นในใจ แล้วยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย โดยที่เขาไม่ได้รู้เลยว่า คืนนี้จะเป็นคืนวันเพ็ญ !

                เมื่อยามบ่ายคล้อยมาถึง มาร์คัสเดินนำผู้เป็นพ่อไปยังป่าเบื้องหน้าอย่างเร่งรีบโดยไม่สนใจใครหรืออะไรทั้งนั้น 

                “มาร์คัสช้าหน่อยสิวะ ฉันแก่แล้วนะเว้ย ฉันตามไม่ทัน” ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นระหว่างที่วิ่งตามหลังมาร์คัสมา มาร์คัสหยุดเดินแล้วหันมามองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่พอใจ

                “พ่อ ฉันบอกแล้วใช่มั้ย ฉันอยากกลับก่อนมืด ฉันนึกว่าพ่อจะรีบมาบอกตอนที่สร่างเมา แต่ดันมานั่งกินเหล้าจนหลับไปเนี่ยนะ แล้วนี่มันบ่ายจนใกล้เย็นแล้วนะ”มาร์คัสพูดเสียงดังฃั่นด้วยความโกรธที่เขาไม่สามารถระงับเอาไว้ได้

                “มาร์คัส จะทำไงได้วะ ก็มันอยากนี่หว่า อีกอย่างแกจะกลัวอะไรของแกวะ ครั้งนี้ฉันก็สัญญาแล้วไงว่าครั้งสุดท้าย”

                “พูดง่ายจริงๆ...”มาร์คัสบ่นขึ้นเบาๆแล้วส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย จากนั้นเขาจึงหันเดินตรงเข้าไปในป่าเบื้องหน้าโดยมีผู้เป็นพ่อเดินตามหลังมาติดๆ

                หลังจากที่มาร์คัสเดินเข้ามาได้ไม่กี่ชั่วโมง เขาก็ได้เห็นการล่าสัตว์ที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา เพราะตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในป่า พ่อของเขาไม่ได้ใช้ปืนเลย นอกจากอุปกรณ์เล็กๆน้อยๆเพื่อช่วยในการจับกระต่ายและจัดการหักคอ ซึ่งแม้ว่ามาร์คัสจะรู้สึกสงสัยไม่น้อยแต่จะเขาก็ไม่คิดที่จะถามอะไร เพราะในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการจะทำมากที่สุดก็คือ การออกไปจากป่าแห่งนี้ให้เร็วที่สุด แต่หลังจากที่พวกเขาเข้ามาในป่า พวกเขากลับสามารถล่าได้เพียงแค่กระต่ายสองตัวเท่านั้น และท้องฟ้าก็ใกล้มืดลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับที่มาร์คัสเริ่มรู้สึกหวาดวิตกมากยิ่งขึ้น...

                “พ่อ รีบออกจากป่าเถอะ มันใกล้จะมืดแล้ว ผมอยากออกจากที่นี่เต็มทีแล้ว” มาร์คัสพูดเสียงสั่นๆ เมื่อเขาเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วได้เห็นว่า ท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว

                “เฮ้ย อะไรกันวะ ไหนๆครั้งนี้แกก็จะมาครั้งสุดท้ายแล้ว วันนี้ต้องล่าให้ได้มากที่สุดสิวะ นี่ได้แค่กระต่ายมาสองตัวเนี่ยนะ ไว้เจอกวางสักตัวก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยออก” เมื่อได้รับคำตอบแบบนั้น มาร์คัสถึงยืนนิ่งตาเบิกโพลง พร้อมกับที่เขาเริ่มกำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อพ่อของเขาสังเกตเห็น

                “ถ้าไม่พอใจ อยากหนีกลับไปคนเดียวก็เชิญเลย ไปเลย !” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยใบหน้านิ่งๆอย่างไม่สนใจในท่าทีของลูกชายเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทุกครั้งที่มาร์คัสได้รับคำตอบแบบนี้ เขาจะทำเป็นไม่สนใจอะไร แล้วเดินหนีออกมาทันที แต่สถานการณ์ในตอนนี้ มันแตกต่างกันจากทุกครั้งที่เขาเคยพบ เพราะในครั้งนี้เพวกขาหลังอยู่ในป่าไม่ใช่ในหมู่บ้าน  ซึ่งถ้าหากว่า เขาเดินหนีออกมา เขาก็ต้องทิ้งพ่อผู้ชราเอาไว้ในป่าเพียงลำพัง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เสี่ยงและเป็นการกระทำที่เนรคุณซึ่งเป็นสิ่งที่มาร์คัสชิงชังเป็นที่สุด

ส่วนผู้เป็นพ่อเอง  แม้เขาจะพูดอย่างไม่สนใจใยดีว่าลูกชายของเขาจะทำอะไร แต่ในจิตใจที่แท้จริงเขา กลับภาวนาให้มาร์คัสทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาได้พูดออกไป เพราะถ้าหากมาร์คัสเดินหนีออกไปจากป่าแห่งนี้ขึ้นมาจริงๆ เขาเองก็ต้องยอมเดินตามลูกชายกลับไปอย่างช่วยไม่ได้เ พราะสำหรับเขาการยอมเสียหน้า มันยังดีกว่าการยอมเสียชีวิต            และมาร์คัสก็ไม่ทำให้เขาต้องผิดหวัง มาร์คัสยืนถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเอย่างไม่พอใจ ส่วนผู้เป็นพ่อเมื่อเห็นว่า ตนได้เป็นฝ่ายชนะ เขายิ้มออกมาน้อยๆอย่างคนที่มีชัย ซึ่งแท้จริงแล้วมันคือรอยยิ้มแห่งความโล่งใจ

                “ขอบคุณพระเจ้า ที่มันไม่ทำตามสิ่งที่ฉันพูด !” ชายวัยกลางคนพูดในใจแล้วแอบถอนใจออกมาช้าๆ   ส่วนมาร์คัสเมื่อเขาได้รู้แล้วว่า เขาไม่มีทางที่จะออกไปจากป่าแห่งนี้ก่อนที่ท้องฟ้าจะมืดได้อย่างแน่นอน คำพูดของผู้หญิงปริศนาคนนั้นที่เขาได้พบเมื่อวานก็ดังขึ้นมาในหัวของเขา

                เธอตรงนั้นน่ะ รีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวเลย มันใกล้จะกลับมาแล้ว ไปเร็ว แล้วอย่าออกมาอีกจนกว่าจะผ่านคืนนี้....”   เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า ผู้หญิงปริศนาคนนั้นได้พูดเพียงแค่ว่า “จนกว่าจะผ่านคืนวานนั้นไปเท่านั้น” เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้น โดยที่เขาลืมไปเสียสนิทว่า เขาได้วิ่งออกมาก่อนที่หญิงสาวปริศนาคนนั้นจะได้ทันพูดจนจบประโยค !

                เมื่อยามราตรีมาถึง จันทราเริ่มสาดแสง มาร์คัสเริ่มแสดงอาการหวาดวิตกออกมามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เขาหันมองไปรอบๆตัวอยู่ตลอดเวลา จนแทบจะกลายเป็นระแวง จนผู้เป็นพ่อเริ่มเกิดความรำคาญขึ้นมา

                “มาร์คัส แกเป็นบ้าอะไรของแกวะ ทำกระสับกระส่าย ระแวงอะไรหนักหนาวะ?” ผู้เป็นพ่อหันมากัดฟันพูดอย่างคนอารมณ์เสียด้วยความหงุดหงิดที่ยังคงไม่สามารถล่าสัตว์มาเพิ่มได้

                “รีบไปได้รึยัง พ่อ? ฟ้ามืดแล้ว มันอันตราย” มาร์คัสพูดเสียงเบาๆราวกับกระซิบเพื่อป้องกันไม่ให้ บางสิ่งหรืออะไรก็ตามที่อยู่ในบริเวณนนั้นได้ยิน

                 ผู้เป็นพ่อยืนชั่งใจอยู่ชั่วครู่  หลังจากเขาเริ่มที่จะรับรู้ได้แล้วว่า โอกาสที่เขาจะสามารถล่ากวางได้ มันแทบจะไมมี่ความหลงหลงเหลืออยู่เลย เพราะเขายังไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยของกวางเลยแม้แต่ตัวเดียว   ชายวัยกลางคนพยักหน้าช้า แล้วหันมาทางมาร์คัสวที่ยืนรอฟังคำตอบอยู่ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันพูดอะไรออกไป  ทันใดนั้นเขาก็เริ่มกลับมามีความหวังอีกครั้ง เมื่อจู่ๆได้มีเสียงเหยียบกิ่งไม้หักดังแว่วมาจากทางด้านหน้า ชายวัยกลางคนรีบเดินไปอย่างเงียบงันและรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหวังโดยไม่ได้ฟังเสียงเรียกของลูกชายตัวเองเลย    เมื่อมาร์คัสได้เห็นว่า พ่อของเขาไม่ได้ให้ความสนใจแก่เขาเลย เขาได้ส่ายหน้าแล้วเดินตามผู้เป็นพ่อไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน !

                ชายวัยกลางคนเดินตามทางอย่างรวดเร็วเงียบงัน เมื่อเขาเข้ามาใกล้บริเวณที่เกิดเสียง เขารีบเดินช้าลงแล้วมาหลบหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แล้วค่อยๆยื่นหน้าออกๆผมองยังบางสิ่งที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่ในพุ่มไม้เบื้องหน้า  แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืน แต่ในป่าคืนนี้กลับไม่มืดเหมือนดั่งคืนก่อนๆ และในคืนนี้เขาก็ได้ล่าสัตว์ในป่าแห่งนี้มาได้ระยะหนึ่งแล้ว ทำให้สายตาของเขาสามารถงปรับตัวเข้ากับความมืดได้ ซึ่งนั่นทำให้เขาสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงนั้นได้ถนัดยิ่งขึ้น เมื่อเขาเพ่งมองไปได้แค่เพียงชั่วครู่ ชายวัยกลางคนก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ เมื่อเขาได้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ในพุ่มไม้นั้นคือ “กวาง” ตัวหนึ่งกำลังเคี้ยวใบไม้อยู่ในพุ่มไม้นั้น  เขาไม่รอช้ารีบลุกขึ้นนั่งบนเข่าแล้วประทับปืนเล็งไปยังกวางตัวนั้นอย่างเงียบเชียบและมั่นคงเพื่อป้องกันไม่ให้เขาเกิดยิงพลาด

                “หากพลาดก็ต้องอดเหล้า มีเหรอฉันจะยอม” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นในใจก่อนที่เขาจะค่อยๆกดไกปืนลงมาอย่างช้าๆ แต่ยังไม่ทันที่กระสุนจะยิงออกไป กวางตัวนั้นกลับรีบเงยหน้า แล้วหันมามองใกล้ๆกับบริเวณที่เขาอยู่ ราวกับมันได้รู้ว่า กำลังมีจะภัยมาถึงตัวมัน กวางตัวนั้นยืนจ้องมองมายังบริเวณท่ายวัยกลางคนหลบอยู่อย่างตกใจอยู่เพียงชั่วครู่ จากนั้นมันก็ได้วิ่งหนีหายไปในทันที 

“ไอ้บ้าเอ้ย” ชายกลางคนสบถอย่างหัวเสีย พร้อมกับที่เขาลดปืนลงแล้วนั่งลงหันหลังพิงกับต้นไม้ต้นนั้น           

“มันรู้ได้ยังไงกันว่าฉันอยู่ที่นี่ ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำเสียงอะไรเลยแท้ๆ”  ชายกลางคนนั่งสบถในใจ แต่แล้วเขาก็สามารถตระหนักขึ้นมาได้ว่า กวางตัวนั้น มันไม่ได้จ้องมองมายังเขาตรงๆ   แต่มันมองเยื้องๆใกล้กับจุดที่เขากำลังหลบอยู่ ซึ่งไม่มีทางที่ สิ่งที่มันมองจะเป็นมาร์คัสได้อย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่ที่เขาเดินมายังบริเวณนี้ เขาก็ไม่ได้เห็นมาร์คัสเลย

“ถ้าอย่างนั้นแล้วมันมองอะไรวะ ?” ชายวัยกลางคนพูดออกมาเบาๆ อย่างคนที่กำลังตกใจ และเมื่อเขาพูดจบลงทันใดนั้นชายกลางคนก็ได้ถูกตัวอะไรบางอย่าง กระโดดตะครุบอย่างแรงจนเขาตัวลอยละลิ่ว แล้วตกลงสู่พื้นอย่างแรงจนเขารู้สึกจุก เขารีบหันไปมองยีงเจ้าสิ่งนั้นและภาพที่เขาเห็นคือ สิ่งที่จะเรียกมนุษย์ก็ไม่ใช่ อสูรกายก็ไม่เชิง มันยืนด้วยขาสองขาที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนกับขาของสุนัข มีรูปร่างส่วนกลางเหมือนมนุษย์ที่ทั่วทั้งตัวถูกปกคลุมด้วยขนสีน้ำตาลเข้ม  มีกรงเล็บและเขี้ยวที่ยาวแหลมคม และที่สำคัญที่สุดนั่นคือ มันมีศีรษะและใบหน้าเป็น หมาป่า !

ดวงตาสีน้ำตาลของมันจ้องมองมายังเหยื่อ แล้วครางออกมาอบ่างดุร้ายหิวโหย น้ำลายที่ไหลย้อยตามเขี้ยวของมันทำให้ใบหน้าของมันมในตอนนี้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น

ชายวัยกลางคนยังโชคดีที่เขายังคาดสายสะพายปืนอยู่ที่ลำตัว ทำให้ปืนของเขาไม่หล่นหายไป เขารีบหยิบ          ปืนไรเฟิลล่าสัตว์กระบอกนั้นขึ้นมา แล้วรีบยิงไปยังอสูรกายตนนั้น แต่มันกลับกระโดดหลบออกมาได้มันเวลาราวกับว่า มันรู้ทันว่าเหยื่อของมันกำลังจะทำอะไร แล้ววิ่งสี่ขาตรงเข้ามายังร่างของเขาอย่างรวดเร็ว  

ชายกลางคนรีบลุกขึ้นยืนแล้วรีบจัดการดึงลำเลื่อนเพื่อเอากระสุนนัดที่ใช้แล้วออกมา แต่ด้วยการที่ปืนไรเฟิลล่าสัตว์สามารถขึ้นลูกและยิงได้ช้ามาก*ทำให้เขาไม่สามารถเลื่อนลำเลื่อนปืนกลับเข้าที่เพื่อดันกระสุนนัดใหม่เข้ารังเพลิง ซึ่งมันก็ได้ช้าไปเสียแล้ว อสูรกายตนนั้น กระโจนเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะได้กระทับปืนขึ้นเล็ง เขารีบเบี่ยงตัวหลบออกมา  แต่ด้วยความชราทำให้เขาหลบได้ช้า   เล็บของเจ้าสิ่งนั้น ข่วนเข้าที่หลังของเขาเป็นแผลรูปกรงเบ ยาวลึก เลือดสดๆไหลออกมาเป็นทางยาวจนเลอะเสื้อของเขาที่ขาดยับเยินด้วยการถูกข่วนจนชุ่ม ชายกลางคนถึงกับหมดเรี่ยวแรงไปในทันที

เขาทำได้เพียงแค่ นอนร้องโอดครวญไปทั่วด้วยความเจ็บปวด   อสูรกายตนนั้นเมื่อเท้าของมันลงถึงพื้น มันค่อยๆหันหน้ามามองดูเหยื่อที่หมดสภาพของมัน แล้วค่อยๆเดินเข้ามาเพื่อปลิดชีพเหยื่อของมัน  แต่ทันใดนั้น  ‘ปัง’ เพียงสิ้นเสียงปืนไรเฟิลล่าสัตว์ อสูรกายตนนั้นก็กระเด็นล้มลงอย่างแรงพร้อมเลือดสดๆที่กระเซ็นออกมาจากบริเวณใบหน้าของมันแล้วนอนดิ้นร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวดเหลือแสน แต่เพียงชั่วอึดใจมันกลับสามารถลุกขึ้นมาได้อีกครั้งแล้วจ้องมองไปทยัง มาร์คัสที่กำลังจะประทับปืนขึ้นยิงอีกครั้งด้วยดวงตาขวาที่เหลือเพียงแค่ข้างเดียวของมันอย่างอาฆาต แล้วแสยะเขี้ยวครางอย่างดุร้าย ก่อนที่มันจะวิ่งสี่ขาหายเข้าไปในความมืดอย่างรวดเร็ว  

เมื่ออสูรกายตนนั้นได้จากไปแล้ว มาร์คัสไม่รอช้า เขารีบวิ่งตรงเข้าไปช่วยหิ้วปีกพ่อของเขา แล้วพาพ่อของเขากลับออกจากป่าแห่งนั้นทันที !

                ***ปืนไรเฟิลล่าสัตว์ของนายพราน เป็นปืนที่ยิงออกไปแล้วจำเป็นต้องชักลำเลื่อนเพื่อเอาปลอกกระสุนเก่าออกแล้วจึงดันลำเลื่อนกลับเข้าที่ เพื่อเอากระสุนอันใหม่เข้าลำกล้องเพื่อเตรียมยิงอีกครั้ง ส่วนมากจะบรรจุกระสุนได้ครั้งละ 5 นัด

.........................................

                หลังจากที่หมอประจำหมู่บ้านจากไปแล้ว มาร์คัสได้แต่นั่งเฝ้าดูอาการของพ่อด้วยความเป็นห่วงโดยอาศัยแสงไฟจากตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้างเตียง  แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกศรัทธาในตัวพ่อของเขาเลย แต่เขาก็เพิ่งจะได้รู้ว่า เวลาที่ใกล้จะเสียพ่อไป มันเป็นยังไง  มาร์คัสนั่งมองดูพ่อที่นอนไม่ได้สติหายใจแผ่วๆอยู่บนเตียง พร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ เพราะในตอนนี้ความรู้สวึกของเขามีแต่ความเป็นห่วงผู้เป็นพ่อและไม่ต้องการจะเสียพ่อของเขาไป และในวันพรุ่งนี้เขาก็จะต้องหางานใหม่ แม้ว่าพ่อจะไม่เคยสอนอะไรแก่เขาเลย นอกจากการเดินป่า แต่ในตอนนี้กลับไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เขากลับเข้าไปในป่าแห่งนั้นได้อีกครั้ง 

มาร์คัสหยิบตะเกียงขึ้นมา แล้วเดินออกมาจากห้องนอนของพ่อ ตรงเข้ามาคว้าเอาถุงผ้าใส่กระต่ายเดินเข้าไปในครัว เขาจัดการหยิบร่างของกระต่ายสองตัวนั้นออกมาวางทีละตัว แล้วโยนถุงผ้าออกไปไม่ห่างจากตัวมากนัก จากนั้นเขาจึงทำการถลกหนัง แล่เนื้อกระต่าย และแบ่งเนื้อออกเป็นสองส่วน โดยส่วนหนึ่งใช้สำหรับขายในวันรุ่งขึ้น และนำเนื้ออีกส่วนหนึ่งไปใส่ในโหลหมัก เมื่อจัดการกับธุระจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว  มาร์คัสจึงหยิบตะเกียงที่วางอยู่ใกล้ๆตัวขึ้นมา แล้วเดินกลับมาทยังห้องนอนของพ่อเขาอีกครั้ง แต่เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป ชั่วพริบตานั้นเขาได้เห็นภาพผู้หญิงปริศนาคนนั้นกำลังยืนจ้องมองมายังร่างพ่อของเขาด้วยสายตาที่ดูตื่นตกใจอยู่ด้านนอกหน้าต่าง เขายืนจ้องมองเธออยู่ได้เพียงชั่วครู่หญิงสาวคนนั้นก็รู้ตัวขึ้นมา เธอรีบเงยหน้าขึ้นมาแล้วทันทีที่ได้เห็นมาร์คัส หญิงสาวคนนั้นก็รีบผละออกมาจากบริเวณนั้นทันที มาร์คัสไม่รอช้า เขารีบวิ่งไปที่หน้าต่างอย่างรวดเร็ว แล้วเอาใบหน้าแนบติดขอบหน้าต่างเพื่อช่วยให้เขามองเห็นภาพด้านนอกได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่เขากลับมองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากป่าที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด ราวกับว่าหญิงสาวปริศนาคนนั้นสามารถหายตัวไปได้ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาที  เขาค่อยๆเอาใบหน้าออกขากหน้าต่างแล้วยืนนิ่งด้วยความสงสัย

“เธอเป็นใครกันนะ ?” มาร์คัสเอ่ยออกมาเบาๆอย่างสงสัย แล้วค่อยๆหันมามองยังร่างของพ่อที่ยังไม่ได้สติ

“ทำไมเธอต้องดูตกใจขนาดนั้นด้วย มันอะไรขึ้นกันแน่นะ ?” มาร์คัสพูดลอยๆขึ้นมาอีกครั้งแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ที่ตั้งอยู่ไม่ห่าง แล้วค่อยๆหลับตาลง แล้วไม่นานเขาก็เผลอหลับไป

                เมื่อเวลาเช้ามาถึง แสงแดดเริ่มสาดส่องลงสู่หมู่บ้านเล็กๆกลางป่าลึก มาร์คัส เผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมา แล้วพบว่าตัวเองเผลอนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ในห้องนอนของพ่อของเขา แทนที่จะเป็นในห้องของเขา  เขารีบหันไปมองดูพ่อที่นอนนิ่ง ตัวซีดเซียวเหมือนคนกำลังเป็นไข้สูงอยู่บนเตียง เขาค่อยๆเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากของพ่อ แล้วได้พบว่า พ่อของเขามีอาการตัวร้อนเหมือนคนกำลังเป็นไข้สูง เขารีบเดินออกไปจากห้องนอนของพ่อ แล้วไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมกับผ้าชุบน้ำในมือ เขาเดินเข้ามายังร่างของพ่อแล้วเอาผ้าชุบน้ำผืนนั้นมาวางบนหน้าผากของพ่อ   จากนั้นมาร์คัสจึงเดินออกมาจากห้องเพื่อจัดการเตรียมของที่จำเป็นให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากบ้านไป เพื่อหางานใหม่

                หลังจากที่มาร์คัสจัดการขายเนื้อและเดินตามหางานทำอยู่ได้สักพัใหญ่ๆ ในที่สุดเขาก็สามารถหางานตัดไม้และตีเหล็กซึ่งเป็นงานเขาพอจะสามารถทำได้  ถึงแม้จะงานที่เขาจะต้องทำงานหนักและเหนื่อยยาก แต่สำหรับเขาในตอนนี้ มันก็ยังดีเสียกว่าที่จะต้องกลับเข้าในป่าแห่งนั้นอีกครั้งหนึ่ง !

………………………

เวลาหลายชั่วโมงผ่านไป เวลาเลิกงานของมาร์คัสก็มาถึงพร้อมกับที่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าและความมืดเริ่มเข้ามาปกคลุมหมู่บ้าน  เขารีบกลับมายังบ้านพร้อมกับหมอประจำหมู่บ้านเพื่อมาตรวจดูอาการของพ่อที่อาการกำลังแย่ลงเต็มที  หมอประจำหมู่บ้านตรวจดูอาการของพ่อเขาอยู่ได้สักัพกใหญ่ เขาก็ค่อยๆเก็บอุปกรณ์การแพทย์ของเขากลับเข้ากระเป๋าหนังเก่าๆ แล้วหันมาทางมาร์คัสด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก

                “พ่อของเธอ กำลังเป็นไข้สูง ช่วยดูแลเขาดีๆนะ อย่าพยายามห่างจากเขามาก” เมื่อหมอชราพูดจบ มาร์คัสจึงพยักหน้าตอบอย่างอย่างเศร้าๆ พร้อมกับที่หมอชราคนนั้นใช้ฝ่ามือตบหัวไหล่ของชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเพื่อปลอบใจเขา แล้วเดินจากไป

หลังจากที่หมอประจำหมู่บ้านจากไปแล้ว มาร์คัสนั่งเฝ้าอาการของผู้เป็นพ่อเงียบๆด้วยใบหน้าเศร้าหมองอย่างรู้สึกผิด

“ถ้าวันนั้น ผมรีบตามไป พ่อก็คงไม่เป็นแบบนี้” มาร์คัสพูดขึ้นมาอย่างรู้สึกผิด พร้อมกับที่น้ำตาของเขาเริ่มไหลริน

แต่ทันใดนั้นจู่ๆพ่อของเขาก็เริ่มขยับตัวเล็กน้อย มาร์คัสรีบเงยหน้ามองร่างของพ่ออย่างมีความหวังที่พ่อของเขาจะเริ่มรู้สึกตัวแล้ว แต่ความหวังทั้งหมดก็ดับวูบลงทันที เมื่อพ่อของเขาเริ่มดิเนหนักมากยิ่งขึ้นและเริ่มส่งเสียงร้องคล้ายเสียงคำรามออกมาจากลำคอ มาร์คัสรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินถอยห่างออกมาจากขอบเตียงนอนของพ่อของเขา แล้วเฝ้ามองดูภาพเบื้องหน้าอยู่ห่างๆ ไม่นานต่อมาพ่อของเขาก็เริ่มทำท่าคล้ายคนที่พยายามจะลุกขึ้นยืนทั้งที่ดวงตายังคงปิดอยู่ แล้วเริ่มส่งเสียงร้องแปลกๆออกมาดังยิ่งขึ้น มาร์คัสรีบรวบรวมสติ แล้วรีบเดินไปหยิบขวดยาแล้วเทเม็ดยาออกมาใส่ฝ่ามือ จากนั้นเขาจึงรีบวิ่งเข้าไปนั่งคุกเข่าใกล้ๆกับบริเวณศีรษะของพ่อ แล้วค่อยๆช้อนศีรษะของพ่อขึ้นมา แล้วป้อนยาในฝ่ามือให้แก่ผู้เป็นพ่อ จากนั้นเขาจึงรีบหันไปหยอบแก้วน้ำขึ้นมา แล้วยกน้ำให้พ่อของเขาดื่มตามก่อนที่พ่อของเขาจะอาละวาดหนักยิ่งขึ้น ซึ่งไม่นานต่อมาพ่อของเขาก็เริ่มมีอาการสงบลงไปเรื่อย และไม่นานพ่อของเขาก็กลับไปนอนไม่ได้สติอีกครั้ง

เมื่อพ่อของเขาได้สงบลงแล้ว มาร์คัสจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วพูดขึ้นลอยๆ

                “ไข้บ้าอะไรวะเนี่ย ที่ทำให้คนเจ็บที่ไม่รู้สึกตัวร้องออกมาได้เหมือนเสียงสัตว์ที่กำลังคลั่ง?”

…………………..

หลังจากที่นั่งเฝ้าดูอาการของพ่อมาได้สักพักจนมาร์คัสเริ่มจะแน่ใจได้แล้วว่า พ่อของเขาจะไม่มีอาการคลุ้มคลั่นงขึ้นมาอีก เขาเดินออกมาจากห้องนอนของพ่ออย่างเงียบๆ แล้วเดินขึ้นบันไดกลับเข้าไปห้องยังนอนของเขาเพื่อพักผ่อนเอาแรง เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนอน แล้วเอามือกุมขมับ แล้วทิ้งตัวลงนอนลงไปนบเตียงนอนและไม่นานนักเขาก็เผลอหลับไป

                ในคืนนั้น ขณะที่มาร์คัสกำลังหลับสนิทด้วยความเหนื่อยลจากการทำงานมาตลอดทั้งวัน จู่ๆเขาก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อเขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากชั้นล่างของบ้าน เขานั่งนิ่งเพื่อฟังเสียงนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

‘กุก..กัก โครม เพล้ง’ เสียงของใครบางคนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง อย่างร้อนรนดังขึ้นอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้มันดังชัดเจนยิ่งกว่าทุกครั้ง  เขารีบเอื้อมมือไปหยิบไฟฉาย และปืนพกที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ข้างเตียงนอนขึ้นมา แล้วรีบย่องออกมาจากห้องนอนแล้วเดินลงบันไดอย่างเงียบงัน ซึ่งตลอดระบะเวลาที่เขาก้าวเดินลงมาอย่างช้าๆ เขาก็เริ่มได้ยินเสียงดังชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่เสียงที่เขาได้ยินมันกลับเริ่มเปลี่ยนไปคล้ายกับว่าเขาเริ่มจะได้ยินเสียงครางของสัตว์ร้ายที่หิวโหย

‘แคว้ก ควากกกกกกก จั๊บๆๆๆๆ แฮ่ๆๆๆๆๆๆๆ’ เสียงของตัวอะไรบางอย่างกำลังกัดแทะบางสิ่งดังขึ้น               เมื่อมาร์คัสเดินลงมาใกล้จะถึงบันไดขั้นสุดท้าย  และแล้วเมื่อสายตาของเขาเริ่มปรับเข้ากับความมืดได้แล้ว ภาพที่เขาเห็นก็คือ เงาดำๆของใครบางคนกำลังนั่งยองๆอยู่ในครัว แล้วกำลังก้มหน้ากัดแทะอะไรบางอย่างในมืออยู่   มาร์คัสพยายามเดินเข้าไปใกล้ๆใครคนนั้นอย่างเงียบงัน พร้อมกับประทับปืนเล็งไปข้างหน้าอย่างเตรียมที่จะยิงทันทีที่เกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับคนๆนั้นซึ่งท่าทีของใครคนนั้นดูเหมือนจะไม่ได้รับรู้เลยว่า เขากำลังถูกจ้องมองอยู่ 

มาร์คัสเดินก้าวตรงไปยังร่างของใครคนนั้นอย่างช้าๆ แต่เมื่อเขาเริ่มเข้าใกล้ร่างของชายคนนั้น เขากลับยิ่งรู้สึกคุ้นตากับคนๆนั้นมากยิ่งขึ้น  ซึ่งดิมทีเขาเคยคิดว่า ใครคนนั้นจะต้องเป็นผู้สาวปริศนาที่เขาพบในป่าและเจอเมื่อคืนที่หน้าต่าง แต่ตอนนี้เขาต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะเขาเริ่มสังเกตได้ว่า ลักษณะรูปร่างของคนๆนั้นไม่ใช่ผู้หญิงอย่างแน่นอน จนในที่สุด เมื่อมาร์คัสเดินเข้ามาใกล้ระยะที่มากพอที่เขาจะสามารถเห็นใบหน้าของชายคนนั้นได้อย่างถนัดตาและมั่นใจว่า เขาสามารถหยุดชายปริศนาคนนี้ได้ด้วยกระสุนนัดแรกโดยที่ชายคนนี้ไม่ทันจะเข้ามาถึงตัวของเขา มาร์คัสค่อยๆยกปืนขึ้นเล็งไปยังร่างของชายคนนั้น พร้อมกับที่เขาค่อยๆยกมือซ้ายที่ถือไฟฉายอยู่ขึ้นแล้วกดปุ่มเปิดไฟ ทันใดนั้นเมื่อไฟสีขาวจากกระบอกไฟฉายส่องแสงไปยังร่างของชายคนนั้น พร้อมกับที่เขารีบหันหน้ามามองยังที่มาของแสง แต่เมื่อเมาร์คัสได้เห็นใบหน้าของชายปริศนาคนนั้นอย่างชัดเจน มาร์คัสถึงกับช็อคจนทำอะไรไม่ถูก เพราะชายคนนั้นคือ พ่อของเขาเอง แต่สภาพของพ่อของเขาที่กำลังถือเนื้อสดๆอยู่ในมือตอนนี้ แทบจะพูดได้ว่าพ่อของเขาไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว เพราะฟันทุกซี่ในปากของพ่อของเขา ตอนนี้มีรูปร่างราวกับเขี้ยวที่แหลมคมเหมือนเขี้ยวสัตว์ จากเดิมทีที่สีตาของพ่อของเขาเป็นสีฟ้า ในตอนนี้ได้กลับกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม และทันทีที่พ่อของเขารู้ตัว พ่อของเขาได้คำรามออกมาอย่างดุร้ายด้วยเสียงของสัตว์ปา มาร์คัสหงายล้มลงบนพื้นอย่างแรงด้วยความกลัวสุดขีด พร้อมกับที่พ่อของเขาทิ้งชิ้นเนื้อในมือ และเดินตรงมายังร่างของเขาอย่างหมายเอาชีวิต แต่ทันใดนั้น ได้มีเสียงคำรามอีกเสียงดังขึ้น

                 “ฮื่อออ.........โฮกกกกกกกกกก”

เมื่อสิ้นเสียงคำรามที่หาที่มาไม่ได้ พ่อของเขาก็มีอาการหวาดกลัวอย่างสุดขีดขึ้นมาอย่างทันทีทันใด พ่อของเขา เดินถอยหลังอย่างหวดกลัว แล้วรีบวิ่งพุ่งชนกระจกหน้าต่างแตก และวิ่งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวจบสิ้นลง มาร์คัสที่กำลังนอนตัวสั่นอยู่บนพื้นเริ่มรู้สึกเหมือนโลกหมุนคว้าง แล้วภาพที่เห็นก็เริ่มมืดลงเรื่อยๆและเขาก็หมดสติไปในที่สุด ...

 

...............................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา