What is under the moonlight
เขียนโดย kang
วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.09 น.
แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 13.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) ฝันร้ายที่เริ่มต้น
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่มาร์คัสนอนหมดสติไป ในที่สุดมาร์คัสเริ่มรู้สึกตัวขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่เขารู้สึกว่ามีใครบางคน กำลังใช้อะไรบางอย่างเย็นๆมาลูบที่ที่หน้าของเขาเบาๆ เมื่อได้สติเต็มที่ เขารีบลุกขึ้นนั่งแล้วส่งเสียงร้องเดังลั่นราวคนเสียสติ จน ชายชราที่นั่งอยู่ข้างๆเตียงถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ แล้วต้องรีบตะโกนห้าม
“มาร์คัส พอแล้ว ไม่มีอะไรแล้ว” ชายชราพยายามตะโกนห้าม แต่มาร์คัสกลับไม่ยอมสงบลง จนเก็รีบเอามือทั้งสองจับเข้าที่ไหล่ของชายหนุ่มแล้วเขย่าแรงๆเพื่อเรียกสติ
“มาร์คัส มองฉัน ไม่มีอะไรแล้ว สงบได้แล้ว” สิ้นเสียงของชายชรา มาร์คัสก็เริ่มสงบลงทีละน้อยๆ จนเมื่อเขาได้สติอย่างเต็มที่ เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวของเขาตอนนี้ ชุ่มไปด้วยเหงื่อและเขาก็กำลังนั่งอยู่บนเตียงในห้องนอนของพ่อเขาเอง โดยคนที่นั่งข้างๆเตียงนั่นก็คือ “หมอประจำหมู่บ้าน” นั่นเอง
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ มาร์คัส?” ชายชราพูดช้าๆ อย่างใจเย็น
“ผมสลบไปนานมั้ย?” มาร์คัสรีบถามกลับอย่างรวดเร็ว
“ไม่รู้สิ เมื่อคืนชาวบ้านเล่าว่า ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ดังออกมาจากบ้านเธอ แล้วจู่ๆก็มีเสียงกระจกแตกพร้อมกับที่ตัวอะไรบางอย่างคล้ายๆคนวิ่งหนีเข้าไปในป่า จนรุ่งเช้าชาวบ้านจึงรีบมาดูแล้วเจอเธอนอนสลบอยู่เนี่ย”
มาร์คัสเมื่อได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของชายชรา เขาก็ถึงกับนิ่งไปในทันที
“พ่อ พ่อของผมล่ะ เขาอยู่ที่ไหน?” มาร์คัสถามเสียงดังลั่น
“แปลกนะ ฉันก็กำลังจะถามเธอพอดีเลย ชาวบ้านไม่พบพ่อของเธอเลย ทั้งที่ฉันก็จำได้นะ เมื่อวานเขายังนอนมีไข้อยู่เลย แต่เธอก็ไม่น่าประมาทเลยนะมาร์คัส ตอนที่คนพาเธอมาที่ห้องนี้ หน้าต่างห้องพ่อเธอกลับเปิดอยู่”
เมื่อได้ยินแบบนั้นมาร์คัสถึงกับตาโตด้วยความตกใจทันที เพราะเขาจำได้ว่าเขาปิดหน้าต่างเอาไว้ตลอดเวลาตั้งแต่คืนที่พ่อของเขาถูกอสูรกายตนนั้นทำร้าย และทันทีที่เขานึกถึงอสูรกายตนนั้น เขาก็ต้องตคกใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า สภาพของพ่อที่เขาเห็นเมื่อวานนี้ ช่างคล้ายกับอสูรกายที่ทำร้ายพ่อของเขาจนแทบจะไม่มีความแตกต่างจากกันเลย !
“ไม่นะ ไม่จริง พ่อ ผมต้องช่วยพ่อ!!” มาร์คัสตะโกนดังลั่นพร้อมกับทำท่าจะลุกลงจากเตียงนอน จนหมอชราที่กำลังนั่งเก็บอุปกรณ์อยู่ ต้องรีบหันมาจับไหล่ทั้งสองข้างของมาร์คัสเพื่อทำให้ชายหนุ่มอารมณ์เย็นลงพร้อมกับรีบพูดเพื่อให้เขาได้สติ
“มาร์คัส อย่านะ สภาพเธอตอนนี้ หากออกไปเธออาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลยนะ แค่นี้มันก็แย่พอแล้วไม่ใช่เหรอ หรือ เธออยากจะให้ทุกอย่างมันแย่ไปกว่าเดิมโดยที่เธอทำอะไรไม่ได้เลย” เมื่อสิ้นเสียงของหมอชรา มาร์คัสจึงได้สติกลับมา เขาทรุดตัวลงคุกเข่าบนพื้น แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความรู้สึกผิดกับเรื่องทั้งหมด หมอประจำหมู่บ้านถอนหายใจเฮือกยาวด้วยความสงสารพร้อมกับที่พยายามเอามือลูบหลังชายหนุ่มเพื่อปลอบใจ
“มาร์คัส ฟังฉันนะ เรื่องบางเรื่อง เราเกิดแล้วเราก็แก้ไข อะไรไม่ได้แล้ว แต่เรายังทำอนาคตให้ดีได้ และจงจำเอาไว้ให้ดีว่า ตัวเธอตอนนี้สำหรับที่สุดแล้ว ตั้งสติและเข้มแข็งเข้าไว้นะ” หมอชราพูดจบ แล้วค่อยๆลุกเดินจากไปปล่อยให้ มาร์คัสนั่งคุกเข่าร้องไห้อยู่เพียงลำพัง ...
หลายวันผ่านไป ในที่สุดมาร์คัสก็หายเป็นปกติจนเขาสามารถกลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่อีกครั้ง ซึ่งทุกๆวันหลังเลิกงาน เขาจะรีบหยิบปืน และทำในสิ่งที่เขาเคยคิดว่าจะไม่มีวันทำอีก นั่นก็คือการเดินกลับเข้าไปในป่าแห่งนั้นอีกครั้ง แต่ครั้ง นี้เขากลับสามารถเดินกลับเข้าไปในป่าแห่งนั้นอย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น เขาเดินออกตามหาพ่อ ตั้งแต่ยามที่อาทิตย์ตกดิน จนเข้าสู่ยามดึก แต่หลายคืนผ่านไป เขากลับต้องพบแต่ความผิดหวังและไม่พบร่องรอยใดๆของพ่อของเขาเลย แต่ทุกๆคืนหลังจากที่พ่อของเขาหายตัวไปกลับมีนายพรานหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งยังมีการพบศพชาวบ้านหลายคนถูกฆ่าเลือดโชกไปทั่วทั้งกาย เครื่องในไหลออกมากองโดยมีบาดแผลถูกกัดที่คอและลำตัวเหมือนรอยเขี้ยวหมาป่า จนนานวันชาวบ้านในหมู่บ้านเริ่มไม่อยากจะออกมาจากบ้านในยามสค่ำคืน รวมทั้งร้านเหล้าที่เคยเป็นสถานที่ที่มีจะเสียงร้องเพลงด้วยความสนุกสนานของชาวบ้านในยามค่ำคืน ตอนนี้ก็ได้กลับกลายเป็นสถานที่ที่เงียบงัน
ในคืนหนึ่งหลังจากที่มาร์คัสกลับมาออกมาจากการตามหาพ่อของเขา เขานั่งเอามือกุมขมับตัวเองอยู่บนเตียงนอนด้วยความกลุ้มใจและท้อแท้จนเริ่มรู้สึกสิ้นหวัง แต่แล้วไม่นานเขาเริ่มคิดขึ้นได้ว่า คืนที่เขาเจอเจ้าอสูรกายตนนั้นคือ คืนวันเพ็ญ เพราะฉะนั้นหากเป็นคืนวันเพ็ญแล้วเขาอาจจะพบพ่ออีกครั้ง และบางทีเขาอาจจะสามารถช่วยพ่อของเขาได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ในอีกใจหนึ่งเขากลับบอกตัวเองว่า อย่าได้ประมาทเพราะเป็นไปได้ว่าพ่อของเขาอาจจะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว และถึงแม้หนทางปลดปล่อยพ่อของเขาจะมีเพียงแค่หนทางเดียวคือ ความตาย เขาก็จำเป็นที่จะต้องทำ เพราะมันยังดีเสียกว่าที่จะต้องปล่อยให้พ่อของเขาต้องกลายเป็นอสูรกาย และอีกพียงแค่ 5 วัน ดวงจันทร์ก็จะเต็มดวงอีกครั้ง !
คืนวันต่อมา มาร์คัสรีบเดินออกมาจากโรงตีเหล็กหังเลิกงาน อย่างที่เคยทำเป็นประจำ แต่ในคืนนี้ เขากลับต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อ เขาเห็นนายพรานกลุ่มหนึ่ง กำพลังยืนคุยกันอยู่ โดยมีนายพรานหนึ่งในนั้นกำลังจูงกวางอยู่ เขารีบเดินเข้าไปยังนายพรานกลุ่มนั้น
“มีอะไรกันเหรอครับ ลุงโจ?” มาร์คัสรีบถามขึ้นอย่างสงสัยทันทีที่เห็นว่า หนึ่งในนายพรานกุล่มนั้นคือ โจ เพื่อนของพ่อของเขาที่ครั้งหนึ่งเคยช่วยสอนวิธีเดินป่าให้กับเขา
นายพรานกลุ่มนั้นหันมามองมาร์คัสเป็นตาเดียว ซึ่งทุกคนล้วนมีใบหน้าที่ดูจริงจังจนน่ากลัว
“วันนี้ พวกฉันจะไปล่าไอ้อสูรกายนั่นน่ะสิ ไอ้หนู” นายพรานวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยเสียงจริงจัง
“อสูรกาย ?” มาร์คัสพูดด้วยเสียงตกใจในสิ่งที่ได้ยิน
“นายฟังไม่ผิดหรอก มาร์คัส คงยังไม่ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนสินะ” โจพูดขึ้นพร้อมกับที่มาร์คัสทำคิ้วขมวดด้วยความสงสัย และเมื่อเห็นดังนั้นเขาค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ๆร่างของมาร์คัสที่ยืนนิ่งอยู่ แล้วมองไปรอบๆตัวอย่างหวาดระแวงว่าจะมีใครได้ยินในสิ่งที่เขากำลังจะพูด แล้วหันมาพูดกับมาร์คัสด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“ฟังนะ ฉันจะเล่าเพราะเห็นว่า นายเองก็เป็นนายพรานด้วยเหมือนกัน แต่สัญญาก่อนว่า จะไม่หลุดปากบอกใคร”
มาร์คัสทำหน้าสงสัยเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพยักหน้าเข้าใจอย่างช้าๆ นายพรานคนนั้นยิ้มน้อยๆแล้วเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา
.............................
เมื่อยามรุ่งสางมาถึง โจ รีบเดินออกบ้านเพื่อเข้าป่าล่าสัตว์เหมือนกับทุกๆวันที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเขาเดินมาจนเข้าใกล้เขตป่า ความเงียบก็เริ่มเข้ามาปกคลุมบรรยากาศรอบๆ
โจเดินมาได้ไม่นาน เขาก็หยุดเดิน แล้วมองเข้าไปในป่าเบื้องหน้าเพื่อเรียกความกล้าหาญในใจของเขาออกมา เพราะเขาเองก็หวาดกลัวกับข่าวที่กำลังร่ำรือว่า หากใครก็ตามที่เข้าไปในป่าแห่งนี้ จะไม่มีวันได้กลับออกมาอีกเลย เขาจ้องมองผืนป่าเบื้องหน้าอยู่นาน จนในที่สุด เขาจึงตัดสินใจใช้กำปั้นข้างขวาทุบอกซ้ายของตัวเองเพื่อ เรียกความมั่นใจ แล้วเดินเข้าป่าแห่งนั้นไป
โจ เดินอย่างระมัดระวังมากยิ่งกว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดแหตุการณ์ประหลาดขึ้นในป่า เขาเดินหาสัตว์อยู่นาน แต่เขากลับไม่สามารถล่าสัตว์ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว
“มีสัตว์ พลัดถิ่นเข้ามาล่าสัตว์ในป่า รึไงวะ ทำไมสัตว์มันหายากขึ้นทุกทีๆนะ” โจ บ่นขึ้นในใจขณะที่เขากำลังเดินมองไปรอบๆอย้างระมัดระวสัง แต่ทันใดนั้นจู่ๆเขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนมี อะไรบางอย่างกำลังเดินเข้ามาหาเขา จากพุ่มไม้ทางด้านขวา เขารีบหันไปยังพุ่มไม้นั้น แล้วยกปืนขึ้นประทับอย่างเตรียมพร้อม
เสียงนั้นเริ่มดังชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โจ ค่อยๆเลื่อนนิ้วมาที่ไกปืน และชั่วพริบตานั้นเอง เจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับที่โจ ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น นั่นก็คือ แซม นายพรานหนุ่มที่ชอบออกล่าสัตว์ยามรุ่งสางเหมือนกับเขา กำลังเดินโซซัดโซเซ ตรงเข้ามาเขา โดยที่มีบาดแผลและเลือดโชกเกือบทั่วทั้งร่าง
“แซม พระเจ้าช่วย” โจรีบลดปืนลง แล้วรีบวิ่งเข้าไปประคองร่างของแซมพร้อมกับที่เขาเสียหลักล้มลง
“แซม แข็งใจเอาไว้ เกิดอะไรขึ้น ?” โจถามอย่างร้อนรน ทันทีที่เข้ช้อนร่างของแซมขึ้นมา
“อ...สูร...กาย...ร่างมนุษย์....มัน...กัด...ผม” แซมพูดแล้วกระอักเลือดออกมา แล้วเริ่มเกิดอาการกระตุก แล้วไม่นานร่างของแซมก็แน่นิ่งไป
...............................................
เมื่อมาร์คัสฟังเรื่องเล่าจนจบ เขาได้แต่ยืนนิ่อย่างไม่คิดเชื่อในสิ่งที่ได้รับฟัง
“ลุงโจ ขอผมเข้าไปด้วยเถอะ ผมล่าสัตว์เป็น” มาร์คัสรีบพูดอย่างจริงจังทันทีที่เขาได้สติ พร้อมกับที่นายพรานกลุ่มนั้นต่างพากันหัวเราะชอบใจในสื่งที่มาร์คัสพูด โจยิ้มออกมาแล้วยื่มือเข้ามาวางบนไหล่ของชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
“มาร์คัส ครั้งนี้ ลุงยอมไม่ได้ แค่พ่อของเธอ หายตัวไป มันก็แย่พอแล้ว พรุ่งนี้จะกลับมาหาเธอพร้อมกับข่าวดี แค่รอถึงเช้าเท่านั้นมาร์คัส” โจพูดจบ แล้วยกมือขึ้นจากไหล่ของชายหนุ่ม แล้วเดินจากไปโดยมทีนายพรานคนอื่นๆเดินตามหลัง ตรงไปยังผืนป่าที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด
ในคืนนั้นเอง ขณะที่มาร์คัสกำลังนอนสนิทด้วยความเหน็ดเหนื่อย จู่ๆเขาก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อจู่ๆได้มีเสียงปืนกระหน่ำยิงออกมาจากในป่า เขารีบวิ่งไปที่หน้าต่าง แล้วยืนจ้องมองผืนป่าเบื้องหน้าอย่างหวาดวิตก
“พ่อ !” มาร์คัสเอ่ยถึงพ่อของเขาขึ้นมาลอยๆ แล้วก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ แล้วเดินกลับไปที่เตียงนอนของเขาเพื่อรอฟังข่าวดีในวันรุ่งขึ้น ....
เมื่อยามเช้าวันใหม่มาถึง มาร์คัสรีบตื่นขึ้นมาแล้วลุกขึ้นจากเตียงนอน แล้ววิ่งลงไปยังชั่นล่างอย่างเร่งรีบ
หลังจากที่เขาจัดการธุระ ส่วนตัวจนเสร็จสิ้น เขารีบวิ่งออกไปด้านนอกบ้านเพื่อรอการกลับมาของลุงของเขา แต่เมื่อเปิดประตูออกมา เขากับเห็นชาวบ้านคนอื่นๆกำลังจ้องมองไปยังผืนป่าเบื้องหน้า ราวกับคนที่กำลังรอคอยใครบางคนกลับออกมาเหมือนๆกับเขา แต่กลับไม่ทีท่าที่ว่านายพรานกลุ่มนั้นจะกลับมาออกมาเลย
มาร์คัส เดินกลับไปในบ้าน เพื่อทำอาหารเช้า แล้วออกไปทำงานตามปกติ โดยที่ตลอดทั้งวันนั้น เขาได้แต่ภาวนาให้ลุงของเขากลับมาอย่างปลอดภัย
คืนนั้นมาร์คัสนอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างกระวนกระวายใจในความมืด เขาจ้องมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอยู่หลายครั้งโดยมีความหวังว่า เขาจะได้เห็นภาพลุงของเขากลับออกมาพร้อมกับนายพรานคนอื่นๆ แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ยังไม่เห็นว่า จะมีนายพรานคนไหนสามารถกลับมาออกมาได้อีกเลย ...
มาร์คัสนอนมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอยู่เป็นเวลานาน จนในที่สุดเขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงนอน แล้วเดินตรงไปยังริมหน้าต่างแล้วยืนมองออกไปด้านนอก
เขาจ้องมองผืนป่าด้วยแววตาเศร้าๆอยู่สัพักใหญ่ๆ จนเขาเริ่มรู้สึกใจไม่ดี เขาค่อยๆก้มหน้าลงมองพื้นห้องอยู่ชั่วครู่แล้วเงยหน้ากลับขึ้นมา แล้วทันใดนั้นเขาก็ได้เห็น เงาดำๆของใครบางคนได้วิ่งเข้าไปยังบ้านของนายพรานคนึ่งที่ปลูกบ้านเอาไว้ใกล้ๆกับผืนป่า เขารีบจ้องมองภาพนั้นอย่างตั้งใจ เงาดำๆนั้นวิ่งตรงไปยังบ้านลังวนั้นอย่างรวดเร็วจนนาตกใจ แล้วหายเข้าไปในมุมหนึ่งของบ้านอย่างรวดเร็ว มาร์คัสรีบวิ่งไปหยิบปืนไรเฟิลล่าสัตว์ของเขาขึ้นมา ด้วยตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยนายพรานคนนั้นกับครอบครัว แต่จู่ๆเขาก็ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อเขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจนมือของเขาเริ่มสั่น เขาค่อยๆวางปืนไรเฟิลกลับลงที่เดิม แล้วเดินกลับไปนอนบนเตียงอย่างเศร้าสร้อยที่เขาไม่อาจจะช่วยนายพรานคนนั้นกับครอบครัวได้
“คิดมากอะไรมาร์คัส พวกเขาอยู่ในบ้าน ไมมี่อะไรหรอก” มาร์คัสพูดปลอบใจตัวเองขึ้นมา เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า นายพรานคนนั้นกับครอบครัว อยู่ในบ้านซึ่งเป็นสถานที่ที่ปลอกภัยที่สุด เขาฝืนยิ้มออกมาเพื่อให้ตัวเองสบายใจ แล้วไม่นานเขาก็หลับไป
เช้าวันต่อมาหลังจากที่มาร์คัสจัดการกับอาหารเช้าของเขาเสร็จแล้ว เขาเดินออกมาจากบ้านเพื่อไปทำงานตามปกติ แต่เมื่อเขาเปิดประตูบ้านออกมา ภาพที่เขาเห็นคือ ชาวบ้านกุล่มหนึ่งกำลังพากันวิ่งตรงไปยังบริเวณป่า มาร์คัสยืนมองชาวบ้านกลุ่มนั้นด้วยความตกใจอยู่เพียงชั่วครู่ แล้ววิ่งตามชาวบ้านกลุ่มนั้นไป ซึ่งไม่นานเขาก็สามารถรับรู้ได้ว่า ชาวบ้านกลุ่มนี้ไม่ได้ตั้งใจจะวิ่งเข้าป่า แต่พวกเขากำลังวิ่งตรงไปยังบ้านของนายพรานคนนั้น ที่มาร์คัสเห็นมีเงาของใครบางคนมายังบ้านของเขา
เมื่อมาร์คัสนึกขึ้นได้ เขารีบเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น แล้วไม่นานภาพที่เขาเห็นก็คือ ชาวบ้านนับสิบคนกำลังยืนมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ที่ประตูบ้านของนายพรานคนนั้น
เมื่อมาร์คัสวิ่งมาถึง ภาพที่เขาเห็นคือ บานประตูบ้านของนายพรานคนนั้นที่ทำจากไม้ตอนนี้หักออกมา ราวกับมีแรงมหาศาลมาทุบประตูจนพังยับเยิน เขายืนมองภาพนั้นอย่างตกใจ แล้ววิ่งที่ชอบหน้าต่างเพื่อมองดูภาพด้านใน และสื่งที่เขาได้เห็นคือ ร่างไร้วิญญาณของนายพรานคนนั้นกับ ผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กผู้ชายอีกคน นอนจมกองเลือดมีสภาพคล้ายกับศพก่อนๆ นั่นคือ ถูกทำร้ายจนเลือดโชกไปทั้งตัว เครื่องในไหลออกมากองด้านนอก มีรอยเขี้ยวของสัตว์ที่คล้ายรอยเขี้ยวของ หมาป่า ที่ลำคอและส่วนอื่นตามลำตัว เมื่อมาร์คัสได้เห็นภาพนั้น เขารีบเบือนหน้าหนีออกมา แต่ทันใดนั้นเจาก็ต้องรีบเงยหน้ากลับเข้าไปมองอีกครั้ง เมื่อเขาได้สังเกตเห็นว่า สิ่งนั้นได้ทิ้งร่องรอยอันน่าพิศวงเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นก็คือ รอยเท้าเปื้อนเลือด ที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนรอยเท้าของมนุษย์ที่มีเล็บยาวแหลมเหมือนเล็บของสัตว์ป่า !
เมื่อชาวบ้านได้เห็นว่า เหตุการ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นอย่างไม่เว้นแต่ละวัน เริ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นจนถึงขนาดตามเข้ามาฆ่าถึงในบ้าน ชาวบ้านหลายๆคนจึงตัดสินใจที่จะย้ายออกจากหมู่บ้านตั้งแต่ในช่วงเวลาเช้าของวันนั้น จนทำให้ชาวบ้านส่วนน้อยคนอื่นๆที่คิดจะอยู่ต่อ เริ่มเกิดความคิดที่ว่า เมื่อชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างพากันย้ายออกกันเกือบจะหมดหมู่บ้าน ถ้าสัตว์ร้ายตัวนั้นย้อนกลับมาอีกครั้ง และ เมื่อมันมีตัวเลือกน้อยลง ไม่นานตัวเลือกนั้นอาจจะเป็นพวกเขา ชาวบ้านกลุ่มนั้นจึงรีบพากันย้ายออกตามไปด้วย จนในที่สุดชาวบ้านทุกคนก็ต่างพากันย้ายออกจากหมู่บ้านในวันนั้น เว้นแต่ มาร์คัส เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ตัดสินใจจะอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ต่อไป เพราะเขายังมีเรื่องที่ต้องสะสาง เขาจะไม่ยอมให้พ่อของเขาต้องอยู่อย่างอสูรกายไปตลอดกาล เขาต้องช่วยพ่อเขาให้ได้ และ อีก2 วันเท่านั้น คืนวันเพ็ญก็จะมาถึง !
เมื่อยามเย็นใกล้คล้อยเข้ามา หมู่บ้านที่มาร์คัสเคยรู้จัก ตอนนี้กลับกลายเป็นหมู่บ้านร้างไร้ผู้คนอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เขาต้องอยู่อย่างเดียวดายเพื่อรอเวลา มาร์คัสเดินกลับเข้าบ้านเมื่อเริ่มเห็นว่าใกล้ฟ้ามืด หลังจากที่ออกเดินสำรวจหาสิ่งของที่ชาวบ้านทิ้งเอาไว้ที่อาจจะมีประโยชน์สำหรับเขา มาร์คัสเดินเข้าบ้านแล้วขึ้นบันไดกลับเข้าห้องนอนของเขา เขาทิ้งร่างนอนลงบนเตียง แล้วถอนหายใจเพื่อระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจ
“ความโดดเดี่ยวในที่แบบนี้มันช่างน่ากลัวเสียจริง” มาร์คัสพูดขึ้นลอยๆเพื่อทำลายความเงียบที่ต้องอยู่คนเดียวในหมู่บ้านร้าง แต่ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติว่า เท้าของเขากำลังเหยียบอะไรบางอย่างอยู่ เขารีบลุกขึ้นนั่งแล้วก้มมองลงไปยังพื้นห้องทันที แล้วสิ่งที่เขาได้เห็นนั่นก็คือ ชายของถุงผ้าที่เขาเคยใส่กระต่ายในคืนที่พ่อของเขาถูกทำร้าย มันถูกวางเผยออกมาจากใต้เตียงของเขาเล็กน้อย
มาร์คัสนั่งมองถุงผ้านั้นอย่างประหลาดใจ เพราะเขาจำได้ดีว่า ตั้งแต่คืนที่พ่อของเขาถูกทำร้าย เขาก็ไม่เคยยุ่งกับถุงผ้าใบนั้นอีกเลย ซึ่งครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นมัน ก็คือ ด้านมในครัว
“มันมาอยู่ใต้เตียงของได้อย่างไร ?” มาร์คัสพูดขึ้นอย่างสงสัย แล้วรีบก้มลงไปหยิบถุงผ้าใบนั้นขึ้นมา แล้วสิ่งที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็เกิดขึ้นเมื่อ ถุงผ้าใบนั้น มันมีรอยเลือดเป็นวงใหญ่ที่มุมหนึ่งของถุงอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งมาร์คัสจพได้เป็นอย่างดีว่า ถุงผ้าใบนี้ ไม่เคยเปื้นเลือด ตั้งแต่ที่เขาใช้มันครั้งสุดท้าย
มาร์คัสรีบลุกขึ้นจากเตียงนอน แล้วเดินไปหยิบไฟฉายขึ้นมา แล้วก้มงส่องเข้าไปข้างใต้เตียงนอนของเขา และเขจาก็ได้สังเกตเห็นว่า พื้นไม้ใต้เตียงนอนของเขา มีรอยอะไรบางอย่างอยู่ มาร์คัสไม่รอช้าอีกต่อไป เขารีบจัดการเลื่อนเตียงนอนของเขาไปอีกด้านหนึ่ง จนเมื่อเขาสามารถเห็นรอยนั้นได้อย่างถนัดตา ทันใดนั้นมาร์คัสก็ต้องตคกตะลึงกับภาพที่เห็น เพราะบนพื้นไม้ใต้เตียงของเขา มีรอยเล็บสัตว์ที่ถูกขูดเป็นข้อความว่า
หากเธอต้องการจะช่วยพ่อของเธอแล้ว จงเชื่อในที่ได้เห็นและสิ่งกำลังจะได้อ่าน
พ่อของเธอไม่ใช่และไม่เหลือความเป็นมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เขาจะฆ่าทุกคนและทุกสิ่งที่พบไม่เว้นแม้แต่ตัวเธอ
จงจำเอาไว้ให้ดี ความตายเท่านั้นที่ปลดปล่อยเขาได้ คืนวันเพ็ญจงพกอาวุธเงินเอาไว้ให้ติดตัว เพราะ อาวุธเงินเท่านั้นสยบมนุษย์หมาป่าได้
เมื่ออ่านข้อความบนพื้นจบ มาร์คัสได้แต่นั่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก
“คืนวันเพ็ญ...อาวุธเงิน...มนุษย์หมาป่า” มาร์คัสพูดตะกุกตะกักด้วยความรู้สึกที่ไม่คิดอยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้อ่าน แม้ไม่อยากจะเชื่อ แต่ตอนนี้ความรู้สึกของเขาแทบจะยอมเชื่ออย่างปักใจ เพราะทุกสิ่งที่เขาได้เจอมา ล้วนบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด จากรอยเขี้ยวบนศพทุกศพ ล้วนแต่มีลักษณะเหมือนรอยเขี้ยวหมาป่า ทั้งเสียงหอนของหมาป่าขนาดใหญ่ ทั้งลักษณะพ่อของเขาที่เปลี่ยนไป มีเสียงร้องเหมือนสัตว์และกินเนื้อสดๆอย่างดุร้าย และ อสูรกายตนที่ทำร้ายพ่อของเขา จากที่เขาพอสังเกตได้ มันมีรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่มีหัว ขน เล็บ และเขี้ยว เป็นหมาป่า แล้วมันจะเป็นอะไรอย่างอื่นได้อีก !
เมื่อได้รับรู้ความจริงแล้ว แม้มาร์คัสจะยังไม่ปักใจเชื่อ แต่ตอนนี้การป้องกันเอาไว้ก่อนนั้นจะปลอดภัยที่สุด มาร์คัสรีบวิ่งลงบันไดเพื่อค้นหาเครื่องใช้ทุกอย่างที่ทำจากโลหะเงิน แล้วนำเอามารวมกันเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่นเพื่อให้กำลังใจตัวเอง
“ตะวันขึ้นเมื่อไหร่ฉันจะไปบ้านหลังอื่น รอช้าไม่ได้ คืนวันเพ็ญใกล้เข้ามาแล้ว !”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ