What is under the moonlight
6.8
เขียนโดย kang
วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.09 น.
11 ตอน
49 วิจารณ์
19.86K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 13.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) หญิงปริศนา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“เฮ้ย มาร์คัส เร็วหน่อย เช้าแล้วนะเว้ย ถึงเวลาล่าสัตว์แล้ว” เสียงตะโกนของชายวัยกลางคนที่สะพายปืนไรเฟิลล่าสัตว์อย่างเตรียมพร้อมดังลั่นไปทั่วบ้านไม้เก่าๆหลังเล็กพร้อมกับที่ มาร์คัส เดินลงจากชั้นบนของบ้านพร้อมกับใยหน้าที่บ่งบอกถึงความรู้สึกสุดแสนจะเอือมระอากับผู้เป็นพ่อที่มีนิสัยขี้เมาและเมาค้างเป็นประจำแทบทุกวัน
“กว่าจะมาได้นะแก ช้าจริงๆ เสียเวลาฉันเหลือเกิน” เสียงพูดอ้อแอ้ที่แสดงถึงอาการที่ยังไม่สร่างเมาของผู้เป็นพ่อทำให้มาร์คัสเริ่มรู้สึกอยากจะพูดสวนกลับไปแต่เขากลับยั้งอารมณ์เอาไว้ได้ทัน แล้วเดินหน้านิ่งๆผ่านผู้เป็นพ่อ และออกจากบ้านไป
เมื่อมาร์คัสเดินออกมา ภาพบรรยากาศของหมู่บ้านเล็กๆกลางป่าแห่งนี้ก็ยังคงเป็นในแบบเดิมๆของมัน เหมือนอย่างที่เขาได้เห็นมาตลอดสิบปี ภาพของชาวบ้านที่ชอบอยู่อย่างสันโดษในเวลาเช้า ออกล่าสัตว์ไม่ก็กลับเข้าบ้านเพื่อนอนพักผ่อน แล้วมาส่งเสียงดังโหวกเหวกด้วยความเมามายในเวลากลางคืน ซึ่งมันเป็นแบบนี้มานานจนมาร์คัสเริ่มเปลี่ยนจากความรู้สึกเบื่อหน่ายกลายมาเป็นความรู้สึกที่เคยชิน เพราะหนึ่งในชาวบ้านกลุ่มนั้นก็คือพ่อของเขานั่นเอง !
มาร์คัสเดินก้มหน้าตรงไปยังป่าเบื้องหน้า อย่างที่เคยทำเป็นประจำพทุกวัน จนเมื่อเขาออกนอกเขตหมู่บ้าน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามองไปยังผืนป่าเบื้องหน้า แต่ภาพที่เขาเห็นคือ ผืนป่า ในตอนนี้กลับถูกปกคลัมไปด้วยหมอกจนแทบจะไม่สามารถมองเห็นอะไรด้านหน้า
มาร์คัสยืนนิ่งแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วหันกลับไปหาพ่อที่เดินอยู่ด้านหลัง
“พ่อ หมอกลงแบบนี้ อย่าออกล่าเลยวันนี้ มันเสี่ยงเกินไป” มาร์คัสพูดขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าไปในป่าในช่วงที่ป่ากำลังถูกปกคลุมไปด้วยหมอก จนแทบจะไม่สามารถเห็นต้นไม้
ชายวัยกลางคนได้ยินแบบนั้น เขารีบเดินเข้ามายืนข้างๆลูกชาย
“เฮ้ย อะไรกันวะ เจอหมอกแค่นี้ก็ถอยซะแล้วเหรอ มาร์คัส แกยังหนุ่มแท้ๆแต่ทำไมอ่อนแอแบบนี้วะ?” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นอ้อๆแอ้ๆอย่างไร้เหตุผลตามแบบของคนที่กำลังมีอาการเมาค้าง
เมื่อรู้ว่าการพูดอย่างมีเหตุผลไร้ประโยชน์สำหรับในช่วงเวลานี้ มาร์คัสจึงไม่คิดพูดอะไรต่อไปอีก เขาหันไปใช้วิธีการพูดแบบตัดบทเพราะในช่วงเวลาแบบนี้ไม่มีอะไรแย่ยิ่งไปเสียกว่าการที่จะต้องมาต่อปากต่อคำกับคนที่กำลังเมาค้าง
“เอาเถอะ ถ้าแน่จริง อยากเอาชนะมากนักก็เชิญตามสบายเถอะพ่อ แต่ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ”
เมื่อพูดจบ มาร์คัสจึงเดินหนีออกมา แล้วตรงกลับไปยังบ้านของเขาทันที โดยไม่สนใจผู้เป็นพ่อที่กำลังยืนจ้องมองเขาจากทางด้านหลังอย่างไม่พอใจ แต่สุดท้ายผู้เป็นพ่อก็ต้องยอมแพ้อย่างรวดเร็ว เพราะถึงแม้เขาจะมีใจรักในการเดินป่าและล่าสัตว์ แต่ด้วยวัยสำหรับเขาในตอนนี้ การเดินป่าถือเป็นสิ่งที่ยากลำบาก และจะลำบากมากยิ่งขึ้นถ้าหากไม่มีผู้ช่วยซึ่งนั่นก็คือ มาร์คัสลูกชายของเขา
“เฮ้ย มาร์คัส รอด้วยสิวะ รอด้วย”ชายชรารีบตะโกน แล้วรีบหันหลังกลับวิ่งตามหลังลูกชาย ผู้ที่เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังหันกลับมามอง
เมื่อการล่าสัตว์ในวันนั้นต้องถูกยกเลิกลงไปอย่างช่วยไม่ได้ ชายวัยกลางคนก็กลับมาทำในอีกสิ่งหนึ่งที่เขาจะต้องทำเป็นประจำทุกวัน นั่นก็คือ การนั่งดื่มเหล้าและส่งเสียงโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งมาร์คัสที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดปืนอยู่ด้านบนบ้านก็ไม่ได้ให้สนใจอะไรกับการกระทำของพ่อตัวเองเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อสุดท้ายแล้วมันก็ต้องจบลงด้วยการที่พ่อของเขาดื่มเหล้าจนเมามายและเผอหลับไป ซึ่งไม่กี่นาทีต่อมา
“ตุ้บ” เสียงอะไรบางอย่างล้มลงพื้นอย่างแรงดังขึ้น พร้อมกับที่เสียงโวยวายของพ่อของเขาเงียบหายไป
มาร์คัสหยุดการทำงานชั่วขณะพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินลงบันได แล้วเดินตรงไปยังร่างของผู้เป็นพ่อที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วก้มลงพยุงร่างนั้นขึ้นมา แล้วพาร่างนั้นเดินไปยังห้องนอน จากนั้นเขาจึงพาร่างของพ่อเดินตรงไปยังเตียงนอน และหลังจากที่เขาได้จัดท่านอนให้ผู้เป็นพ่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาร์คัสก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมา
“หากตอนนี้แม่ยังอยู่ พ่อก็คงจะไม่เป็นแบบนี้ใช่มั้ยครับ?” มาร์คัสพูดขึ้นลอย แล้วนึกถึงภาพเมื่อยามที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พ่อของเขาเป็นคนที่ขยัน รักครอบครัวและไม่ใช่คนขี้เมาเหมือนดั่งตอนนี้ แต่เมื่อเขาอายุได้ 6 ขวบ แม่ก็จากไปด้วยอาการป่วยอย่างหนัก ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อของเขาก็เปลี่ยนไป จากคนขยันและรักครอบครัวกลายมาเป็นคนขี้เมาและชอบโวยวาย จนถึงบัดนี้ก็ผ่านมาได้ 10 ปีแล้วแต่พ่อของเขากลับยังคงทำใจไม่ได้กับการจากไปของแม่ และถึงแม้มาร์คัสต้องการจะช่วยพ่อของเขา แต่สุดท้ายมาร์คัสกลับไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะหลังจากที่แม่ของเขาจากไปพ่อของเขาก็ไม่เคยคิดจะรับฟังอะไรอีกเลย
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว มาร์คัสจึงเดินกลับขึ้นบันได เพื่อกลับไปทำงานของเขาที่ยังคงค้างคาอยู่ให้เสร็จ
เมื่อเข้ายามบ่ายคล้อยของวันนั้นมาถึง หลังจากหมอกที่เคยปกคลุมป่าได้จางหายไปจนสามารถมองเห็นผืนป่าได้อย่างถนัดตา มาร์คัสรีบเตรียมอุปกรณ์ล่าสัตว์ที่จำเป็นและหยิบปืนไรเฟิลล่าสัตว์ แล้วเมื่อเขาเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาจึงเดินลงบันไดมาอย่างเงียบๆเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังจนทำให้พ่อของเขาตื่นขึ้นมา แล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ แล้วเดินไปตามทาง จนออกหมู่บ้านเพื่อเดินตรงเข้าไปในป่าเบื้องหน้า
เวลาสามชั่วโมงผ่านไป หลังจากมาร์คัสที่เข้ามาในป่าเพื่อล่าสัตว์ เขากลับล่ากระต่ายได้เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น ถึงแม้ในตอนนี้มันจะกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แต่มาร์คัสก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ที่จากเดิมป่าแห่งนี้เคยมีสัตว์ชุกชมมาก แต่ในช่วงหลังๆสัตว์เริ่มลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจและเริ่มหายากมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“ขอลองอีกสักพักก็แล้วกันนะ” มาร์คัสพูดขึ้นในใจ ขณะที่เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ใกล้จะมืดลงไปทีๆ แล้วออกเดินไปด้านหน้า เข้าสู่พงไม้รกทึบด้านหน้า
มาร์คัสเดนิเข้าไปในพงไม้นั้นแล้วใช้มีดเดินป่าฟันกิ่งไม้ที่ขวางหน้าออกไป จนเมื่อเขาสามารถเดินออกมาจากพงไม้นั้นได้ มาร์คัสได้สะดุดตาเข้ากับกวางตัวหนึ่งที่กำลังยืนกินใบไม้อยู่อย่างไม่ได้ระวังตัว เขารีบก้มตัวลงต่ำแล้วค่อยๆเคลื่อนตัวไปหลบอยู่หลังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างเงียบๆ แล้วค่อยๆประทับปืนขึ้นเล็งอย่างช้าๆ มาร์คัสกลั้นหายใจเพื่อลดการส่ายไปมาของปืน แล้วค่อยๆเคลื่อนนิ้วมาที่ไกปืน แล้วค่อยๆกดไกปืนลงช้าเพื่อป้องกันไม่ให้ยิงพลาด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะลั่นกระสุนออกไป กวางตัวนั้นก็มีอาการตื่นตัวแล้วรีบเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังพงไม้อันรกทึบที่อยู่ทางด้านข้างของมันอย่างรวดเร็ว ชั่ววินาทีนั้นมาร์คัสรีบหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด เขารีบลดปืนลงแล้วหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น แล้วจากนั้นเขาค่อยๆยื่นหน้าออกไปมองยังทิศทางที่กวางตัวนั้นกำลังจ้องมองอยู่ พร้อมกับที่เขาทำท่าพร้อมประทับปืนตลอดเวลาเพื่อความไม่ประมาท เพราะมีความเป็นไปได้อย่างมากว่า บางสิ่งที่กำลังจะปรากฏตัวออกมาจะต้องเป็นสัตว์ดุร้าย แล้วเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา สิ่งนั้นก็ได้ปรากฏตัวออกมา สิ่งนั้นไม่ใช่สัตว์ดุแต่กลับเป็นเพียงผู้หญิงที่ธรรมมดาๆที่ดูกำลังอ่อนล้าเต็มทีคนหนึ่ง เธอไว้ผมสีน้ำตาลแดงยาวปะบ่า รูปร่างสมส่วน และใบหน้าที่สวยงาม มีเสน่ห์ของเธอ ทำให้ชั่ววินาทีนั้นมาร์คัสเผลอนั่งมองดูใบของเธออย่างรู้สึกหลงไหลในความงามของเธอ เธอเดินออกมาพงไม้อันรกทึบเข้ามายังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วหอบหายใจแรงๆอย่างเหนื่อยอ่อนสองครั้ง แล้วชั่วเวลานั้นเองมาร์คัสก็นึกขึ้นมาได้ว่า บริเวณที่เธอเดินมาออกเป็นบริเวณที่มีไม้ขึ้นรกทึบ ซึ่งแม้แต่มาร์คัสที่เป็นนายพรานยังต้องใช้มีดเดินป่าเข้าช่วย แต่หญิงสาวคนนั้นกลับเดินออกมาจากบริเวณนั้นได้อย่างเงียบสนิท ทั้งที่ชุดที่เธอสวมก็ดูคล้ายๆชุดชาวบ้านธรรมดาทั่วไป !
หญิงสาวลึกลับคนนั้นยืนหอบหายใจอยู่ไม่นาน เธอก็ได้หันไปจ้องดวงตาของกวางตัวนั้นราวกับว่าเธอต้องการจะไล่ให้มันไปให้พ้นๆ และเพียงชั่วพริบตานั้น กวางตัวนั้นก้ได้รีบวิ่งหนีหายเข้าในพงไม้อย่างรวดเร็วด้วยความตื่นกลัวราวกับว่าหญิงสาวคนนั้นสั่งมันได้ดั่งใจคิด และเมื่อกวางตัวนั้นได้วิ่งหนีไปแล้ว หญิงสาวคนนั้นจึงหลับตาลงแล้วค่อยๆสูดลมหายใจเข้าราวกับว่า เธอกำลังสูดดมกลิ่นหาอะไรบางอย่างแล้วค่อยๆเอ่ยขึ้นลอยๆด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“ใช่ที่นี่สินะ แกอยู่ที่นี่เองเหรอ เจ้าเลือดผสม ...”
หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นพูดจบ มาร์คัสรีบเบี่ยงตัวเข้าไปหลบอยู่หลังต้นไม้ด้วยความกลัว เพราะในตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่า หญิงสาวแสนสวยคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆอย่างแน่นอน ชั่วพริบตานั้นแววตาที่ดูนิ่งเฉยของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นแววตาที่ดุดัน พร้อมกับที่เธอหันมาทางต้นไม้ที่มาร์คัสหลบอยู่แล้ว ตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“เธอตรงนั้นน่ะ รีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวเลย มันใกล้จะกลับมาแล้ว ไปเร็ว แล้วอย่าออกมาอีกจนกว่าจะผ่านคืนนี้....” ยังไม่ทันที่หญิงสาวคนนั้นจะได้พูดจนจบ มาร์คัสก็รีบวิ่งออกมาจากบริเวณนั้นอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนที่จะเกิดไม่คาดคิดขึ้น
มาร์คัสวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต จนเขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เขากำลังไปทิศทางไหนหรือวิ่งมาได้นานแค่ไหนแล้ว แต่ไม่นานนัก เขาก็เอร่มเห็นแสงไฟจากภายในหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ มาร์คัสยิ้งออกมาอย่างมีความหวังแล้วรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น แต่ทันใดนั้นมาร์คัสก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
“กร๊อบ กร๊อบ สวบ สวบ ฮื่อๆ” เสียงกิ่งไม้หักและเสียงครางเหมือนมีตัวอะไรบางอย่างกำลังไล่วิ่งตามหลังของเขามาดังขึ้นจากทาด้านหลังของเขา ชั่วเวลานั้นมารคัสเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เขารีบวิ่งให้เร็วมากยิ่งขึ้นเท่าที่เขาจะสามารถทำได้โดยไม่คิดจะเหลียวกลับไปมองทางด้านหลัง แต่เสียงของบางสิ่งที่กำลังวสิ่งตามหลังของเขามา มันกลับเริ่มดังใกล้ตัวเขาเข้ามามากยิ่งเรื่อยๆ จนในที่สุดมาร์คัสก็อดความสงสัยไว้ไม่อยู่ เขาหันหน้ากลับไปมองทางด้านหลังทั้งที่ยังคงวิ่งอยู่ และภาพที่เขาเห็นก็แทบจะทำให้เขาหมดสติไปด้วยความกลัว นั่นก็คือ ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่มีขนสีน้ำตาลขึ้นอยู่ทั่วทั้งตัวและใบหน้า มีดวงตาสีน้ำตาล ทั้งยังมีเขี้ยวและกรงเล็บที่แหลมคม กำลังวิ่งไล่ตามเขามาราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังวิ่งไล่ตามฆ่าเหยื่อ
มาร์คัสส่งเสียงร้องดังลั่นไปทั่วด้วยความตื่นกลัวสุดขีด แล้วหลับตาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อหนีเอาชีวิตรอดออกมาจากป่าแห่งนี้ เขาวิ่งโดยไม่เหลียวกลับไปมองทางด้านหลัง หรือแม้แต่จะฟังเสียงใดๆ และในที่สุดมาร์คัสก็วิ่งออกมาจากเขตป่าได้สำเร็จ แต่เขากลับยังคงวิ่งต่อไป ตรงไปที่บ้านแล้วรีบเปิดประตูบ้านอย่างรวดเร็ว จนชายวัยกลางคนที่กำลังเดินยกขวดเหล้าขึ้นดื่มอยู่ในบ้านถึงกับสะดุ้งจนเผลอทำขวดเหล้าหลุดมือตกแตก
เมื่อมาร์คัสเดินเข้ามาในบ้าน เขายืนหลังพิงประตูแล้วยืนหอบอย่างเหนื่อยอ่อน โดยมีเหงื่อโชกไปทั่วทั้งร่าง
“มาร์คัสแกหายหัวไปไหนมา แล้วแกหนีอะไรมา?” ผู้เป็นพ่อรีบรัวคำถามใส่ ทันทีที่เห็นลูกชายกำลังมีอาการตกใจอย่างสุดขีด
มาร์คัสไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขายืน ตาโต หอบหายใจอย่างคนที่ยังไม่หายตกใจ แล้วจากนั้น เขาจึงเดินจรงไปเข้าปาพ่อแล้วยื่นถุงผ้าใส่กระต่ายที่เขาสามารถล่ามาได้ให้แก่พ่อ
“เอานี่ไป ผมได้มาแค่นี้” มาร์คัสพูดเสียงลอยๆเหมือนคนไร้สติ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ
“เฮ้ย มาร์คัส กระต่ายตัวเดียวแค่นี้เหรอ ตัวแห้งจนจะมีแต่กระดูกแบบนี้ อย่าว่าแต่กินเลย แค่เนื้อฉันจะเอาไปแลกเหล้าได้ยังไงวะ” ผู้เป็นพ่อตะโกนลั่นใส่ลูกชายที่กำลังเดินก้มหน้าขึ้นบันไดอย่างใจลอย
เมื่อสิ้นเสียงผู้เป็นพ่อ มาร์คัสชะงักแล้วหันหน้าที่ดูไร้ชีวิตชีวาและชุ่มไปด้วยเหงื่อมาทางผู้เป็นพ่อ ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาแบบคนไร้สติ
“จะพูดอะไรก็เชิญ ผมไม่เอาด้วยแล้ว” มาร์คัสพูดจบ แล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไป
“เฮ้ย ยังไงแกก็ต้องออกไปล่าสัตว์มาเพิ่มกับฉัน ไม่ก็ไปคนเดียวเพราะแค่ไอ้กระต่ายตัวนี้ ไม่ใช่แค่ไม่พอกินแต่ไม่พอมีเนื้อให้ฉันเอาไปแลกเหล้า” ผู้เป็นพ่อตะโกนเสียงดังลั่น ขณะที่มาร์คัสกำลังเดินขึ้นบันไดกลับไปยังชั้นสองของบ้าน
แต่เมื่อมาร์คัสได้ยินคำว่า “ให้ออกไปอีกครั้ง” เขาถึงกับชะงัก แล้วตอบกลับไปด้วยเสียงเย็นๆแต่เฉียบขาดโดยที่ไม่หันมามองผู้เป็นพ่อ
“อยากออกไปก็เชิญเลยพ่อ แต่ขากลับ ซากอาจจะไม่สวยนะ” เมื่อพูดจบมาร์คัสจึงเดินกลับขึ้นชั้นสองของบ้านแล้วเงียบเสียงไป ทิ้งให้ผู้เป็นพ่อยืนนิ่งอ้าปากค้างด้วยความสงสัยในสิ่งที่ลูกชายพูด เขาค่อยๆเหล่ตามองไปที่หน้าต่าง แล้วเดินไปที่บริเวณนั้น แล้วมองออกไปข้างนอกเพื่อมองหาสิ่งที่เกือบจะทำให้ลูกชายของเขาผู้ไม่เคยกลัวอะไรเสียสติ แต่สิ่งที่เขาเห็นเบื้องหน้ากลับไม่มีอะไร นอกจากผืนป่าที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด และ แสงจันทร์ที่กำลังจะเต็มดวงบนฟากฟ้า !
“กว่าจะมาได้นะแก ช้าจริงๆ เสียเวลาฉันเหลือเกิน” เสียงพูดอ้อแอ้ที่แสดงถึงอาการที่ยังไม่สร่างเมาของผู้เป็นพ่อทำให้มาร์คัสเริ่มรู้สึกอยากจะพูดสวนกลับไปแต่เขากลับยั้งอารมณ์เอาไว้ได้ทัน แล้วเดินหน้านิ่งๆผ่านผู้เป็นพ่อ และออกจากบ้านไป
เมื่อมาร์คัสเดินออกมา ภาพบรรยากาศของหมู่บ้านเล็กๆกลางป่าแห่งนี้ก็ยังคงเป็นในแบบเดิมๆของมัน เหมือนอย่างที่เขาได้เห็นมาตลอดสิบปี ภาพของชาวบ้านที่ชอบอยู่อย่างสันโดษในเวลาเช้า ออกล่าสัตว์ไม่ก็กลับเข้าบ้านเพื่อนอนพักผ่อน แล้วมาส่งเสียงดังโหวกเหวกด้วยความเมามายในเวลากลางคืน ซึ่งมันเป็นแบบนี้มานานจนมาร์คัสเริ่มเปลี่ยนจากความรู้สึกเบื่อหน่ายกลายมาเป็นความรู้สึกที่เคยชิน เพราะหนึ่งในชาวบ้านกลุ่มนั้นก็คือพ่อของเขานั่นเอง !
มาร์คัสเดินก้มหน้าตรงไปยังป่าเบื้องหน้า อย่างที่เคยทำเป็นประจำพทุกวัน จนเมื่อเขาออกนอกเขตหมู่บ้าน เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามองไปยังผืนป่าเบื้องหน้า แต่ภาพที่เขาเห็นคือ ผืนป่า ในตอนนี้กลับถูกปกคลัมไปด้วยหมอกจนแทบจะไม่สามารถมองเห็นอะไรด้านหน้า
มาร์คัสยืนนิ่งแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายแล้วหันกลับไปหาพ่อที่เดินอยู่ด้านหลัง
“พ่อ หมอกลงแบบนี้ อย่าออกล่าเลยวันนี้ มันเสี่ยงเกินไป” มาร์คัสพูดขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าไปในป่าในช่วงที่ป่ากำลังถูกปกคลุมไปด้วยหมอก จนแทบจะไม่สามารถเห็นต้นไม้
ชายวัยกลางคนได้ยินแบบนั้น เขารีบเดินเข้ามายืนข้างๆลูกชาย
“เฮ้ย อะไรกันวะ เจอหมอกแค่นี้ก็ถอยซะแล้วเหรอ มาร์คัส แกยังหนุ่มแท้ๆแต่ทำไมอ่อนแอแบบนี้วะ?” ผู้เป็นพ่อพูดขึ้นอ้อๆแอ้ๆอย่างไร้เหตุผลตามแบบของคนที่กำลังมีอาการเมาค้าง
เมื่อรู้ว่าการพูดอย่างมีเหตุผลไร้ประโยชน์สำหรับในช่วงเวลานี้ มาร์คัสจึงไม่คิดพูดอะไรต่อไปอีก เขาหันไปใช้วิธีการพูดแบบตัดบทเพราะในช่วงเวลาแบบนี้ไม่มีอะไรแย่ยิ่งไปเสียกว่าการที่จะต้องมาต่อปากต่อคำกับคนที่กำลังเมาค้าง
“เอาเถอะ ถ้าแน่จริง อยากเอาชนะมากนักก็เชิญตามสบายเถอะพ่อ แต่ผมไม่เอาด้วยหรอกนะ”
เมื่อพูดจบ มาร์คัสจึงเดินหนีออกมา แล้วตรงกลับไปยังบ้านของเขาทันที โดยไม่สนใจผู้เป็นพ่อที่กำลังยืนจ้องมองเขาจากทางด้านหลังอย่างไม่พอใจ แต่สุดท้ายผู้เป็นพ่อก็ต้องยอมแพ้อย่างรวดเร็ว เพราะถึงแม้เขาจะมีใจรักในการเดินป่าและล่าสัตว์ แต่ด้วยวัยสำหรับเขาในตอนนี้ การเดินป่าถือเป็นสิ่งที่ยากลำบาก และจะลำบากมากยิ่งขึ้นถ้าหากไม่มีผู้ช่วยซึ่งนั่นก็คือ มาร์คัสลูกชายของเขา
“เฮ้ย มาร์คัส รอด้วยสิวะ รอด้วย”ชายชรารีบตะโกน แล้วรีบหันหลังกลับวิ่งตามหลังลูกชาย ผู้ที่เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังหันกลับมามอง
เมื่อการล่าสัตว์ในวันนั้นต้องถูกยกเลิกลงไปอย่างช่วยไม่ได้ ชายวัยกลางคนก็กลับมาทำในอีกสิ่งหนึ่งที่เขาจะต้องทำเป็นประจำทุกวัน นั่นก็คือ การนั่งดื่มเหล้าและส่งเสียงโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งมาร์คัสที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดปืนอยู่ด้านบนบ้านก็ไม่ได้ให้สนใจอะไรกับการกระทำของพ่อตัวเองเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อสุดท้ายแล้วมันก็ต้องจบลงด้วยการที่พ่อของเขาดื่มเหล้าจนเมามายและเผอหลับไป ซึ่งไม่กี่นาทีต่อมา
“ตุ้บ” เสียงอะไรบางอย่างล้มลงพื้นอย่างแรงดังขึ้น พร้อมกับที่เสียงโวยวายของพ่อของเขาเงียบหายไป
มาร์คัสหยุดการทำงานชั่วขณะพร้อมกับส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินลงบันได แล้วเดินตรงไปยังร่างของผู้เป็นพ่อที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วก้มลงพยุงร่างนั้นขึ้นมา แล้วพาร่างนั้นเดินไปยังห้องนอน จากนั้นเขาจึงพาร่างของพ่อเดินตรงไปยังเตียงนอน และหลังจากที่เขาได้จัดท่านอนให้ผู้เป็นพ่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว มาร์คัสก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วส่ายหน้าไปมา
“หากตอนนี้แม่ยังอยู่ พ่อก็คงจะไม่เป็นแบบนี้ใช่มั้ยครับ?” มาร์คัสพูดขึ้นลอย แล้วนึกถึงภาพเมื่อยามที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พ่อของเขาเป็นคนที่ขยัน รักครอบครัวและไม่ใช่คนขี้เมาเหมือนดั่งตอนนี้ แต่เมื่อเขาอายุได้ 6 ขวบ แม่ก็จากไปด้วยอาการป่วยอย่างหนัก ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อของเขาก็เปลี่ยนไป จากคนขยันและรักครอบครัวกลายมาเป็นคนขี้เมาและชอบโวยวาย จนถึงบัดนี้ก็ผ่านมาได้ 10 ปีแล้วแต่พ่อของเขากลับยังคงทำใจไม่ได้กับการจากไปของแม่ และถึงแม้มาร์คัสต้องการจะช่วยพ่อของเขา แต่สุดท้ายมาร์คัสกลับไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะหลังจากที่แม่ของเขาจากไปพ่อของเขาก็ไม่เคยคิดจะรับฟังอะไรอีกเลย
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว มาร์คัสจึงเดินกลับขึ้นบันได เพื่อกลับไปทำงานของเขาที่ยังคงค้างคาอยู่ให้เสร็จ
เมื่อเข้ายามบ่ายคล้อยของวันนั้นมาถึง หลังจากหมอกที่เคยปกคลุมป่าได้จางหายไปจนสามารถมองเห็นผืนป่าได้อย่างถนัดตา มาร์คัสรีบเตรียมอุปกรณ์ล่าสัตว์ที่จำเป็นและหยิบปืนไรเฟิลล่าสัตว์ แล้วเมื่อเขาเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาจึงเดินลงบันไดมาอย่างเงียบๆเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังจนทำให้พ่อของเขาตื่นขึ้นมา แล้วเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ แล้วเดินไปตามทาง จนออกหมู่บ้านเพื่อเดินตรงเข้าไปในป่าเบื้องหน้า
เวลาสามชั่วโมงผ่านไป หลังจากมาร์คัสที่เข้ามาในป่าเพื่อล่าสัตว์ เขากลับล่ากระต่ายได้เพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น ถึงแม้ในตอนนี้มันจะกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แต่มาร์คัสก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ที่จากเดิมป่าแห่งนี้เคยมีสัตว์ชุกชมมาก แต่ในช่วงหลังๆสัตว์เริ่มลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจและเริ่มหายากมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
“ขอลองอีกสักพักก็แล้วกันนะ” มาร์คัสพูดขึ้นในใจ ขณะที่เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ใกล้จะมืดลงไปทีๆ แล้วออกเดินไปด้านหน้า เข้าสู่พงไม้รกทึบด้านหน้า
มาร์คัสเดนิเข้าไปในพงไม้นั้นแล้วใช้มีดเดินป่าฟันกิ่งไม้ที่ขวางหน้าออกไป จนเมื่อเขาสามารถเดินออกมาจากพงไม้นั้นได้ มาร์คัสได้สะดุดตาเข้ากับกวางตัวหนึ่งที่กำลังยืนกินใบไม้อยู่อย่างไม่ได้ระวังตัว เขารีบก้มตัวลงต่ำแล้วค่อยๆเคลื่อนตัวไปหลบอยู่หลังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างเงียบๆ แล้วค่อยๆประทับปืนขึ้นเล็งอย่างช้าๆ มาร์คัสกลั้นหายใจเพื่อลดการส่ายไปมาของปืน แล้วค่อยๆเคลื่อนนิ้วมาที่ไกปืน แล้วค่อยๆกดไกปืนลงช้าเพื่อป้องกันไม่ให้ยิงพลาด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะลั่นกระสุนออกไป กวางตัวนั้นก็มีอาการตื่นตัวแล้วรีบเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังพงไม้อันรกทึบที่อยู่ทางด้านข้างของมันอย่างรวดเร็ว ชั่ววินาทีนั้นมาร์คัสรีบหยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมด เขารีบลดปืนลงแล้วหลบอยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นนั้น แล้วจากนั้นเขาค่อยๆยื่นหน้าออกไปมองยังทิศทางที่กวางตัวนั้นกำลังจ้องมองอยู่ พร้อมกับที่เขาทำท่าพร้อมประทับปืนตลอดเวลาเพื่อความไม่ประมาท เพราะมีความเป็นไปได้อย่างมากว่า บางสิ่งที่กำลังจะปรากฏตัวออกมาจะต้องเป็นสัตว์ดุร้าย แล้วเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา สิ่งนั้นก็ได้ปรากฏตัวออกมา สิ่งนั้นไม่ใช่สัตว์ดุแต่กลับเป็นเพียงผู้หญิงที่ธรรมมดาๆที่ดูกำลังอ่อนล้าเต็มทีคนหนึ่ง เธอไว้ผมสีน้ำตาลแดงยาวปะบ่า รูปร่างสมส่วน และใบหน้าที่สวยงาม มีเสน่ห์ของเธอ ทำให้ชั่ววินาทีนั้นมาร์คัสเผลอนั่งมองดูใบของเธออย่างรู้สึกหลงไหลในความงามของเธอ เธอเดินออกมาพงไม้อันรกทึบเข้ามายังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วหอบหายใจแรงๆอย่างเหนื่อยอ่อนสองครั้ง แล้วชั่วเวลานั้นเองมาร์คัสก็นึกขึ้นมาได้ว่า บริเวณที่เธอเดินมาออกเป็นบริเวณที่มีไม้ขึ้นรกทึบ ซึ่งแม้แต่มาร์คัสที่เป็นนายพรานยังต้องใช้มีดเดินป่าเข้าช่วย แต่หญิงสาวคนนั้นกลับเดินออกมาจากบริเวณนั้นได้อย่างเงียบสนิท ทั้งที่ชุดที่เธอสวมก็ดูคล้ายๆชุดชาวบ้านธรรมดาทั่วไป !
หญิงสาวลึกลับคนนั้นยืนหอบหายใจอยู่ไม่นาน เธอก็ได้หันไปจ้องดวงตาของกวางตัวนั้นราวกับว่าเธอต้องการจะไล่ให้มันไปให้พ้นๆ และเพียงชั่วพริบตานั้น กวางตัวนั้นก้ได้รีบวิ่งหนีหายเข้าในพงไม้อย่างรวดเร็วด้วยความตื่นกลัวราวกับว่าหญิงสาวคนนั้นสั่งมันได้ดั่งใจคิด และเมื่อกวางตัวนั้นได้วิ่งหนีไปแล้ว หญิงสาวคนนั้นจึงหลับตาลงแล้วค่อยๆสูดลมหายใจเข้าราวกับว่า เธอกำลังสูดดมกลิ่นหาอะไรบางอย่างแล้วค่อยๆเอ่ยขึ้นลอยๆด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก
“ใช่ที่นี่สินะ แกอยู่ที่นี่เองเหรอ เจ้าเลือดผสม ...”
หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นพูดจบ มาร์คัสรีบเบี่ยงตัวเข้าไปหลบอยู่หลังต้นไม้ด้วยความกลัว เพราะในตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่า หญิงสาวแสนสวยคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆอย่างแน่นอน ชั่วพริบตานั้นแววตาที่ดูนิ่งเฉยของเธอก็เปลี่ยนไปเป็นแววตาที่ดุดัน พร้อมกับที่เธอหันมาทางต้นไม้ที่มาร์คัสหลบอยู่แล้ว ตะโกนด้วยเสียงอันดัง
“เธอตรงนั้นน่ะ รีบออกไปจากที่นี่เดี๋ยวเลย มันใกล้จะกลับมาแล้ว ไปเร็ว แล้วอย่าออกมาอีกจนกว่าจะผ่านคืนนี้....” ยังไม่ทันที่หญิงสาวคนนั้นจะได้พูดจนจบ มาร์คัสก็รีบวิ่งออกมาจากบริเวณนั้นอย่างไม่คิดชีวิต ก่อนที่จะเกิดไม่คาดคิดขึ้น
มาร์คัสวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต จนเขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เขากำลังไปทิศทางไหนหรือวิ่งมาได้นานแค่ไหนแล้ว แต่ไม่นานนัก เขาก็เอร่มเห็นแสงไฟจากภายในหมู่บ้านที่เขาอาศัยอยู่ มาร์คัสยิ้งออกมาอย่างมีความหวังแล้วรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น แต่ทันใดนั้นมาร์คัสก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
“กร๊อบ กร๊อบ สวบ สวบ ฮื่อๆ” เสียงกิ่งไม้หักและเสียงครางเหมือนมีตัวอะไรบางอย่างกำลังไล่วิ่งตามหลังของเขามาดังขึ้นจากทาด้านหลังของเขา ชั่วเวลานั้นมารคัสเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เขารีบวิ่งให้เร็วมากยิ่งขึ้นเท่าที่เขาจะสามารถทำได้โดยไม่คิดจะเหลียวกลับไปมองทางด้านหลัง แต่เสียงของบางสิ่งที่กำลังวสิ่งตามหลังของเขามา มันกลับเริ่มดังใกล้ตัวเขาเข้ามามากยิ่งเรื่อยๆ จนในที่สุดมาร์คัสก็อดความสงสัยไว้ไม่อยู่ เขาหันหน้ากลับไปมองทางด้านหลังทั้งที่ยังคงวิ่งอยู่ และภาพที่เขาเห็นก็แทบจะทำให้เขาหมดสติไปด้วยความกลัว นั่นก็คือ ภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่มีขนสีน้ำตาลขึ้นอยู่ทั่วทั้งตัวและใบหน้า มีดวงตาสีน้ำตาล ทั้งยังมีเขี้ยวและกรงเล็บที่แหลมคม กำลังวิ่งไล่ตามเขามาราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังวิ่งไล่ตามฆ่าเหยื่อ
มาร์คัสส่งเสียงร้องดังลั่นไปทั่วด้วยความตื่นกลัวสุดขีด แล้วหลับตาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อหนีเอาชีวิตรอดออกมาจากป่าแห่งนี้ เขาวิ่งโดยไม่เหลียวกลับไปมองทางด้านหลัง หรือแม้แต่จะฟังเสียงใดๆ และในที่สุดมาร์คัสก็วิ่งออกมาจากเขตป่าได้สำเร็จ แต่เขากลับยังคงวิ่งต่อไป ตรงไปที่บ้านแล้วรีบเปิดประตูบ้านอย่างรวดเร็ว จนชายวัยกลางคนที่กำลังเดินยกขวดเหล้าขึ้นดื่มอยู่ในบ้านถึงกับสะดุ้งจนเผลอทำขวดเหล้าหลุดมือตกแตก
เมื่อมาร์คัสเดินเข้ามาในบ้าน เขายืนหลังพิงประตูแล้วยืนหอบอย่างเหนื่อยอ่อน โดยมีเหงื่อโชกไปทั่วทั้งร่าง
“มาร์คัสแกหายหัวไปไหนมา แล้วแกหนีอะไรมา?” ผู้เป็นพ่อรีบรัวคำถามใส่ ทันทีที่เห็นลูกชายกำลังมีอาการตกใจอย่างสุดขีด
มาร์คัสไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขายืน ตาโต หอบหายใจอย่างคนที่ยังไม่หายตกใจ แล้วจากนั้น เขาจึงเดินจรงไปเข้าปาพ่อแล้วยื่นถุงผ้าใส่กระต่ายที่เขาสามารถล่ามาได้ให้แก่พ่อ
“เอานี่ไป ผมได้มาแค่นี้” มาร์คัสพูดเสียงลอยๆเหมือนคนไร้สติ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ
“เฮ้ย มาร์คัส กระต่ายตัวเดียวแค่นี้เหรอ ตัวแห้งจนจะมีแต่กระดูกแบบนี้ อย่าว่าแต่กินเลย แค่เนื้อฉันจะเอาไปแลกเหล้าได้ยังไงวะ” ผู้เป็นพ่อตะโกนลั่นใส่ลูกชายที่กำลังเดินก้มหน้าขึ้นบันไดอย่างใจลอย
เมื่อสิ้นเสียงผู้เป็นพ่อ มาร์คัสชะงักแล้วหันหน้าที่ดูไร้ชีวิตชีวาและชุ่มไปด้วยเหงื่อมาทางผู้เป็นพ่อ ก่อนจะพูดอย่างเย็นชาแบบคนไร้สติ
“จะพูดอะไรก็เชิญ ผมไม่เอาด้วยแล้ว” มาร์คัสพูดจบ แล้วหันหลังเดินขึ้นบันไดไป
“เฮ้ย ยังไงแกก็ต้องออกไปล่าสัตว์มาเพิ่มกับฉัน ไม่ก็ไปคนเดียวเพราะแค่ไอ้กระต่ายตัวนี้ ไม่ใช่แค่ไม่พอกินแต่ไม่พอมีเนื้อให้ฉันเอาไปแลกเหล้า” ผู้เป็นพ่อตะโกนเสียงดังลั่น ขณะที่มาร์คัสกำลังเดินขึ้นบันไดกลับไปยังชั้นสองของบ้าน
แต่เมื่อมาร์คัสได้ยินคำว่า “ให้ออกไปอีกครั้ง” เขาถึงกับชะงัก แล้วตอบกลับไปด้วยเสียงเย็นๆแต่เฉียบขาดโดยที่ไม่หันมามองผู้เป็นพ่อ
“อยากออกไปก็เชิญเลยพ่อ แต่ขากลับ ซากอาจจะไม่สวยนะ” เมื่อพูดจบมาร์คัสจึงเดินกลับขึ้นชั้นสองของบ้านแล้วเงียบเสียงไป ทิ้งให้ผู้เป็นพ่อยืนนิ่งอ้าปากค้างด้วยความสงสัยในสิ่งที่ลูกชายพูด เขาค่อยๆเหล่ตามองไปที่หน้าต่าง แล้วเดินไปที่บริเวณนั้น แล้วมองออกไปข้างนอกเพื่อมองหาสิ่งที่เกือบจะทำให้ลูกชายของเขาผู้ไม่เคยกลัวอะไรเสียสติ แต่สิ่งที่เขาเห็นเบื้องหน้ากลับไม่มีอะไร นอกจากผืนป่าที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด และ แสงจันทร์ที่กำลังจะเต็มดวงบนฟากฟ้า !
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4.4 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ