What is under the moonlight
เขียนโดย kang
วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.09 น.
แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 13.30 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ความจริงที่เปิดเผย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่แดนนี่หนีออกไปจากที่มั่นโดยทิ้งภาพที่น่าสยดสยองจนทำให้จอห์นสันหมดสติไป ในที่สุดจอห์นสันก็รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง เขาค่อยๆลืมตาช้าๆและเริ่มมองไปรอบๆตัว แต่ทุกอย่างรอบตัวเขากลับดูพร่ามัวไปหมด
“รู้สึกตัวแล้วเหรอ จอห์นสัน? กว่ารู้สึกตัวได้นะ”เสียงของวิลเลี่ยมดังขึ้นจากทางด้านซ้ายของเตียงที่เขานอนอยู่ จอห์นสันพยายามจะลุกขึ้นนนั่ง แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเวียนหัวไปหมดจนต้องเอามือกุมศีรษะซึ่งทันทีที่เขายกแขนขึ้นมา เขาก็รู้สึกปวดแขนขึ้นมาอย่างทันทีทันใด
“เฮ้ย จอห์นสัน อย่าเพิ่งลุก นายเพิ่งรู้สึกตัวนะ นอนลงไปซะแ ล้วอย่าเพิ่งขยับแขนมากนักล่ะ”วิลเลี่ยมรีบพูดห้ามทันทีที่เห็นจอห์นพยายามจะลุกขึ้นมาให้ได้
“มันเกิดอะไรขึ้น แล้วฉันสลบไปนานแค่ไหน?”จอห์นสันถามด้วยเสียงอ่อยๆเช่นเดิมหลังจากที่เขานอนลงไปเรียบร้อยแล้ว
“ก็หลังจากแดนนี่วิ่งพุ่งเข้าใส่นายแล้วหนีไป นายก็สลบไปสามวันได้”
“สามวันเหรอ!”จอห์นสัน จอห์นสันอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ
“ก็ใช่น่ะสิ ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่า แดนนี่มันทำยังไงให้นายตกใจกลัวจนช็อคสลบไปสามวันได้ ทั้งที่นายเองก็เป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งดีแท้ๆ” วิลเลี่ยมด้วยความแปลกใจ
“แดนนี่ล่ะ?”จอห์นสันกัดฟันพูดอย่างอารมณ์เสียทันทีที่พูดถึงชื่อคู่หูเก่า
“ตั้งแต่วันนั้นมันก็หายตัวไปเลย จ่ารอสกลัวว่ามันจะถูกจับแล้วโดนทรมานจนกลายเป็นผลเสียกับพวกเราเลยพา ทิมกับเดล ทหารคนสนิทออกไปด้วย แต่ไม่เจออะไร พวกเขาเพิ่งจะกลับมาไม่นานนี้เอง”วิลเลี่ยมพูดขณะที่กำลังทำความสะอาดอุปกรณ์การแพทย์ของเขาโดยที่ไม่ได้หันมามองจอห์นสันเลย
“ไอ้บ้านั่น มันทำฉันเจ็บแขนชะมัด แถมทำฉันแสบอีกต่างหาก พูดแล้วฉันอยากจะชกหน้ามันสักหมัด” จอห์นสันกัดฟันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ จนวิลเลี่ยมเผลอหัวเราะออกมา แล้วหันมาพูดกับจอห์นสัน
“เอาน่าๆ ถึงเจอหน้ามัน นายก็รู้จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีเรื่องกับมัน อีกอย่างนะก็ดีแล้วที่นายไม่เป็นอะไรเพราะทีแรกฉันกลัวว่านายตื่นมาแล้วจะเสียสติจนฉันต้องลำบากทำให้นายหายเป็นปกติทั้งที่ฉันไม่ใช่จิตแพทย์ซะด้วยสิ”วิลเลี่ยมหันมาพูดพร้อมกับหัวเราะชอบใจก่อนจะหันหลังไปทำความสะอาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ของเขาต่อ
“พวกข้าศึกล่ะ?”จอห์นสันถามขึ้นเบาๆขณะที่กำลังนอนนิ่งๆอยู่บนเตียง วิลเลี่ยมหยุดการทำความสะอาดอุปกรณ์การแพทย์แล้วหันมาทางจอห์นสันแทบจะทันทีที่คำถามจบลง
“ตั้งแต่วันที่พวกมันมาคราวนั้น ก็ไม่มีวี่แววของพวกมันอีก พวกเราส่วนใหญ่คิดว่าพวกมันคงตายกันหมดแล้ว ไม่ก็คงถอยกลับไปแล้ว เพราะดูทีท่าพวกมันเองก็ดูย่ำแย่ไม่ต่างจากเรา จากครั้งล่าสุดที่พวกมันบุกเข้ามา พวกมันสั่งประจัญบานเร็วจนผิดปกติ ดูท่าพวกมันเองก็แทบจะไม่เหลือกระสุนใช้กันแล้ว แต่ตอนนี้พวกเราเองก็ยังวางใจอะไรไม่ได้ แล้วยิ่งในเวลาที่ แดนนี่เกิดบ้าแล้วหายสาบสูญไปแบบนี้ จ่าก็เลยไม่ยอมส่งคนกลับลงไปรายงาน” วิลเลี่ยมพูดจบแล้วนิ่งไปอึดใจก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้นใหม่ด้วยเสียงที่เบาลง
“แล้วนี่จอห์นสัน ฉันมีเรื่องแปลกจะเล่าให้ฟัง พวกที่เพิ่งกลับมากับจ่ามันบอกว่า พวกข้าศึกที่มาโจมตีเราวันนั้นดูเหมือนมันจะมาเตรียมตัวก่อนหน้าที่พวกมันจะมาหนึ่งวันโดยแบ่งกำลังกันมา”
“ยังไง?”จอห์นสันถามห้วนๆพร้อมกับทำคิ้วขมวดด้วยความสงสัย
"วันนั้นนายคงจำได้นะที่พวกมันบุกมาน่ะ นายว่าพวกมันบุกมาลักษณะยังไง ?”
“ก็ดูมีน้อยเกินไป แต่พวกมันไม่ได้มีท่าทีแปลกๆอะไรเลยนะ”จอห์นสันตอบกลับไปอย่างสงสัย
“ก็ วันนี้พวกที่กลับมา มันบอกว่า ห่างจากที่ที่พวกเราเอาศพของข้าศึกไปรวมกันออกไป พวกนั้นไปเจอศพของทหารเยอรมันกลุ่มหนึ่งเข้า พวกนั้นบอกนะว่าซากของพวกเยอรมันดูเหมือนกับว่า ถูกฉีกด้วยกรงเล็บสัตว์บางชนิด บางศพดูแทบไม่ได้เลย แถมทุกศพมีทั้งรอยเล็บและรอยเขี้ยวของสัตว์อะไรบางอย่างที่ลำตัวกับที่คอและที่สำคัญนะ จากสภาพการเน่าเปื่อยของศพ พอจะคาดคะเนได้ว่า ตายมาแล้ว 4 วัน” วิลเลี่ยมเล่าด้วยใบหน้าที่จริงจังมากยิ่งขึ้น
“หมายความว่า..”ไม่ทันที่จอห์นสันจะพูดต่อ วิลเลี่ยมก็พยักหน้าตอบราวกับว่า เขารู้ว่าจอห์นสันจะพูดอะไร …
“ใช่ พวกมันตายวันเดียวกับที่แดนนี่ถูกกัดกลับมาเลย และหนึ่งวันก่อนที่จะพวกมันจะมาบุกเราไง”วิลเลี่ยมพูดจบแล้วเงียบไป ก่อนที่จะหันกลับไปทำความสะอาดอุปกรณ์การแพทย์ต่อ ทิ้งให้จอห์นสันนอนคิดอย่างสงสัยต่อไป …
……………………………
สามสัปดาห์ผ่านไปหลังจากที่แดนนี่หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยจนทหารทุกนายต่างลงความเห็นตรงกันแล้วว่า แดนนี่ได้เสียชีวิตไปแล้วอย่างแน่นอน จอห์นสันได้กลับมาเข้าเวรอีกครั้ง หลังจากที่แขนของเขาเริ่มมีอาการดีขึ้นจนหายเป็นปกติ
ในคืนอันมืดมืดมิดและเงียบสงัด ท่ามความมืดมิดในป่า ทหารจำนวนสี่นายกำลังยืนเฝ้าระวังที่มั่นอยู่โดยไม่มีใครพูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว จอห์นสันยืนมองไปรอบๆที่มั่นอย่างระมัดระวัง จนเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดสังเกต เขาจึงหันหลังแล้ว ค่อยๆทิ้งตัวลงนั่งแล้วเอาปืนพาดกับขอบสนามเพลาะข้างกายด้วยความเบื่อหน่าย แล้วใช้หลังพิงขอบสนามเพลาะ เงยหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้าที่ใกล้จะเต็มดวง เขานั่งจ้องมองดวงจันทร์บนฟากฟ้าอยู่ได้ไม่นานนัก มาร์คัสก็ได้ทิ้งตัวลงนั่งไม่ห่างจากเขามากนัก ชั่วเวลานั้นจอห์นสันได้หันไปมองมาร์คัสตามสัญชาตญาณ แล้วได้เห็นว่า มาร์คัสเองก็กำลังจ้องมองดวงจันทร์อยู่เช่นกันแต่แววตาของมาร์คัสกลับจ้องมองดวงจันทร์อย่างเคร่งเครียดราวกับว่า ดวงจันทร์กำลังจะทำให้เกิดอะไรไม่ดีขึ้นในอีไม่ช้านี้ แต่จอห์นสันกลับไม่ได้ให้ความสนใจกับท่าทีของมาร์คัสมากนัก เพราะตัวเองเขากลับเริ่มรู้สึกเคยชินและเบื่อหน่ายที่จะต้องมาสงสัยในสิ่งที่ไม่มีคำตอบ
“เฮ้ย แกเคยได้ยินมั้ย ว่าห่างออกไปจากที่นี่มันมีหมู่บ้านร้างแห่งหนึ่งอยู่และที่นั่นมันมีเรื่องเล่าต่อกันมา ?”เสียงของเอ็ดทหารหนุ่มร่างเล็กผิวสีน้ำตาลดังขึ้นทำลายความเงียบยามราตรีอันมืดมิด และด้วยบรรยากาศที่เงียบสงัดทำให้จอห์นสันและมาร์คัสสามารถได้ยินทุกถ้อยคำที่เอ็ดพูดอย่างชัดเจน
“เรื่องอะไรของแก ?” จิมคู่หูของเอ็ดที่ยืนอยู่ข้างๆกันถามกลับไปด้วยท่าทีเหมือนคนไม่มีอารมณ์จะฟัง
“ก็เรื่องที่ว่า เคยมีหมู่บ้านน่ะสิ ห่างออกไปจากที่นี่หลายกิโลพอดู ได้ยินว่าที่นั่น พวกชาวบ้านที่เคยอยู่ที่นั่น ชอบอยู่อย่างสันโดษและสงบสุขแต่จู่ๆเมื่อ 7 ปีก่อน กลับเกิดประหลาดบางอย่างในหมู่บ้าน มีชาวบ้านถูกฆ่าทุกวันๆ แตกลับไม่มีใครตอบได้ว่า มันเป็นฝีมือของใครหรือตัวอะไร จนในที่สุดหมู่บ้านแห่งนั้นก็ถุกทิ้งร้างไป น่ากลัวมั้ยล่ะ จิม ?” เอ็ดเล่าเรื่องจนจบ แล้วเอ่ยถามคู่หูด้วยใบหน้าที่บ่งบอกได้ดีว่าเขาต้องการคำตอบแบบไหน
“ฉันว่าแกมันเพ้อเจ้อไปเองหว่ะ” จิมตอบอย่างคนที่ไม่ได้ให้ไม่สนใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายเล่ามาแล้วส่ายหน้าอย่างรำคาญ จนจอห์นสันเผลอยิ้มออกมาอย่างนึกขัน ทั้งที่เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเลยเพราะ ทุกคนต่างรู้กันดีว่า เอ็ดมีนิสัยช่างจ้อ ชอบมีเรื่องมาเล่าให้คนอื่นฟังอยู่เสมอๆ จนทุกคนต่างพูดเหมือนกันว่า มีเพียงเวลารบเท่านั้นที่เอ็ดจะยอมอยู่เงียบๆได้ แต่จิมที่เป็นคู่หูของเอ็ดกลับมีนิสัยขี้หงุดหงิดและขี้รำคาญมาก จึงถือเป็นปกติที่จิมมักจะทำท่ารำคาญและหงุดหงิดใส่เอ็ดอยู่บ่อยๆ
หลังจากที่เอ็ดยอมเงียบเสียงลงแล้ว จอห์นจึงหันหน้ากลับมา แล้วนั่งก้มหน้าคิดอะไรเพลินๆเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย แต่ทันใดนั้นจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงมีดถูกชักออกจากซองดังแว่วมาจากด้านที่มาร์คัสนั่งอยู่ เมื่อเขาหันไปมอง ภาพที่เขาเห็นคือ มาร์คัสกำลังถือมีด แล้วมองอย่างละอียดเพื่อตรวจสอบความคมของมีดด้วยใบหน้าที่เย็นชาตามลักษณะนิสัยของเขา ซึ่งแม้บริเวณที่พวกเขานั่งอยู่จะมืดมากแต่จอห์นสันก็พอจะสังเกตได้ว่า มีดที่มาร์คัสกำลังถืออยู่ มันดูเงาและมีสีที่แปลกตากว่ามีดพกของทหารทั่วไป !
“มีดนั่น ดูเหมือนทำด้วยเงินเลยนะ” จอห์นสันพูดขึ้นเพื่อชวนมาร์คัสคุย แต่มาร์คัสกลับแค่พยักหน้าตอบเท่านั้น ซึ่งจอห์นสันเองก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมากนัก เขาค่อยๆเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่กำลังจะเต็มดวงอีกครั้ง ซึ่งสำหรับเขาในตอนนี้ดวงจันทร์ที่เขาเห็น ช่างดูงดงามจนน่าหลงไหล แต่ทันใดนั้นได้มีเสียงหอนของหมาป่าขนาดใหญ่ดังลากยาวมาจากในป่าทางด้านหลังของเขา ทำให้ภาพดวงจันทร์ที่น่าหลงไหลกลับกลายเป็นน่าขนลุกเสียแทน จอห์นสันรีบก้มหน้ากลับลงมาทันที พร้อมกับที่เขาแยกเขี้ยวออกมาด้วยความรู้สึกโกรธที่เสียงหอนของหมาป่าทำให้ภาพอันงดงามของดวงจันทร์ที่ทำให้เขารู้สึกจิตใจสงบลง กลายเป็นภาพที่ทำให้เขารู้สึกขนลุกขึ้นมาแทน แต่ในอีกใจหนึ่งจอห์นสันกลับรู้สึกแปลกใจที่ตั้งแต่ที่เขายู่ที่นี่มานานหลายเดือน เขาไม่เคยได้เห็นหรือได้ยินเสียงของหมาป่ามาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขายกมือขึ้นแล้วเขกหัวตัวเองเบาๆสองสามครั้งเพื่อไม่ให้คิดมาก
“จอห์นสัน ใจเย็นเอาไว้ ในป่าอะไรๆก็เป็นไปได้น่า”จอห์นสันหลับตาพูกขึ้นในใจเพื่อปลอบใจตัวเองไม่ให้คิดมาก แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อจู่ๆได้มีเสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นมาจากในป่า พร้อมกับเสียงตะโกนเป็นภาษาเยอรมัน
“Was für eine Scheisse ist das ?”(ตัวบ้าอะไรวะนั่น)
“Schiesst hinnnnnnnnnnnnnn !” (ยิงมัน !)
‘ปัง ปัง ปัง...’ เสียงปืนไรเฟิลดังขึ้นสามนัดติดๆกันหลังจากที่เสียงตะโกนเงียบหายไป แล้วตามมาด้วยเสียงปืน ไรเฟิลอีกนับสิบกระบอกยิงกระหน่ำตามมา
จอห์นสันกับทหารนายอื่นๆที่เหลือเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้น พวกเขารีบลุกขึ้นยืนแล้วประทับปืนเล็งไปทางข้างด้านหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ภาพที่พวกเขาเห็นกลับมีเพียงแค่ต้นไม้และความมืดมิดเท่านั้น ไม่มีทหารหรือการยิงใดๆมาที่พวกเขาเลย
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นวะเนี่ย ?” จิมพูดเสียงสั่นๆด้วยความตกใจ
“นายฟังดูให้ดีก่อนสิ เสียงมันห่างออกไปจากที่นี่ไปตั้งหลายกิโลนะ” มาร์คัสหันพูดเรียกสติจิมด้วยเสียงจริงจัง
เวลาผ่านไปหลายนาที เสียงปืนก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้เสียงปืนที่กำลังกระหน่ำยิงเริ่มเปลี่ยนจากเสียงปืนยาวเป็นเสียงปืนสั้น และเสียงปืนก็เริ่มเบาลงไปเรื่อยๆราวกับว่าจำนวนคนที่กำลังกระหน่ำยิงอยู่เริ่มลดน้อยลง จนในที่สุดจากเสียงปืนนับสิบกระบอกก็เหลือเพียงแค่เสียงปืนพกเพียงกระบอกที่ดังเป็นจังหวะๆ สลับกับเสียงตะโกนด้วยความตกใจเป็นภาษาเยอรมัน
“Nein Nien !” (ไม่ ไม่ !)
‘ปัง ปัง’
“Sterb sterb !” (ตายซิ ตายซิ)
หลังจากที่เสียงตะโกนนั้นเงียบหายไป เสียงคำรามอย่างกระหายเลือดของตัวอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นแล้วตามมาด้วยเสียงร้องอันโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แล้วไม่นานเสียงร้องนั้นก็เงียบหายไปแล้วตามมาด้วยเสียงคำรามอย่างดุร้าย อีกครั้ง และเพียงชั่วครู่ต่อมาเสียงคำรามก็เงียบลง ผืนป่าก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง …
“มันเกิดอะไรขึ้นวะ มีใครสู้กับอสูรกายรึไงวะ ?”จิมพูดเสียงสั่นความกลัว พร้อมกับที่ทหารนายอื่นๆในสนามเพลาะต่างวิ่งมารวมอยู่ที่จุดเดียวกัน ต่างจากทุกครั้งที่พวกเขามักจะแบ่งกำลังกันป้องกันตามจุดต่างๆ
“มีอะไร เสียงอะไรกัน ?” ทิมถามเสียงตื่นๆ แล้วมองหน้าทหารทั้งสี่นายที่ยืนอยู่ด้านหน้าของเขา
“ไม่รู้สิ จู่ๆ มันก็ดังขึ้น ฉันยังไม่รู้เลยว่า ใครกำลังสู้กับตัวอะไร” เอ็ดตอบกลับไปด้วยเสียงตื่นๆไม่ต่างกัน
“เอาล่ะ ทุกคนฟัง เฝ้าระวังทุกจุดทั้งคืนนี้ เปลี่ยนเวรทุกสองชั่วโมง หากมีอะไรผิดปกติหรือมีตัวอะไรเข้ามาใกล้ที่มั่น ยิงได้ทันที แยกย้ายกันไปได้” จ่ารอสออกคำสั่งด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนัก แต่ใบหน้าของเขากลับเอาจริงเอาจังเสียยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผานมา
เมื่อได้รับคำสั่งทหารทุกนายต่างแยกย้ายกันออกเดินเฝ้าระวังตามจุดต่างๆของที่มั่น โดยแบ่งออกเป็นสองช่วงเวลาเพื่อให้ชุดที่หนึ่งได้พักผ่อนในขณะที่อีกชุดกำลังออกตรวจเวร ซึ่งจอห์นสันได้อยู่เวรที่สอง และในตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เขาไม่อาจจะข่มตาให้หลับลงได้ ทำให้เขากับมาร์คัสทำได้เพียงแค่นั่งรอเวลาเปลี่ยนเวร จอห์นสันนั่งกอดเข่าอยู่ได้ไม่นาน เขาก็หันไปหามาร์คัสที่นั่งนิ่งๆด้วยใบหน้าจริงจังเหมือนคนที่กำลังใช้ความคิดอยู่
“มาร์คัส ฉันขอถามหน่อยสิ ?” จอห์นสันพูดขึ้นด้วยเสียงจริงจัง
“อะไรเหรอ ?” มาร์คัสถามกลับด้วยเสียงเย็นๆเช่นเดิม
“นายรู้ใช่มั้ย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแดนนี่ ?” ทันทีที่จอห์นสันถามจบ ใบหน้าของมาร์คัสก็เริ่มดูตกใจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด แต่ทันใดนั้น
“จอห์นสัน จ่าเรียกนายไปพบ” เสียงของทหารนายหนึ่งดังขึ้นจากมุมหนึ่งของสนามเพลาะก่อนที่มาร์คัสจะทันได้พูดอะไรออกมา จอห์นสันถอนหายใจออกมาแล้วลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหาทหารนายนั้น
พลทหารนายนั้นเดินนำหน้าจอห์นสัน จนมาถึงที่ที่ทหารนายหนึ่งกำลังยืนเฝ้าที่มั่นโดยยืนหันหลังให้เขาอยู่ซึ่งแน่นอนว่าทหารคนนั้นคือจ่ารอส
“จ่า ครับ”พลทหารนายนั้นพูดขึ้นสั้นๆแต่เสียงดังตามแบบทหาร แล้วรีบเดนิออกมาจากบริเวณนั้น พร้อมกับที่จ่ารอสค่อยๆหันมาหาจอห์นสัน แล้วพูดขึ้นช้าๆด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“จอห์นสัน ฉันมีเรื่องจะถามหน่อย นายพอจะเดาได้มั้ยว่าสิ่งที่มันทำร้ายแดนนี่ที่นายเห็นในคืนนั้นมันคือตัวอะไร?”
“ไม่ครับ ผมเดาไม่ออกจริงๆ รูปร่างของมันก็แปลกจนผมไม่มีทางเดาได้เลย เท่าที่รู้คือ มันอันตรายมากแต่ที่ผมพอจะเดาได้ ถ้ามันไม่ใช่ผี มันคงไม่รอดแน่เพราะคืนนั้นถ้าให้เดา ผมว่า ผมยิงเข้าที่อกมันทั้งสองนัดเลย”จอห์นสันตอบไปอย่างจริงจังว่าเขาไม่รู้จริงๆ
“ในคืนที่แดนนี่คลุ้มคลั่งแล้วหนีไป ได้ยินว่านายเกือบโดนมันทำร้ายใช่มั้ย?”จ่ารอสถามกลับด้วยเสียงทุ้ม ต่ำเช่นเดิม จอห์นสันนิ่งเงียบไปอึดใจ พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอแล้วพยักหน้าตอบอย่างช้าๆ
“ช่วยบอกฉันทีว่า มันทำอะไรถึงขั้นทำให้นายหมดสติไปถึง 3 วัน” จ่ารอสถามขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่จริงจัง จอห์นสันยืนยิ่งไปชั่วขณะแล้วตอบกลับไปอย่าไงไม่มั่นใย
“เอ่อ.. คือว่า... ผมไม่แน่ใจเพราะตอนนั้นผมไม่เห็นมีอะไรผิดปกติกับแดนนี่ จู่ๆมันวิ่งออกมาจากเต็นท์แล้วชนผมเข้าอย่างจัง ผมจำได้แค่ว่า แรงของมันเยอะอย่างผิดปกติและเสียงร้องแปลกๆ เท่าที่ผมรู้ก็เท่านี้แหละครับ”
จ่ารอสไม่ได้ถามอะไรต่อนอกจากทำหน้านิ่งๆเหมือนกับกำลังจะใช้ความคิดพิจารณาอะไรอยู่
“เอาเถอะ ไปได้แล้วจอห์นสัน” จ่ารอสออกคำสั่ง แล้วหันหลังกลับไปเฝ้าที่มั่นตามเดิม พร้อมกับที่พลทหารนายนั้นเดินกลับมา จอห์นสันยืนถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วหันหลังเดินกลับไป
......................
จอห์นสันเดินก้มหน้าอย่างเหนื่อยใจที่เขาต้องกลับมาพบกับเรื่องราวอันแปลกประหลาดที่ไม่สามารถหาคำตอบได้อีกครั้งหลังหนึ่ง
“จะเจออะไรกันหนักหนาวะ จะต้องเจอเรื่องอะไรต่อไปอีกล่ะ เอาเลย อยากให้เจออะไรอีกก็เอาเลย” จอห์นสันบ่นขึ้นเบาๆเพื่อระบายความอึดอัดในใจพร้อมกับที่เขาเดินเลี้ยวกลับไปยังจุดที่เขากับมาร์คัสเคยยืนเฝ้าระวังอยู่ แต่เมื่อเขาเงยหน้ากลับขึ้นมาจอห์นสันกลับพบว่า มาร์คัสได้หายตัวไปแล้ว !
จอห์นสันมองไปรอบๆอย่างร้อนรนเพื่อมองหามาร์คัส จนเขาหันไปสะดุดตาเข้ากับรอยฝ่ามือของใครบางคนที่ขอบสนาม เขาจ้องมองรอยฝ่ามือนั้นอยู่ชั่วครู่แล้วค่อยๆเงยหน้ามองไปทางด้านหน้า แล้วได้เห็นรอยเท้าของใครบางคน ที่สังเกตขนาดแล้วต้องเป็นรอยเท้าของมาร์คัสอย่างแน่นอน จอห์นสันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วก้อมมองนาฬิกาข้อมือซึ่งเข็มของมันได้บอกเวลา สี่ทุ่มยี่สิบห้านาที ซึ่งยังคงเวลาเหลืออีกถึง หนึ่งชั่วโมงสามสิบนาที ก่อนที่พวกเขาจะต้องเปลี่ยนเวร จอห์นสันมองไปรอบๆตัวอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครกำลังเดินเข้ามา จนเมื่อเขาแน่ใจแล้วว่าทางสะดวก เขาค่อยๆปันขึ้นจากหลุมอย่างช้าๆเพื่อไม่ให้เกิดเสียง แล้วเดินตามรอยเท้านั้นไป ซึ่งมันได้นำทางเขาเข้าไปในป่าอันมืดมืดเบื้องหน้า
“ให้ตายสิวะ มันอะไรกันอีกล่ะทีนี้ มาร์คัส ทำไมนายถึงยอมฝ่าฝืนคำสั่ง ทั้งที่เดิมทีนายไม่เคยเป็นแบบนี้นี่หว่า”จอห์นสันพูดขึ้นในใจเพื่อลดแรงกดดันและความกลัวที่กำลังเกาะกุมหัวใจของเขาอยู่
จอห์นสันเดินย่อตัวตามรอยเท้านั้นไปอย่างเงียบๆ โดยใช้มือทั้งสองข้างเอื้อมแตะพื้นด้านหน้าเพื่อป้องกันไม่ให้เขาเผลอเหยียบสิ่งที่จะทำให้เกิดเสียงโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งที่เขาต้องการจะหยิบไฟฉายออกมาส่องไปรอบๆ แต่เขากลับทำไม่สามารถทำได้เพราะนั่นจะทำให้บางคนหรือบางสิ่งที่อยู่บริเวณนั้นรู้ตัวหรือเกิดอาการตกใจขึ้น และที่สำคัญ เขารู้ดีว่า การที่มาร์คัสซึ่งเป็นที่เค่งครัดในระเบียบวินัยอย่างมากยอมฝ่าฝืนคำสั่งแบบนิ้ มันต้องมีเหตุผลบางอย่างที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
จอห์นสันตามรอยเท้ามาได้ไม่นาน จู่ๆเขาก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพนับสิบๆศพลอยมาตามสายลม จนเขาต้องรีบยมือขึ้นปิดจมูก และนั่นก็ทำให้เขารู้ได้ในทันทีว่า รอยเท้าเหล่านี้กำลังจะนำพาเขาไปยัง กองซากซพของทหารเยอรมัน !
“พระเจ้า คราวนี้กำลังจะเจออะไรอีกวะ ?” จอห์นสันพูดในใจอีกครั้ง ตอนนี้ความกลัวเริ่มเกาะกุมไปทั่วทั้งหัวใจของเขา จนเขาเริ่มรู้สึกอยากจะเดินหันหลังกลับ ขาทั้งสองข้างของเขาเริ่มสั่น หัวใจเริ่มเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทั้งที่บรรยากาศในป่ายามค่ำคืนแบบนี้มันหนาวจนหายใจเป็นไอ แต่เขากลับยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างช้าๆ แล้วไม่นานเขาก็ต้องหยุดชะงัก ทันที
‘กร๊อบ กร้วม ควาก กร้วม...’ เสียงตัวอะไรบางอย่างกำลังกัดแทะเศษซากศพดังขึ้นและเริ่มดังชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่จอห์นสันเริ่มเข้าไปใกล้กองซากศพ จอห์นสันเริ่มหายใจถี่รัวด้วยความกลัวหนักยิ่งขึ้น เขาหยุดอยู่กับที่แล้วเริ่มตั้งใจฟังเสียงนั้น ซึ่งไม่นานนักเขาก็ได้รู้ว่า มันดังห่างออกไปจากจุดที่เขาอยู่ไม่มากนัก
“กล้าเอาไว้ จอห์นสัน ไม่มีอะไร มันก็แค่สัตว์ธรรมดาๆมากินซาก เราก็แค่ไปหามาร์คัสให้เจอ แล้วรีบกลับ เชื่อฉัน ไม่มีอะไร” จอห์นสันพูดขึ้นในใจเพื่อปลอบใจตัวเอง แล้วเอามือจับที่หน้าอกซ้าย แล้วหายใจแรงๆ เพื่อทำให้ตัวเขาใจเย็นลง จากนั้นเขาก็ออกเดินต่อไปอย่างช้าๆ ตรงไปยังแนวต้นไม้ขึ้นรกทึบเบื้องหน้า ที่ที่จะนำพาเขาไปยังกองซากศพ
จอห์นสันค่อยๆเดินฝ่าแนวต้นไม้รกทึบนั้นมาอย่างช้าๆและเงียบงัน ในขณะที่เสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย และไม่นานนักเขาก็สามารถผ่านแนวต้นไม้นั้นออกมาได้อย่างเงียบงัน แล้วได้เห็นกับกองซากศพที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี เขารีบหยุดฟังเสียงอย่างตั้งใจเพื่อจับที่มาของเสียง จนเมื่อเขาสามารถหาที่มาของมันได้ เขารีบหันหน้าไปยังทิศทางนั้น แล้วเขาก็ได้สะดุดตาเข้ากับเงาของอะไรบางอย่างที่กำลังขยับตัวเล็กน้อยอยู่ข้างๆกองซากศพ เขาพยายามเพ่งมองภาพนั้นอย่างตั้งใจเพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่า มันคือตัวอะไร ซึ่งใจจริงของเขาได้แต่หวังเอาไว้ว่า มันจะเป็นเพียงแค่สัตว์ป่าธรรมดาๆตัวหนึ่งที่เข้ามากินซากศพเท่านั้น แต่เมื่อสายตาของเขาเริ่มปรับตัวเข้ากับความมืดได้ เขากลับเริ่มรู้สึกใจไม่ดีมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะเมื่อเขาเริ่มมองเห็นภาพนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ภาพที่เขาเห็นกลับดูไม่เหมือนเงาของสัตว์ป่า แต่มันกลับดูหมือนเงาของมนุษย์ !
จอห์นสันนั่งมองภาพนั้นอย่างเงียบๆด้วยความกลัว จนเมื่อสายตาของเขาสามารถปรับตัวเข้ากับความมืด จนเขาสามารถมองเห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจน เขาถึงตาค้างด้วยความตกใจกับภาพที่เห็น ซึ่งภาพที่เขาเห็นนั่นก็คือ ทหารนายหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารอเมริกันที่ขาดรุ่งริ่ง และทั่วทั้งตัวของทหารนายนั้นถูกปกคลุมด้วยขนสัตว์สีดำ มีเล็บมือที่โค้งยาวแหลมคมกำลังนั่งยองๆ ก้มหน้ากัดแทะแขนมนุษย์ที่อยู่ในมืออย่างหิวโหย !
“พระเจ้า ไม่จริง แดนนี่ !” จอห์นสันพูดขึ้นในใจหลังจากที่เขาที่จ้องมองใบหน้าของทหารคนนั้น จนนึกขี้นได้ว่า ทหารนายนั้นเป็นใคร
ชั่ววินาทีต่อมา จอห์นสันรีบก้าวเท้าที่กำลังสั่นระริกถอยหลังกลับอย่างช้าๆเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเสียงจนทำให้แดนนี่รู้สึกตัว แต่ทันใดนั้นเองได้มีมือของใครบางคนเอื้อมเข้ามาปิดปากของเขาจากทางด้านหลังเพื่อไม่ให้เขาส่งเสียงและได้มีมืออีกข้างหนึ่งจับแขนของเขาล็อกไว้เอาแน่น พร้อมกับที่เจ้าของมือทั้งสองข้างได้จับจอห์นสันกดลงนอนบนพื้นอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงดังขึ้นมาเล็กน้อย !
หลังจากที่จอห์นสันถูกจับกดให้นอนลงบนพื้นแล้วเกิดเสียงดังขึ้น แดนนี่ในร่างอมนุษย์ที่กำลังกินซากศพอยู่รีบทิ้งแขนมนุษย์ที่ถืออยู่ แล้วเงยหน้ามองไปรอบๆตัว อย่างช้าๆ เพื่อมองหาสิ่งที่ทำให้เกิดเสียง แล้วทำท่าหายใจเข้าแรงๆเหมือนมันกำลังสูดดมกลื่น แต่ไม่นานนักแดนนี่ก็เริ่มสงบลง แล้วส่งเสียงครางในลำคอ ราวกับว่ามันไม่ได้กลิ่นอะไร เมื่อมันไม่สามารถหาสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงได้ มันก็ไม่คิดจะเสียเวลาอาหารของมัน แล้วหันไปทางซากศพแล้วดึงศพใหม่ออกมาจากกองศพ แล้วก้มหน้ากัดกินศพนั้นอย่างหิวโหย
เมื่อชายคนนั้นเห็นว่า แดนนี่หายสงสัยแล้ว เขาค่อยๆยื่นใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ๆหน้าของจอห์นสัน แล้วใช้นิ้วชี้จ่อที่ริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เขาเงียบเอาไว้ ซึ่งชายคนนั้นก็คือ มาร์คัส นั่นเอง เมื่อเห็นเช่นนั้นจอห์นสันรีบพยักหน้ารับแทนคำตอบพร้อมกับที่มาร์คัสค่อยๆคลายฝ่ามือของออกจากริมฝีปากของจอห์นสัน แล้วยื่นฝ่ามือขวาที่กำอะไรบางอย่างอยู่เข้ามาลูบไปทั่วทั้งใบหน้าของจอห์นสัน จากนั้นมาร์คัสก็ค่อยๆหันมากระชิบข้างๆหูของจอห์นสันอย่างแผ่วเบา
“กลบกลิ่นไว้ แค่กลิ่นศพกลบกลิ่นนายไม่หมดหรอก เอาดินกลบไว้ด้วย แค่นิดเดียวก็อาจจะพอช่วยได้แล้ว”
มาร์คัสพูดจบแล้วเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเริ่มพูดต่ออย่างแผ่วเบา
“มันอาจฟังดูยาก แต่ฟังนะ ทำใจให้สบาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าลุกขึ้นวิ่งเด็ดขาด เพราะว่ามันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว” จอห์นสันพยักหน้าอย่างเข้าใจ และทันใดนั้นได้มีเสียงเหยียบกิ่งไม้หักดังขึ้นมาจากในป่าทางด้านซ้ายของแดนนี่ จอห์นสันรีบหันไปมองยังที่มาของเสียงพร้อมกับที่แดนนี่รีบเงยหน้าจากซากศพ แล้วหันไปคำรามด้วยเสียงสัตว์เข้าไปในป่า และไม่กี่วินาทีต่อมาก็ได้มีชายตาบอดข้างซ้ายคนหนึ่งเดินออกมาจากในป่าตรงเข้ามาหาแดนนี่ ซึ่งเมื่อจอห์นสันเห็นชายคนนั้นอย่างชัดเจน เขาก็ต้องตาค้างด้วยความตกใจเพราะที่ชุดชาวบ้านที่ชายคนนั้นสวมอยู่ มันชุ่มไปด้วยเลือดสดๆราวกับว่า ชายคนนั้นได้ลงมือฆ่าอะไรบางอย่างมาเมื่อไม่นานมานี้ และที่ยิ่งไปกว่านั้นชายคนนั้นมีขนสัตว์ปกคลุมทั่วทั้งร่าง และมีกรงเล็บที่แหลมคม เหมือนกับแดนนี่ จนแทบจะพูดได้ว่าเป็นพวกอมนุษย์เหมือนกัน !
จอห์นสันนอนมองดูอมนุษย์สองตนนั้นอยู่เพียงชั่วครู่ เขาก็รีบหันไปทางมาร์คัสที่นอนอยู่ข้างๆเพื่อที่จะถามในสิ่งที่เขาสงสัย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากถามอะไร เขาก็ต้องนิ่งไปเสียทันที เมื่อเขาเห็นว่า มาร์คัสไม่มีทีท่าตกตะลึงกับภาพที่เห็นเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังจ้องมองชายคนนั้นราวกับว่า เขารู้จักกับชายคนนั้นเป็นอย่างดี และมีเรื่องอะไรบางอย่างติดค้างกันอยู่แล้วยังไม่ได้สะสาง ชายคนนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของแดนนี่ แล้วครางเบาๆราวกับ เตือนอะไรบางอย่าง แล้วหันหลังกระโดดขึ้นต้นไม้ แล้วกระโจนหายไปในความมืดโดยมีแดนนี่กระโจนตามไปติดๆ และไม่นานนักอมนุษย์ทั้งสองตนนั้นก็หายไปในความมืด
หลังจากที่อมนุษย์สองตนนั้นได้จากไปแล้ว จอห์นสันรีบทำท่าจะลุกขึ้นอย่างเร่งรีบ แต่มาร์คัสกลับรีบเอื้อมมือขึ้นแตะหัวไหล่ของจอห์นสันเพื่อเป็นการห้ามไม่ให้เขาทำอะไรอย่างเร่งรีบโดยไม่ได้ระวังตัว แล้วมองไปรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่า อมนุษย์ทั้งสองตนไม่ได้แอบดักซุ่มรอพวกเขาอยู่ จนเมื่อมาร์คัสแน่ใจแล้วว่า พวกเขาปลอดภัยแล้ว เขาพยักหน้าสองครั้งแล้วหันมาหาจอห์นสันที่กำลังจ้องมองเขาอยู่
“เอาล่ะ รีบไปกันเถอะ” เมื่อมาร์คัสพูดจบ ทหารทั้งสองรีบลุกขึ้นวิ่งอย่างไม่เหลียวกลับไปมองด้านหลัง และไม่นานต่อมา เมื่อพวกเขาเห็นสนามเพลาะอยู่ด้านหน้า ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น แล้วรีบกระโดดกลับลงไปสนามเพลาะอย่างรวดเร็ว
จอห์นสันนั่งเอาหลังพิงขอบสนามแล้วหายออกมาแรงๆสามครั้ง แล้วหันไปหามาร์คัสที่นั่งอยู่ข้างๆ
“มาร์คัส คราวนี้จะบอกฉันได้รึยัง พวกนั้นมันคือตัวอะไร ?” จอห์นสันเอ่ยถามอย่างคนที่กำลังตกใจ แต่มาร์คัส กลับดูไม่ได้ให้ความสนใจกับเขาเลยแม้แต่น้อย แล้วนั่งพูดขึ้นลอยๆอยู่คนเดียว ด้วยใบหน้าที่จริงจังราวกับคนที่กำลังพูดถึงใครบางคนที่เขาโกรธแค้น
“ว่าแล้วเชียว ต้องเป็นแกจริงๆด้วย ยังไม่ตายอีกเหรอวะ”
“มาร์คัส” จอห์นสันเอ่ยเรียกชื่อมาร์คัสเสียงดัง พร้อมกับที่เขาจับหัวไหล่ของมาร์คัสเขย่าแรงๆเพื่อเรียกสติเขากลับมา ซึ่งทันใดนั้นมาร์คัสก็หันขวับมามองหน้าจอห์นสันด้วยความตกใจ แล้วหายใจออกมาแล้วก้มหน้าลงมองพื้นอย่างคนที่รู้สึกผิด
“มาร์คัส บอกฉันมา ไอ้พวกเมื่อตะกี้ มันคือตัวอะไร ?” จอห์นสันจ้องหน้าแล้วถามมาร์คัสด้วยใบหน้าจริงจัง
มาร์คัสนั่งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเริ่มถามเขากลับมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“นายเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติมั้ย จอห์นสัน?”
“ทำไมจึงถามฉันแบบนั้น นายจะพูดอะไรกันแน่?” จอห์นสันถามกลับอย่างร้อนรน เพราะเขาเริ่มจะทนไม่ไหวกับความอยากรู้คำตอบที่เคยค้างคาอยู่ในใจของเขามานาน
“เพราะเรื่องที่นายกำลังจะได้ฟังจากนี้ มันเป็นเรื่องที่สุดจะเหนือธรรมชาติและฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ฉันจะขอยืนยันว่า ทุกอย่างที่ฉันกำลังจะบอกนาย มันเป็นความจริง...” ยังไม่ทันที่มาร์คัสจะพูดจบ จอห์นสันก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“บอกฉันมาเลย มาร์คัส มันจะเหนือธรรมชาติแค่ไหน ก็ช่างมันเถอะ ฉันอยากจะรู้เต็มทีแล้ว ไอ้พวกนั้นมันคือ… ”ยังไม่ทันที่จอห์นสันจะพูดจบ มาร์คัสก็พูดต่อประโยคให้ทันที
“มนุษย์หมาป่า !” เมื่อมาร์คัสพูดจบ จอห์นสันถึงกับนั่งนิ่ง อ้าปากค้าง ดวงตาโต ด้วยความตกใจ แล้วพูดขึ้นช้าๆ
“นาย…พูด...อีกที...สิ” มาร์คัสพยักหน้าให้ แล้วตอบกลับมาด้วยหน้านิ่งๆเช่นเดิม
“นายฟังไม่ผิดหรอก พวกนั้นน่ะ คือ มนุษย์หมาป่า” เมื่อมาร์คัสพูดจบ จอห์นสันนั่งนิ่งตาค้าง อย่างไม่อยากจะคิดเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“นาย.....ล้อ....ฉัน....นายล้อฉันเล่นใช่มั้ย มาร์คัส” จอห์นสันพูดแล้วพยายามฝืนยิ้ม แล้วแกล้งหัวเราะออกมา
“แล้วที่นายคิดว่า พวกมันคือซานตาครอสหลงป่าในคืนวันเพ็ญ เลยเกิดใช้สัญชาตญาณดิบในการเอาตัวรอดรึไง” มาร์คัสพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆเหมือนอย่างเคยแต่ใบหน้าของเขากลับดูจริงจังมากเสียยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
แม้จอห์นสันจะไม่อยากคิดเชื่อในสิ่งที่ได้ฟัง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องทำใจให้เชื่อเพราะเขารู้ดีว่า มาร์คัสไม่ใช่คนชอบพูดล้อเล่นและทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เห็นมาสามารถยืนยันได้อีกว่า มาร์คัสไม่ได้โกหก
“จอห์นสัน เหลือเวลาอีกกี่นาทีก่อนที่เราจะเปลี่ยนเวร?” มาร์คัสถามขึ้นอีกครั้งหลังที่จากที่พวกเขสนิ่งเงียบไปได้ชั่วครู่ พร้อมกับที่จอห์นสันรีบก้มมองนาฬิกาข้อมือแล้วพูดตอบ
“หนึ่งชั่วโมง สิบนาที” เมื่อจอห์นสันตอบกลับมา มาร์คัสจึงหันไปทางจอห์นสันที่นั่งอยู่ข้างๆ
“จอห์นสัน นายจำเรื่องที่เอ็ดเคยเล่าให้จิมได้มั้ย เกี่ยวกับหมู่บ้านร้างที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่น่ะ?” เมื่อมาร์คัสถามจบ จอห์นสันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป นอกจากพยักหน้าให้เท่านั้น
“หมู่บ้านนั่นน่ะมีอยู่จริงนะ ฉันมาจากที่นั่น และฉันก็ได้พบกับมันที่นั่นด้วยเช่นกัน”มาร์คัสถอนหายใจเฮือกยาวๆเมื่อพูดจบ แล้วจึงเริ่มเล่าเรื่องในอดีตของเขาที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว !
………………………………………………
ตอนที่ 4 หญิงปริศนา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ