What is under the moonlight

6.8

เขียนโดย kang

วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 เวลา 22.09 น.

  11 ตอน
  49 วิจารณ์
  19.83K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2556 13.30 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) จุดเริ่มต้น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
รุ่งเช้า บรรยากาศดูรอบที่มั่นแห่งนี้ดูสดใสเป็นปกติ เสียงนกนานาชนิดร้องดังอยู่รอบที่มั่นของพวกเขาเป็นสัญญาณให้รู้ว่าในตอนนี้บริเวณที่มั่นไม่มีข้าศึกอยู่ จ่ารอสเดินเข้าไปในเต๊นท์พยาบาลแล้วตรงเข้าไปหาแดนนี่ที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวเหมือนคนกำลังมีไข้ขึ้นสูง
“เป็นยังไงบ้างแดนนี่?” จ่ารอสถามแดนนี่ที่กำลังลูบคอบริเวณที่ถูกกัดซึ่งมีผ้าพันแผลปิดเอาไว้หลายชั้น
 “ครับ ดีขึ้นแล้วครับ แต่เวียนๆหัวยังไงไม่รู้ครับ” แดนนี่ตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างคนที่กำลังอ่อนแรงเต็มที
“จ่าจะให้ผมกับไปเข้าเวรมั้ยครับ? ผมไหวครับ”แดนนี่หันไปถามด้วยเสียงระดับเดิม
“ไม่ต้องหรอก แค่ฟังเสียงก็รู้แล้วว่าสภาพนายเป็นยังไง พักไปก่อนเถอะ”จ่ารอสเมื่อพูดจบแล้วก็หันหลังเดินออกมาจากเต็นท์ไป
ในด้านหนึ่งของสนามเพลาะ ทหารจำนวน 6 นาย กำลังยืนเฝ้าเวรอย่างไม่ค่อยได้สนใจอะไรรอบข้างมากนักเพราะบรรยากาศรอบที่มั่นดูสงบเงียบไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ทหารที่เข้าเวรต่างไม่ได้สังเกตเลยว่า เสียงนกที่เคยส่งเสียงร้องอยู่รอบๆที่มั่นตอนนี้ มันได้เงียบไปแล้ว !
จอห์นสันที่กำลังนั่งเฝ้าระวังความปลอดภัยอยู่ในสนามเพลาะโดยมีมาร์คัสยืนเงียบๆอยู่ข้างๆ พร้อมกับทหารอีก 4 นายที่กำลังเฝ้าเวรอยู่เงียบๆ เมื่อเขาไม่สังเกตเห็นอะไรผิดปกติทั้งท่าทีของมารคัสเองก็เหมือนจะไม่เห็นอะไรผิดปกติเช่นกัน จนในที่สุดจอห์นสันถึงเริ่มเอ่ยถามมาร์คัสในสิ่งที่เขาสงสัย
“มาร์คัส ฉันตามจริงๆนะ เมื่อวานตอนนายมาเรียกฉัน  นายเห็นเหมือนที่ฉันเห็นมั้ย?” จอห์นสันถามอย่างเงียบๆ
“เห็นอะไร?” มาร์คัสถามกลับมาด้วยเสียงระดับเดียวกัน
“ก็...”       ‘ปัง’       ยังไม่ทันที่จอห์นสันจะได้พูดต่อ เสียงปืนก็ดังขึ้นมาจากในป่าด้านหน้าโดยที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว !
จอห์นสันกับมาร์คัสรีบหันไปมองด้านข้างและภาพที่เขาเห็นคือ ทหารนายหนึ่งที่เคยยืนเฝ้าเวรอยู่ทางด้านขวาชอง ห่างจากที่พวกเขาอยู่ออกไปไม่ไกลนัก  ตอนนี้กำลังลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับที่เลือดสดๆไหลทะลักออกมาจากกลางหน้าผากของทหารนายนั้น เพียงช่วงเสี้ยววินาทีร่างของเขาก็ล้มลงกับพื้นแล้วแน่นิ่งไปอย่างรวดเร็ว  แทบจะในทันใดนั้นเสียงปืนอีกนับสิบกระบอกก็ยิงกระหน่ำเข้ามา  ช่วงเวลานั้นเองที่จอห์นสันตั้งสติได้อีกครั้ง   เขาไม่รอช้ารีบประทับปืนแล้วเล็งไปในทางที่ที่เขาเชื่อว่าเป็นที่ที่ศัตรูของเขาอยู่ แล้วรีบเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว เสียงปืนของเขากับมาร์คัสดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน และไม่พลาดเป้า  ทหารเยอรมันสองนายที่หลบอยู่ในพุ่มไม้กระเด็นหงายหลังล้มลงไป โดยคนหนึ่งมีจุดสีแดงเป็นวงใหญ่ที่ท้องและอีกคนที่หน้าอก  ทันใดนั้นเองปืนอีกนับสิบกระบอกต่างพากันระดมยิงเข้ามาทางจอห์นสันกับมาร์คัสจนทั้งสองต้องรีบก้มหัวลงทันที
‘ปัง’ เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้นจากฝั่งของพวกทหารเยอรมัน และหลังจากที่เสียงปืนเงียบไปแล้ว ร่างของทหารฝ่ายเขานายหนึ่งก็ล้มลงแน่นิ่งเพราะกระสุนนัดนั้นได้เจาะเข้าที่ศีรษะของเขาอย่างจัง ทันใดนั้นเอง
“Geht los” เสียงตะโกนของทหารเยอรมันคนหนึ่งดังขึ้นซึ่งจอห์นสันจำได้ดีจากประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า         การตะโกนแบบนี้คือ การสั่งบุกประจัญบาน !
จอห์นสันและทหารนายอื่นๆที่เหลือรีบกระชากมีดออกจากซองขึ้นมาติดเป็นดาบปลายปืน แล้วรีบลุกขึ้นยิงกระหน่ำไปยังทหารเยอรมันที่กำลังวิ่งเข้ามาพร้อมกับปืนไรเฟิลที่ติดดาบพร้อมที่จะเข้ามาทำการรบในระยะประชิดกับพวกเขาแล้ว ซึ่งช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องรีบจัดการข้าศึกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่ทหารเยอรมันเหล่านั้นจะบุกเข้ามาประชิดตัวพวกเขาที่มีกันอยู่เพียง 4 นาย  
จอห์นสันและทหารคนอื่นๆช่วยกระหน่ำยิงออกไปโดยไม่เลือกเป้า พร้อมกับที่ทหารเยอรมันที่กำลังวิ่งเข้ามาต่างพากันล้มลงไปคนแล้วคนเล่า แต่ด้วยการที่พวกเขาทั้ง 4 ต่างมีเพียงแค่ปืนไรเฟิลอัตโนมัติรุ่นM1 Garand* ที่สามารถบรรจุกระสุนได้เพียงครั้งละ 8 นัดเท่านั้น ทำให้พวกเขาไม่สามารถจัดการกับทหารเยอรมันที่กำลังวิ่งเข้ามาได้ไม่มากนักนัก และเพียงไม่กี่วินาทีต่อมา
‘พิ้ง’ เสียงตลับกระสุนถูกดีดออกดังขึ้นจากปืนของทหารที่อยู่ในสนามเพลาะที่ละกระบอกๆพร้อมกับที่ตลับกระสุนในปืนถูกดีดออกมา ซึ่งนั่นได้หมายความว่า กระสุนได้หมดลงแล้ว   ซึ่งในเวลานี้มันสายเกินไปเสียแล้วที่จะบรรจุกระสุนชุดใหม่เพราะทหารเยอรมันเหล่านั้นต่างพากันเข้ามาจนใกล้จะถึงตัวพวกเขาแล้ว ซึ่งมีหนทางเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถรอดชีวิตได้ นั่นก็คือ ต้องรบแบบประชิตตัวเท่านั้น !
***M1 Garand ปืนไรเฟิลอัตโนมัติในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2ที่ทหารอเมริกานิยมใช้ เพราะสามารถยิงได้ต่อเนื่องเป็นปืนที่มีความแม่นยำสูงมาก บรรจุกระสุนได้ครั้งละ 8-10นัด (ซึ่งส่วนมากจะ 8) ซึ่งเวลายิงกระสุนจนหมดตลับเสียง พิ้ง จะดังขึ้นพร้อมกับที่กระสุนอันเก่าจะดีดออกเพื่อให้ใส่ตลับใหม่เข้าไปแทน ซึ่งปืนชนิดนี้สามารถติดอาวุธเสริมเช่น ดาบปลายปืน กล้องเล็ง และลูกระเบิดได้
 เมื่อทหารเยอรมันเหล่านั้นวิ่งมาใกล้จนเข้าระยะจู่โจม  ทหารทั้งสี่นายในสนามเพลาะรีบลุกขึ้นแล้วใช้ดาบปลายปืนแทงเข้าใส่ทหารข้าศึกที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ซึ่งทันใดนั้นเองทหารเยอรมันที่เหลือต่างพากันกระโดดลงมาในสนามเพลาะของพวกเขาการรบระยะประชิดตัวก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว และถึงแม้ทหารเยอรมันที่สามารรอดชีวิตมาได้จะมีเหลืออยู่เพียง 10 นาย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลับชลมุนวุ่นวายจนไม่มีใครสามารถแม้แต่จะชักปืนพกออกมาใช้ได้ ทำให้มีอาวุธเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ในตอนนี้ได้นั่นก็คือ มีด
จอห์นสันเมื่อใช้ดาบปลายปืนแทงเข้าใส่ทหารที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว เขารีบดึงมีดออกจากร่างของข้าศึกแล้วรีบหันหลังไป แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ถูกทหารเยอรมันคนนายหนึ่งชกเข้าที่หน้าจนหน้าทิ่มล้มลงไป  ชั่วเวลานั้นจอห์นสันรีบดึงมีดที่ติดอยู่กับปลายปืนของเขาออกมา แล้วกลิ้งตัวหลบมีดของข้าศึกที่แทงลงมาได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นเขารีบใช้เท้าของเขาทีบเข้าที่ขาของทหารเยอรมันนายนั้นจนหน้าทิ่ม ช่วงวินาทีต่อมาจอห์นสันรีบใช้มีดในมือแทงเข้าที่ท้องของทหารข้าศึกคนนั้นแล้วบิด  จากนั้นก็กระชากออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่ทหารเยอรมันอีกนายหนึ่งวิ่งเข้ามาเพื่อใช้มีดที่ถืออยู่ปลิดชีพเขา แต่จอห์นสันกลับหันไปเห็นเข้าเสียก่อน และด้วยการที่จอห์นสันเคยเป็นตำรวจมาก่อน ทำให้เขาถนัดการรบระยะประชิดเป็นพิเศษ ซึ่งเมื่อทหารเยอรมันคนนั้นจ้วงแทงลงมาหมายจะปลิดชีพเขา จอห์นสันรีบหักหลบออกมาได้ทันเวลา จากนั้นจอห์นสันรีบอาศัยจังหวะชั่ววินาทีที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตั้งตัว คว้าข้อแขนของทหารนายนั้นเอาไว้แน่น แล้วจับทหารนายนั้นทุ่มลงพื้นอย่างแรง แล้วใช้มีดที่ถืออยู่แทงเข้าที่อกของข้าศึกนายนั้นจนมิดด้าม เลือดสดๆของทหารนายนั้นไหลออกมาเป็นทางยาวแล้วแน่นิ่งไป  ทันใดนั้นได้มีแขนสองข้างของใครคนหนึ่งสอดเข้ามาที่ใต้แขนของจอห์นสันแล้วล็อกแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แน่น แต่จอห์นสันพยายามดิ้นสุดกำลังจนทหารนายนั้นเซไปมา แล้วไม่นานนักทหารนายนั้นก็เริ่มเซจนแขนที่ล็อกเขาอยู่เริ่มคลายและใกล้จะหลุดออก จอห์นสันรีบใช้จังหวะนั้นฟาดศอกไปทางด้านหลัง กระแทกเข้าที่หน้าของทหารนายนั้นอย่างแรง จนทหารนายนั้นเผลอปล่อยจอห์นสันออกมา และเมื่อหลุดออกมาได้ จอห์นสันรีบใช้หัวเข่ากระแทกเข้าท้องทหารนายนั้นให้ย่อตัวแล้วใช้มีดของเขาแทงที่ท้องทหารนายนั้นจนมิดด้ามแล้วกระชากออก จากนั้นทหารนายนั้นก็ล้มลงแน่นิ่งไปอีกคน พร้อมกับที่เสียงฝีเท้าของใครอีกคนกำลังวิ่งเข้ามาทางด้านหลังของเขาอีกครั้ง !
จอห์นสันรีบหันไปเพื่อจะป้องกันตัวแต่ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว เมื่อเขาหันไปทหารเยอรมันนายหนึ่งได้กระโจนเข้าใส่เขาจนล้มลง จากนั้นทหารเยอรมันนายนั้นรีบง้างมีดที่ถืออยู่ขึ้น แล้วแทงลงมาอย่างรวดเร็ว แต่จอห์นสันสามารถตั้งสติได้ เขาคว้าแขนของทหารนายนั้นเอาไว้แน่นแล้วพยายามดันแขนของทหารนายนั้น แต่ทหารนายนั้นกลับยังคงพยายามกดมีดที่ถืออยู่ลงมาที่อกของเขา ซึ่งจอห์นสันก็ได้พยายามดันมือของทหารนายนั้นสุดแรง แต่ทันใดนั้นได้มือใครคนหนึ่งยื่นเข้ามาจิกเข้าที่ผมของทหารเยอรมันนายนั้นแล้วใช้มีดปาดคอทหารนายนั้นจนเลือดสดๆสาด ออกมาเลอะไปทั่วใบหน้าหน้าของจอห์นสันจนใบหน้าของเขาแทบจะเป็นสีแดง  จากนั้นเจ้าของมือข้างนั้นก็ได้ปล่อยมือทิ้งให้ร่างไร้วิญญาณของทหารเยอรมันนายนั้นให้ล้มลงไป แล้วยื่นมือเข้าไปฉุดแขนของจอห์นสันให้กลับลุกขึ้นมายืนอีกครั้งซึ่งทหารที่เข้ามาช่วยชีวิตของจอห์นสันเอาไว้ก็คือ  มาร์คัส นั่นเอง แต่ทันทีที่จอห์นสันลุกขึ้นมาเขาก็ถึงกับตาโตด้วยความตกใจกับภาพด้านหลังของ   มาร์คัส
“มาร์คัส ระวังข้างหลัง !”จอห์นสันตะโกนสุดเสียง เมื่อเขาเห็นทหารเยอรมันร่างยักษ์นายหนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาหาพวกเขาทั้งสอง !
มาร์คัสรีบหันไป แล้วทำท่าจะชกไปที่ทหารร่างยักษ์นายนั้น แต่ยังไม่ทันที่จอห์นสันจะได้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนมีใครบางคนกำลังวิ่งเข้ามาจากทางด้านหลัง เขารีบหันไปและภาพที่เขาเห็นคือ ทหารเยอรมันนายหนึ่งกำลังง้างมีดและเหวี่ยงมีดเล่มนั้นลงมาเพื่อปลิดชีพเขา  แต่จอห์นสันสามารถใช้มือซ้ายปัดแขนของทหารเยอรมันนายนั้นออกได้อย่างรวดเร็ว แล้วใช้เท้าถีบเข้าที่ท้องของทหารเยอรมันนายนั้นอย่างแรง จนทหารนายนั้นต้องเอามือกุมท้องด้วยความจุกและทรุดตัวลง ช่วงวินาทีนั้นจอห์นสันใช้มีดที่ถืออยู่แทงที่กลางอกทหารนายนั้นแล้วใช้เท้าทีบร่างของทหารเยอรมันนายนั้นออกไป  พร้อมกับที่เลือดสดๆของทหารเยอรมันนายนั้นพุ่งออกมาเป็นสายแล้วล้มลงนอนแน่นิ่ง      
เมื่อจัดการกับทหารข้าศึกได้แล้ว จอห์นสันรีบหันกลับไปเพื่อที่จะเข้าไปช่วยมาร์คัสจัดการกับทหารเยอรมันร่างยักษ์นายนั้น แต่ทันทีที่เขาหันกลับไป จอห์นสันกลับถูกถีบเข้าที่ท้องด้วยฝ่าเท้าขนาดใหญ่ จนเขากระเด็นล้มลงอย่างแรงแล้วไถลไปตามพื้นด้วยแรงถีบของทหารเยอรมันร่างยักษ์ ซึ่งภาพที่เขาเห็นในชั่ววูบนั้นก็คือ มาร์คัสได้ลงไปนอนกองอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
เมื่อร่างของจอห์นสันหยุดนิ่ง เขารู้สึกจุกไปทั่วทั้งท้อง เรี่ยวแรงของเขาหายไปหมดจนไม่สามารถแม้แต่จะลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นเป็นแบบนั้นทหารร่างยักษ์นายนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างชอบใจแล้วหันไปมองมาร์คัสที่กำลังนอนกัดฟันด้วยความจุกแล้วหันไปมองจอห์นสันที่กำลังจะพยายามเอามือดันพื้นให้ตัวเองให้ลุกขึ้นเหมือนกำลังพิจารณาว่า เขาจะจัดการกับใครก่อนดี ซึ่งวินาทีต่อมาทหารร่างยักษ์นายนั้นก็ตัดสินใจได้ ทหารเยอรมันร่างยักษ์คนนั้นค่อยๆเดินเข้ามาหาจอห์นสันอย่างไม่รีบไม่ร้อนพร้อมกับมีดทหารที่ซึ่งเมื่อเทียบกับร่างของคนที่ถือมันอยู่แล้ว มีดเล่มนั้นดูเล็กราวกับมีดปลอกเปลือกผลไม้ธรรมดาเล่มหนึ่ง จอห์นสันเมื่อเห็นแบบนั้น เขารีบพยายามเอามือดันพื้นเพื่อที่จะลุกขึ้นยืน แต่ด้วยความรู้สึกจุกไปทั่วทั้งร่างของเขาในตอนนี้ทำให้เขาลุกขึ้นไม่ไหว และไม่สามารถแม้แต่จะเรียกให้ทหารฝ่ายของเขาอีกสองนายให้มาช่วยได้เพราะทหารทั้งสองนายนั้น ต่างก็กำลังวุ่นวายอยู่กับการต่อสู้กับทหารเยอรมันที่เหลืออยู่ ซึ่งนั่นทำให้จอห์นสันรู้ได้ว่า เขาทำอะไรไม่ได้ นอกจากนอนเอามือกุมท้องด้วยความจุกอยู่บนพื้นราวกับคนที่กำลังนอนรอความตายที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ !
เพียงไม่กี่อึดใจทหารร่างยักษ์นายนั้นก็เดินเข้ามาจนถึงตัวจอห์นสัน แล้วค่อยๆคุกเข่าพร้อมรอยยิ้มอันสะใจที่ได้เห็นว่า ทหารที่นอนอยู่เบื้องหน้าของเขาได้หมดทางสู้แล้ว  จากนั้นทหารเยอรมันนายนั้นค่อยๆเอื้อมมือลงมาคว้าเข้าที่คอเสื้อของจอห์นสันแล้วกระชากคอเสื้อของจอห์นสันขึ้นมาเพื่อให้เขาแหงนหน้าขึ้น  ทหารนายนั้นง้างมีดขึ้นจนสูงแล้วแทงลงมา แต่จอห์นสันไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขารีบใช้มือทั้งสองข้างดันไม่ให้มีดเล่มนั้นกดลงมาถึงตัวเขา แม้มันจะสามารถป้องกันไม่ให้มีดเล่มนั้นแทงลงมาจนปลิดชีพเขาได้ แต่มือของทหารเยอรมันนายนั้นกลับยังค่อยๆกดมีดเล่มนั้นลงมาที่อกของเขาอย่างช้าๆ ซึ่งแม้จอห์นสันจะพยายามออกแรงดันสู้อย่างสุดกำลังแต่มีดเล่มนั้นกลับยังคงถูกกดลงมาจนใกล้จะถึงอกของเขาเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่เขาจะไม่สามารถสู้แรงของหทารเยอรมันนายนี้ได้ เพราะเดิมทีมาร์คัสก็มีรูปร่างใหญ่กว่าจอห์นสันอยู่แล้ว แต่รูปร่างของทหารทหารเยอรมันนายนี้กลับใหญ่ยิ่งกว่ามาร์คัสเสียอีก  จอห์นสันพยายามจะออกแรงดันให้มากยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงมากแค่ไหน มีดเล่มนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย แม้ว่าเขาอยากจะกระชากปืนพกออกมาจากซองข้างเอวขวาแล้วยิงทหารนายนี้ แต่เขารู้ดีว่าถ้าหากเขาเอามือข้างใดข้างหนึ่งออก มีดเล่มนี้จะฝังเข้าไปในร่างเขาอย่างทันทีทันใด ทหารเยอรมันนั้นนั้นยิ้มแล้วส่ายหน้าอย่างระอาความพยายามที่ไร้ประโยชน์ในการเอาตัวรอดของจอห์นสันพร้อมกับที่เขาพูดออกมาอย่างเย้ยหยัน
“Du bist sehr dumm. Niemand kann dir jetzt helfen !” (โง่จริงๆ ตอนนี้ไม่มีใครช่วยแกได้หรอก)
 ไม่กี่อึดใจหลังจากที่ทหารนายนั้นพูดจบ ในที่สุดมีดเล่มนั้นก็เข้ามาจ่อถึงอกของจอห์นสันจนเขารู้สึกว่ามันกำลังจะแทงทะลุเข้าไปในร่างของเขาแล้ว ...
แต่ทันใดนั้นเองก่อนที่มีดจะแทงทะลุร่างของจอห์นสัน เหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น …
‘ตุ้บ’ เสียงฝีเท้าเหมือนมีใครบางคนกระโดดลงมาในหลุมดังขึ้นเหนือศีรษะจองจอห์นสันเล็กน้อย และจู่ๆก็ได้มีมือซีดๆ ของใครคนคนหนึ่งคว้าเข้าที่คอของทหารเยอรมันร่างยักษ์นายนั้นอย่างแรง จนทหารนายนั้นถึงกับตาเหลือกแล้วทำมีดหลุดมือไปก่อนที่จะใช้มีดเล่มนั้นแทงเพื่อปลิดชีพของจอห์นสันสำเร็จ   ชั่ววินาทีต่อมาเจ้าของมือซีดๆข้างก็นั้นค่อยๆยกร่างของทหารเยอรมันร่างยักษ์นายนั้นชูขึ้นราวกับว่า ทหารนายนั้นไร้ซึ่งน้ำหนักซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่ามือที่มีขนาดไม่ต่างจากมือของจอห์นสันจะสามารถยกร่างชายอันใหญ่ยักษ์ของทหารนายนั้นขึ้นมาได้ราวกับผู้ใหญ่อุ้มเด็กทารกด้วยมือเพียงข้างเดียว จอห์นสันรีบตั้งสติแล้วพลิกตัว ใช้มือขวาดันพื้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นมาอีกครั้ง แล้วหันไปมองยังร่างเจ้าของมือซีดๆข้างนั้น และทันทีที่จอห์นสันได้เห็นภาพเบื้องหน้า เขาถึงกับตาค้างอย่างไม่คิดเชื่อในสายตาของตัวเอง เพราะเจ้าของมือซีดๆข้างนั้นมันคือ แดนนี่ ที่กำลังยิ้มด้วยความสะใจ ในขณะที่ทหารเยอรมันนายนั้นกำลังดิ้นทุรนทุรายราวกับคนที่หายใจไม่ออก !
เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา แดนนี่ได้กำมือที่กำลังบีบคอของทหารนายนั้นอยู่อย่างแรง พร้อมกับที่เสียงกระดูกที่แตกละเอียดดังขึ้นอย่างชัดเจน ‘กร๊อบ’ ทหารร่างยักษ์นายนั้นตาเหลือกพร้อมกับเกิดอาการกระตุกสองสามครั้งก่อนจะแน่นิ่งไปคามือของแดนนี่ เพียงชั่วอึดใจต่อมาแดนนี่ได้เหวี่ยงร่างของทหารร่างยักษ์นายนั้นลอยข้ามศีรษะของจอห์นสันไปอย่างเฉียดฉิว แล้วล่วงลงพื้น เสียงดังชัดเจนพร้อมกับที่ร่างไร้วิญญาณนั้นไถลไปตามพื้นแล้วแน่นิ่งไปในที่สุด …
“แดนนี่ แกอยู่ไหนวะ?” เสียงตะโกนด้วยความโมโหของวิลเลี่ยมดังขึ้น ทำให้จอห์นสันที่กำลังตกตะลึงกับภาพที่เห็นได้สติขึ้นมา เขาไม่มีเวลาจะมาสงสัยหรือตกใจอะไรอีก เขารีบวิ่งเข้าไปช่วยผยุงมาร์คัสที่เริ่มรู้สึกตัวให้ลุกขึ้น และเมื่อมาร์คัสเห็นซากศพของทหารเยอรมันร่างยักษ์นายนั้น เขาหลี่ตาอย่างสงสัยแล้วหันมาทางจอห์นสันที่ยืนอยู่ข้างๆ
“จอห์นสัน นายจัดการกับไอ้บ้านั่นเองเหรอ ?” มาร์คัสพูดเสียงนิ่งๆตามบุคลิกของเขาแต่ใบหน้าของเขากลับดูตกใจไม่น้อย และเมื่อเขาถามจบจอห์นสันค่อยๆหันมาทางมาร์คัสแล้วส่ายหน้าช้าๆ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงสั่นๆ
“ไม่ใช่ฉันหรอก แต่ถ้าบอก นายต้องไม่เชื่อแน่ว่าใครเป็นเป็นคนจัดการ” เมื่อจอห์นสันพูดจบ มาร์คัสไม่พูดอะไรนอกจากทำหน้านิ่งๆแล้วมองแดนนี่ด้วยหางตา ราวกับว่าเขาได้รู้แล้วว่า ใครเป็นคนสังหารทหารเยอรมันนายนั้น
“ไอ้บ้าเอ้ย แดนนี่” เสียงตะโกนของวิลเลี่ยมดังขึ้นอีกครั้ง ใกล้ๆกับปากหลุม และไม่นานต่อมาวิลเลี่ยมกับทหารอีกสี่นายก็วิ่งมาหยุดอยู่ที่ปากหลุม
“ไอ้บ้าเอ้ย แกมาอยู่ตรงนี้เองเหรอ ? แกนี่มันหาเรื่องใส่ตัวไม่เลิกจริงๆ”วิลเลี่ยมตะคอกใส่แดนนี่ที่ยืนอยู่ในสนามเพลาะห่างออกไปจากบริเวณที่มาร์คัสและจอห์นสันยืนอยู่ไม่มากนัก
“เฮอะ ไอ้พวกเจ็บไม่เจียมตัว แกอยากตายมากนักเหรอ ?” ‘ทอม’พลทหารหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันใส่   แดนนี่
“แล้วมันหนักหัว แกเหรอวะ ?” แดนนี่หันไปพูดโต้กลับด้วยเสียงแหบๆ  
ทอมเมื่อได้ยินอีกฝ่ายโต้กลับมาแบบนั้น เขาถึงกับโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขาเม้มปาก ตาโตด้วยความโกรธแล้วทำท่าจะเดินตรงเข้าไปหาแดนนี่จนทหารอีกสองนายที่ยืนใกล้ๆต้องรีบจับตัวของเขาเอาไว้ พร้อมกับที่ทหารอีกนายหนึ่งหันมาหาทอมแล้วชี้หน้า     
“แกรู้ใช่มั้ยว่า จ่าสั่งว่ายังไง แกรู้หน้าที่ดีและรู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากแกมีเรื่อง ?”ทหารคนนั้นพูดใส่ทอมที่กำลังโกรธเหมือนกับเป็นการเตือนอย่างจริงจัง พร้อมกับที่เขาหันมาออกคำสั่งที่ได้รับมาด้วยน้ำเสียงดังเด็ดขาด
“จอห์นสัน มาร์คัส  พวกนายไปช่วยแบกคนเจ็บที ทอม เบ็น  จ่าสั่งให้พวกนายไปเก็บศพ”
เมื่อได้รับคำสั่งทหารทุกนายต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน  ส่วนแดนนี่ที่กำลังบาดเจ็บได้เดินโซซัดโซเซออกมาจากสนามเพลาะตรงเข้าไปหาวิลเลี่ยมที่กำลังยืนรออยู่โดยไม่ได้สนใจสายตาของทอมที่กำลังจ้องมองเขาอย่างโกรธแค้นเลยแม้แต่น้อย
“ฉันสั่งแล้วไงว่าให้อยู่ในเต็นท์ แผลนายยังไม่หายดี ยังจะออกมาอีก” วิลเลี่ยมพูดต่อว่าที่แดนนี่ขัดคำสั่งของเขา แต่แดนนี่กลับไม่ได้ให้ความสนใจกับคำพูดเหล่านั้นเลยเพราะ ตอนนี้เขากำลังสูดดมกลิ่นหอมหวานของอะไรบางอย่าง   มันหอมจนแดนนี่แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ แดนนี่ค่อยๆเหลียวกลับไปมองทางที่มาของกลิ่นอันหอมหวาน ซึ่งมันก็คือ กลิ่นซากศพและกลิ่นคาวเลือดของทหารเยอรมันและฝ่ายอเมริกาที่นอนจมกองเลือดอยู่ แดนนี่ยืนสูดดมกลิ่นซากศพเหล่านั้นแล้วยิ้มออกมาอย่างลืมตัว โดยที่เขาไม่ได้รู้เลยว่า จอห์นสันกำลังยืนมองการกระทำแปลกๆของเขาอยู่ !
จอห์นสันยืนมองการกระทำอันแปลกประหลาดของแดนนี่อย่างเก็บอาการตกใจเอาไว้เพื่อไม่ให้ผิดสังเกต และในชั่วขณะที่เขากำลังยืนมองอยู่ เขาก็สังเกตได้ว่ามาร์คัสเองก็กำลังมองดูแดนนี่อยู่เช่นเดียวกัน แต่แววตาของมาร์คัสที่กำลังมองดูภาพเบื้องหน้าอยู่ มันดูเหมือนกับว่าเขาได้รู้ความจริงและรู้ว่าแดนนี่เป็นอะไร จอห์นสันเมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์แปลกๆมากมายติดๆกันทำให้เขาเริ่มอดทนที่จะเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ ชั่ววินาทีนั้นเขารีบหันไปทางมาร์คัสแล้วตัดสินใจ จะต้องถามมาร์คัสให้รู้ให้ได้ว่า “นายรู้ใช่มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ?”  
“ทำไม ฉันจะมาเก็บศพแทนแกด้วยวะ แดนนี่?” เสียงตะโกนถามอย่างไม่พอใจของทอมดังขึ้น ก่อนที่จอห์นสันจะได้ทันเอ่ยถาม ทำให้เขาต้องชะงักและหยุดถามทันทีพร้อมกับที่แดนนี่ได้สติ แล้วหยุดทำท่าสูดดมกลิ่นทันที
“ถ้าอยากรู้ แกก็ถามจ่าเอาเองสิวะ”แดนนี่หันมาตอบเสียงเบาๆ แล้วยิ้มให้ทอมอย่างคนที่มีชัย แล้วหันหลังเดินตามหลังวิลเลี่ยมไป
“เอาเถอะ ถือซะว่าฉันทำแทนไอ้สวะก็แล้วกัน” ทอมตะโกนต่อความยาวสาวความยืด
“เอาเถอะ ฉันมันสวะแต่แกเองก็ต่ำกว่าสวะเพราะแกทำงานแทนสวะนี่หว่า” แดนนี่ตะโกนตอบกลับด้วยเสียงเย้ยหยัยอีกครั้ง จนทอมเกิดอารมณ์โกรธจนเก็บอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ เขารีบใช้มือปัดจอห์นสันที่ยืนอยู่ข้างหน้าให้หลีกทางและเดินตรงปรี่ตามแดนนี่ไปอย่างรวดเร็ว แต่มาร์คัสจับไหล่ของเขาเอาไว้ได้ทันเสียก่อน ทอมหันหน้ามามองมาร์คัสด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจที่มีคนมาห้าม !
“อย่า นายรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีเรื่อง  อย่าทำให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้เลย” มาร์คัสพูดด้วยเสียงเรียบๆแต่ทำหน้าจริงจัง
“ชิ”ทอมทำเสียงอย่างไม่พอใจและสะบัดไหล่อย่างแรง พร้อมกับเดินจากไปอย่างไม่สบอารมณ์
“งี่เง่า พอกันเลยจริงๆ” มาร์คัสพูดพร้อมส่ายหน้าด้วยความเบื่อหน่าย
“เอาน่า มาร์คัส นายเองก็รู้ว่าสองคนนั้นมันคู่อาฆาตกัน ไม่ได้มีแค่แดนนี่คนเดียวที่นิสัยแบบนั้น ไปกันเถอะ”จอห์นสันพูดพร้อมกับตบไหล่เพื่อนให้เดินตามหลังเขามา เพื่อไปช่วยพยุงคนที่ได้รับบาดเจ็บตามคำสั่งของจ่ารอส          
ทางอีกฝั่งของสนามเพลาะทหารสี่นายกำลังช่วยกันแบกศพทหารเยอรมันออกจากหลุมเพื่อเอาไปรวมกับศพอื่นๆเหมือนที่ทำเป็นประจำหลังรบเสร็จ
 “ทางนี้จอห์นสัน ช่วยฉันหน่อย”ทหารนายหนึ่งเรียกให้จอห์นสันเข้ามาช่วยพยุงคนเจ็บไปที่เต็นท์พยาบาล ทันทีที่เห็นเขาเดินมา
“พอรู้มั้ย มีคนเจ็บกี่คน?” จอห์นสันถามทหารนายนั้นทันทีที่เข้ามาช่วยพยุงคนที่ได้รับบาดเจ็บ
“เท่าที่รู้ ตายสี่ บาดเจ็บสาม”ทหารคนนั้นพูดพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความหนักใจ จากนั้นทหารทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกแล้วพยุงทหารที่ได้รับบสดเจ็บนายนั้นไปยังเต๊นท์พยาบาล
ภายในเต็นท์พยาบาลวิลเลี่ยมกำลังดูแลทหารที่ได้รับบาดเจ็บนายหนึ่งที่กำลังส่งเสียงร้องโอดครวญอยู่บนเตียงที่ซึ่งทหารสองนายที่พยุงเขาเข้ามา ต่างต้องพากันเดินหอบออกไปหลังจากที่ต้องจัดการกับแดนนี่ที่คลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างที่ไม่มีไม่มีสาเหตุ และไม่นานนักจอห์นสันกับมาร์คัสและทหารอีกสองนายก็ได้พยุงทหารที่ได้รับบาดเจ็บอีกสองนายเข้ามา
“พาพวกเขาไปที่เตียงเลย”วิลเลี่ยมพูดขึ้นขณะที่กำลังรักษาแผลให้กับทหารที่ได้รับบาดเจ็บอย่างรู้หน้าที่
“แดนนี่ มันเป็นอะไรไป?” จอห์นสันถามขึ้นอย่างสงสัยหลังจากที่พาทหารที่ได้รับบาดเจ็บไปที่เตียง แล้วหันไปเห็นแดนนี่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียโดยมีเชือกพันรอบตัวติดอยู่กับเตียง
“อ่อ ฉันฉีดยานอนหลับให้มันเอง จู่ๆพอคนเจ็บถูกพาตัวเข้ามา มันก็มองเขาแปลกๆ เหมือนอสูรกายกระหายเลือดแล้วอยู่ดีๆมันก็บ้าขึ้นมาเอง ทำท่าวิ่งเข้ามาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเขา แต่น่าแปลกนะ ฉันกับทหารอีกสองนายพยายามเข้าไปห้ามมัน แต่มันแรงเยอะเกินกว่าขนาดตัวของมันจนฉันแทบไม่อยากจะเชื่อเลย
พวกนายเชื่อมั้ย?  มันแค่สะบัดนิดเดียวฉันก็กระเด็นแล้ว ขนาดทหารอีกสองนายเข้ามาช่วยจับมันกดลงนอนกับพื้นเอาไว้ยังแทบสู้แรงมันไม่ได้เลย แต่ยังโชคดีที่ฉันรีบอาศัยจังหวะนั้นใช้ยานอนหลับฉีดให้มัน และยิ่งไม่น่าเชื่อไปกว่านั้นนะ ฉันฉีดยานอนหลับเข้าไปแล้วมันยังดิ้นจนหลุดออกมาได้ จนทหารสองนายนั้นกระเด็นออกมาและมันยังลุกขึ้นมาได้อีกเหมือนกับยาไม่ได้ผล แต่ยังโชคดีนะ ที่มันลุกขึ้นได้ไม่นานก็ล้มลงไป ฉันเลยรีบจับมันมัดกับเตียง”  วิลเลี่ยมเล่าเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นแล้วหันกลับไปรักษาทหารที่ได้รับบาดเจ็บต่อ    
“งั้นเหรอเนี่ย” จอห์นสันพูดด้วยเสียงเรียบเฉยอย่างไม่ได้สนใจอะไรมากนักทั้งที่ความจริงแล้วเขาเองก็รู้สึกสงสัยไม่น้อย แต่มาร์คัสที่ยืนอยู่ข้างๆเขากลับมองแดนนี่ด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาความหมายได้ ซึ่งในครั้งนี้จอห์นสันไม่คิดจะถามอะไรออกไปเพราะ เขารู้ตัวดีว่าถึงแม้เขาจะสงสัยมากแค่ไหน ยังไงเขาก็ไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาอยู่ดี …
เมื่อยามราตรีมาถึง แม้ว่าในคืนนี้จอห์นสันจะไม่ต้องเข้าเวรและเขาเองก็อยากจะพักผ่อนเอาแรง แต่ด้วยในใจของเขาในตอนนี้กลับมีแต่ความสงสัยในเรื่องแปลกๆที่เกิดขึ้นและเหตุการณ์หลายๆอย่าง ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่สามารถจะทำใจให้นอนหลับได้  เขาจึงตัดสินใจที่จะเดินเล่นไปตามสนามเพลาะเพื่อทำให้ตัวเองสบายใจขึ้น ซึ่งในค่ำคืนนี้ทุกอย่างรอบกายของเขาดูเป็นปกติดีทุกอย่าง ทั้งผืนป่าและรอบๆที่มั่นของเขาดูสงบเรียบร้อย นานๆครั้งเขาจึงจะเดินสวนกับทหารที่เข้าเวรและทหาร 3 นายที่ไปฝังศพของทหารฝ่ายเขอที่เสียชีวิตในวันนี้แล้วเพิ่งกลับมา  จอห์นสันเดินไปรอบๆที่มั่นอย่างสงบจนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่แล้วทุกอย่างก็จบลง  เมื่อจอห์นสันเดินมาถึงเต็นท์พยาบาลที่มีเสียงร้องครวญครางของแดนนี่ที่ได้ยินชัดเจนดังออกมา ราวกับว่าใครบางคนกำลังรู้สึกเจ็บปวดทรมาน จอห์นสันยืนฟังเสียงร้องนั้นไดไม่นานเขาก็เริ่มยับยั้งความสงสัยเอาไว้ไม่ได้ เขาค่อยๆแง้มผ้าด้านหน้าเต็นท์ แล้วใช้สายตาแอบมองเข้าไป แล้วสิ่งที่เขาเห็นคือแดนนี่ที่ถูกมัดอยู่บนเตียง กำลังดิ้นอย่างสุดฤทธิ์พร้อมกับส่งเสียงร้องครวญครางราวกับอสูรกายคลั่ง จนวิลเลี่ยมที่กำลังดูแลทหารที่ได้บาดเจ็บคนหนึ่งอยู่หันมาตวาดเพื่อให้แดนนี่สงบลง แต่แดนนี่กลับยังคงส่งอาละวาดต่อไป  จอห์นสันถอนหายใจเฮือกใหญ่และทำท่าจะเดินออกมาจากบริเวณนั้น แต่เพียงชั่ววินาทีนั้นเอง แดนนี่ที่กำลังดิ้นอยู่ ก็สงบลงเสียเฉยๆแล้วส่งเสียงครางในลำคอเหมือนคนกำลังจะออกแรงอย่างหนัก และทันใดนั้นเองแดนนี่ได้เหวี่ยงแขนทั้งสองข้างอย่างแรงจนเชือกที่มัดเขาอยู่ขาดออกราวกับว่า มันมีแรงอันมหาศาลกระชากอย่างแรงจนขาด !
เมื่อแดนนี่หลุดออกมาจากพันธนาการได้แล้ว เขาทิ้งตัวลงจากเตียงลงมาคุกเข่าบนพื้น   วิลเลี่ยมรีบวิ่งตรงเข้าไปหาแดนนี่พร้อมกับเข็มฉีดยาในมือแต่ยังไม่ทันที่เขาจะเข้าถึงแดนนี่ แดนนี่ก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแยกเขี้ยวส่งเสียงครางแล้ววิ่งตรงไปยังทางออกจากเต็นท์อย่างรวดเร็ว จนวิลเลี่ยมต้องรีบกระโดดหลบออกมาให้พ้นทาง ส่วนจอห์นสันที่ยังคงยืนตกตะลึงกับภาพที่เกิดขึ้นอยู่ข้างนอกปากทางเข้าเต็นท์ กว่าเขาจะตั้งสติได้มันก็สายเกินกว่าจะเบี่ยงตัวหลบได้แล้ว เขาจึงถูกแดนนี่พุ่งชนเข้าอย่างจัง จนเขากระเด็นล้มลงโดยมีแดนนี่นั่งคร่อมอยู่บน และเมื่อเขาได้เห็นหน้าของแดนนี่ในระยะใกล้จนใบหน้าของเขาทั้งสองแทบจะติดกัน จอห์นสันก็แทบช็อคกับภาพที่เห็น เพราะใบหน้าของแดนนี่ที่เขาเห็น มันเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ดวงตาที่ฟ้าของแดนนี่ตอนนี้กลายเป็นสีน้ำตาล  และ ฟันที่แหลมจนดูเหมือนเขี้ยวสัตว์ป่า ทั้งแรงอันมหาศาลที่กดลงมาที่แขนขวาของเขาจนเขารู้สึก ปวดแขนราวกับว่ากระดูกแขนของเขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ  ในช่วงวินาทีนั้นจอห์นสันส่งเสียงร้องลั่นไปทั่วด้วยความเจ็บปวด ความกลัวและความตกใจอย่างสุดขีด ซึ่งนั่นได้ทำให้แดนนี่ตกใจไม่น้อยเช่นกัน แดนนี่ส่งเสียงร้องใส่หน้าของจอห์นสันด้วยความตกใจแต่เสียงนั้น มันกลับไม่ใช่เสียงร้องของมนุษย์ แต่เป็นร้องคำรามของสัตว์ป่า แดนนี่ส่งเสียงร้องแบบนั้นใส่หน้าจอห์นสันอยู่ไม่กี่วินาทีแล้วกระโดดหนีขึ้นจากสนามเพลาะ แล้ววิ่งหนีหายเข้าไปในป่าเบื้องหน้าอันมืดมิด   เมื่อแดนนี่จากไปจอห์นสันนอนตาค้างด้วยความตกใจ พร้อมกับที่เขาเริ่มรู้สึกอ่อนแรงลงเรื่อยๆจนลุกขึ้นไม่ไหว  ในทันใดนั้นทุกอย่างรอบๆตัวเขาก็เริ่มพร่ามัวไปหมด เขารู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุนคว้าง แล้วทุกอย่างก็ค่อยๆเริ่มมืดลงไปเรื่อยๆ
“จอห์นสัน นายเป็นอะไรมั้ย?”
 “จอห์นสัน...” เสียงคนเรียกชื่อของเขาดังก้องรอบๆตัวเขา พร้อมกับที่มาร์คัส วิลเลี่ยมและทหารอีกนายหนึ่ง ก้มตัวลงมาหาเขาเพื่อจะช่วยพยุงให้เขาลุกขึ้น แต่ทว่าจอห์นสันกลับรู้สึกว่า ภาพทุกอย่างที่เขาเห็นมันมืดไปหมดก่อนที่เขาจะหมดสติไป …
……………….

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
4.4 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา