เจ้าหญิงแสงจันทร์ กับ เจ้าชายสุริยะคราส
8.3
4) บทที่ 3 ผจญ จอมสลัด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 3
ผจญ จอมสลัด
กาลก่อน ณ ดินแดนของยอดบุรุษ...
เมื่อครั้งอดีตมีสามบุรุษชาตินักรบผู้ แข็งแกร่ง ผจญ ทั่ว พื้นดิน และพื้นน้ำ ทั้งสามไม่ได้ผูกสัมพันธ์กันทาง สายโลหิต หากแต่ผูกสัมพันธ์กัน ด้วยจิตใจและ วิญญาณชาตินักรบ สัญญาผูกสัมพันธ์ เป็นพี่น้อง ดังเสมือนร่วมสายโลหิตเดียวกัน จะรักและเสียสละทุกอย่างเสมือนเกิดร่วมอุทร เดียวกัน กาลต่อมาบุรุษทั้งสาม คือกษัตริย์ ผู้ครองเมืองทั้งสามได้แก่ เมืองปัจฉิมเนรดี เมืองอุดรพายัพ และเมืองทักษิณเนรดี เวลาผ่านมาความขัดแย้ง ทางการเมือง นำพาทั้งสามยอดนักรบ ต่างจับอาวุธเข้าต่อสู่กัน จวบจนเวลาล่วงเลยมาถึง...ปัจจุบัน
กษัตริย์แห่งเมืองปัจฉิมเนรดี มีโอรส สององค์นามว่า เจ้าชายอัคนี เป็นโอรส พระองค์โต เกิดจากพระมารดาที่เป็นสาวชาวบ้านไม่มี ยศฐา บรรดาศักดิ์ สกุลขุนนาง เมื่อพระโอรส ทรงพระประสูติ พระมารดาของเจ้าชายน้อยก็ทรง สิ้นพระชล ทิ้งให้องค์อัคนีผู้เป็นพระโอรส ยังไม่เจริญวัย และ ไร้ซึ่งสิทธิ แห่งบัลลังก์ เมืองปัจฉิมเนรดี เจริญเติบโตอย่างเดียวดาย ไม่ทรง ได้มีความสุขสบาย ดังแฉกเช่นพระอนุชานามว่า องค์สุริยะ ที่เกิดจากพระมารดาสกุลเก่า ขุนนาง มียศฐา บรรดาศักดิ์หลายชั่วอายุคน จึงได้รับสิทธิ แห่งกษัตริย์ เมืองปัจฉิมเนรดี สืบต่อไปในภายภาคหน้า
ถึงแม้เจ้าชายอัคนี ผู้น่าจะได้รับสิทธิแห่งบัลลังก์เมืองปัจฉิมเนรดี และต้องสูญเสียมันให้แก่พระอนุชา... เจ้าชายอัคนี ทรงย่อมรับชะตาชีวิตของตนได้ พระองค์ทรงรักพระอนุชาไม่ต่างจากทรงรักชีวิตตัวเอง แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าชายอัคนี รู้สึกอิจฉาพระอนุชามาก คือพระอนุชาได้ครอบครองดวงหฤทัย หญิงอันเป็นที่รักของพระองค์ นามของหญิงที่พระอนุชาได้ครอบครอง คือเจ้าหญิงดอกแก้วกัลยา... แห่งเมืองทักษิณเนรดี สิ่งที่เจ้าหญิงต้องการจากพระอนุชาของพระองค์ก็คือ ตำแหน่งชายา... ว่าที่ผู้สืบต่อกษัตริย์แห่งเมืองปัจฉิมเนรดี ในอนาคต หาใช่ด้วยความรักทั้งหมดไม่ หากพระองค์ทรงได้ยืนอยู่ ยังจุดที่พระอนุชาทรงยืนอยู่ หญิงอันเป็นยอดรักย่อมเลือกพระองค์แฉกเช่นที่เลือกพระอนุชาของพระองค์ เจ้าชายอัคนีทรงคิดน้อยพระทัยในความอาภัพ ขององค์เอง และโดนตอกย้ำเมื่อหญิงที่รักทรงกล่าวตัดสัมพันธ์พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงบอกความในพระทัยแก่นางผู้เป็นยอดรัก ในคืนหนึ่งเมื่อพระจันทน์ส่องแสงสว่างเต็มพื้นฟ้า เวลาต่อมาพระองค์ไม่กล้าแม้จะมองพระจันทน์แสนงามบนท้องฟ้า มันทำให้พระองค์นึกถึง คำพูดจากพระโอษฐ์นางอันเป็นยอดรัก ที่ทรงทำเจ็บซ้ำ พระองค์ไม่เคยลืมคำพูดของนางได้เลย...
“องค์อัคนี ถึงแม้ข้าจะรักท่าน แต่ข้าก็รักพระอนุชาของท่านด้วยเช่นกัน ข้าต้องการตำแหน่งชายา... ที่ท่านไม่สามารถให้แก่ข้าได้ ข้าต้องการอำนาจ เงินทอง ท่านก็ไม่สามารถมอบมันให้แก่ข้าได้อีกเช่นกัน ท่านคือเจ้าชายผู้ปราศจากยศฐา อำนาจ เงินทอง ความยิ่งใหญ่ หากท่านมีสิ่งที่ข้าต้องการเมื่อไหร่ องค์อัคนีท่านจงกลับคืนมาหาข้า และเมื่อวันนั้นมาถึงข้าจะตัดสัมพันธ์จากพระอนุชาของท่าน มาอยู่เคียงข้างท่าน ข้าหวังว่าชีวิตท่านจะมีวันนั้น...องค์อัคนี”
ด้วยความเจ็บซ้ำดวงหทัย... กาลต่อมาเจ้าชายอัคนี ทรงเสด็จออก สู่มหาสมุทร สู่พื้นน้ำสีน้ำเงิน สู่การผจญภัย เพื่อตามหาเงินทอง และความยิ่งใหญ่ โจรสลัดทั่วพื้นน้ำ ต่างรู้จักพระองค์ในนาม เจ้าชายจอมสลัด แต่ไม่มีใครหารู้ว่าอดีตของพระองค์เป็นมาเช่นไร ทุกคนรู้แต่ว่าพระองค์คือผู้ยิ่งใหญ่แห่งพื้นสมุทร....จวบจนพระองค์ได้นำเรือหลบพายุมายังเกาะร้างแห่งหนึ่ง สิ่งที่พระองค์ตามหาก็คือ ดวงจันทร์ ที่พระองค์ไม่กล้าจะมองนั้นเอง
.........................................
“ตื่นนอนได้แล้ว แสงจันทร์ ลูกแม่ เช้าแล้วนะลูก...แสงจันทร์”
“ท่านแม่ข้าตื่นนอนนานแล้ว ...ท่านแม่”
มีเสียงหัวเราะที่อ่อนโยนเหมือนเสียงนางฟ้ามันเสียงดังน่าฟัง...
“แสงจันทร์...ถ้าตื่นนอนแล้วก็ลุกมาล้างหน้าสิลูก”
“คะท่านแม่ข้าจะล้างหน้า ข้าจะหวีผม ข้าจะแต่งชุดที่สวยที่สุดของวันนี้ เลยท่านแม่”
เสียงหัวเราะแสดงความพอใจของพระมารดาเธอ ฟังจากน้ำเสียงพระมารดา...มีความสุขมาก เธอรีบตื่นนอน ทำตามที่พระมารดาต้องการ ล้างหน้าให้สะอาด หวีผมให้สวยเงางาม ในความฝันของเจ้าหญิงแสงจันทร์...
“องค์สุริยะ...สาวน้อยของเรา ลืมตาแล้ว พะยะคะ”
มันไม่ใช่เสียงของพระมารดา เป็นเสียงของผู้ชาย เธอเริ่ม รับรู้ถึงเหตุการณ์ ในชีวิตจริง เธอจำได้ว่ากระโดดลงจากเรือแล้วลอยมาพร้อมกับบุรุษสองคน เธอไม่ต้องการจะนึกถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดอีกแล้ว ...จะลืมมัน และเดินหน้าต่อไป เธอลุกขึ้นนั่ง แล้วลุกขึ้นยืนตัวตรง ...มองสำรวจตัวเองอย่างรวดเร็ว ขณะนี้เธอไม่มีผ้าพันผมแล้ว เส้นผมยาวและพันกันยุ่งเหยิง เธอเอามือลูบใบหน้า ปานดำ ของเธอก็ลอกหลุดหายไปแล้ว เธอจับที่เอว เพื่อหามีดเล่มเล็ก มันไม่อยู่ หรือมันจะหายไปในท้องทะเล มันคือของดูต่างหน้าและอาวุธชิ้นเดียวที่เธอรัก ท่านยายข้าขอโทษ เธอคิดคำขอโทษในใจ...
“หาสิ่งนี้อยู่ใช่ มั้ย สาวน้อย”
เธอหันหน้าไปยังเสียงที่ได้ยิน เธอไม่ตอบคำถามของผู้ถามคำถาม... เธอแค่พยักหน้า แล้วเดินตรงไปยังผู้ชายที่เอามีดกริช... เธอไปโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเดินไปถึงบุรุษ ตรงหน้าห่างเพียงก้าวเดียว เธอยื่นมือไปข้างหน้า ซึ่งหมายความว่า เอาของๆ ฉันมา... เขาไม่ยอมส่งมันให้เธอ เขาจ้องหน้าเธอ ไม่ได้สนใจจุดประสงค์ที่เธอเดินเข้ามาใกล้ เลย เธอพูดเสียงดังเพื่อเรียกสติ ของผู้ชายตรงหน้ากลับคืนมา
“เอามันคืนมาให้ฉัน”
หากย้อนกลับไปเมื่อวานก่อนเจอพายุร้าย... เธอจะต้องเรียกบุรุษข้างหน้าว่า...นายท่าน... เธอจะพูดกับบุรุษข้างหน้าว่าเอามีดผมคืนมาให้ผมด้วยครับ.... นายท่าน... แต่ขณะนี้เหตุการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เธอไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก ผู้ชายตรงหน้ารู้แล้วว่าเธอไม่ใช่ผู้ชาย และเธอไม่สนใจด้วยว่าเขาจะคิดกับเธอเช่นไร เจ้าหญิงคิด
“ฉันต้องการมีด ฉันคืน”
เธอพูดเสียงดังใส่บุรุษที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างหน้าอีกครั้ง และเธอมองลงไปที่หัวเข่า ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อคืน... ผู้ชายตรงหน้าเธอ ทรงตัว พยุงตัว ได้ไม่เต็มกำลังดีนัก อาจมีอาการเจ็บอยู่ไม่น้อย เธอคิด
“คุณไม่ได้ฟังฉันพูด หรือไง ส่งมันคืนมาเดียวนี้”
เธอออกคำสั่งเสียงดัง ผู้ชายตรงหน้ายังยิ้มอยู่ขณะส่งมีดเล่มเล็กคืนให้... เธอไม่ได้แสดงความขอบคุณ เมื่อได้มีดคืน...เธอเก็บมันไว้ทีเอวเหมือนเดิม เธอหันหลังกลับ แล้วมองออกไปสู่พื้นทะเลเบื่องหน้า ...มองเห็นอวนตาข่ายกับถังน้ำเปล่าและเชือกที่มัดพวกมันติดกัน ....หันซ้าย และขวา ดูสภาพแวดล้อม มันเป็นหาดทราย และที่นี้ก็คือเกาะ สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่า เธอติดอยู่บนเกาะร้าง กับผู้ชายสองคน เธอหันหน้าไปมองท่านพี่อัสรัน ที่ยืนจ้องมองเธออยู่ ด้วยความ สงสัย หรืออย่างอยากรู้อยากเห็น ผู้ชายอีกคนยืนง้อหัวเข่าเพราะกำลังเจ็บ... ตกลงว่าเธอติดเกาะกับผู้ชายสองคน หนึ่งคนแข็งแรงดี อีกหนึ่งคนพอช่วยตัวเองได้ เธอถอนหายใจ แล้วออกเดิน เธอยังไม่รู้ว่าจะเดินไปไหน เธอรู้อย่างเดียวว่าเธอต้องการอาหาร และน้ำดื่ม และน้ำสะอาดสำหรับคนเจ็บ และการรักษาอาการต่อไป
“พวกคุณมีใครเดินออกหาอาหาร และน้ำดื่มหรือยัง”
เธอถามโดยไม่ได้เจอะจงใคร แต่คนที่จะตอบได้ น่าจะเป็นท่านพี่อัสรัน ส่วนอีกคนแค่เดินยังต้องมีการพยุงให้เดินตาม ไม่น่าจะทำอย่างอื่นได้โดยเฉพาะหาอาหาร และน้ำดื่ม ไม่มีเสียงตอบจากใครเลย แม้แต่ท่านพี่อัสรัน เธอกลับหลังหันจ้องหน้าทั้งสองคนอีกครั้ง
“พวกท่านทำไม ไม่ตอบคำถามข้า”
เธอจ้องไปยังคนเดียวที่สามารถให้คำตอบได้คือท่านพี่อัสรัน ท่านพี่อัสรันไม่ตอบ ใช่การส่ายหน้าแทนคำตอบ คือยังไม่มีใครออกหาอาหาร และน้ำดื่ม เธอไม่ต้องการคาดเดาเหตุผลของผู้ชายทั้งสองคน ทำไมจึงพากันนั่งหิวโดยไม่คิดจะทำอะไรเลย เธอเลิกคิด และกลับหลังหันเดินหน้าต่อไป ยังป่าข้างหน้า ที่เต็มไปด้วยต้นมะพร้าว มีตั้งแต่ต้นที่สูงจนมองไม่เห็นลูกมะพร้าว และต้นต่ำสามารถขึ้นไปนำผลมาทานได้ แต่วันนี้เธอไม่จำเป็นต้องปีนต้นมะพร้าวเหมือนลิง เพราะพายุทำให้ต้นมะพร้าวหักกองทับถมกัน หลายสิบต้น ลูกมะพร้าวมีทั้งผลอ่อน และแก่ สามารถนำมาเจอะดื่มน้ำ และทานเนื้ออ่อนเป็นอาหารได้ เช้านี้อย่างน้อยก็มีอาหารทาน เจ้าหญิงคิด
“ท่านพี่อัสรัน ท่านมาช่วยข้าเก็บลูกมะพร้าวหน่อย”
เธอตะโกนขอร้องท่านพี่อัสรันที่เดินพยุง ชายขาเจ็บอีกคน โดยไม่ได้บอกให้คนขาเจ็บมาช่วยด้วย ชายขาเจ็บคงรู้ตัวเองดี หาที่นั่งบนต้นมะพร้าวที่หักทับกัน เหมือนเก้าอี้ที่ธรรมชาติได้สร้างไว้ให้นั่งมองเธอและท่านพี่อัสรัน...เก็บผลมะพร้าว
เมื่อได้ลูกมะพร้าวเป็นอาหารพอแล้ว มีดเล่มเล็กของเธอก็มีโอกาสที่เหมาะสมได้ใช่ ครั้งแรกที่ใช่คือผ่าลูกมะพร้าว ไม่ใช้การฆ่าคน หรือสัตว์ อย่างน้อยมันก็เป็นเรื่องดี เจ้าหญิงคิด
เธอลงมือผ่าลูกมะพร้าวด้วยมือทั้งสองข้าง แม้ท่านอัสรัน จะขอเป็นคนผ่า เธอปฏิเสธ ไม่ต้องการให้มีดเล่มเล็กของเธอแก่ใครถือในขณะนี้ แม้จะเป็นคนที่เชื่อใจมากที่สุดเช่นท่านอัสรันก็ตาม พวกเราต่างดื่มน้ำมะพร้าว และเนื้ออ่อนจนอิ่ม และเธอรู้ว่าชายสองคนมีเรื่องถามเธอมากมาย เพราะพวกเขาต่างจ้อง เธอไม่คาดสายตา เธอหลบสายตา และไม่สนใจ จนเธอทานมะพร้าวอิ่มแล้ว และพร้อมจะออกเดินทางต่อ ติดอยู่ที่ชายสองคนเท่านั้น คนแรกขาเจ็บ คนที่สองก็ไม่ต่างกัน หากเจ้านายเจ็บตัวเองก็ไปไหนไม่ได้เช่นกัน... แล้วต่อไปจะทำอย่างไร นั่งอยู่ที่เดิมแล้วกินมะพร้าวตลอดไปเลยดีมั้ย ไม่ดีแน่ เจ้าหญิงคิด ตั้งคำถามและตอบคำถามเองในใจ
“พวกเราต้องออกเดินทางต่อ หาที่พัก หาอาหารเพิ่ม พวกท่านคิดเช่นไร”
บุรุษทั้งสองเงียบและจ้องเธออีกครั้งเหมือนคนแปลกหน้า หากเธอเป็นบุรุษทั้งสองก็คงจะมีอาการแบบเดียวกัน เธอจะทำอย่างไรดี มันคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ที่จะต้องให้บุรุษทั้งสองถามคำถามที่ต้องการจะรู้ และบุรุษทั้งสองก็เหมือนจะพร้อมมานานมากแล้ว ...ติดอยู่ที่เธอเท่านั้น ที่จะพร้อมตอบคำถามเมื่อไหร่ เอาเป็นตอนนี้เลยแล้วกัน เจ้าหญิงคิด
“พวกท่านคงมีเรื่องต้องการจะถามข้า”
เธอมองไปที่นายท่าน หรือเจ้าชาย ที่ท่านอัสรัน เรียกตอนเกิดพายุ เจ้าชายคือหนุ่มรูปงาม อย่างที่พระมารดาเคยหลงรัก แต่ขณะนี้เจ้าชายตรงหน้าคือชายรูปงาม ที่เธอต้องร่วมเดินทางไปด้วย และเธอจะไม่หลงรัก ผู้ชายคนนี้... ทำไมความคิดนี้มันถึงได้เกิดขึ้นในดวงหทัย เจ้าหญิงก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ เมื่อเธอถาม .... ชายทั้งสองคนต่างพยักหน้าพร้อมกัน คนตั้งคำถามคือเจ้าชายรูปงาม
“สาวน้อย เธอคือหนุ่มน้อยที่มีปานดำน่าเกลียด นามว่า ไอ้จัน หรือ หมอจัน ใช่มั้ย”
เธอพยักหน้า เพราะคำถามนี้คนถามก็รู้แก่ใจดีอยู่แล้วเพียงต้องการคำยืนยันเท่านั้น เจ้าหญิงคิด
“แล้วขณะนี้เธอชื่ออะไร”
เธอยิ้มเล็กน้อยให้ทั้งสองคน และตอบคำถาม
“ทำไม มันถึงสำคัญนัก นายท่าน ท่านจะเรียกข้าอย่างเก่าก็ได้ หรือจะทำไม่สนใจข้าก็ได้ ไม่นานเราก็ต้องจากกันอยู่แล้ว ข้าจะชื่ออะไรมันต่างกันด้วยรึ... นายท่าน”
เจ้าชายรู้สึกจะอารมณ์เสีย เธอคิด คำถามที่ไม่ได้คำตอบ กับโดนถามกลับ เป็นใครก็คงต้องโกรธ
“ตอบเรามา สาวน้อย”
มันคือการออกคำสั่ง ที่จริงจังและต้องการคำตอบจากเธอ และจะไม่หยุดจนกว่าจะได้คำตอบ เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเธอจึงนึกชื่อกลางของเธอ “บุหลัน” มาจาก เจ้าหญิงศศิธร บุหลัน แสงจันทร์ แห่งเมืองอุดรพายัพ ทุกคำต่างมีความหมายคือดวงจันทร์
“ จะเรียกข้าว่า บุหลัน ก็ได้นายท่าน หรือจะเรียก ไอ้จัน เหมือนเดิมข้าก็ไม่ว่า”
เธอยิ้มเล็กน้อยให้ทั้งสองคน และกล่าวคำพูดต่อทันที
“ตัวข้า นายท่าน และท่านพี่อัสรัน พวกเราต่างก็รู้จักกันแค่ชื่อเท่านั้น พวกเราต่างไม่ได้สนใจจะถามประวัติ ของฝ่ายตรงข้าม และข้าก็ยังต้องการแบบนั้น... นายท่าน พวกเราเดินทางมาพบกันโดยบังเอิญ และเมื่อถึงเป้าหมายของแต่ละคน เราก็ต่างต้องแยกกันไป...พวกท่านก็อย่าได้ถามประวัติของข้า....และข้าก็จะไม่ถามพวกท่านเช่นกัน ท่านเข้าใจ ใช่มั้ย... นายท่าน”
เธอมองไปยังคนทั้งสองเมื่อพูดจบ ดูเหมือนพวกเขาจะยังไม่อยากให้จบ
“แล้วเรื่องที่เจ้าเล่าบนเรือ เจ้าโกหกด้วยหรือเปล่า สาวน้อย” เธอส่ายหน้า
“มันคือความจริงนายท่าน ข้าต้องพาท่านแม่ของข้ากลับบ้านเกิดของท่าน มันเป็นความจริง และข้าก็ไม่กล้าเอาความตายของแม่ข้ามาพูดเล่นด้วย นายท่าน”
เธอกำลังจะลุกเดินหนีจากผู้ชายทั้งสองคน แต่ยังมีคำพูดจากนายท่านดังออกมาอีก
“เจ้าคิดว่าเรื่องของพวกเรา มันคือเหตุบังเอิญ ที่สามารถเดินจากกันไปได้อย่างง่ายดายเลยหรือไง...สาวน้อย เธอช่วยชีวิตเราสองคนไว้ ข้า และอัสรัน เป็นหนี้ชีวิตเจ้า และพวกเราต้องตอบแทนเจ้า... สาวน้อย และการตอบแทนของพวกเราก็คือชีวิตที่เธอได้ช่วยไว้ เธอต้องการมันหรือไม่ สาวน้อย” เธอส่ายหน้า
“ข้าไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน.... นายท่าน และท่านก็ไม่ต้องถามเหตุผลจากข้าด้วย เพราะข้าไม่มีให้ และข้ายังยืนยันคำเดิม เมื่อเราไปถึงจุดหมาย พวกเราก็ต่างคนต่างไป”
“สาวน้อยเธอไม่ต้องการอะไรจากเราเลยหรือไง”
เธอยิ้มให้ทั้งสองคน แต่คนที่เธอยิ้มให้มากที่สุดคือท่านอัสรัน
“ข้าขอรับ แค่คำ ขอบคุณจากพวกท่าน... นายท่าน”
บุรุษทั้งสองเงียบ เธอเดาความคิดของทั้งสองคนไม่ได้ว่ากำลังคิดอะไรกันอยู่ ณ ขณะนี้เธอไม่คิดจะหาคำตอบ จากผู้ชายคนใดก็ตาม แต่อย่างน้อยก็มีหนึ่งคนที่เอยคำขอบคุณ
“ข้าขอขอบคุณ ในความกล้าหาญของเจ้า...บุหลัน”
มันคือคำพูดอ่อนโยนจากท่านพี่อัสรัน เธอยิ้มให้ และกล่าวคำพูดแบบเดียวกับที่ท่านอัสรัน กล่าวแก่เธอ
“ท่านพี่อัสรัน ข้าเห็นความกล้าหาญของท่าน ที่มีต่อเจ้านายท่าน การสละชีวิตให้แก่เจ้านาย มันคือเหตุผลของข้า ที่ไม่ต้องการให้ท่านต้องตาย การเสี่ยงชีวิตช่วยท่านไว้ พร้อมกับนายของท่าน ข้าจะรับแค่เพียง...คำขอบคุณ จากท่านในสิ่งทั้งหมดที่ข้าได้ทำแก่พวกท่านทั้งสอง และอย่าได้เอย คำใดต่ออีก ข้าต้องการแค่นี้เท่านั้นจริงๆ”
เมื่อเธอพูดจบเธอมองไปยังชายอีกคนที่ยังไม่ได้เอยคำใด แม้แต่คำขอบคุณ เธอไม่รู้ว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ในใจ หากผู้ชายตรงหน้า ไม่ต้องการขอบคุณเธอ เธอก็ไม่ ต้องการจะทวงถามเอาเช่นกัน เธอมองลงไปที่หัวเข่าที่เจ็บของผู้ชายตรงหน้า แล้วจ้องหน้าอีกครั้ง ดวงตาต่างจ้องมองกันอยู่สักครู่ เธอหลบสายตา และเอยคำพูดเพื่อทำลายสมาธิคนตรงหน้า
“หัวเข่าท่าน อาการเป็นเช่นไรบ้าง”
ผู้ชายตรงหน้า ยโส เกินกว่าจะบอกว่าข้าเจ็บปวดมาก และต้องการหมอ เขาเหมือนพระเชษฐาของเธอ ต่อให้ใกล้ตายก็จะไม่แสดงความอ่อนแอเด็ดขาด...
“ข้าขอดูอาการหน่อย ได้มั้ย”
การพยักหน้าคือการบอกตกลง เธอนั่งลงตรงหน้า มองกางเกงสกปรก ด้วยเศษหญ้า และทราย มีกากเกลือจากความเค็มของน้ำทะเลติดเป็นคลื่นสีขาว เธอพับขากางเกงขึ้นตรวจดูขาทั้งสองข้าง ผู้ชายตรงหน้าไม่ขัดขืนปล่อยตัวให้เธอดูอาการเท่าที่ต้องการ อาการไม่สาหัสมาก ใช่เวลาสอง สามวันก็เป็นปกติ เดินได้เหมือนคนธรรมดา เธอใส่ยา ที่ติดตัวมาด้วยห่อด้วยหนังอย่างดีจึงไม่เสียหายจากน้ำทะเล นำผ้าสะอาดพันแผล พันขาที่อาการสาหัสไว้ เมื่อรักษาเสร็จเธอลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินจากมา ผู้ชายขาเจ็บ เอยคำที่ติดค้างเธอไว้ออกมา เธอไม่รู้ว่าคำพูดนี้ มันรวมกับการรักษาขาที่เจ็บ หรือ ที่ได้ช่วยชีวิตไว้ เธอแค่พยักหน้ารับไว้เท่านั้น
“ขอบคุณมาก...บุหลัน”
“เราต้องเดินหาที่พัก และน้ำดื่มที่สะอาด ท่านคิดเช่นไร”
เธอมองตรงไปยังผู้ชายขาเจ็บ เขาพยักหน้าตอบรับ และเธอก็มองตรงไม่ยังท่านพี่อัสรัน ความหมายก็คือท่านพี่อัสรันคิดเช่นไร เห็นด้วยหรือไม่...ท่านพี่อัสรันตอบคำถามเธอด้วยคำพูดสั้นๆ
“เราเดินกันไปช้าๆ ได้มั้ย บุหลัน”
“อย่างนั้นก็ได้ ท่านพี่อัสรัน”
เธอยิ้มตอบรับ แล้วทั้งสองก็ลุกเดินพยุงกันตามเธอมา การเดินและหยุดพักเป็นระยะ... สุดท้ายเวลาก็ผ่านไป เรามาถึงน้ำตกแห่งหนึ่ง น้ำใสเหมือนกระจก เราต่างดื่มน้ำด้วยความกระหาย จากความเหนื่อยอ่อน ต่างคนต่างนอนพัก ที่แห่งนี้จะเป็นจุดพัก สำหรับวันนี้ทั้งวันจนกว่าจะได้กำลังกลับมา และหาทางอื่นต่อไป เธอหลับตาอีกครั้ง เธอเหนื่อย และผู้ชายสองคนก็เหนื่อยด้วย เมื่อหลับตา เธอก็ฝันอีกครั้ง ...
“เจ้าหญิงศศิธร บุหลัน แสงจันทร์ แห่งเมืองอุดรพายัพ จับดาบให้มั่น แล้วฟันมันลงมา อย่าได้ลังเล”
เจ้าชายไวยาวิน ออกคำสั่งแก่พระขนิษฐภคินี เพื่อสอนให้ เจ้าหญิงแสงจันทร์ได้รู้จักป้องกันตัว เจ้าหญิงจับดาบเข้าโจมตี พระเชษฐาอย่างที่ พระเชษฐาออกคำสั่ง แม้เธอจะสู่นานสักเท่าไร ก็ไม่สามารถปลดอาวุธของพระเชษฐาได้ เธอเหนื่อย ต้องการพักผ่อน แต่พระเชษฐาไม่ยอมหยุดโจมตี ยังคงฟันดาบลงมาที่เธอ สุดท้ายดาบในมือเธอกระเด็น หายจากมือที่อ่อนล้า เธอแพ้อีกแล้ว จะสู่อีกกี่ครั้งก็ไม่เคยชนะมาก่อน...
“ข้าแพ้ แล้วพี่ชาย”
“แสงจันทร์ น้องรัก เจ้ามีเพลงดาบที่ดี แต่เจ้ามีกำลังน้อยกว่าพี่หรือ บุรุษทุกคน การปะทะกันด้วยกำลัง เจ้าควรหลีกเลี่ยง เจ้าตัวเล็ก จงใช้ความว่องไวของเจ้า เข้าปะทะ ไม่ใช่กำลังของเจ้า เข้าใจหรือไม่ ...แสงจันทร์”
เธอพยักพระพักตร์ แล้วพระเชษฐาของเธอก็เดินทางจากไป ปล่อยเธอให้อยู่กับพระมารดา ที่บ้านริมทะเล อีกครั้ง เธอมองเรือของพระเชษฐาจากไป สู่สนามรบ อีกครั้ง จวบจน วันที่เธอเดินทางจากมา โดยปราศจากพระเชษฐาและพระบิดา ณ ดินแดนที่เธอไม่รู้จัก ....
เธอรู้สึกตัวตื่น... มีเสียงที่เธอไม่เข้าใจ เธอคิดว่า เป็นเสียงของนายท่าน หรือ ท่านพี่อัสรัน แต่ด้วยสัญชาติญาณ เธอรู้ว่าไม่ใช่คนทั้งสองแน่ บนเกาะแห่งนี้ มีคนอื่นอยู่อีกหรือไง... เธอจับเอวสัมผัสกับมีดเล่มเล็กของเธอ เตรียมต่อสู่ และป้องกันตัว เสียงเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น เธอนับก้าวเดินในใจ มีเสียงคนเดินอย่างน้อยสามคน ระยะห่างระหว่างเธอกับ ผู้บุกรุก ห่างจากเธอได้ระยะโจมตีพอดี เธอลุกขึ้น ไม่สนใจผู้บุกรุก ว่ามาดี หรือมาร้าย เธอเข้าปะทะทันที คนแรกถูกมีดเธอ อาวุธหลุดมือตกพื้น คนที่สองร้องเสียงดัง จากแผลที่เอวเลือดไหลเป็นทางอาการสาหัส คนที่สามถืออาวุธพร้อมโจมตีเธอ เธอรู้ว่าคนที่สามไม่ใช้เรื่องง่ายที่จะเอาชนะได้ เหมือนสองคนแรก เสียงต่อสู่ที่เกิดขึ้นได้ปลุก ...นายท่าน และท่านพี่อัสรัน ตื่นจากการพักผ่อน ทั้งสองมองตรงมาที่เธอ ท่านพี่อัสรันตั้งสติได้ มองผู้บุกรุกทั้งสองที่บาดเจ็บ และมองสำรวจพื้นที่ และเจออาวุธ ที่ต้องการท่านพี่อัสรันตรงเข้าหาอาวุธทันที
“มันเกิดเรื่องบ้า อะไร พวกเจ้าเป็นใคร”
ท่านพี่อัสรัน ตะโกนถามสองคนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่ห่างจากเธอ แต่ผู้บุกรุก ที่ตอบคำถามท่านพี่อัสรัน คือคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ ในมือมีดาบเตรียมพร้อมโจมตี
“พวกเราต้องการน้ำ ไม่ได้ต้องการทำร้ายใคร” ท่านพี่อัสรัน เดินตรงเข้ามาสนใจคนตรงหน้าเธอ
“พวกเจ้าเป็นบ้าหรือไง เจ้าบอกไม่ต้องการทำร้ายใคร แต่กับเดินเข้ามาหาพวกเรา โดยไม่ส่งเสียง อะไรเลย คิดว่าพวกเราจะเชื่อหรือไง”
“เราขอโทษท่านทั้งสาม เราลืมคิดข้อนี้ไป”
ท่านพี่อัสรัน ดูจะยังไม่เชื่อคนพูดนัก
“พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหน”
“เรือพวกเราหลบพายุ เมื่อคืนอยู่บนชายหาดฝั่งตรงข้าม พวกเราสูญเสียน้ำจืด จึงต้องลงเรือมาหา”
ท่านพี่อัสรันมองหน้าเธอ เหมือนจะบอกว่าถอยก่อน แล้วมองหน้า เจ้าชาย เหมือนจะบอกว่า พวกเราอาจจะรอดตายแล้วพะยะคะ... เจ้าชาย เราได้เรือออกจากเกาะแล้ว เจ้าชายพยักหน้า
“ตกลงเราเชื่อเจ้า วางอาวุธลงได้มั้ย”
คนตรงหน้านำดาบเก็บเข้าฟัก แล้วจ้องมองเธอด้วยเหตุผลอะไรเธอเดาไม่ได้ ชายตรงหน้าเดินเข้าหาคนเจ็บทั้งสองคน พวกเขาร้องเสียงดัง จากบาดแผล ที่ได้จากมีดเธอ
“ข้าเจ็บครับ...ท่านอนุ” คนที่ได้แผลที่เอวร้องบอกคนตรงหน้าเสียงสะอื่น น้ำตาไหล คนที่ถูกเรียกว่าอนุ..มองมาที่เธอเหมือนจะบอกว่าเป็นความผิดเธอ หรือเธอต้องรับผิดชอบ เธอทำไม่สนใจสายตานั้น ก็ใครให้เดินเข้ามาหาเธอเงียบๆ กัน เธอคิด
“ข้าก็เจ็บมือท่าน...อนุ” คนแรกที่โดนมีดเธอมีบาดแผลเล็กน้อย แต่มือมีเลือดไหลออกมาพอควร คนถูกเรียกว่าอนุ...มองมาที่เธออีกครั้ง เธอก็ไม่สนใจอีก แต่คนที่ ออกคำสั่งคือนายท่านผู้ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนั่งดูเหตุการณ์
“เราจะให้คนทำแผลให้เจ้าทั้งสอง”
นายท่านมองตรงมาที่เธอ ผู้บุกรุกทั้งสามก็มองตรงมาที่เธอเช่นกัน เธอไม่ต้องการเห็นเลือดใครไหลจนตายเหมือนกัน จึงเดินตรงไปยังคนเจ็บทั้งสอง ทำการใส่ยา และพันแผลให้ จนเรียบร้อย แล้วเดินกลับออกมาไม่ห่าง คนเจ็บสำรวจแผลตัวเอง ได้รับการรักษาแล้วยิ้มได้ แต่ไม่ได้ขอบคุณเธอ คงจะยังไม่พอใจเธออยู่ก็ได้ เธอคิด
“พวกท่านถามข้าว่ามาทำอะไร ที่นี้ และข้าได้ตอบท่านแล้ว แต่พวกท่านบอกข้าได้มั้ยพวกท่านมาทำอะไรกัน...” มันคือคำถามของท่าน..อนุ ที่มองตรงไปยังนายท่าน และต้องการให้นายท่านตอบคำถาม
“พวกเราเสียเรือ จากพายุเมื่อคืนเช่นกันเราดูจะแย่ กว่าท่านมาก เพราะเราไม่รู้ว่าเรือพวกเราอยู่ที่ไหน”
คนถามพยักหน้า เข้าใจความหมายคนตอบคำถาม...
“อย่างนั้น พวกท่านคงต้องการออกจากเกาะ” องค์ชายพยักพระพักตร์
“ใช่ พวกเราต้องการออกจากเกาะเพื่อตามหาเรือของเรา ท่านจะช่วยเราได้มั้ย”
“ข้าเป็นเพียงคนสนิทของนายข้า...ข้าอนุญาตพวกท่านทันทีไม่ได้ แต่หากท่านจะตามเราไปยังเรือ ข้าแน่ใจว่า นายข้าจะตอนรับท่านเป็นแขกรับเชิญ ที่ดี”
เจ้าชายไม่ได้คิดอะไรอีก การตามไปก็ดีกว่าอยู่กินมะพร้าวจนตายที่เกาะแห่งนี้ ถึงจะต้องทำงานแลกกับค่าเดินทางก็คงต้องยอม
“ตกลง ข้าจะตามท่านไป...และข้าขอขอบคุณมาก”
คนที่ได้ฟังคำขอบคุณ แค่ยิ้ม รับเท่านั้น พวกเราเดินตามคนตรงหน้าไปยังเรือ การเดินทางครั้งนี้ของเธอ จะต้องขึ้นเรืออีกสักกี่ลำ ถึงจะไปถึงจุดหมายปลายทางกัน เธอต้องการจะรู้ เธอมองเรือลำที่สองที่เธอจะอาศัย เพื่อเดินทางต่อไป มันลอยลำอยู่เบี่ยงล่าง มันคือเรือลำใหญ่เหมือนกับของนายท่าน หรือของเจ้าชาย ที่ท่านอัสรัน เรียกเมื่อเกิดพายุ...
จบบทที่ 3 บทที่ 4 รักครั้งใหม่ จอมสลัด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ