เจ้าหญิงแสงจันทร์ กับ เจ้าชายสุริยะคราส

8.3

เขียนโดย RATH

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09.59 น.

  10 ตอน
  42 วิจารณ์
  22.19K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 2 จุดเริ่มต้นการผจญภัย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

http://www.keedkean.com 

 

บทที่  2

 

 

จุดเริ่มต้นการผจญภัย

 

 

20 วัน จากการออกเดินทาง

 

 

           เธอทำงานหนักตั้งแต่เช้ามืดของวันใหม่ และสิ้นสุดที่แสงจากดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าของวันเดียวกันกับที่เธอเริ่มต้นทำงาน...  เธอต้องรักษาคนเจ็บ จากอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย จนอาการสาหัส  พวกกะลาสีเรือ มักจะมีแผลมาโชว์อวดเธอทุกวัน แผลที่ได้จากการทำงาน  แผลที่ได้จากการชกต่อย การอยู่บนเรือสิ่งหนึ่งที่ต้องเจอคือความเบื่อหน่ายของพวกกะลาสีเรือ  การชกต่อยเป็นการฝึกฝีมือเพื่อเตรียมซ้อมรบ เช่นเดียวกับการฝึกดาบ  จะได้แผลเล็ก และ แผลใหญ่ ต้องเย็บแผล หรือใช้ผันพันไว้... ตอนนี้ แผลโดนยิง ด้วยกระสุนปืน ยังไม่มีมารักษา แต่สักวัน คงมีโอกาสที่ ได้รักษาลูกเรือจากแผลโดนยิงแน่ เธอคิด

 

เวลา 20 วันเธอทำงานหนักจนไม่มีโอกาส สนใจจะมองใครแม้แต่สองหนุ่ม ที่เธอเรียกว่า...นายท่าน  เธอไม่ได้สนทนาด้วยเลย... เธอจะเห็น...นายท่าน เดินผ่านห้องผู้ป่วยอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง  ส่วนลูกน้องคู่ใจ ของนายท่านเธอจะเห็นเดินผ่านห้อง บ่อยกว่า...นายท่าน อย่างน้อยวันละสองครั้ง วันนี้การทำงานของเธอก็หมดลงคนเจ็บที่เธอรักษาก็หมดสิ้น วันนี้ เธอเดินขึ้นไปดาดฟ้าเรือเพื่อดูแสงสุดท้ายของวันนี้...มันสวยยิ่งนัก

 

พระอาทิตย์ยังไม่ลับขอบฟ้า มันเป็นแสงอาทิตย์ที่อ่อนโยนยิ่งนัก ในบรรยากาศแสงอาทิตย์โอนโยนเช่นนี้...ฝูงนกพากันบินเล่นเต็มท้องฟ้า เมื่อฝูงนกเหนื่อยอ่อน จากการบินพวกมันจะบินมาเกาะตามใบเรือ ท้ายเรือ หรือ ตามขอบกราบเรือ วันนี้เธอขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือเพื่อมองฝูงนก และมองแสงจากดวงอาทิตย์ ที่ปรากฏยังสุดขอบฟ้า เธอหลับตาลง และสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เธอทำมันอยู่สามครั้ง  สุดท้ายเธอก็ไม่ต้องการจะลืมตาอีก เปลือกตาเธอหนักมาก มันคงเกิดจากการทำงานหนักและเหนื่อย ดังนั้นเธอจึงนั่งหลับ โดยใช้กล่องลังไม้เก่าสี่เหลี่ยม ผุใกล้พังเป็นหมอนหนุนนอน แล้วเธอก็ฝันเห็นพระบิดาของเธอ และเชษฐาต่างพระมารดา กำลังตามหาเธอ และดูเหมือนพวกเขาจะโกรธ และโมโหมาก มันคงจะเกิดขึ้นเฉพาะในฝันนี้เท่านั้น...  

 

อัสรัน...วันพรุ่งนี้เราจะเข้าสู่น่านน้ำของโจรสลัด บอกให้ลูกเรือออกมาเดินยามเพิ่มขึ้นอีก เป็นสองเท่า

 

จุดหมายแรกที่เรือรบของเจ้าชายสุริยะ กำลังมุ่งหน้าตรงไปก็คือเกาะเล็กๆ ที่จะใช้หาเสบียงเพิ่ม จำพวกผลไม้ และเนื้อสด และการหาข่าวเกี่ยวกับโจรสลัดที่ออกมาก่อการปล้นเรือสำเภา ของพ่อค้า ที่ไม่ได้ติดอาวุธปืนใหญ่ จุดหมายที่มุ่งตรงไป มีกำหนดไปถึงในวันพรุ่งนี้ตอนสาย...

 

องค์สุริยะ...คืนนี้สิ่งที่เราควรระวังน่าจะเป็นพายุ และคลื่นลมมากกว่า โจรสลัดนะ พะยะคะ

 

ฤดูการของคาบสมุทรแห่งนี้จะเกิดพายุ ฝนฟ้าคะนอง ทำให้เรือพ่อค้า ต้องจมหายไปกับท้องมหาสมุทรเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับเรือรบลำใหญ่ขององค์สุริยะ จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าเรือขนาดเล็ก

 

อัสรัน...เจ้าสั่งให้พวกลูกเรือเตรียมเสื้อฝน กันน้ำ หรือพายุไว้ด้วยก็ได้

 

พะยะคะ องค์สุริยะ

 

เจ้าคิดว่าระหว่างพายุ กับ โจรสลัด เราจะพบสิ่งใดก่อนกัน ...อัสรัน

 

เจ้าชายชวนองครักษ์คู่หทัยคุย... เมื่อหาเรื่องคุยกันไม่ได้แล้ว และเจ้าชายต้องการฟังความคิดขององครักษ์คู่หทัย... แต่สิ่งที่เจ้าชายต้องการฟัง ก็คือรอยยิ้ม ที่พระองค์เคยเห็นเมื่อพระองค์ถามองครักษ์เรื่องสุริยะคราส... และมันคือคำตอบเดียวกัน พระองค์ทรงถอนพระทัย และหันไปมองสำรวจดาดฟ้าเรือโดยรอบ และเจ้าชายสุริยะ ก็พบ ไอ้จัน เด็กหนุ่ม ที่มีดวงตา ซ้อนความลับ บางอย่างไว้.... ตอนนี้พระองค์ยอมรับในความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว เด็กคนนี้เป็นหมอที่มีความสามารถ  แต่พระองค์ไม่รู้เรื่องอะไร...ของเด็กหนุ่มคนนี้เลย นอกจากเด็กบอก ว่าชื่อ จัน เท่านั้น  พ่อ แม่ ญาติ ของเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร เด็กคนนี้อายุ 18 ไม่เกิน 19 ทำไมถึงตัดสินใจออกเดินทางด้วยตัวคนเดียว จากการสังเกต เด็กหนุ่มเพิ่งเคยออกเดินทาง...ด้วยเรือเป็นครั้งแรก เขาคิดว่าเด็กหนุ่มอาจจะมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ใดสักแห่ง ที่เรือลำนี้จะพาเด็กหนุ่มไปถึง  และพระองค์ต้องการรู้

 

องค์สุริยะ...ทรงคิดอะไรอยู่ พะยะคะ

 

เจ้าชายสุริยะไม่ทรงตอบคำถาม แต่ชี้นิ้วไปยังเด็กหนุ่ม ที่มีปานดำที่หน้าด้านซ้าย นั่งหลับอยู่ข้างลังไม้ผุ ใกล้พัง องครักษ์คู่หทัยมองตามนิ้วที่ทรงชี้ไป และเข้าใจความคิดของเจ้าชายสุริยะ...

 

เจ้าคิดว่าเด็กน้อยนั้น ต้องการจะไปที่ไหน หรือ...อัสรัน

 

แล้วพระองค์ ทรงคิดอย่างไร พะยะคะ

 

อัสรัน..เมื่อข้าถามเจ้า... องครักษ์ของข้าต้องตอบคำถามข้าก่อน แล้วถึงถามคำถามข้าต่อได้

 

ไม่ละ องค์ชาย...ข้าตอบไม่ได้...หม่อมฉันไม่ต้องการเดาคำตอบผิดๆให้พระองค์ฟัง...

 

ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องไปถามจากเด็กหนุ่มนั้น มาให้ข้า...อัสรันอัสรันยิ้มและส่ายหน้า

 

ไม่ละ องค์ชาย...ข้าไม่สนใจประวัติของเด็กหนุ่มนั้น มากกว่าความสามารถของเด็กนั้น พะยะคะ ...องค์สุริยะ

 

เจ้าไม่คิดสงสัยบ้างหรือไง...อัสรัน  เด็กหนุ่มอายุแค่ 18 ไม่เกิน 19 ทำไมมีความสามารถมากมายกว่าเด็กอายุเท่ากัน หรือแก่กว่าหลายสิบปี  เมื่อข้ามองเด็กหนุ่มนั้น ครั้งแรก ข้าไม่คิดด้วยซ้ำว่าเด็กนั้น จะทำแผลเป็น ... ข้าคิดว่าเป็นเพียงข้ออ้างต้องการเดินทางมากับเรือของเราเท่านั้น  แต่เกินความคาดหมายของข้าอยู่มาก นอกจากเด็กนั้นจะเป็นหมอที่มีความสามารถแล้ว  เด็กนั้นทำงานหนักตั้งแต่เช้า จรดเย็นของทุกวัน เป็นเรื่องที่ข้าเพิ่งเคยเจอจากเด็กหนุ่มคนนี้...อัสรัน

 

ไม่ใช่แค่องค์ชายทรงคิดอยู่แค่พระองค์เดียวเท่านั้น แม้แต่ ตัวองครักษ์เองก็ต้องการรู้เช่นเดียวกัน พ่อครัว คนทำความสะอาด พวกกะลาสีเรือทุกคนก็ต้องการทราบความเป็นมาของเด็กหนุ่มนามว่า หมอจัน ด้วยกันทั้งนั้น องครักษ์หนุ่มได้รับคำถามเกือบทุกวัน ไม่จากลูกเรือ  ก็พ่อครัว และกะลาสีเรือ คำถามที่พบบ่อยคือ

 

 “ท่านอัสรัน...ท่านพาเด็กที่ไหนมาเป็นหมอประจำเรือ บอกข้าหน่อยสิ...ท่านอัสรัน

 

 เขาได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่รู้... ตอนแรกเขาคิดว่าอย่างไรก็ต้องหาหมอคนใหม่มาเพิ่มอยู่แล้วเมื่อไปถึงเมืองข้างหน้า แต่ตอนนี้ความคิดนั้น คงไม่ต้องรีบก็ได้ คอยต่อไปก่อน อีกไม่ถึงเดือนก็จะไปถึงบ้านเมืองขององค์ชายสุริยะแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ต้องการได้สิ่งใดก็ย่อมได้ยิ่งนั้น หมอเป็นสิบเป็นร้อยคน  ก็จะได้อย่างที่ต้องการ ...องครักษ์หนุ่มคิด

 

อัสรัน...ข้าถามเจ้าแต่เจ้าคิดนานมาก  ข้ารู้สึกว่าเจ้าจะไม่ค่อยได้ใช่สมองบ่อย...ช่วงนี้เลยทำให้เจ้าเป็น...อัสรัน... อีกคนที่ข้าไม่รู้จักองครักษ์ยิ้ม

 

ท่านคงอยากจะพูดว่าข้าโง่..กว่าคนที่ท่านเคยรู้จัก มากกว่า..องค์สุริยะ

 

ความหมายก็น่าจะใกล้เคียงกัน...อัสรัน

 

มันคือความหมายเดียวกัน..องค์สุริยะ

 

ข้าบอกว่าใกล้เคียง เจ้าบอกเหมือนกัน อย่างนั้นข้าจะเชื่อเจ้า...อัสรัน

 

องครักษ์ยิ้ม ในความเจ้าเลห์ แอบดูถูกองครักษ์ที่เก่งกาจอย่างเขา และต่อไปก็จะทรงบอกให้องครักษ์หาคำตอบมาให้ เป็นแน่...องครักษ์คิด

 

ตกลงว่าหม่อมฉัน จะหาคำตอบมาให้องค์สุริยะ เรื่องของเด็กหนุ่มคนนั้น  แต่พระองค์ก็ต้องยอมรับ ว่าเด็กนั้นฉลาด หากเด็กนั้นไม่ต้องการจะบอก หม่อมฉันก็จนปัญญาเหมือนกัน

 

ตกลง...อัสรัน เจ้าสอบถามได้เท่าไรก็ เท่านั้น ที่ข้าต้องการรู้ตอนนี้คือจุดหมายปลายทางที่เด็กนั้นจะเดินทางไปมากกว่า ข้ารู้สึกเป็นห่วงเด็กนั้น อย่างไรบอกไม่ถูก...อัสรัน

 

พะยะคะ  องค์สุริยะ

 

องครักษ์มองไปยังจุดที่เด็กหนุ่มนั่งหลับอยู่ องครักษ์หนุ่มมีน้องชายอายุน่าจะเท่ากับเด็กหนุ่มที่กำลังนอนหลับอยู่ที่ลังเก่าใกล้พัง องครักษ์เองต้องยอมรับว่าเด็กคนนี้แตกต่างจากน้องชายของเขามาก สิ่งที่น้องชายทำเป็นประจำทุกวันคือ การท่องเที่ยวเล่นไปวันๆ สร้างความเดือนร้อนให้กับเขา และพ่อ แม่ ให้ได้แก้ปัญหาให้เป็นประจำ เขาอยากให้น้องชาย เป็นเหมือนกับเด็กหนุ่มคนนี้แม้เพียงสักครึ่งก็ยังดี  องครักษ์หนุ่มคิด

 

องค์สุริยะ...เมื่อหม่อมฉันซักถามเด็กหนุ่มนั้น พระองค์ ก็ทำเป็นไม่สนใจ และอย่าได้ ช่วยหม่อมฉันถามเด็ดขาด มันจะทำให้ เด็กนั้น สร้างกำแพงมาป้องกันตัวจากหม่อมฉัน และสุดท้ายเราก็จะไม่ได้คำตอบที่ต้องการ

 

เจ้าชายสุริยะ... พยักหน้า แล้วยิ้มให้องครักษ์ เหมือนจะบอกแก่องครักษ์ว่า... อัสรัน คนเก่าที่พระองค์รู้จักกลับมาแล้ว

 

ตกลง...อัสรัน เราจะรอฟังอยู่เงียบๆ จะไม่สนใจเลยว่าเจ้ากับ เด็กหนุ่มนั้นคุยอะไรกัน

 

องค์สุริยะ...เรายืนรอให้เด็กหนุ่มนั้นตื่นก่อนดี มั้ย พะยะคะ

 

เจ้าชายสุริยะพยักพระพักตร์เห็นด้วย... ทั้งสองบุรุษพากันเดินไปที่กราบเรือ ฝูงนกเกาะเพื่อหยุดพักเหนื่อย ฝูงนกต่างตกใจพากันบินสู่พื้นฟ้าอีกครั้ง... คนนอนหลับอยู่ที่ลังเก่าใกล้พังก็ตกใจ ไม่ต่างจากฝูงนกที่บินขึ้นฟ้าเช่นกัน  การได้นอนหลับ ไปพักใหญ่ทำให้เจ้าหญิงแสงจันทร์ ทรงเรียกกำลังกลับคืนมาได้ บางส่วนแล้ว การลืมตาขึ้นในครั้งนี้ เจ้าหญิงทรงได้เห็น ชายสองคน ที่ทรงเจอกันครั้งแรกที่นี้ และครั้งสองก็เจอทั้งสองคนบนดาดฟ้าเรืออีกเช่นเคย...บุรุษทั้งสองไม่คิดจะแยกจากกันเลยหรือไง เจ้าหญิงคิด

 

เจ้าหญิงทรงลุกขึ้นยืนแล้วหันหลังจะเดินกลับไปยังห้องพัก เสียงทักมาจากทางด้านหลัง น่าจะเป็นเสียงของลูกน้องคู่ใจนายท่าน  เจ้าหญิงคิด

 

อยู่คุยกับเราก่อนได้หรือไม่... หมอจัน

 

เธอหันหลังกลับ แล้วพยักหน้า ตอบตกลง เธอยิ้มให้ลูกน้องคู่ใจนายท่าน เธอต้องการรู้ชื่อผู้ชายตรงหน้า เขาดูเป็นมิตร และเข้ากับคนง่าย กว่า...นายท่าน ดูจะเป็นคนถือตัว และยโส กว่าอีกคนอยู่เล็กน้อย...

 

ได้สิ พี่ชาย ข้าเรียกท่านว่า...พี่ชายได้ มั้ย และข้าก็ไม่ชินที่จะให้ใครเรียกข้าว่าหมอด้วย ข้าต้องการให้คนป่วยหรือคนไข้ของข้าเรียกข้าว่า หมอจัน...มากกว่า  ส่วน พี่ชาย ไม่ใช่คนป่วยไม่ต้องเรียกข้าว่า...หมอจัน...ก็ได้....ท่านจะรังเกียจ ที่จะบอกชื่อท่าน แก่ข้า ได้มั้ย

 

องครักษ์คู่พระทัยเจ้าชายสุริยะ...ดูจะดีใจไม่น้อยที่เด็กหนุ่มถามชื่อมันแสดงว่าเด็กหนุ่มยอมรับเขามากกว่าเจ้าชายสุริยะ... องครักษ์คิด

 

ข้าชื่อ อัสรัน  น้องชาย

 

ตกลงข้าจะเรียกท่านว่า ท่านพี่อัสรัน  ท่านก็เรียกข้าว่า น้องชายจัน หรือน้องชาย คำเดียวก็ได้ และข้าก็อยาก ให้ท่านเรียกข้า แค่คำว่า...น้องชายก็พอ ท่านพี่อัสรัน

 

ตกลง ข้าจะเรียกเจ้าแค่ คำว่า น้องชาย  เจ้าก็เรียกข้าว่า ท่านพี่ อย่างเดียว หรือจะเรียกว่าท่านพี่อัสรัน อย่างเจ้าต้องการจะเรียกก็ได้ แต่ข้าชอบจะได้ยินเจ้าเรียกข้าว่า พี่ชาย อย่างเดียวมากว่า น้องชาย

 

เจ้าหญิงแสงจันทร์รู้สึกพอใจคนตรงหน้าในความไม่ถือตัว และเป็นคนพูดง่ายๆ

 

ตกลงข้าจะเรียกท่าน แค่ พี่ชาย คำเดียวท่าน อัสรันองครักษ์หนุ่มยิ้มรับคำตอบของเจ้าหญิงแสงจันทร์

 

ท่านมีเรื่องอะไร...ต้องการคุยกับข้าหรือไม่ พี่ชายอัสรัน พยักหน้า

 

ข้าแค่ต้องการถาม เรื่องทั่วไป ของเจ้าน้องชาย เจ้าจะรังเกียจที่จะร่วมสนทนากับข้าหรือไม่ เจ้ามายืนมองฝูงนกกับข้าก็ได้

 

เจ้าหญิงแสงจันทร์พยักพระพักตร์...แล้วเดินไปยืนเอามือจับ กราบเรือไว้แล้วมองดูท้องฟ้าเมื่อแสงอาทิตย์เหลือเพียงครึ่งเดียวก่อนจะลับลาขอบฟ้า เธออยากหยุดเวลาตอนนี้ไว้อีกสักครึ่งชั่วโมงไม่อยากให้ดวงอาทิตย์ต้องจากไปแบบนี้เลย เธอรู้สึกว่ามีชายสองคนมองดูเธออย่างสงสัย และต้องการจะถาม คำถามเธอ อย่างที่เธอคิด มีคำถามจากท่านที่ อัสรัน เป็นคำถามแรก

 

เจ้าจะเดินทางไปไหน น้องชาย บอกเราได้ มั้ยเธอพยักหน้า แล้วชี้นิ้วไปยังดวงอาทิตย์ครึ่งดวง กำลังจะลาลับจากขอบฟ้า

 

ข้าจะเดินทางไปยังบ้านเกิดของแม่ข้า พี่ชาย แม่ข้ามีครอบครัวอยู่ที่นั้น ก่อนจะมาแต่งงานอยู่กินกับพ่อของข้า  ตอนนี้แม่ข้าท่านได้เดินทางไปสู่สวรรค์แล้ว ข้าจึงจะนำเถ้ากระดูกของท่านเดินทางพาท่านกับไปยังบ้านเกิด...ของแม่ข้า

 

องครักษ์หนุ่มไม่คาดว่าจะได้ฟังคำพูดที่น่าเศร้า จากเด็กหนุ่มอายุ เพียงแค่ 18 ไม่เกิน 19 ปีคนนี้ แต่อย่างไร เขาก็ต้องการจะรู้สิ่งที่เขาสงสัยอยู่อีก

 

แล้วทำไม...เจ้าไม่เดินทางมาพร้อมกับพ่อเจ้า หรือญาติ คนอื่นละ น้องชาย

 

พ่อ และแม่ข้า แยกทางกัน แม่ข้าไม่กล้าที่จะเดินทางกลับบ้านเกิดคนเดียว ท่านจึงแยกตัวมาอยู่กับข้า สองคน ที่บ้านชายทะเล ส่วนพ่อข้าก็แต่งงานมีครอบครัวใหม่ ไม่ได้สนใจข้า กับแม่ของข้า เมื่อแม่ข้าเสีย ข้าจึงตัดสินใจเดินทาง  จากมาพร้อมกับเถ้ากระดูกของแม่ข้า โดยพ่อของข้า ไม่รู้ว่าแม่ข้าได้ตายจากไปแล้ว และข้าก็ไม่ต้องการจะบอก พ่อข้าด้วย...อย่างที่ท่านเห็น ข้าเดินทาง คนเดียวและดูแลตัวเองได้ ข้าไม่ต้องการพึ่งพาใครอีกนอกจากตัวของข้าเอง...ท่านพี่ อัสรัน

 

องครักษ์หนุ่มไม่กล้าจะถามคำถามเพิ่มอีก แต่คนเล่า จ้องมองเขาด้วยสายตา เศร้า และดวงตามีน้ำใสเป็นเงาสามารถมองเห็นได้แม้มันจะไม่ไหลออกมาจากดวงตาก็ตาม...

 

ท่านพี่ต้องการรู้สิ่งใด...เพิ่มอีกหรือไม่

 

แต่คนถามไม่ใช่อัสรัน...องครักษ์คู่หทัยเจ้าชายสุริยะ  แต่เป็นเจ้าชายสุริยะเอง...

 

จุดหมายปลายทางของเจ้าคือที่ไหน... หนุ่มน้อย

 

เจ้าชายสุริยะ ทรงเปลี่ยนการเรียกชื่อของเด็กหนุ่มข้างหน้า จาก ไอ้จัน ที่เรียกในครั้งแรก เป็น ...หนุ่มน้อยแทน ทรงคิดสงสาร และเห็นใจเด็กหนุ่มตัวเล็กข้างหน้าอยู่มากที่เดียว  องครักษ์คิด

 

จุดหมายของข้าคือ เมืองปัจฉิมเนรดี แม่ข้าเกิดและโตที่นั้น  นายท่าน

 

องค์ชายสุริยะ กับองครักษ์คู่หทัย ...ต่างก็แปลกใจในความบังเอิญ เหมือนสวรรค์ได้จับเด็กหนุ่ม ให้ขึ้นมาร่วมเดินทางกับเรือลำนี้โดยแท้ หรือเด็กหนุ่มคนนี้รู้มาก่อนว่าเรือรบลำนี้มีจุดมุ่งหมายปลายทางไปยังที่แห่งใด... ก่อนจะมาขึ้นเรือ เขาแน่ใจว่ามีคนน้อยมากที่จะรู้ได้  องค์ชายคิด

 

เจ้ารู้มาก่อนหรือไม่...หนุ่มน้อยว่าเรือลำนี้จะมุ่งตรงไปยังที่แห่งใดหนุ่มน้อยส่ายหน้า

 

ข้าเพียงแต่ต้องการจะเดินทางออกจากเมืองที่ข้าจากมาเท่านั้น นายท่าน แล้วข้าก็จะหาเรือ ต่อไปยังจุดหมาย ปลายทางของข้าเอง... นายท่าน

 

เจ้ารู้มั้ย มีเรือเป็นสิบ เป็นร้อย แต่เจ้ากับเลือกเรือที่จะเดินทางไปยังเมืองที่เจ้าต้องการ เดินทางไป ได้อย่างแม่นยำ เหมือนสวรรค์ได้ให้พรวิเศษแก่เจ้าไว้หนุ่มน้อย

 

องค์สุริยะ มองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพิศวง เขาไม่เข้าใจทำไม บิดาของเด็กไม่ต้องการลูกชายฉลาดและมีความสามารถแบบนี้กัน หรืออาจจะเป็นเจ้าปานสีดำบนหน้าหนุ่มน้อย ที่ทำให้บิดาเด็กหนุ่มไม่ให้ความสนใจ องค์ชายจ้องมองปานสีดำนั้น   และคิดต้องการหาหมอให้แก่เด็กหนุ่มเพื่อกำจัดปานดำ น่าเกลียดนั้น เด็กหนุ่มคงอ่านสายตาของพระองค์ออก องค์ชายคิด

 

ข้าไม่ได้เคยคิดมาก่อนว่าเรือลำนี้จะเดินทางไปที่แห่งใด แต่ถ้ามันบังเอิญที่จะไปจนถึงจุดหมายปลายทางของข้า...ข้าก็ขอร่วมเดินทางไปกับพวกท่านด้วย ข้ารับรองว่าจะทำงานอย่างดี ส่วนค่าจ้างที่ท่านเสนอให้แก่ข้า ข้าขอปฏิเสธที่จะไม่รับ ท่านคิดเสียว่ามันเป็นค่าเดินทาง ค่าที่พัก และอาหาร  ข้าขอร้องท่านอย่าได้ปฏิเสธคำร้อง ข้าเลย... นายท่าน

 

องค์สุริยะ..ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินที่จะจ่ายให้แก่เด็กหนุ่ม แต่เมื่อเด็กหนุ่มขอร่วมเดินทางไปด้วย โดยการจ่ายค่าจ้างเป็นการทำงานแลกเป็นค่าเดินทาง กับค่าอาหาร องค์ชายคิดหนัก จึงมองไปยังองครักษ์คู่หทัย ให้ช่วยตัดสินใจแทน องครักษ์ มาลูกไม้เดิมคือส่ายหน้าอีกตามเคย...

 

หนุ่มน้อย ข้าปฏิเสธคำร้องขอของเจ้า... ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะไปยังที่แห่งใด เมื่อเจ้าถูกจ้างมาทำงานบนเรือลำนี้ เจ้าก็ได้รับสิทธิ เหมือนลูกเรือคนอื่น ข้าเลือกปฏิบัติแยกเป็นรายคนไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ดังนั้นข้าไม่สนว่าเจ้าจะไปที่ไหน ข้าสนอย่างเดียวคือเจ้าต้องรักษาคนป่วย และไม่สบายบนเรือลำนี้เท่านั้น ส่วนค่าจ้างข้าจะให้เจ้าเหมือนกับให้คนอื่นๆ เจ้าจะนำมันไปใช้ทำอะไรมันก็เรื่องของเจ้า เจ้าจะเอาไปบริจาคคนยากจนมันก็เรื่องของเจ้า...หนุ่มน้อย

 

การเดินทางของเธอครั้งนี้เธอไม่ได้คาดหวังมิตรภาพจากใครมาก่อน แต่เหมือนโชคชะตา นำเธอให้มาเจอกับผู้ชายสองคน... พวกเขาหยิบยืนน้ำใจให้แก่เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ นามว่า หมอจัน และ ไอ้จัน  แต่มันไม่ใช่...กับผู้หญิงที่ชื่อ แสงจันทร์ ค่าจ้างที่เด็กหนุ่มที่ท่านยายสร้างขึ้นมาเด็กหนุ่ม ควรจะได้ค่าตอบแทน แต่สำหรับเจ้าหญิงแสงจันทร์ เธอควรได้รับการลงโทษ ในการโกหกหลองลวง เธอจะสนใจทำไม อนาคตอย่างไร...เธอกับสองหนุ่มข้างหน้าก็ต้องหันหลังเดินจากกันไปอยู่ดี  แม้แต่พระบิดา และ พระเชษฐาต่างพระมารดา เธอยังตัดเยื่อใย เดินจากมาได้ แล้วมิตรภาพเล็กน้อยที่สองหนุ่ม หยิบยืนให้เธอ ทำไม เธอถึงจะตัดมันทิ้งไม่ได้  เจ้าหญิงคิด เธอมองหน้า... นายท่าน แล้วพยักหน้าเป็นการตอบตกลง เพื่อจะรับค่าจ้างให้แก่เด็กหนุ่มอัปลักษณ์...นามว่าไอจัน...

 

ข้าจะรับมันไว้ครับ...นายท่าน

 

นายท่านมองหน้าเธอ แล้วมองหน้า พี่ชายอัสรัน ที่ยืนอยู่ด้าน ข้างกับ...นายท่าน ทั้งสองจ้องตากันสามารถเดาความคิดของคนทั้งคู่ได้  เธอไม่ได้สนใจที่จะหามัน พวกเขาจะคิดเช่นไร ก็ตามใจ เธอมองแสงสุดท้ายของเสี้ยวดวงอาทิตย์ และฝูงนกที่บินหายไปยังดินแดนข้างหน้า เธอคิดถึงตัวเองสักวันเธอก็จะบินอย่างมีจุดหมายปลายทาง...ไม่ต่างกับนกฝูงนั้น เธอมองท้องฟ้า มีเมฆก้อนใหญ่ น่าจะมีพายุหนัก ในคืนนี้เธอคิด

 

คืนนี้จะมีพายุเข้า น้องชาย เจ้าอยู่แต่ในห้องพัก อย่าได้ออกมาด้านนอก พายุอาจจะพาเจ้าลอยหายไปในท้องทะเลได้

 

สิ่งที่ท่าน อัสรัน...บอกเธอเมื่อเธอจ้องไปที่ดวงตา มันไม่ใช่การพูดล้อเธอเล่น มันคือความจริง เธอพยักหน้า ไม่ตอบรับอะไรอีก เธอมองตรงไปยัง... นายท่านเธอสังเกต นายท่านหลายครั้ง ที่จ้องมองปานดำของเธอเหมือนจะถามเธอว่าทำไม ไม่รักษา ไอ้ปานดำน่าเกลียด หรือ ให้ข้าหาหมอให้ มั้ย เธอทำเป็นไม่สนใจ และจะไม่ตอบเมื่อ...นายท่านไม่ถาม เธอคิด

 

หนุ่มน้อย เจ้าไม่ต้องการรู้บ้างหรือไง สาเหตุที่เราเดินทางมาที่นี้

 

องค์สุริยะ...ถามหนุ่มน้อยที่กำลังมองแสงสุดท้ายที่กำลังจากลา   ของวันที่พายุกำลังก่อตัว องครักษ์ ไม่รู้เหตุผลที่เจ้าชาย...ถามเด็กหนุ่มที่ยืนข้างเขา... เจ้าชายสุริยะทรงถามเพื่ออะไร ถ้าเด็กหนุ่มต้องการรู้องค์สุริยะ จะยอมอธิบายเรื่องราวให้เด็กหนุ่มแปลกหน้าฟังอย่างนั้นหรือ มันไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเรื่องนี้มันมีส่วนในการสู่รบ เพื่อแย้งชิงเกาะสมบัติ ระหว่างสองประเทศ ทั้งสองประเทศต่างก็อ้างสิทธิในเกาะเดียวกันเป็นเวลานาน  ต่างมีหลักฐานยืนยันกรรมสิทธิ์ถือครองเกาะอันเป็นขุมเงิน ขุมทอง มันคือเกาะที่เป็นจุดศูนย์กลางที่เรือทุกลำ พ่อค้าจากทุกที ผู้คนเดินทางจากประเทศต่างๆ มากมาย มารวมตัวกัน เพื่อแลกเปลี่ยน ทุกสิ่งทุกอย่างที่หาได้ หากประเทศใดได้เกาะทองคำนี้ไป ประเทศนั้นคือมหาอำนาจ ทั้งเงินทอง และอาวุธ

 

การสู่รบของทั้งสองประเทศดำเนินมาจนสุดท้ายต่างก็สูญเสียทั้งสองฝ่าย ดังนั้นจึงทำสัญญาแบ่งเกาะออกเป็นสองส่วน แต่การแบ่งเกาะมันคือเรื่องตลกที่เกิดขึ้น... มันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย  สิ่งที่ทั้งสองประเทศต้องการก็คือ เงินรายได้จากการค้าขาย ต่างหาก การแบ่งสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ แม้แต่พระเจ้าก็ทำไม่ได้ ผลสุดท้าย เจ้าเมืองอันเป็นศัตรู ก็คิดรวมสองประเทศเป็นหนึ่งเดียว โดยการให้เจ้าชาย และเจ้าหญิงของทั้งสองอภิเษกสมรสกัน.... แต่ได้รับการปฏิเสธทันทีจากเจ้าชายสุริยะ เขาไม่รู้ว่าหากทั้งสองประเทศเกิดมีการอภิเษกกันขึ้นมาจริงปัญหามันจะแก้ได้จริงหรือไม่ แต่หากฝ่ายเจ้าเมืองยอมยกเกาะแห่งนี้ให้แก่เจ้าชายสุริยะเป็นของขวัญแต่งงาน มันก็น่าจะหยุดสงครามได้...องครักษ์คิด

 

องครักษ์หนุ่มคู่หทัย...เจ้าชายกำลังรอฟังคำตอบของหนุ่มน้อยอยู่ เขาอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มจะตอบคำถามอย่างไร... เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจคำถามของเจ้าชายด้วยซ้ำเพราะสิ่งที่เด็กหนุ่มมองคือแสงสุดท้ายของวันนี้...ที่กำลังบอกลาพื้นน้ำ และพื้นฟ้าต่างหาก แต่อย่างไรก็มีเสียงพูดจากปากของเด็กหนุ่มให้ได้ยิน เขาตั้งใจฟังคำตอบอยู่เช่นกัน

 

นายท่าน...ท่านมีเรือรบลำใหญ่ท่านมีคนบนเรือจำนวนมาก ถึงข้าไม่ถามท่าน อย่างน้อยข้าก็พอจะเดาได้ ท่านไม่ใช่พ่อค้าแน่นอน...ส่วนนายท่านจะมาทำอะไรยังที่ข้าจากมา ข้าไม่สนใจเรื่องของท่าน ข้าสนแต่ท่านจะมุ่งหน้าไปยังที่ข้าจะเดินทางไปเท่านั้น...ครับนายท่าน

 

องค์ชายจ้องมองเด็กหนุ่มประหลาด ความคิดก็ประหลาดด้วย มีคนแบบนี้อยู่จริงหรือ องค์ชายคิด

 

เจ้าแปลกดีหนุ่มน้อย เจ้าไม่ต้องการรู้ชื่อข้า เจ้าไม่ต้องการรู้ว่าข้าจะไปไหน เจ้าไม่ต้องการรู้ว่าข้ามาทำอะไร หรือบางที่ข้าคิดว่าเจ้าอาจรู้อยู่แล้ว...จึงไม่ต้องการถามข้า...หนุ่มน้อย

 

นายท่าน...เรื่องของท่านมันคือเรื่องของท่าน ข้ากับท่านเรามาพบกันโดยเหตุบังเอิญ และเมื่อข้าไปถึงจุดหมายปลายทางของข้า ท่านและข้าเราไม่มีทางได้มาพบกันอีก  ทำไมข้าถึงต้องการจะรู้เรื่องของท่านด้วย..นายท่านองค์ชายพยักหน้า

 

จริงอย่างเจ้าพูด...หนุ่มน้อย...แต่ทำไมข้ารู้สึกว่า พวกเราอาจจะไม่มีทางแยกจากกันได้ ก็ไม่รู้นะ ...หนุ่มน้อย

 

องค์ชายมองหน้าเด็กหนุ่ม แต่เด็กหนุ่มไม่ได้สนใจ แม้เจ้าชายจะจ้องหน้าอยู่ก็ตาม องครักษ์หนุ่มคิดเหมือนเจ้าชายสุริยะ เด็กหนุ่มตรงหน้า...อาจจะไม่สามารถแยกจากพวกเขาได้หรือพวกเขาเองที่ไม่สามารถแยกจากเด็กหนุ่มตรงหน้าได้กันแน่... ความรู้สึกแบบนี้ทำไมมันถึงได้เกิดขึ้นกับเขาและเจ้าชายสุริยะด้วย  องครักษ์คิดไม่ออกเช่นกัน...

 

ดวงอาทิตย์จากไปดวงจันทร์ผ่านเข้ามาและเดินทางจากไปอย่างรวดเร็ว เมฆก้อนใหญ่สีดำเข้ามาแทนที่ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ เขาคิดว่าเมฆก้อนใหญ่ในยามนี้มันช่างยิ่งใหญ่จริงๆ แม้แต่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ยังหลีกทางให้ เขาคิดอยากเป็นเหมือนเมฆก้อนใหญ่ข้างหน้านั้น....มันช่างน่ากลัวจริง

 

แสงไฟบนเรือถูกจุดให้สว่างทั่วทั้งลำ ในห้องพักบนเรือมีเทียนไข และตะเกียงจุดให้แสงสว่าง ด้านนอกเรือ จะใช้ตะเกียง และคบไฟติดไว้ตามจุดต่างๆทั่วทั้งลำ หากยามนี้ คบไฟใช้ไม่ได้อีกแล้ว  แสงไฟที่ใช้มีแต่ตะเกียงน้ำมันเท่านั้น ที่จะทนละอองน้ำจากพายุได้ องครักษ์ มององค์สุริยะ เหมือนจะบอกว่าได้เวลาแล้วเจ้าชาย... เราควรเตรียมตัวรับพายุฝนได้แล้ว องค์ชายพยักพระพักตร์...ความหมายรู้กันเพียงสองคน หนุ่มน้อยที่ยืนอยู่ด้วยพอจะคาดเดาเหตุการณ์ ได้จึงหันหลังแล้วบอกลาชายทั้งสองคน กลับไปยังห้องพัก แล้วหลังจากนั้นไม่นาน พายุฝนก็เริ่มโจมตี เรือรบลำใหญ่ ก่อความเสียหายมากมาย แม้จะมีการเตรียมตัวรับมือไว้แล้วก็ตาม

 

หมอ...ครับ ช่วยรับคนเจ็บหน่อยครับ

 

เสียงกะลาสีเรือหามปีกคนเจ็บเข้ามาเลือดแดงเต็มศรีษะ ในห้องพักเธอไม่สามารถรักษาคนเจ็บได้ เธอต้องพาคนเจ็บไปยังห้องพยาบาล เธอส่งสัญญาณบอกกะลาสีทั้งสองให้เดินตามเธอไปยังห้องพยาบาล... พวกเขาลากปีกตามเธอมา การรักษาคนเจ็บใช้เวลาไม่นานก็เรียบร้อย คนเจ็บนอนพักอยู่ที่เตียง กะลาสีที่มาด้วยนั่งเฝ้าไม่ให้คนเจ็บตกจากเตียงเพราะในห้องโยกไหวไม่ต่างกับการหมุนของลูกข่าง... เธอบอกให้กะลาสีพักอยู่ในห้องเธอจะกลับห้องเพื่อไปเอาอุปกรณ์มาเพิ่ม เมื่อถึงห้องเธอเตรียมยา ผ้าพันแผล และที่เธอจะลืมไม่ได้คือมีดที่ท่านยายมอบให้เธอไว้ เมื่อได้ครบแล้วเธอเดินกลับไปยังห้องพยาบาลอีกครั้ง ระหว่างทางเธอมองตรงไปด้านล่าง และพอจำลักษณะ ของผู้ชายสองคนได้ คนแรกคือนายท่าน และอีกคน คือ ท่านอัสรัน ทั้งสองคนพยายามยกกล่องไม้ที่กำลังจะทับกะลาสีเรือออก...

 

เจ้าชาย ระวังข้างหลัง

 

ท่านอัสรันเรียก ...นายท่านว่า...เจ้าชาย เสียงดังกว่าเสียงพายุที่โจมตีเรือรบลำใหญ่  มันฟังเหมือนเธอเรียกพระเชษฐา  ด้วยคำนี้เช่นกัน เจ้าชายไวยาวิณ  แห่งเมืองอุดรพายัพ และพระเชษฐาจะเรียกเธอว่า เจ้าหญิงศศิธร  บุหลัน  แสงจันทร์ แห่งเมืองอุดรพายัพ... มันเป็นการเล่นคำที่เกินจริงของพระเชษฐา แต่เมื่อยามอยู่กันตามลำพังพระเชษฐา...เธอจะเรียกเธอ เจ้าหญิงแสงจันทร์  เธอเดินจากพระเชษฐาที่เป็น...เจ้าชาย แต่สุดท้ายแล้วเธอก็หนี มาเจอกับ...เจ้าชายอีกคนจนได้ แล้วบุรุษด้านล่างเป็นเจ้าชายเมืองไหนกันนะ... เจ้าหญิงคิด

 

อัสรัน ระวัง

 

ท่านอัสรัน ไม่รู้ว่าเจ้าชายตะโกนให้ระวังอะไร ข้างหน้า หรือข้างหลัง กว่าจะรู้ถังไม้ผุใกล้พังได้จู่โจมเข้าเต็มตัวของท่านอัสรันเหมือนโดนยิงด้วย กระสุนปืนใหญ่ใส่ ท่านอัสรันลอยตามแรงพายุกระเด็นออกนอกลำเรือข้างล่างคือมหาสมุทร ที่เป็นที่อยู่ของนางเงือกในเทพนิยาย แต่ในยามนี้มันคือที่อยู่ของฝูงปลา ในชั่วพริบตาเจ้าชายกระโดดจับมือท่านอัสรันไว้ได้

 

อัสรัน จับไว้

 

เจ้าชายต้องใช้แรงดึงท่านอัสรันไว้ และยังต้องต่อสู่กับพายุ และถังไม้ที่พุ่งโจมตีใส่รอบด้าน

 

องค์สุริยะ...ปล่อยมือหม่อมฉันเดียวนี้ พะยะคะ

 

องค์ชายส่ายหน้า แต่องครักษ์ปล่อยมือจากเจ้าชายสุริยะ...เสียแล้ว

 

อย่าปล่อยมืออัสรัน...  อย่าปล่อยมืออัสรันเสียงตะโกนจากเจ้าชายดังซ้ำๆ กัน แต่...

 

องครักษ์ส่ายหน้าเตรียมตัวที่จะตกลงไปยังมหาสมุทรเบื่องล่างแล้ว... ท่านอัสรัน อาจจะคิดถูกก็ได้ที่ปล่อยมือจากเจ้าชาย เพราะลังไม้กำลังตรงเข้าโจมตีคนทั้งสองโดยเฉพาะคนบนเรือคือเจ้าชายเอง... ลังไม้กระแทกเข้าที่ขาทั้งสองข้าง เจ้าชายตกลงไปสู่มหาสมุทรพร้อมกับท่านพี่อัสรัน พวกกะลาสีเรือต่างวิ่ง และตะโกน แต่ไม่มีใครกระโดดลงไปช่วย เธอมองไปรอบตัว เธอเห็นอวนตาข่ายสำหรับจับปลา และถังไม้เปล่าที่อุดรูไว้สามารถลอยน้ำ...ได้เหมือนห่วงยาง  เชือกเส้นยาว เธอนำถังไม้ใส่ในตาข่ายมัดด้วยเชือกแล้วลากไปที่กราบเรือแล้วโยนเชือกให้แก่ท่านพี่อัสรันจับ แต่ท่านอัสรันไม่สามารถจับได้เพราะกำลังช่วยพยุงเจ้าชายไว้ไม่ให้จมน้ำ...

 

เธอตัดสินใจมัดเชือกไว้กับเอว กระโดดว่ายน้ำเข้าหาท่านพี่อัสรัน เชือกไปไม่ถึง เธอตะโกนให้กะลาสีเรือโยนถังไม้ที่ผูกติดกับอวนและเชือกตามลงมา กะลาสีเรือทำตามทันที ขณะถังไม้ลอยตามหลัง เธอว่ายน้ำเข้าไปใกล้ผู้ชายทั้งสองคน ท่านพี่อัสรันจับเชือกไว้ เธอดึงถังไม้สองถังที่ผูกติดกับอวนเข้ามาหาชายทั้งสอง เจ้าชายไม่สามารถว่ายน้ำได้เพราะเจ็บขา จึงกอดถังไม้เก่าลอยตัวเหมือนห่วงยาง ท่านอัสรันและเธอเอง หมดแรงเกาะถังไว้เช่นกัน ระยะห่างระหว่างเรือ กับถังไม้ขณะนี้ แถบจะมองไม่เห็นแล้ว พวกเราปล่อยให้กระแสน้ำพาไป  พวกเราไม่รู้ว่า  จะไปหยุด ณ ที่แห่งใด เธอไม่คิดเลย สุดท้ายแล้วก็ต้องมาติดอยู่กับผู้ชายสองคน เธอหลับตา ปล่อยให้เวลาผ่านไป เธอคิดถึงพระมารดา ท่านแม่ได้โปรดนำทางลูกด้วย...แล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

จบบทที่ ติดตามบทที่ 3 ผจญ จอมสลัด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา