เจ้าหญิงแสงจันทร์ กับ เจ้าชายสุริยะคราส

8.3

เขียนโดย RATH

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09.59 น.

  10 ตอน
  42 วิจารณ์
  22.19K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ 4 รักครั้งใหม่ จอมสลัด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

http://www.keedkean.com

 

บทที่ 4

  

 

รักครั้งใหม่ จอมสลัด

  

 

  เมืองอุดรพายัพ 

  

 

              ข้าคือกษัตริย์ผู้ปกครองประเทศ ข้าดูแลประชาชนของข้าเหมือนลูก ที่ข้าให้กำเนิด ประชาชนของข้าอยู่อย่างมีความสุข ประเทศเจริญรุ่งเรือง แม้ข้าจะออกศึกสงคราม สูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ชีวิตมากมาย แต่ทั้งหมดก็เพื่อลูกๆ ของข้าทั้งสิ้น  แต่ในยามนี้ทำไม ข้าถึงได้เศร้าใจนัก... 

 

               ข้ามีราชวังหลังใหญ่ ข้ามีชายา แสนงามด้วยกันสองนาง ข้ามีพระโอรส และพระธิดา... ชีวิตข้าไม่ควรจะเศร้าอย่างนี้ ข้าทำผิดสิ่งใด... ใครก็ได้ช่วยตอบข้าที... ข้ายืนมองท้องทะเลยามเย็น 20 วันหลังจากพระธิดา...ข้าและพระมารดาของนางเดินทางจากไป พระธิดาแสนสวยองค์น้อย กับพระมารดาผู้เดินทางไปยังสรวงสวรรค์ แล้วพระธิดาข้าเล่านางเดินทางไปยังที่แห่งใด ข้ายืนคิด และเศร้าดวงหฤทัย ณ บ้านริมทะเลของชายา และพระธิดาของข้า

 

              สิ่งที่ข้ากลัว ไม่ใช่เรื่องของพระธิดาข้าเพียงอย่างเดียว มันยังมีเรื่องโอรส...องค์คนโตข้า ที่มีนามว่า เจ้าชายไวยาวิณ  แห่งเมืองอุดรพายัพ  ข้ารู้ว่าในฐานะพระบิดาของโอรสและพระธิดา...ข้าบกพร่องในการเอาใจใส่ดูแล เวลาของข้าคือการทำศึกสงคราม พระธิดาข้าใช้ชีวิตอยู่กับพระมารดาที่มีสุขภาพอ่อนแอ ข้าจึงคาดว่าพระธิดาของข้า...คงมีนิสัยแบบเดียวกับพระมารดาของนาง แต่ข้าอาจจะคิดผิด...  

 

              พระโอรสองค์โตของข้า คือปริศนาในดวงหทัยข้า และประชาชนทั้งหมดในประเทศ ร่วมถึงพระมารดาโอรสข้าด้วย เราไม่สามารถเข้าถึงจิตใจโอรสของเราได้ เจ้าชายไวยาวิณ ลูกข้า... เมื่อยังทรงพระเยาว์ ไม่เคยร้องขอสิ่งใดจากผู้ใค และไม่เคยมอบสิ่งใด ให้แก่ผู้ใคมาก่อนเช่นกัน... เป็นเจ้าชาย ของผู้นำตลอดมา แข็งแกร่งในเชิงรบ ชำนาญอาวุธทุกชนิด เป็นนักวางแผนผู้ชาญฉลาด เมื่อยามออกศึกไม่เคยพ่ายแพ้ต่อใครหรือผู้ใด...   

 

            แต่มีสิ่งหนึ่ง ที่โอรสของข้าพ่ายแพ้ และไม่มีวันจะชนะได้ มันคือหัวใจรัก...ภักดีต่อพระขนิษฐภคินี...ที่มีนามว่า เจ้าหญิงแสงจันทร์ ลูกข้าห่วงแหน รักดังชีวิต และไม่มีวันมอบ พระขนิษฐภคินี...ให้กับผู้ใด...แต่สุดท้ายข้าก็คิดผิด 

 

 

เมื่อ 20 วันที่แล้วโอรสของข้ายอม ที่จะมอบดวงหฤทัย...สุดรัก เพียงชิ้นเดียว... ที่ข้าคิดว่าในชีวิตนี้ โอรสข้าจะไม่ยอมสละมันให้แก่ใคร... การยกพระขนิษฐภคินี...สุดรักและห่วงแหน อภิเษกสมรสกับ เจ้าชายสุริยะ แห่งเมืองปัจฉิมเนรดี เป็นครั้งเดียวที่ข้าได้เห็นโอรสของข้ายอมที่จะมอบอะไร... ให้แก่ใครอื่น แม้แต่ลูกสุนัข หรือลูกแมวน้อย...ข้ายังไม่เคยเห็นโอรสของข้ามอบมันให้แก่ผู้ใด... แต่ครั้งนี้โอรสของข้า ยอมมอบพระขนิษฐภคินี...ให้แก่เจ้าชายเมืองศัตรู เพื่อที่จะยุติสงคราม ทำให้บ้านเมืองสงบสุข ชายาผู้อ่อนแอของข้าและพระธิดา...จะสามารถเดินทางกลับยังบ้านเกิดของนางได้... แต่มันก็สายเกินไป เจ้าชายสุริยะ ปฏิเสธการอภิเษก และพระมารดาของพระธิดาของข้าก็สวรรคต เดินทางสู่สรวงสรรค์  พระธิดาของข้าพาเถ้ากระดูกพระมารดา ไปยังบ้านเกิด แทนที่จะกลับไปเมื่อยังมีชีวิต...

 

             ข้าไม่รู้ว่าระหว่างเจ้าชายสุริยะ หรือ โอรสของข้า เจ้าชายไวยาวิณ ผู้ใดเป็นผู้สูญเสียโอกาสเพียงครั้งเดียวกันแน่...  โอรสข้า มอบโอกาสนั้นให้... มันคือโอกาสเดียว และมันจะไม่มีวันเกิดขึ้นอีก แม้เจ้าเมืองปัจฉิมเนรดีผู้เป็นกษัตริย์ เสด็จมาสู่ขอด้วยตนเอง... ก็ไม่มีวันที่ โอรสของข้า จะยอมยกพระขนิษฐภคินี...ให้ใครได้อีก...แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้ารู้ว่ามันจะเกิดขึ้น นั้นคือความโกรธ อันเป็นนิสัยของโอรสของข้า การเสียหน้าครั้งแรกในชีวิต ...และมันอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสงครามระหว่างโอรสของข้าและเจ้าชายสุริยะจากเดิมโอรสของข้าต้องทำศึกกับเจ้าชายอัคนี อันเป็นพระเชษฐาของเจ้าชายสุริยะอยู่ ก่อนแล้ว ครั้งนี้โอรสของข้า... รวมทั้งสองเจ้าชายเป็นศึกอันเดียวกันเป็นแน่....ข้าไม่รู้ว่าสงครามครั้งนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ ข้าเพียงหวังให้โอรสและพระธิดาของข้าปลอดภัย ข้าไม่รู้ว่าโอรสข้าหาพระขนิษฐภคินี...พบแล้วหรือยัง โอรสข้าออกเรือตามไปหลายวัน...คงได้พบกันอีกไม่นาน  ข้าคิด  ข้าคือกษัตริย์ แห่ง เมืองอุดรพายัพ  ข้ายืนรออย่างเศร้าดวงหฤทัยยิ่งนัก...

  

 

..............................................

 

ณ เรือเจ้าชายอัคนี

 

              พายุนำเรือของพระองค์ มาถึงเกาะร้างผู้คน ก่อน ที่จะเจอพายุร้าย พระองค์ทรงหลบหนี มาจากเรือรบของเจ้าชายไวยาวิณ พระองค์ถูกเจ้าชายไวยาวิณ หมายหัวไว้เป็นเวลานาน 2 ปี สาเหตุพระองค์ลอบโจมตีเรือรบ ฝ่ายเจ้าชายจมสู่มหาสมุทรหลายสิบลำ พระองค์ปฏิบัติการโจมตีทุกครั้ง ในนาม เจ้าชายจอมสลัด แต่สำหรับองค์ไวยาวิณ ผู้เป็นเจ้าแห่งพื้นดิน และพื้นน้ำ องค์ไวยาวิณ รู้แก่ใจเป็นฝีมือ เจ้าชายอัคนี คือตัวข้าเอง... เป็นเวลานานสองปี เจ้าชายไวยาวิณ ได้ตั้งค่าหัวให้แก่พระองค์ เป็นทองคำสองหีบใหญ่... เรือรบทั่วพื้นมหาสมุทรต่างต้องการชีวิตพระองค์ ที่มีนามว่า เจ้าชายจอมสลัด...

 

          ครั้งนี้พระองค์หนีรอดมาได้ พระเจ้าบนสวรรค์ ส่งพายุเข้าโจมตีแยกเรือรบหลายลำออกจากกัน เรือพระองค์ถูกส่งมายังเกาะร้างห่างไกล จากเรือทั้งหมด  วันนี้พระองค์สบายใจ ยืนมองพื้นทะเลยามบ่ายแดดอ่อน หลังพายุร้ายผ่านไป ที่แห่งนี้มันช่างน่าอยู่ยิ่งนัก พระองค์คิด  มีนกหลายชนิดบินเล่นแสงแดดยามบ่าย ป่าบนเกาะมีสัตว์หลายชนิดวิ่งเล่น  พระองค์สามารถจับมาเป็นเสบียงต่อชีวิตเมื่อยามออกเรือสู่ทะเลอีกครั้งได้...

 

          วันนี้พระองค์ยืนเล่นบนดาดฟ้าเรือ อย่างสบายพระทัย พร้อมกับบริวารตัวน้อยนามว่า ความหวังพระองค์ทรงยิ้มทุกครั้งเมื่อเห็นมันวิ่งรอบตัวของพระองค์ และทุกครั้งมันจะมาหยุดอยู่ที่ไหล่ เหมือนมันจะบอกพระองค์ว่า มีคนมาแล้วนะ  หรือ มีศัตรูมาใกล้ถึงแล้ว มันคือยามที่ดีของพระองค์ มันคือ กระรอกแคะตัวน้อย มันเป็นเพื่อนของพระองค์มาสามปี ประวัติของมันมีอยู่ว่า...

 

          มีนักเล่านิทานชาวเมืองปัจฉิมเนรดี เป็นเจ้าของพ่อแม่ของมัน เมื่อมันยังเล็กได้สองเดือน...นักเล่านิทานได้ยกมันให้แก่พระองค์ บอกแก่พระองค์ว่ามันมีชื่อว่า ความหวังมันจะพาพระองค์ไปพบความรักครั้งใหม่  พระองค์ยิ้มทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ นักเล่านิทาน คงสงสารพระองค์ ที่พระองค์จมอยู่ในความความเศร้า เสียใจ เมื่อต้องเสียนาง อันเป็นยอดรัก.. คนเล่านิทานมอบมันให้เป็นเพื่อน มันทำให้พระองค์ทรงมีความสุข  แม้ว่ามันจะมีความหวัง หรือไม่มีก็ตาม อย่างน้อยพระองค์ก็มีเพื่อนตัวน้อย...

 

พระองค์หยิบมีดกริช เล่มเล็กลักษณะเหมือนเปลวไฟ สีดำเป็นนิล ออกมาจ้องมอง เมื่อยามมีความสุข มันเป็นอีกชิ้นที่นักเล่านิทานได้มอบให้แก่พระองค์ และมันคือสาเหตุ ที่ทำให้พระองค์ออกสู่มหาสมุทร ในนามจอมสลัด ประวัติของมีดกริชมีว่ากริชแห่งกุญแจมันมีด้วยกันสองเล่ม มันได้บันทึกเรื่องราวของผู้สร้างกริชทั้งสองเล่มไว้ และกริชทั้งสองจะพาผู้ครอบครองไปยังต้นกำเนิดแห่งผู้สร้างกริช ผู้ใดสามารถไปถึง จะได้ครอบครอง ทรัพย์สมบัติ อันมหาศาล...พระองค์ทรงยิ้มเมื่อเวลาผ่านไป...แต่ในยามที่พระองค์ทรงสิ้นหวังมันคือสิ่งเดียวที่พระองค์ต้องการจะออกตามหา...เวลาผ่านมาสามปีอย่างน้อยพระองค์ก็ต้องขอบใจ นักเล่านิทานที่ทำให้พระองค์ผ่านเรื่องเสียพระทัย และเศร้าพระทัยมาได้ และพระองค์ไม่ได้สนใจกริชแห่งกุญแจ... ของนักเล่านิทานอีกแล้ว....เพราะมันคือเรื่องโกหก ของนักเล่านิทานเล่าแก่พระองค์ เพราะกริชเล่มที่สองไม่มีทางมีอยู่จริง  พระองค์ทรงยิ้มเมื่อคิดถึงเรื่องราวความหลัง...

 

 

เจ้ามีเรื่องอะไร รายงานข้า... ความหวัง ตัวน้อย

 

พระองค์เอานิ้วลูปหัวมันหางมันงอโค้ง ด้วยความสุข  เมื่อพระองค์หยุดลูป มันจะยืนสองขาจ้องมองพระองค์ เหมือนต้องการรายงานข่าวที่ได้พบ... พระองค์ยิ้ม และทำไม่สนใจ มันกระโดดลงจากไหล่และวิ่งหนีไป พระองค์รู้ว่าอีกไม่นานมันจะวิ่งกลับมา พระองค์สนใจมองธรรมชาติเบี่ยงหน้าต่อไป  เวลาผ่านไปเจ้ากระรอก ตัวน้อยวิ่งกลับมาหาพระองค์อีกครั้ง พระองค์ถามคำถามเดิมแก่มันอีกครั้ง...

 

เจ้าจะมารายงานอะไรข้าอีกหรือไง...เจ้าความหวัง ตัวน้อย

 

มันยืนสองขาและหันหน้าไปด้านหลัง  บันไดขึ้นสู่ดาดฟ้าเรือ พระองค์กลับหลังหันมองตามสายตากระรอกตัวน้อย...คนแรกที่เจ้าชายมองเห็นคือสหายคู่ใจ นามว่าอนุ...และยังมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกสามคน สภาพสกปรก เหมือนขอทาน  อีกสองคนตามขึ้นมาคือกะลาสีเรือสภาพบาดเจ็บ  มันเกิดอะไรกันขึ้น พระองค์คิดและมองไปยังท่านอนุ...ท่านอนุเดินเข้ามาใกล้ หลบกำบังให้สามารถมองแขก...ไม่ได้รับเชิญอย่างชัดเจน...ความแปลกใจ ตกใจ บังเกิดแก่เจ้าของเรือ และแขกไม่ได้รับเชิญ เสียงแขกไม่ได้รับเชิญพูดขึ้นก่อน...

 

ท่านพี่อัคนี...เสียงเจ้าชายสุริยะพูดขึ้นอย่างตกใจ และดีใจ

 

องค์อัคนี...เสียงองครักษ์องค์สุริยะร้องอย่างดีใจ และขอบคุณสวรรค์อยู่ในใจ

 

น้องพี่...

 

เจ้าชายอัคนีเดินเข้าหา พระอนุชาและกอดไว้อย่างดีใจ เช่นเดียวกันพระอนุชา...กอดตอบรับพระเชษฐา...ด้วยความคิดถึงตลอดเวลาสามปี ที่พระองค์พยายามตามหาพระเชษฐา สุดท้ายพายุร้ายนำพระองค์ให้ได้มาพบพระพักตร์พระเชษฐา...อย่างไม่คาดฝัน แขนสองข้างที่กอดกันไว้และ ถูกคายออกต่างคนก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวและมองพระพักตร์กันและกันใช้ชัดเจน...มีคำพูดมากมายที่จะสอบถามและเล่าสู่กันฟังแต่มันไม่ใช่ตอนนี้  องค์อัคนีคิด

 

เจ้าชายอัคนีมองไปยังองครักษ์คู่หทัยพระอนุชา...แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ไม่ทรงได้พูดอะไรด้วย แต่ในสายตาบอกแก่องครักษ์ว่าเราจะได้พูดและสนทนากันแน่ องครักษ์พยักหน้า เข้าใจสายตาองค์อัคนี และยิ้มตอบสายตานั้น...

 

องค์อัคนีมองต่อไปยังสาวน้อยผมยาวสีดำ ดวงหน้าขาวผ่องดังแสงจันทร์ ดวงตาลึกลับ สีดำ ดังนิล หากสาวน้อยอยู่ในชุดหญิงสาวอย่างผู้ดี... ไม่ใช่เสื้อผ้าสกปรก เหมือนกะลาสีเรือ สาวน้อยตรงหน้าคือหญิงงามเป็นหนึ่งไม่มีสอง...พระองค์คิด

 

กระรอกน้อย นามว่าความหวัง สหายรักของพระองค์ กระโดดวิ่งเข้าหาสาวน้อยตรงหน้า พระองค์เห็นความแปลกใจ ไม่ใช่ความตกใจกลัวของสาวน้อย  เพราะสาวน้อยตรงหน้า  ยิ้มรับการมาของสหายรักของพระองค์ มันกระโดดขึ้นเกาะที่ไหล่สาวน้อย...หญิงสาวตรงหน้ายิ้มอย่างดีใจ รอยยิ้มที่สดใสน่ารัก ไม่มีใครบนพื้นปฐพี... จะไม่หลงรอยยิ้ม แห่งสาวน้อยตรงหน้าได้...พระองค์คิด... ปีศาจจากขุมนรกก็คง...ต้องมนต์สะกดแห่งรอยยิ้มแห่งนาง ตรงหน้านี้แน่...มนต์สะกดจากรอยยิ้ม ทำให้พระองค์คิดถึงคำพูดของนักเล่านิทานเมื่อสามปีก่อน

 

กระรอกน้อยตัวนี้ มันมีชื่อว่า ความหวัง... มันจะพาองค์ชายไปสู่ความรักครั้งใหม่ของท่าน... ท่านจะต้องมนต์สะกดแห่งรอยยิ้ม ของนางที่ท่านพบ ท่านจงจำไว้...นั้น...ต่างหากคือรักแท้ ของท่าน ไม่ใช่รักแรกที่ท่านเดินจากไป

 

พระองค์หยุดคิด เรื่องโกหกที่นักเล่านิทานพูดปลอบใจพระองค์ แล้วมองไปยังคนรอบข้าง ทุกคนต่างมองสาวน้อยตรงหน้าอย่างเป็นปริศนาในดวงตา พระองค์ไม่สามารถเดาความคิดของทุกคนได้ แต่พระองค์รู้ว่าความงามของสาวน้อยตรงหน้า มันสามารถทำให้คนต่อสู่ฆ่ากันตายได้ มันอาจจะรวมถึงพระองค์ด้วย...องค์อัคนีดึงความคิดของพระองกลับมาเป็นองค์เองอีกครั้ง พระองค์ออกคำสั่งทันที ผู้รับคำสั่งคือสหายพระองค์นามว่าท่านอนุ....

 

นำแขกของเราไปยังห้องพักด้วย...ท่านอนุ

 

ท่านอนุ...เดาความหมายของสายตานายท่านได้ ให้พาสาวน้อยตรงหน้าไปห้องพักและหาเสื้อผ้าสะอาดให้ใส่ และนั้นอาจจะรวมถึงหาน้ำสะอาดให้สาวน้อยได้อาบด้วยหรือเปล่านะ... ท่านอนุคิด... แต่ก่อนที่ท่านอนุ...จะเอยปากพูดสิ่งใดแก่สาวน้อยตรงหน้า  สาวน้อยแสนงามได้พูดคำขอร้องแก่ท่านอนุ...เสียก่อน

 

หากท่านจะกรุณาแก่ข้า ท่านอนุ...ข้าขอเสื้อผ้าใหม่สักชุด และข้าจะตามท่านไปยังน้ำตก ที่พวกเราเพิ่งจากมา

 

ทุกคนต่างเข้าใจความหมายในคำพูดนั้น ทุกคนต่างรู้ดี บนเรือไม่มีน้ำให้ดื่ม หรืออาบได้ สาวน้อยตรงหน้าต้องการจะเดินทางกลับไปยังแหล่งน้ำแห่งเดิมเพื่ออาบน้ำ นั้นมันก็เป็นความคิดที่ดี ท่านอนุคิด และมองไปยังเจ้านาย การพยักหน้าคือการตอบตกลง เขาจึงยิ้มให้แก่สาวน้อย และพาเดินจากไป...

 

องครักษ์นามว่าอัสรันมองตามคนทั้งสองได้แก่ท่านอนุ...และบุหลัน สาวน้อยผู้ได้ช่วยชีวิตเขาไว้...เดินจากไป และรู้ว่าตนเองจะต้องทำเช่นไร เขามองหน้าองค์ชายสุริยะ และเอยคำขอเพื่อเดินตามหัวใจที่ห้ามไม่ได้ไป

 

องค์สุริยะ...ข้าก็รู้สึกว่าต้องอาบน้ำเช่นกัน ข้าจะตามท่านอนุ และสาวน้อยของเราไปด้วยพะยะคะ

 

องค์ชายยิ้มและพยักหน้า หากพระองค์ไม่เจ็บหัวเข่าคงจะตามไปด้วยแน่ พระองค์คิด พระองค์รู้สึกสูญเสียโอกาสอะไรสักอย่างในชีวิต และรู้สึกอิจฉา องครักษ์คู่หทัย ทำไมความคิดนี้มันถึงเกิดขึ้น พระองค์ยากที่จะหาคำตอบ... ถ้าหาคำตอบมันไม่ได้ก็อย่าได้หามันแล้วกัน พระองค์คิด และตอบคำถามเองในดวงหทัย...

 

เจ้าชายอัคนีมองตามคนทั้งสามเดินหายไปจากดาดฟ้าเรือ พระองค์ไม่ต้องการเดาความรู้สึกของใคร แม้แต่ของพระอนุชาของพระองค์เอง พระองค์ไม่รู้ว่าพระอนุชาประสบเหตุการณ์เช่นไรมา...แต่ก่อนที่พระองค์จะสอบถามพระอนุชา..พระองค์ต้องการให้พระอนุชา...ได้รับการดูแล สภาพขอทานสกปรกนี้เสียก่อน นั้นคือการได้สรงน้ำเย็นสบาย ได้เปลี่ยนเครื่องทรงชุดใหม่ ขนาดตัวพระองค์และพระอนุชา...สามารถใส่เครื่องทรงชุดเดียวร่วมกันได้....

 

น้องพี่เจ้าตามพี่มา...

 

เจ้าชายอัคนีเดินนำพระอนุชาไปยังห้องพัก มีถังน้ำอาบเป็นส่วนพระองค์ และมีเครื่องทรงสะอาดได้ใส่ และไม่นานก็ถึงห้องพัก องค์สุริยะ ได้สรงน้ำเย็นสบายพระวรกาย และได้สวมใส่เครื่องทรงชุดใหม่ พระองค์มองกระจกตรงหน้า...พระพักตร์แล้วทรงยิ้ม...

 

พี่ชาย...ข้าดูเป็นเช่นไรบ้าง...

 

เจ้ายังเหมือนเดินไม่เปลี่ยนเลย...น้องข้า

 

แต่พี่เปลี่ยนไปมาก...พี่ข้า

 

องค์อัคนียิ้มรับคำของพระอนุชา และต้องการจะรู้ว่าพระองค์เปลี่ยนไปเช่นไร ดีขึ้น หรือแย่ลง

 

ข้าเปลี่ยนไปเช่นไร องค์สุริยะ... น้องข้า

 

น้ำเสียงพระเชษฐา กึ่งพูดเล่นสนุกมากกว่าจะจริงจัง แต่น้ำเสียงพระอนุชาจริงจัง กว่าพระเชษฐามากนัก...

 

ข้ามองท่านพี่แล้วนึกถึงท่านพ่อ...ในตอนนี้ท่านพี่เหมือนพระบิดามาก ข้าต้องการให้ท่านพี่กลับบ้านเมืองของเรา ข้าจะสละบัลลังก์ ให้แก่ท่าน หากท่านพี่ต้องการ บัลลังที่ข้าได้รับ หากไม่มีท่านพี่เคียงข้าง มันก็ไม่มีความหมายแก่ข้า และข้าก็ไม่ต้องการ

 

น้องข้าบัลลังก์ของเจ้า มันก็คือของเจ้า ไม่ใช่ของข้า และข้าจากมาก็ไม่ใช่เพราะข้าไม่มีสิทธิแห่งบัลลังก์ แต่ข้าจากมาด้วยเหตุผลอื่น

 

พระอนุชาไม่ทรงรู้พระองค์ทรงรัก ต่อหญิงที่พระอนุชารัก หากพระอนุชารู้ พระองค์คิดว่าพระอนุชาคงต้องยกหญิงที่รักให้แก่พระองค์อีก และนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ต้องการพระองค์จะมีความสุขได้เช่นไร หากพระอนุชามีความทุกข์ พระองค์คิด

 

ข้าต้องการรู้เหตุผลท่านพี่พระองค์ส่ายหน้า

 

ไม่ใช่ตอนนี้น้องข้า....และข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าถามข้าด้วย...ข้ายังไม่ต้องการตอบคำถามเจ้าตอนนี้

 

มันเป็นการปฏิเสธที่จะตอบคำถามเด็ดขาดจากพระเชษฐาพระองค์รู้...ถึงถามต่อไปก็ไม่มีทางรู้คำตอบแน่นอน... จึงเงียบ และพยักพระพักตร์ ความหมายคือข้าจะไม่ถามท่านพระเชษฐาอีก...หากพระเชษฐาไม่ต้องการจะตอบข้า ทั้งสองพระองค์ต่างรู้กันในความหมายนั้น

 

ข้าต้องการฟังเรื่องของเจ้าบ้างน้องชาย...เจ้าสกปรกเหมือนวนิพก...เจ้ามีความเป็นมาเยี่ยงไรถึงหมดท่าเช่นนี้

 

พระเชษฐาถามด้วยรอยยิ้มนึกสนุก แต่พระอนุชาเงียบไม่ตอบคำถาม...

 

ข้าจะไม่ตอบท่านพี่ในตอนนี้เช่นกัน... จนกว่าข้าจะได้กินอิ่ม นอนหลับ... จนถึงพรุ่งนี้...ข้าจะเล่าเรื่องของข้าให้ท่านฟัง...ข้าเหนื่อยมากท่านพี่

 

องค์อัคนีดูสภาพพระอนุชาทรงเหนื่อยจริง และต้องการพักผ่อนอย่างที่พระอนุชาบอก... พระองค์พยักพระพักตร์ และปล่อยให้พระอนุชาได้นอนพักผ่อน...

 

เจ้านอนพักให้สบายน้องพี่ เมื่อเจ้าตื่นนอน เจ้าจะได้ทานอาหารจนอิ่ม...พี่สัญญา

 

พระอนุชาพยักพระพักตร์แล้วเดินไปยังเตียงนอน และเวลาไม่นานองค์สุริยะก็หลับไปตลอดกาล...

 

จบบทที่ 4 ต่อ บทที่ 5 เจ้าหญิงแสงจันทร์ กริชแห่งกุญแจ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา