เจ้าหญิงแสงจันทร์ กับ เจ้าชายสุริยะคราส

8.3

เขียนโดย RATH

วันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 09.59 น.

  10 ตอน
  42 วิจารณ์
  21.97K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 1 เจ้าชายสุริยะคราส

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

http://www.keedkean.com

 

บทที่ 1

 

 

เจ้าชายสุริยะคราส

 

 

 

องค์สุริยะ...ท่านทรงมองบนท้องฟ้า ด้านบนนั้น

 

เสียงตะโกนดังมาจากองครักษ์ คู่หทัยเจ้าชายหนุ่มรูปงาม องครักษ์ชี้นิ้วให้องค์ชาย ทรงมองดูดวงอาทิตย์กำลังถูกกลืนกินไปที่ละน้อย ณ ดินแดน อันเป็นของศัตรู แผ่นดินของเจ้าชายสุริยะ เจ้าชายกำลังเดินทางออกจากดินแดนแห่งนี้...ที่มีชื่อว่าแห่งเมืองอุดรพายัพ หลังจากการเจรจา แลกเปลี่ยนให้สงบศึกล้มเหลว การเจรจาสงบศึก จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเจ้าชายสุริยะจะต้องทรงอภิเษก สมรสกับเจ้าหญิงแสงจันทร์ เจ้าชายสุริยะไม่จำเป็นต้องคิดเพราะพระองค์ทรงมีคนรักอยู่ก่อนแล้ว และไม่สนใจอยากจะพบหน้าองค์หญิงแสงจันทร์ เจ้าชายสุริยะทรงปฏิเสธข้อเสนอของเจ้าเมืองทันทีและเดินทางกลับบ้านเมืองของพระองค์ เจ้าชายสุริยะทรงมองดูดวงอาทิตย์เปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน มันคือลางดีหรือ ลางร้ายกันแน่นะ พระองค์คิด

 

ข้าเห็นแล้ว...อัสรัน เจ้าคิดว่ามันเป็นลางดี หรือลางร้าย อัสรัน

 

องครักษ์คู่หทัยมองพระพักตร์  เจ้าชายสุริยะที่ทรงถามคำถามที่ตอบยาก และคาดว่าจะตอบคำถามของเจ้าชายสุริยะ ไม่ได้เช่นกันองครักษ์คู่หทัย จึงส่ายหน้า แล้วยิ้มให้แก่เจ้าชายสุริยะ...

 

ข้าก็คิดอยู่แล้วว่าเจ้าไม่สามารถ ตอบคำถามของข้าได้...อัสรัน  ข้าเองก็ตอบไม่ได้เช่นกันมันเป็นลางดี หรือลางร้าย

 

แต่มีอย่างหนึ่ง พะยะคะ องค์สุริยะ...เราต้องการหมอด่วนมาก เรามีคนป่วยบนเรือ  คนป่วยของเราก็คือหมอประจำเรือเอง พะยะคะ องค์สุริยะ

 

อย่างนั้น สุริยะคราส บนท้องฟ้ามันก็คงเป็นลางร้ายสินะ...อัสรัน

 

องครักษ์ยิ้มรับคำถามที่ต้องการคำตอบของพระองค์...พะยะคะ มันอาจจะเป็นไปได้ เจ้าชายอ่านคำพูดจากสายตาองครักษ์คู่ทหัยได้...และรู้องครักษ์ไม่กล้าที่จะตอบคำถาม

 

เจ้าไม่กล้าตอบคำถาม สินะ...อัสรัน สุริยะคราส หากใครได้เอยคำ อันไม่เป็นมงคล  มันอาจจะส่งผลเป็นจริงในอนาคต ใครบ้างจะกล้ากล่าวคำสัตย์สาบานต่อสุริยะคราส ในยามนี้...อัสรันองครักษ์ส่ายหน้า ความหมายคือ ไม่มีใครทรงกล้ากล่าวหรอกเจ้าชาย องครักษ์หนุ่มพูดสิ่งที่ใจคิดแก่เจ้าชายสุริยะ

 

ไม่มีใครกล้ากล่าวคำสาบาน หรือสัญญา ต่อสุริยะคราสหรอก...องค์สุริยะ

 

แต่ข้า กล้าที่จะกล่าวคำสัตย์สาบานต่อสุริยะคราส..อัสรัน"

 

องครักษ์มองพระพักตร์เหมือนจะบอกแก่เจ้าชายสุริยะว่าอย่าเลยพะยะคะ..เจ้าชายสุริยะ อย่าได้กล่าวสิ่งใดโดยเด็ดขาด แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้วเจ้าชายสุริยะเปล่งเสียงกล่าวคำสัตย์สาบานแก่สุริยะคราสออกไปเสียแล้ว...

 

ข้าขอกล่าวคำสัตย์สาบานต่อสุริยะคราส เบี่ยงบน ข้าเจ้าชายสุริยะแห่งเมืองปัจฉิมเนรดี...จะไม่มีวันอภิเษกสมรส กับเจ้าหญิงแสงจันทร์ ของเจ้าเมืองบ้านป่าเมืองเถื่อนแห่งนี้...โดยเด็ดขาด ขอให้สุริยะคราส เบื่องบน จงเป็นพยานต่อคำสัตย์สาบานของข้า

 

เมื่อคำกล่าวสัตย์สาบานของเจ้าชายสุริยะ..จบลงดวงอาทิตย์เต็มดวงก็ถูกกลืนกินจนมองไม่เห็นแสงสว่างอีกเลย...ในอนาคตข้างหน้าเจ้าชายสุริยะ  จะต้องประสบกับคำสัตย์สาบานที่ได้เปล่งวาจากล่าวออกไปนี้อย่างไร...องครักษ์คู่หทัยเป็นห่วงเจ้าชายสุริยะยิ่งนัก...

 

เจ้าชายสุริยะ...ได้โปรดถอนคำสัตย์สาบานที่กล่าวออกไปเทิด พะยะคะ มันยังทรงพอมีเวลาก่อนที่...สุริยะคราส เบื่องบน จะกลับคืนสู่แสงสว่างอีกครั้ง...องค์สุริยะ

 

เจ้าชายสุริยะ..ไม่เพียงจะกล่าว ถอนคำสัตย์สาบาน พระองค์กับหัวเราะเสียงดังจนกะลาสีทั่วลำเรือต่างจ้องมองพระองค์... ทุกคนมองพระองค์เหมือนสิ่งที่เจ้าชายสุริยะกล่าวคำสัตย์สาบานไปเป็นเพียงเรื่องตลกและมันเหลวไหลไม่มีทางเป็นจริงได้...

 

เจ้าคิดจริง หรือ ...อัสรัน ที่ข้าจะอภิเษกสมรส กับ เจ้าหญิงแสงจันทร์ของเจ้าเมืองป่าเถื่อนแห่งนี้ ในขณะที่ข้ามีคนรักของข้ารออยู่ยังอีกฝากหนึ่งของมหาสมุทรก่อนแล้ว ...อัสรัน ถึงข้าไม่กล่าวคำสัตย์สาบาน เรื่องพวกนี้มันก็ไม่สามารถเป็นไปได้อยู่แล้ว...อัสรัน

 

องครักษ์คู่หทัยไม่ได้ตอบคำถามเจ้าชายสุริยะ...เพียงแต่รู้สึกว่าคำสัตย์สาบานที่เจ้าชายสุริยะทรงได้เปล่งวาจาออกไปในอนาคตข้างหน้า...มันจะทำให้เจ้าชายสุริยะ..ต้องเสียพระหทัยอย่างมากมาย.. องครักษ์หนุ่มมองตรงไปยังสุริยะคราส...แล้วตั้งจิตอธิฐานในใจ ได้โปรดอย่าให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นจากคำสัตย์สาบาน ที่ไม่ได้ตั้งใจของเจ้าชายสุริยะเลย  องครักษ์หนุ่มอธิฐานมันในใจ...

 

อัสรัน...เมื่อสุริยะคราส กลับสู่แสงสว่าง เวลากลางคืนเปลี่ยนเป็นกลางวัน เจ้าจงพาคนไป หาหมอ ที่พร้อมสมัครใจเดินทางไปกับเรา โดยเร็วที่สุด ได้หมอพรุ่งนี้เช้า เราจะออกเดินเรือกันทันที แต่ก่อนอื่นหาหมอ มารักษาหมอประจำเรือที่ป่วยเสียก่อน ...อัสรัน

 

พะยะคะ...องค์สุริยะ  แต่หมอที่สมัครใจเดินทางไปพร้อมกับเราคงใช้เวลาหาหลายวัน..พะยะคะ...องค์สุริยะ

 

ได้หมอเมื่อไร  ก็ออกเรือเมื่อนั้น...อัสรัน

 

พะยะคะ..องค์สุริยะ

 

 

กระท่อมของแม่มดเฒ่าบนเขา  2 วันต่อมา

 

ท่านยาย ข้ามาลาท่านเสียงสาวน้อยนามว่าเจ้าหญิงแสงจันทร์ พูดกับยายแก่ตรงหน้า ยายแก่อายุอยู่ที่ 100 ปีแล้ว ผมขาว หนังเหี่ยว แต่ดวงตามีสีดำเป็นนิล มองสาวน้อยตรงหน้า เหมือนของรักกำลังจะจากไป และรู้สึกเสียใจ เมื่อสูญเสีย อีกไม่นานยายแก่คนนี้ก็จะต้องออกเดินทางไปเหมือนกับมารดาของสาวน้อยตรงหน้า นางแม่มดเฒ่าไม่คิดเป็นห่วงสาวน้อยมากนัก นางรู้ว่าสาวน้อยจะสามารถเอาชีวิตรอดได้ เธอถ่ายทอดความรู้แก่หญิงสาวทุกอย่างทั้งการรักษาคนป่วยให้หายจากอาการเจ็บป่วย หรือการวางยาพิษ จากสมุนไพร การฝังเข็ม จวบจนการใช้อาวุธของมีคม จนหญิงสาวชำนาญ ยิ่งกว่ายายเฒ่าเอง...

 

แสงจันทร์ หลานยาย ยายเป็นห่วงเจ้า...แต่ยายรู้ว่าการเดินทางของเจ้ามันจะสามารถเปลี่ยนแปลง หลายสิ่งหลายอย่าง... ยายมองเห็นมันในความฝัน  ยายไม่มีอะไรจะให้เจ้าแสงจันทร์เพราะยายให้เจ้าไปหมดแล้ว เจ้าจงเชื่อมั่นในการเดินทางของเจ้าครั้งนี้...ยายมีของบางอย่างจะมอบให้เจ้าไว้ป้องกันตัว เจ้ารับมันไปด้วยแสงจันทร์

 

เจ้าหญิงแสงจันทร์รับมีดกริช สีดำเป็นนิล ลักษณะของคมมีดเป็นเหมือนเปลวไฟยาวประมาณ 10 นิ้ว เธอมองดูมันด้วยความดีใจ มันคือของดูต่างหน้าท่านยาย ที่เป็นอาจารย์สอนเธอหลายสิ่ง หลายอย่าง เธอน้ำตาไหล เดินเข้าไปกอดยายเฒ่าตรงหน้าด้วยความรัก...

 

ข้าจะกลับมาอีกครั้ง ในวันข้างหน้าท่านยาย ท่านยายเป็นคนเดียวที่ข้าต้องการพบ และคิดถึง... เป็นคนเดียวเท่านั้น ในดินแดนแห่งนี้

 

และนี้ยายทำเพื่อเจ้า แสงจันทร์

 

เจ้าหญิงมองกล่องไม้สี่เหลี่ยม ทำจากไม้เนื้อดีมีกุญแจปิดไว้ ท่านยาย ส่งลูกกุญแจให้เธอแขวนไว้ที่คอ...

 

ยายทำมันไว้สำหรับเก็บเถ้ากระดูกของพระมารดาเจ้าแสงจันทร์ เจ้าและพระมารดาของเจ้าจะได้เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของพระมารดาเจ้า โดยปลอดภัย ทั้งพระมารดาเจ้าและตัวเจ้าเอง

 

ขอบคุณท่านยาย ข้าจะพาพระมารดาของข้ากลับไปหาครอบครัวของท่าน ก่อนที่ท่านจะตามท่านพ่อของข้ามายังดินแดนแห่งนี้ ข้ารู้ท่านแม่ของข้าต้องการเดินทางกลับบ้านมากแค่ไหน...ได้ไปเห็นบ้านเกิดสักครั้งก่อนตาย และข้าจะทำให้พระมารดาของข้าได้สมหวัง

 

ยายรู้เจ้าจะต้องทำสำเร็จแสงจันทร์  และข้าจะนำจดหมายของเจ้านำไปส่งให้พระบิดาของเจ้า ได้ทราบการจากไปของเจ้าในวันนี้...แสงจันทร์

 

ข้าขอขอบคุณท่านยายมาก  ข้าได้ทำร้ายพระบิดาของข้าโดยไม่ได้ส่งข่าวเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระมารดาข้า แต่นั้นมันก็เป็นความต้องการของพระมารดาข้า ที่ไม่ต้องการให้พระบิดาของข้ามางานศพ ข้าเองก็เข้าใจพระมารดาของข้า เมื่อยังมีพระชนชีพ...พระบิดาของข้าไม่ทรงคิดมาหาพระมารดา เมื่อท่านทรงไปยังสรวงสวรรค์แล้วพระบิดายังจะมาหาพระมารดา...อีกทำไม ส่วนข้าเองก็หมดเยื่อใยต่อ พระบิดาแล้วเช่นกัน  ข้ายอมใช้ชีวิตอย่างสามัญชน คนธรรมดา มากกว่าเป็นเจ้าหญิงในดินแดนแห่งนี้  ในจดหมายของข้าได้บอกรายละเอียดทั้งหมดนี้แก่พระบิดาของข้าไปแล้ว และข้าคิดว่าพระบิดาของข้าท่านจะไม่ทรงคิดออกตามหาข้า เช่นกัน ท่านยายเธอถามคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบแก่ท่านยายเฒ่า...

 

เจ้าจะออกเดินทางวันนี้ใช่หรือไม่...แสงจันทร์

 

ถูกต้องแล้วท่าน ยาย

 

ก่อนเจ้าจะไปยาย อยากเปลี่ยนแปลงเจ้าเสียใหม่...แสงจันทร์

 

ข้าตกลงท่านยาย ท่านต้องการทำสิ่งใดกับข้าก็ได้ ตามใจท่าน

 

นี้มันเป็นเวทย์มนใช่หรือไม่..ท่านยาย ข้ามีปานดำที่ใบหน้าด้วย

 

ท่านยายยิ้มอย่างไม่ทราบเหตุผล หญิงสาวรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอมันไม่ใช่เวทย์มน แต่มันคือการปรุงยา ที่วิเศษ พอๆ กับเวทย์มน มันทำให้เธอได้ปานสีดำที่ติดแน่นพอ ๆกับปลิงดูดเลือด เธอคิด

 

ข้า เป็นสาวน้อยที่หน้าเกลียดมากท่านยายยายแก่ส่ายหน้า

 

ไม่ใช่สาวน้อยที่หน้าเกลียด...แสงจันทร์ แต่เจ้าคือหนุ่มน้อยที่น่าเกลียดต่างหาก เจ้ารับผ้านี้ ไปแล้วมวนผมยาวเป็นนิลของเจ้าเก็บไว้ภายใต้ผ้าผืนนี้

 

ท่านยายข้าเป็นเด็กหนุ่มน่าเกลียดมากจริงๆ ด้วยสาวน้อยยิ้ม อย่างดีใจ

 

ใช่แล้วเจ้าหนุ่มน้อยที่น่าเกลียดยายแก่ยิ้มอย่างหาคำตอบไม่ได้

 

เจ้าออกเดินทางได้แล้ว...เจ้าจัน น้อย

 

ข้าชื่อเจ้าจัน หรือท่านยายยายแก่พยักหน้า แล้วยิ้ม

 

เจ้าจัน นายจัน ไอ้จัน... แต่เจ้าจำไว้ด้วย ...แสงจันทร์ เจ้าอย่าได้เป็นสาวงามในดินแดนที่เจ้าไม่รู้จักเด็ดขาด...สาวน้อยของยายเธอพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปกอดยายเฒ่าไว้อีกครั้ง

 

ข้าจะเป็น แค่คนที่ชื่อ จัน ไปตลอดท่านยาย แสงจันทร์ จะไม่มีตัวตนอีกแล้วเพื่อความปลอดภัยจากพระบิดาของข้า หรือ พระเชษฐา ต่างพระมารดา ของข้าที่อาจจะออกตามหาข้าด้วย

 

 

 

ยายแก่พยักหน้า แล้วกลับหลังหันเดินเข้าไปในกระท่อม มันเป็นการบอกลา แกสาวน้อยให้เจ้าออกเดินทางได้แล้ว สาวน้อยหลังหันเดินลงจากกระท่อมบนเขา ตรงไปยังเรือที่จอดรอเธออยู่ เมื่อหนึ่งวันที่แล้ว เธอได้รับใบประกาศ จากเรือลำดังกล่าว พวกเขาต้องการหมอบนเรือร่วมเดินทางไปด้วย เธอรู้ไม่มีหมอคนใดต้องการออกเดินทางไปด้วยแน่ ดังนั้นก็คงเหลือแต่เธอเท่านั้น ที่เป็นทางเลือกสุดท้ายของเรือลำนั้น  เธอคิด

 

 

ณ เรือ ของเจ้าชายสุริยะ

 

 

อัสรัน...เราได้หมอประจำเรือหรือยังองครักษ์ส่ายหน้า

 

องค์สุริยะ....พะยะคะ  เราออกเรือแล้วไปหาเอาจากเมืองข้างหน้าดีกว่ามั้ย..พะยะคะ

 

เจ้าชายสุริยะส่ายพระพักตร์ปฏิเสธ เพราะทรงรู้ เมืองข้างหน้าจะไม่มีใครร่วมเดินทางไปด้วยแน่ เมืองแห่งนี้มีหมอจำนวนมากยังไม่มีใคร ต้องการเดินทางไปด้วยในภาวะสงคราม แล้วยังจะต้องเจอกับโจรสลัดปล้นระหว่างทางอีก...นอนอยู่บ้านปลอดภัยกว่า

 

รอต่ออีกหน่อยเถอะ... อัสรัน ถ้ายังไม่มีใครมาเจ้าก็เพิ่มเงินค่าจ้างให้อีกเป็นสองเท่าองครักษ์ พยักหน้า แล้วตอบรับคำแนะนำจากเจ้าชายสุริยะ...

 

พะยะคะ...องค์สุริยะ

 

 

ในยามสายของวันนั้น ณ เรือเจ้าชายสุริยะ

 

องค์สุริยะ...พะยะคะ เราได้หมอประจำเรือแล้ว พะยะคะ

 

ดีมาก... อัสรัน  อย่างนั้นเราเตรียมตัวออกเรือกันได้แล้วใช่มั้ย...อัสรัน

 

องครักษ์เงียบไม่ตอบคำถามเจ้าชาย ได้แต่มองพระพักตร์เพื่อต้องการถาม...คำถามและให้เจ้าชายได้ตัดสินใจเอง

 

มีปัญหาอะไรหรือ อัสรัน

 

เจ้าชายสุริยะรู้สึกถึงปัญหาอย่างใหม่ จากท่าที ที่องครักษ์แสดงออกมา

 

องค์สุริยะ...ทรงตัดสินพระทัย เมื่อได้พบกับหมอประจำเรือคนใหม่...ดีกว่ามั้ย พะยะคะ

 

อัสรัน...ข้าเชื่อในการตัดสินใจของเจ้ามาโดยตลอด เหตุใดวันนี้เจ้าถึง ขาดความมั่นใจ องครักษ์คู่ใจข้าได้ เราร่วมรบด้วยกันเหมือนแขนและขา เมื่อข้าเดิน ไปด้านขวาเจ้าก็จะเดินตามข้าไปด้วย  หากเจ้าบอกข้าว่าทางด้านซ้ายปลอดภัยกว่า...ทางด้านขวา ข้าก็จะเชื่อเจ้า และเดินตามเจ้าไปเช่นกัน...อัสรัน

 

องครักษ์ ฟังเจ้าชายสุริยะตรัสแล้วเกิดความลังเล มากกว่าเก่าเสียอีก  แต่สิ่งที่เอย ออกจากปากองครักษ์คู่พระทัย...

 

ครั้งนี้หม่อมฉัน คาดว่าจะตัดสินใจไม่ตรงตามความต้องการขององค์สุริยะ พะยะคะ เนื่องจากหมอประจำเรือคนใหม่ของเราเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุ 18 ไม่เกิน 19 พะยะคะ

 

เจ้าพูดเล่น ใช่มั้ย อัสรัน

 

องครักษ์หนุ่มส่ายหน้า แล้วยิ้มอย่างที่เจ้าชายถามตนเองด้วยคำพูด ในรอยยิ้มเช่นกัน

 

ตกลงข้าต้องการพบ หมอประจำเรือ อายุน้อยของเจ้า... อัสรัน เจ้าจงพาข้าไปพบใกล้ได้มั้ย...อัสรัน

 

องครักษ์พยักหน้า แล้วเดินนำหน้าเจ้าชายไปยังสะพานเรือ แล้วชี้นิ้วไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนมองเรือลำใหญ่จากด้านล่าง

 

 

นั้น พะยะคะ หมอเด็กน้อยของเรา พะยะคะ

 

องค์ชายยิ้ม แล้วส่ายพระพักตร์ เดาความหมายไม่ออก แล้วหันมามองหน้าองครักษ์ เหมือนต้องการ ถามว่าแน่ใจนะว่าเป็นหมอ หรือแน่ใจนะว่า ไม่โดนเด็กน้อยหลอกเล่น  องครักษ์ก็เดาคำถามได้จากสีพระพักตร์เจ้าชายสุริยะเช่นกัน ส่ายหน้า ที่เดาความหมายไม่ได้เช่นกัน จากสีหน้าคือให้เจ้าชายถามเอาจากหมอด้านล่างนั้นเอาเองดีกว่า...

 

อัสรัน...ตามเด็กนั้นขึ้นมาพบข้า ที่ดาดฟ้าเรือข้าจะรอ...หมอ กับเจ้าอยู่บนนั้น

 

องครักษ์พยักหน้าแล้วส่งสัญญาณให้กะลาสีเรือด้านล่างปล่อยเด็กน้อยให้เดินผ่านขึ้นมาได้ โดยองครักษ์ยืนรออยู่ที่เดิม เจ้าชายเดินนำหน้าไปยังดาดฟ้าเรือก่อนแล้ว...

 

 

เจ้าหญิงแสงจันทร์มองเรือรบ ลำใหญ่ตรงหน้าอย่างสำรวจทุกรายละเอียด ตั้งแต่ลักษณะของลำเรือ จนถึงกะลาสีเรือ หรือคนทำความสะอาด ในลำเรือมีคนอยู่ไม่ต่ำกว่า 100 คนหรือมากกว่า รอบลำเรืองมีปืนใหญ่มากกว่า 100 กระบอก กะลาสีเรือแต่ละคนถืออาวุธครบมือทุกคน ได้แก่ปืนไฟ และมีดดาบ เธอได้รับสัญญาณจากคนด้านบนให้เดินขึ้นไปหา เธอเดินผ่านกะลาสีเรือ ผ่านกล่องไม้เก่าที่ใช่เก็บเสบียง อาหาร และน้ำดื่ม ผ่านอาวุธที่เก็บเรียงไว้เป็นอย่างดี เธอเคยเห็นเรือรบลักษณะนี้ จากเรือของพี่ชายต่างพระมารดา พระเชษฐาจะมาพบเธอและพระมารดา เมื่อสองปีที่แล้ว พระเชษฐาและพระบิดา มีความสนใจที่จะต่อสู่ในสงครามทั้งทางบก และทางน้ำ ในพระชนชีพของพระบิดา อาจจะเรียกได้ว่าสงครามเอาชีวิตของพระบิดาเธอไปจนหมดสิ้น รวมถึงพระเชษฐาของเธอด้วย... 

 

เธอจมอยู่ในความคิดของตัวเองและไม่นานเธอก็เดินมาจนถึง ผู้ชายที่รอพบเธอ เขายิ้มตอนรับเธอ แต่เธอไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไร ไม่มีเสียงพูด แค่ยืนจ้องหน้าฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น เหมือนจะถามว่า ต้องการอะไร หรือจะให้ฉันทำอย่างไร แต่ฝ่ายตรงข้ามยิ้ม และพยักหน้า... กลับหลังหัน แล้วเดินนำ...ไปข้างหน้า... เธอเดาว่าเส้นทางที่จะเดินไปคือ ดาดฟ้าเรือ เธอเดินตามไปเงียบๆ และสำรวจสภาพเรือ ไปด้วยตลอดทาง จนถึงดาดฟ้าของเรือ มีผู้ชายอีกคนยืนคอยอยู่ก่อนแล้ว คนที่คอยเธออยู่มองนกนางแอ่นบินเป็นฝูง จากท้องทะเลข้างหน้า มีลมพัดเส้นผมของผู้ชายทั้งสองคนจนเห็นใบหน้าได้ชัดเจน ผู้ชายที่เดินนำเธอมาหยุดเดิน เธอก็หยุดเดินเช่นกัน ไม่มีใครพูดอะไรเลย...เธอคิดว่าถ้าไม่มีใครพูด ก็ไม่จำเป็นต้องถามอะไร เช่นกัน

 

 

หมอเด็กน้อยที่องครักษ์คู่หทัยพาเดินมา ยืนรออยู่ด้านหลัง มันเป็นครั้งแรกที่คนผ่านศึกในสงคราม มามากต่อมาก ต้องมาตัดสินใจจ้างหมอประจำเรือได้ยากเย็นเช่นนี้  องครักษ์ประจำตัวต้องส่งหมอคนเก่าอยู่รักษาตัวที่เมืองป่าเถื่อนแห่งนี้  ไม่สามารถพาเดินทางไปด้วยได้  ด้วยโรคภัยของความชรา และความเหนื่อยจากการรักษาคนเจ็บที่มีจำนวนมาก แม้แต่เขาเองยังคิดว่ามันเป็นงานที่หนัก... เขาต้องการจะหาหมอเพิ่ม มาโดยตลอด แต่ก็หาได้ยากเย็นยิ่งนัก... จนวันที่เขาคาดไว้มันก็มาถึง และวันนี้ก็คือวันนั้น...วันที่เขาเสียหมอประจำเรือคนเก่าไปจริงๆ ตอนนี้หมอคนใหม่มาถึงแล้ว ความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่างหมอคนแรก กับเด็กหนุ่มตรงหน้าก็คือ อายุที่ห่างกันมาก น่าจะ 40 ปี องค์ชายคิด เจ้าชายสุริยะหันพระพักตร์มองสำรวจหมอเด็กที่ยืนจ้องพระพักตร์พระองค์อยู่....

 

เด็กน้อยมีความสูงแค่ปลายคางพระองค์  ถ้ารวมผ้าพันเส้นผมไว้ด้วยก็จะถึงปลายจมูกพอดี ใบหน้าได้สัดส่วน จมูกรับกับใบหน้าที่ขาว มีปานสีดำที่ใบหน้าด้านซ้าย หากสามารถเอาปานน่าเกลียดออกได้ เด็กคนนี้เมื่อโตขึ้นอาจจะทำให้สาวสวยหลายคนต้องอกหักได้ องค์ชายคิด

 

ตอนนี้องค์ชายไม่ได้สนใจอีกแล้วว่าหมอจะมีอายุเท่าไร  สิ่งที่สนใจก็คือ เด็กหนุ่มข้างหน้าจะสามารถรักษาคนเจ็บได้จริงหรือไม่ เท่านั้น ถ้าต้องการจะรู้ก็คงต้องลงมือสอบถามเท่านั้น องค์ชายคิด

 

เจ้าชื่ออะไร หนุ่มน้อย

 

ข้าชื่อจัน ท่านจะเรียกข้าอย่างไรก็ได้ นายจัน ไอ้จัน เจ้าจัน หรือหมอจัน แต่คนที่เมืองแห่งนี้เรียกข้าว่า หมอจัน ครับนายท่าน

 

เจ้าชายสุริยะยิ้มรับการแนะนำตัวของหนุ่มน้อยข้างหน้า ความหมายในรอยยิ้มนั้นเด็กหนุ่มเดาไม่ได้ว่ามันคืออะไร เด็กหนุ่มไม่คิดจะหาคำตอบของรอยยิ้มของผู้ชายตรงหน้า...เพราะมันไม่ได้จำเป็นอะไร

 

ข้าจะเรียกเจ้าอย่างที่คนเมืองนี้เรียกเจ้าหนุ่มน้อย แต่ไม่ใช่ตอนนี้ จนกว่าเจ้าจะรักษาคนป่วยให้ข้า...ได้เห็นแล้วเท่านั้น  ตอนนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่า... ไอ้จันไปก่อนแล้วกัน

 

เจ้าชายสุริยะทรงยิ้มเมื่อพูดจบ เด็กหนุ่มได้ฟังไม่รู้จะตอบคำพูดคนตรงหน้าอย่างไรดี จึงพูดออกไปอย่างที่ใจอยากจะพูด..

 

ข้าไม่สนใจท่านจะเรียกข้าอย่างไร ถึงข้าจะรักษาคนป่วยให้หายได้ ท่านอยากเรียกข้าว่าไอ้จัน... ตลอดไปข้าก็ไม่ว่า  หากข้าไม่สามารถรักษาคนป่วย และคนไข้ ให้ท่านได้ ท่านก็ปล่อยข้าลงยังเมืองที่ท่านมุ่งหน้าไป  และหาหมอประจำเรือคนใหม่มาแทนข้าได้  ครับนายท่าน

 

องค์ชายยิ้มในคำพูดตรงไปตรงมาของเด็กหนุ่มน้อยข้างหน้า และหัวเราะในคำพูดที่ไม่กลัวใครของเด็กหนุ่ม...

 

ตกลง ไอ้จัน ข้าจะทำอย่างที่เจ้าพูด และเจ้าไม่คิดจะถามชื่อข้าบ้างหรือไง หนุ่มน้อย

 

เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธที่จะทราบชื่อคนตรงหน้า ทำให้คนอยากแนะนำตัวแปลกใจอยู่ไม่น้อย และต้องการจะรู้คำอธิบายจากเด็กหนุ่มตรงหน้า...เหตุใดไม่ต้องการทราบชื่อนายจ้างของตัวเอง องค์ชายมองหน้าเด็กหนุ่มขอคำอธิบาย เด็กหนุ่มรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการอะไร

 

ชื่อท่านไม่มีความจำเป็นกับข้า หรอก นายท่าน ข้าจะขอเรียกท่านว่า... นายท่าน จนกว่าข้าจะเห็นว่าท่านเป็นนายของข้าแล้วจริงๆ ข้าถึงจะขอเรียกชื่อของท่าน แต่ตอนนี้มันไม่มีความจำเป็น วันข้างหน้าหากท่านตัดสินใจจ้างหมอคนใหม่   ท่านจะได้ ไม่ลังเล ที่จะตัดสินใจ... ข้าเองก็จะได้ไม่ลังเลเช่นกัน ที่จะเดินจากไป ตามทางของข้า  ครับนายท่าน

 

เจ้าชายสุริยะ...หนุ่มมองหน้าหนุ่มน้อยข้างหน้าอย่างเดาความคิดที่แท้จริงของเด็กหนุ่มไม่ได้  มีความลับบ้างอย่างในตาของเด็กหนุ่มที่องค์ชายเดาไม่ถูก และอยากจะรู้ ความลับที่เด็กหนุ่มตรงหน้าเก็บซ้อนไว้...

 

ตกลง ไอ้จัน เจ้าจงเรียกข้าว่า... นายท่าน อย่างที่เจ้าต้องการ และข้าก็จะเรียกเจ้าว่า... ไอ้จัน อย่างที่ข้าต้องการจะเรียกเช่นกัน

 

เจ้าชายสุริยะ...ยิ้ม และมองไปยังองครักษ์หนุ่ม องครักษ์พยักหน้า แล้วมองที่ไอ้จัน... พยักหน้าให้เดินตาม เด็กหนุ่มรู้ความหมาย ก่อนไปเด็กหนุ่ม ทำความเคารพผู้ชายที่เรียกเธอว่าไอ้จัน...การก้มหน้า เป็นสัญญาณ เหมือนบอกว่าแล้วพบกันใหม่ หรือข้าไปก่อนแล้วนะ... องค์ชายแค่ยิ้มตอบรับการเคารพเล็กน้อยของเด็กหนุ่มเท่านั้น...

 

พา หมอประจำเรือของเจ้าไปห้องพัก ได้แล้ว...อัสรัน

 

องค์ชายออกคำสั่ง องครักษ์คู่หทัย พยักหน้าเดินจากไป องค์ชายมองตามหลัง คนทั้งสองหายไปจากดาดฟ้าเรือ พระองค์ทรงมองไปยังท้องทะเลข้างหน้า นกนางแอ่นบินตามสายลมเป็นฝูงเพื่อหาปลาโชคร้ายเป็นอาหาร  เมื่อดวงอาทิตย์ของวันใหม่มาถึงพระองค์จะเริ่มออกเดินทางกลับบ้านเมืองของพระองค์  ระหว่างทางกลับบ้านเมือง พระองค์จะเดินทางไปพบหน้าหญิงอันเป็นที่รัก  คำสัญญา เมื่อสงคราม สงบ งานอภิเษกระหว่างพระองค์ กับนางอันเป็นยอดรัก จะเกิดขึ้น เจ้าชายคิดมันในใจ เสียงสายลมจากปีกนกนางแอ่นเบี่ยงหน้า พัดมาเป็นคำพูดแว่วผ่านท้องฟ้า พระองค์ทรงคิดไปเองหรือนั้นคือเสียงในความคิดกันแน่ แว่วเสียงดัง มันชัดเจนเหมือนอยู่ในความฝัน

 

เจ้าชายสุริยะท่านจะสูญเสียดวงจันทร์ที่ท่านรัก... เจ้าชายหนุ่ม ข้าได้รับคำสัตย์สาบานของท่านไว้แล้ว

 

จบบทที่ 1 ติดตามบทที่  2 จุดเริ่มต้นการผจญภัย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา