มิติรัก สองภพ

9.3

เขียนโดย ฝนฉ่ำ

วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 14.25 น.

  3 ตอน
  22 วิจารณ์
  9,935 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) หญิงสาวในความฝัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ ๒  หญิงสาวในความฝัน


 
                       เสียงเคาะประตูห้อง ปลุกรมิดาสะดุ้งตื่น  นาฬิกาบนผนังบอกเวลาทุ่มครึ่ง  เธอถอนหายใจ  พลางลุกไปแง้มประตู  หยีตามองแม่บ้านชรายืนหน้าตาบอกบุญไม่รับ

                 “ คุณชลให้มาตามไปทานข้าวเย็นที่บ้าน ”     
                น้ำเสียงห้วนๆ  บอกว่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
                 “ หนูยังไม่ได้อาบน้ำเลย ”
                 “ เดี๋ยวค่อยกลับมาอาบ  ทุกคนกำลังรอหล่อนคนเดียวนะย่ะ ” 
                 “ เอ่อ...ค่ะๆ ” 
               สาวน้อยละล่ำละลัก  รู้สึกผิดในใจ  รีบกุลีกุจองับประตูห้องแล้วเดินจ้ำอ้าวตามหลังแม่บ้านไป ทั้งที่ผมเผ้ายังยุ่งกระเซิง
                          
               เสียงสุนัขพันธุ์อัลเชเชี่ยนตัวโต  เห่าทักทายมาจากระเบียง  เมื่อแม่บ้านเดินนำรมิดามาถึงเทอเรสด้านหน้า  สุภาพสตรีร่างสูงโปร่ง  เปิดประตูออกมาทักทายด้วยรอยยิ้มแจ่มกระจ่าง                         
               เพียงแรกเห็นกิริยาท่าทีสวยสง่า รมิดาก็นึกชื่นชมในใจ  และรู้สึกคุ้นเคยคลับคล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน   สุภาพสตรีท่านนี้คงเป็นภรรยาเจ้าของฟาร์ม   หล่อนรวบผมเกล้ามวยเหมือนนักเต้นบัลเล่ย์  เผยให้เห็นดวงหน้ารูปไข่อ่อนกว่าวัย  เสื้อแขนกุดสีครีมอ่อนหวานที่สวมใส่  ขับผิวพรรณให้เนียนนวลผุดผาดดุจสาวรุ่น  ทั้งที่หล่อนอายุย่างสู่วัยสาวใหญ่แล้ว
                                                                                                                                        
                “ เชิญจ้ะ  เรากำลังรอหนูอยู่พอดี”                 เจ้าของบ้านกล่าวต้อนรับรมิดาอย่างอบอุ่น  ราวกับว่าเธอเป็นแขกคนสำคัญในค่ำคืนนี้
                “ การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”
                “ ก็เอาการอยู่ค่ะ”          เธอยิ้มตอบ
                ฝ่ายนั้น  ยิ้มอ่อนโยน  ก่อนหันไปทางแม่บ้าน
                “ ป้าชุ่มจ้ะ  พาแม่หนูคนนี้ไปที่ห้องอาหารเลยนะ”
                “ ค่ะ...  เชิญทางนี้เลย ”
                        
               นางชุ่มกลิ่นเดินนำรมิดาไปตามเฉลียงห้องโถง  ด้านหนึ่งขนานไปกับบ่อบัว  มีสะพานทางเดินไม้เชื่อมต่อในระดับเดียวกัน  ผ่านห้องรับรับแขก ตกแต่งเครื่องไม้งามหรู   ทาเคลือบเงาขับเน้นเฉดสีและริ้วลายธรรมชาติของเนื้อไม้สักแท้ๆ  กลมกลืนกับผนังบ้านโทนสีอ่อนเย็นตา แสงเงานุ่มนวลสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างกระจก ชุบบรรยากาศให้รู้สึกผ่อนคลาย  มุมห้องด้านในวางโซฟานุ่ม   มีตู้หนังสือเรียงสันสวยเป็นระเบียงน่าหยิบอ่านนัก  ประตูกระจกบานใหญ่ด้านหลัง  ติดม่านอัดกลีบสีเขียวอ่อนรวบไว้ทั้งสองข้าง  เมื่อมองผ่านกระจกที่พร่ามัวด้วยละอองฝนออกไปเบื้องนอก จะแลเห็นสระว่ายน้ำและสวนสวยชอุ่มเพียงลางๆ ใต้โคมไฟแสงจันทร์                         
               ที่ริมบันไดวนขึ้นสู่ชั้นบน  จัดบาร์เครื่องดื่มหรู  วางเหล้าต่างประเทศและไวน์ราคาแพงบนชั้นไม้สักสวย  บ่งบอกรสนิยมผู้เป็นเจ้าของเป็นอย่างดี
                        
                ทั้งสองเดินผ่านห้องรับรองซึ่งเป็นโถงระเบียงยาว  และเฉลียงกึ่งเปิดโล่งด้านหน้า ไปจนถึงห้องอาหารอันหรูหราโอ่อ่า  แสงสว่างจากโคมไฟระย้าและสายตาหลายคู่  บีบร่างรมิดาให้ตัวลีบเป็นกล้วยปิ้ง สาวน้อยดูแปลกหน้า แปลกต่างจากผู้คน  และสถานที่แห่งนี้นัก  เธอมาจากครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อย  มีบ้านหลังเล็กๆ ที่พ่อแม่เก็บหอมออมอดเกือบทั้งชีวิต  กว่าจะสร้างบ้านได้สักหนึ่งหลัง ท่านทั้งสองก็อายุจวนเกษียณไปแล้ว 
                        
                สายตาทุกคู่ในห้องอาหาร  จ้องนิ่งมายังเด็กสาวร่างบอบบางเป็นตาเดียวกัน  ดวงหน้าสวยแดงซ่านด้วยเขินอาย เนื่องจากเธอยังอยู่ในชุดเดินทางอับเหงื่อ  คือเสื้อยืดสีขาว  กางเกงยีนส์ขาเดฟ  ขับเน้นช่วงล่างให้ดูเพรียวระหง  แต่มันดูไม่ค่อยเข้าท่านักในสถานที่หรูหราเช่นนี้    
                        
               “ ขอโทษนะคะ ที่ทำให้ทุกท่านรอนาน”    
                เด็กสาวกล่าวสารภาพ  ยิ้มบางๆ กลบเกลื่อนอาการเก้อเขินในสีหน้า  และดูเหมือนว่า สมาชิกบ้านแสงตะวันทุกคนที่นั่งรายล้อมโต๊ะอาหารจะส่งยิ้มให้อย่างยินดี  มีเพียงคนเดียวนั่งเก๊กท่าหล่อ  ก็คือลูกชายเจ้าของฟาร์มนั่นเอง
                “ นั่งซิจ๊ะ”                 ในหอมผายมือ  แย้มยิ้มกับเธออย่างอบอุ่น 
                        
                “ ขอบคุณค่ะ  หนูชื่อรมิดา ธารารักษ์ค่ะ”     
                รมิดาแนะนำตัวเอง แล้วขยับเก้าอี้ย่อกายลง                         
                “ ฟาร์มโคนมทุ่งตะวัน  ยินดีต้อนรับหนูรมิดาเข้ามาทำงานร่วมกับเราจ้ะ ”
                “ รู้สึกเป็นเกียรติจังเลยค่ะ ”
                 “ ทำตัวตามสบายนะจ้ะ ที่ชวนหนูมาทานข้าวเย็นด้วยคืนนี้  เพราะเราอยากรู้จักหนู  และหนูก็จะได้คุ้นเคยกับสมาชิกครอบครัวของเรา”    
                        
                ภรรยาเจ้าของฟาร์มกล่าวแนะนำลูกจ้างสาวคนใหม่  ให้รู้จักกับสมาชิกภายในครอบครัวทีละคน  เริ่มตั้งแต่คุณยายโชยไม้  สตรีชราหน้าตาอิ่มเอิบผู้เป็นประมุขของบ้าน  นั่งตรงหัวโต๊ะ  ถัดมาก็คือคุณชิดชล  ซึ่งรมิดารู้จักเขามาก่อนหน้านี้แล้ว  ส่วนชายหนุ่มหน้าตาคมคายนั่งเชิดหน้าหล่ออยู่ข้างๆ เจ้าของฟาร์มหนุ่มใหญ่  ก็คือคุณเชน...บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนนั่นเอง 
                        
                 ชายหนุ่มคลี่ยิ้มมุมปากอย่างไว้ตัว  เมื่อถูกแนะนำให้เธอรู้จัก  ท่าทางเขาดูเย่อหยิ่งสมกับที่เป็นทายาทหนุ่มเพียงคนเดียว  ของเจ้าของธุรกิจฟาร์มโคนมผู้มั่งคั่งในถิ่นนี้   ที่พึงแสดงออกต่อเด็กสาวแปลกหน้าผู้มาจากแดนไกล
                        
                 อีกฟากหนึ่งของโต๊ะอาหาร  มีชายชราหน้าตาดุนั่งบอกบุญไม่รับ  แกชื่อนายเหิม เป็นหัวหน้าคนงาน นางชุ่มกลิ่นภรรยา แม่บ้านเก่าแก่ของที่นี่  นั่งอยู่ถัดไป             
                        
                “ ส่วนพี่ชื่อในหอมนะจ้ะ”
                สุภาพสตรีสาวสวยแนะนำตัวเองเป็นคนสุดท้าย...
                “ ในหอม...”    รมิดาทวนคำเบาๆ  ราวกับรู้จักคุ้นเคยมาแสนนาน  แต่มันลางเลือนนึกไม่ออกว่าที่ไหน...เมื่อไหร่ 
                        
                สาวน้อยลุกขึ้น  โค้งศีรษะให้กับสมาชิกฟาร์มโคนมทุ่งตะวันอย่างนอบน้อมถ่อมตน
                “ หนูเป็นคนเมืองเหนือหรือจ๊ะ  ผิวขาวสวยจัง”                 สตรีวัยปลายเจ็ดสิบเรือนผมสีดอกเลาถูกรวบไว้ด้านหลัง  เผยให้เห็นดวงหน้างามอิ่มเอิบ  เอ่ยถาม    นัยน์ตาคู่นั้นส่งประกายแจ่มใส  ยามทอดทอมายังเด็กสาว
                “ ค่ะ  หนูมาจากอำเภอเชียงดาว ”                 “ มาทำงานไกลออกอย่างนี้  ทางบ้านมิเป็นห่วงแย่หรือจ้ะ ”
                “ อันที่จริงคุณพ่อก็อยากให้ทำงานอยู่ใกล้ๆ บ้านค่ะ   แต่หนูบอกกับท่านว่าหนูโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว”
                แววตาและน้ำเสียงนั้น  แฝงความเชื่อมั่นในตัวเองนักหนา
                “ ขอเพียงมีความขยันขันแข็ง  มุ่งมั่น ตั้งใจจริงที่จะเรียนรู้งาน  หนูก็จะได้รับความรู้และประสบการณ์งานฟาร์มมากทีเดียว'
                ถ้อยคำหญิงชรานุ่มนวลเจือเมตตา สายตาของนางยามทอดมองสมาชิกในครอบครัว  ฉายแววเปี่ยมสุขรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นนั้น   แต้มบนดวงหน้าอิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลา  
                        
               ขณะนั่งรับประทานอาหารเงียบๆ รมิดาสังเกตเห็นสายตาคมกริบของบุตรชายเจ้าของฟาร์มผู้เย่อหยิ่ง ลอบชำเลืองมองมาที่เธอบ่อยครั้ง  ชวนให้นึกขันในสีหน้าท่าทีฝ่ายนั้นอยู่ไม่น้อย  สาวน้อยพลอยนึกหลงตัวเองว่า คงเป็นเพราะดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจาง  เปล่งประกายแจ่มจ้าเหมือนลูกแก้วใสกระจ่าง  น่ามองซ้ำนั่นกระมัง
               ดุจเดียวกับเรือนผมสีน้ำตาลแดงแปลกตา  ซอยสั้นเปิดหู  เผยให้เห็นแก้มเนียนปลั่ง   เกลี้ยงเกลาดูเยาว์วัยเหมือนแก้มทารก  และเรียวปากแดงสดปานสีลูกกวาดนั้น  ยามยิ้มก็ชวนมองอยู่ไม่น้อยเช่นกัน 
              
                หลังอาหารค่ำ  รมิดาได้ช่วยนางชุ่มกลิ่นเก็บจานไปล้างในครัว  ขณะที่เชนออกไปตรวจความเรียบร้อยรอบๆ ฟาร์ม  ชิดชลและภรรยาออกมานั่งพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่น  สนทนากับแม่โชยไม้ด้วยเรื่องราวทั่วๆไป  
                        
                 เกือบสามทุ่มครึ่ง  นางชุ่มกลิ่นจึงเดินมาส่งรมิดาที่เรือนพัก…
                 “ ขอบคุณมากนะคะ คุณป้า   ที่อุตสาห์เดินมาส่ง...”
                 “ ไม่เป็นไรจ้ะ  พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมแวะไปทานกาแฟที่โรงอาหารนะ ”
 
                 จบคำ แม่บ้านวัยชราก็ลากลับไป ทิ้งรมิดาไว้เพียงลำพังกับเสียงละเมอของทุ่งหญ้าที่หลับใหลในอ้อมกอดขุนเขา  เสียงเห่กล่อมของสายลมหวีดหวิวเหมือนเสียงผิวปากของชายเดียวดาย  บนทุ่งฟ้าที่ดารดาษด้วยดวงตาดาวนับล้าน  ทอแสงพราวระยับ  ราวกับดวงตาดาวกำลังเฝ้ามองเธออยู่
 
               มันเป็นราตรีที่ดาวสวยด้วยน้ำค้างสาว  แม้นว่าดวงดาวที่นี่อาจไม่สุกสกาวเท่าดวงดาวที่เชียงดาวบ้านเธอ  แต่รมิดากลับรู้สึกรื่นรมย์เฉกเช่นกลับมาเยือนถิ่นบ้านเกิด 
               ช่างเป็นความรู้สึกแสนประหลาดล้ำ...ที่เธอหาเหตุผลมาอธิบายให้กับตนเองไม่ได้ 
               ไฟโคมบนระเบียงเรือนพักทอแสงลางๆ หม่นเหงา  ห้องพักข้างเคียงปิดไฟนอนกันหมดแล้ว  คนงานบางห้องคงออกไปทำงานกะกลางดึก บรรยากาศรอบๆ เรือนแถวเยือกเย็นและวังเวง                       
                        
               พอพลักประตูเข้าไปในห้องพัก  รมิดาก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนบางสบายที่เตรียมมาด้วย  บอกกับตนเองว่า  พรุ่งนี้ต้องตื่นลุยงานแต่เช้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง 
                        
                หลังจากอาบน้ำสดใหม่  สมองก็ปลอดโปร่งโล่งสบาย  ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด  หรืออาจจะเป็นเพราะว่าได้งีบหลับบ้างแล้วเมื่อตอนหัวค่ำ สาวน้อยเอื้อมมือเปิดโคมไฟหัวเตียง  หยิบนิตยสาร เล่มที่มีรูปภาพชิดชลยืนรับโล่รางวัลบนปก  พลิกอ่านรายละเอียดข้างใน  แต่จับใจความอะไรไม่ได้เลย  ความครุ่นคิดวนเวียนอยู่แต่ดวงหน้าคมเข้มของหนุ่มใหญ่   ผู้เป็นเจ้าของฟาร์มโคนมแห่งนี้
                        
                เขาเป็นชายที่เธอเห็นในความฝันมาแต่เด็ก   รมิดาฝันถึงเขาแทบทุกคืน   จนเกิดความทุกข์กังวลใจ ว่าตนเองอาจมีอาการผิดปกติทางจิต  เมื่อเล่าให้ผู้เป็นมารดาฟัง  ท่านก็พาเธอไปปรึกษาจิตแพทย์  ผ่านการรักษาด้วยการสะกดจิตหลายครั้งหลายครา  ในที่สุด จิตแพทย์ก็ให้คำแนะนำว่า  อาการฝันประหลาดจะหายไป  เมื่อเธอได้พานพบผู้ชายในความฝัน...
                        
               รมิดาเอนกายอ่านหนังสือบนเตียงนุ่ม  แล้วเคลิ้มหลับไปในความมืดมิดราวม่านดำคลี่คลุม  ขณะนั้นเธอรู้สึกราวกับว่ามีมือเย็นเฉียบของใครสักคนเอื้อมมาดึงนิ้วเท้า  เด็กสาวเหลือบมองไปยังปลายเท้า  ก็เหลือบเห็นเงาร่างหนึ่งยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น  ตากลมโตยาวรีสีดำสนิท ไร้แวว เขม้นมองมาที่เธออย่างเงียบงัน  ดวงหน้าเรียวซูบเหงาเศร้า  เรือนผมหยักศกเป็นลอนยาวเหมือนตุ๊กตา  ปล่อยปลายสยายยาวลงมาถึงเอว  เธอสวมสายสร้อยและกำไลหินสีสวยงาม  ปานดำขนาดเท่าฝ่ามือกลืนกินผิวขาวซีด  บนเนินนมขวาเกือบทั้งเต้า  เรือนร่างเปลือยเปล่าดูงดงามราวภาพวาด
                        
                “ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ”
                หญิงสาวลึกลับเอ่ยเสียงเยือกเย็น                             
                รมิดาตัวแข็งทื่อเท้าเย็นเฉียบ  ราวต้องมนต์สะกด
                “ เธอเป็นใครกันจ๊ะ ”
                 “ ฉันคือเธอ และเธอก็คือฉัน...เราคือกันและกันในอดีตชาติ ”     
                 “ อะไรนะ...”          
                 เด็กสาวทวนคำ เบิกตาโต
                 “ เราเป็นคู่แฝด  มีจิตวิญญาณดวงเดียวกัน  บ้านของเราอยู่กระท่อมริมบึงโน้น ”
                 “ ฉันยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย ”
                 “ ในชาติที่แล้ว  ฉันชื่อ ชไม...” 
                สุ้มเสียงนั้นแหบเครือแผ่วเศร้านัก
                 “ ทำไมเธอถึงไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ  ไม่หนาวรึไง”
                 “ อากาศร้อนออกจะตาย  ฉันเพิ่งขึ้นมาจากบึงน้ำ  ฉันชอบหนีไปว่ายน้ำตอนกลางคืนเสมอละ ”
                 “ แล้วเธอไม่กลัวจมน้ำเหรอ ”
                 “ ไม่กลัวหรอก...ฉันว่ายน้ำเก่งออก ”
                 ในห้วงยามนี้  รมิดารู้สึกอึดอัด  เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เลย  เหมือนถูกมัดตรึงทั้งมือและเท้า
                 “ ตอนนี้ฉันขยับตัวไม่ได้เลย”
                 “ ถ้าเธอสัญญาว่าจะไปพบฉันที่กระท่อมริมบึง  และเขียนนิยายที่ค้างอยู่ให้เสร็จ  ฉันจะช่วยให้เธอเป็นอิสระ ”
                 “ เอ่อ...ตกลงฉันจะไป”                                      
                 “ อย่าลืมสัญญาเสียล่ะ ”
                 ขาดคำ  ร่างนั้นก็พลันหายวับไป...  
                        
                 รมิดาสะดุ้งเฮือก  ตื่นขึ้นมาลุกนั่งเหงื่อโทรมกาย  พลางหอบหายใจหนักถี่...เหมือนอาการของนักวิ่ง   เหนื่อยหอบจากการวิ่งระยะทางแสนไกล ไม่นานเด็กสาวก็ตระหนักได้ว่าเพิ่งตื่นจากฝัน  ฝันทั้งที่ยังตื่นอยู่  เธอไม่รู้ว่าเผลอผล็อยหลับไปตอนไหน  ถ้าหากว่าหลับฝันไปจริงๆ  แต่ทำไมภาพฝันนั้นช่างเหมือนจริงเหลือเกิน  
                 แล้วผู้หญิงในฝันคือใครกันนะ....
 
(โปรดติตามตอนต่อไปจ้า)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา