มิติรัก สองภพ
9.3
2) หญิงสาวในความฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ ๒ หญิงสาวในความฝัน
เสียงเคาะประตูห้อง ปลุกรมิดาสะดุ้งตื่น นาฬิกาบนผนังบอกเวลาทุ่มครึ่ง เธอถอนหายใจ พลางลุกไปแง้มประตู หยีตามองแม่บ้านชรายืนหน้าตาบอกบุญไม่รับ
“ คุณชลให้มาตามไปทานข้าวเย็นที่บ้าน ”
น้ำเสียงห้วนๆ บอกว่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ หนูยังไม่ได้อาบน้ำเลย ”
“ เดี๋ยวค่อยกลับมาอาบ ทุกคนกำลังรอหล่อนคนเดียวนะย่ะ ”
“ เอ่อ...ค่ะๆ ”
สาวน้อยละล่ำละลัก รู้สึกผิดในใจ รีบกุลีกุจองับประตูห้องแล้วเดินจ้ำอ้าวตามหลังแม่บ้านไป ทั้งที่ผมเผ้ายังยุ่งกระเซิง
เสียงสุนัขพันธุ์อัลเชเชี่ยนตัวโต เห่าทักทายมาจากระเบียง เมื่อแม่บ้านเดินนำรมิดามาถึงเทอเรสด้านหน้า สุภาพสตรีร่างสูงโปร่ง เปิดประตูออกมาทักทายด้วยรอยยิ้มแจ่มกระจ่าง
เพียงแรกเห็นกิริยาท่าทีสวยสง่า รมิดาก็นึกชื่นชมในใจ และรู้สึกคุ้นเคยคลับคล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน สุภาพสตรีท่านนี้คงเป็นภรรยาเจ้าของฟาร์ม หล่อนรวบผมเกล้ามวยเหมือนนักเต้นบัลเล่ย์ เผยให้เห็นดวงหน้ารูปไข่อ่อนกว่าวัย เสื้อแขนกุดสีครีมอ่อนหวานที่สวมใส่ ขับผิวพรรณให้เนียนนวลผุดผาดดุจสาวรุ่น ทั้งที่หล่อนอายุย่างสู่วัยสาวใหญ่แล้ว
“ เชิญจ้ะ เรากำลังรอหนูอยู่พอดี” เจ้าของบ้านกล่าวต้อนรับรมิดาอย่างอบอุ่น ราวกับว่าเธอเป็นแขกคนสำคัญในค่ำคืนนี้
“ การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”
“ ก็เอาการอยู่ค่ะ” เธอยิ้มตอบ
ฝ่ายนั้น ยิ้มอ่อนโยน ก่อนหันไปทางแม่บ้าน
“ ป้าชุ่มจ้ะ พาแม่หนูคนนี้ไปที่ห้องอาหารเลยนะ”
“ ค่ะ... เชิญทางนี้เลย ”
นางชุ่มกลิ่นเดินนำรมิดาไปตามเฉลียงห้องโถง ด้านหนึ่งขนานไปกับบ่อบัว มีสะพานทางเดินไม้เชื่อมต่อในระดับเดียวกัน ผ่านห้องรับรับแขก ตกแต่งเครื่องไม้งามหรู ทาเคลือบเงาขับเน้นเฉดสีและริ้วลายธรรมชาติของเนื้อไม้สักแท้ๆ กลมกลืนกับผนังบ้านโทนสีอ่อนเย็นตา แสงเงานุ่มนวลสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างกระจก ชุบบรรยากาศให้รู้สึกผ่อนคลาย มุมห้องด้านในวางโซฟานุ่ม มีตู้หนังสือเรียงสันสวยเป็นระเบียงน่าหยิบอ่านนัก ประตูกระจกบานใหญ่ด้านหลัง ติดม่านอัดกลีบสีเขียวอ่อนรวบไว้ทั้งสองข้าง เมื่อมองผ่านกระจกที่พร่ามัวด้วยละอองฝนออกไปเบื้องนอก จะแลเห็นสระว่ายน้ำและสวนสวยชอุ่มเพียงลางๆ ใต้โคมไฟแสงจันทร์
ที่ริมบันไดวนขึ้นสู่ชั้นบน จัดบาร์เครื่องดื่มหรู วางเหล้าต่างประเทศและไวน์ราคาแพงบนชั้นไม้สักสวย บ่งบอกรสนิยมผู้เป็นเจ้าของเป็นอย่างดี
ทั้งสองเดินผ่านห้องรับรองซึ่งเป็นโถงระเบียงยาว และเฉลียงกึ่งเปิดโล่งด้านหน้า ไปจนถึงห้องอาหารอันหรูหราโอ่อ่า แสงสว่างจากโคมไฟระย้าและสายตาหลายคู่ บีบร่างรมิดาให้ตัวลีบเป็นกล้วยปิ้ง สาวน้อยดูแปลกหน้า แปลกต่างจากผู้คน และสถานที่แห่งนี้นัก เธอมาจากครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อย มีบ้านหลังเล็กๆ ที่พ่อแม่เก็บหอมออมอดเกือบทั้งชีวิต กว่าจะสร้างบ้านได้สักหนึ่งหลัง ท่านทั้งสองก็อายุจวนเกษียณไปแล้ว
สายตาทุกคู่ในห้องอาหาร จ้องนิ่งมายังเด็กสาวร่างบอบบางเป็นตาเดียวกัน ดวงหน้าสวยแดงซ่านด้วยเขินอาย เนื่องจากเธอยังอยู่ในชุดเดินทางอับเหงื่อ คือเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขาเดฟ ขับเน้นช่วงล่างให้ดูเพรียวระหง แต่มันดูไม่ค่อยเข้าท่านักในสถานที่หรูหราเช่นนี้
“ ขอโทษนะคะ ที่ทำให้ทุกท่านรอนาน”
เด็กสาวกล่าวสารภาพ ยิ้มบางๆ กลบเกลื่อนอาการเก้อเขินในสีหน้า และดูเหมือนว่า สมาชิกบ้านแสงตะวันทุกคนที่นั่งรายล้อมโต๊ะอาหารจะส่งยิ้มให้อย่างยินดี มีเพียงคนเดียวนั่งเก๊กท่าหล่อ ก็คือลูกชายเจ้าของฟาร์มนั่นเอง
“ นั่งซิจ๊ะ” ในหอมผายมือ แย้มยิ้มกับเธออย่างอบอุ่น
“ ขอบคุณค่ะ หนูชื่อรมิดา ธารารักษ์ค่ะ”
รมิดาแนะนำตัวเอง แล้วขยับเก้าอี้ย่อกายลง
“ ฟาร์มโคนมทุ่งตะวัน ยินดีต้อนรับหนูรมิดาเข้ามาทำงานร่วมกับเราจ้ะ ”
“ รู้สึกเป็นเกียรติจังเลยค่ะ ”
“ ทำตัวตามสบายนะจ้ะ ที่ชวนหนูมาทานข้าวเย็นด้วยคืนนี้ เพราะเราอยากรู้จักหนู และหนูก็จะได้คุ้นเคยกับสมาชิกครอบครัวของเรา”
ภรรยาเจ้าของฟาร์มกล่าวแนะนำลูกจ้างสาวคนใหม่ ให้รู้จักกับสมาชิกภายในครอบครัวทีละคน เริ่มตั้งแต่คุณยายโชยไม้ สตรีชราหน้าตาอิ่มเอิบผู้เป็นประมุขของบ้าน นั่งตรงหัวโต๊ะ ถัดมาก็คือคุณชิดชล ซึ่งรมิดารู้จักเขามาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนชายหนุ่มหน้าตาคมคายนั่งเชิดหน้าหล่ออยู่ข้างๆ เจ้าของฟาร์มหนุ่มใหญ่ ก็คือคุณเชน...บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนนั่นเอง
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มมุมปากอย่างไว้ตัว เมื่อถูกแนะนำให้เธอรู้จัก ท่าทางเขาดูเย่อหยิ่งสมกับที่เป็นทายาทหนุ่มเพียงคนเดียว ของเจ้าของธุรกิจฟาร์มโคนมผู้มั่งคั่งในถิ่นนี้ ที่พึงแสดงออกต่อเด็กสาวแปลกหน้าผู้มาจากแดนไกล
อีกฟากหนึ่งของโต๊ะอาหาร มีชายชราหน้าตาดุนั่งบอกบุญไม่รับ แกชื่อนายเหิม เป็นหัวหน้าคนงาน นางชุ่มกลิ่นภรรยา แม่บ้านเก่าแก่ของที่นี่ นั่งอยู่ถัดไป
“ ส่วนพี่ชื่อในหอมนะจ้ะ”
สุภาพสตรีสาวสวยแนะนำตัวเองเป็นคนสุดท้าย...
“ ในหอม...” รมิดาทวนคำเบาๆ ราวกับรู้จักคุ้นเคยมาแสนนาน แต่มันลางเลือนนึกไม่ออกว่าที่ไหน...เมื่อไหร่
สาวน้อยลุกขึ้น โค้งศีรษะให้กับสมาชิกฟาร์มโคนมทุ่งตะวันอย่างนอบน้อมถ่อมตน
“ หนูเป็นคนเมืองเหนือหรือจ๊ะ ผิวขาวสวยจัง” สตรีวัยปลายเจ็ดสิบเรือนผมสีดอกเลาถูกรวบไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นดวงหน้างามอิ่มเอิบ เอ่ยถาม นัยน์ตาคู่นั้นส่งประกายแจ่มใส ยามทอดทอมายังเด็กสาว
“ ค่ะ หนูมาจากอำเภอเชียงดาว ” “ มาทำงานไกลออกอย่างนี้ ทางบ้านมิเป็นห่วงแย่หรือจ้ะ ”
“ อันที่จริงคุณพ่อก็อยากให้ทำงานอยู่ใกล้ๆ บ้านค่ะ แต่หนูบอกกับท่านว่าหนูโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว”
แววตาและน้ำเสียงนั้น แฝงความเชื่อมั่นในตัวเองนักหนา
“ ขอเพียงมีความขยันขันแข็ง มุ่งมั่น ตั้งใจจริงที่จะเรียนรู้งาน หนูก็จะได้รับความรู้และประสบการณ์งานฟาร์มมากทีเดียว'
ถ้อยคำหญิงชรานุ่มนวลเจือเมตตา สายตาของนางยามทอดมองสมาชิกในครอบครัว ฉายแววเปี่ยมสุขรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นนั้น แต้มบนดวงหน้าอิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลา
ขณะนั่งรับประทานอาหารเงียบๆ รมิดาสังเกตเห็นสายตาคมกริบของบุตรชายเจ้าของฟาร์มผู้เย่อหยิ่ง ลอบชำเลืองมองมาที่เธอบ่อยครั้ง ชวนให้นึกขันในสีหน้าท่าทีฝ่ายนั้นอยู่ไม่น้อย สาวน้อยพลอยนึกหลงตัวเองว่า คงเป็นเพราะดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจาง เปล่งประกายแจ่มจ้าเหมือนลูกแก้วใสกระจ่าง น่ามองซ้ำนั่นกระมัง
ดุจเดียวกับเรือนผมสีน้ำตาลแดงแปลกตา ซอยสั้นเปิดหู เผยให้เห็นแก้มเนียนปลั่ง เกลี้ยงเกลาดูเยาว์วัยเหมือนแก้มทารก และเรียวปากแดงสดปานสีลูกกวาดนั้น ยามยิ้มก็ชวนมองอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
หลังอาหารค่ำ รมิดาได้ช่วยนางชุ่มกลิ่นเก็บจานไปล้างในครัว ขณะที่เชนออกไปตรวจความเรียบร้อยรอบๆ ฟาร์ม ชิดชลและภรรยาออกมานั่งพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่น สนทนากับแม่โชยไม้ด้วยเรื่องราวทั่วๆไป
เกือบสามทุ่มครึ่ง นางชุ่มกลิ่นจึงเดินมาส่งรมิดาที่เรือนพัก…
“ ขอบคุณมากนะคะ คุณป้า ที่อุตสาห์เดินมาส่ง...”
“ ไม่เป็นไรจ้ะ พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมแวะไปทานกาแฟที่โรงอาหารนะ ”
จบคำ แม่บ้านวัยชราก็ลากลับไป ทิ้งรมิดาไว้เพียงลำพังกับเสียงละเมอของทุ่งหญ้าที่หลับใหลในอ้อมกอดขุนเขา เสียงเห่กล่อมของสายลมหวีดหวิวเหมือนเสียงผิวปากของชายเดียวดาย บนทุ่งฟ้าที่ดารดาษด้วยดวงตาดาวนับล้าน ทอแสงพราวระยับ ราวกับดวงตาดาวกำลังเฝ้ามองเธออยู่
มันเป็นราตรีที่ดาวสวยด้วยน้ำค้างสาว แม้นว่าดวงดาวที่นี่อาจไม่สุกสกาวเท่าดวงดาวที่เชียงดาวบ้านเธอ แต่รมิดากลับรู้สึกรื่นรมย์เฉกเช่นกลับมาเยือนถิ่นบ้านเกิด
ช่างเป็นความรู้สึกแสนประหลาดล้ำ...ที่เธอหาเหตุผลมาอธิบายให้กับตนเองไม่ได้
ไฟโคมบนระเบียงเรือนพักทอแสงลางๆ หม่นเหงา ห้องพักข้างเคียงปิดไฟนอนกันหมดแล้ว คนงานบางห้องคงออกไปทำงานกะกลางดึก บรรยากาศรอบๆ เรือนแถวเยือกเย็นและวังเวง
พอพลักประตูเข้าไปในห้องพัก รมิดาก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนบางสบายที่เตรียมมาด้วย บอกกับตนเองว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นลุยงานแต่เช้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง
หลังจากอาบน้ำสดใหม่ สมองก็ปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด หรืออาจจะเป็นเพราะว่าได้งีบหลับบ้างแล้วเมื่อตอนหัวค่ำ สาวน้อยเอื้อมมือเปิดโคมไฟหัวเตียง หยิบนิตยสาร เล่มที่มีรูปภาพชิดชลยืนรับโล่รางวัลบนปก พลิกอ่านรายละเอียดข้างใน แต่จับใจความอะไรไม่ได้เลย ความครุ่นคิดวนเวียนอยู่แต่ดวงหน้าคมเข้มของหนุ่มใหญ่ ผู้เป็นเจ้าของฟาร์มโคนมแห่งนี้
เขาเป็นชายที่เธอเห็นในความฝันมาแต่เด็ก รมิดาฝันถึงเขาแทบทุกคืน จนเกิดความทุกข์กังวลใจ ว่าตนเองอาจมีอาการผิดปกติทางจิต เมื่อเล่าให้ผู้เป็นมารดาฟัง ท่านก็พาเธอไปปรึกษาจิตแพทย์ ผ่านการรักษาด้วยการสะกดจิตหลายครั้งหลายครา ในที่สุด จิตแพทย์ก็ให้คำแนะนำว่า อาการฝันประหลาดจะหายไป เมื่อเธอได้พานพบผู้ชายในความฝัน...
รมิดาเอนกายอ่านหนังสือบนเตียงนุ่ม แล้วเคลิ้มหลับไปในความมืดมิดราวม่านดำคลี่คลุม ขณะนั้นเธอรู้สึกราวกับว่ามีมือเย็นเฉียบของใครสักคนเอื้อมมาดึงนิ้วเท้า เด็กสาวเหลือบมองไปยังปลายเท้า ก็เหลือบเห็นเงาร่างหนึ่งยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ตากลมโตยาวรีสีดำสนิท ไร้แวว เขม้นมองมาที่เธออย่างเงียบงัน ดวงหน้าเรียวซูบเหงาเศร้า เรือนผมหยักศกเป็นลอนยาวเหมือนตุ๊กตา ปล่อยปลายสยายยาวลงมาถึงเอว เธอสวมสายสร้อยและกำไลหินสีสวยงาม ปานดำขนาดเท่าฝ่ามือกลืนกินผิวขาวซีด บนเนินนมขวาเกือบทั้งเต้า เรือนร่างเปลือยเปล่าดูงดงามราวภาพวาด
“ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ”
หญิงสาวลึกลับเอ่ยเสียงเยือกเย็น
รมิดาตัวแข็งทื่อเท้าเย็นเฉียบ ราวต้องมนต์สะกด
“ เธอเป็นใครกันจ๊ะ ”
“ ฉันคือเธอ และเธอก็คือฉัน...เราคือกันและกันในอดีตชาติ ”
“ อะไรนะ...”
เด็กสาวทวนคำ เบิกตาโต
“ เราเป็นคู่แฝด มีจิตวิญญาณดวงเดียวกัน บ้านของเราอยู่กระท่อมริมบึงโน้น ”
“ ฉันยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย ”
“ ในชาติที่แล้ว ฉันชื่อ ชไม...”
สุ้มเสียงนั้นแหบเครือแผ่วเศร้านัก
“ ทำไมเธอถึงไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ ไม่หนาวรึไง”
“ อากาศร้อนออกจะตาย ฉันเพิ่งขึ้นมาจากบึงน้ำ ฉันชอบหนีไปว่ายน้ำตอนกลางคืนเสมอละ ”
“ แล้วเธอไม่กลัวจมน้ำเหรอ ”
“ ไม่กลัวหรอก...ฉันว่ายน้ำเก่งออก ”
ในห้วงยามนี้ รมิดารู้สึกอึดอัด เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เลย เหมือนถูกมัดตรึงทั้งมือและเท้า
“ ตอนนี้ฉันขยับตัวไม่ได้เลย”
“ ถ้าเธอสัญญาว่าจะไปพบฉันที่กระท่อมริมบึง และเขียนนิยายที่ค้างอยู่ให้เสร็จ ฉันจะช่วยให้เธอเป็นอิสระ ”
“ เอ่อ...ตกลงฉันจะไป”
“ อย่าลืมสัญญาเสียล่ะ ”
ขาดคำ ร่างนั้นก็พลันหายวับไป...
รมิดาสะดุ้งเฮือก ตื่นขึ้นมาลุกนั่งเหงื่อโทรมกาย พลางหอบหายใจหนักถี่...เหมือนอาการของนักวิ่ง เหนื่อยหอบจากการวิ่งระยะทางแสนไกล ไม่นานเด็กสาวก็ตระหนักได้ว่าเพิ่งตื่นจากฝัน ฝันทั้งที่ยังตื่นอยู่ เธอไม่รู้ว่าเผลอผล็อยหลับไปตอนไหน ถ้าหากว่าหลับฝันไปจริงๆ แต่ทำไมภาพฝันนั้นช่างเหมือนจริงเหลือเกิน
แล้วผู้หญิงในฝันคือใครกันนะ....
(โปรดติตามตอนต่อไปจ้า)
เสียงเคาะประตูห้อง ปลุกรมิดาสะดุ้งตื่น นาฬิกาบนผนังบอกเวลาทุ่มครึ่ง เธอถอนหายใจ พลางลุกไปแง้มประตู หยีตามองแม่บ้านชรายืนหน้าตาบอกบุญไม่รับ
“ คุณชลให้มาตามไปทานข้าวเย็นที่บ้าน ”
น้ำเสียงห้วนๆ บอกว่าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ หนูยังไม่ได้อาบน้ำเลย ”
“ เดี๋ยวค่อยกลับมาอาบ ทุกคนกำลังรอหล่อนคนเดียวนะย่ะ ”
“ เอ่อ...ค่ะๆ ”
สาวน้อยละล่ำละลัก รู้สึกผิดในใจ รีบกุลีกุจองับประตูห้องแล้วเดินจ้ำอ้าวตามหลังแม่บ้านไป ทั้งที่ผมเผ้ายังยุ่งกระเซิง
เสียงสุนัขพันธุ์อัลเชเชี่ยนตัวโต เห่าทักทายมาจากระเบียง เมื่อแม่บ้านเดินนำรมิดามาถึงเทอเรสด้านหน้า สุภาพสตรีร่างสูงโปร่ง เปิดประตูออกมาทักทายด้วยรอยยิ้มแจ่มกระจ่าง
เพียงแรกเห็นกิริยาท่าทีสวยสง่า รมิดาก็นึกชื่นชมในใจ และรู้สึกคุ้นเคยคลับคล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน สุภาพสตรีท่านนี้คงเป็นภรรยาเจ้าของฟาร์ม หล่อนรวบผมเกล้ามวยเหมือนนักเต้นบัลเล่ย์ เผยให้เห็นดวงหน้ารูปไข่อ่อนกว่าวัย เสื้อแขนกุดสีครีมอ่อนหวานที่สวมใส่ ขับผิวพรรณให้เนียนนวลผุดผาดดุจสาวรุ่น ทั้งที่หล่อนอายุย่างสู่วัยสาวใหญ่แล้ว
“ เชิญจ้ะ เรากำลังรอหนูอยู่พอดี” เจ้าของบ้านกล่าวต้อนรับรมิดาอย่างอบอุ่น ราวกับว่าเธอเป็นแขกคนสำคัญในค่ำคืนนี้
“ การเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง”
“ ก็เอาการอยู่ค่ะ” เธอยิ้มตอบ
ฝ่ายนั้น ยิ้มอ่อนโยน ก่อนหันไปทางแม่บ้าน
“ ป้าชุ่มจ้ะ พาแม่หนูคนนี้ไปที่ห้องอาหารเลยนะ”
“ ค่ะ... เชิญทางนี้เลย ”
นางชุ่มกลิ่นเดินนำรมิดาไปตามเฉลียงห้องโถง ด้านหนึ่งขนานไปกับบ่อบัว มีสะพานทางเดินไม้เชื่อมต่อในระดับเดียวกัน ผ่านห้องรับรับแขก ตกแต่งเครื่องไม้งามหรู ทาเคลือบเงาขับเน้นเฉดสีและริ้วลายธรรมชาติของเนื้อไม้สักแท้ๆ กลมกลืนกับผนังบ้านโทนสีอ่อนเย็นตา แสงเงานุ่มนวลสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างกระจก ชุบบรรยากาศให้รู้สึกผ่อนคลาย มุมห้องด้านในวางโซฟานุ่ม มีตู้หนังสือเรียงสันสวยเป็นระเบียงน่าหยิบอ่านนัก ประตูกระจกบานใหญ่ด้านหลัง ติดม่านอัดกลีบสีเขียวอ่อนรวบไว้ทั้งสองข้าง เมื่อมองผ่านกระจกที่พร่ามัวด้วยละอองฝนออกไปเบื้องนอก จะแลเห็นสระว่ายน้ำและสวนสวยชอุ่มเพียงลางๆ ใต้โคมไฟแสงจันทร์
ที่ริมบันไดวนขึ้นสู่ชั้นบน จัดบาร์เครื่องดื่มหรู วางเหล้าต่างประเทศและไวน์ราคาแพงบนชั้นไม้สักสวย บ่งบอกรสนิยมผู้เป็นเจ้าของเป็นอย่างดี
ทั้งสองเดินผ่านห้องรับรองซึ่งเป็นโถงระเบียงยาว และเฉลียงกึ่งเปิดโล่งด้านหน้า ไปจนถึงห้องอาหารอันหรูหราโอ่อ่า แสงสว่างจากโคมไฟระย้าและสายตาหลายคู่ บีบร่างรมิดาให้ตัวลีบเป็นกล้วยปิ้ง สาวน้อยดูแปลกหน้า แปลกต่างจากผู้คน และสถานที่แห่งนี้นัก เธอมาจากครอบครัวข้าราชการชั้นผู้น้อย มีบ้านหลังเล็กๆ ที่พ่อแม่เก็บหอมออมอดเกือบทั้งชีวิต กว่าจะสร้างบ้านได้สักหนึ่งหลัง ท่านทั้งสองก็อายุจวนเกษียณไปแล้ว
สายตาทุกคู่ในห้องอาหาร จ้องนิ่งมายังเด็กสาวร่างบอบบางเป็นตาเดียวกัน ดวงหน้าสวยแดงซ่านด้วยเขินอาย เนื่องจากเธอยังอยู่ในชุดเดินทางอับเหงื่อ คือเสื้อยืดสีขาว กางเกงยีนส์ขาเดฟ ขับเน้นช่วงล่างให้ดูเพรียวระหง แต่มันดูไม่ค่อยเข้าท่านักในสถานที่หรูหราเช่นนี้
“ ขอโทษนะคะ ที่ทำให้ทุกท่านรอนาน”
เด็กสาวกล่าวสารภาพ ยิ้มบางๆ กลบเกลื่อนอาการเก้อเขินในสีหน้า และดูเหมือนว่า สมาชิกบ้านแสงตะวันทุกคนที่นั่งรายล้อมโต๊ะอาหารจะส่งยิ้มให้อย่างยินดี มีเพียงคนเดียวนั่งเก๊กท่าหล่อ ก็คือลูกชายเจ้าของฟาร์มนั่นเอง
“ นั่งซิจ๊ะ” ในหอมผายมือ แย้มยิ้มกับเธออย่างอบอุ่น
“ ขอบคุณค่ะ หนูชื่อรมิดา ธารารักษ์ค่ะ”
รมิดาแนะนำตัวเอง แล้วขยับเก้าอี้ย่อกายลง
“ ฟาร์มโคนมทุ่งตะวัน ยินดีต้อนรับหนูรมิดาเข้ามาทำงานร่วมกับเราจ้ะ ”
“ รู้สึกเป็นเกียรติจังเลยค่ะ ”
“ ทำตัวตามสบายนะจ้ะ ที่ชวนหนูมาทานข้าวเย็นด้วยคืนนี้ เพราะเราอยากรู้จักหนู และหนูก็จะได้คุ้นเคยกับสมาชิกครอบครัวของเรา”
ภรรยาเจ้าของฟาร์มกล่าวแนะนำลูกจ้างสาวคนใหม่ ให้รู้จักกับสมาชิกภายในครอบครัวทีละคน เริ่มตั้งแต่คุณยายโชยไม้ สตรีชราหน้าตาอิ่มเอิบผู้เป็นประมุขของบ้าน นั่งตรงหัวโต๊ะ ถัดมาก็คือคุณชิดชล ซึ่งรมิดารู้จักเขามาก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนชายหนุ่มหน้าตาคมคายนั่งเชิดหน้าหล่ออยู่ข้างๆ เจ้าของฟาร์มหนุ่มใหญ่ ก็คือคุณเชน...บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนนั่นเอง
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มมุมปากอย่างไว้ตัว เมื่อถูกแนะนำให้เธอรู้จัก ท่าทางเขาดูเย่อหยิ่งสมกับที่เป็นทายาทหนุ่มเพียงคนเดียว ของเจ้าของธุรกิจฟาร์มโคนมผู้มั่งคั่งในถิ่นนี้ ที่พึงแสดงออกต่อเด็กสาวแปลกหน้าผู้มาจากแดนไกล
อีกฟากหนึ่งของโต๊ะอาหาร มีชายชราหน้าตาดุนั่งบอกบุญไม่รับ แกชื่อนายเหิม เป็นหัวหน้าคนงาน นางชุ่มกลิ่นภรรยา แม่บ้านเก่าแก่ของที่นี่ นั่งอยู่ถัดไป
“ ส่วนพี่ชื่อในหอมนะจ้ะ”
สุภาพสตรีสาวสวยแนะนำตัวเองเป็นคนสุดท้าย...
“ ในหอม...” รมิดาทวนคำเบาๆ ราวกับรู้จักคุ้นเคยมาแสนนาน แต่มันลางเลือนนึกไม่ออกว่าที่ไหน...เมื่อไหร่
สาวน้อยลุกขึ้น โค้งศีรษะให้กับสมาชิกฟาร์มโคนมทุ่งตะวันอย่างนอบน้อมถ่อมตน
“ หนูเป็นคนเมืองเหนือหรือจ๊ะ ผิวขาวสวยจัง” สตรีวัยปลายเจ็ดสิบเรือนผมสีดอกเลาถูกรวบไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นดวงหน้างามอิ่มเอิบ เอ่ยถาม นัยน์ตาคู่นั้นส่งประกายแจ่มใส ยามทอดทอมายังเด็กสาว
“ ค่ะ หนูมาจากอำเภอเชียงดาว ” “ มาทำงานไกลออกอย่างนี้ ทางบ้านมิเป็นห่วงแย่หรือจ้ะ ”
“ อันที่จริงคุณพ่อก็อยากให้ทำงานอยู่ใกล้ๆ บ้านค่ะ แต่หนูบอกกับท่านว่าหนูโตพอที่จะดูแลตัวเองได้แล้ว”
แววตาและน้ำเสียงนั้น แฝงความเชื่อมั่นในตัวเองนักหนา
“ ขอเพียงมีความขยันขันแข็ง มุ่งมั่น ตั้งใจจริงที่จะเรียนรู้งาน หนูก็จะได้รับความรู้และประสบการณ์งานฟาร์มมากทีเดียว'
ถ้อยคำหญิงชรานุ่มนวลเจือเมตตา สายตาของนางยามทอดมองสมาชิกในครอบครัว ฉายแววเปี่ยมสุขรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นนั้น แต้มบนดวงหน้าอิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลา
ขณะนั่งรับประทานอาหารเงียบๆ รมิดาสังเกตเห็นสายตาคมกริบของบุตรชายเจ้าของฟาร์มผู้เย่อหยิ่ง ลอบชำเลืองมองมาที่เธอบ่อยครั้ง ชวนให้นึกขันในสีหน้าท่าทีฝ่ายนั้นอยู่ไม่น้อย สาวน้อยพลอยนึกหลงตัวเองว่า คงเป็นเพราะดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจาง เปล่งประกายแจ่มจ้าเหมือนลูกแก้วใสกระจ่าง น่ามองซ้ำนั่นกระมัง
ดุจเดียวกับเรือนผมสีน้ำตาลแดงแปลกตา ซอยสั้นเปิดหู เผยให้เห็นแก้มเนียนปลั่ง เกลี้ยงเกลาดูเยาว์วัยเหมือนแก้มทารก และเรียวปากแดงสดปานสีลูกกวาดนั้น ยามยิ้มก็ชวนมองอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
หลังอาหารค่ำ รมิดาได้ช่วยนางชุ่มกลิ่นเก็บจานไปล้างในครัว ขณะที่เชนออกไปตรวจความเรียบร้อยรอบๆ ฟาร์ม ชิดชลและภรรยาออกมานั่งพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่น สนทนากับแม่โชยไม้ด้วยเรื่องราวทั่วๆไป
เกือบสามทุ่มครึ่ง นางชุ่มกลิ่นจึงเดินมาส่งรมิดาที่เรือนพัก…
“ ขอบคุณมากนะคะ คุณป้า ที่อุตสาห์เดินมาส่ง...”
“ ไม่เป็นไรจ้ะ พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมแวะไปทานกาแฟที่โรงอาหารนะ ”
จบคำ แม่บ้านวัยชราก็ลากลับไป ทิ้งรมิดาไว้เพียงลำพังกับเสียงละเมอของทุ่งหญ้าที่หลับใหลในอ้อมกอดขุนเขา เสียงเห่กล่อมของสายลมหวีดหวิวเหมือนเสียงผิวปากของชายเดียวดาย บนทุ่งฟ้าที่ดารดาษด้วยดวงตาดาวนับล้าน ทอแสงพราวระยับ ราวกับดวงตาดาวกำลังเฝ้ามองเธออยู่
มันเป็นราตรีที่ดาวสวยด้วยน้ำค้างสาว แม้นว่าดวงดาวที่นี่อาจไม่สุกสกาวเท่าดวงดาวที่เชียงดาวบ้านเธอ แต่รมิดากลับรู้สึกรื่นรมย์เฉกเช่นกลับมาเยือนถิ่นบ้านเกิด
ช่างเป็นความรู้สึกแสนประหลาดล้ำ...ที่เธอหาเหตุผลมาอธิบายให้กับตนเองไม่ได้
ไฟโคมบนระเบียงเรือนพักทอแสงลางๆ หม่นเหงา ห้องพักข้างเคียงปิดไฟนอนกันหมดแล้ว คนงานบางห้องคงออกไปทำงานกะกลางดึก บรรยากาศรอบๆ เรือนแถวเยือกเย็นและวังเวง
พอพลักประตูเข้าไปในห้องพัก รมิดาก็รีบอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนบางสบายที่เตรียมมาด้วย บอกกับตนเองว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นลุยงานแต่เช้า ซึ่งไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง
หลังจากอาบน้ำสดใหม่ สมองก็ปลอดโปร่งโล่งสบาย ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด หรืออาจจะเป็นเพราะว่าได้งีบหลับบ้างแล้วเมื่อตอนหัวค่ำ สาวน้อยเอื้อมมือเปิดโคมไฟหัวเตียง หยิบนิตยสาร เล่มที่มีรูปภาพชิดชลยืนรับโล่รางวัลบนปก พลิกอ่านรายละเอียดข้างใน แต่จับใจความอะไรไม่ได้เลย ความครุ่นคิดวนเวียนอยู่แต่ดวงหน้าคมเข้มของหนุ่มใหญ่ ผู้เป็นเจ้าของฟาร์มโคนมแห่งนี้
เขาเป็นชายที่เธอเห็นในความฝันมาแต่เด็ก รมิดาฝันถึงเขาแทบทุกคืน จนเกิดความทุกข์กังวลใจ ว่าตนเองอาจมีอาการผิดปกติทางจิต เมื่อเล่าให้ผู้เป็นมารดาฟัง ท่านก็พาเธอไปปรึกษาจิตแพทย์ ผ่านการรักษาด้วยการสะกดจิตหลายครั้งหลายครา ในที่สุด จิตแพทย์ก็ให้คำแนะนำว่า อาการฝันประหลาดจะหายไป เมื่อเธอได้พานพบผู้ชายในความฝัน...
รมิดาเอนกายอ่านหนังสือบนเตียงนุ่ม แล้วเคลิ้มหลับไปในความมืดมิดราวม่านดำคลี่คลุม ขณะนั้นเธอรู้สึกราวกับว่ามีมือเย็นเฉียบของใครสักคนเอื้อมมาดึงนิ้วเท้า เด็กสาวเหลือบมองไปยังปลายเท้า ก็เหลือบเห็นเงาร่างหนึ่งยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ตากลมโตยาวรีสีดำสนิท ไร้แวว เขม้นมองมาที่เธออย่างเงียบงัน ดวงหน้าเรียวซูบเหงาเศร้า เรือนผมหยักศกเป็นลอนยาวเหมือนตุ๊กตา ปล่อยปลายสยายยาวลงมาถึงเอว เธอสวมสายสร้อยและกำไลหินสีสวยงาม ปานดำขนาดเท่าฝ่ามือกลืนกินผิวขาวซีด บนเนินนมขวาเกือบทั้งเต้า เรือนร่างเปลือยเปล่าดูงดงามราวภาพวาด
“ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน ”
หญิงสาวลึกลับเอ่ยเสียงเยือกเย็น
รมิดาตัวแข็งทื่อเท้าเย็นเฉียบ ราวต้องมนต์สะกด
“ เธอเป็นใครกันจ๊ะ ”
“ ฉันคือเธอ และเธอก็คือฉัน...เราคือกันและกันในอดีตชาติ ”
“ อะไรนะ...”
เด็กสาวทวนคำ เบิกตาโต
“ เราเป็นคู่แฝด มีจิตวิญญาณดวงเดียวกัน บ้านของเราอยู่กระท่อมริมบึงโน้น ”
“ ฉันยังไม่รู้จักชื่อเธอเลย ”
“ ในชาติที่แล้ว ฉันชื่อ ชไม...”
สุ้มเสียงนั้นแหบเครือแผ่วเศร้านัก
“ ทำไมเธอถึงไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ ไม่หนาวรึไง”
“ อากาศร้อนออกจะตาย ฉันเพิ่งขึ้นมาจากบึงน้ำ ฉันชอบหนีไปว่ายน้ำตอนกลางคืนเสมอละ ”
“ แล้วเธอไม่กลัวจมน้ำเหรอ ”
“ ไม่กลัวหรอก...ฉันว่ายน้ำเก่งออก ”
ในห้วงยามนี้ รมิดารู้สึกอึดอัด เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้เลย เหมือนถูกมัดตรึงทั้งมือและเท้า
“ ตอนนี้ฉันขยับตัวไม่ได้เลย”
“ ถ้าเธอสัญญาว่าจะไปพบฉันที่กระท่อมริมบึง และเขียนนิยายที่ค้างอยู่ให้เสร็จ ฉันจะช่วยให้เธอเป็นอิสระ ”
“ เอ่อ...ตกลงฉันจะไป”
“ อย่าลืมสัญญาเสียล่ะ ”
ขาดคำ ร่างนั้นก็พลันหายวับไป...
รมิดาสะดุ้งเฮือก ตื่นขึ้นมาลุกนั่งเหงื่อโทรมกาย พลางหอบหายใจหนักถี่...เหมือนอาการของนักวิ่ง เหนื่อยหอบจากการวิ่งระยะทางแสนไกล ไม่นานเด็กสาวก็ตระหนักได้ว่าเพิ่งตื่นจากฝัน ฝันทั้งที่ยังตื่นอยู่ เธอไม่รู้ว่าเผลอผล็อยหลับไปตอนไหน ถ้าหากว่าหลับฝันไปจริงๆ แต่ทำไมภาพฝันนั้นช่างเหมือนจริงเหลือเกิน
แล้วผู้หญิงในฝันคือใครกันนะ....
(โปรดติตามตอนต่อไปจ้า)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ