Epidemia: Epic World on Fire

7.9

เขียนโดย MiG360Vampire

วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20.33 น.

  25 ตอน
  32 วิจารณ์
  37.63K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

17) Full scale assault [Part 7]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นักรบโนเบิลทุกนายเปลี่ยนจากชุดรบมาตรฐานมาเป็นชุดพลเรือนของเจ้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทำให้ดูกลมกลืนกับชาวเอไพด์เมียร์เผ่าเอลฟ์ถ้าไม่นับผิวสีน้ำผึ้ง มัดกล้ามที่มากกว่า และสีผมที่มักจะอมเงินๆ ทองๆ อีริคผู้เดินตรวจเครื่องแต่งกายต้องเม้มปากคิดหนักว่าจะทำอย่างไร แล้วเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าดาเมส ก่อนจะหยั่งคำถาม

 

“จะว่าอะไรรึเปล่าถ้าเราจะลงเวทมนตร์ย้อมผมเปลี่ยนสีผิวพวกคุณพวกคุณ”

 

“ถ้าทำกลับได้ก็เชิญเลย”

 

ได้คำตอบอย่างเต็มเสียงจากหัวหน้ากลุ่ม เหล่ากบฏดราก้อนไนท์ก็หมดความลังเล เริ่มร่ายเวทมนตร์แปลงโฉมทันที เมื่อเสร็จออกมาทหารผู้ประเสริฐทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรกับเอลฟ์เจ้าถิ่น จากนั้นทุกคนจึงได้รับมอบอาวุธหลากหลายหน้าที่ตามหน้าที่เดิมของทหารแต่ละคน

 

“พวกคุณพร้อมแล้ว ทำตามผมหรือคนของผมทุกอย่าง ถ้าไม่อยากให้ปฏิบัติการนี้ล่ม”

 

โดยไม่ต้องแปลภาษาให้ยุ่งยากทุกคนขานตอบอย่างเต็มเสียงเหมือนเป็นชาวเอไพด์เมียร์โดยกำเนิด จากนั้นทุกคนจึงเดินทางกันไปเป็นกลุ่มที่กระจายตัวกันพอสมควร โดยทิ้งกลุ่มนักรบจำนวนหนึ่งเอาไว้ที่จุดเดิมเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง

 

บริเวณรอบสนามบินที่เคยเต็มไปด้วยกำลังทหารที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่บัดนี้หายไปมากกว่าครึ่ง และดูเหมือนจะไม่ได้เตรียมการรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันเลย ซูเปอร์โซลเจอร์หนุ่มในชุดผ้าคลุมสีน้ำตาลซีดนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติก ซึ่งตั้งอยู่ในร่มเงาของขอควบคุมการบิน อ่านหนังสือนิยายอย่างเพลิดเพลินราวกับอยู่ตัวคนเดียวในโลกส่วนตัว ส่วนที่กำลังทำงานอย่างจริงจังก็ดูเหมือนจะมีเพียงเจ้าหน้าที่บนหอควบคุมการบินเท่านั้น

 

ทุกอย่างสงบเงียบ การเดินตรวจการณ์ของทหารก็แทบจะกลายเป็นการเดินเล่น ถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่ากำลังถือปืนอยู่ จนกระทั่งเวลาผ่านไปตามกำหนด 40 นาทีหลังจากที่กำลังทางอากาศที่ประจำอยู่ได้รับคำสั่งให้ไปสนับสนุนกองกำลังรอบนอกต้านทานกองทัพโนเบิล เครื่องบินรบนับร้อยลำก็บินมาถึง ส่วนหนึ่งบินลาดตระเวนรับช่วงต่อจากชุดเก่าที่เหลือ ส่วนที่เหลือพากันร่อนลงจนหมด ทุกอย่างก็ยังคงราบรื่นและดูเหมือนจะไม่มีสัญญาณอันตรายอะไรเลย

 

ทุกอย่างสงบราบรื่นจนกระทั่งซูเปอร์โซลเจอร์หนุ่มได้ถูกกระสุนไรเฟิลซุ่มยิงเจาะเข้ากลางหน้าผากหน้าฟุบลงคาหนังสือ ก่อนจะตามด้วยทหารที่เดินรักษาการณ์อยู่ในบริเวณลานบินกว้างหน้าโรงเก็บเครื่องบินยักษ์ ถูกยิงตายเป็นใบไม้ร่วงด้วยฝีมือยิงอันแม่นยำยิง 100 นัดถูก 100 นัด แม้จะมีการตื่นตกใจกันบ้างและได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ไม่สามารถตอบโต้ได้ จนกระทั่งกลายเป็นศพกันหมด ทหารที่อยู่ในอาคารต่างวิ่งพรูกันออกมาราวน้ำไหล นักรบกบฏห้านายพร้อมปืนกลเบาก็นอนหมอบรอตั้งขาทรายไว้แล้วโดยตั้งแนวยิงให้ขัดกัน 5 ตำแหน่งกระจายอยู่ทั่วลานบิน ยังไม่ทันที่ทหารฝ่ายเจ้าบ้านจะได้ตอบโต้ พลยิงสนับสนุนทั้ง 5 ก็เริ่มเปิดฉากยิงกราดไม่เลี้ยงส่งร่างหลายสิบร่างลงไปนอนจมกองเลือด

 

เสียงปืนทั้งหมดได้เงียบลงแล้ว ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง กองกำลังกบฏแยกเป็นสี่ส่วน ส่วนหนึ่งบุกเข้าไปหอบังคับการบินนำโดยอเล็กแซนดร้า ส่วนหนึ่งบุกเข้าไปที่โรงเก็บเครื่องบินยักษ์นำโดยดาเมส และอีกสองส่วนบุกเข้าค้นอาคารที่พักทหาร คลังแสง และอาคารกิจการต่างๆ ทุกหลังนำโดยทามิสและอีริค

 

ภารกิจก่อวินาศกรรมของกองกำลังร่วมอย่างลับๆ ระหว่างนักรบโนเบิลเฉพาะกิจและดราก้อนไนท์ดูจะราบรื่น และง่ายดาย แต่ทว่าเสียงปืนก็ดังขึ้นอีก คราวนี้มาจากภายในอาคารทุกหลังยกเว้นโรงเก็บเครื่องบินยักษ์ เป็นการยิงต่อสู้กันขนานใหญ่

 

ทามิสและอีริควิ่งหนีออกมาจากอาคารที่บุกเข้าไปอย่างสุดชีวิตพร้อมกับนักรบอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งลดจำนวนลงไปกว่าครึ่ง ทางด้านหอบังคับการบินนั้นทีมของอเล็กแซนดร้าสามารถยึดได้สำเร็จ และใช้เป็นป้อมชั่วคราว หน้าต่างทุกจุดถูกพานท้ายปืนทุบจนแตกเพื่อให้สามารถยิงออกไปได้ ส่วนดาเมสนั้นได้สั่งทหารครึ่งหนึ่งออกไปยิงสนับสนุนทีมของทามิสและอีริค ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งพากันไปติดตั้งระเบิดไว้ที่จุดสำคัญของเครื่องบินยักษ์ ร่างทุกร่างของฝ่ายเจ้าบ้านที่ถูกยิงเป็นศพบัดนี้ได้อันตรธานไปหมดราวกับระเหยไปกับอากาศ

 

“เวทมนตร์ลวงตา พวกแมร่งรู้ว่าเราจะมา ไปตั้งหลักที่โรงเก็บเครื่องบิน”

 

อีริคร้องตะโกนสั่งลั่นพลางมือขวากดไกแช่กราดยิงต่อสู้ไปด้วยไรเฟิลจู่โจม ส่วนมือซ้ายยกขึ้นโบกเป็นสัญญาณ ส่วนทามิสก็วิ่งหนีไปหยิบระเบิดมือขว้างตูมตามๆ ข้ามหัวนักรบใต้บังคับบัญชาเข้าไปในอาคารที่วิ่งหนีกันออกมาแบบไม่เลี้ยง

 

“ยุทธวิธีหน่วยยิงสลับถอยหลัง ยุทธวิธีหน่วยยิงสลับถอยหลัง”

 

สมิงหนุ่มผู้นำหนึ่งในสี่ทีมยังคงแหกปากลั่นสั่งการแข่งกับเสียงปืนพลางโบกสัญญาณมือไปด้วย สั่งจบพลยิงสนับสนุนสองนายของทั้งทีมสายลับหนุ่มและหัวหน้าสมิงหนุ่ม ต่างก้าวขึ้นไปเบื้องหน้าเล็กน้อย ก่อนจะนอนหมอบตั้งปืนกลเบาแล้วเริ่มยิงกราดทันที เมื่อนั้นนักรบที่เหลือก็วิ่งถอนกำลังกลับอย่างเดียว พลยิงสนับสนุนอีก 2 นายแตกจากกลุ่มแล้วนอนหมอบตั้งปืนกลเบาพลางร้องบอกกับคู่ข้างหน้าให้ถอย

 

ก่อนจะยกปืนกลเบาขึ้นเพื่อย้ายตำแหน่งยิง พลยิงคู่หน้าก็หยิบระเบิดมือขว้างออกไปคนละ 2 ลูก ฉวยเอาปืนประจำตัวแล้วรีบวิ่งอ้อมไปด้านหลังของพลยิงคู่หลัง ทันทีที่คู่หน้าออกจากวิถีกระสุนพวกเขาก็เริ่มกระหน่ำยิงทันที ขั้นตอนปฏิบัติดำเนินไปเรื่อยตรึงกองกำลังสัญชาติชทัมมันไว้กับที่ด้วยม่านกระสุนจากปืนกลเบาจนกระทั่งกองกำลังในทีมของทามิสและอีริคได้ถอยเข้าไปตั้งหลักในโรงเก็บเครื่องบินยักษ์ที่ดาเมสคุมอยู่

 

ทันใดนั้นก็ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ขีปนาวุธต่อต้านยานเกราะ 4 นัดได้พุ่งเข้าใส่หอบังคับการบินตลอดความสูงจนถล่มลงมากองเป็นซาก ก่อนจะตามด้วยปืนใหญ่อากาศที่กระหน่ำยิงซ้ำอย่างเกรี้ยวกราดราวหวังจะให้อะไรก็ตามที่อยู่ใต้ซากนั้นแหลกเหลวไป อีริค ทามิส และนักรบกบฏบางคนมองเห็นอย่างชัดเจนทุกฉาก พวกเขาแทบจะร้องคำรามอย่างบ้าคลั่งกับการสูญเสียกองกำลังส่วนหนึ่งและพรรคพวกอันเป็นที่รักไป

 

ไจโรเพลนโจมตีแบบที่นั่งเดี่ยว 4 ลำปรากฏตัวขึ้นจากทางด้านปลายลานบิน และกำลังแปรขบวนกระจายตัวออกเพื่อล้อมหน้าล้อมหลังกองกำลังของศัตรู โดยลำหนึ่งอ้อมไปทางด้านหลังโรงจอดเครื่องบินยักษ์คุมเชิงเอาไว้ ส่วนที่เหลือลอยตัวกระจายอยู่ด้านหน้าที่มั่นของกองกำลังกบฏ แล้วกราดปืนใหญ่อากาศปูพรมด้วยกระสุนหัวระเบิดไปยังบริเวณด้านหน้าทางเข้าของโรงเก็บเครื่องบินยักษ์ สถานการณ์ตึงเครียดสุดๆ อีริคหันไปถามพรรคพวกของตนว่า

 

“มีใครเอาแซมประทับบ่ามาบ้างรึเปล่า”

 

เหล่านักรบกบฏและหน่วยเฉพาะกิจโนเบิลต่างมองหน้ากันแล้วพากันส่ายหน้าอย่างหมดหวัง สายตาของสมิงดำหนุ่มมองกวาดไปยังพรรคพวกของตนด้วยความเคร่งเครียดอย่างคาดคั้นคำตอบ จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งตอบขึ้นว่า

 

“มีอยู่ 2 เครื่องแต่อยู่กับทีมของคุณอเล็กแซนดร้า”

 

“ให้มันได้แบบนี้สิวะ”

 

ทามิสว่า สบถอุบอิบอย่างหัวเสีย

 

“อีริค ลูกันน่า หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการย่อย ฮันเตอร์ จงยอมจำนนแต่โดยดี พวกเราล้อมเอาไว้หมดแล้ว พวกเราจะปฏิบัติกับพวกคุณตามกฎหมายคุ้มครองเชลยสงครามถ้าพวกคุณไม่ขัดขืน ขอย้ำ จงยอมจำนนแต่โดยดี พวกเราจะปฏิบัติกับพวกคุณตามกฎหมายคุ้มครองเชลยสงครามถ้าพวกคุณไม่ขัดขืน”

 

ทันใดนั้นก็มีเสียงหญิงสาวคนหนึ่งประกาศมาจากด้านนอกด้วยเครื่องขยายเสียง ทุกคนรู้สึกถึงแรงกดดันราวกับว่าผู้ประกาศยืนจังก้าถือโทรโข่งป่าวประกาศอยู่หน้าประตูใหญ่อย่างไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น อีริคหน้านิ่วคิ้วขมวดสะบัดหน้าไปทางต้นเสียงทันที ก่อนจะเดินไปที่ชายประตูแล้วหมอบลงแนบพื้น สอดสายตาผ่านประตูโรงเก็บที่แง้มอยู่เล็กน้อย

 

ผู้ประกาศยืนถือไมโครโฟนจ่อปากอยู่ที่หน้าประตูจริงๆ ห่างออกไปเพียงเกือบยี่สิบเมตรเศษเท่านั้น เบื้องหลังห่างออกไป 2 เมตรก็เป็นแถวทหารราบหน้ากระดานที่เว้นช่วงห่างกันประมาณ 1 ช่วงแขนครึ่ง มีสองแถวหน้ากับหลัง กำลังเล็งปืนตรงไปข้างหน้า และห่างออกไปอีกเล็กน้อยก็เป็นหน่วยจอมเวท 4-5 คนยืนกระจายกำลังอยู่กางเกราะเวทมนตร์คลุมทั้งทหารราบและซูเปอร์โซลเจอร์ที่กำลังยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายยอมจำนนอยู่

 

เริ่มจากส่วนเท้าจนถึงหัวเข่าเป็นรองเท้าหนังหุ้มข้อแบบผูกเชือกสีน้ำตาลถุงเท้าหนาสีขาวอมม่วงยาวถึงครึ่งแข้ง และชายกางเกงขาสั้นสีดำ มองไล่ขึ้นไปก็เห็นเป็นกางเกงขาสั้นสีดำ และชายเสื้อไยคาบอนไฟเบอร์ เบื้องหลังก็เป็นปีกผีเสื้อสีม่วง ...ใช่จริงๆ อีนังจอมปลิ้นปล้อน... หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการย่อยนึกคำด่าออกเพียงแค่นั้น ใบหน้าก็เครียดยิ่งกว่าเดิม เขาอยากจะเดินออกไปฆ่าบุคคลที่เขาแอบสอดสายตามองอยู่อย่างไม่สนใจต่อสิ่งรอบข้าง แต่สิ่งรอบข้างก็รั้งเขาไว้

 

“ให้พวกเราส่วนหนึ่งขึ้นเครื่องบินแล้วไปบังคับป้อมปืน จากนั้นก็เปิดประตูโรงเก็บแล้วค่อยยิงถล่มพวกมันไม่ได้เหรอ”

 

หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจโนเบิลเสนอความคิด สายลับหนุ่มก็หันมามองทันทีอย่างสนใจ แต่หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการย่อยกลับส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยพร้อมกับคำปฏิเสธหนักแน่น ก่อนจะให้เหตุผลว่า

 

“ไม่ได้ ถ้านี่เป็นถึงอาวุธสุดยอดของชทัมม่า การจะบังคับมันต้องมีการแต่งตั้งลูกเรือเฉพาะโดยนายทหารระดับสูงและบุคลากรที่เกี่ยวข้องเท่านั้น และลูกเรือเหล่านั้นจะมีรหัสติดตัวอยู่คนละ 2 ชุด ชุดแรก คือ รหัสยืนยันตัวตน เป็นรหัสดีเอ็นเอและลายนิ้วมือ ส่วนชุดที่สองเป็นรหัสคลื่นสมอง ใช้สำหรับตำแหน่งที่ตัวเองประจำ ใช้เวทมนตร์ลอกเลียนแบบไม่ได้ และแน่นอนโกหกมันก็ไม่ได้ เพราะทุกสิ่งที่ระบบนี้จะล้วงออกมาก็คือความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์”

 

สำหรับผู้มาใหม่ชาวโนเบิลถึงกับอึ้งไปตามๆ กัน สายตาทุกคู่จ้องไปที่อีริคเป็นจุดเดียว

 

“ทำไมถึงรู้ละเอียดแบบนั้น”

 

ทามิสถามเสียงสูง

 

“ไม่รู้ก็แย่สิ เพราะว่าเมื่อก่อนฉันแฝงตัวอยู่ในหน่วยพลร่มพิเศษชทัมม่าเพื่อศึกษากลยุทธ์ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีโครงการหน่วยพลร่มหุ้มเกราะ พลร่มชั้นหัวกะทิเท่านั้นได้รับเลือก ซึ่งรวมถึงฉันด้วย แล้วชุดเกราะที่ฉันต้องสวมก็ใช้เทคโนโลยีเข้ารหัสแบบเดียวกัน พอสงครามเริ่ม ฉันก็หนีออกมาตอนที่พวกนายบุก”

 

อีริคตอบเรียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าหาพรรคพวกทั้งเก่าและใหม่ พลางพลิกปืนดูซองกระสุนแบบใสเพื่อตรวจดูจำนวนกระสุนจากนั้นจึงถอดซองกระสุนเก่ามาเก็บไว้แล้วใส่ซองใหม่เข้าไปแทน ทุกคนจ้องหน้าเขาและสิ่งที่เขากำลังทำอย่างสนใจ และจากท่าทีของเขาทำให้ทุกคนรู้ว่าเขาต้องมีความคิดอะไรแน่ๆ เว้นแต่เหล่านักรบโนเบิลเฉพาะกิจที่เคยชินกับอาวุธของพวกตน คิดว่านี่คงเป็นการปฏิบัติที่เคยชิน

 

“ถ้าคุณได้เข้าร่วมโครงการพลร่มหุ้มเกราะนั่นจริง แล้วทำไมคุณที่สวมเกราะนั่นเข้าในปฏิบัติการนี้ล่ะ หรือว่าเพราะคุณกลัวว่าคุณจะเอาเปรียบคนของคุณ”

 

ดาเมสตั้งข้อสังเกต ซึ่งพรรคพวกเดิมของอีริคเองก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้เช่นกัน ทันใดนั้นคำประกาศจากซูเปอร์โซลเจอร์สาวครึ่งผีเสื้อก็ดังมาอีกครั้ง แต่ส่วนมากก็ทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ต้องกลับมาสนใจเมื่อมีเสียงขาโลหะของหุ่นยนต์วอล์กเกอร์ย่ำมาเป็นจังหวะ นอกจากนี้ยังมีเสียงแผดระเบิดของปืนใหญ่อากาศจากไจโรเพลนและเสียงกระสุนปืนใหญ่อากาศพุ่งแฉลบหลังคาโรงเก็บด้วยฝีมือการยิงอันเฉียบคม สร้างความสยองพองขนให้กันอย่างทั่วถึง แต่เสียงของหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการย่อยก็เรียกสติของผู้ใต้บังคับบัญชากลับมา

 

“อย่าไปสนใจมัน พวกมันพยายามสร้างความแตกแยก... ถ้าคุณจะถามว่าทำไมผมถึงไม่สวมเกราะนั่นเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ จริงอยู่เกราะนั่นมันยอดเยี่ยมมาก รวมถึงหาอะไหล่เปลี่ยนได้ง่าย แต่ว่าค่าบำรุงรักษาและค่าปฏิบัติการของมันทำเอาขนหน้าแข้งร่วงเอาง่ายๆ กองทัพจึงยกเลิกโครงการนี้ ปลดประจำการเกราะทุกตัว แล้วเอาเงินที่จะใช้จ่ายในโครงการพลร่มหุ้มเกราะเอามาทุ่มให้กับโครงการ ‘อิมมอร์ทอล ฟาลคอน’ แล้วก็ได้ออกมาเป็นเป้าหมายที่เรากำลังจะก่อวินาศกรรมมันอยู่เนี่ย”

 

“ดูท่าทางคุณจะมีแผนไว้แล้วใช้ไหม”

 

หัวหน้าหน่วยเฉพาะกิจโนเบิลถามขึ้นอย่างรู้ทัน

 

“แน่นอน เราจะดำเนินตามแผนเดิมต่อ แต่ก่อนอื่น...”

 

แล้วอีริคก็หันไปสั่งกับคนของเขาพลางชี้มือชี้ไม้ไปยังมุมต่างๆ ของโรงเก็บ ก่อนจะหันมาคุยกับดาเมสต่อด้วยรอยแย้มยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า หัวหน้านักรบโนเบิลสังเกตเหล่าลูกน้องของสมิงดำหนุ่มตรงหน้ากำลังลอยขึ้นไปในอากาศมุ่งตรงไปยังมุมที่ได้รับมอบหมายไว้ด้วยเวทมนตร์ ...เป็นบุญตายิ่งนัก... ดาเมสนึก

 

ทางด้านนอกโรงเก็บเครื่องบินยักษ์ ซูเปอร์โซลเจอร์สาวครึ่งผีเสื้อหน้าตาน่ารักน่ากอดบัดนี้ยืนหน้าบึ้งเม้มปากกันฟันแน่น กำไมโครโฟนในระดับปลายคางด้วยท่าทางเบื่อหน่าย เธออยากจะทรุดตัวลงนั่งซะให้ได้ ทันใดนั้นก็มีเสียงแหบๆ ของชายคนหนึ่งดังผ่านเครื่องมือสื่อสารมาเข้าหู

 

“ว่าไง โดคุ เข้าควบคุมระบบต่างๆ ของโรงเก็บได้ตั้งนานแล้วนะ จะให้เปิดประตูรึเปล่า ดูท่าทางของพวกแมร่งก็ไม่ได้เตรียมรับมืออะไรเอาไว้เลยนะ”

 

เสียงที่ผ่านเข้ามามีแต่จะเพิ่มความหงุดหงิดให้เธอ หัวใจเต้นรัวขึ้นเร็วพอๆ กับอารมณ์ที่กำลังเดือด โดคุเงียบไปพักหนึ่งแล้วตอบกลับอย่างพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ

 

“ไม่ รอไปก่อน”

 

รอแล้วรออีก คำประกาศลั่นออกไปครั้งแล้วครั้งเล่ารวมถึงมีการโน้มน้าวใจเพื่อกดดันอย่างเต็มที่ แต่คำตอบที่ได้คือ ความเงียบเป็นป่าช้า ...แพ้อีกแล้ว ไม่เป็นไร แพ้การแข่งแต่ชนะการต่อสู้... ซูเปอร์โซลเจอร์สาวครึ่งผีเสื้อบอกกับตัวเอง และแล้วความอดทนก็มาถึงขีดสุด เธอร้องสั่งกับทหารรอบข้างให้เตรียมบุก ก่อนจะบอกกับชายที่กำลังควบคุมระบบของโรงเก็บเครื่องบินยักษ์อยู่ว่า

 

“เปิดเลย”

 

ว่าแล้วประตูบานยักษ์ก็เลื่อนเข้าไปในช่องเหนือเพดานเปิดออก โดคุวิ่งนำหน้าบุกเข้าไป ก่อนจะตามด้วยแถวทหารราบ 6 หมู่ แต่ทว่าเมื่อมองเข้าไปในโรงเก็บเครื่องบินยักษ์อันมโหฬารก็พบเพียงปีกบินมหายักษ์ที่จอดนิ่งอยู่ ส่วนศัตรูที่คาดว่าจะพบนั้นไม่มีแม้แต่เงา

 

“พวกคุณสองคน นำกำลังเข้าค้น วิงค์ ออฟ ไลท์บริงเกอร์ ส่วนที่เหลือค้นที่นี่โดยละเอียด ใช้ความระมัดระวังสูงสุดเพราะมีบางคนเป็นอดีตทหาร”

 

สถานการณ์ดูเหมือนว่าฝ่ายกบฏจะกลายเป็นสุนัขจนตรอก ได้แต่ดักซุ่มโจมตีอยู่ในพื้นที่ ซึ่งพวกตนมีความชำนาญน้อยกว่า แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ว่าจะค้นอย่างไรก็พบแต่ความว่างเปล่า ซูเปอร์โซลเจอร์สาวครึ่งผีเสื้อร้องโวยวายไปยังชายผู้ที่กำลังควบคุมระบบต่างๆ ของโรงเก็บปีกบินมหายักษ์ว่าไม่พบข้าศึกแม้แต่เงา ในขณะที่ฝ่ายชายยืนยันหนักแน่นด้วยภาพจากกล้องวงจรปิดว่าเห็นกองกำลังกบฏอยู่ครบทุกคน

 

“ไม่มีทาง พวกแมร่งจะหายตัวไปได้ยังไง ก็เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังทำอะไรเรื่อยเปื่อยแถมอยู่กันครบทุกคน”

 

เสียงแหบๆ ของฝ่ายชายดังผ่านมาทางเครื่องมือสื่อสารด้วยน้ำเสียงของคนอารมณ์ขึ้น ทางฝ่ายหญิงเองก็ไม่น้อยหน้า ตวาดกลับอย่างหัวเสียเสียงดังลั่นโรงเก็บจนทหารราบรอบข้างหันมาสนใจเป็นจุดเดียว

 

“เธอก็มาดูเองสิจะได้รู้กันว่าใครถูกใครผิด เฮ่ เดี๋ยวฉันว่าเธอพูดถูกอยู่อย่างนะ พวกมันไม่ได้หายตัวหรอก แต่พวกมันวิ่งหนีไปแล้วอย่างลอยนวล เพราะฉันและจอมเวททุกคนจับพลังเวทอะไรไม่ได้เลยในโรงเก็บ...”

 

โดคุชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อมีนายสิบคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาแล้วรายงานว่า

 

“ไม่มีอะไรเลยครับ ทุกอย่างในเครื่องบินก็อยู่ครบ ตรวจไม่พบกระแสเวทมนตร์ด้วย อย่างเดียวที่เจอก็คือรอยเท้าของพวกกบฏ”

 

พูดจบโดคุก็ว่าต่อทันที

 

“เมื่อกี้มีทหารคนหนึ่งที่ฉันสั่งให้ขึ้นไปค้นบนเครื่องบิน แต่ผลคือ ว่างเปล่า เป็นที่แน่นอนแล้วว่าพวกมันไม่ได้หายตัว แต่พวกมันหนีไปแล้ว และเราก็ไม่รู้จุดประสงค์ของพวกมันด้วย ขอบคุณมาก คุณฟรังซัวร์ บาลลองต์ คุณเพิ่งปล่อยอาชญากรตัวเอ้พร้อมคนบางคนในนั้นที่อาจเป็นสายลับพวกผู้ดีจอมปลอมหนีไป เตรียมตัวขึ้นศาลทหารได้เลย”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เอลฟ์หนุ่มเจ้าของเสียงแหบๆ เริ่มจะเชื่อขึ้นมาแล้วว่า ตนถูกหลอก สายตามองจอคอมพิวเตอร์แลปท็อปที่กำลังแสดงภาพกองกำลังกบฏถูกขังอยู่ในโรงเก็บเครื่องบินยักษ์ แต่ทว่าฝ่ายที่บุกเข้าไปกลับรายงานกลับมาว่าไม่พบอะไรเลย ในขณะที่กำลังชะงักงันจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง ร่างสีดำทะมึนก็ย่องเข้ามาทางด้านหลังผ่านประตูที่เปิดอ้าอยู่พร้อมกับมีดพร่าขนาดเกือบ 1 ศอกในมือที่ปกคลุมด้วยขนสีดำสั้นๆ มีรอยแผลเล็กน้อย ส่วนในมืออีกข้างก็เป็นปืนพกสวมปลอกลดเสียงส่งควันกรุ่นหลังจากที่ได้ลั่นออกไป 2 นัดสังหารทหาร 2 นายที่ยืนอยู่ข้างประตู ด้วยความรวดเร็วปานกระสุนมีดพร่าก็ยื่นเข้าหาคอหอยแล้วจัดการฟันอย่างสายฟ้าแลบได้แผลลึกปล่อยมีดคาคอไว้ปิดกั้นหลอดลม จากนั้นทหารสองคนจึงล้มตึงลงกับพื้น

 

เหยื่อมีดพร่าได้แต่อ้าปากพะงาบๆ อย่างตะลึงงัน ตาเหลือกเหลือบมองผู้ลอบสังหารเดินมาเคียงข้างก้มลงกดปุ่มบนแลปท็อปอย่างชำนาญ เจ้าของร่างสีดำนั้นหันมามองหน้าก็เห็นเป็นใบหน้าของหญิงสาวเผ่าพันธุ์สมิงดำกำลังยิ้มเยาะอย่างได้ใจและแฝงแววเยาะเย้ยเอาไว้ด้วย

 

ในขณะที่กำลังรักษาการณ์สนามบินในโรงเก็บ วิงค์ ออฟ ไลท์บริงเกอร์ กำลังเป็นงงกันอยู่ ประตูโรงเก็บก็เลื่อนปิดลงอย่างเร็วผิดกับที่เปิดออก ประตูเล็กทุกบานก็ปิดลงด้วยเช่นกันก่อนจะล็อกอย่างแน่นหนา ปีกสีม่วงซูเปอร์โซลเจอร์สาวครึ่งผีเสื้อก็เปร่งแสงวาบขึ้น แล้วเจ้าตัวก็รีบพุ่งออกจากโรงเก็บอย่างสุดชีวิตแข่งกับบานประตูที่กำลังเลื่อนปิดลงมา แต่ทว่าทันใดนั้นปีกบินยักษ์ก็เกิดการระเบิดอย่างต่อเนื่องไปทั่วทั้งลำจากภายใน แล้วจึงออกมาภายนอกเป็นลูกไฟพุ่งออกมาอย่างรุนแรง โดคุถูกการระเบิดครั้งหนึ่งกดลงกลางหลังเสียจังหวะลงไปกลิ้งกับพื้น เธอได้รู้จุดประสงค์ของกองกำลังกบฏอย่างแน่ชัดแล้ว ฟันกัดกันแน่นยันตัวเพื่อลุกขึ้น แต่กว่าเธอจะลุกขึ้นตั้งหลักได้ประตูโรงเก็บก็ปิดสนิทแล้ว

 

กองกำลังฝ่ายเจ้าบ้านนอกโรงเก็บเองก็รู้สึกถึงความผิดปกติได้อย่างชัดเจน แต่กว่าจะรู้สึกตัวว่าตกเป็นเป้าของอาวุธต่อต้านยานเกราะของข้าศึกก็ถูกยิงเข้าแล้ว กองกำลังกบฏที่เคยตั้งหลักอยู่ในโรงเก็บเครื่องบินมหายักษ์เผยตัวออกมาทั้งหมดกระจายตัวล้อมกองกำลังเจ้าบ้านเอาไว้

 

“ขยี้มัน!”

 

อีริคร้องตะโกนสั่งอย่างได้ใจ พลันเหล่าลูกน้องและชาวโนเบิลที่ปลอมตัวเป็นเอลฟ์ก็ระดมสาดลูกระเบิดขับเคลื่อนด้วยจรวด (RPG) เข้าใส่หุ่นยนต์รบวอล์กเกอร์และไจโรเพลนโจมตีแบบไม่ให้ทันตั้งตัว ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งจัดการเก็บกวาดทหารราบทั้งด้วยปืนอัตโนมัติและเวทมนตร์จู่โจมจนหมดสิ้น แต่ในตอนที่กำลังจะถอนกำลัง ทันใดนั้นอเล็กแซนดร้าก็เดินออกมาจากอาคารหลังหนึ่ง ทำเอาทุกคนยกเว้นอีริคเบิกตาอ้าปากค้างกันทั่วหน้าอย่างตกตะลึง จริงอยู่ตามตัวนั้นมีแผลอยู่บ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

“ไม่ต้องแวะจุดนัดพบ ตรงเข้าฐานลับเลย”

 

สมิงดำสาวตะโกนบอกกับพรรคพวก

 

“เดี๋ยวสิ แล้วพวกที่เหลือล่ะ”

 

ดาเมสถาม

 

“ห่วงตัวเองก่อนดีกว่า ถ้ากองกำลังรักษาการณ์ฐานทัพอากาศแห่งนี้รู้ว่าเราจะมา พวกเขาก็ตายหมดแล้วตั้งแต่ตอนที่เรามาถึงที่นี่ กลับไปประกอบพิธีศพอย่างสมเกียรติก็พอ หรือถ้าไม่พวกเขาก็จะตรงเข้าฐานลับเหมือนกันเพราะยังไงก็ถือว่าเราตายแน่นอน มีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่จะรอดทั้งสองฝ่าย เข้าใจนะ ดังนั้นตรงเข้าฐานลับเลย”

 

ผู้นำปฏิบัติการตอบหน้าตาเฉยก่อนจะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในป่ารกชัก ตามติดด้วยลูกน้องและอเล็กแซนดร้า ปล่อยให้หัวหน้าชุดปฏิบัติการเฉพาะกิจโนเบิลยืนอึ้งเม้มปากอย่างไม่ค่อยพอใจ มองไปรอบๆ ก็เห็นแต่สิ่งที่เคยเป็นศัตรูและยานพาหนะของศัตรู จนสายตามาหยุดอยู่ที่โรงเก็บเครื่องบินยักษ์ ใช้เวลาใคร่ครวญอยู่ไม่นานเขาก็โบกมือสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาให้วิ่งตาม

 

“แมสสีฟ พัมเมล!”

 

โดคุเปร่งเสียงออกมาก้องไปทั่วโรงเก็บปีกบินยักษ์พลางผลักฝ่ามือออกไปเบื้องหน้าไปทางประตูอัตโนมัติบานเล็ก ซึ่งบัดนี้ปิดตาย พลันแรงลมมหาศาลก็พุ่งอัดเข้าใส่บานประตูจนโก่งงอหลุดกระเด็นออกจากร่องที่ใช้เลื่อน แล้วเจ้าตัวคนปล่อยเวทมนตร์ก็พุ่งออกไปสุดแรงเกิดหวังจะอาละวาดให้แหลกลาญ แต่ก็ต้องพบกับกองซากศพของทหารฝ่ายตนและซากยานพาหนะต่างๆ ที่นำมาปิดล้อมโรงเก็บเครื่องบินมหายักษ์ เธอกำลังจะร้องตะโกนออกมาดังๆ ด้วยความขัดใจสุดขีด แต่ก็มีเสียงประกาศดังขึ้นก่อนผ่านทางเครื่องกระจายเสียงทั่วฐานทัพ

 

“กองกำลังข้าศึกตีฝ่าแนวป้องกันทางตะวันตกและทางตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาได้ กำลังเสริมจะไปถึงใน 7 นาที ย้ำ กองกำลังข้าศึกตีฝ่าแนวป้องกันทางตะวันตกและทางตะวันออกเฉียงใต้เข้ามาได้ กำลังเสริมจะไปถึงใน 7 นาที”

 

“ตรึงกำลังเอาไว้ ฉันจะไปแจ้งข่าวให้เบื้องบนทราบ”

 

ซูเปอร์โซลเจอร์สาวครึ่งผีเสื้อยืนเท้าเอวคอตก ถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะสั่งกับทหารทุกนายที่เหลืออยู่ แล้วตนก็รีบวิ่งเข้าไปในอาคารใหญ่หลังหนึ่ง เสียงขานรับคำสั่งดังไล่หลังมา แม้จะฟังดูแข็งขันแต่มันก็แฝงไปด้วยความท้อแท้ใจ ดูเหมือนจะไม่มีอะไรสามารถหยุดยั้งปฏิบัติการของฝ่ายกบฏได้เลย พวกเขาคิดแบบนั้น แต่โดคุกลับคิดไปว่า ...หลังเรื่องนี้คงต้องมีการโกหกออกอากาศกันยกใหญ่ เผลอๆ อาจจะต้องมีการปิดปากพวกทหารที่ประจำอยู่ที่นี่ด้วย พวกกบฏไม่ใช่แค่ทำลายอาวุธสุดยอดของประเทศเรา แต่ยังทำลายขวัญทหารทั่วโลกด้วย... คิดไปพลางวิ่งไปพลางก็ถึงห้องควบคุมการสื่อสาร

 

ภายในห้องนั้นมีทหารสื่อสารนั่งอยู่เกือบเต็มพร้อม กำลังทำงานกันอย่างหน้าตาเฉย และไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอกเลย โดคุรุดเข้าไปยังที่นั่ง ซึ่งว่างอยู่ แล้วแอบติดต่อไปยังหน่วยเหนือ ก่อนจะรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบด้วยเสียงกระซิบ ผลที่ได้เป็นการต่อว่ากลับมาแบบน้ำไหลไฟดับ พร้อมกับการว่าถึงโทษที่จะต้องได้รับ

 

“คุณเหลือทหารอยู่เท่าไหร่”

 

ฝ่ายเบื้องบนยิงคำถามมาอย่างมีเลศนัย ฝ่ายซูเปอร์โซลเจอร์สาวก็เอะใจว่าต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าจะมาในรูปแบบไหน

 

“ประมาณครึ่งกองร้อยค่ะ”

 

“แล้วมีอีกรึเปล่า”

 

“ทหารสื่อสารประมาณ 30 คน”

 

“อีก 3 ชั่วโมงเจอกัน เลิกกัน”

 

เสียงของนายทหารยศสูงกว่าสิ้นไปแบบห้วนๆ พร้อมกับการยกเลิกการติดต่อ ทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ให้วิเคราะห์ แต่หัวสมองของซูเปอร์โซลเจอร์สาวครึ่งผีเสื้อในตอนนี้ยุ่งเหยิงเกินกว่าจะคิดวิเคราะห์ปริศนาอะไรได้ จึงได้แต่เดินดุ่มๆ ออกไปหาเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าที่พยายามปั้นให้สู้ดีเพื่อรักษาระดับขวัญกำลังใจของทหารที่กำลังจะติดพื้น

 

“อย่างที่ได้ยิน อีก 7 นาทีจะมีกำลังเสริมมา”

 

โดคุบอกยิ้มๆ ในขณะที่ใจเต้นรัวอย่างตื่นเต้น

 

ภายใน 7 นาทีตามนัดหมาย ยานลำเลียงพลจำนวนมากก็พากันลงจอดในแนวดิ่งในบริเวณลานบินอันกว้างสุดลูกหูลูกตา ทหารราบจำนวนมากมายวิ่งพรูกันออกมาจากยานลำเลียงพลเหล่านั้น แต่มีบางลำที่มีเพียงนายทหารชั้นสัญญาบัตร 1 นายพร้อมนายทหารชั้นประทวน 2 นายเท่านั้นที่เดินลงมา ส่วนหนึ่งเดินแยกไปทางอาคารหลังใหญ่ อีกส่วนหนึ่งเดินตรงเข้ามาที่พวกโดคุ สร้างความประหลาดใจให้ไม่น้อย ทุกคนทำหน้างง ยังไม่ทันได้เอ่ยปากทักทายซักถามอะไรกัน ก็มีการแบ่งกลุ่มออกเป็นสามกลุ่ม มีทหารบางคนเอ่ยปากถามแทรกขึ้น แต่ก็ไม่มีใครตอบ จนเมื่อโดคุถามบ้าง คำตอบที่ได้ก็แสนจะเย็นชา

 

“เอาไว้ไปคุยกันบนยาน”

 

เหลือบไปทางอาคารหลังใหญ่เหล่าทหารสื่อสารก็ถูกพาตัวออกมาเป็นกลุ่มๆ เช่นเดียวกัน ความสงสัยพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ในใจของเหล่าทหารที่ประจำการอยู่ก่อน ซึ่งกำลังจะจากไป ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น

 

บรรยากาศบนยานลำเลียงที่โดคุโดยสารไปนั้นเป็นแบบกึ่งตึงเครียด ฝ่ายหนึ่งมองโลกในแง่ร้ายแต่ไม่แสดงอาการออกมา เพราะท่าทีอันขึงขังของนายทหารที่มารับและกำลังนั่งเฝ้าอยู่ เป็นนายทหารออร์คหนุ่มยศร้อยโทหน้าตาโหดหิน นั่งกอดอกนิ่งเป็นรูปปั้น ฝ่ายหนึ่งมองโลกในแง่ดี นั่งกันไปตามสบาย บ้างก็พยายามพูดคุยเพื่อสร้างบรรยากาศครึกครื้น และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลาง คิดวิเคราะห์และกำลังทายเหตุการณ์ล่วงหน้าแบบเดาสุ่มเพื่อหาทางรับมือ

 

ทันใดนั้นร้อยโทออร์คที่นั่งแข็งทื่ออยู่นานก็เริ่มขยับตัว เริ่มจากใช้นิ้วไปแตะบริเวณรูหู ก่อนจะเริ่มพูดอย่างเป็นกันเองน้ำเสียงกังวาน มีเสียงหัวเราะปนมาในระหว่างเว้นวรรคบ้าง

 

“ขอโทษที่ต้องพาตัวมาแบบนี้นะ แต่ว่าตอนนี้พวกคุณถูกย้ายมาที่หน่วยลับโดยสมบูรณ์แล้ว นี่เป็นการบังคับ ถ้าปฏิเสธเราจำเป็นต้องปิดปากพวกคุณ พวกคุณจะมีอิสระในการทำงานได้ในระดับหนึ่ง แต่จงจำไว้ว่าพวกเราจับตาดูพวกคุณทุกฝีก้าว...”

 

พูดยังไม่ทันจบก็มีเสียงแทรกขึ้น ทหารคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า

 

“แต่ว่าพวกเราล้มเหลวในการปกป้อง วิงค์ ออฟ ไลท์บริงเกอร์ นะ”

 

ร้อยโทออร์คยิ้มแล้วว่าต่อ

 

“ใจเย็นสิ ไอ่น้อง ของพังเดี๋ยวซ่อมใหม่ได้ ปล่อยพวกกบฏมันได้ใจไป ให้พวกมันตายใจว่าปีกบินมหาประลัยนั่นถูกทำลายแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ถึงจะบอกว่าพวกคุณมีอิสระในการทำงานในระดับหนึ่ง แต่นั่นหมายความว่าทำยังไงก็ได้ให้ภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากเบื้องบนสำเร็จ ลืมยศเดิมของตัวเองให้หมดซะ ในองค์กรนี้มีแต่หัวหน้ากับลูกน้อง แต่ละคนจะมีรหัสแสดงตัวเฉพาะ และได้รับแต่งตั้งยศใหม่ตามความเหมาะสมในการทำงานด้านนั้นๆ ในแต่ละแผนกที่ตัวเองประจำ แล้วก็เรื่องกฎของเรา... ไคล์ แจกคู่มือหน่อย”

 

ว่าจบนายทหารหญิงเอลฟ์ก็เดินมาแจกสมุดเล่มเล็กให้กับทุกคนที่เคยประจำอยู่ที่สนามบินที่เคยลุกเป็นไฟแล้วครั้งหนึ่ง ด้วยท่าทีขึงขัง แม้หน้าตาจะสวยใสขนาดไหนก็ตามแต่ก็ทำเอาทุกคนนอกจากโดคุกดดันไปตามๆ กัน ร้อยโทออร์คถอนหายใจคลายแขนที่กอดอกอยู่อ้าออก ยกขาขึ้นไขว่ห้างนั่งอย่างสบายๆ

 

“อ่านไปฟังไปนะ หน้าที่นี้จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ต่างไปจากบอดี้การ์ดของรัฐบาลทั่วโลกหรอก พวกคุณต้องทำงานแบบถวายหัวแบบเลี่ยงไม่ได้ ถ้าถูกจับไปสอบสวนโดยข้าศึกคุณต้องปิดปากตัวเองไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม หรือจะให้ดีกว่านั้นหนีออกมาพร้อมกับความลับของข้าศึก ส่วนหนึ่งของความอยู่รอดของพวกเราอยู่ในมือของพวกคุณ พวกเราขอฝากความหวังไว้ที่พวกคุณด้วยนะ ผมร้อยโท มิฮาเอล ดอชเชอร์ ประจำอยู่แผนกไซโคโลจิสต์ มีปัญหาอะไรปรึกษาผมหรือใครก็ได้ที่ประจำอยู่แผนกเดียวกับผม ใครมีคำถามอะไรไหม...”

 

หลังจากแนะนำตัวเขาก็มองไปยังผู้โดยสารทุกคนเมื่อหาคนที่มีคำถาม จนกระทั่งมีคนยกมือขึ้นเอ่ยปากถามขึ้นว่า

 

“แผนกบลัดดริงค์คืออะไรครับ”

 

มิฮาเอลหัวเราะเบาๆ ก่อนจะให้คำตอบ ด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่อยาก

 

“บลัดดริงค์ มีชื่อตรงตัวคือ พวกดื่มเลือด แผนกนี้เป็นหน่วยนักฆ่า เจ้าหน้าที่ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์เคยสังกัดหน่วยซูเปอร์โซลเจอร์ หน่วยยุทธวิธีพิเศษ 25 เปอร์เซ็นต์ หน่วยจอมเวท 10 เปอร์เซ็นต์ และพลเรือนจากองค์กรต่างๆ ทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายรวมๆ กัน 5 เปอร์เซ็นต์ พวกนี้เป็นยอดฝีมือทั้งนั้น มีหน้าที่อย่างเดียวคือการทำลายล้างเป้าหมายให้สิ้นซาก ผมเองก็ไม่เคยเห็นแผนกนี้ปฏิบัติงานสักครั้ง แต่มีเสียงลือกันว่าโหดร้ายมาก คนที่จะเข้าไปอยู่ในแผนกนี้ได้ไม่ใช่แค่ต้องบู้เก่งฉลาดเป็นกรดอย่างเดียว แต่ยังมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่างอีกด้วย ซึ่งวันดีคืนดีพวกคุณคนใดคนหนึ่งอาจได้เข้าไปอยู่ในแผนกนั้นก็ได้ เอาล่ะใครมีคำถามอะไรอีกไหม... ดี ถ้าไม่มีเจอกันที่ อันเดอร์กราวด์ 44-12”

 

ระหว่างที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับหน้าที่ใหม่อยู่นั้น โดคุก็แอบยิ้มอย่างมีเลศนัย และพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามารถ แววตาแฝงไปด้วยเล่ห์กล ทุกอย่างที่ร้อยโทแผนกไซโคโลจิสต์พูดเธอได้ยินและจำได้ทุกอย่าง เธอให้ความสนใจกับแผนกบลัดดริงค์เป็นพิเศษ มีเสียงปืนใหญ่สัตวประหลาดลอยแว่วมาให้ได้ยินแต่ก็ไม่มีใครสนใจอะไรมากนัก เพราะได้ยินกันเป็นประจำอยู่แล้ว และไม่รู้ว่ายิงใส่อะไรด้วย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา