Epidemia: Epic World on Fire
16) Full scale assault [Part 6]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“อาวุธสุดยอดแห่งสาธรณรัฐชทัมม่าได้สร้างขึ้นเสร็จสมบูรณ์อย่างงดงาม เราภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่จะแนะนำให้ท่านได้รู้จักกับ วิงก์ ออฟ ไลท์บริงเกอร์ มันทั้งสง่า และมีความทรงพลังอย่างเหลือล้นทั้งเครื่องยนต์ที่สร้างพิเศษ 8 เครื่องพร้อมพลังแรงขับอภิมหาศาล ซึ่งสามารถนำมันเข้าสู่ความเร็วมัค 3 ในอากาศได้สบายๆ ท่อแรงขับปรับทิศทางได้ช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้มัน ด้วยขุมกำลังเตาปฏิกรณ์ฟิวชั่นทำให้มันไม่จำเป็นต้องลงจอดเพื่อเติมเชื้อเพลิง และเทคโนโลยีที่ผสมกับเวทมนตร์ นักออกแบบได้นำลังกระสุนเวทมนตร์เข้ามาใส่ไว้ในเจ้ายักษ์ลำนี้ด้วย มันจึงไม่จำเป็นต้องง้อเจ้าหน้าที่เติมอาวุธจากสนามบินไหนๆ ข้อเสียใหญ่ของมันเพียงอย่างเดียว คือ มันไม่เหมาะกับสมรภูมิขนาดเล็ก แม้มันจะไม่เหมาะกับการรบในสมรภูมิเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะใช้ไม่ได้ เราเพียงอยากจะบอกว่าสมรภูมิขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวต่างหาก อาวุธของมันเป็นเทคโนโลยีโอเวอร์บูมเมอร์ล้วนๆ ทั้งปืนใหญ่ และขีปนาวุธ ติดตั้งอยู่ทั่วไป มีตั้งแต่ขนาดจิ๋วยันขนาดที่เป็นรองเพียงที่ใช้เป็นหนึ่งในเจ็ดหัวรบใหญ่ของซีดเดอร์เท่านั้น ทำให้มันสามารถยิงถล่มไปยังหลายๆ จุดได้พร้อมๆ กัน และยังยิงทำลายเป้าหมายขนาดกระจ้อยร่อยได้ด้วยเมื่อเทียบกับขนาดของมัน นอกจากนี้มันยังติดตั้งเกราะแบบใหม่ล่าสุดทั้งที่เป็นแผ่นเกราะและเกราะพลังงาน ซึ่งสามารถรับการโจมตีขนาดเศษดินหินทรายยันดาวเคราะห์ยักษ์ได้อย่างสบาย มันจะออกบินในเร็วๆ นี้คอยแหงนหน้ามองท้องฟ้าให้ดี วันดีคืนดีมันอาจจะไปบินอยู่เหนือหลังคาบ้านคุณ”
ยานธง แคชชั่น แห่งกองยานเฉพาะกิจที่ 15 กองทัพอากาศโนเบิล
สัญญาณการถ่ายทอดโฆษณาเครือข่ายความมั่นคงเอไพด์เมียร์ได้เข้าถึงจอมอร์นิเตอร์ใหญ่บนสะพานเดินเรือด้วย โดยมีตัวอักษรโนเบิลบรรยายกำกับ
ทุกคนที่กำลังมองดูอยู่ต่างมองด้วยความตกตะลึงจนพูดไม่ออก ขนลุกเรียวไปทั้งตัว สันหลังก็เย็นเยียบขึ้นอย่างพร้อมเพรียงอย่างไม่ต้องนัดหมาย แม้เบื้องบนจะยังไม่ติดต่อมาแต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล แม้แต่ผู้บัญชาการกองยานเองก็ไม่เว้น
เมื่อสัญญาณหมดลงก็ปรากฏเป็นภาพของชายหนุ่มชาวโนเบิลสวมชุดพลเรือนของเจ้าบ้าน ดูจากสีหน้าก็เคร่งเครียดไม่แพ้คนที่กำลังดูอยู่บนสะพานเดินเรือของยานแคชชั่นแม้แต่น้อย อาจมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะมีการเหล่ซ้ายแลขวาอยู่เป็นระยะๆ เสียงที่พูดออกมาก็แทบจะกระซิบ
“ข้าก็ไม่รู้ว่ามันจะบินขึ้นได้เมื่อไหร่ แต่ว่า... ถ้ามันขึ้นไปได้น่านฟ้าทั่วชทัมม่าจะไม่มีที่เหลือให้อากาศยานของเรา การส่งกำลังบำรุงก็จะ... ไม่สามารถทำได้ นอกจากปืนยักษ์ที่พวกสวะคอยระดมยิงใส่เราทุกครั้งที่มีโอกาสแล้วเครื่องบินยักษ์นี่... ยังจะทำให้ทหารของเราขวัญเสีย แล้วก็จะเป็นการบังคับให้กองกำลังส่วนใหญ่ของพวกเราไม่กล้าปักหลักอยู่กับที่นานๆ แม้ว่า... จะเป็นในเขตเมืองที่ผู้บัญชาการของพวกสวะไม่กล้าสั่งยิงปืนยักษ์ใส่เราก็ตาม ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน... ว่ามันไต่ระดับขึ้นไปถึงอวกาศได้รึเปล่า แต่ดูท่าอาวุธของมันจะสามารถสอยยานของพวกท่านได้ทุกลำ... ถ้าอยู่ใกล้พอ ถ้าพวกท่านวางแผนจะ... ส่งกำลังลงมาทำลายมันนี่เป็นโอกาสที่เหมาะ ถ้าท่านกำลังจะโจมตีให้ติดต่อข้าอีกที เลิกกัน”
เมื่อจบการติดต่อ ทุกคนก็นิ่งกันไปราวกับรูปปั้น ความกดดันกำลังเข้าครอบงำทุกคน และเจ้าหน้าที่ทุกคนบนสะพานเดินเรือเบนสายตาไปยังผู้บังคับการกองยานเป็นตาเดียว ทางด้านผู้บัญชาการกองยานเองก็มีความกดดันไม่แพ้กัน และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากสายตาหลายคู่ที่กำลังจับจ้องอยู่ รวมทั้งความคิดในหัวสมองที่กำลังตีกันมั่ว
“เอ่อ... เอ่อ”
ไม่ว่าเขากำลังจะพูดอะไรหรือไม่ก็ตาม แต่ดูเหมือนความเป็นผู้นำของเขากำลังจะหดหายเพราะสถานการณ์สุดตึงเครียด จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งโพล่งขึ้นอย่างเหลืออด
“ได้ยินแล้วใช่ไหม ทัพอากาศของพวกสวะกำลังจะปล่อยเครื่องบินมหาประลัยขึ้นฟ้า เป็นตายร้ายดียังไงเราก็ต้องหยุดมัน แม้จะต้องแลกด้วยการล่มสลายของกองยานของพวกเราก็ตาม ภารกิจของเราถูกเปลี่ยนแล้ว จากให้การสนับสนุนกองกำลังหลักมาเป็นขัดขวางเครื่องบินยักษ์นั่นไม่ให้บินขึ้นไม่ว่าจะด้วยการทำลายอย่างสมบูรณ์หรือจะเป็นการซื้อเวลาให้กองกำลังหลักเข้ายึดพื้นที่เป้าหมายก็ตาม เปิดช่องสัญญาณติดต่อไปยังยานทุกลำ”
จากนั้นเสียงถ่ายทอดคำสั่งก็ดังขึ้นมาเป็นทอดๆ ผู้ออกคำสั่งเป็นนายทหารหญิงที่อายุได้ประมาณ 300 ปลายๆ ติดยศพลอากาศโทหรือรองผู้บัญชาการกองยานนั่นเอง แม้จะมีตำแหน่งรองจากผู้บัญชาการกองยาน แต่ดูเหมือนจะมีความเหมาะสมที่จะรับตำแหน่งผู้บัญชาการกองยานมากกว่าผู้ดำรงตำแหน่งคนปัจจุบันด้วยซ้ำ ด้วยท่าทางที่แสดงถึงความเข้มแข็งทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมถึงความเป็นผู้นำ
ผู้บัญชาการกองยานก็เพิ่งได้สติทอดสายตาลงมาจากที่นั่งสูงสุดไปยังที่นั่งตำแหน่งรองลงมาเล็กน้อย หัวใจเต้นตูมตาม หายใจเข้าออกฟืดฟาด ฟันก็ขบกันแน่น แม้จากระยะห่างจะไม่มีใครสังเกตเห็นอาการดังกล่าวแต่ทว่าเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้าแสดงความรู้สึกของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี ชายวัยกลางคนผู้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองยานค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ประจำตำแหน่งแล้วเดินออกจากสะพานเดินเรือไปอย่างสงบโดยไม่มีใครสังเกตเห็น เพราะในเมื่อคนที่น่าจะได้ดำรงตำแหน่งแทนตนเผยความกล้าและสติออกมาได้ขนาดนี้ จึงเห็นว่าตนไม่มีความจำเป็นจะต้องร่วมอยู่ในห้องนั่นอีกต่อไป แต่ทว่าเขาก็คิดผิดไปนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงผู้บัญชาการยานหลายคนส่งเสียงคัดค้านดังลอดออกมาจากประตูที่ปิดสนิทของสะพานเดินเรือ เขาจึงจำต้องเดินกลับไปแล้วยอมรับความไร้ความสามารถของตัวเอง
ในขณะที่กองยานกำลังแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเห็นด้วยกับพลอากาศโทหญิง และอีกฝ่ายไม่เห็นด้วย เกิดการเถียงกันขึ้นในเรื่องของอำนาจการสั่งการ มีการใช้คำทำร้ายจิตใจกันบ้าง แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังคงฝืนคุยกันอยู่ได้ จนกระทั่งผู้บัญชาการกองยานเดินเข้ามาแล้วตะเบ็งเสียงหยุดการปะทะคารมว่า
“เงียบ...”
เขากวาดตามองไปรอบห้องและบนจอภาพหลายจอจากยานหลายลำด้วยความรู้สึกหงุดหงิดเพราะความไม่สามัคคีของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงปกติว่า
“เนื่องจากข้า พลอากาศเอกเอลเซอร์ คอลลาบา ผู้บัญชาการกองยานเฉพาะกิจที่ 15 ไม่มีความสามารถในการบัญชาการกองยานนี้อีกต่อไป จึงขอถ่ายโอนอำนาจการสั่งการทั้งหมดให้ พลอากาศโทหญิง คาเรนต้า ฟาลก้อน เทอรันน่า รองผู้บัญชาการกองยานเฉพาะกิจที่ 15 จนกว่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการกองยานนี้อย่างเป็นทางการ”
คำพูดจากใจของพลอากาศเอก เอลเซอร์ สร้างความตกตะลึงให้กับผู้บัญชาการยานทุกคน และหยุดการเถียงกันได้ในบัลดล และเป็นการแสดงให้เห็นว่าบุคคลระดับผู้บัญชาการคู่นี้เป็นพวกหัวก้าวหน้าในแบบที่ควรจะเป็น ไม่มีใครคัดค้านการสั่งการของว่าที่ผู้บัญชาการกองยานคนต่อไปอีกต่อไป ส่วนคนที่กำลังเป็นอดีตผู้บัญชาการกองยานก็หันพูดกับคนที่กำลังจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างเป็นกันเองเบาๆ
“ขอบคุณเจ้ามาก ไม่มีเจ้าข้าก็นึกไม่ออกว่ากองยานของเราจะเป็นยังไง ข้าเพิ่งจะเข้าใจเมื่อไม่กี่วันมานี้เองว่าความกล้าหาญและศักดิ์ศรีที่แท้จริงไม่ใช่การเผชิญหน้ากับทุกสถานการณ์ แต่เป็นการกล้ายอมรับความจริง และข้าก็ได้เรียนรู้อีกอย่าง การจะเอาชนะศัตรูเราต้องไม่เลือกวิธีการ นายพลหนุ่มๆ สาวๆ ฉลาดๆ หลายคนถูกกดหัวโดยนายทหารหัวโบราณอย่างข้า ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนแปลง ขืนเรารบแบบเดิมๆ สิ่งที่จะตามมาคือความพ่ายแพ้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จงเรียนรู้กลยุทธ์ของพวกสวะ... เอ่อ นักรบและแม่ทัพชาวเอไพด์เมียร์ให้ดี แล้วนำมันมาปรับใช้กับกองทัพของเรา ขอให้โชคดี”
พลอากาศโทหญิงคาเรนต้าถึงกับอึ้งไปเหมือนกัน เธอแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่าคำพูดแบบนี้จะออกจากปากของนายทหารอาวุโสใกล้เกษียณ ว่าที่ผู้บัญชาการกองยานไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่นั่งมองดูนายทหารชายวัยกลางคนเดินออกจากสะพานเดินเรือไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งลับสายตา จากนั้นเธอก็หันกลับมาทำหน้าที่ต่ออย่างแข็งขัน
“ติดต่อสายลับคนนั้นที บอกเขาไปว่าให้ส่งข้อมูลพื้นที่การรบมาให้หน่อย”
เจ้าหน้าที่สื่อสารขานรับคำสั่งแล้วลงมือติดต่อไปตามคำสั่งทันที ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก็ได้คำตอบ ข้อมูลพื้นที่การรบและแผนที่ถูกอัพโหลดขึ้นมาบนยานทั้งหมดเป็นภาษาชทัมม่าแต่มีการแปลเป็นภาษาโนเบิลเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจอภาพก็แสดงให้เห็นภูมิประเทศที่เป็นที่ราบกว้างใหญ่โดยมีการสร้างสนามบินขนาดยักษ์ไว้แทบจะครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด ส่วนพื้นที่รอบๆ ก็เป็นหุบเขาสลับซับซ้อน แทบจะเป็นแนวกำแพงล้อมรอบพื้นที่เลยทีเดียว ส่วนข้อมูลอีกอย่างที่ส่งขึ้นมาก็เป็นข้อมูลความเคลื่อนไหวของศัตรู มันทำเอาเหล่าผู้บัญชาการหนักใจไม่น้อย เมื่อแรกเห็นคาเรนต้าก็แทบจะถอดใจ
พื้นที่การรบในครั้งนี้มีเครื่องบินขับไล่และเครื่องบินโจมตีผลัดกันบินลาดตระเวนพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมงเป็นกะๆ ทุกวัน รวมถึงไจโรเพลนที่ลาดตระเวนในระดับต่ำโดยละเอียด แต่ทว่ามันเป็นเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ของกำลังทางอากาศทั้งหมดในพื้นที่เท่านั้น ไม่นับรวมกำลังส่วนอื่นๆ ที่อาจจะมาสมทบเมื่อมีการร้องขอ ว่าที่ผู้บัญชาการกองยานถอนหายใจยาวอย่างหนักใจ ...ขืนส่งลงไปตรงๆ มีหวังไม่ได้ถึงพื้นสักราย ถึงจะลงถึงพื้นได้แต่ก็คงไม่มีโอกาสจัดทัพ แบบนี้คงต้องล่อพวกมันออกไปให้หมด... เธอคิดหนัก
“ล้อเล่นใช่ไหมเนี่ย”
มีเสียงคร่ำครวญดังมาจากที่ใดที่หนึ่งแต่คาเรนต้าไม่ใส่ใจ เธอเริ่มมองหาพื้นที่รอบๆ ซึ่งเป็นหุบเขาสลับซับซ้อน ...งานนี้คงต้องส่งกองกำลังขนาดเล็กแอบย่องเข้าไปสถานเดียว แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีกำลังขนาดใหญ่พอที่จะหลอกล่อเครื่องบินพวกนั้นออกจากพื้นที่ สิ่งที่ต้องกังวลจริงๆ ก็คงจะเป็นกองกำลังภาคพื้นดิน... เป็นครั้งแรกที่ผู้บัญชาการแห่งเผ่าพันธุ์ผู้ประเสริฐคิดวางแผนอย่างแยบยลและกำลังจะสั่งการออกไป เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่พลอากาศโทหญิงไม่เคยสัมผัสมาก่อน หลักๆ ก็เป็นความตื่นเต้นกับประสบการณ์การลอบโจมตีครั้งแรก ว่าแล้วเธอก็กดปุ่มที่ปลายที่วางแขนเรียกข้อมูลกองกำลังภาคพื้นดินขึ้นดู มันบอกเพียงแค่จำนวนโดยประมาณของทหารราบ หน่วยรบพิเศษระดับต่ำ อย่างหน่วยกลยุทธ์พิเศษและจอมเวท และยานเกราะเบา รวมถึงปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานอัตตาจร เธอรู้ได้ทันทีว่ามีบางส่วนถูกเก็บเป็นความลับหรือไม่ก็ไม่มีการบันทึกลงไป
“ติดต่อกองทัพส่วนที่อยู่ใกล้กับพื้นที่นี้ให้หน่อย เราจำเป็นต้องพึ่งพวกเขา ให้หน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ 3 นายกับทหารราบ 6 หมู่ เตรียมพร้อมเอาไว้”
ในที่สุดว่าที่ผู้บัญชาการกองยานก็ออกคำสั่ง กองกำลังที่เธอสั่งให้เตรียมพร้อมนั้นน้อยจนน่าตกใจ จนมีคนร้องถามขึ้นอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเอง แต่คำตอบก็ยังคงเดิม
ทุกคนพอจะเดาออกว่าผู้บัญชาการคราวนี้คิดจะทำอะไร ทั้งที่เตรียมกองยานบุกมาเป็นขบวนขนาดกลางถึงใหญ่แต่ดันใช้แค่กองกำลังขนาดเล็กจิ๋ว พวกเขาไม่รู้ว่าผู้บัญชาการกองยานใกล้เกษียณพูดอะไรกับว่าที่ผู้บัญชาการกองยาน แต่พวกเขารู้ว่ารองผู้บัญชาการกองยานกำลังฉีกตำราพิชัยยุทธ์ที่มีมานานนับพันปีทิ้งอย่างอาจหาญ นับเป็นการกระทำที่จะเสี่ยงต่อการถูกตราหน้าว่าทรยศ แต่ถ้าปฏิบัติการครั้งนี้ประสบความสำเร็จนอกจากจะเป็นการลดพลังอำนาจทางอากาศของศัตรูลงและเป็นการบอกศัตรูให้รู้จักเกรงกลัวเหล่าผู้บัญชาการโนเบิลรุ่นใหม่แล้ว ยังอาจเป็นการเขียนตำราพิชัยยุทธ์ขึ้นใหม่ด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นการท้าทายเหล่าผู้อาวุโส (หัวโบราณ) อย่างอาจหาญและสั่นคลอนคำสั่งสอนที่ฝังลึกอยู่ในจิตสำนึกของชาวโนเบิลทุกคน
คาเรนต้าเรียกดูข้อมูลที่ถูกอัพโหลดขึ้นมาไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งดวงตาของเธอต้องลุกวาวเมื่อเธอได้เรียกข้อมูลหนึ่งขึ้นมา มันไม่ใช่ข้อมูลทางทหารของฝ่ายตรงข้าม แต่ดูเหมือนจะเป็นข้อความที่สายลับแนบมาให้ ‘กบฏ’ และ ‘ขอให้รู้กันแค่ท่านกับกองกำลังที่ส่งลงมาเท่านั้น’ เธอให้ความสนใจกับคำเหล่านี้มาก ...ดูท่าจะมีทางเลือกที่ดีกว่าแผนเดิมของเรา... นายพลหญิงบอกกับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงคำสั่ง พลางก็แตะปุ่มลบข้อความทิ้งก่อนที่จะมีใครเห็น
“เปลี่ยนแปลงการจัดตั้งกองกำลังเป็นกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ 2 นายกับทหารราบ 4 หมู่”
เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาภายในสะพานเดินเรือต่างคิดอย่างเดียวกันว่า ...บ้าไปแล้วรึไง... ด้วยสายตาอันเฉียบคม คาเรนต้า มองทีเดียวก็รู้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชากำลังคิดอะไร แต่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจซ้ำยังทำหน้ามั่นใจเต็มร้อย เมื่อคำสั่งถูกถ่ายทอดออกไปยังยานทุกลำ เหล่าผู้บังคับการยานต่างเสนอหน้าเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงอุทานกันระงม
“ท่านกำลังทำอะไร ท่านรองฯ”
คนที่อาวุโสที่สุดตั้งคำถามอย่างกังขาด้วยน้ำเสียงออกเดือดดาล
“กำลังใช้วิธีที่เสียน้อยแต่ได้มากอยู่...”
ว่าที่ผู้บัญชาการกองยานตอบยิ้มๆ อย่างมีเลศนัย กวาดตามองไปยังเหล่าผู้บัญชาการยานใต้การบังคับบัญชาทุกคนแล้วพูดต่ออย่างถากถาง
“ยุทธวิธีที่เราชอบใช้กันมันตรงเกินไป แห่กันเข้าไปเป็นพันเป็นหมื่นระดมจู่โจมเข้าไปหลายๆ ระรอกจนกว่าจะชนะมันอาจดูกล้าหาญ แต่จริงๆ มันโง่มาก พวกนายพันกับนายพลหนุ่มๆ หลายคนรวมทั้งนายทหารอาวุโสบางท่านเคยมาระบายกับข้าว่าถูกนายทหารผู้ใหญ่ขู่จะลดขั้นเพียงเพราะการเสนอกลยุทธ์ที่ซับซ้อนแต่ได้ผลในระหว่างการซ้อมรบ ในแบบที่ฝ่ายตัวเองแทบจะไม่เสียอะไรเลย ในขณะที่ศัตรูประสบความสูญเสียยับเยิน เท่าที่แล้วมาเรารบชนะได้ก็เพราะศัตรูอ่อนแอกว่าเราอย่างเทียบไม่ติด...”
เธอหยุดพักครู่หนึ่งดูปฏิกิริยาของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่เสนอหน้าเข้ามา ...ผิดคาด นึกว่าจะเดือดจนหน้าแดง... คาเรนต้าคิดด้วยความอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะบอกถึงแผนการรบ
“สิ่งที่ข้ากำลังจะสั่งต่อไปนี้คือการลอบโจมตี ไม่ใช่การบุกโจมตีซึ่งๆ หน้า ข้าจะใช้ให้กองทัพส่วนที่อยู่ใกล้ๆ ทำหน้าที่หลอกล่อ ทำทีว่ากำลังยกพลเข้าโจมตีขนานใหญ่ เอาเครื่องบินที่ลาดตระเวนพื้นที่ปฏิบัติการออกไปให้หมดก่อนจะยิงแคปซูลลำเลียงพลลงไปตรงจุดใดจุดหนึ่งที่การเฝ้าระวังเบาบาง จากนั้นก็ก่อวินาศกรรมสนามบินและเครื่องบินนั้นซื้อเวลาให้กองกำลังขนาดใหญ่บุกเข้าไปโจมตีซ้ำหรือถ้าจะให้พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือการทำลายมันจากภายใน... มันอาจจะเป็นการหลอกใช้พวกผู้บัญชาการที่เข้าใจว่าเราขอกำลังของพวกเขา แต่ว่าผลที่ได้มามันคุ้มค่า ขอให้พวกท่านไปเตรียมจัดกองกำลังตามแบบเข้าสมทบกับกองทัพข้างล่างดีกว่า หน่วยจู่โจมของข้าจะตามไปทีหลัง หลังจากที่ได้รับคำยืนยันจากสายลับแล้ว”
เมื่อมองจากสายตาของว่าที่ผู้บัญชาการกองยานแล้ว ประโยคหลังดูเหมือนเป็นการไล่มากกว่าคำสั่ง เหล่าผู้บัญชาการยานทุกคนจึงยกเลิกการติดต่ออย่างว่องไว ส่วนคาเรนต้าก็หันไปสั่งเจ้าหน้าที่สื่อสารว่าให้ติดต่อไปยังสายลับอีกครั้ง
ภาพใบหน้าของสายลับหนุ่มชาวโนเบิลปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร คาเรนต้าก็ชิงพูดก่อน และทำให้เขาต้องประหลาดใจพอๆ กับได้พบเห็นสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ได้เกิดขึ้น
“ข้าจะใช้กำลังทหารราบขนาดเล็ก หน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ 2 นายกับทหารราบ 4 หมู่ กำหนดจุดส่งกำลังพลมาเลย”
สายลับหนุ่มเผยอปากจะโต้เถียงแต่ก็เถียงไม่ออก และล้มเลิกความคิดที่จะโต้เถียงเมื่อนายพลหญิงสั่งการในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว ...ไม่ได้กลับบ้านร้อยกว่าปีเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย... เขาบ่นในใจ ก่อนจะอัพโหลดข้อมูลจุดส่งถ่ายกำลังพลขึ้นไปให้คาเรนต้า สายลับหนุ่มกำลังจะตัดการติดต่อ แต่คำพูดของว่าที่ผู้บัญชาการกองยานก็รั้งเขาไว้ และยิ่งที่ให้เขาตกใจกว่าเดิม
“ในเวลาไม่กี่อัสมานิค พวกเราและกองกำลังใกล้เคียงจะเข้าโจมตีที่นั่น ข้าอยากให้ท่านส่งสัญญาณขึ้นมาเมื่อเครื่องบินของพวกสวะที่ลาดตระเวนอยู่ออกไปหมดแล้ว จากนั้นข้าจะส่งกองกำลังที่ว่านี่ลงไป ช่วยหน่อยนะ เลิกกัน”
ภายในถ้ำลึกแห่งหนึ่งในหุบเขาบริเวณใกล้เคียงกับสนามบินยักษ์ สายลับหนุ่มแทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง และเกือบคิดว่ากำลังนอนฝันอยู่ เขาแทบจะไม่เชื่อว่าคนที่เขากำลังคุยอยู่เมื่อครู่เป็นนายทหารระดับสูงแห่งกองทัพอากาศโนเบิล สมิงครึ่งเสือดำชายหญิงคู่หนึ่งที่ยืนขนาบข้างเขากำลังกลั้นหัวเราะอยู่ เมื่อเขาสะบัดหน้าไปมองด้วยความเคืองทั้งคู่ก็ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไรแต่แรก แม้จะมีเสียงเครื่องบินโฉบผ่านจากข้างนอกลอดเข้ามา แต่เสียงสะอึกเพราะกลั้นหัวเราะก็ยังพอจะดังให้เขาได้ยินอยู่
“จะหัวเราะก็ปล่อยออกมาให้พวกที่สนามบินได้ยินไปเลยสิ”
สายลับหนุ่มคำรามลอดไรฟันออกมาอย่างไม่สบอารมณ์กับพฤติกรรมของกบฏพันธุ์สมิงทั้งสอง ทำให้ผู้ที่กำลังจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาต้องเงียบงันกันไป แต่ก็ยังไม่หมดอารมณ์ตลก ยังคงมีเสียงเหน็บแนมจากฝ่ายชายว่า
“แหม ดูเหมือนรายนี้จะไม่แข็งทื่อให้นายตอกเล่นนะ”
“เถียงกลับไม่ได้ก็อย่ามาลงที่เราสิคะ ท่านผู้สูงส่ง”
สมิงเสือดำสาวผสมโรง
คำว่า ‘ผู้สูงส่ง’ ทำให้สายลับหนุ่มต้องกลืนความโกรธลงท้องไปและเปลี่ยนมาเป็นอารมณ์อึดอัดแทน เพราะไหนๆ เมื่อสมัยโบราณคนๆ หนึ่งของเผ่าพันธุ์ตนก็ออกมาประกาศแล้วว่าพวกตนเป็นผู้ประเสริฐและสูงส่ง
“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าขอโทษ”
คราวนี้เขาพูดเป็นภาษาของตนเพื่อตอบสนองคำของสมิงสาว แต่สมิงหนุ่มโพล่งขึ้นอย่างเดาอารมณ์ไม่ถูกว่า
“เฮ้ยๆ พูดภาษาชทัมมันสิวะ”
“กระผมต้องขอประทานอภัยด้วยขอรับ กระผมอารมณ์พุ่งพล่านไปหน่อย”
คราวนี้สายลับหนุ่มเปลี่ยนภาษา ระดับภาษาและน้ำเสียง อย่างสุภาพที่สุดราวกับกำลังพูดอยู่กับชนชั้นทาสพูดกับชนชั้นอัศวิน ทำเอาสมิงดำหนุ่มถึงกับหน้าแหยเพราะเขินอาย ส่วนฝ่ายหญิงก็หัวเราะเบาๆ พองามแบบผู้ดี
“พอๆ เลิกเล่นได้แล้ว ทำงานๆ...”
สมิงดำหนุ่มยกมือขึ้นปราม ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาบีบที่ปกเสื้อเชิ้ตด้านซ้ายเบาๆ แล้วเริ่มพูดต่ออย่างจริงจัง
“ผู้บัญชาการโนเบิลคราวนี้หัวหมอว่ะ เจ้แกเล่นส่งหน่วยจีแอล 2 นายกับทหารราบ 4 หมู่มาร่วมกับพวกเรา ในขณะที่รอบนอกก็ทำทีเป็นเข้าโจมตีจริงตามแบบดั้งเดิมเบี่ยงเบนความสนใจ ให้เรารอดูว่ากำลังทางอากาศของชทัมม่าเบาบางก่อนแล้วส่งสัญญาณขึ้นไป เข้าใจวางแผนจริงๆ”
แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ในใจของสมิงดำหนุ่มก็แทบจะไม่เชื่อว่าตัวเองจะออกปากชื่นชมแม่ทัพหญิงแห่งกองทัพผู้ประเสริฐผู้แหกคอกอย่างสร้างสรรค์ ทั้งที่โดยภาพรวมมีแต่พวกเถรตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด
“เอ่อ อีริค ฉันขอถามอย่างหนึ่งได้รึเปล่า”
สายลับหนุ่มตีหน้างงถามขึ้น สมิงหนุ่มพยักหน้าตอบ
“ทำไมดราก้อนไนท์สถึงให้ความร่วมมือกับกองทัพของเราอย่างเปิดเผยไม่ได้”
สมิงหนุ่มถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม แสดงท่าทีอึดอัด แล้วให้เหตุผลว่า
“ขืนทหารโนเบิลแสดงตัวเป็นมิตรกับพวกเราให้พวกกองทัพเอไพด์เมียร์เห็นพวกทหารตั้งแต่ทหารเลวยันแม่ทัพนายกองจะระวังตัวมากขึ้น และเราจะปฏิบัติการอะไรยากขึ้น ยิ่งพวกนายพลจอมอัจฉริยะทั้งหลายอย่าง พลเอก เอกภพ ชัยศาสตรา หรือฉายา ราชาอสรพิษ แห่งกองทัพบกเออริคาสตัน พลเรือเอกหญิง เรเชล เค เบนเดอร์ กองทัพเรือซานทินาซ หรือว่าจะเป็น พลโท ราจีฟ มุสซา หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า แมลงสาบ กองกำลังพิเศษผสมเหล่าวีเนเชีย และอีกหลายคน ไม่ว่าใครก็น่ากลัวทั้งนั้น และเมื่อพวกเขารู้ว่าพวกเราให้ความร่วมมือกับกองทัพโนเบิล พวกเขาจะไม่แค่คอยระวังแค่พวกนายแต่เป็นพวกเราด้วยในเวลาเดียวกัน ผลก็คือ การวางแผนที่ลดความผิดพลาด แนวหลังก็จะไม่เป็นแนวหลังอีกต่อไป ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นการก่อกวนแนวหลังก็จะทำได้ยากขึ้นจนถึงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นรอไปก่อน มันยังไม่ถึงเวลา”
“แต่ตอนนี้พวกทหารอาสาก็ร่วมกับซูเปอร์โซลเจอร์คอยลาดตระเวนแนวหลังอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
สายลับแย้ง
“พวกทหารอาสาไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าไม่ใช่พวกที่เคยเป็นทหารมาก่อน ส่วนมากมีแต่ความรักชาติ แต่ไม่ค่อยมีความสามารถ ประกอบกับการฝึกที่เน้นความรวดเร็วแบบพอดำเนินกลยุทธ์ได้ยิงปืนเป็นดำรงชีพเป็นก็ถูกส่งเข้าพื้นที่ปฏิบัติการเลย”
สายลับโนเบิลจับคำเหน็บแนมที่แฝงมากับคำตอบของอีริค โดยเฉพาะในประโยคหลังๆ ...แต่มันก็จริง... เขาบอกกับตัวเอง ดูเหมือนทหารราบชาวโนเบิลโดยส่วนใหญ่แทบจะไม่ต่างอะไรจากกำลังประชาชนชาวเอไพด์เมียร์เลย เว้นแต่เป็นหรือไม่เป็นทหารอาชีพ และได้รับการปลูกฝังมาในแบบที่ไม่เหมือนกัน
“ว่าแต่นายเถอะ ทามิส อยู่ที่นี่มาร้อยกว่าปีน่าจะซึมซับอะไรจากพวกเราบ้างนะ อยากจะบอกว่ามีผลการวิจัยอย่างหนึ่งที่อาจจะให้ชาวโนเบิลทั่วจักรวาลคลั่งได้ นั่นคือ เด็กชาวเอไพด์เมียร์และเยาวชนจากแทบทุกดวงดาวก่อนที่จะตกเป็นอาณานิคมของพวกนายฉลาดกว่าชาวโนเบิลที่ว่าฉลาดโดยเฉลี่ยอีกนะ”
สมิงดำสาวว่า สายลับหนุ่มทำหน้างงเลิกคิ้วข้างหนึ่ง จ้องตาสมิงทั้งคู่สลับกัน แล้วถามกลับอย่างห้วนๆ ว่า
“หมายความว่าไง”
“พวกนายโดนปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น กีดกันการใช้ความคิด ถูกบีบด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวด ถูกตีกรอบด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี...”
สมิงสาวพูดยังไม่ทันจบก็หัวเราะเบาๆ ในลำคอพลางหันไปมองอีริค
“พูดง่ายๆ คือ พวกนายถูกล้างสมอง ชาวโนเบิลมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์หรอกที่ฉลาดจริงๆ ตัวอย่างหนึ่งก็นายพลหญิงคนนั้น นายน่าจะเอาอย่างเธอบ้างนะ”
อารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านกลับหยุดชะงัก เมื่อสายลับหนุ่มชาวโนเบิลนามทามิสเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ เมื่อมองย้อนกลับไปเมื่อสมัยที่เขายังอยู่ที่ดาวบ้านเกิด การปกครองเป็นแบบชนชั้น ใครก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันปกครองจะไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็น ซึ่งผู้ที่ปกครองก็เป็นราชวงศ์เดียวที่ปกครองมานานนับพันปี กับกฎหมายและขนบธรรมเนียมประเพณีที่แทบจะไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผู้ที่มีอายุน้อยไม่ว่าจะติดยศอะไรก็ต้องยอมอ่อนตามผู้อาวุโสวันยังค่ำ ถึงแม้จะมียศเป็นจอมพลเท่ากันแต่ก็มีศักดิ์ต่างกันอย่างสิ้นเชิงเมื่ออีกฝ่ายมีความอาวุโสกว่า และผู้อาวุโสมักจะถือปฏิบัติธรรมเนียมโบราณไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ แถมยังมีโฆษณาออกอากาศปลูกฝังความเชื่อเรื่องความยิ่งใหญ่และประเสริฐของเผ่าพันธุ์ตน นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเรื่องพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของสิ่งทั้งมวล เมื่อคิดดูแล้วอารมณ์ก็เย็นลง ทามิสลอบถอนหายใจแล้วบอกปัดเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆ ว่า
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้รอดูการเคลื่อนไหวของกำลังทางอากาศของศัตรูดีกว่า”
อีริคและสมิงสาวต้องอึ้งไปครู่หนึ่งอย่างผิดคาดกับปฏิกิริยาของทามิส ซึ่งแทนที่จะออกอาการคลั่งกลับกลายเป็นสงบลงราวกับทองไม่รู้ร้อน
“อเล็กแซนดร้า เธอไปเตรียมทีมไว้รอดักพบกองกำลังโนเบิลไว้ก่อนเลย แล้วจะเรียกไป”
อีริคว่า สมิงดำสาวพยักหน้าให้ครั้งหนึ่งก่อนผละไปอย่างเงียบๆ แบบกึ่งวิ่งกึ่งย่องลึกหายเข้าไปในโพรงถ้ำ ส่วนตัวคนบอกและสายลับหนุ่มชาวโนเบิลก็นำไมโครโฟนขนาดจิ๋วขึ้นมาใส่ไว้ที่หู ยืดเสาอากาศขึ้นเล็กน้อย เพื่อรับสัญญาณจากอุปกรณ์ดักฟังขนาดเล็กที่วางไว้ที่ปากถ้ำ
เพียงอึดใจที่เริ่มดักฟังก็มีเสียงการสนทนาที่วุ่นวายแหวกออกมาจากเสียงคลื่นที่ตีกันโครกคราก และแล้วในเวลาไม่นานเสียงเครื่องยนต์เครื่องบินรบและโซนิคบูมก็คำรามกระหึ่มสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วโพรงถ้ำ ก่อนจะเงียบหายไปอย่างรวดเร็ว มันเป็นการบอกให้ทุกคนรู้ว่า เครื่องบินรบฝูงหนึ่งเพิ่งโฉบข้ามหัวไป ในเวลาไม่นานก็ตามด้วยอีกฝูงหนึ่ง และอีกหลายฝูงที่พากันมาเป็นระยะๆ คนที่อยู่ลึกเข้าไปก็มีเสียวสันหลังกันบ้าง แต่สำหรับคนที่ยืนดักฟังการสื่อสารของกองทัพอากาศชทัมม่าอยู่ตื้นออกมาต้องอ้าปากค้างเพื่อป้องกันการแก้วหูแตก หน้าบูดเบี้ยวกันไปอย่างทรมาน
การดักฟังยังคงดำเนินต่อไปอย่างแข็งขัน เสียงเครื่องบินรบโฉบผ่านสงบไปได้พักหนึ่งแล้ว จนกระทั่งประโยคสนทนาที่พวกเขาอยากได้ยินก็ออกมา
“กำลังเสริมจะมาถึงอีกเมื่อไหร่”
แต่ทว่าความดีใจก็อยู่ได้ไม่นานความกดดันก็เข้าครอบงำทันที
“อีก 40 นาที ดียู-เอฟ-500เอ็กซ์ 8 ฝูงกับ เจอี-เอ/อาร์-85ดี 4 ฝูง จะไปถึงที่นั่นครับ”
ทั้งคู่ต้องอ้าปากค้างกันต่อไปด้วยความตกตะลึง พวกเขาคำนวณผิดพลาดไป กองทัพอากาศชทัมม่าใหญ่กว่าที่คาดไว้ ...มันมีเท่าไหร่กันแน่วะ... อีริคบ่นกับตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะ ทามิสจึงถือโอกาสส่งสัญญาณขึ้นไปหาว่าที่ผู้บังคับการกองยานทันที
“ทราบแล้ว”
คาเรนต้าตอบรับทันที แล้วรีบออกคำสั่งส่งกำลังพลอย่างเร็ว ซึ่งเจ้าหน้าที่สื่อสารก็จัดการส่งถ่ายคำสั่งอีกต่อหนึ่งแม้น้ำเสียงจะแฝงไปด้วยความไม่เต็มใจก็ตาม แต่ว่าที่ผู้บัญชาการกองยานก็ไม่สนใจ ตราบใดที่ยศและความอาวุโสยังเป็นใหญ่เธอก็มีสิทธิ์เต็มที่
แคปซูลลำเลียงพลทรงระฆังสองลำถูกปล่อยออกจากใต้ท้องยานแม่พุ่งตรงไปยังชั้นบรรยากาศพลางเบี่ยงตัวโคจรตามการหมุนรอบตัวเองของดาวด้วยคอมพิวเตอร์นำร่อง มันไม่มีกระจกสักบานเหล่านักรบที่อยู่ข้างในไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่คาเรนต้าลุ้นตัวโก่ง แต่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเขามองว่านี่เป็นคำสั่งฆ่าตัวตาย ...จะยึดอำนาจดีไหม... หลายคนในสะพานเดินเรือคิดแบบนั้นแต่ก็ต้องล้มเลิก เพราะผู้ที่มีอำนาจสูงสุดแท้จริงบนยานและทั้งกองยานรวมถึงผู้บัญชาการยานหลายคนยืนอยู่ข้างคนสั่งการปัจจุบัน
แคปซูลลำเลียงพลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศและเสียดสีกับอากาศจนเกิดเป็นจุดสีแสดขึ้นสองจุดในวงกลมสีคราม เหล่าผู้กล้าโชคดีมากที่ศัตรูไม่มีเครื่องบินขับไล่เพดานบินสูงคอยลาดตระเวนกวาดเรดาร์อยู่ และเมื่อมองจากระยะไกลด้วยสายตาพวกเขาก็ไม่ต่างจากอุกาบาตที่กำลังตกลงมา แต่ทว่ามันจะไม่แนบเนียนเมื่อลงถึงพื้นเพราะเครื่องยนต์จรวดลดแรงตกเริ่มติดเครื่องแล้ว เหล่านักรบดราก้อนไนท์ที่รออยู่บนพื้นต้องรีบร่ายเวทมนตร์เพื่อระเบิดพื้นดินอย่างรีบเร่ง มันเป็นจังหวะพอดีกับที่แคปซูลลงถึงพื้นพอดี พื้นดินบริเวณหนึ่งห่างออกไปถูกระเบิดกระจายเหมือนอุกาบาตตกจริงๆ นักรบกบฏทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อประตูแคปซูลเปิดออกมาเป็นทางลาดสามด้าน เหล่าทหารผู้ประเสริฐก็พรูกันออกมา แต่ไม่มีทีท่าเป็นศัตรูกับคนที่มารอรับเลย สมิงดำสาวหัวหน้าทีมแสดงท่าทีแปลกใจอยู่ไม่น้อย ก่อนถามเป็นภาษาของผู้มาเยือนว่า
“พวกท่านรู้แล้วว่าเราอยู่ข้างเดียวกับท่านเหรอ”
“ไม่รู้”
กลอรี่ลิเบอเรเทอร์นายหนึ่งว่าพลางถอดหมวกรบออกเผยโฉมหน้าวัยกลางคนที่ไว้หนวดเคราดูเข้มแล้วส่งรอยยิ้มแสดงไมตรีจิตก่อนเริ่มแนะนำตัว
“พวกเราไม่ใช่คนของกองทัพโนเบิล แต่เป็นคนของคนที่สั่งการครั้งนี้ ข้าชื่อ ดาเมส เวอร์คานีส ต้องการให้เราทำอะไรสั่งมาได้เลย”
“ดีเลย จะได้คุยกันง่ายหน่อย ข้าชื่อ อเล็กแซนดร้า ลูกันน่า เป็นรองหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการย่อย ฮันเตอร์ แห่งกลุ่มต่อต้านสภาเจ็ดแผ่นดิน หรือ ดราก้อนไนท์ ท่านพูดภาษาเราได้รึเปล่า”
อเล็กแซนดร้าแนะนำตัวบ้างแล้วถามกลับหยั่งเชิง
“พอพูดได้”
ดาเมสตอบกลับเป็นภาษาชทัมม่าแต่ติดสำเนียงโอเคอร์โน่ (อังกฤษ)
“ถ้างั้นในปฏิบัติการครั้งนี้คุณต้องเป็นพวกเรา เราไม่อยากให้ทหารเอไพด์เมียร์เห็นทหารโนเบิลร่วมมือกับพวกเรา เข้าใจนะ”
อเล็กแซนดร้าว่าพลางกวาดตามองไปยังทหารโนเบิลทุกนาย ซึ่งดูจะเข้ากันได้ดีกับคนของเธอ และไม่มีท่าทีรังเกียจแม้แต่น้อย
“แน่นอน”
ดาเมสตอบเต็มเสียงฉีกยิ้มกว้างออกไปด้วยความมั่นใจว่าพร้อมรับทุกสถานการณ์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ