Epidemia: Epic World on Fire
18) Secret service network [Part 1]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเวลา 1120 น. เมืองเซนต์เอลก้า สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมซานทินาส
“ขอพักหน่อยได้รึเปล่า ข้ามึนหัวจะแย่แล้ว”
มีเสียงของชายหนุ่มบ่นเนือยๆ ดังขึ้นในตรอกแคบๆ มืดๆ อันถูกอาบด้วยเงาของตึกสูงเสียดฟ้าสองหลัง หน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์สองคนปรากฏตัวขึ้นหลังการเดินทางข้ามมิติ
“1 มานิค แล้วเราจะไปต่อ”
เสียงหญิงสาวสุดเย็นชาดังตอบกลับ ฝ่ายชายหันมาค้อนใส่ทันที แสดงแววตาขุ่นเคืองภายใต้หมวกรบที่ครอบปิดบังไว้ทั้งศีรษะ
“1 มานิค แล้วไปต่อเหรอ ข้าต้องอวกแน่ ขอสัก 2 มานิคครึ่งได้รึเปล่า”
ชายหนุ่มว่ากลับด้วยเสียงดังเกือบตะโกน ทำเอาฝ่ายหญิงสะดุ้งโหยงสวนกลับอย่างดุดันด้วยเสียงกระซิบ
“เบลเฟกอล ราฟาเซีย เจ้ายังสติดีอยู่รึเปล่า รู้รึเปล่าว่าตอนนี้ตำรวจลับ ทหารอาสาพวกสวะ ทหารรับจ้าง รวมถึงผู้รักษาสันติราษฎร์กำลังตามล่าเราอยู่ทั่วภูมิภาคนี้ยั้วเยี้ยยังกับหนอน แถมที่นี่ก็ใกล้กับเมืองหลวงของศัตรูด้วย เจ้าลืมภารกิจของเราไปรึยัง”
“ข้ารู้ๆ ก็ได้ 1 มานิค ก็ได้”
เบลเฟกอลกัดฟันตอบ เขาหายใจหนักจนลมที่พ่นออกมาจากรูจมูกปะทะกับหมวกรบจนเกิดเสียงดังออกมาข้างนอก พลางหย่อนตัวลงนั่งคอตกอย่างเบาๆ จีแอลสาวมองเขาอย่างกึ่งเห็นใจกึ่งสมเพช แล้วเธอก็สะดุ้งขึ้นเล็กน้อย เอื้อมมือไปสะกิดฝ่ายชายก่อนจะกระซิบว่า
“โค้ด เบรกเกอร์ ได้ยินรึเปล่า”
เบลเฟกอลเงยหน้าขึ้นเงี่ยหูฟังบ้าง เขาก็ครางออกมาเบาๆ ปิดท้ายด้วยคำสบถ
“รถบรรทุกขนาดกลาง กับรถบรรทุกขนาดเล็ก... รถบรรทุกทหารกับรถดัดแปลงจู่โจม เหมือนพวกมันอยู่ไปทุกที่เลย แล้วจับตาดูเราตลอด”
“แน่นอน เราอยู่ลึกในแดนข้าศึกมากนะ ข้าเองก็ไม่ค่อยชอบวิธีการนี้ แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์ต่อพวกเราข้าก็ยินดีจะทำ หมดเวลาพักแล้วไปต่อเลย”
ทั้งคู่กอดคอกันอีกครั้ง จากนั้นก็เกิดมิติบิดเบี้ยวก่อนที่ทั้งสองจะกลืนหายไปกับมิติอากาศที่บิดเบี้ยว แล้วทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ รถกระบะติดปืนกลหนักแล่นนำรถบรรทุกทหารสัญชาติซานทินาส ซึ่งบรรทุกทหารอาสาอาวุธครบมือมาเต็มพิกัดแล่นผ่านไป
หน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ทั้งสองข้ามมิติมาโผล่อีกที่หนึ่ง เป็นห้องที่มีเพดานเรืองแสงกำลังทอแสงสว่างไสว มีชาวเอไพด์เมียร์กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นอยู่ที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ที่มีโน้ตบุคเรียงกันเป็นตับ ทั้งคู่พบว่าพวกตนยืนอยู่บนแท่นโล่งๆ ที่มีพื้นที่พอให้คน 15-20 คนยืนรวมกันได้โดยไม่แออัด เบื้องหน้าเป็นมนุษย์ชายวัยประมาณ 40 เศษ ร่างกายไม่ใหญ่โตนักแต่ล่ำสัน ใบหน้ากว้างโหดเข้มไปด้วยหนวดเครา ศีรษะล้าน ยืนยิ้มต้อนรับอยู่
“มาเร็วกว่ากำหนดตั้ง 15 มานิค มีเวลานั่งพักจิบกาแฟกินขนมปังกรอบเหลือเฟือเลย ยินดีต้อนรับสู่หน่วยปฏิบัติการเคลื่อนที่แบล็คซัน ข้าชื่อโทมัส ซาวาร่า เป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนี้ ทำไมพวกท่านรีบมาจัง”
ชายศีรษะล้านกล่าวต้อนรับพร้อมแนะนำตัวเป็นภาษาของผู้มาเยือนพลางก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ทั้งสองอีกครั้ง
“ข้าชื่อเรเวน ราร์ค พวกกำลังติดอาวุธตามล่าเราตั้งแต่ออกจากค่ายได้แค่ 2 เทอรินเศษเท่านั้น ทำไมท่านไม่บอกเราก่อนว่ากองกำลังของประเทศนี้วางกำลังกระจายเอาไว้ทั่วทุกภูมิภาค”
มาถึงจีแอลสาวก็แนะนำตัวพลางถอดหมวกรบออกก่อนจะโวยวายใส่หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนามโทมัสทันที ในขณะที่เบลเฟกอลแทบจะลงไปกองกับพื้น ถอดหมวกรบออกโคลงหัวอย่างมึนเมา หายใจเข้าออกหนักหน่วง โทมัสละสายตาจากจีแอลสาวตรงหน้ามองเห็นอาการดังกล่าวแล้วหันไปสั่งกับลูกน้องเป็นภาษาซานทินาส (ภาษาสเปน) ว่า
“เฮ่! พวกคุณสองคน พาเขาไปพักหน่อยท่าจะแย่แล้ว...”
แล้วเขาก็หันกลับมามองคู่สนทนา เปลี่ยนภาษาเป็นภาษาโนเบิล ในขณะที่ดาร์คเอลฟ์คู่ที่ถูกเรียกรุดเข้าไปยังจีแอลหนุ่มที่กำลังจะสำรอกอาหารเช้าออกมา ยกขึ้นหิ้วปีกแล้วพาไปแบบกึ่งลากกึ่งประคอง
“คงทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ในแนวหลังนี่ส่วนมากเป็นหน่วยรบเคลื่อนที่ทั้งนั้น เหมือนเรา เราไม่สามารถระบุที่ตั้งและอาณาเขตปฏิบัติการที่แน่นอนได้ ถึงแม้ว่า 1 เลนิคนี้จะอยู่ข้างหลังเรา แต่อีก 1 เลนิคข้างหน้าอาจจะเคลื่อนที่ไปไหนไม่รู้อีกก็ได้ นอกจากนี้ยังมีหน่วยตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายและหน่วยปฏิบัติการลับกระจายอยู่ทั่วเมือง แต่โชคดีที่กองกำลังของพวกท่านยังไม่ได้บุกเข้ามาถึงเขตที่กำหนดให้พลเรือนลงหลุมหลบภัย ดังนั้นก่อนที่... ไม่ใช่สิวันนี้บุคคลระดับผู้บริหารของประเทศนี้ทั้งหมดต้องตาย และเป้าหมายรองคือผู้นำทางทหารและนักการเมือง พวกเราจะแฝงตัวเข้ากับพลเรือนแล้ว...”
พูดยังไม่ทันขาดคำ เรเวนก็ขัดขึ้นก่อนอย่างไม่สบอารมณ์
“ปลอมตัวเป็นพลเรือน ไม่ขี้ขลาดเกินไปหน่อยเหรอ”
แม้อารมณ์ของผู้มาเยือนจะเริ่มเดือดดาลแต่อารมณ์ของเจ้าบ้านกลับตรงกันข้าม เขาหัวเราะออกมาอย่างขบขันกับท่าทีของเรเวน
“ขี้ขลาดเหรอ ท่านควรจะเรียนรู้พวกเราให้มากกว่านี้นะ การปลอมตัวในกรณีนี้พวกเราเรียกว่าฉลาด รวมถึงหนีรบในกรณีที่เราไม่มีแต้มต่อและไม่ได้รักษาสิ่งสำคัญ แต่การหนีทั้งที่ควรสู้นั่นแหละที่เราเรียกว่าขี้ขลาด ถ้าท่านสังเกตดีๆ จะเห็นว่าพวกเราไม่ได้ต่างจากพวกรัฐบาลสภาเจ็ดแผ่นดินและพวกทหารเลย สิ่งเดียวที่เราต่างกันคืออุดมการณ์... หรือถ้าท่านอยากจะสวมเครื่องแบบหน่วยรบพิเศษโนเบิลออกไปลุยกับหน่วยปฏิบัติการลับกับพวกหน่วยทหารอาสาไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยก็ตามใจท่าน ให้เวลา 5 มานิคแล้วค่อยมาบอก”
ว่าจบ โทมัสก็ทำความเคารพโดยการก้มหัวคำนับเล็กน้อยก่อนหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้จีแอลสาวในเครื่องแบบยืนอยู่ท่ามกลางบุคลากรกบฏดราก้อนไนท์ในชุดพลเรือน แม้ท่าทีของเธอจะดูเฉยชาแต่ภายในนั้นอึดอัดใจไม่น้อย ...จะเอายังไงดี เกียรติยศและศักดิ์ศรีแบบโนเบิลหรือกลยุทธ์นอกแบบ... เรเวนรำพึงในใจ
มหาวิทยาลัยนานาชาติโซโฟริค กรุงโซโฟริค
ในโรงอาหารอันกว้างขวางเอลฟ์หนุ่ม 1 และดาร์คเอลฟ์สาว 2 กำลังนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่เคอร์ดานและลูซีนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน ส่วนตรงกลางเป็นดาร์คเอลฟ์สาวสวยสวมชุดทำงานอย่างเป็นทางการสีชมพูดทั้งชุดกระโปรงยาวถึงเข่า
“ท่านประธานอภิมุข ผมขอถามอะไรหน่อยได้รึเปล่า”
เคอร์ดานเริ่มพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมเป็นทางการขณะกำลังม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ด้วยส้อม
“อะไรกันเคอร์ดาน ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ เรียกฉันเหมือนที่เคยเรียกก็ได้”
ดาร์คเอลฟ์สาวในชุดทำงานทำเสียงกึ่งออดอ้อนว่าตอบอย่างร่าเริง
“อลิซ ฉันขอถามอะไรหน่อย”
จากน้ำเสียงสุภาพพลันก็เปลี่ยนมาเป็นห้วนๆ อย่างทันทีทันใด
“ว่ามาเลย”
“ทำไมไม่ไปรวมกับคนของเธอและผู้นำคนอื่น”
จบคำถามท่านประธานอภิมุข อลิซ ก็ทำท่าเหมือนปลงตก รวมกับดอกไม้ที่กำลังจะเฉาตาย ตอบคำถามด้วยเสียงเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“แล้วพวกเธอไม่ใช่คนของฉันรึไง อุตส่าห์เรียกตัวมาจากแนวหน้าไม่ต้องวิ่งหลบปืนเลเซอร์ของพวกผู้ดีเก๊พวกนั้น จนท่านรัฐมนตรีกลาโหมมาโวยวายกับฉันซะยกใหญ่ นึกว่าจะคิดถึงกันซะอีก แล้วที่นี่พวกเราสามคนก็เคยเรียนอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอถึงจะคนละคณะคนละห้องก็เหอะแต่จุดแรกที่เราพบกันก็คือที่นี่ ขนาดป้าโทรลร้านขายบะหมี่ยังจำเราได้เลย แล้วก็ 3 คนนั่นน่าเบื่อจะตาย วันๆ ก็ไล่จ่ำจี้จ่ำไชคนนู้นคนนี้รวมถึงฉันด้วยเหมือนพวกโรคจิตย้ำคิดย้ำทำ ท่านประธานาธิบดีวิเนเชียก็เกลียดขี้หน้าฉันยังกับอะไร ท่านประธานาธิบดีโวลก้าก็เสือผู้หญิง ท่านประธานาธิบดีเออริคาสตันก็อดีตนักวิทยาศาสตร์เข้าเรื่องวิทยาศาสตร์เมื่อไหร่พี่แกพูดแต่ละคำไม่มีใครฟังรู้เรื่อง แถมตอนนี้ก็เริ่มสนใจเรื่องเวทมนตร์ว่างเมื่อไหร่ก็ร่อนสอบถามสำรวจเขาไปทั่ว ท่านประธานาธิบดีชทัมม่าก็เงียบขรึมจนน่ากลัวเหมือนลุงแกอมความลับร้อยแปดพันเก้าเอาไว้ ท่านประธานาธิบดีฟรีแรนเซอรี่ก็ขาเดธเมทัลตัวเอ้ ถ้าได้ยินเสียงกีตาร์ไฟฟ้าทรมานหูดังออกมาแถวๆ ตึกแฟเรอร์ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นตาลุงเกรย์เอลฟ์ใกล้เกษียณอายุเล่น ส่วนท่านประธานอภิมุขโอเคอร์โนรูปก็หล่อ พ่อก็รวย เก่งรอบด้าน แต่ดันขี้โรคแล้ววันนี้ก็ดันเป็นวันอาการกำเริบเลยส่งน้องชายนักการเมืองอัจฉริยะสุดเห่ยมาแทน”
ได้ฟังเหตุผลพร้อมระลึกความหลัง ซึ่งเป็นการนินทาผู้นำประเทศคนอื่นไปในตัวแล้ว เคอร์ดานก็ใจหายวาบผงะนั่งอึ้งไปในทันที ...ฉิบหาย ปากกล้าไม่มีเปลี่ยนเลย ดีนะที่ท่านผู้นำท่านอื่นๆ ไม่ได้อยู่แถวนี้... เคอร์ดานคิด ทางด้านลูซีนนั้นก็หัวเราะอย่างขบขันก่อนจะเอ่ยคำเหน็บแนมไปยังประธานอภิมุขแห่งซานทินาสว่า
“แหม ที่แท้ก็เป็นโรคคลั่งหนุ่มหล่อนี่เอง ฉันว่าตานั่นไม่ได้อาการกำเริบหรอก แต่แกล้งป่วยการเมืองมากกว่า ศึกษาประวัติการศึกษาดูก็ดูเหมือนจะไม่ได้ชอบการเมืองการปกครองอะไรเลยด้วยซ้ำ”
“อย่ามาเดาสุ่มนะ ฉันยอมรับว่าฉันเป็นโรคคลั่งหนุ่มหล่ออย่างที่เธอว่า แต่ฉันก็ศึกษาประวัติเขามาเหมือนกัน เขาเป็นโรคเคออสมานา ที่ยังหาวิธีรักษาไม่ได้ทั้งด้วยเวทมนตร์และเทคโนโลยี ซึ่งเอลฟ์ ดาร์คเอลฟ์ และโทรล จะเป็นกันมาก จะกำเริบเดือนละครั้งใกล้ๆ วันเกิดคลาดเคลื่อนไม่เกิน 4 วันแล้วนี่ก็หลังจากวันเกิดของเขามาแล้ว 2 วัน เพราะฉะนั้นเขาไม่มีทางป่วยการเมืองแน่นอน”
ประธานอภิมุขสวนกลับไปด้วยเหตุผลรวมถึงเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ จนเพื่อนซูเปอร์โซลเจอร์สาวต้องฉงน เบิกตาโพลงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า
“นี่เธอจบรัฐศาสตร์แน่เหรอ”
อลิซยิ้มอย่างมีชัยจนเกือบหัวเราะออกมาอย่างเริงร่า แต่ภาพลักษณ์เป็นสิ่งที่ต้องรักษาจึงกลั้นไว้เนื่องจากเธอเริ่มจะตกเป็นเป้าสายตาบ้างแล้ว
“แน่สิ แต่ครอบครัวและเครือญาติฉันส่วนมากเป็นคนในวงการแพทย์ โดยเฉพาะพ่อฉันหลังจากเลิกงานก็ชอบมาโม้ให้ฉันฟังสมัยก่อนฉันรับตำแหน่ง”
ในขณะที่วงสนทนาสามคนกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่นั้น คนที่สี่ก็เข้าร่วมวง เริ่มด้วยคำทักทายอย่างสนิทสนมกับหนุ่มคนเดียวในวง
“เฮ้ย เคอร์ดาน นั่นใช่แกรึเปล่า”
เมื่อได้ยินเสียงที่แสนคุ้นหูเข้า เอลฟ์หนุ่มซูเปอร์โซลเจอร์สะดุ้งเฮือก ความขยาดก็ผุดขึ้นมาในจิตใจทันที แม้จะไม่อยากหันไปมองที่ต้นเสียงแต่ก็หันไปมองจนได้เพราะอยากรู้ตัวผู้พูด ร่างต้นเสียงเป็นก็อบลินตัวสูงประมาณ 130 เซนติเมตร ใบหน้าทรงไข่ โหนกแก้มสูง ผมหยักศกประบ่าแสกกลาง สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าคราม กางเกงแสลคสีดำอมน้ำเงิน และรองเท้าหนังสีดำพอเป็นพิธีการ ภาพที่เห็นทำให้เคอร์ดานต้องเบือนหน้าหนีไปอย่างช้าๆ พลางทักกลับอย่างสนิทสนมด้วยน้ำเสียงที่บังคับให้เรียบว่า
“นึกว่าแกแต่งงานไปกับกระดานผ้าใบไปแล้วซะอีกนะ เปาโล”
แล้วนัยน์ตาสีทองของเปาโลก็เหลือบขึ้นมองสองสาวต่างตำแหน่ง ก่อนจะร้องออกมาเหมือนเป็นบ้า อย่างคนตกหลุมรักแตกแรกพบ
“ว้าวๆๆ แกเปลี่ยนไปเยอะนะเคอร์ดาน เดี๋ยวนี้เป็นเสือผู้หญิงไปแล้วเหรอ ขอฉันคนได้รึเปล่าเนี่ย คนไหนดี น้องสาวที่ใส่สูทได้รึเปล่าเอ่ย”
“เฮ้ย แกไปอยู่เขาลูกไหนมาวะ รู้รึเปล่าว่า...”
เห็นท่าทีดังนั้น เอลฟ์หนุ่มทำท่าจะต่อว่าแต่ก็ถูกขัดซะก่อน อลิซว่าไปแทนด้วยอีกประโยคที่เคอร์ดานไม่ได้คิดจะพูดออกไป
“รู้รึเปล่าว่าตอนนี้พวกโนเบิลกำลังคุกคามพวกเราอยู่นะ ยังมีอารมณ์มาจีบหญิงอีก ขอโทษนะ แต่ฉันมีคู่หมั้นแล้วเป็นคนใหญ่คนโตด้วย ถ้าอยากจะคุยกับพวกเราก็มานั่งสิ”
ผู้มาใหม่เดินมานั่งที่เก้าอี้ไม้ ซึ่งยึดติดกับโต๊ะ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกเพื่อตีสนิท
“ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย คุณเป็นครูใหม่เหรอ คนสวย ผมชื่อ เปาโล ดีมาเกส เป็นครูภาควิชาศิลปะและวัฒนธรรม”
“นี่น้อยๆ หน่อย แกก็ได้ยินแล้วว่าเธอมีคู่หมั้นแล้ว”
เคอร์ดานขึ้นเสียงเล็กน้อยเชิงปราม จ้องหน้าก็อบลินครูศิลปะเขม็ง
“ใจเย็นสิเคอร์ดาน เขาคงไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับอลิซหรอกมั้ง”
แม้คำพูดจะฟังดูจริงจัง แต่ใบหน้าของผู้พูด ซึ่งก็คือลูซีนกลับกำลังสนุกสนาน และดูจะสนับสนุนทางฝ่ายเปาโลด้วย
“ใช่แล้ว เคอร์ดาน อีกอย่างคู่หมั้นฉันก็ใหญ่มากนะ เขาคงไม่กล้าล่วงเกินฉันหรอก ถึงไหนแล้วล่ะ... เอ่อ ฉันชื่อ อลิซ แม็กซิมม่า เป็นครูใหม่ประจำภาควิชาบริหารธุรกิจค่ะ”
อลิซผสมโรง พร้อมแกล้งพูดไปตามบทที่คิดขึ้นสดๆ เพื่อปิดบังฐานะแท้จริงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มน่ารักๆ แบบหญิงสาวที่เพิ่งเรียนจบและรับงานเลย เปาโลหัวเราะแสดงไมตรีจิตพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเขาก็ทำหน้าแหยก่อนจะกล่าวลา
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณแม็กซิมม่า แต่ผมคงอยู่ไม่ได้แล้ว อีก 4 นาทีผมมีสอน ผมต้องรีบไปแล้ว ไว้เจอกันใหม่นะครับ”
เพียงแค่เพื่อนเก่าจากไปได้ไม่นานเท่านั้น เคอร์ดานก็เป่าลมพรูหอบเบาๆ อย่างอึดอัด ก่อนจะคำรามเบาๆ ในลำคอ ทั้งอลิซและลูซีนที่ดูอยู่ก็อดถามไม่ได้
“เคอร์ดาน ดูเธอไม่เป็นตัวเองเลยนะ เป็นอะไรเหรอ”
ลูซีนว่าก่อน แต่เคอร์ดานไม่ตอบทันทีเขาหัวเราะออกมาอย่างมีนัยน์แฝง และด้วยความขัดเคืองไม่ใช่ความสุข ก่อนจะให้คำตอบด้วยน้ำเสียงแกมหัวเราะ
“ฉัน เธอ... ลูซีน อลิซ... ท่านประธานอภิมุขแห่งสหภาพสาธารณรัฐซานทินาส โดนมันล้วงความในใจไปหมดแล้ว นิสัยเจ้าชู้ของมันเป็นของจริง แต่ความหลังเขาของมันเป็นของปลอม มันรู้ตั้งแต่แรกเห็นแล้วว่าเราคือใคร มันถึงได้แกล้งทำมึนเข้ามาจีบไง”
“อะไรกัน ‘เคอร์ดานผู้น่ากลัว’ สมัยเรียนตอนนี้เป็นอะไรไปแล้ว ผู้ที่เคยทำร้ายจิตใจคู่แค้นจนบ้ากระทั่งโดนพักการเรียนมาแล้วไปอยู่ไหน”
อลิซถามบ้างอย่างสงสัย จ้องตาของเอลฟ์หนุ่มไม่กระพริบ มาดของเคอร์ดานกลับมาเป็นปกติแล้วให้คำตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยเกือบเป็นปกติ
“เขาคนนั้นก็นั่งอยู่ตรงนี้ แต่มัน... จิตใจของมัน ฉันก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี จะว่าใจแข็งมากก็ไม่ผิด จะว่าวิกลจริตก็ใช่ รวมถึงยังเป็นจิตรกรโดยกำเนิด เรารู้จักกันตั้งแต่สี่สิบกว่าปีมาแล้ว เติบโตมาด้วยกัน เรียนด้วยกัน อยู่มาวันหนึ่งเพราะอารมณ์ชั่ววูบของฉัน เพราะมันมาแกล้งฉัน ฉันเห็นมันเป็นเพื่อนสนิทเลยอยากจะแค่สั่งสอนไปนิดๆ หน่อยๆ แต่ผิดคาดฉันประเคนของน่ากลัวต่างๆ นานาให้มัน แต่มันกลับหัวเราะใส่ แถมยังมาขอเพิ่มเหมือนสั่งอาหารจานที่สองจานที่สาม... หลังจากนั้นฉันก็ค้นพบอีกว่ามันมีพลังจิตในระดับสูง ทำให้ฉันได้รู้ว่าฉันถูกล้วงความในใจไปหมดเปลือกเลย สำหรับพวกเธอหรือคนอื่นๆ ฉันคือ ‘เคอร์ดานผู้น่ากลัว’ ‘ปีศาจเคอร์ดาน’ หรือฉายาอื่นๆ อีกสารพัดที่ฉันขี้เกียจจำ แต่สำหรับมันฉันคือ ‘เคอร์ดานผู้น่ารัก’ ว่ากันตามตรง ในชีวิตนี้ฉันไม่กลัวใครหรืออะไรนอกจากมัน”
หลังเคอร์ดานเล่าเรื่องราวในอดีตจบ ลูซีนก็ผิวปากหวือแล้วพูดว่า
“ถึงขนาดทำให้เคอร์ดานผู้น่ากลัวกลายเป็นน่ารักได้น่าจะเข้าหน่วยทหารอาสานะ”
ซูเปอร์โซลเจอร์เอลฟ์หนุ่มหัวเราะหึหึแล้วตอบ
“มันจะยอมเข้ารึเปล่าเถอะ แค่เอาปืนให้มันใช้มันจะส่งคืนเราหรือปาทิ้งรึเปล่าก็ไม่รู้ ในมุมมองของผู้รักชาติมันเกือบจะสมบูรณ์แบบ เสียไม่กี่อย่างคือมันไม่ชอบการเมือง แล้วก็ไม่ชอบทหารด้วย แต่สำหรับฉัน ในตัวมันมีอะไรขัดแย้งกันอยู่มากมาย ซึ่งไม่มีทางใช้เหตุผลกับมันได้”
“ให้เข้าหน่วยจอมเวทก็ได้มั้ง”
อลิซว่า แต่เคอร์ดานกลับถอนหายใจอย่างกลุ้มๆ ก่อนจะอธิบายใช้ภาษาแบบเป็นทางการ
“เรียนตามตรงนะครับท่านประธานอภิมุข หน่วยจอมเวททุกคนจะมีปืนพกเป็นอาวุธประจำกาย และเป็นกฎเหล็กที่จะบังคับให้จอมเวททุกคนพกปืนที่มีขนาดเล็กไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานของกองทัพใดๆ หรือปืนแบบอื่นที่พลเรือนใช้ก็ตามแต่ต้องมีไว้เผื่อว่าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ติดอุปกรณ์ต้านเวทมนตร์ ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นเครื่องกำเนิดสนามพลังแบบประจำหมู่ของทหารราบปกติและแบบติดตั้งไว้กับชุดรบของหน่วยรบพิเศษ และจริงๆ ไม่ว่าจะประจำการอยู่ที่เหล่าทัพไหนก็ตามต้องมีอาวุธติดตัวเอาไว้เป็นปืนขนาดเล็ก เพราะเหตุผลง่ายๆ คือ เวลาจวนตัวจริงๆ จะได้ไม่ต้องมองหาท่อนไม้หรือก้อนอิฐ”
ท่านประธานอภิมุขหัวเราะแห้งๆ อย่างเขินๆ เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนได้ปล่อยไก่ตัวมโหฬารออกไป และเกิดสำนึกได้ว่าทั้งที่ตัวเองนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สูงพอๆ กับตำแหน่งประธานาธิบดีของหลายๆ ประเทศ แต่กลับขาดความรู้รอบตัวบางอย่างไป เอ่ยตอบอย่างไม่เต็มเสียงเพียงว่า
“แจ่มแจ้งเลยจ้า”
“ซึ่งแน่นอนว่า ถ้านายเปาโลเป็นอย่างที่เคอร์ดานว่า เขาไม่มีทางเข้าร่วมหรอกต่อให้ไม่ต้องพกปืนก็ตาม และอีกอย่างนะท่านประธานอภิมุข อีกไม่เกิน 10 นาทีจะถึงนัดประชุมแล้ว ดิฉันแนะนำให้ท่านไปปรากฏตัวที่ห้องรองรับแขกให้ไวเลยดีกว่าก่อนที่จะถูกเขม่นจากผู้นำท่านอื่นๆ”
ลูซีนเสริมขึ้นพลางมองดูนาฬิกาข้อมือ แล้วเตือนเพื่อนสนิทตำแหน่งสูงไปในตัว อลิซสะดุ้งเฮือก เธอลืมเรื่องการประชุมไปสนิท ลุกขึ้นยืนกล่าวขอบคุณกับเพื่อนซูเปอร์โซลเจอร์สาวแล้วรีบจ้ำออกไปจากโต๊ะอาหารอย่างเร่งรีบจนคนสนิททั้งสองเกือบจะตามไม่ทัน
เหล่าผู้นำประเทศยกเว้นท่านประธานอภิมุขซานทินาสกำลังนั่งประจำที่โต๊ะประชุมรูปวงกลมรอเวลากันอย่างสงบโดยมีโดยมีที่ปรึกษาและผู้นำทางทหารนั่งเคียง แต่ละคนพยายามรักษาภาพลักษณ์ของบุคคลระดับผู้บริหารประเทศกันอย่างสุดความสามารถ ผู้ชายสวมชุดสูทผูกเน็คไทแบบเป็นพิธีการสุดๆ ส่วนผู้หญิงก็ไม่ต่างกันนักยกเว้นไม่มีเน็คไทและสวมกระโปรงคลุมเข่าแทนที่จะเป็นกางเกงแสลคขายาว
ที่ดูจะเป็นจุดเด่นที่สุดในห้องก็เห็นจะเป็นเกรย์เอลฟ์เฒ่าที่ดูไม่เฒ่าเท่าใดนัก ซึ่งนั่งหลังป้ายสหพันธรัฐฟรีแรนเซอรี่ เนื่องจากทั้งศีรษะนั้นดูไม่เข้ากับชุดที่สวมเลย ทั้งต่างหูรูปดาวกลับหัวเอย เจาะหางคิ้วเอย รวมถึงทรงผมโมฮ็อกเกรียนข้างไว้หางยาวถึงกลางหลังแถมยังย้อมเป็นลายสีแดงแบบลายเสือ รองลงมาก็เป็นออร์คสาวหุ่นนักกีฬาที่สวยหยาดเยิ้มที่นั่งอยู่หลังป้ายสหพันธรัฐวีเนเชียนจนฮ็อบบิทหนุ่มใหญ่รูปงามฝั่งตรงข้ามที่นั่งอยู่หลังป้ายสหรัฐโวลก้าจ้องตาเป็นมัน แม้ดูเผินๆ เจ้าตัวนั่งอย่างเรียบร้อยทอดสายตาไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย แต่กลับมาจุดสนใจอยู่ที่บุคคลที่นั่งเยื้องไปทางขวาเล็กน้อย
ท่ามกลางบรรยากาศอันแข็งกระด้างที่มีเพียงเสียงซุบซิบคุยกันของเหล่าผู้ที่ติดตามผู้นำประเทศของตนมา โทรลชายวัยกลางคน ณ ที่นั่งผู้นำสหภาพเออริคาสตันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะโพล่งขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่กำลังตึงเครียดขึ้นทุกขณะว่า
“อีก 1 นาทีเศษก็จะถึงเวลานัดแล้วนะครับ ผมว่าท่านประธานอภิมุขแม็กซิมม่า คงจะลืมเวลาแล้วมาสายอีกตามเคย ผมว่าเริ่มประชุมกันเลยดีกว่าไหม ในขณะที่เรากำลังนั่งแช่กันอยู่นี่พวกเบื้องบนฝ่ายโนเบิลอาจจะถ่ายทอดคำสั่งเริ่มปฏิบัติการอะไรไปแล้วก็ได้ ซึ่งไม่รู้ว่าตอนนี้พวกมันปู้ยี่ปู้ยำอะไรกับจังค์ยาร์ดหรืออัลตร้าแคนนอนบริเวณใกล้เคียงไปแล้วบ้าง ดังนั้น...”
ยังไม่ทันขาดคำมนุษย์ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ ณ ตำแหน่งประธานอภิมุขแห่งสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโอเคอร์โน ซึ่งดูจะอ่อนที่สุดในหมู่ผู้บริหารประเทศทั้งหมดในห้องได้พูดขัดขึ้น
“ใจเย็นสิครับ ท่านประธานาธิบดีเฉิน ถ้าเบื้องบนของพวกนั้นสั่งการลงมาจริงตอนนี้ก็ต้องมีเรื่องแจ้งเข้ามาแล้ว ท่านผู้บัญชาการทหารท่านใดได้รับโทรศัพท์จากนายทหารที่ทำหน้าที่รักษาการณ์อยู่บ้างรึเปล่าครับ”
ว่าไปพลางก็ส่ายสายตามองไปยังชายหญิงผู้สวมเครื่องแบบทหารแต่งเต็มยศที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมแต่ก็ไม่มีใครตอบเลย
“ไม่สินะครับ บางท่านที่ไม่เคยเป็นบุคลากรระดับสูงมาก่อนอาจสงสัยว่าทำไมดาวเทียมที่ควบคุมการสื่อสารข้ามพรมแดนถูกทำลายไปแล้วยังจะรับโทรศัพท์จากต่างประเทศได้อยู่ นั่นเพราะเมื่อ 39 ชั่วโมงก่อน ‘เอสคอร์ต’ ได้เปิด ‘บี-แคสต์’ ขึ้นเพื่อให้กองทัพฝ่ายเราสามารถประสานงานกันได้แม้จะไม่มีดาวเทียมตัวเดิมควบคุมอยู่...” (ESCORT = Emergency Situation Co-ORdinate Terminal, B-CAST = Borderless Communication Assistance System Tower)
ในขณะที่กำลังอธิบายอยู่นั้นอลิซก็ปรากฏตัวขึ้น เธอเดินมานั่งประจำที่อย่างสงบทำเป็นไม่สะทกสะท้านต่อสายตาของผู้ติดตามของตนและอีกหลายคนในห้องประชุมที่กำลังจ้องเขม็งอย่างไม่สบอารมณ์กับนิสัยของเธอ ตัวแทนประธานอภิมุขสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโอเคอร์โนยกนาฬิกาขึ้นมองก็เปลี่ยนเรื่องพูดกะทันหัน
“มาทันเวลาพอดีเลย ถึงจะไม่ได้มาก่อนเวลาแต่ก็ถือว่าทันนะ ทีนี้เรามาคุยเรื่องที่ท่านประธานาธิบดีเฉินว่าค้างเอาไว้ก่อนเลยแล้วกัน”
ย้อนกลับไปยังโรงอาหารเอลฟ์ผิวคล้ำคู่หนึ่งกำลังเดินตรงไปยังร้านอาหารตามสั่งด้วยท่าทางปกติด้วยความพยายามเสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวดังขึ้นเป็นเพลง เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหยิบขึ้นกดรับสาย
“ราร์ค”
เอลฟ์สาวบอกชื่อของตน
“นี่โทมัสนะ อีก 20 นาทีถึงเวลาทำงาน กินให้อิ่มแล้วเข้าประจำตำแหน่ง แล้วก็มีข่าวดี การปฏิบัติการครั้งนี้จะมีกลุ่มปฏิบัติการอีกกลุ่มเข้าร่วมด้วย เห็นว่ามีหน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์สามคนรวมอยู่ด้วย พวกคุณน่าจะประสานงานกันได้นะ แค่นี้แหละ”
ในขณะที่โทมัสกำลังจะวางสายเรเวนเอ่ยรั้งไว้ก่อน
“มีอะไรเหรอ”
หัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการกบฏท้องถิ่นถาม
“พวกคุณเป็นคนท้องถิ่น ช่วยแนะนำรายการอาหารให้ที”
ได้ยินดังนั้นโทมัสก็หัวเราะ
“นึกว่าอะไร งั้นต้องถามก่อนว่าพวกคุณยืนอยู่หน้าร้านอะไร”
เรเวนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า
“ครัวโฟรโมวา”
“สเต็คเนื้อระเบิด”
ว่าจบโทมัสก็วางหูไปในทันทีทันใด ส่วนจีแอลสาว (สวมชุดไปรเวท) ได้ฟังชื่อเมนูก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก เพราะแรกได้ยินก็เกิดจินตนาการไปในทางลบแล้ว
“เขาว่ายังไงบ้าง”
เบลเฟกอลเอ่ยถามอย่างสนใจเป็นภาษาซานตินาส
“โทมัสบอกว่าให้ลอง ‘สเต็คเนื้อระเบิด’ จะลองดูไหม”
“เขาเป็นเจ้าบ้านนี่ เขาว่าไงฉันก็ว่าตาม”
ตกลงกันได้ทั้งสองก็ไปตามคำแนะนำ แต่ก็ไม่ลืมเวลาเมื่อได้รับมาแล้วจ่ายเงินเรียบร้อย หาที่นั่งได้ก็รีบกินแข่งกับเวลากึ่งๆ ริ้มรสชาติ ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะลุกขึ้นยืนนั้นเอง เอลฟ์ผิวคล้ำชาย 2 หญิง 1 ก็เดินผ่านเข้ามาพอดี ทั้งสองกลุ่มได้พบกันต่างฝ่ายก็อุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน และเกือบจะกล่าวทักทายกันเป็นภาษาโนเบิล แต่ก็ต่างติดอยู่ที่ว่ากำลังแทรกซึมอยู่ในแนวหลังศัตรู จากนั้นต่างก็แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในสมรภูมิก่อนหน้านี้อย่างพอสนุกปากแต่ก็ไม่ดังจนเกินไปจนกระทั่งมีโทรศัพท์มือถือเรียกเข้ามาทั้งสองฝ่าย
“หัวหน้าเรียกแล้วต้องไปประจำตำแหน่งก่อน พวกนายก็เหมือนกันขอให้โชคดี”
ทานาทรอสว่าก่อนผละจะพาวิคเตอร์และอีรีน่าเดินแยกไป แต่ลากันไม่ทันไรเรเวนก็เรียกเอาไว้ก่อนด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มีข่าวดี เบื้องบนรู้เรื่องดราก้อนไนท์แล้ว พวกนายสามารถแจ้งสถานะไปยังหน่วยที่นายสังกัดได้ทุกเมื่อด้วยเส้นทางสื่อสารเฉพาะ ฉันกับเบลเฟกอลไม่ได้พลัดหลงกับหน่วยแต่ได้รับคำสั่งให้เข้าร่วม กว่าจะได้รับอนุมัติจากเบื้องบนก็แทบจะเฉาตายคาค่าย”
ทางกลุ่มทานาทรอสยิ้มกันทุกคนแล้ววิคเตอร์บอกยิ้มๆ ว่า
“ยังไม่ถึงเวลา บอกตรงๆ ว่าเราชักชอบงานก่อความวุ่นวายหลังแนวข้าศึกแล้ว ลองแจ้งเข้าไปรับรองว่ามีคำสั่งให้กลับไปรายงานตัวแน่ ดังนั้นช่วยปิดเรื่องเราเป็นความลับด้วย”
ว่าจบหนุ่มเกินอัจฉริยะก็หันหลังเดินจากไป ในความคิดของเรเวนและเบลเฟกอลเริ่มจะไม่เข้าใจในตัวเพื่อนร่วมรบทั้งสามแล้ว ...พวกเขาลืมหลักคำสอนและหลักการของบรรพบุรุษไปแล้วรึไง... ทั้งคู่คิด แต่ในขณะนี้ทั้งสองก็ตระหนักได้ว่าไม่ใช่เวลาจะมากังวลกับเรื่องนี้เพราะในเวลาอีกไม่นานภารกิจจะเริ่มต้นขึ้นจึงต้องรีบเข้าประจำตำแหน่งให้ทันเวลา
บนดาดฟ้าอาคารเรียนหลังหนึ่ง โทมัสยืนมองนาฬิกาข้อมือนับเวลาตามตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นวินาทีอย่างคร่ำเคร่ง รอบตัวของเขาเป็นพลแม่นปืน 6 นายคุมพื้นที่ดาดฟ้าตึกสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่สูงมากจนไม่มีใครสังเกต
“สี่... สาม... สอง... หนึ่ง... เอาเลย!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ