Epidemia: Epic World on Fire
7.9
12) Full scale assault [Part 2]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความสถานการณ์สู้รบในเมืองเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง คงมีแต่เสียงการกรีฑาทัพของกองกำลังผู้ประเสริฐ โดยเฉพาะกับเสียงฝีเท้าอันใหญ่โตของหุ่นยนต์รบตัวเท่าตึก 5 ชั้นรุ่นสตอร์มวอร์ริเออร์ที่เด่นแยกออกมาจากเสียงฝีเท้าของทหารราบและเสียงเครื่องไอพ่นของรถถังและยานเกราะอื่นๆ ไม่มีคำสั่งโง่ๆ ของผู้บัญชาการอ่อนประสบการณ์แสนอวดดีอีกต่อไป รูปกระบวนทัพที่แบ่งออกเป็นกลุ่มๆ รูปวงกลมทิ้งระยะห่างกันไม่มากทำให้ยากแก่การดักโจมตีในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเหลือกันได้พอสมควรเมื่อถูกโจมตีแบบฉาบฉวย
เหล่าทหารราบได้รับคำสั่งให้เข้าค้นอาคารทุกหลังที่ผ่าน หรือแม้กระทั่งท่อระบายน้ำก็มีการระวังกันด้วย ถึงแม้จะมีการสะดุดกับดักกันบ้างแต่ลีออนก็ยังคงคำสั่งเดิม คำเตือนให้ระวังตัวถูกส่งออกไปโดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา แม้มันจะทำให้ทหารเสียขวัญไปบ้างแต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าปล่อยให้นักรบในการดูแลของตนสบประมาทคู่ต่อสู้ที่แสนจะร้ายกาจแม้ภายนอกจะไม่ต่างจากพวกชาวนาต่างเผ่าพันธุ์ที่รวมตัวกันต่อต้านก็ตาม ซึ่งตัวอย่างก็มีกันให้เห็นมาแล้วเมื่อหุ่นยนต์รบที่พวกเขาแสนภาคภูมิใจถูกทำลายอย่างรวดเร็วแบบนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ
พลบินโทรลทำท่าทางการบินฉวัดเฉวียนพลางสาดกระสุนเข้าใส่กองกำลังผู้บุกรุกเพื่อเรียกร้องความสนใจ ในขณะที่พวกของตนเคลื่อนกำลังพลอ้อมไปอีกทาง ก่อนจะบินหนีอย่างไม่คิดชีวิตในขณะที่อีกด้านหนึ่งเหล่าจอมเวทประจำหมู่รบก็เริ่มเปิดฉากโจมตีด้วยระเบิดน้ำแข็ง และพายุหมุนลูกเล็กๆ กระสุนปืนกลหนักขนาด 19.6 มิลลิเมตรจากปืนกลหนักลำกล้องแฝดถูกยิงออกมาจากหน้าต่างของอาคารหลังใดหลังหนึ่ง โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เซนเซอร์อันเป็นดวงตาของหุ่นยนต์รบมาตรฐานสตอร์มวอร์ริเออร์ ในขณะที่มีห่ากระสุนถูกสาดเข้าใส่กลุ่มทหารราบจากอีกหลายมุมจากปืนกลกล้องหมุนของพลอาวุธหนัก แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลมากนักเพราะเกราะพลังงานสีหยกถูกเปิดทิ้งไว้ก่อนแล้ว
เมื่อถูกยิงสวนมากๆ เข้าซูเปอร์โซลเจอร์สาวภูติเพลิงก็ออกคำสั่งถอนกำลัง หนีไปคนละทิศคนละทางก่อนจะมารวมตัวยังจุดนักพบที่กำหนดไว้เฉพาะหน้า
“อย่าตาม!!”
นายทหารโนเบิลชายกลางคนออกคำสั่งตวาดลั่นอย่างเฉียบขาด เมื่อมองผ่านภาพโฮโลแกรมลงไปเห็นทหารฝ่ายตนกำลังทำโง่ๆ โดยการเดินตามเหยื่อล่อไปยังกับดักของฝ่ายตั้งรับ
“ไม่ว่าพวกมันจะเข้าโจมตีเราแล้วหนีไปยังไงห้ามตามเด็ดขาดจนกว่าเราจะจัดการกับศูนย์บัญชาการส่วนหน้าของพวกมันได้ ห้ามใครไล่ล่าข้าศึกเด็ดขาด ให้หน่วยปืนใหญ่หรือสตอร์มวอร์ริเออร์ยิงปูพรมไปแทน ถ้าได้ยินเสียงแหลมๆ ให้เปิดม่านพลังงานคลุมไว้แล้วหยุดรอกระสุนปืนใหญ่ของพวกมันตกลงมาหมดก่อน แล้วค่อยเคลื่อนต่อ”
ทันใดนั้นสิ่งทำลายขวัญก็ปรากฏขึ้น เสียงปืนใหญ่สัตฺว์ประหลาดรัวกระหน่ำ ทำเอานักรบบางนายถึงกับขวัญบิน ร้องโวยวายอย่างขาดสติ แต่ทว่าเสียงเรียบๆ ของผู้บัญชาการมากประสบการณ์ก็สามารถเรียกกำลังใจกลับมาได้เป็นอย่างดี
“อย่าไปกลัว พวกมันแค่ระเบิดเสียงเปล่าข่มขวัญเราเท่านั้น หรือไม่ก็ยิงใส่กองทัพภาคอื่นของเราที่อยู่กลางที่โล่งๆ”
ร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวจ้องหน้านายทหารสมิงเขม็งพร้อมกับเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาตามใบหน้าเพราะความกดดัน
“ถึงบอกไงว่าแมร่งของจริง แค่ระเบิดเสียงออกไปเปล่าๆ ไม่ได้ผลหรอก ถ้าจะยิงก็ต้องยิงจริง แต่ดันติดอยู่ที่ว่าที่นี่มันเขตเมืองมาทำลายทิ้งกองกำลังฝ่ายเราก็ไม่มีที่ซ่อนแล้วหุ่นยนต์รบของพวกมันก็จะวิ่งเล่นได้สะดวก ไม่งั้นผมสั่งยิงพวกแมร่งกระจุยไปแล้ว”
พูดจบพันเอกสมิงก็หัวเราะในลำคออย่างชื่นชมในไหวพริบของคู่ต่อสู้พลางมองลงไปยังภาพโฮโลแกรมที่แสดงการเคลื่อนทัพของศัตรูที่เป็นไปอย่างช้าๆ
“ถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่าเป็นศัตรู ก็อยากจะกอดคอกันเข้าไปหาอะไรดื่มในบาร์เหมือนกัน”
ประโยคหลังเขาพูดแทบจะเป็นเสียงกระซิบงึมงำๆ นายทหารหญิงเคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วซักถามอย่างสงสัย แต่เขาก็ตอบปฏิเสธอย่างง่ายๆ แล้วกลับเข้าสถานการณ์ปัจจุบันในทันที โดยการเริ่มสั่งการ ดำเนินกลยุทธ์ต่ออย่างเคร่งเครียด ซึ่งร้อยโทสาวครึ่งแวมไพร์ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างคาใจก่อนจะไหลตามน้ำโดยไม่เอ่ยซักถามอะไรให้มากความอีก
แมดอาร์มบินโฉบไปโฉบมาพลางสาดกระสุนไม่เลี้ยงใส่ทหารข้าศึก ซึ่งได้เปิดเกราะพลังงานส่วนตัวกันถ้วนหน้า กระสุนทุกนัดที่กระทบเป้าก็จะมีประจุพลังงานทำปฏิกิริยาเกิดเป็นจุดสีเขียวอ่อนเหมือนหยกขึ้นก่อนที่หัวกระสุนจะกระดอนออกไปแล้วหายไป ซึ่งตัวคนยิงก็หายไปด้วยอย่างไร้ร่องรอย โดยที่ฝ่ายผู้มาเยือนยังไม่ทันได้ตั้งแนวยิงเลยด้วยซ้ำ แต่ทันใดนั้นพลบินโทรลก็ไปโผล่อีกที่หนึ่งเหมือนหายตัว แล้วสาดกระสุนเข้าใส่ไม่กี่ชุดก่อนจะหนีหายไป แม้พื้นที่นี้จะเป็นพื้นที่ที่มีอาคารสูงระดับ 4 ชั้นขึ้นไปตั้งอยู่อย่างแออัด ทำให้สตอร์มวอร์ริเออร์ต้องยิงปืนถล่มตึกอยู่บ่อยครั้ง ทั้งเพื่อให้เคลื่อนที่ได้สะดวก และเพื่อกำจัดที่หลบซ่อนของกองกำลังโจมตีทางอากาศประเภทชายเดี่ยวของข้าศึก แต่มันก็ไม่น่าจะรวดเร็วขนาดหายจากที่หนึ่งไปโผล่อีกที่หนึ่งได้ แม้แต่นายทหารอาวุโสแห่งกองทัพผู้ประเสริฐเองก็ถึงกับตะลึง
ภาพที่ส่งมาเป็นภาพของพลบินของข้าศึกที่ปรากฏตัว 5 ที่พร้อมๆ กัน พอบินหนีก็เหมือนกับจะสลายตัวหายไปในอากาศก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกที่หนึ่งในเวลาไม่นานเหมือนกับว่าไม่ได้มีอยู่คนเดียวตั้งแต่แรก และทุกครั้งที่เกิดความยุ่งเหยิงขึ้นหน่วยจรยุทธ์ของข้าศึกก็จะเปิดฉากโจมตีในทันที พอเริ่มตั้งตัวได้ใหม่ก็หนีหายกันไปหมด เสียงที่ส่งผ่านเข้ามาทางอุปกรณ์สื่อสารล้วนเป็นเสียงของความสับสนและความปั่นป่วน อันเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าภาพที่ส่งมานั้นไม่ใช่เพราะเครื่องฉายภาพเกิดรวน และไม่ใช่ภาพลวงตาจากเวทมนตร์
การเคลื่อนทัพทำได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น เพราะคนเจ็บหลังจากการโจมตีแต่ละครั้งต้องลำเลียงขึ้นยานพยาบาล ซึ่งดูเหมือนฝ่ายเอไพด์เมียร์จะรู้อยู่แล้วว่าศัตรูของพวกเขาจะไม่ทิ้งคนเจ็บไว้เบื้องหลัง จึงไม่มีใครโจมตียานพยาบาลเลย เมื่อเห็นดังนั้นลีออนจึงส่งคำสั่งใหม่ไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาว่า
“ยกเลิกรูปขบวน ทุกหน่วยกระจายกำลังออกเป็นบริเวณกว้าง จัดเป็นกลุ่มย่อยๆ ไม่เกิน 25 นายดำเนินกลยุทธ์นอกแบบ แยกยานพยาบาลออกมาต่างหาก ให้สตอร์มวอร์ริเออร์เฝ้าเอาไว้ ส่วนหน่วยปืนใหญ่ให้จับกลุ่มกับรถถังแยกไปเป็น 3 กลุ่ม แล้วรอคำสั่ง ปฏิบัติ”
สิ้นสุดคำสั่งรูปกระบวนทัพรูปวงกลมก็สลายตัวออกอย่างไม่เป็นระเบียบ มีแต่เหล่าทหารราบเท่านั้นที่แตกกระจายกันออกเป็นบริเวณกว้าง ในขณะที่เหล่ายานเกราะกลับรวมกันอยู่เป็นกระจุก ภาพเหล่านี้ถูกส่งไปยังโต๊ะวางแผนของผู้บัญชาการฝ่ายตั้งรับ สร้างความตกใจเป็นอย่างมาก เพราะคู่ต่อสู้คราวนี้ได้ทำในสิ่งที่กองทัพโนเบิลนับว่าเป็นการเผาตำราพิชัยสงครามทิ้ง ถูกแล้วนี่คือแผนการรบในเขตเมืองที่เกือบจะถูกต้อง บกพร่องตรงที่ไม่มีรถถังหรือยานเกราะขนาดเล็กตามสนับสนุนทหารราบเท่านั้น แต่เพียงเท่านั้นก็สร้างความลำบากให้แก่ฝ่ายตั้งรับที่มีกำลังน้อยกว่าอย่างล้นหลามแล้ว
แต่ทว่าการยกเลิกกระบวนทัพก็ก่อผลเสียเหมือนกัน ภายในไม่กี่นาทีก็มีการสะดุดกับระเบิดล้มตายกันเป็นแถบในหลายๆ จุด แต่ถึงกระนั้นลีออนก็ยังคงยืนยันคำสั่งเดิม โดยให้เหตุผลกับทหารของตนว่าการเดินทัพแบบนี้จะลดการสูญเสียกำลังพลได้มากกว่าการเกาะกลุ่มกัน ถ้าหากว่าฝ่ายตั้งรับส่งอากาศยานทิ้งระเบิดมาโจมตีหรือมีการยิงถล่มด้วยอาวุธพิสัยกลางถึงไกลใดๆ ก็ตามรวมทั้งเวทมนตร์บางบทด้วย ส่วนกองยานเกราะจู่โจมนั้นเป็นเพียงแค่ตัวถ่วงสำหรับการรบในเขตเมือง
ยูคิเอะวิ่งนำทหารจำนวนหนึ่งไปตามตรอกซอยแคบๆ แห่งหนึ่งตรงไปอย่างไม่มีจุดหมายแน่นอน เพื่อมองหาอาคารสำหรับซุ่มโจมตี ในมือเป็นครึ่งหนึ่งของปืนกลหนักลำกล้องแฝด ซึ่งเธอนำมาถือในระดับเอว โดยมีหูสำหรับหิ้วอยู่บริเวณกึ่งกลางเยื้องไปด้านหน้าของตัวปืน ส่วนด้ามก็อยู่ทางด้านท้ายโดยไม่มีไก แต่เป็นปุ่มให้กดคล้ายจอยแท่ง ไม่มีพานท้าย ทางด้านซ้ายเป็นรางสำหรับประกอบกับปืนอีกกระบอก ส่วนด้านขวาก็เป็นสายกระสุนในกล่องขนาดใหญ่ และด้านล่างก็เป็นช่องคายปลอกกระสุน
อากาศเริ่มเย็นลงตามเวลาในเขตทะเลทราย ชุดที่ดูเหมือนพลเรือนของเธอค่อนข้างจะเข้ากับอากาศหนาวๆ ทีเดียว เสื้อไหมพรมแขนยาวสีดำ และกระโปรงมีจีบสีเทายาวเกือบถึงเข่าเนื้อผ้าอย่างหนา ส่วนตั้งแต่หน้าแข้งลงไปก็เป็นถุงเท้ากีฬาสีแดงมีแถบพาดสีขาวครึ่งแข้ง เข้ากับรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีน้ำตาลแก่ ซึ่งครึ่งหนึ่งของเธอเป็นภูติแห่งเพลิงด้วยแล้วจึงได้เปรียบกว่าคนอื่น นอกจากนี้สิ่งที่แลบออกจากคอเสื้อก็เป็นเครื่องประดับปลอกคอหนังสีดำตามสไตล์สาวซ่าหรือจะเพื่อเพิ่มความอบอุ่นก็ตาม แต่ความน่ารักนั้นไม่มีประโยชน์ในยามนี้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่วิ่งตามหลังทั้งชายและหญิงไม่มีเวลามาชมความงามอะไร และฝ่ายข้าศึกก็จะเหนี่ยวไกใส่ไม่ยั้งเมื่อเผชิญหน้า
แม้หน้าตาจะน่ารักและหุ่นดีตามแบบวัยรุ่นก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม ผมซอยยาวประบ่าสีฟ้าของเธอนั้นก็ทำให้เสียเปรียบด้านการดำเนินกลยุทธ์เหมือนกันเพราะความเด่นสามารถมองเห็นได้แม้จะอยู่ในที่มืดเกือบจะไร้แสง และด้วยรังสีความร้อนที่แผ่ไออุ่นออกมาจะทำให้ยิ่งเด่นเพื่อเผชิญหน้ากับระบบตรวจจับอินฟราเรด แม้ตอนนี้เธอจะพยายามลดก็ตาม แต่ก็ยังพอมีเสียงครางด้วยความสบายกายมาจากด้านหลังเบาๆ ราวกับอยู่หน้าเตาผิง
ไม่มีการติดต่อมาจากศูนย์บัญชาการชั่วคราวมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีใครพยายามติดต่อเพราเห็นว่ายังไม่มีเหตุจำเป็น จนกระทั่งในที่สุดเอสดีเอสก็ได้พบกับอาคารที่จะใช้เป็นสถานที่ซุ่มโจมตี มันเป็นอาคารสูง 4 ชั้น เป็นลักษณะของห้องแถว ตรงหน้าเคยเป็นร้านขายขนมเค้กมาก่อน แต่เมื่อเธอกำลังจะเดินเข้าประตูไปก็ต้องพบกับกับดักที่ซ่อนพรางไว้อย่างแนบเนียน จนการมาพบเข้าต้องถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญทีเดียว
“คงมีใครมาซุ่มอยู่แล้ว พวกเราไปต่อ”
ยูคิเอะว่าก่อนจะเดินเลี่ยงพาผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเดินหาจุดซุ่มโจมตีต่อ แต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องพบกับอีกที่ๆ เหมาะ เธอจึงโบกมือให้ตามเข้าไปในอาคาร มันเป็นตึกสำนักงานอะไรสักอย่างหนึ่ง ความสูง 5 ชั้น อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายขนมเค้กพอดี
เอสดีเอสติดสินใจจะอยู่ที่ชั้นล่างสุด โดยชักปืนกลหนักอีกกระบอกออกมาแล้วประกอบกันเป็นปืนกลหนักลำกล้องแฝดก่อนจะนำขาหยั่งออกมาประกอบอีกทีหนึ่งเพื่อตั้งฐานยิง หันกระบอกปืนออกไปทางหน้าร้าน ในขณะที่เหล่าทหารราบคนอื่นๆ พากันเดินขึ้นข้างบน แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดมีเสียงปืนดังขึ้น แล้วตามด้วยเสียงเอะอะของทหารหญิงคนหนึ่งว่า
“อย่ายิง อย่ายิง นี่พวกเดียวกัน”
ขาดคำเท่านั้น จรวดต่อต้านบุคคลก็พุ่งออกจากหน้าต่างของอาคารฝั่งตรงข้ามก่อนตามด้วยการระดมยิงอย่างหนัก
“หูแตกรึไงวะ ไอ่ห่าเอ้ย นี่พวกเดียวกัน พวกเดียวกันโว้ย”
แม้จะมีเสียงตะโกนโหวกเหวกอย่างโกรธเคืองแข่งกับเสียงปืน แต่การระดมยิงยังคงดำเนินต่อไป คราวนี้จรวดต่อต้านบุคคลอีกนัดหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ซูเปอร์โซลเจอร์สาวภูติเพลิงทางด้านหน้าพอดี กำแพงเวทมนตร์กางกั้นไว้เกือบไม่ทัน ก่อนที่เธอจะเริ่มยิงสวนอย่างงงๆ ซึ่งอย่างน้อยก็ยังพอมีข้ออ้างว่าป้องกันตัวได้ หลังจากการยิงสวนชุดยาวๆ ไม่กี่ชุด ยูคิเอะก็พับขาหยั่งแล้วอุ้มปืนวิ่งออกไปนอกอาคารทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แยกออกจากกันอย่างสุดชีวิต พลางพยายามติดต่อกับศูนย์บัญชาการส่วนหน้าและร่ายเวทม่านหมอกเพื่อพรางตัวจากทหารราบไม่ทราบฝ่ายก่อนจะเก็บปืนกลหนักลำกล้องแฝดเข้าคลังแสงไปแล้วเปลี่ยนเอาไรเฟิลจู่โจมออกมาแทน
ความพยายามในการติดต่อกับศูนย์บัญชาการส่วนหน้าสูญเปล่า มีแต่ความเงียบเหมือนถูกรบกวนสัญญาณ เอสดีเอสจึงเปลี่ยนไปใช้เวทมนตร์แทน (โทรจิต) แต่ทว่าก็ไร้ผลอยู่ดีเหมือนถูกปิดกั้นการสื่อสารในทุกทาง ...กบฏ... คำๆ นี้ผุดขึ้นในหัวของเธอทันที และคิดได้ว่าต้องพยายามหากองกำลังฝ่ายตนแล้วเตือนเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีใครโดนไปแล้วบ้าง แต่อย่างน้อยการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ในสมรภูมิในเขตเมืองก็ยังดีกว่าการอยู่คนเดียว
หลังการต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีบ่อยๆ โอเคอร์เปลี่ยนมาบินหากลุ่มทหารโนเบิลเป็นกลุ่มๆ ไป แต่ทว่าในขณะที่เขาบินผละออกจากการโจมตีมาได้ครู่หนึ่งก็เกิดเสียงปืนขนาดลำกล้องใหญ่แผดระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนจะตามด้วยเสียงของวัตถุแข็งเพรียวลมปะทะกับเกราะเวทมนตร์ของเขาอย่างจัง แรงปะทะทำให้เขาเสียการควบคุมปลิวเฉียงไปทางขวาอย่างแรง ทะลุหน้าต่างของอาคารสูงหลังหนึ่ง เขาสบถออกมาอย่างหัวเสียระคนสงสัยพลางเอามือกุมที่ท้องครางเบาๆ อย่างเจ็บปวด แล้วลุกขึ้นนั่งบ่นพึมพำ
“แมร่งเอ้ย ทำไมโอเมก้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้วะ... ขนาดกางกำแพงเวทแถมใส่เกราะซะหนายังเจ็บขนาดนี้”
พูดจบเขาก็พยายามทำแบบเดียวกับยูคิเอะ แต่ก็ไร้ผล มองออกไปนอกหน้าต่างที่เขาทะลุเข้ามาบนชั้นดาดฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปเล็กน้อยก็พบกับเอลฟ์สาวหน้าอกแบนผิวสีน้ำผึ้งคนหนึ่งสวมชุดพลเรือนโผล่ขึ้นมาให้เห็นแค่อก ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกเพื่อสักถามอะไรแต่ทว่า เอลฟ์สาวก็ยกปืนไรเฟิลต่อต้านเป้าวัตถุที่มีลักษณะใกล้เคียงกับปืนใหญ่สำหรับทหารราบที่มีขนาดลำกล้อง 37 มิลลิเมตร ระบบลูกเลื่อนขึ้นมาประทับบ่าและไหล่เล็งลงมายังเขา พลบินโทรลร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ แล้วรีบลุกพรวดพุ่งตัวไปยังประตูที่เปิดอ้าอยู่เพื่อหาที่หลบ นิ้วเรียวบางเหนี่ยวไกในขณะที่กวาดปืนตามเป้าหมาย เกิดเสียงแผดทุ้มดังสนั่นส่งหัวกระสุนขนาด 37 มิลลิเมตรพุ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียงเข้าใส่เป้าหมายที่วิ่งไม่คิดชีวิต
โอเคอร์กำลังจะเปลี่ยนจากวิ่งเป็นบินเขาหยุดชะงักนิดหนึ่งเพื่อตั้งท่า ทว่าในตอนนั้นเองผนังทางด้านซ้ายก็ระเบิดออกมาเป็นรูขนาดครึ่งฟุต เศษวัสดุสังเคราะห์บางอย่างมีลักษณะภายนอกคล้ายปูนที่ใช้สร้างกระจัดกระจายไปทั่ว ภายในชั่วพริบตาเดียวผนังทางด้านขวาก็ระเบิดตามเผยให้เห็นห้องที่อยู่ข้างหลัง เขารู้สึกได้ว่าหัวกระสุนต่อต้านยานเกราะเฉียดผ่านหน้าเขาไปไม่ถึง 1 ฟุตด้วยซ้ำ ...เกือบหัวหลุดแล้วตู... เขาคิดในใจอย่างสยดสยองหนาวสันหลังและเกือบจะล้มทั้งยืน แต่ก็ไม่ล้มเพราะทันทีที่กระสุนเฉียดผ่านไปไอพ่นเกราะเวทมนตร์ก็เร่งส่งตัวของเขาพุ่งทะยานไป พลางก็ควักปืนลูกซองออกมาจากคลังแสงส่วนตัวยืนไปข้างหน้าแล้วเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็วหลายนัด ม่านลูกปรายสาดออกไปเป็นลูกไฟลูกเล็กๆ เมื่อกระทบเข้ากับผนังก็ระเบิดออกเกิดเป็นรูขึ้น เมื่อหลายชุดเข้าก็กลายเป็นช่องพอให้โทรลตัวสูง 3 เมตรลอดออกไปได้
เกิดเสียงแผดระเบิดของไรเฟิลต่อต้านเป้าวัตถุขึ้นอีกนัดหนึ่ง เขาจึงปักหัวลงพื้นอย่างฉับพลัน หัวกระสุนพุ่งเฉียดแผ่นหลังของเขาไปด้วยความเร็วเหนือเสียง กระแสลมที่ควงตามกระสุนได้พัดเอาร่างอันใหญ่โตปลิวเสียการทรงตัวไปด้วย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำตีลังกากลางอากาศแล้วลงพื้นได้อย่างสวยงาม แต่ไม่มีกรรมการให้คะแนน และเขาก็ไม่ต้องการกรรมการในเวลาหนี จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหลบในตรอกแคบๆ อย่างสุดชีวิต ก่อนที่ห่าฝนดาวตกเวทมนตร์แสงจะร่วงลงเป็นบริเวณกว้าง
ไม่มีเสียงแผดระเบิดของปืนไรเฟิลขนาด 37 มิลลิเมตรอีก แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่วางใจ สะบัดหน้ามองซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง ...พวกกบฏแน่ๆ แบบนี้... ไอ่พวกเวรนี่ พ่อจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกเลย... เขาบอกกับตัวเองด้วยอารมณ์แค้นเคืองแล้วออกวิ่งเหยาะๆ ไป
“อีกนิด อีกนิด...”
เฟลเซียยืนพิงผนังอยู่ในบ้านชัดเดียวหลังหนึ่งพูดกับตัวเองไปพลางมองดูทหารฝ่ายข้าศึก 2 หมู่กำลังวิ่งผ่านไป จนกระทั่งคนหน้าเกิดไปสะดุดกับระเบิดล้มทั้งยืน
“ยิงเลย!”
ซูเปอร์โซลเจอร์สาวตะโกนสั่งแล้วเริ่มเปิดฉากยิงด้วยปืนกลอเนกประสงค์ในมือ ซึ่งกางขาทรายตั้งไว้บนหมอน ก่อนที่ทหารใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ จะเริ่มยิงตาม
เหล่านักรบโนเบิลไม่มีที่หลบ เพราะอีกด้านของถนนเป็นกำแพงสูง จึงได้แต่เปิดเกราะพลังงานวิ่งฝ่ากระสุนไปยังอาคารที่ปลายถนน ซึ่งมีลักษณะเป็นโรงรถและข้างๆ มีประตูเล็กๆ อยู่ แต่เมื่อใกล้จะถึง ประตูโรงรถก็เลื่อนเปิดขึ้น รถถังหลักของฝ่ายเจ้าบ้านก็วิ่งออกมาต้อนรับ เปิดฉากยิงต้อนรับนัดแรกด้วยปืนใหญ่ขนาด 203 มิลลิเมตร คร่าชีวิตเหยื่อที่อยู่ในวิถีไป 2-3 นาย ก่อนจะตามด้วยปืนกลร่วมแกนและแท่นปืนอัตโนมัติทำคะแนนเพิ่มอีก 3 ราย บีบให้เหล่านักรบโนเบิลต้องบุกเข้าไปในบ้านข้างทางอย่างทุลักทุเล ในขณะเดียวกันทหารที่ตั้งรับอยู่ในบ้านก็ถอยเข้าไปในบ้านด้วย
รถถังสัญชาติโวลกันก็แล่นตามมายิงกดดันด้วยปืนกลถึงหน้าบ้าน บีบให้นักรบแห่งกองกำลังผู้ประเสริฐต้องรบในที่ๆ พวกตนกำหนดไว้ ก่อนจะกลายเป็นการปิดล้อม
ทันใดนั้นเองขีปนาวุธร่อนขนาดเล็กพอจะเป็นอาวุธทหารราบก็บินมาตกยังรถถังของฝ่ายเจ้าบ้าน ระเบิดป้อมหลุดลอยละลิ่ว สร้างความตื่นตระหนกให้กับกองกำลังฝ่ายตั้งรับเป็นอย่างมาก ในขณะที่เหล่านักรบโนเบิลฉวยโอกาสวิ่งหนีไป
“เกิดอะไรขึ้น”
เฟลเซียร้องถามขึ้นอย่างเป็นงง ถลึงตามองตัวถังของรถถังหลักไฟลุกท่วม เศษชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ป้อมพลิกหงายตกลงมา ลำกล้องปืนหลักหลุดไปทาง
“ขีปนาวุธร่อน ผมเห็นขีปนาวุธร่อนทหารราบของชทัมม่าครับ”
ทหารมนุษย์หน้าอ่อนคนหนึ่งรายงานเสียงแหบแห้งอย่างเหนื่อยหอบ
“เอสซี พีซีเอ็มแอล 357 เนี่ยนะ บ้ารึเปล่า อาวุธแดนเครื่องบินนั่นจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เฟลเซียสวนกลับอย่างดุดัน ท่าทีร่าเริงทุกสถานการณ์ถูกลบออกไปจนหมด
“ฉันก็เห็นเหมือนกันค่ะ เป็น เอสซี พีซีเอ็มแอล 357 จริงๆ”
นายทหารยศสิบตรีหญิงโทรลก็ยืนยันเสริมมาอีก ทำให้ซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วพยายามบอกกับตัวเองว่ามันเป็นเรื่องจริง ก่อนจะปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วบอกสิ่งที่ตนได้คาดการณ์กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนด้วยน้ำเสียงเรียบปกติราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ฉันมีข่าวดีและข่าวร้ายจะบอก ข่าวดีก็คือ ศึกครั้งนี้ยังไม่รู้ผล ส่วนข่าวร้ายคือ นอกจากกองกำลังศัตรูที่มีมากกว่าเราประมาณ 6-7 เท่าแล้ว ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกกบฏกำลังลอบโจมตีซ้อนเราอยู่ และถ้าจะให้เดา ตอนนี้การสื่อสารทุกระบบของเราถูกรบกวนจนติดต่อกับใครไม่ได้แล้วนอกจากจะใช้เสียงของตัวเอง และเป้าหมายแรกที่พวกมันจะเล่นงานก็ต้องเป็นซูเปอร์โซลเจอร์อย่างฉัน แมดอาร์ม และ เอสดีเอส อย่าคาดหวังให้ใครมาช่วย แม้แต่แมดอาร์มก็เถอะ เพราะถ้ามันเอาขีปนาวุธร่อนทหารราบมาจากชทัมม่าได้ มันก็ต้องเอาโอเมก้ามาจากโอเคอร์โน่ได้เหมือนกัน อยู่ในเกราะเวทมนตร์สุดแกร่งขนาดนั้นก็ไม่ปลอดภัยหรอก งั้นขอให้ทุกคนโชคดี อย่าแยกกันถ้าไม่จำเป็น”
พูดจบก็เกิดมีเสียงเครื่องยนต์ไอพ่นหลายเครื่องก็ส่งเสียงทุ้มหนักแต่แผ่วเบาเหนือน่านฟ้าเมืองมอสกาเชีย แหงนขึ้นมองก็เป็นฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิดลูกผสมปีกบินรูปปลากระเบนเข้าขบวนกันมาประมาณหนึ่งโหลเศษ สิ่งที่ตามมาคือเสียงเปิดประเด็นคุยกันให้แซด
“เฮ้ย ดูสิ บลัดเอนเจิล นี่หว่า ไหนบอกว่าอีก 2 ปีจะเข้าประจำการไง”
เอลฟ์หนุ่มยศพลทหารคนหนึ่งอุทานขึ้นหลังแหงนมองขึ้นฟ้าก่อนจะชี้ชวนให้เพื่อนๆ มองดูตาม แม้ตอนนี้ท้องฟ้าจะค่อนข้างมืดลงแล้วตามเวลาที่ผ่านไป แต่ก็ยังพอเห็นเป็นเงาเครื่องบินทิ้งระเบิดที่กำลังบินตรงไปยังกองกำลังของข้าศึก
“แกฟังมาผิดแล้ว มันเข้าประจำการเมื่อ 2 ปีก่อน”
พลทหารฮ็อบบิทแย้ง
ว่าแล้วเฟลเซียก็กระแอมขัดจังหวะขึ้นเพื่อเตือนสติก่อนพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเรียบๆ ว่า
“ขอประทานโทษที่ขัดจังหวะ แต่ตอนนี้เราต้องรบรักษาจุดยุทธศาสตร์ ไม่ใช่เวลาชมนกวิจารณ์เครื่องบิน ไปกันได้แล้ว เร็ว”
ว่าจบซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ก็ออกวิ่งนำไปก่อนเพื่อเร่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตามไปโดยเร็ว แต่ถึงกระนั้นตนก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเครื่องบินทิ้งระเบิดรหัส ‘บลัดเอนเจิล’ พวกมันให้ความรู้สึกปลอดโปร่งใจขึ้นมาได้บ้างเหมือนกัน อย่างน้อยก็ในแง่ของการทำลายยานเกราะ โดยเฉพาะกับรถถัง ส่วนหุ่นยนต์รบตัวเท่าตึกเหล่านั้นยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก
ลีออนที่กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการรบบนพื้นไม่ได้เตรียมการป้องกันอะไรเกี่ยวกับเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ของกองทัพอากาศข้าศึกเลย ประกอบกับเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบมากเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ทำให้ถูกเสียงเครื่องยนต์ของยานพาหนะของฝ่ายตนกลบจนหมด จนกระทั่งฝูงบินทิ้งระเบิดได้บินผ่านไป และสิ่งที่ปล่อยลงมาเป็นระเบิดติดร่มทั้งสิ้น
หน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์หญิงนายหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาถึงห้องบัญชาการชั่วคราวแล้วก็ส่งเสียงเอะอะขึ้นอย่างเร่งร้อนว่า
“ระวังเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหนของศัตรู”
คำเตือนนั้นช้าไปแล้ว เมื่อระเบิดติดร่มตกลงมาได้ความสูงที่กำหนด ร่มก็ถูกปลดออกปล่อยระเบิดร่วงลงมาอย่างอิสระ เป็นตำบลครอบคลุมกองยานเกราะอย่างพอดิบพอดี ไม่มีเสียงหวีดแหลมเตือน มีแต่วัตถุเพรียวลมติดครีบเล็กๆ ตกลงมา ครึ่งหนึ่งเป็นระเบิดแรงสูง ส่วนอีกครึ่งเป็นระเบิดเพลิงเวทมนตร์ มีวงเวทแผ่ออกมาแล้วเชื่อมต่อกันจนเป็นวงเดียวในแต่ละจุด พายุไฟสีดำทะมึนมีเปลวเป็นสีน้ำเงินอมม่วงโหมกระหน่ำอยู่ในวงจำกัด กองยานเกราะทั้งหมดถูกละลายเหมือนเนย ไม่เว้นแม้แต่หุ่นยนต์รบมาตรฐานสุดแกร่งอย่างสตอร์มวอร์ริเออร์
ผู้บัญชาการผ่านศึกประสบการณ์โชกโชนกดอารมณ์ให้เป็นปกติพลางส่งข่าวให้ทหารฝ่ายตนได้รับรู้ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับกลอรี่ลิเบอเรเทอร์สาวที่พรวดพราดเข้ามา
“โปรดแสดงตัวด้วย”
“แบล็คเบอร์รี่ วาคานะ โมริคาวะ หน่วยข่าวกรองพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์”
เป็นวาคานะนั่นเอง เธอรายงานตัวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ส่ออารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
“ขอบคุณมากสำหรับคำเตือน ถึงมันจะสายไปก็เถอะ ท่านกลับไปทำหน้าที่ต่อเถอะ ข้าจะเตือนพวกระลอกต่อไปเองถ้าข้าแพ้”
พูดจบลีออนก็หันกลับไปยังโต๊ะวางแผน ส่วนวาคานะเองก็กลับหลังหันเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน
กลับออกมาจากบ้านโทรมๆ ซึ่งลีออนใช้เป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราว เธอก็เปิดอาร์คเอนเจิลโคลกเพื่อพรางตัวในทันที ก่อนวิ่งเข้าไปในอาคารอีกหลังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ชูเน่ยืนคอยอยู่แล้วในอ้อมแขนถือชุดพลเรือนชุดหนึ่งอยู่ วาคานะคว้ามาโดยไม่พูดอะไรแล้วเดินเข้าห้องๆ หนึ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อประตูเปิดออกมาอีกครั้งชุดรบของหน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ก็เข้าไปอยู่ในคลังแสงจิ๋วเรียบร้อย เปลี่ยนมาเป็นชุดพลเรือนเสื้อกล้ามสีชมพูกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีเทาเข้มและรองเท้าผ้าใบอย่างง่ายๆ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือใบหน้าที่นิ่งเฉย รับไรเฟิลจู่โจมสัญชาติโวลกันที่ชูเน่โยนให้แล้วขึ้นลำก่อนจะพากันเดินออกจากอาคารไปทันที
ด้านเหล่าผู้บัญชาการฝ่ายตั้งรับที่อยู่ๆ ก็ขาดการติดต่อกับผู้บังคับบัญชาของตนกำลังพยายามติดต่ออย่างสุดความสามารถ ทั้งผู้พันสมิงและร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวต่างคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบชน ในขณะที่ฝ่ายนายพันกำลังก้มลงมองดูโต๊ะวางแผนโฮโลแกรม แผนการรบที่คิดว่าจะไปได้สวยแต่ทว่าต้องมาขาดการติดต่ออย่างไม่ทราบสาเหตุและการที่อยู่ๆ สัญญาณฝ่ายเดียวกันบางจุดก็หายไปดื้อๆทำให้เขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ในขณะที่ร้อยโทหญิงตะคอกเสียงลงเครื่องมือสื่อสารไปพลางปรับสัญญาณไปมีหลายครั้งที่เธอแทบจะขว้างมันลงกับพื้นให้แหลกเละรู้แล้วรู้รอดไป
สิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างต่อไปก็คือ ทหารใต้บังคับบัญชาของตนเดินเข้ามาพร้อมกับปืนประจำกายในมือ นายพันครึ่งเสือขาวจึงเหลือบขึ้นมองแล้วถามไปว่า
“เกิดอะไรขึ้น ทหาร มาที่นี่ทำไม”
โดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไร เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นจับปืนในท่ายิงระดับเอวแล้วยิงกราดเข้าไปในห้องบัญชาการชั่วคราวอย่างเลือดเย็น เหยื่อทั้งสองไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้อง ได้แต่ล้มลงไปนอนจมกองเลือดแน่นิ่งไป แล้วเหล่ากบฏในชุดทหารโวลกันก็พากันวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุ แต่ทว่าครู่หนึ่งร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวก็มือกระตุกขึ้นพลางร้องครางเบาๆ กันฟันแยกเขี้ยวแน่นแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ก่อนพึมพำขึ้นว่า
“คิดว่าฉันเป็นมนุษย์เต็มตัวละสิท่า พวกกบฏ...”
แล้วเธอก็หันไปทางศพของนายพันสมิง
“ขอโทษนะคะ ผู้การ”
เธอว่าแล้วก้มลงที่คอแล้วแยกเขี้ยวกัดลงไปเพื่อดูดเลือด พลางก็เอามือข้างหนึ่งผนึกพลังเวทคลำไปทั่วร่างเพื่อร่ายเวทรักษาตัวเองไปด้วย ...ต้องรีบหนีแล้ว ต้องไปขอกำลังหนุนโดยด่วนเลย... เธอคิด ตาของเธอปิดลงด้วยความรู้สึกที่ผิดอย่างมาก เพราะผู้ที่เธออาศัยดูดเลือดอยู่ในขณะนี้คือผู้บัญชาการของเธอคนหนึ่ง
เมื่อปฐมพยาบาลไปได้ระยะหนึ่ง ร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวก็ละจากศพแล้วลุกขึ้นวิ่งไปอย่างรีบเร่งแบบลืมเจ็บ ...แต่ถึงจะเจ็บก็เจ็บคนเดียว เพราะยังดีกว่าทำให้แผ่นดินเกิดของตนต้องเจ็บ เป้าหมายคือ ฐานทัพหรือที่ตั้งทางทหารที่ให้การสนับสนุนได้ที่ใกล้ที่สุด... คำเหล่านี้ผุดขึ้นเพื่อเตือนสติเธอไว้เสมอ ว่าตนกำลังทำอะไร ปืนพกในซองถูกชักออกมากระชับไว้ในมือ เมื่อไปได้ระยะหนึ่งเธอก็ผ่อนฝีเท้าลงพลางมองลอดช่องชั้นวางสินค้าในห้าง ก็เหลือบไปเห็นกบฏในชุดพลเรือนคนหนึ่งกำลังเดินมาอย่างสบายอารมณ์ ดูเหมือนกำลังจะมาจัดการกับศพ
ก้มลงมองดูพื้นก็ช่างโชคดีเหลือเกิน หมอนใบเล็กใบหนึ่งตกอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามเธอคว้ามันมาแล้วบีบอยู่บริเวณรอบปากลำกล้องปืนพกอย่างลวกๆ ก่อนจะเล็งไปที่เหยื่อที่ไม่ทันระวังตัว นิ้วเรียวบางเหนี่ยวไกปล่อยหัวกระสุนมนหมุนควงเจาะทะลวงเข้าที่ขมับด้านซ้ายอย่างแม่นยำโดยแทบจะไม่มีเสียงเพราะปลอกเก็บเสียงอย่างง่ายๆ ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มตึงลงมือข้างที่กำหมอนก็ละออกแล้วผนึกเวทลมปล่อยออกไปเป็นเบาะอากาศรองรับร่างนั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดเสียงใดๆ ขึ้นให้พวกที่อยู่ข้างนอกหรือห่างออกไปแต่ยังอยู่ในอาคารได้รับรู้
แล้วเธอก็รุดเข้าไปลากศพนั้นมาในมุมลับตาแล้วจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรีบเร่ง ดีที่ว่ากบฏคนนี้เป็นผู้หญิงขนาดตัวพอๆ กับเธอและมีรูปพรรณที่คล้ายๆ กันเพียงแต่เป็นมนุษย์เต็มตัว
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เธอก็เดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครทัก ไม่มีอะไรผิดสังเกต ตอนนี้เธอเป็นเหมือนพวกกบฏไปแล้ว ...แบบนี้ถ้าเจอพวกเดียวกันมีหวังโดนลูกปืนเข้าแน่ๆ... เธอบอกกับตัวเองอย่างภาคภูมิใจระคนสยองใจ ใช่แล้ว แนบเนียนเกินไปก็ไม่ดี แต่เพื่อการแยกตัวออกจากพื้นที่การรบโดยไม่ถูกตรวจพบก็มีแต่วิธีนี้
ยูคิเอะยังคงหลบหนีการไล่ล่าของกลุ่มกบฏอย่างสุดชีวิต เธอไม่รู้ว่าผู้ล่าซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง แต่เธอจะไม่ยอมเป็นผู้ถูกล่าแต่ฝ่ายเดียว ไรเฟิลจู่โจมในมือยกขึ้นยิงสวนกลับไปทุกครั้งที่เห็นประกายไฟแลบขึ้นมา ไม่รู้ว่ายิงถูกบ้างรึเปล่า เพราะทุกครั้งที่ยิงสวนไม่มีเสียงร้องแม้แต่นิด แต่ศูนย์ปืนก็ทาบลงบนตำแหน่งที่ประกายไฟแลบออกมาอย่างแม่นยำ เวทมนตร์หมอกพรางตาถูกปล่อยออกมา ก่อนที่เธอจะวิ่งหลบเข้าไปในตรอกแคบๆ
มีเสียงดังทุ้มๆ คล้ายเสียงปืนรถถังดังขึ้นมาเป็นระยะๆ จนเธอจับสังเกตได้ว่ามันไม่น่าจะเป็นรถถัง แต่จากจังหวะนี้มันน่าจะเป็นอาวุธทหารราบมากกว่า ซึ่งมีขนาดใหญ่มากและไม่น่าจะอยู่ไกลนัก คงจะเป็นใครบางคนกำลังถูกไล่ยิงอยู่เป็นแน่ แต่ทว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาสนใจเรื่องของคนอื่น และลืมเรื่องหน้าที่การรักษาเมืองเอาไว้ได้เลย เพราะเธอเองก็ถูกตามล่าอยู่เหมือนกัน แม้ตอนนี้เธอจะหลบหนีมาได้ก็ตาม แต่ไม่นานคงจะถูกเจอ
ในขณะเดียวกันในใจก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า แล้วรถถังฝ่ายเราทำไมเงียบกันไปหมด เธอเริ่มเป็นกังวลว่าพวกมันจะถูกกำจัดไปหมดแล้วหรือไม่ก็ซุ่มซ่อนอยู่ตามโรงรถหรือตามอุโมงค์หรืออาจจะตามตรอกซอยที่ลับตาหลายแห่ง เสียงปืนชนิดต่างๆ ที่ดังระงมสลับกันอยู่ในตอนนี้ทำให้เธอไม่รู้ว่าเป็นปืนจากฝ่ายทหารโวลกันหรือฝ่ายกบฏกันแน่ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างใช้อาวุธเหมือนกัน แต่ที่แยกออกแน่ๆ คือเสียงปืนพลังงานจากฝ่ายโนเบิล มันแสดงให้รับรู้ว่าข้าศึกกำลังประชิดเข้ามาทุกขณะ แต่อย่างน้อยก็ยังพอเบาใจได้บ้างตรงที่กองยานเกราะของโนเบิลทั้งหมดถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้วโดยฝูงบินทิ้งระเบิด
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไอพ่นขนาดเล็ก เล็กขนาดเครื่องยนต์จรวด กำลังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งต้นเสียงโผล่มา เป็นนักรบสวมชุดเกราะเวทมนตร์สีฟ้าตัวสูง 3 เมตร พุ่งผ่านหน้าเธอไปเพียงไม่กี่เซนติเมตรทำให้ถึงกับล้มลงก้นจ้ำเบ้า
ร่างนั้นเปลี่ยนจากท่าบินมาเป็นเดิน หอบหนักหน่วงมือข้างหนึ่งเท้ากำแพงไว้มองมาที่ยูคิเอะ ก่อนที่ทั้งคู่จะเอ่ยทักขึ้นพร้อมๆ กัน
“แมดอาร์ม”
“เอสดีเอส”
“แมดอาร์ม เกิดอะไรขึ้น”
“เอสดีเอส แล้วพวกทหารที่ตามเธอมาอยู่ไหน”
ทั้งคู่ยิงคำถามเข้าใส่กันพร้อมๆ กัน แล้วชะงักไปพร้อมๆ กันก่อนที่ยูคิเอะจะบอกให้โอเคอร์ตอบก่อน
โอเคอร์ทิ้งตัวลงนั่งพักเหนื่อยแล้วเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาอย่างคร่าวๆ
“ฉันโดนพวกกบฏเอลฟ์สาวปืนโตเอาโอเมก้าไล่ยิงไง แถมยังมีลุงก็อบลินร่ายเวทโจมตีใส่ซะขนานใหญ่ ดีว่าได้เวทแมดโรบอทช่วยเอาไว้เลยหนีมาได้ แล้วเธอล่ะ”
ยูคิเอะลุกขึ้นยืนเดินต่อ พลางส่งสัญญาณให้โอเคอร์เดินตามไปด้วยก่อนจะเอ่ยปากเล่าในสิ่งที่เธอได้ประสบมาหมาดๆ
“แล้วอัลตร้าแมนิแอคยู่ไหน”
โอเคอร์ถามในขณะที่ยูคิเอะส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ก่อนจะเอ่ยปากเสนอแผนเอาตัวรอดอย่างลวกๆ ว่า
“ก่อนจะพูดถึงเรื่องของอัลตร้าแมนิแอคเรามาจัดการกับพวกที่ไล่ล่าเราก่อนดีกว่า แมดอาร์ม นายจัดการกับพวกที่ตามฉัน ส่วนฉันจะจัดการกับพวกที่ไล่ล่านายให้ ตกลงไหม”
โอเคอร์พยักหน้าตกลงแล้วเริ่มหันไปมองรอบตัวด้วยความระแวงเหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ซึ่งยูคิเอะเห็นดังนั้นก็เพ่งสังเกตไปรอบตัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“ได้เวลาแล้ว”
เหล่าทหารราบได้รับคำสั่งให้เข้าค้นอาคารทุกหลังที่ผ่าน หรือแม้กระทั่งท่อระบายน้ำก็มีการระวังกันด้วย ถึงแม้จะมีการสะดุดกับดักกันบ้างแต่ลีออนก็ยังคงคำสั่งเดิม คำเตือนให้ระวังตัวถูกส่งออกไปโดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา แม้มันจะทำให้ทหารเสียขวัญไปบ้างแต่อย่างน้อยมันก็ยังดีกว่าปล่อยให้นักรบในการดูแลของตนสบประมาทคู่ต่อสู้ที่แสนจะร้ายกาจแม้ภายนอกจะไม่ต่างจากพวกชาวนาต่างเผ่าพันธุ์ที่รวมตัวกันต่อต้านก็ตาม ซึ่งตัวอย่างก็มีกันให้เห็นมาแล้วเมื่อหุ่นยนต์รบที่พวกเขาแสนภาคภูมิใจถูกทำลายอย่างรวดเร็วแบบนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ
พลบินโทรลทำท่าทางการบินฉวัดเฉวียนพลางสาดกระสุนเข้าใส่กองกำลังผู้บุกรุกเพื่อเรียกร้องความสนใจ ในขณะที่พวกของตนเคลื่อนกำลังพลอ้อมไปอีกทาง ก่อนจะบินหนีอย่างไม่คิดชีวิตในขณะที่อีกด้านหนึ่งเหล่าจอมเวทประจำหมู่รบก็เริ่มเปิดฉากโจมตีด้วยระเบิดน้ำแข็ง และพายุหมุนลูกเล็กๆ กระสุนปืนกลหนักขนาด 19.6 มิลลิเมตรจากปืนกลหนักลำกล้องแฝดถูกยิงออกมาจากหน้าต่างของอาคารหลังใดหลังหนึ่ง โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เซนเซอร์อันเป็นดวงตาของหุ่นยนต์รบมาตรฐานสตอร์มวอร์ริเออร์ ในขณะที่มีห่ากระสุนถูกสาดเข้าใส่กลุ่มทหารราบจากอีกหลายมุมจากปืนกลกล้องหมุนของพลอาวุธหนัก แต่ก็ไม่ค่อยได้ผลมากนักเพราะเกราะพลังงานสีหยกถูกเปิดทิ้งไว้ก่อนแล้ว
เมื่อถูกยิงสวนมากๆ เข้าซูเปอร์โซลเจอร์สาวภูติเพลิงก็ออกคำสั่งถอนกำลัง หนีไปคนละทิศคนละทางก่อนจะมารวมตัวยังจุดนักพบที่กำหนดไว้เฉพาะหน้า
“อย่าตาม!!”
นายทหารโนเบิลชายกลางคนออกคำสั่งตวาดลั่นอย่างเฉียบขาด เมื่อมองผ่านภาพโฮโลแกรมลงไปเห็นทหารฝ่ายตนกำลังทำโง่ๆ โดยการเดินตามเหยื่อล่อไปยังกับดักของฝ่ายตั้งรับ
“ไม่ว่าพวกมันจะเข้าโจมตีเราแล้วหนีไปยังไงห้ามตามเด็ดขาดจนกว่าเราจะจัดการกับศูนย์บัญชาการส่วนหน้าของพวกมันได้ ห้ามใครไล่ล่าข้าศึกเด็ดขาด ให้หน่วยปืนใหญ่หรือสตอร์มวอร์ริเออร์ยิงปูพรมไปแทน ถ้าได้ยินเสียงแหลมๆ ให้เปิดม่านพลังงานคลุมไว้แล้วหยุดรอกระสุนปืนใหญ่ของพวกมันตกลงมาหมดก่อน แล้วค่อยเคลื่อนต่อ”
ทันใดนั้นสิ่งทำลายขวัญก็ปรากฏขึ้น เสียงปืนใหญ่สัตฺว์ประหลาดรัวกระหน่ำ ทำเอานักรบบางนายถึงกับขวัญบิน ร้องโวยวายอย่างขาดสติ แต่ทว่าเสียงเรียบๆ ของผู้บัญชาการมากประสบการณ์ก็สามารถเรียกกำลังใจกลับมาได้เป็นอย่างดี
“อย่าไปกลัว พวกมันแค่ระเบิดเสียงเปล่าข่มขวัญเราเท่านั้น หรือไม่ก็ยิงใส่กองทัพภาคอื่นของเราที่อยู่กลางที่โล่งๆ”
ร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวจ้องหน้านายทหารสมิงเขม็งพร้อมกับเหงื่อที่ไหลย้อยลงมาตามใบหน้าเพราะความกดดัน
“ถึงบอกไงว่าแมร่งของจริง แค่ระเบิดเสียงออกไปเปล่าๆ ไม่ได้ผลหรอก ถ้าจะยิงก็ต้องยิงจริง แต่ดันติดอยู่ที่ว่าที่นี่มันเขตเมืองมาทำลายทิ้งกองกำลังฝ่ายเราก็ไม่มีที่ซ่อนแล้วหุ่นยนต์รบของพวกมันก็จะวิ่งเล่นได้สะดวก ไม่งั้นผมสั่งยิงพวกแมร่งกระจุยไปแล้ว”
พูดจบพันเอกสมิงก็หัวเราะในลำคออย่างชื่นชมในไหวพริบของคู่ต่อสู้พลางมองลงไปยังภาพโฮโลแกรมที่แสดงการเคลื่อนทัพของศัตรูที่เป็นไปอย่างช้าๆ
“ถ้าไม่ติดอยู่ที่ว่าเป็นศัตรู ก็อยากจะกอดคอกันเข้าไปหาอะไรดื่มในบาร์เหมือนกัน”
ประโยคหลังเขาพูดแทบจะเป็นเสียงกระซิบงึมงำๆ นายทหารหญิงเคลื่อนเข้ามาใกล้แล้วซักถามอย่างสงสัย แต่เขาก็ตอบปฏิเสธอย่างง่ายๆ แล้วกลับเข้าสถานการณ์ปัจจุบันในทันที โดยการเริ่มสั่งการ ดำเนินกลยุทธ์ต่ออย่างเคร่งเครียด ซึ่งร้อยโทสาวครึ่งแวมไพร์ก็ได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างคาใจก่อนจะไหลตามน้ำโดยไม่เอ่ยซักถามอะไรให้มากความอีก
แมดอาร์มบินโฉบไปโฉบมาพลางสาดกระสุนไม่เลี้ยงใส่ทหารข้าศึก ซึ่งได้เปิดเกราะพลังงานส่วนตัวกันถ้วนหน้า กระสุนทุกนัดที่กระทบเป้าก็จะมีประจุพลังงานทำปฏิกิริยาเกิดเป็นจุดสีเขียวอ่อนเหมือนหยกขึ้นก่อนที่หัวกระสุนจะกระดอนออกไปแล้วหายไป ซึ่งตัวคนยิงก็หายไปด้วยอย่างไร้ร่องรอย โดยที่ฝ่ายผู้มาเยือนยังไม่ทันได้ตั้งแนวยิงเลยด้วยซ้ำ แต่ทันใดนั้นพลบินโทรลก็ไปโผล่อีกที่หนึ่งเหมือนหายตัว แล้วสาดกระสุนเข้าใส่ไม่กี่ชุดก่อนจะหนีหายไป แม้พื้นที่นี้จะเป็นพื้นที่ที่มีอาคารสูงระดับ 4 ชั้นขึ้นไปตั้งอยู่อย่างแออัด ทำให้สตอร์มวอร์ริเออร์ต้องยิงปืนถล่มตึกอยู่บ่อยครั้ง ทั้งเพื่อให้เคลื่อนที่ได้สะดวก และเพื่อกำจัดที่หลบซ่อนของกองกำลังโจมตีทางอากาศประเภทชายเดี่ยวของข้าศึก แต่มันก็ไม่น่าจะรวดเร็วขนาดหายจากที่หนึ่งไปโผล่อีกที่หนึ่งได้ แม้แต่นายทหารอาวุโสแห่งกองทัพผู้ประเสริฐเองก็ถึงกับตะลึง
ภาพที่ส่งมาเป็นภาพของพลบินของข้าศึกที่ปรากฏตัว 5 ที่พร้อมๆ กัน พอบินหนีก็เหมือนกับจะสลายตัวหายไปในอากาศก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกที่หนึ่งในเวลาไม่นานเหมือนกับว่าไม่ได้มีอยู่คนเดียวตั้งแต่แรก และทุกครั้งที่เกิดความยุ่งเหยิงขึ้นหน่วยจรยุทธ์ของข้าศึกก็จะเปิดฉากโจมตีในทันที พอเริ่มตั้งตัวได้ใหม่ก็หนีหายกันไปหมด เสียงที่ส่งผ่านเข้ามาทางอุปกรณ์สื่อสารล้วนเป็นเสียงของความสับสนและความปั่นป่วน อันเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีว่าภาพที่ส่งมานั้นไม่ใช่เพราะเครื่องฉายภาพเกิดรวน และไม่ใช่ภาพลวงตาจากเวทมนตร์
การเคลื่อนทัพทำได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น เพราะคนเจ็บหลังจากการโจมตีแต่ละครั้งต้องลำเลียงขึ้นยานพยาบาล ซึ่งดูเหมือนฝ่ายเอไพด์เมียร์จะรู้อยู่แล้วว่าศัตรูของพวกเขาจะไม่ทิ้งคนเจ็บไว้เบื้องหลัง จึงไม่มีใครโจมตียานพยาบาลเลย เมื่อเห็นดังนั้นลีออนจึงส่งคำสั่งใหม่ไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาว่า
“ยกเลิกรูปขบวน ทุกหน่วยกระจายกำลังออกเป็นบริเวณกว้าง จัดเป็นกลุ่มย่อยๆ ไม่เกิน 25 นายดำเนินกลยุทธ์นอกแบบ แยกยานพยาบาลออกมาต่างหาก ให้สตอร์มวอร์ริเออร์เฝ้าเอาไว้ ส่วนหน่วยปืนใหญ่ให้จับกลุ่มกับรถถังแยกไปเป็น 3 กลุ่ม แล้วรอคำสั่ง ปฏิบัติ”
สิ้นสุดคำสั่งรูปกระบวนทัพรูปวงกลมก็สลายตัวออกอย่างไม่เป็นระเบียบ มีแต่เหล่าทหารราบเท่านั้นที่แตกกระจายกันออกเป็นบริเวณกว้าง ในขณะที่เหล่ายานเกราะกลับรวมกันอยู่เป็นกระจุก ภาพเหล่านี้ถูกส่งไปยังโต๊ะวางแผนของผู้บัญชาการฝ่ายตั้งรับ สร้างความตกใจเป็นอย่างมาก เพราะคู่ต่อสู้คราวนี้ได้ทำในสิ่งที่กองทัพโนเบิลนับว่าเป็นการเผาตำราพิชัยสงครามทิ้ง ถูกแล้วนี่คือแผนการรบในเขตเมืองที่เกือบจะถูกต้อง บกพร่องตรงที่ไม่มีรถถังหรือยานเกราะขนาดเล็กตามสนับสนุนทหารราบเท่านั้น แต่เพียงเท่านั้นก็สร้างความลำบากให้แก่ฝ่ายตั้งรับที่มีกำลังน้อยกว่าอย่างล้นหลามแล้ว
แต่ทว่าการยกเลิกกระบวนทัพก็ก่อผลเสียเหมือนกัน ภายในไม่กี่นาทีก็มีการสะดุดกับระเบิดล้มตายกันเป็นแถบในหลายๆ จุด แต่ถึงกระนั้นลีออนก็ยังคงยืนยันคำสั่งเดิม โดยให้เหตุผลกับทหารของตนว่าการเดินทัพแบบนี้จะลดการสูญเสียกำลังพลได้มากกว่าการเกาะกลุ่มกัน ถ้าหากว่าฝ่ายตั้งรับส่งอากาศยานทิ้งระเบิดมาโจมตีหรือมีการยิงถล่มด้วยอาวุธพิสัยกลางถึงไกลใดๆ ก็ตามรวมทั้งเวทมนตร์บางบทด้วย ส่วนกองยานเกราะจู่โจมนั้นเป็นเพียงแค่ตัวถ่วงสำหรับการรบในเขตเมือง
ยูคิเอะวิ่งนำทหารจำนวนหนึ่งไปตามตรอกซอยแคบๆ แห่งหนึ่งตรงไปอย่างไม่มีจุดหมายแน่นอน เพื่อมองหาอาคารสำหรับซุ่มโจมตี ในมือเป็นครึ่งหนึ่งของปืนกลหนักลำกล้องแฝด ซึ่งเธอนำมาถือในระดับเอว โดยมีหูสำหรับหิ้วอยู่บริเวณกึ่งกลางเยื้องไปด้านหน้าของตัวปืน ส่วนด้ามก็อยู่ทางด้านท้ายโดยไม่มีไก แต่เป็นปุ่มให้กดคล้ายจอยแท่ง ไม่มีพานท้าย ทางด้านซ้ายเป็นรางสำหรับประกอบกับปืนอีกกระบอก ส่วนด้านขวาก็เป็นสายกระสุนในกล่องขนาดใหญ่ และด้านล่างก็เป็นช่องคายปลอกกระสุน
อากาศเริ่มเย็นลงตามเวลาในเขตทะเลทราย ชุดที่ดูเหมือนพลเรือนของเธอค่อนข้างจะเข้ากับอากาศหนาวๆ ทีเดียว เสื้อไหมพรมแขนยาวสีดำ และกระโปรงมีจีบสีเทายาวเกือบถึงเข่าเนื้อผ้าอย่างหนา ส่วนตั้งแต่หน้าแข้งลงไปก็เป็นถุงเท้ากีฬาสีแดงมีแถบพาดสีขาวครึ่งแข้ง เข้ากับรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีน้ำตาลแก่ ซึ่งครึ่งหนึ่งของเธอเป็นภูติแห่งเพลิงด้วยแล้วจึงได้เปรียบกว่าคนอื่น นอกจากนี้สิ่งที่แลบออกจากคอเสื้อก็เป็นเครื่องประดับปลอกคอหนังสีดำตามสไตล์สาวซ่าหรือจะเพื่อเพิ่มความอบอุ่นก็ตาม แต่ความน่ารักนั้นไม่มีประโยชน์ในยามนี้ เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่วิ่งตามหลังทั้งชายและหญิงไม่มีเวลามาชมความงามอะไร และฝ่ายข้าศึกก็จะเหนี่ยวไกใส่ไม่ยั้งเมื่อเผชิญหน้า
แม้หน้าตาจะน่ารักและหุ่นดีตามแบบวัยรุ่นก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม ผมซอยยาวประบ่าสีฟ้าของเธอนั้นก็ทำให้เสียเปรียบด้านการดำเนินกลยุทธ์เหมือนกันเพราะความเด่นสามารถมองเห็นได้แม้จะอยู่ในที่มืดเกือบจะไร้แสง และด้วยรังสีความร้อนที่แผ่ไออุ่นออกมาจะทำให้ยิ่งเด่นเพื่อเผชิญหน้ากับระบบตรวจจับอินฟราเรด แม้ตอนนี้เธอจะพยายามลดก็ตาม แต่ก็ยังพอมีเสียงครางด้วยความสบายกายมาจากด้านหลังเบาๆ ราวกับอยู่หน้าเตาผิง
ไม่มีการติดต่อมาจากศูนย์บัญชาการชั่วคราวมานานแล้ว แต่ก็ไม่มีใครพยายามติดต่อเพราเห็นว่ายังไม่มีเหตุจำเป็น จนกระทั่งในที่สุดเอสดีเอสก็ได้พบกับอาคารที่จะใช้เป็นสถานที่ซุ่มโจมตี มันเป็นอาคารสูง 4 ชั้น เป็นลักษณะของห้องแถว ตรงหน้าเคยเป็นร้านขายขนมเค้กมาก่อน แต่เมื่อเธอกำลังจะเดินเข้าประตูไปก็ต้องพบกับกับดักที่ซ่อนพรางไว้อย่างแนบเนียน จนการมาพบเข้าต้องถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญทีเดียว
“คงมีใครมาซุ่มอยู่แล้ว พวกเราไปต่อ”
ยูคิเอะว่าก่อนจะเดินเลี่ยงพาผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเดินหาจุดซุ่มโจมตีต่อ แต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องพบกับอีกที่ๆ เหมาะ เธอจึงโบกมือให้ตามเข้าไปในอาคาร มันเป็นตึกสำนักงานอะไรสักอย่างหนึ่ง ความสูง 5 ชั้น อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายขนมเค้กพอดี
เอสดีเอสติดสินใจจะอยู่ที่ชั้นล่างสุด โดยชักปืนกลหนักอีกกระบอกออกมาแล้วประกอบกันเป็นปืนกลหนักลำกล้องแฝดก่อนจะนำขาหยั่งออกมาประกอบอีกทีหนึ่งเพื่อตั้งฐานยิง หันกระบอกปืนออกไปทางหน้าร้าน ในขณะที่เหล่าทหารราบคนอื่นๆ พากันเดินขึ้นข้างบน แต่ทันใดนั้นเองก็เกิดมีเสียงปืนดังขึ้น แล้วตามด้วยเสียงเอะอะของทหารหญิงคนหนึ่งว่า
“อย่ายิง อย่ายิง นี่พวกเดียวกัน”
ขาดคำเท่านั้น จรวดต่อต้านบุคคลก็พุ่งออกจากหน้าต่างของอาคารฝั่งตรงข้ามก่อนตามด้วยการระดมยิงอย่างหนัก
“หูแตกรึไงวะ ไอ่ห่าเอ้ย นี่พวกเดียวกัน พวกเดียวกันโว้ย”
แม้จะมีเสียงตะโกนโหวกเหวกอย่างโกรธเคืองแข่งกับเสียงปืน แต่การระดมยิงยังคงดำเนินต่อไป คราวนี้จรวดต่อต้านบุคคลอีกนัดหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ซูเปอร์โซลเจอร์สาวภูติเพลิงทางด้านหน้าพอดี กำแพงเวทมนตร์กางกั้นไว้เกือบไม่ทัน ก่อนที่เธอจะเริ่มยิงสวนอย่างงงๆ ซึ่งอย่างน้อยก็ยังพอมีข้ออ้างว่าป้องกันตัวได้ หลังจากการยิงสวนชุดยาวๆ ไม่กี่ชุด ยูคิเอะก็พับขาหยั่งแล้วอุ้มปืนวิ่งออกไปนอกอาคารทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แยกออกจากกันอย่างสุดชีวิต พลางพยายามติดต่อกับศูนย์บัญชาการส่วนหน้าและร่ายเวทม่านหมอกเพื่อพรางตัวจากทหารราบไม่ทราบฝ่ายก่อนจะเก็บปืนกลหนักลำกล้องแฝดเข้าคลังแสงไปแล้วเปลี่ยนเอาไรเฟิลจู่โจมออกมาแทน
ความพยายามในการติดต่อกับศูนย์บัญชาการส่วนหน้าสูญเปล่า มีแต่ความเงียบเหมือนถูกรบกวนสัญญาณ เอสดีเอสจึงเปลี่ยนไปใช้เวทมนตร์แทน (โทรจิต) แต่ทว่าก็ไร้ผลอยู่ดีเหมือนถูกปิดกั้นการสื่อสารในทุกทาง ...กบฏ... คำๆ นี้ผุดขึ้นในหัวของเธอทันที และคิดได้ว่าต้องพยายามหากองกำลังฝ่ายตนแล้วเตือนเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีใครโดนไปแล้วบ้าง แต่อย่างน้อยการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ในสมรภูมิในเขตเมืองก็ยังดีกว่าการอยู่คนเดียว
หลังการต้องปรับเปลี่ยนยุทธวิธีบ่อยๆ โอเคอร์เปลี่ยนมาบินหากลุ่มทหารโนเบิลเป็นกลุ่มๆ ไป แต่ทว่าในขณะที่เขาบินผละออกจากการโจมตีมาได้ครู่หนึ่งก็เกิดเสียงปืนขนาดลำกล้องใหญ่แผดระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ก่อนจะตามด้วยเสียงของวัตถุแข็งเพรียวลมปะทะกับเกราะเวทมนตร์ของเขาอย่างจัง แรงปะทะทำให้เขาเสียการควบคุมปลิวเฉียงไปทางขวาอย่างแรง ทะลุหน้าต่างของอาคารสูงหลังหนึ่ง เขาสบถออกมาอย่างหัวเสียระคนสงสัยพลางเอามือกุมที่ท้องครางเบาๆ อย่างเจ็บปวด แล้วลุกขึ้นนั่งบ่นพึมพำ
“แมร่งเอ้ย ทำไมโอเมก้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้วะ... ขนาดกางกำแพงเวทแถมใส่เกราะซะหนายังเจ็บขนาดนี้”
พูดจบเขาก็พยายามทำแบบเดียวกับยูคิเอะ แต่ก็ไร้ผล มองออกไปนอกหน้าต่างที่เขาทะลุเข้ามาบนชั้นดาดฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปเล็กน้อยก็พบกับเอลฟ์สาวหน้าอกแบนผิวสีน้ำผึ้งคนหนึ่งสวมชุดพลเรือนโผล่ขึ้นมาให้เห็นแค่อก ก่อนที่เขาจะตะโกนเรียกเพื่อสักถามอะไรแต่ทว่า เอลฟ์สาวก็ยกปืนไรเฟิลต่อต้านเป้าวัตถุที่มีลักษณะใกล้เคียงกับปืนใหญ่สำหรับทหารราบที่มีขนาดลำกล้อง 37 มิลลิเมตร ระบบลูกเลื่อนขึ้นมาประทับบ่าและไหล่เล็งลงมายังเขา พลบินโทรลร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ แล้วรีบลุกพรวดพุ่งตัวไปยังประตูที่เปิดอ้าอยู่เพื่อหาที่หลบ นิ้วเรียวบางเหนี่ยวไกในขณะที่กวาดปืนตามเป้าหมาย เกิดเสียงแผดทุ้มดังสนั่นส่งหัวกระสุนขนาด 37 มิลลิเมตรพุ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียงเข้าใส่เป้าหมายที่วิ่งไม่คิดชีวิต
โอเคอร์กำลังจะเปลี่ยนจากวิ่งเป็นบินเขาหยุดชะงักนิดหนึ่งเพื่อตั้งท่า ทว่าในตอนนั้นเองผนังทางด้านซ้ายก็ระเบิดออกมาเป็นรูขนาดครึ่งฟุต เศษวัสดุสังเคราะห์บางอย่างมีลักษณะภายนอกคล้ายปูนที่ใช้สร้างกระจัดกระจายไปทั่ว ภายในชั่วพริบตาเดียวผนังทางด้านขวาก็ระเบิดตามเผยให้เห็นห้องที่อยู่ข้างหลัง เขารู้สึกได้ว่าหัวกระสุนต่อต้านยานเกราะเฉียดผ่านหน้าเขาไปไม่ถึง 1 ฟุตด้วยซ้ำ ...เกือบหัวหลุดแล้วตู... เขาคิดในใจอย่างสยดสยองหนาวสันหลังและเกือบจะล้มทั้งยืน แต่ก็ไม่ล้มเพราะทันทีที่กระสุนเฉียดผ่านไปไอพ่นเกราะเวทมนตร์ก็เร่งส่งตัวของเขาพุ่งทะยานไป พลางก็ควักปืนลูกซองออกมาจากคลังแสงส่วนตัวยืนไปข้างหน้าแล้วเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็วหลายนัด ม่านลูกปรายสาดออกไปเป็นลูกไฟลูกเล็กๆ เมื่อกระทบเข้ากับผนังก็ระเบิดออกเกิดเป็นรูขึ้น เมื่อหลายชุดเข้าก็กลายเป็นช่องพอให้โทรลตัวสูง 3 เมตรลอดออกไปได้
เกิดเสียงแผดระเบิดของไรเฟิลต่อต้านเป้าวัตถุขึ้นอีกนัดหนึ่ง เขาจึงปักหัวลงพื้นอย่างฉับพลัน หัวกระสุนพุ่งเฉียดแผ่นหลังของเขาไปด้วยความเร็วเหนือเสียง กระแสลมที่ควงตามกระสุนได้พัดเอาร่างอันใหญ่โตปลิวเสียการทรงตัวไปด้วย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำตีลังกากลางอากาศแล้วลงพื้นได้อย่างสวยงาม แต่ไม่มีกรรมการให้คะแนน และเขาก็ไม่ต้องการกรรมการในเวลาหนี จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้ววิ่งไปหลบในตรอกแคบๆ อย่างสุดชีวิต ก่อนที่ห่าฝนดาวตกเวทมนตร์แสงจะร่วงลงเป็นบริเวณกว้าง
ไม่มีเสียงแผดระเบิดของปืนไรเฟิลขนาด 37 มิลลิเมตรอีก แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่วางใจ สะบัดหน้ามองซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง ...พวกกบฏแน่ๆ แบบนี้... ไอ่พวกเวรนี่ พ่อจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกเลย... เขาบอกกับตัวเองด้วยอารมณ์แค้นเคืองแล้วออกวิ่งเหยาะๆ ไป
“อีกนิด อีกนิด...”
เฟลเซียยืนพิงผนังอยู่ในบ้านชัดเดียวหลังหนึ่งพูดกับตัวเองไปพลางมองดูทหารฝ่ายข้าศึก 2 หมู่กำลังวิ่งผ่านไป จนกระทั่งคนหน้าเกิดไปสะดุดกับระเบิดล้มทั้งยืน
“ยิงเลย!”
ซูเปอร์โซลเจอร์สาวตะโกนสั่งแล้วเริ่มเปิดฉากยิงด้วยปืนกลอเนกประสงค์ในมือ ซึ่งกางขาทรายตั้งไว้บนหมอน ก่อนที่ทหารใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ จะเริ่มยิงตาม
เหล่านักรบโนเบิลไม่มีที่หลบ เพราะอีกด้านของถนนเป็นกำแพงสูง จึงได้แต่เปิดเกราะพลังงานวิ่งฝ่ากระสุนไปยังอาคารที่ปลายถนน ซึ่งมีลักษณะเป็นโรงรถและข้างๆ มีประตูเล็กๆ อยู่ แต่เมื่อใกล้จะถึง ประตูโรงรถก็เลื่อนเปิดขึ้น รถถังหลักของฝ่ายเจ้าบ้านก็วิ่งออกมาต้อนรับ เปิดฉากยิงต้อนรับนัดแรกด้วยปืนใหญ่ขนาด 203 มิลลิเมตร คร่าชีวิตเหยื่อที่อยู่ในวิถีไป 2-3 นาย ก่อนจะตามด้วยปืนกลร่วมแกนและแท่นปืนอัตโนมัติทำคะแนนเพิ่มอีก 3 ราย บีบให้เหล่านักรบโนเบิลต้องบุกเข้าไปในบ้านข้างทางอย่างทุลักทุเล ในขณะเดียวกันทหารที่ตั้งรับอยู่ในบ้านก็ถอยเข้าไปในบ้านด้วย
รถถังสัญชาติโวลกันก็แล่นตามมายิงกดดันด้วยปืนกลถึงหน้าบ้าน บีบให้นักรบแห่งกองกำลังผู้ประเสริฐต้องรบในที่ๆ พวกตนกำหนดไว้ ก่อนจะกลายเป็นการปิดล้อม
ทันใดนั้นเองขีปนาวุธร่อนขนาดเล็กพอจะเป็นอาวุธทหารราบก็บินมาตกยังรถถังของฝ่ายเจ้าบ้าน ระเบิดป้อมหลุดลอยละลิ่ว สร้างความตื่นตระหนกให้กับกองกำลังฝ่ายตั้งรับเป็นอย่างมาก ในขณะที่เหล่านักรบโนเบิลฉวยโอกาสวิ่งหนีไป
“เกิดอะไรขึ้น”
เฟลเซียร้องถามขึ้นอย่างเป็นงง ถลึงตามองตัวถังของรถถังหลักไฟลุกท่วม เศษชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ป้อมพลิกหงายตกลงมา ลำกล้องปืนหลักหลุดไปทาง
“ขีปนาวุธร่อน ผมเห็นขีปนาวุธร่อนทหารราบของชทัมม่าครับ”
ทหารมนุษย์หน้าอ่อนคนหนึ่งรายงานเสียงแหบแห้งอย่างเหนื่อยหอบ
“เอสซี พีซีเอ็มแอล 357 เนี่ยนะ บ้ารึเปล่า อาวุธแดนเครื่องบินนั่นจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เฟลเซียสวนกลับอย่างดุดัน ท่าทีร่าเริงทุกสถานการณ์ถูกลบออกไปจนหมด
“ฉันก็เห็นเหมือนกันค่ะ เป็น เอสซี พีซีเอ็มแอล 357 จริงๆ”
นายทหารยศสิบตรีหญิงโทรลก็ยืนยันเสริมมาอีก ทำให้ซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วพยายามบอกกับตัวเองว่ามันเป็นเรื่องจริง ก่อนจะปรับอารมณ์ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วบอกสิ่งที่ตนได้คาดการณ์กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนด้วยน้ำเสียงเรียบปกติราวไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ฉันมีข่าวดีและข่าวร้ายจะบอก ข่าวดีก็คือ ศึกครั้งนี้ยังไม่รู้ผล ส่วนข่าวร้ายคือ นอกจากกองกำลังศัตรูที่มีมากกว่าเราประมาณ 6-7 เท่าแล้ว ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพวกกบฏกำลังลอบโจมตีซ้อนเราอยู่ และถ้าจะให้เดา ตอนนี้การสื่อสารทุกระบบของเราถูกรบกวนจนติดต่อกับใครไม่ได้แล้วนอกจากจะใช้เสียงของตัวเอง และเป้าหมายแรกที่พวกมันจะเล่นงานก็ต้องเป็นซูเปอร์โซลเจอร์อย่างฉัน แมดอาร์ม และ เอสดีเอส อย่าคาดหวังให้ใครมาช่วย แม้แต่แมดอาร์มก็เถอะ เพราะถ้ามันเอาขีปนาวุธร่อนทหารราบมาจากชทัมม่าได้ มันก็ต้องเอาโอเมก้ามาจากโอเคอร์โน่ได้เหมือนกัน อยู่ในเกราะเวทมนตร์สุดแกร่งขนาดนั้นก็ไม่ปลอดภัยหรอก งั้นขอให้ทุกคนโชคดี อย่าแยกกันถ้าไม่จำเป็น”
พูดจบก็เกิดมีเสียงเครื่องยนต์ไอพ่นหลายเครื่องก็ส่งเสียงทุ้มหนักแต่แผ่วเบาเหนือน่านฟ้าเมืองมอสกาเชีย แหงนขึ้นมองก็เป็นฝูงเครื่องบินทิ้งระเบิดลูกผสมปีกบินรูปปลากระเบนเข้าขบวนกันมาประมาณหนึ่งโหลเศษ สิ่งที่ตามมาคือเสียงเปิดประเด็นคุยกันให้แซด
“เฮ้ย ดูสิ บลัดเอนเจิล นี่หว่า ไหนบอกว่าอีก 2 ปีจะเข้าประจำการไง”
เอลฟ์หนุ่มยศพลทหารคนหนึ่งอุทานขึ้นหลังแหงนมองขึ้นฟ้าก่อนจะชี้ชวนให้เพื่อนๆ มองดูตาม แม้ตอนนี้ท้องฟ้าจะค่อนข้างมืดลงแล้วตามเวลาที่ผ่านไป แต่ก็ยังพอเห็นเป็นเงาเครื่องบินทิ้งระเบิดที่กำลังบินตรงไปยังกองกำลังของข้าศึก
“แกฟังมาผิดแล้ว มันเข้าประจำการเมื่อ 2 ปีก่อน”
พลทหารฮ็อบบิทแย้ง
ว่าแล้วเฟลเซียก็กระแอมขัดจังหวะขึ้นเพื่อเตือนสติก่อนพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเรียบๆ ว่า
“ขอประทานโทษที่ขัดจังหวะ แต่ตอนนี้เราต้องรบรักษาจุดยุทธศาสตร์ ไม่ใช่เวลาชมนกวิจารณ์เครื่องบิน ไปกันได้แล้ว เร็ว”
ว่าจบซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ก็ออกวิ่งนำไปก่อนเพื่อเร่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาตามไปโดยเร็ว แต่ถึงกระนั้นตนก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเครื่องบินทิ้งระเบิดรหัส ‘บลัดเอนเจิล’ พวกมันให้ความรู้สึกปลอดโปร่งใจขึ้นมาได้บ้างเหมือนกัน อย่างน้อยก็ในแง่ของการทำลายยานเกราะ โดยเฉพาะกับรถถัง ส่วนหุ่นยนต์รบตัวเท่าตึกเหล่านั้นยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าใดนัก
ลีออนที่กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการรบบนพื้นไม่ได้เตรียมการป้องกันอะไรเกี่ยวกับเครื่องบินทิ้งระเบิดรุ่นใหม่ของกองทัพอากาศข้าศึกเลย ประกอบกับเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบมากเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ ทำให้ถูกเสียงเครื่องยนต์ของยานพาหนะของฝ่ายตนกลบจนหมด จนกระทั่งฝูงบินทิ้งระเบิดได้บินผ่านไป และสิ่งที่ปล่อยลงมาเป็นระเบิดติดร่มทั้งสิ้น
หน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์หญิงนายหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาถึงห้องบัญชาการชั่วคราวแล้วก็ส่งเสียงเอะอะขึ้นอย่างเร่งร้อนว่า
“ระวังเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหนของศัตรู”
คำเตือนนั้นช้าไปแล้ว เมื่อระเบิดติดร่มตกลงมาได้ความสูงที่กำหนด ร่มก็ถูกปลดออกปล่อยระเบิดร่วงลงมาอย่างอิสระ เป็นตำบลครอบคลุมกองยานเกราะอย่างพอดิบพอดี ไม่มีเสียงหวีดแหลมเตือน มีแต่วัตถุเพรียวลมติดครีบเล็กๆ ตกลงมา ครึ่งหนึ่งเป็นระเบิดแรงสูง ส่วนอีกครึ่งเป็นระเบิดเพลิงเวทมนตร์ มีวงเวทแผ่ออกมาแล้วเชื่อมต่อกันจนเป็นวงเดียวในแต่ละจุด พายุไฟสีดำทะมึนมีเปลวเป็นสีน้ำเงินอมม่วงโหมกระหน่ำอยู่ในวงจำกัด กองยานเกราะทั้งหมดถูกละลายเหมือนเนย ไม่เว้นแม้แต่หุ่นยนต์รบมาตรฐานสุดแกร่งอย่างสตอร์มวอร์ริเออร์
ผู้บัญชาการผ่านศึกประสบการณ์โชกโชนกดอารมณ์ให้เป็นปกติพลางส่งข่าวให้ทหารฝ่ายตนได้รับรู้ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับกลอรี่ลิเบอเรเทอร์สาวที่พรวดพราดเข้ามา
“โปรดแสดงตัวด้วย”
“แบล็คเบอร์รี่ วาคานะ โมริคาวะ หน่วยข่าวกรองพิเศษโนเบิล สังกัดกลอรี่ลิเบอเรเทอร์”
เป็นวาคานะนั่นเอง เธอรายงานตัวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ส่ออารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
“ขอบคุณมากสำหรับคำเตือน ถึงมันจะสายไปก็เถอะ ท่านกลับไปทำหน้าที่ต่อเถอะ ข้าจะเตือนพวกระลอกต่อไปเองถ้าข้าแพ้”
พูดจบลีออนก็หันกลับไปยังโต๊ะวางแผน ส่วนวาคานะเองก็กลับหลังหันเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน
กลับออกมาจากบ้านโทรมๆ ซึ่งลีออนใช้เป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราว เธอก็เปิดอาร์คเอนเจิลโคลกเพื่อพรางตัวในทันที ก่อนวิ่งเข้าไปในอาคารอีกหลังที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ชูเน่ยืนคอยอยู่แล้วในอ้อมแขนถือชุดพลเรือนชุดหนึ่งอยู่ วาคานะคว้ามาโดยไม่พูดอะไรแล้วเดินเข้าห้องๆ หนึ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อประตูเปิดออกมาอีกครั้งชุดรบของหน่วยกลอรี่ลิเบอเรเทอร์ก็เข้าไปอยู่ในคลังแสงจิ๋วเรียบร้อย เปลี่ยนมาเป็นชุดพลเรือนเสื้อกล้ามสีชมพูกับกางเกงยีนส์ขาเดฟสีเทาเข้มและรองเท้าผ้าใบอย่างง่ายๆ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือใบหน้าที่นิ่งเฉย รับไรเฟิลจู่โจมสัญชาติโวลกันที่ชูเน่โยนให้แล้วขึ้นลำก่อนจะพากันเดินออกจากอาคารไปทันที
ด้านเหล่าผู้บัญชาการฝ่ายตั้งรับที่อยู่ๆ ก็ขาดการติดต่อกับผู้บังคับบัญชาของตนกำลังพยายามติดต่ออย่างสุดความสามารถ ทั้งผู้พันสมิงและร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวต่างคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบชน ในขณะที่ฝ่ายนายพันกำลังก้มลงมองดูโต๊ะวางแผนโฮโลแกรม แผนการรบที่คิดว่าจะไปได้สวยแต่ทว่าต้องมาขาดการติดต่ออย่างไม่ทราบสาเหตุและการที่อยู่ๆ สัญญาณฝ่ายเดียวกันบางจุดก็หายไปดื้อๆทำให้เขาหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ในขณะที่ร้อยโทหญิงตะคอกเสียงลงเครื่องมือสื่อสารไปพลางปรับสัญญาณไปมีหลายครั้งที่เธอแทบจะขว้างมันลงกับพื้นให้แหลกเละรู้แล้วรู้รอดไป
สิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างต่อไปก็คือ ทหารใต้บังคับบัญชาของตนเดินเข้ามาพร้อมกับปืนประจำกายในมือ นายพันครึ่งเสือขาวจึงเหลือบขึ้นมองแล้วถามไปว่า
“เกิดอะไรขึ้น ทหาร มาที่นี่ทำไม”
โดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไร เหล่าทหารใต้บังคับบัญชาเหล่านั้นจับปืนในท่ายิงระดับเอวแล้วยิงกราดเข้าไปในห้องบัญชาการชั่วคราวอย่างเลือดเย็น เหยื่อทั้งสองไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้อง ได้แต่ล้มลงไปนอนจมกองเลือดแน่นิ่งไป แล้วเหล่ากบฏในชุดทหารโวลกันก็พากันวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุ แต่ทว่าครู่หนึ่งร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวก็มือกระตุกขึ้นพลางร้องครางเบาๆ กันฟันแยกเขี้ยวแน่นแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ก่อนพึมพำขึ้นว่า
“คิดว่าฉันเป็นมนุษย์เต็มตัวละสิท่า พวกกบฏ...”
แล้วเธอก็หันไปทางศพของนายพันสมิง
“ขอโทษนะคะ ผู้การ”
เธอว่าแล้วก้มลงที่คอแล้วแยกเขี้ยวกัดลงไปเพื่อดูดเลือด พลางก็เอามือข้างหนึ่งผนึกพลังเวทคลำไปทั่วร่างเพื่อร่ายเวทรักษาตัวเองไปด้วย ...ต้องรีบหนีแล้ว ต้องไปขอกำลังหนุนโดยด่วนเลย... เธอคิด ตาของเธอปิดลงด้วยความรู้สึกที่ผิดอย่างมาก เพราะผู้ที่เธออาศัยดูดเลือดอยู่ในขณะนี้คือผู้บัญชาการของเธอคนหนึ่ง
เมื่อปฐมพยาบาลไปได้ระยะหนึ่ง ร้อยโทครึ่งแวมไพร์สาวก็ละจากศพแล้วลุกขึ้นวิ่งไปอย่างรีบเร่งแบบลืมเจ็บ ...แต่ถึงจะเจ็บก็เจ็บคนเดียว เพราะยังดีกว่าทำให้แผ่นดินเกิดของตนต้องเจ็บ เป้าหมายคือ ฐานทัพหรือที่ตั้งทางทหารที่ให้การสนับสนุนได้ที่ใกล้ที่สุด... คำเหล่านี้ผุดขึ้นเพื่อเตือนสติเธอไว้เสมอ ว่าตนกำลังทำอะไร ปืนพกในซองถูกชักออกมากระชับไว้ในมือ เมื่อไปได้ระยะหนึ่งเธอก็ผ่อนฝีเท้าลงพลางมองลอดช่องชั้นวางสินค้าในห้าง ก็เหลือบไปเห็นกบฏในชุดพลเรือนคนหนึ่งกำลังเดินมาอย่างสบายอารมณ์ ดูเหมือนกำลังจะมาจัดการกับศพ
ก้มลงมองดูพื้นก็ช่างโชคดีเหลือเกิน หมอนใบเล็กใบหนึ่งตกอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตามเธอคว้ามันมาแล้วบีบอยู่บริเวณรอบปากลำกล้องปืนพกอย่างลวกๆ ก่อนจะเล็งไปที่เหยื่อที่ไม่ทันระวังตัว นิ้วเรียวบางเหนี่ยวไกปล่อยหัวกระสุนมนหมุนควงเจาะทะลวงเข้าที่ขมับด้านซ้ายอย่างแม่นยำโดยแทบจะไม่มีเสียงเพราะปลอกเก็บเสียงอย่างง่ายๆ ก่อนที่ร่างนั้นจะล้มตึงลงมือข้างที่กำหมอนก็ละออกแล้วผนึกเวทลมปล่อยออกไปเป็นเบาะอากาศรองรับร่างนั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดเสียงใดๆ ขึ้นให้พวกที่อยู่ข้างนอกหรือห่างออกไปแต่ยังอยู่ในอาคารได้รับรู้
แล้วเธอก็รุดเข้าไปลากศพนั้นมาในมุมลับตาแล้วจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรีบเร่ง ดีที่ว่ากบฏคนนี้เป็นผู้หญิงขนาดตัวพอๆ กับเธอและมีรูปพรรณที่คล้ายๆ กันเพียงแต่เป็นมนุษย์เต็มตัว
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เธอก็เดินออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครทัก ไม่มีอะไรผิดสังเกต ตอนนี้เธอเป็นเหมือนพวกกบฏไปแล้ว ...แบบนี้ถ้าเจอพวกเดียวกันมีหวังโดนลูกปืนเข้าแน่ๆ... เธอบอกกับตัวเองอย่างภาคภูมิใจระคนสยองใจ ใช่แล้ว แนบเนียนเกินไปก็ไม่ดี แต่เพื่อการแยกตัวออกจากพื้นที่การรบโดยไม่ถูกตรวจพบก็มีแต่วิธีนี้
ยูคิเอะยังคงหลบหนีการไล่ล่าของกลุ่มกบฏอย่างสุดชีวิต เธอไม่รู้ว่าผู้ล่าซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง แต่เธอจะไม่ยอมเป็นผู้ถูกล่าแต่ฝ่ายเดียว ไรเฟิลจู่โจมในมือยกขึ้นยิงสวนกลับไปทุกครั้งที่เห็นประกายไฟแลบขึ้นมา ไม่รู้ว่ายิงถูกบ้างรึเปล่า เพราะทุกครั้งที่ยิงสวนไม่มีเสียงร้องแม้แต่นิด แต่ศูนย์ปืนก็ทาบลงบนตำแหน่งที่ประกายไฟแลบออกมาอย่างแม่นยำ เวทมนตร์หมอกพรางตาถูกปล่อยออกมา ก่อนที่เธอจะวิ่งหลบเข้าไปในตรอกแคบๆ
มีเสียงดังทุ้มๆ คล้ายเสียงปืนรถถังดังขึ้นมาเป็นระยะๆ จนเธอจับสังเกตได้ว่ามันไม่น่าจะเป็นรถถัง แต่จากจังหวะนี้มันน่าจะเป็นอาวุธทหารราบมากกว่า ซึ่งมีขนาดใหญ่มากและไม่น่าจะอยู่ไกลนัก คงจะเป็นใครบางคนกำลังถูกไล่ยิงอยู่เป็นแน่ แต่ทว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาสนใจเรื่องของคนอื่น และลืมเรื่องหน้าที่การรักษาเมืองเอาไว้ได้เลย เพราะเธอเองก็ถูกตามล่าอยู่เหมือนกัน แม้ตอนนี้เธอจะหลบหนีมาได้ก็ตาม แต่ไม่นานคงจะถูกเจอ
ในขณะเดียวกันในใจก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า แล้วรถถังฝ่ายเราทำไมเงียบกันไปหมด เธอเริ่มเป็นกังวลว่าพวกมันจะถูกกำจัดไปหมดแล้วหรือไม่ก็ซุ่มซ่อนอยู่ตามโรงรถหรือตามอุโมงค์หรืออาจจะตามตรอกซอยที่ลับตาหลายแห่ง เสียงปืนชนิดต่างๆ ที่ดังระงมสลับกันอยู่ในตอนนี้ทำให้เธอไม่รู้ว่าเป็นปืนจากฝ่ายทหารโวลกันหรือฝ่ายกบฏกันแน่ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างใช้อาวุธเหมือนกัน แต่ที่แยกออกแน่ๆ คือเสียงปืนพลังงานจากฝ่ายโนเบิล มันแสดงให้รับรู้ว่าข้าศึกกำลังประชิดเข้ามาทุกขณะ แต่อย่างน้อยก็ยังพอเบาใจได้บ้างตรงที่กองยานเกราะของโนเบิลทั้งหมดถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้วโดยฝูงบินทิ้งระเบิด
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ไอพ่นขนาดเล็ก เล็กขนาดเครื่องยนต์จรวด กำลังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งต้นเสียงโผล่มา เป็นนักรบสวมชุดเกราะเวทมนตร์สีฟ้าตัวสูง 3 เมตร พุ่งผ่านหน้าเธอไปเพียงไม่กี่เซนติเมตรทำให้ถึงกับล้มลงก้นจ้ำเบ้า
ร่างนั้นเปลี่ยนจากท่าบินมาเป็นเดิน หอบหนักหน่วงมือข้างหนึ่งเท้ากำแพงไว้มองมาที่ยูคิเอะ ก่อนที่ทั้งคู่จะเอ่ยทักขึ้นพร้อมๆ กัน
“แมดอาร์ม”
“เอสดีเอส”
“แมดอาร์ม เกิดอะไรขึ้น”
“เอสดีเอส แล้วพวกทหารที่ตามเธอมาอยู่ไหน”
ทั้งคู่ยิงคำถามเข้าใส่กันพร้อมๆ กัน แล้วชะงักไปพร้อมๆ กันก่อนที่ยูคิเอะจะบอกให้โอเคอร์ตอบก่อน
โอเคอร์ทิ้งตัวลงนั่งพักเหนื่อยแล้วเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขาอย่างคร่าวๆ
“ฉันโดนพวกกบฏเอลฟ์สาวปืนโตเอาโอเมก้าไล่ยิงไง แถมยังมีลุงก็อบลินร่ายเวทโจมตีใส่ซะขนานใหญ่ ดีว่าได้เวทแมดโรบอทช่วยเอาไว้เลยหนีมาได้ แล้วเธอล่ะ”
ยูคิเอะลุกขึ้นยืนเดินต่อ พลางส่งสัญญาณให้โอเคอร์เดินตามไปด้วยก่อนจะเอ่ยปากเล่าในสิ่งที่เธอได้ประสบมาหมาดๆ
“แล้วอัลตร้าแมนิแอคยู่ไหน”
โอเคอร์ถามในขณะที่ยูคิเอะส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ก่อนจะเอ่ยปากเสนอแผนเอาตัวรอดอย่างลวกๆ ว่า
“ก่อนจะพูดถึงเรื่องของอัลตร้าแมนิแอคเรามาจัดการกับพวกที่ไล่ล่าเราก่อนดีกว่า แมดอาร์ม นายจัดการกับพวกที่ตามฉัน ส่วนฉันจะจัดการกับพวกที่ไล่ล่านายให้ ตกลงไหม”
โอเคอร์พยักหน้าตกลงแล้วเริ่มหันไปมองรอบตัวด้วยความระแวงเหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ซึ่งยูคิเอะเห็นดังนั้นก็เพ่งสังเกตไปรอบตัว ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“ได้เวลาแล้ว”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ