Epidemia: Epic World on Fire
11) Full scale assault [Part 1]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ4 วันหลังจากฐานยิงแมจิคเดธเรย์ทั้งสามแห่งถูกทำลาย
ฐานที่มั่นชั่วคราวเมืองมอสกาเชีย รัฐโบรกาซซิน สหรัฐโวลก้า เวลา 1625
ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ชุมชนกลางทะเลทรายแห่งนี้ ทั่วพื้นที่ตามถนนตรอกซอยมีทหารสัญชาติโวลกันปรากฏตัวอยู่ประปรายรวมตัวกันเป็นหมู่รบละ 5-6 คน โดยมีจอมเวทรวมอยู่ด้วยหมู่ละ 1 คน จุดละไม่เกิน 2 หมู่ บริเวณพื้นที่โล่งๆ ก็เป็นยานยิงจรวดสนับสนุนแบบล้อสายพานกับยานเกราะต่อสู้อากาศยานล้อสายพานประจำที่เป็นคู่ๆ ใจกลางเมืองเป็นยานเกราะเครื่องสร้างโดมพลังงานสัญชาติโอเคิร์น ที่สร้างโดมเกราะพลังงานใสคลุมล้อมรอบเมือง โดยมีเครื่องรับกระแสพลังงานกระจายอยู่ทั่วช่วยผลิตอีกแรงหนึ่ง
ณ ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในใจกลางเมือง เป็นตึกสูง 12 ชั้นสีสันสวยงาม จอภาพแอลซีดีจอยักษ์หน้าห้างเหนือซุ่มประตูทางเข้า ซึ่งในยามสงบจะเป็นตัวอักษรภาษาโวลก้าชื่อห้างสีสันสดใส แต่บัดนี้มันถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘กองบัญชาการชั่วคราว’ สีสันสวยงามแทน ราวกับคนจัดการจะหวังว่าจะไม่มีใครอ่านมันออกนอกจากพวกตนที่ ชั้น 6 ตรงจุดที่เคยเป็นร้านเกมกว้างๆ ตอนนี้มันถูกเปลี่ยนเป็นห้องวางแผน
นายทหารสองคน เผ่าสมิงครึ่งเสือขาวยศพันเอกกับครึ่งแวมไพร์หญิงยศร้อยโท กำลังยืนสุมหัวกันอยู่ที่โต๊ะวางแผนมีภาพโฮโลแกรมเป็นผังเมืองฉายขึ้นมา โดยมีซูเปอร์โซลเจอร์หญิงมนุษย์ร่างเล็กราวเด็กวัยเรียนร่วมอยู่ด้วย
ใบหน้าของเหล่านายทหารนั้นกำลังเคร่งเครียด ผิดกับซูเปอร์โซลเจอร์ที่ไม่มีท่าทีว่าจะเครียดอะไรแต่อย่างใด เมื่อภาพถูกเลื่อนไปยังเขตนอกเมือง กลางทุ่งโล่งกว้างแสดงภาพของกองกำลังผู้บุกรุกกำลังจัดทัพ มันเป็นทัพขนาดใหญ่มาก จากสีหน้าของนายทหารทั้งสองส่อถึงจำนวนที่น่าจะเหนือกว่าหลายเท่า จนกระทั่งมีฝนลูกปืนยักษ์หล่นลงเหนือหัวของกองกำลังนั้นจนแตกกระเจิง แต่ถึงกระนั้นกองกำลังระลอกใหม่ก็มาสมทบในเวลาอันรวดเร็ว และได้รับการจัดทัพมาก่อนแล้ว เสียงห้าวๆ ของพันเอกดังขึ้นสั่งการให้ยิงถล่มด้วยจรวดระยะไกล ครู่หนึ่งจรวดจำนวนนับร้อยๆ นัดก็ปรากฏขึ้นพุ่งตรงไปยังกองกำลังของผู้บุกรุกที่กำลังใกล้เข้ามา
ทันใดนั้นเหนือเมืองขึ้นไป กล่องไม้ขีดยักษ์จำนวนมากก็ร่วงลงมา แต่ก็ต้องเผชิญกับม่านพลังงานและพ่ายแพ้พังเละไป การโจมตีของกองกำลังโนเบิลดำเนินแบบนี้มานานหลายชั่วโมงแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า มีแต่กองกำลังขนาดใหญ่ที่ดาหน้าเข้าหาเมืองที่มีการป้องกันแน่นหนา ราวกับว่าจะบุกให้ได้จนกว่าฝ่ายตั้งรับจะกระสุนหมด ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเพราะมีการส่งกำลังบำรุงอย่างไม่ขาด แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้เหล่าผู้บัญชาการต้องหนักใจ คือ สิ่งที่ดูเหมือนปืนใหญ่อัตตาจรรุ่นใหม่ที่แล่นมาพร้อมกับกองกำลังทุกระลอก และมักมีจำนวนไม่เกิน 4 คัน มันคืออะไรกันแน่ และแล้วคำตอบก็ปรากฏเมื่อหนึ่งในนั้นยิงกระสุนออกมา
ไกลออกไปนอกเมือง 8 กิโลเมตร กระสุนพลังงานสีชมพูพุ่งเป็นดาวหางออกจากปืนใหญ่อัตตาจรรุ่นใหม่แห่งกองกำลังผู้ประเสริฐ ตรงเข้าใส่เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งในเมือง ซึ่งดูเหมือนคนที่สั่งยิงจะไม่สนใจต่อม่านพลังงานที่คลุมพื้นที่เป้าหมายอยู่ด้วยซ้ำ จนกระทั่งมันพุ่งเข้าชนม่านพลังงานเกิดแสงวาบสีขาวขึ้นก่อนแตกออกเป็นวงแล้วกลับมารวมกันใหม่แต่ทว่ากระสุนพลังงานสีชมพูนั้นยังคงพุ่งต่อลอยโค้งไปยังใจกลางเมือง เป้าหมายของมันก็คือ เครื่องสร้างเกราะพลังงานอัตตาจรนั้นเอง
ผ่านมาทางภาพโฮโลแกรม นายทหารทั้งสองถึงกับตาเหลือก อุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ในขณะที่มองดูภาพเครื่องสร้างโดมพลังงานถูกระเบิดแหลกเป็นเสี่ยงๆ หลังจากนั้นก็เป็นภาพของกองกำลังโนเบิลกำลังระดมยิงอาวุธหนักเข้ามาแบบปูพรมโดยไม่มีอะไรสกัด
“กองกำลังข้าศึกเหนือกว่าตั้ง 7 เท่า ใช้แผนจรยุทธ์ สั่งทหารทุกนายซ่อนตัวให้หมด...”
พันเอกครึ่งเสือขาวลั่นคำสั่งออกมาเสร็จก็มองไปทางซูเปอร์โซลเจอร์หญิงแล้วออกคำสั่งต่อในขณะที่ร้อยโทครึ่งแวมไพร์หญิงรับหน้าที่ถ่ายทอดคำสั่ง
“ส่วนคุณกับอีกสองคน ผมอยากให้จัดการกับผู้บัญชาการของมันตอนที่มันเข้ามากลางเมือง”
“รับทราบค่ะ”
ซูเปอร์โซลเจอร์หญิงตอบอย่างจริงจังก่อนผละออกจากอดีตร้านเกม
บัดนี้เมืองที่กำลังจะลุกเป็นไฟเงียบจริงๆ แล้ว เครื่องยิงจรวดสนับสนุนอัตตาจรได้อันตรธานหายไปจากจุดที่มันประจำหมดแล้ว ทหารที่รวมกันเป็นหมู่รบก็หายตัวไปจากถนน เหลืออยู่เพียงยานเกราะต่อสู้อากาศยานที่ยังคงประจำอยู่ที่จุดต่างๆ จนกระทั่งเสียงระเบิดตูมตามจากอาวุธหนักนานาชนิดกองกำลังผู้ประเสริฐทำลายความเงียบขึ้น
ร่างเล็กเพรียวพร้อมใบหน้ายิ้มๆ ของซูเปอร์โซลเจอร์สาวโผล่ออกมาจากเงาของซุ่มประตูอดีตห้างสรรพสินค้า เป็นยิ้มที่ดูน่ากลัวมากกว่าน่ารักผิดกับรูปลักษณ์ที่เหมือนกับเด็กในวัยเรียน ด้วยนัยน์ตาสีเขียวมรกตในกรอบเรียวเฉียงขึ้นเล็กน้อย ผมสีแสดที่รวมเป็นหางม้าและปอยผมด้านหน้าที่เกือบคลุมหน้าผากทำให้ดูขัดๆ เล็กน้อยแต่ภาพโดยรวมก็ยังดูเป็นมาดเจ้าแม่อยู่ดี แต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยความร่าเริงแบบเด็กสาวมัธยม ซึ่งดูไม่ค่อยเหมาะกับวัยเท่าใดนัก แต่ก็ยังมีเครื่องแต่งกายเหมือนพลเรือน เสื้อยืดสีดำทับด้วยเสื้อโค้ทสีเทายาวถึงเข่าไม่ติดกระดุม กางเกงแอโรบิกยาวเกือบถึงเข่า และรองเท้าบูทหนัง เสริมบุคลิกด้านเด็กสาวมัธยมเข้าไปอีก แต่ความขัดกันในตัวเองก็ต้องด้อยลงไปเมื่อพูดถึงแถบรัดข้อมือพลาสติกที่ข้อมือขวาเหมือนหนีออกมาจากโรงพยาบาล
เบื้องหน้าเป็นซูเปอร์โซลเจอร์ชายฉกรรจ์เผ่าพันธุ์โทรลศีรษะล้านหน้าเข้มโหดตัวสูง 3 เมตรแต่สวมเสื้อที่ดูเหมือนเสื้อกันหนาวดูรุ่มร่ามแขนยาวเกินแขนของตน และสวมกางเกงยีนส์เก่าๆ ขาดๆ ผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน เหมือนไม่มีเงินซื้อใหม่หรือไม่ก็เป็นศิลปินแต่ก็ยังดูเป็นกางเกง ยืนเก๊กท่าให้ผู้ที่ออกมาจากศูนย์บัญชาการชั่วคราว
“เขาว่ายังไงบ้าง เฟลเซีย”
โทรลหนุ่มซักขึ้นอย่างเป็นงานเป็นการ
“ลอบฆ่าผู้บัญชาการของพวกมัน ทำได้รึเปล่า”
ซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ตอบเรียบๆ แต่แฝงเหน็บแนม ทำให้โทรลหนุ่มมาดหลุดเบนตัวหนีหน้าเล็กน้อยเม้มปากนิดหนึ่งอย่างไม่ค่อยพอใจนัก แล้วเขาก็หันไปมองซูเปอร์โซลเจอร์หญิงมนุษย์ครึ่งภูติเพลิงที่ยืนแผ่รัศมีสีส้มอยู่ข้างๆ ซึ่งเหมือนจะรู้ใจอยู่แล้ว จึงดักคอเสียงใสว่า
“ได้เลยจ้า”
“ถ้างั้น โอเคอร์ นายก็ช่วยเรียกร้องความสนใจจากพวกมันก็พอ ฉันกับยูคิเอะจะจัดการเรื่องลอบสังหารเอง”
เฟลเซียตัดบทด้วยท่าทางรำคาญก่อนออกวิ่งหายเข้าไปยังตรอกแห่งหนึ่งพร้อมกับสาวภูติเพลิง ส่วนโทรลหนุ่มศีรษะล้านก็หน้าบานแยกไปอีกทางอย่างสบายใจ
กองกำลังขนาดใหญ่ของกองทัพผู้ประเสริฐเริ่มก้าวเข้ามาในเมืองหลังจากการยิงปูพรมด้วยอาวุธหนัก มันเงียบราวป่าช้า เหมือนกับไม่มีอะไรอยู่ตั้งแต่แรกถ้าไม่นับว่าพวกเขาถูกอะไรยิงมาก่อนหน้านี้ และก่อนหน้านี้พวกเขาได้ทำลายอะไรไป ความโล่งใจเกิดขึ้นเปลาะหนึ่ง พวกเขารู้ว่าพวกสวะจะไม่มีทางระดมรัวกลองมรณะใส่เมืองของพวกเขาเองแน่ตราบใดที่กองกำลังฝ่ายตั้งรับยังประจำอยู่ ถึงแม้จะไม่มีลูกปืนยักษ์ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกยิงถล่มด้วยอาวุธหนักระยะไกลที่เล็กกว่า ดูเหมือนพวกเขาจะพกความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม ไม่หวาดหวั่นต่ออะไรทั้งสิ้น เว้นแต่ผู้บัญชาการวัยกลางคนเป็นทหารผ่านศึก ซึ่งนั่งอยู่ในยานเกราะบัญชาการกำลังอยู่ในอาการหวาดระแวงสุดขีด นั่งประสานมือเท้าคางไว้อย่างเป็นกังวล ตรงหน้าเขาเป็นนายทหารหนุ่มที่มีท่าทางเหมือนเพิ่งจบโรงเรียนนายร้อยมาหมาดๆ
แม้จะมีหมวกรบปิดบังใบหน้าอยู่แต่ผู้บัญชาการวัยกลางคนก็สามารถเดาใบหน้าของรองผู้บัญชาการของเขาทะลุปรุโปร่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อแบบเก่าๆ ว่า ‘พวกสวะนั้น ขี้ขลาด’ ซึ่งนั่นเป็นการประมาทศัตรูอย่างร้ายแรง และด้วยท่านั่งที่ดูสบายๆ เป็นท่านั่งของคนที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่กับบ้าน เขามองหน้าผู้บัญชาการของเขาแล้วเกิดอารมณ์ขันขึ้นมา แล้วพูดขึ้นว่า
“ท่านกังวลเกินไปรึเปล่า พวกสวะหนีกันไปหมดแล้ว ไม่งั้นพวกมันคงออกมาเล่นงานเราแล้ว”
พูดจบเขาก็หัวเราะร่า ภายใต้หมวกรบของผู้บัญชาการใบหน้าของเขายู่ยี่ด้วยความรำคาญและขัดเคืองระคนขันต่อท่าทางประมาทศัตรูของรองผู้บัญชาการ แล้วเขาก็แสยะยิ่มออกมาอย่างคนผ่านโลกมามาก ก่อนตักเตือน
“ท่านประมาทพวกสวะเกินไป ความรู้ในตำรากับคำสอนในโรงเรียนน่ะเหรอ โยนมันทิ้งไปเถอะ ในการรบกับพวกสวะ ยกเว้นเรื่องการใช้อาวุธลืมทุกอย่างให้หมด นี่ถ้าไม่ติดว่าข้าเห็นแก่พวกหัวเก่า ข้าจะสั่งการให้รบแบบพวกสวะเลยด้วยซ้ำ ยุทธวิธีของพวกเราน่ะมันอาจจะดูกล้าหาญ แต่จริงๆ แล้วมันโง่มาก เมื่อ 400 ปีก่อน กองกำลังที่ข้าประจำอยู่ มีกำลังพลทั้งสิ้น 5 กองพัน บุกเข้าไปในเขตป่า ก่อนจะถูกพวกสวะทำลายจนแพ้ย่อยยับแล้วต้องถอยออกมาอย่างไม่เป็นขบวน ตอนหลังมารู้ว่ากองกำลังของพวกสวะที่บดขี้พวกเราในตอนนั้นมีจำนวนแค่ 2 กองร้อยเท่านั้น แถมยังเป็นทหารราบล้วนๆ ด้วย แล้วก็พวกมันไม่ได้เวทมนตร์ด้วยซ้ำ”
นายทหารหนุ่มหัวเราะก๊ากดังลั่นจนเจ็บท้อง แล้วสวนกลับไปอย่างไม่ประสีประสา
“อย่าเอาเรื่องหลอกเด็กมาขู่ข้าเลย แค่ 2 กองร้อยเนี่ยนะจะเอาชนะ 5 กองพันได้ ข้าว่าท่านฟังผิดแล้วมั้ง ข้าว่า 2 กองทัพมากกว่า”
“ก็แค่ตอนนี้ ท่านจะพูดอะไรก็ได้ แต่หลังจากนี้ข้าไม่กล้ารับประกันว่าใครจะโดนยิงหัวทะลุบ้าง อาจเป็นข้า หรืออาจจะท่าน ดีไม่ดีพวกมันอาจจะยิงขีปนาวุธระเบิดเพลิงมาเผาพวกเราจนเป็นเถ้าเลยก็ได้”
เสียงของทหารอาวุโสยังคงเรียบรื่นอยู่เช่นเดิม ผิดกับนายทหารหน้าอ่อนตรงหน้าที่เริ่มขึ้นเสียง
“กลางเมืองแบบนี้เหรอ ไม่มีทาง พวกสวะไม่มีทางเผาเมืองของพวกมันเองหรอก”
“มันก็ไม่แน่... มันก็ไม่แน่ทหารพวกสวะทุกคนมีเวทมนตร์ พวกมันจุดไฟได้ พวกมันก็ดับได้ แล้วพวกมันก็จำกัดวงได้ และพวกมันจะดับก็ต่อเมื่อศพของเราดูไม่ออกว่าใครเป็นใครแล้ว”
“นี่ท่านกำลังทำลายขวัญทหารของเราอยู่รึไง”
“เปล่าเลย ข้าแค่อยากให้ระวังตัวกันเอาไว้ เพราะไม่ว่าสนามรบจะเป็นที่ไหน กับดักเพียบ แทบไม่ต่างอะไรกับเดินเหยียบหญ้าบนสนามหญ้า”
ก่อนที่นายทหารหนุ่มจะปริปากพูดอะไร เสียงพลขับก็สอดเข้ามา เป็นเสียงของชายวัยกลางคนเช่นใกล้เคียงกับเสียงของผู้บัญชาการ
“ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นครับท่าน”
“เชิญ”
นายทหารวัยกลางคนว่า
“ข้าว่าอีกไม่เกิน 10 มานิค ถ้าเราเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ เราจะตกอยู่ในวงล้อมของพวกสวะ ถึงตอนนั้นเราจะถูกถล่มจากทุกทิศทาง ข้าว่าเราควรจะแบ่งกำลังออกเป็นส่วนๆ ขยายเป็นปีกแล้วเคลื่อนเข้าไปจะดีกว่า”
“เป็นแค่จ่าอย่ามาคาดเดามั่วๆ แบบนั้นนะ”
นายทหารหนุ่มระเบิดขึ้นอย่างเดือดดาล แต่นายทหารอาวุโสกลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
“ข้าว่าท่านควรจะฟังจ่าสิบเอกท่านนั้นไว้บ้างนะ ประสบการณ์บนโต๊ะ 1 ปีน่ะ มันเทียบอะไรไม่ได้เลยกับประสบการณ์นอกสถานที่แค่ 1 อัสมานิค ใช่ไหม อัล”
ประโยคหลังเขาเรียกชื่อของพลขับอย่างสนิทสนม
“แน่นอน ลีออน”
ภาพที่โต๊ะวางแผนในอดีตร้านเกมแสดงการจัดทัพใหม่ของผู้รุนราน มันเป็นสิ่งที่ผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการฝ่ายตั้งรับไม่สบอารมณ์นัก คิ้วของพวกเขาขมวดเข้าหากันโดยไม่ต้องนัดหมาย
“ทหารผ่านศึก”
เสียงของร้อยโทหญิงครึ่งแวมไพร์แทบจะกระซิบ
“แจ้งไปยังทุกหน่วยว่าเรากำลังจะรบกับอะไร แล้วก็แจ้ง แมนิแอค เอสดีเอส แล้วก็แมดอาร์ม ด้วยว่ายกเลิกแผนลอบสังหารผู้บัญชาการ”
พันเอกสมิงออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงสั่นเล็กน้อยด้วยความกดดัน พลางมองลงไปยังภาพโฮโลแกรมที่แสดงการจัดทัพของกองทัพโนเบิล ซึ่งไม่เดินไปตามเกมที่เขาวางเอาไว้
“ทำไมล่ะคะ”
ร้อยโทหญิงครึ่งแวมไพร์ถามอย่างแปลกใจ
“ถ้าผมเป็น ผบ. ของพวกแมร่ง ผมจะไม่อยู่ในยานบัญชาการรอให้กระสุนปืนใหญ่ตกลงบนหัวหรอก แต่ผมจะยึดอาคารหรือบ้านสักหลังเป็นศูนย์บัญชาการแทน ซึ่งเรามองไม่เห็นว่าแมร่งเข้าไปหลบอยู่ที่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าพวกเขาเข้าไปแล้วไม่เจอ ผบ. สิ่งที่พวกเขาจะเจอก็ลูกปืน แจ้งไป เร็วเข้า”
นายทหารหญิงก้มหน้ารับคำสั่งก่อนกดเครื่องมือสื่อสารถ่ายทอดคำสั่งอย่างเร่งรีบ
เฟลเซียร้องอุทานเสียงสูงด้วยความประหลาดใจกับคำสั่งใหม่ ก่อนจะลดเสียงลงเพราะเหตุผลของผู้บัญชาการและสำนึกว่าตนกำลังซุ่มอยู่ เธอเหลือบไปยังยูคิเอะอย่างขอความเห็น ซึ่งสิ่งที่ตอบมาคือสายตาที่สื่อเป็นนัยว่า ‘ทำตามไปแล้วกัน ถ้าเราดำเนินการต่อคงเป็นอย่างเขาว่าจริงๆ’ จากนั้นเธอก็หันกลับมาแล้วตอบตกลง
“แมดอาร์ม นายทำหน้าที่หลอกล่อความสนใจเหมือนเดิม ล่อพวกมันมาตรงที่เราจัดการได้”
“ตกลง ไหนๆ พวกเราก็เป็นตัวชูโรงอยู่แล้ว”
โทรลชายฉกรรจ์ตอบเรียบๆ พร้อมพยักหน้า ก่อนจะถกแขนเสื้อยาวขึ้นไปจนถึงข้อศอกทั้งสองข้าง เผยให้เห็นแขนอันอวบไปด้วยมัดกล้ามที่มีสีคล้ำกว่าสีผิวปกติ จากนั้นแขนทั้งสองข้างก็เปลี่ยนเป็นปืนกลกล้องหมุน พลางปากก็พึมพำท่องมนต์เกิดเป็นวงเวทที่ด้านหลัง ครู่หนึ่งเกราะเหล็กสีฟ้าก็โผล่ออกมาจากวงเวทหุ้มทั้งร่างเอาไว้
“ข้าพร้อมเสมอ”
เขาร้องออกมาเบาๆ แต่ฟังดูหนักแน่นด้วยความคึกคะนอง ก่อนจะยกแขนกลทั้งสองข้างขึ้นมาทำท่าจะเคาะให้เกิดเสียงเปรียบดั่งลั่นกลองรบ แต่ก็ต้องชะงักลงเมื่อนึกได้ว่าต้องไม่ให้เกิดเสียงอะไรเกินความจำเป็น ประกอบกับสายตาของเฟลเซียที่จ้องเขม็งมาเป็นเชิงปราม ก่อนจะหันไปพูดกับสวมภูติเพลิง
“เอสดีเอส ปืนกลหนักของเธอใช้ยิงถล่มเป้าหุ้มเกราะ แต่ถ้าเป็นหุ่นยนต์ตัวเท่าตึกนั่นให้เน้นการทำลายระบบตรวจจับกับอาวุธของมันก็พอ นอกนั้นพวกหน่วยต่อต้านยานเกราะจะจัดการต่อเอง”
ยูคิเอะยิ้มพร้อมพยักหน้าเนิบๆ อย่างเข้าใจ ก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่คาดเอวเอาไว้แล้วหยิบเอาปืนกลหนักลำกล้องแฝดขนาดใหญ่กว่าตัวเธอเองเล็กน้อยขึ้นมามีสายกระสุนแบบไร้ปลอกขนาดใกล้เคียงกระสุนปืนใหญ่ขนาดเล็กป้อนอยู่ 2 ด้าน ตรงกึ่งกลางเป็นขาหยั่งพับได้ติดอยู่ ดูเป็นอาวุธที่นับว่าบ้าพลังทีเดียวสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ เธอยกมันขึ้นบ่าประคองไว้แล้วเดินขึ้นบันไดบ้านเพื่อไปยังดาดฟ้า
“ระหว่างนี้ แมดอาร์ม ไปล่อพวกมันมาได้แล้ว”
ว่าจบเฟลเซียก็ชักเอาเครื่องยิงลูกระเบิดประจำตัวออกมาจากคลังแสงจิ๋ว ในขณะที่โอเคอร์เดินลงบันไดไป ครู่หนึ่งจึงเกิดเสียงของเครื่องยนต์ไอพ่นขนาดเล็กแล้วร่างหุ้มเกราะสีฟ้าก็ทะยานขึ้นสู่อากาศ ก่อนจะตั้งเข็มมุ่งตรงไปยังกองกำลังของข้าศึก
นายทหารอาวุโสและนายทหารหนุ่มยังคงนั่งเถียงกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันราวกับว่าจะลืมสถานการณ์ปัจจุบันไปแล้ว ด้านนายทหารหนุ่มนั่นดูจะใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลประกอบกับความเชื่อเก่าๆ ซึ่งทางด้านนายทหารอาวุโสผู้สวนกลับอย่างเต็มไปด้วยเหตุผลและทัศนะอันกว้างไกลเห็นว่าเป็นเรื่องโง่เง่า แต่ทว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้นั่งอยู่บนเบาะสะอาดๆ บนยานบัญชาการอีกแล้ว แต่เป็นเก้าอี้โพลิเมอร์สกปรกๆ ในบ้านโทรมๆ หลังหนึ่ง พร้อมกับเครื่องฉายภาพโต๊ะวางแผนขนาดพกพา ซึ่งวางอยู่บนพื้นฉายภาพโฮโลแกรมเป็นผังเมืองขึ้นมา
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่าจะทำตัวขี้ขลาดแบบนี้ พวกทหารจะคิดยังไง ถ้านายกองของพวกเขาไม่ได้อยู่กับพวกเขาด้วย”
“เอ่อ เอาเว่เย่าเก้าเก้าโว่โม่วแย้วย้าวโก่วโล่วเก้เอ้า ขี้ขลาด ขี้ขลาด ขี้ขลาด กล้าหาญ กล้าหาญ กล้าหาญ ท่านไม่เบื่อคำพวกนี้บ้างเหรอ สำหรับข้ามัน โง่ โง่ โง่ ข้าว่าท่านต้องทำความรู้จักกับคำว่า ฉลาด สักหน่อยนะ ฉลาด ฉลาด ฉลาด ถ้าไม่งั้นละก็ ตาย ตาย ตาย แล้วก็ แพ้ แพ้ แพ้ ท่านคิดว่าการนำทหารจำนวนมหาศาลหรือหน่วยรบสุดยอดไม่กี่หน่วยเข้าโจมตีแนวป้องกันของข้าศึกจะทำให้ชนะได้เสมอไปเหรอ”
แม้น้ำเสียงจะฟังดูเรียบปกติ แต่จากคำพูดของลีออนดูเหมือนเขาจะฟิวส์ขาดเข้าให้แล้ว
“ใช่ ข้าคิดว่านี่คือวิธีที่ง่ายแล้วก็ถูกต้องที่สุดแล้ว และตอนนี้ข้าขอใช้สิทธิ์ยึดอำนาจจากท่าน”
พูดจบนายทหารหนุ่มก็พรวดขึ้นยืนก่อนชักปืนพกเลเซอร์ออกมาเล็งไปยังลีออน
นายทหารอาวุโสไม่ได้แสดงท่าทีตกใจแต่อย่างใด ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่านายทหารอ่านประสบการณ์ผู้นี้ต้องทำแบบนี้ เขาเปลี่ยนจากท่านั่งเก้าอี้หันหลังเอามือประสานไว้ที่ท้ายทอยก่อนคุกเข้าลงแสดงท่าทียอมจำนน แล้วพูดทิ้งท้ายว่า
“เราจะแพ้”
นายทหารหนุ่มไม่พูดตอบอะไร แต่จัดการจับมือของลีออนไขว้หลังแล้วใส่กุญแจมืออิเล็กทรอนิกส์พันธนาการเอาไว้ แล้วบังคับให้ไปอยู่ที่มุมห้อง
“พันตรีเบลดัม เฮสเกียร์ ถึงทุกหน่วย ขณะนี้ข้าได้ยึดอำนาจจาก พันเอกลีออน คาลิสตัน แล้วเพราะว่าเขาขี้ขลาด เขาจะให้พวกท่านรบแบบพวกสวะ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจนี้”
พันเอกลีออนมองดูการกระทำของนายทหารหนุ่มอ่อนประสบการณ์ด้วยความขัน ...เอาเลย ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าจะรบกับพวกเอไพด์เมียร์ยังไง... ลีออนคิด
ทันใดนั้นภาพโฮโลแกรมบนโต๊ะวางแผนพกพาก็แสดงสิ่งผิดปกติ อันเป็นลักษณะของทหารกำลังตั้งแนวยิงหลังจากถูกโจมตี
“โจมตีสวนกลับไป บุกเข้าไปอย่าไปกลัว”
คำสั่งโง่ๆ ประโยคแรกลั่นออกจากปากของเบลดัม มันทำให้ลีออนถอนหายใจเบาๆ อย่างกลัดกลุ้ม แต่ตนก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองดู
โอเคอร์ในชุดเกราะเวทมนตร์สีฟ้าบินถอยหลังไปพลางใช้แขนปืนกลยิงกราดกระหน่ำไป ลากทหารฝ่ายผู้บุกรุกจำนวนหนึ่งให้ตามมา ทั้งรถถังทั้งทหารราบ ขาดแค่หุ่นยนต์รบตัวเท่าตึกที่เคลื่อนไหวลำบากในเขตเมือง
เหล่าทหารหาญแห่งกองกำลังผู้ประเสริฐไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังย่างก้าวเข้าสู่กับดักที่ไม่มีทางดิ้นหลุด และผลของมันคือความตาย จนกระทั่งนักรบเกราะฟ้าได้บินลับมุมตึกไปในซอยแคบๆ พวกเขาก็ไล่ตาม และแล้วหัวระเบิดลูกหนึ่งก็ลอยโค้งย้อยลงมาระเบิดเป็นเพลิงนรกตัดทางถอยของพวกเขาทางด้านหลัง ซึ่งเป็นการเผาทหารบางส่วนทั้งเป็นไปด้วย และยังตัดพวกเขาออกจากกำลังที่จะเข้ามาเสริม
เวทมนตร์พรางตาเสื่อมลง แนวยิงของทหารฝ่ายตั้งรับที่เผยออกมาราวกิ้งก่าเปลี่ยนสีทั้งปืนกลอเนกประสงค์ที่ตั้งยิงหมอบราบกับพื้นและไรเฟิลจู่โจมที่อยู่ในท่าทั้งยืนและนั่งต่างระดมสาดกระสุนใส่กลุ่มทหารข้าศึกแน่นๆ ในซอยแคบๆ เหนือขึ้นไปก็เป็นพลปืนกลหนักซูเปอร์โซลเจอร์สาวภูติเพลิง ตั้งขาหยั่งกดปุ่มยิงสาดกระสุนขนาดเกือบ 20 มิลลิเมตร จากลำกล้องแฝด เข้าใส่ยานเกราะที่ตามมา เริ่มจากเกราะพลังงานที่สลายไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเข้าเนื้อวัสดุ จากนั้นก็เป็นพลประจำแล้วตามด้วยการระเบิดอย่างรุนแรงของตัวยานเกราะเอง
“ถอย!!”
มีเสียงตะโกนขึ้นอย่างตื่นตระหนก แล้วกองกำลังผู้บุกรุกที่เคยฮึกเหิมก็ถอยกลับอย่างไม่เป็นขบวน แต่ก็ต้องถูกเพลิงนรกขวางกั้นไว้อีก อาคารสองฟากมีประกายไฟจากปืนแลบออกมาส่งลูกกระสุนเข้าถล่มกลุ่มเหยื่อที่ต้องเดินตามแผนโง่ๆ ของผู้บัญชาการอ่อนประสบการณ์ หัวระเบิดอีกลูกหนึ่งลอยโด่งมาจากอาคารฟากหนึ่งแล้วตกลงกลางกลุ่มผู้บุกรุกที่กำลังตื่นตระหนกแต่เป็นระเบิดสะเก็ด สร้างความตื่นตกใจมากกว่าเก่า
“ถึงกลุ่มเอ ดีมากทหาร ย้ายก้นออกจากที่นั่นได้แล้วก่อนจะโดนถล่ม”
คำชมมาพร้อมกับคำสั่งใหม่จากปากของพันเอกเผ่าสมิงเอง เป็นน้ำเสียงของผู้มีชัยแต่ก็แฝงไปด้วยความไม่ประมาท
เพลิงนรกถูกวงเวทจำกัดวงไว้เพียงแค่นั้น ในขณะที่ทั้งทหารราบปกติและเหล่าซูเปอร์โซลเจอร์ต่างพากันถอนกำลังไปยังที่ซุ่มโจมตีแห่งใหม่ ยกเว้นแต่พลบินโทรลที่ยังบินออกไปเพื่อหลอกล่อเหยื่อให้มาติดกับอีก ในขณะเดียวกันนั้นลูกระเบิดพลังงานเรืองแสงวูบวาบก็ลอยมาตกยังบริเวณที่เกิดการปะทะ (ที่ฝ่ายตั้งรับเป็นฝ่ายยิงฝ่ายเดียว) แล้วระเบิดจนแหลกลาญแทบจะราบพนาสูญ แต่ไม่มีใครเสียชีวิตเลย เว้นแต่พวกที่ถูกยิงถล่มก่อนหน้านี้
ภาพที่ถูกส่งมาทำเอาเบลดัมแทบไม่เชื่อสายตา เสียงของเขาเอะอะโวยวายสั่งการไปอย่างไม่ประสา เขาหันมามองลีออนแวบหนึ่งแล้วหันกลับไปสั่งการต่อ ก่อนจะมีเสียงของชายวัยกลางคนเหน็บแนมมาว่า
“ขอต้อนรับสู่โลกแห่งความเป็นจริง สหายที่รัก”
ผู้บัญชาการอ่อนประสบการณ์ชะงักแล้วหันมามองอย่างขัดเคืองแล้วหันไปทำงานของตนต่อราวกับไม่มีใครอยู่กับตนตั้งแต่แรก
ไม่นานนัก ภาพที่ส่งมาก็แสดงการตั้งแนวยิงของทหารอีกครั้ง แต่คราวนี้สถานที่เป็นถนนใหญ่เปิดโล่ง ซึ่งสตอร์มวอร์ริเออร์สามารถวิ่งได้อย่างสบาย คำสั่งโง่ๆ ถูกส่งออกไปอีกครั้ง เหล่านักรบผู้หาญกล้าวิ่งไล่ตามเหยื่อล่อไป แต่ครั้งนี้มีหุ่นยนต์รบสตอร์มวอร์ริเออร์ตามไปด้วยถึง 2 หน่วย นายทหารหนุ่มหัวเราะหึๆ อย่างได้ใจ
...เจ้าหนูเอ้ย ยานเกราะขนาดใหญ่เนี่ยแหละตัวถ่วงสำหรับสนามรบในเมืองเลย เบื้องบนก็อีก การรบในเขตเมืองควรจะเน้นอาวุธหนักพิสัยกลางถึงไกลมากกว่ายานเกราะจู่โจม แต่นี่อะไร ส่งแลนซ์ออฟเฮเว่นมาให้แค่ 4 หน่วยกับปืนใหญ่อัตตาจรไม่ถึง 20 หน่วย... ปัญญาอ่อนเอ้ย... ลีออนด่าในใจอย่างขัดเคืองขณะมองดูเบลดัมส่งยานเกราะหนักชั้นยอดเข้าสู่กำแพงเหล็กอันแข็งแกร่ง แม้ดูภายนอกจากขึ้นสนิมจนกรอบก็ตาม แต่มันก็พิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งมาแล้วในการบดขยี้หน่วยจู่โจมของเขาในเวลาอันสั้น
โอเคอร์บินหลบฉวัดเฉวียนสุดชีวิตจากการระดมยิงสวนมาราวห่าฝนของผู้บุกรุก โดยเฉพาะจากปืนไรเฟิลพลาสมายักษ์ของหุ่นยนต์รบตัวเท่าตึก เขาบินหลบไปมาจนกระทั่งถึงได้ระยะ จึงเริ่มร่ายเวททันที เกิดเป็นวงเวทติดตามเท้าของเขาไป จนกระทั่งจบบท ม่านหมอกก็ระเบิดออกมาขาวมัวบังตาฝ่ายผู้บุกรุกจนหมด ส่วนพลบินโทรลก็ดับเครื่องไอพ่นลงวิ่งหายเข้าไปในฉากหมอก
ทันใดนั้นเสียงแผดระเบิดลั่นกระสุนของปืนสองกระบอกก็ดังขึ้นกังวานไปไกลตามมาด้วยเสียงเหมือนกระจกแตกก่อนตามด้วยเสียงระเบิดที่ไม่ดังมากนัก แล้วตามมาด้วยเสียงของปืนใหญ่ขนาดเล็กกระหน่ำรัว เศษซากบางอย่างหล่นลงมากระทบไหล่ของทหารนายหนึ่งจึงเกิดเอะใจขึ้น มันพอดีกับที่หมอกได้จางลง แหงนมองขึ้นไปก็เห็นระบบการมองเห็นเดียวของสตอร์มวอร์ริเออร์ถูกทำลายไปแล้ว ใบหน้าของมันมีควันสีเทาลอยกรุ่นออกมา และทันใดนั้นเองก็มีเสียงของวัตถุเพรียวลมชนิดหนึ่งพุ่งมาด้วยการเผาไหม้ของเชื่อเพลิง
มิสไซล์ขนาดกลาง 2 นัดพุ่งออกมาจากส่วนลึกของเมือง ตรงเข้าหาหุ่นยนต์รบชั้นยอดด้วยความเร็วเหนือเสียง เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว หุ่นยนต์รบทั้งสองหน่วยถูกระเบิดเข้าที่สีข้างหมุนคว้างก่อนที่จะตัวขาดครึ่ง เซล้มลงปิดถนน ปิดทางถอนกำลังของฝ่ายบุกจนเกือบมิดและชิ้นส่วนบางชิ้นก็ร่วงลงมาทับทหารฝ่ายเดียวกันตายไปหลายศพ และเนื่องจากพื้นที่เป็นถนนสายใหญ่ รถถังแบบล้อสายพานของฝ่ายเจ้าบ้านก็แห่กันออกมาจากทางแยกเบื้องหน้า
พวกเขาต่างยกอาวุธในมือขึ้นเล็งอย่างเร็วแต่ด้านยานเกราะสัญชาติโวลกันนั้นเร็วกว่า ปืนใหญ่ขนาด 203 มิลลิเมตรของพวกมันส่งกระสุนเจาะเกราะระเบิดเข้าใส่รถถังสเปียร์เฮดทุกคันระเบิดป้อมลอยละลิ่วก่อนตามด้วยปืนกลร่วมแกนและแท่นปืนอัตโนมัติบนป้อมปืนหลักกระหน่ำยิงกดดันทหารราบ ก่อนที่จะเกิดเสียงหวีดแหลมของวัตถุเพรียวลมตกลงจากที่สูงอย่างเร็ว
กระสุนปืนใหญ่หนักขนาดเล็กจำนวนหลายสิบลูกลอยโค้งตกลงแบบปูพรมใส่กองกำลังของข้าศึกที่ตั้งตัวไม่ติดเป็นระเบิดเพลิง เกิดเป็นกองไฟสีดำอมม่วงโหมลุกไหม้อย่างรุนแรง กองกำลังฝ่ายตั้งรับรีบถอนกำลังออกไปอย่างเร่งรีบโดยไม่รอดูผล แต่อย่างไรก็ไม่มีการระดมยิงปูพรมจากหน่วยปืนใหญ่ของผู้มาเยือนแม้แต่นัดเดียว
“ท่านปรมาจารย์นักยุทธศาสตร์ที่โรงเรียนสอนเรื่องนี้กับท่านรึเปล่า”
ลีออนเอ่ยถามอย่างสัพยอก สายตามองผ่านหมวกรบออกไปอย่างมีชัย ในขณะที่เบลดัมทำเป็นไม่สนใจแต่เขากลับขบกัดฟันกรอดๆ อย่างอึดอัดใจและโกรธแค้น แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า กองจู่โจมสองกองแล้วที่ถูกทำลายย่อยยับลงด้วยกำลังของข้าศึกที่น้อยกว่า จนกระทั่งเขาเกิดขาดสติขึ้น ตะโกนสั่งอย่างบ้าคลั่งว่า
“ทุกหน่วยบุกไปข้างหน้า ย้ำ บุกไปข้างหน้าพร้อมๆ กันทั้งหมดเลย”
นายทหารโนเบิลอาวุโสถึงกับตกเหลือก แล้วเขาก็ตบเท้ากับพื้นสามครั้ง ทหารราบสามคนโผล่พรวดเข้ามาในห้อง สองคนตรงเข้าจับกุมผู้บัญชาการสิ้นคิดนอนลงกับพื้น ในขณะที่คนที่สามรุดเข้าไปยังลีออนแล้วปลดพันธนาการอย่างว่องไว
“หยุด!”
คำสั่งแรกของนายทหารผู้มากประสบการณ์ดังเกือบจะเป็นตะคอกส่งผ่านอุปกรณ์สื่อสารไปยังหน่วยรบทุกหน่วย พลันกองกำลังทั้งหมดก็หยุดชะงักลง
“ไม่ เจ้าขี้ขลาด ไม่”
พันตรีเบลดัมร้องแหกปากอย่างคนเสียสติ
“ไม่ เจ้านั่นแหละเงียบไปเลย เจ้าเด็กอมมือเอ้ย...”
ลีออนตะวาดกลับ แล้วหันกลับมาทำตามหน้าที่ที่ควรเป็นของเขาแต่แรก
“เคลื่อนที่ต่อไป ช้าๆ พันเอกลีออน คาลิสตัน ถึงทุกหน่วย ขณะนี้ข้าได้ยึดอำนาจจาก พันตรีเบลดัม เฮสเกียร์ แล้ว ข้าไม่อาจทนดูเขาส่งพวกท่านไปตายอย่างสูญเปล่าได้อีกต่อไป ต่อไปนี้ข้าจะสั่งการเอง”
โอเคอร์กำลังบินไปล่อเหยื่อเป็นเที่ยวที่สาม เขาโฉบเข้าไปกระหน่ำยิงปืนกลประมาณ 2-3 ชุดแล้วหันหลับหนีออกมาสุดชีวิต แต่ทว่าเมื่อเหลียวหลังกลับไปมองกลับมีแต่กระสุนปืนที่ยิงสวนมา แต่ไม่มีทีท่าว่ากองกำลังของข้าศึกจะไล่ตามมา เขาจึงพุ่งเข้าไปทำแบบเดิมอีกครั้ง แต่ผลออกมาก็เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เขาเห็นนั่น คือ กองกำลังโนเบิลกำลังเคลื่อนที่ไปจัดทัพไป โดยแบ่งกองกำลังส่วนหนึ่งไปเป็นกองระวังหลัง โดยมีหน่วยปืนใหญ่ขั้นอยู่ตรงกลาง จากนั้นจึงกลายมาเป็นกระบวนทัพรูปวงกลม แถมยังเป็นการแบ่งกำลังออกเป็น 5 ส่วน ทิ้งระยะห่างกันไม่มากนัก แม้จะดูเหมือนอัดกันแน่น แต่จริงๆ แล้วมีการเว้นช่วงห่างกันพอสมควรโดยมีอาคารกั้นอยู่หลายหลังไป
“เวรตะไลแล้ว แมดอาร์มถึงศูนย์บัญชาการ ตอบด้วย แมดอาร์มถึงศูนย์บัญชาการ”
น้ำเสียงของเขาฟังดูร้อนรนจนน่าตกใจ
“ศูนย์บัญชาการ มีอะไรแมดอาร์ม”
ผู้ตอบคือนายทหารครึ่งแวมไพร์สาว ดูใบหน้าของพันเอกสมิงกำลังมีสุขกับชัยชนะที่น่าจะได้มาอย่างง่ายดาย แต่ทว่ารอยยิ้มก็ต้องหุบลงเปลี่ยนมาเป็นหน้าเคร่งดังเดิม
“เราเจอปัญหาใหญ่แล้ว ยุทธวิธีตีหัวเข้าบ้านใช้ไม่ได้ผลแล้ว”
“เราเห็นแล้ว แมดอาร์ม ถอยออกมา”
นายทหารสมิงเป็นผู้ตอบพลางเหลือบขึ้นสบตาร้อยโทหญิงครึ่งแวมไพร์ตรงหน้าเป็นเชิงส่งสัญญาณ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาสั่งการต่อ ในขณะที่นายทหารหญิงยกเครื่องมือสื่อสารอีกเครื่องขึ้นสวมแล้วส่งคำขอบางอย่างออกไป
“หมายความว่าไงพวกมันไม่หลงกล แถมยังจัดทัพใหม่อีก”
เฟลเซียร้องถามด้วยความฉงนในขณะที่กำลังเข้าไปยังอาคารอันเป็นจุดซุ่มโจมตีจุดหนึ่ง แล้วจึงชะงักลงขณะฟังคำตอบจากพันเอกสมิง
“จากรูปการแล้ว ท่าทางก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการของพวกแมร่งจะมีการชิงอำนาจกัน แต่ตอนนี้ดูท่าว่าคนเก่งของเราจะชิงอำนาจกลับมาได้แล้ว ตอนนี้ก็ปรับเปลี่ยนยุทธวิธีไปเป็นการโจมตีฉาบฉวย ระวังตัวด้วย คราวนี้แหละของจริง”
“รับทราบค่ะ”
ตอบเสร็จซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่ก็เริ่มถ่ายทอดคำสั่งในทันที ในขณะที่อีกสองคนแยกไปคนละทาง
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ