Epidemia: Epic World on Fire
13) Full scale assault [Part 3]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความยูคิเอะและโอเคอร์สวนทางกันไปทันทีตรงเข้าหาผู้ล่าของแต่ละฝ่าย มือกลของโอเคอร์เปลี่ยนเป็นปืนกลกล้องหมุนอีกครั้งขณะบินผ่านช่วงตึกเขาก็ผายมือออกสาดกระสุนออกไปทางข้าง คราวนี้มีเสียงร้องตอบกลับออกมาด้วย ในขณะเดียวกันยูคิเอะก็เปลี่ยนเอาปืนกลหนักขึ้นมากระชับไว้พลางกระโดดไต่ผนังอาคารทั้งสองด้านขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว อาคารฝั่งหนึ่งเป็นเพียงอาคาร 4 ชั้น เมื่อขึ้นถึงดาดฟ้าเธอก็เริ่มออกวิ่งพลางกดปุ่มยิงปืนกลหนักไปพลางด้วยอย่างไร้เป้าหมาย เป็นการยิงข่มมากกว่าหวังฆ่า
“ปืนนี่หนักจังเลยลุง มีกระบอกเล็กกว่านี้รึเปล่า”
เอลฟ์สาวหน้าอกแบนปืนโตบ่นขึ้นพลางขยับลดปืนไรเฟิลต่อต้านเป้าวัตถุขนาด 37 มิลลิเมตร ลงจากบ่าเพื่อผ่อนคลาย
“เล็กกว่านี้ก็ไม่ต้องยิงเลย เพราะนอกจากปืนเลเซอร์ของพวกเธอแล้วก็มีแต่โอเมก้าของโอเคอร์โนเนี่ยแหละที่น้ำหนักเบาที่สุดที่พอจะเจาะเกราะนั่นได้ ทนๆ เอาหน่อย ลีน่า”
ก็อบลินวัยกลางคนแย้งพลางหรี่ตาเพ่งมองกวาดไปตรงหน้า
“ฉันชื่อ อีรีน่า อีรีน่า ดีโรซ่า หัดจำบ้างสิลุง ทีเวทมนตร์จำได้เป็นร้อยๆ บท”
ฮอล์กว่าอย่างมีอารมณ์นิดๆ แต่ทว่าลุงก็อบลินกลับไม่ตอบเอาแต่เพ่งมองอย่างใจจดใจจ่อ ปากก็พึมพำขึ้นมาว่า
“ยัยนี่ร้ายไม่ใช่เล่น สร้างม่านเวทมนตร์ขึ้นมาหุ้มร่างกายให้เราจับไม่ได้”
ว่าแล้วเขาก็ทำเสียงจิ๊จ๊ะออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มตัวด้วยความสูงไม่ถึงครึ่งของอีรีน่าด้วยซ้ำ แล้วเริ่มร่ายมนต์ แต่ทันใดนั้นเองผนังของตึกที่เขาเพ่งมองอยู่ก็แตกระเบิดออกอย่างต่อเนื่องพร้อมกับหัวกระสุนขนาดเกือบ 2 เซนติเมตร พุ่งออกมาจนเกิดเป็นรูใหญ่ขนาดคนตัวเตี้ยๆ เดินเข้าออกโดยหัวเกือบชน เป็นยูคิเอะนั่นเอง ปืนกลหนักคู่อยู่บนขาหยั่งแบบ 4 ขาที่ตั้งอย่างมั่นคงอยู่บนโต๊ะบิลเลียดอีกที เสียงระเบิดกระสุนดังต่อเนื่องสนั่นหวั่นไหว ผลที่ตามมาคือ ลุงก็อบลินที่กำลังร่ายมนต์ร่างพรุ่นแหลกเหลว แขนขาดทั้งสองข้าง หัวเกือบขาดไป ตาข้างหนึ่งถูกระเบิดจนแหว่ง ตับ ไต ไส้ พุง และเลือดสาดกระเซ็นดูน่าสยดสยอง ทำเอาฮอล์กแทบจะขวัญบิน
อยากจะร้องแต่ก็ร้องไม่ออก ภาพที่เห็นเป็นภาพที่เกินบรรยาย แถมยังได้เห็นสดๆ และอยู่ใกล้กันไม่เกิน 100 เมตร ด้วยซ้ำ ฮอล์กแข็งใจยกปืนขึ้นเล็งไปยังจุดที่ยูคิเอะอยู่ แต่ทว่าเป้าหมายก็หันมาอย่างรวดเร็วก่อนจะกราดอย่างบ้าคลั่ง ทำให้อีรีน่าต้องรีบล้มตัวลงนอนหงายก่อนจะพลิกตัวคว่ำเพื่อหลบ แล้วค่อยๆ คลานหนี เมื่อเหลียวหลังก็ต้องตกใจอย่างแรง เพราะศัตรูของเธอเองก็ลดมุมปืนตามยิงถล่มใส่ดาดฟ้าตึกตรงหน้าอย่างไม่ลดละโดยการเซาะเอาเหลี่ยมมุมตึกไล่ไปจนกว่าจะถึงตัวเป้าหมายอย่างไม่กลัวกระสุนหมด จนกระทั่งการระดมยิงหยุดชะงักไปอย่างเป็นปริศนา แต่อย่างไรก็ตามอีรีน่าเป้าลมพลูออกจากปากอย่างโล่งใจ ว่าแล้วก็ฉวยโอกาสวิ่งหนีลงบันไดดาดฟ้าไป พลางก็เปิดลูกเลื่อนอันมโหฬาร (เมื่อเทียบกับลูกเลื่อนในปืนทั่วไป) บรรจุกระสุนไปด้วย
“อีรีน่าถึงทานาทรอส ทางด้านนายเป็นยังไงบ้าง”
ระหว่างกำลังถอยไปตั้งหลักจีแอลสาวอกแบนก็ส่งคำถามผ่านเครื่องมือสื่อสารไปยังผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูด้วยความเป็นห่วง
“ได้เวลาพอดีเลย ว่าจะติดต่อไปเหมือนกัน เหมือนเธอแปรพักตร์ไปอยู่กับพวกสวะเลย เพียงแต่เกราะมันแกร่งมากจนอาวุธของเราทำอะไรมันไม่ได้ แล้วมันก็มีพลังเวทเป็นของมันเอง ตอนนี้พวกเรากำลังแย่ ขอแรงมาจัดการให้ที”
ฟังจากน้ำเสียงทำให้อีรีน่าตกใจไม่น้อย เป็นน้ำเสียงแห่งความร้อนรน เพื่อนผู้เยือกเย็นของเธอกำลังร้อนรน
“ทราบแล้ว จะไปเดี๋ยวนี้”
ขานตอบแล้วก็ผลักลูกเลื่อนกลับแล้วปิดลง เปลี่ยนจากถือแบบพร้อมยิงมาคล้องสายสะพายแล้วเปลี่ยนเอาปืนพกขึ้นมาถือแทน แล้ววิ่งไปอย่างเร็วขึ้นอีก วิ่งลงบันไดอาคารสูง 6 ชั้นตามเส้นทางที่ดูเหมือนจะกำหนดเอาไว้อย่างลวกๆ ตามทางมีเครื่องหมายบอกตำแหน่งของกับดักที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด เป็นการทำขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่กล้าไปเร็ว
“ให้ฉันช่วยไหม ถ้านั่นเป็นชุดเกราะที่มีแผงวงจรฉันทำให้มันเละได้ในพริบตานะ”
มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา
“กว่านายจะเข้าประชิดมันได้นายก็โดนยิงพรุนไปแล้ววิกเตอร์ ถึงนายจะทำได้อย่างปากว่าก็ไม่ต้องมา เพราะฉันแล้วก็ดราก้อนไนท์คนอื่นๆ ไม่อยากให้พวกสวะรวมตัวกันติด ทำหน้าที่ของนายต่อไปดีกว่า และอย่าลืมว่าชุดรบของเราตอนนี้อยู่กับวาคานะทั้งหมด”
เสียงของทานาทรอสตอบกลับอย่างฉุนนิดๆ ในขณะเดียวกันก็มีเสียงกระสุนพุ่งเฉียดไปหลายร้อยนัด เสียงของหัวกระสุนพุ่งเจาะผนัง และเสียงปืนที่รัวหูดับตับไหม้ราวกับปืนแบบเดียวกันหลายๆ กระบอกเหนี่ยวไกยิงขึ้นเกือบจะพร้อมๆ กัน แทรกเข้ามาระหว่างที่เขาพูดด้วย แสดงให้เห็นว่าอำนาจการยิงของอีกฝ่ายสูงกว่าเยอะ และยังแสดงถึงสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ด้วย
อีรีน่าวิ่งลงมาจนถึงชั้นล่างสุด ประตูเลื่อน ซึ่งบัดนี้ไม่เลื่อนอีกต่อไปแล้วเปิดอ้าอยู่เบื้องหน้า แสงสีแสดตอนบ่ายเย็นก็หรี่ลงทุกทีจนเริ่มมืด และค่อนข้างจะมืดเร็วด้วย อากาศก็เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ แต่ในสถานการณ์แบบนี้คงหนาวไม่ลง ก้าวเท้าวิ่งออกไปพ้นประตูหน้าก็ลื่นหงายหลังล้มลงด้วยอะไรบางอย่าง มันพอดีกับเสียงปืนที่แผดดังลั่น หัวกระสุนพุ่งผ่านไปตรงที่เธอลื่นล้มพอดี
จีแอลสาวอกแบนหันไปมองที่ต้นเสียงก็ไม่พบอะไร แต่รู้แน่ๆ ว่าขณะนี้ตนกำลังถูกจ้องเล่นงานอยู่ จึงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหลบเข้าไปในอาคารในทันที ก่อนจะร้องบอกกับทานาทรอสอย่างร้อนรนไม่แพ้กันไปว่า
“ทานาทรอส ฉันไปหาเธอไม่ได้แล้ว พวกสวะดักยิงฉันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้”
“แมร่งเอ้ย...”
ทานาทรอสสบถเป็นภาษาของเจ้าถิ่นพลางวิ่งหนีเครื่องบินโจมตีมีชีวิต ซึ่งก็คือซูเปอร์โซลเจอร์โทรลสวมชุดเกราะเวทมนตร์บินได้ โดยมีอาวุธ คือ ปืนกลกล้องหมุนที่ติดอยู่กับแขน 2 กระบอก กำลังหมุนควงส่งกระสุนเข้าหากลไกแทงเข็ม ระเบิดกระสุนถี่ยิบ เสียงดังระงมน่าขนลุก เขาเหลียวหลังไปมองศัตรูอีกครั้ง ก่อนจะคว้างระเบิดควันดึงสลักแล้วปาลงพื้นหลายลูกด้วยกันเพื่อพรางตัว และก็ได้ผล การระดมยิงหยุดไป แล้วเขาก็ตอบอีรีน่าว่า
“ฉันจะล่อมันไปหาเธอ ตอนนี้เหลือกระสุนอีกกี่นัด”
“โอเมก้าเหลือ 8 นัด อยู่ในปืน 3 นัดกับในเป้อีก 5 นัด แล้วก็ เคพีเอ็ม 72 นัด ในปืน 18 นัด กับสำรอง 3 ซอง”
เสียงสั่นๆ ของอีรีน่าตอบกลับมา มันทำให้เขารู้ทันทีว่าตอนนี้เพื่อนหญิงของเขารู้สึกอย่างไร แต่เมื่อได้ฟังคำตอบเขาก็ยังพอยิ้มออกมาได้บ้าง แล้วตอบกลับไปว่า
“ดี ดีแล้ว เหลือเฟือ อยู่ในนั้นไปก่อนนะ อย่าอยู่เฉย หาทางตอบโต้ทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันจะหาทางล่อมันไปหาเธอให้ แล้วก็เหลือกระสุนโอเมก้าเอาไว้อย่างน้อย 4 นัดนะ เข้าใจไหม”
คู่สนทนาฝ่ายหญิงขานตอบแล้วเขาก็หันไปสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าต่อ ควันจากระเบิดควันยังฟุ้งเป็นฉากบังตาอยู่ ...ทำไมมันถึงหยุดไปเฉยๆ อย่างน้อยก็น่าจะยิงกราดมั่วๆ เข้ามาในฉากควันบ้าง แต่นี่กลับไม่มี... ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในหัวของทานาทรอส เขาสุดจะคาดเดาจริงๆ หรือไม่ก็ลืมนึกอะไรไปบางอย่าง ซึ่งก็จริง เพราะเมื่อม่านควันเริ่มจางภาพลางๆ ที่ค่อยๆ ปรากฏออกมาก็ทำให้เขานึกขึ้นมาได้ทันที
โอเคอร์ ติดเครื่องยนต์ไอพ่นของชุดเกราะเวทมนตร์ลอยตัวนิ่งอยู่กับที่ในขณะที่ปืนทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นมือกลชูขึ้นเหนือหัวแบบไม่ได้เหยียดตรง เสียงท่องบทอะไรบางอย่างดังขึ้นเรื่อยๆ เป็นภาษาโวลกัน จับใจความได้ว่า
“...ขอองค์สุริยะเทพทรงบันดาลพลังให้แก่ข้า กำเนิดดวงอภิมหาอัคคี ขอองค์เทพแห่งธรรมชาติพลังให้แก่ข้า ดวงอภิมหาอัคคีจงกำเนิดใหม่... กำเนิดดวงสุริยะ บีบอัด... ร้อนแรงเหนือพายุเพลิง ทรงอำนาจเหนือภูเขาไฟ แผดเผาได้ทุกสิ่ง... เจ้าหญ้าแห้งจงยอมจำนน จงรับชะตากรรม...”
ทานาทรอสตาลุกวาวเป็นไข่ห่าน เมื่อฉากหมอกจางลงจนมองเห็นชัด เขาไม่รู้ว่าเหนือหัวขึ้นไปมีอะไร ...แต่สิ่งนั้นฆ่าข้าได้... เขาคิด ว่าแล้วเขาก็กลับหลังหันวิ่งเตลิดไปยังหน้าต่างที่ใกล้ที่สุด
“ระเบิดสุริยะทมิฬ!!”
ชื่อเวทมนตร์ดังตามหลังมามันทำให้เขายิ่งตื่นเต้น อะดรีนาลินฉีดพล่านจนเนื้อเต้น หัวใจเต้นรัวและแรง ขาทั้งสองข้างออกแรงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต เป้าหมายอยู่ที่หน้าต่างขนาดพอให้ตัวคนลอดได้สบายๆ 1 คน ปืนในมือกราดยิงไปข้างหน้าเพื่อให้วัสดุสังเคราะห์ใสคล้ายพลาสติกร้าวจนกระสุนหมดซอง ก่อนจะกระโดดพุ่งตัวออกไป มันพอดีกับจังหวะที่มีรัศมีความร้อนดังเปลวเพลิงมาล้อมอยู่ใกล้ๆ พลันแล้วอาคารก็ลุกไหม้ขึ้นทั้งหลัง ในขณะที่ลูกบอลเพลิงสีดำ ซึ่งแม้จะมีขนาดเพียงลูกตะกร้อแต่ผลของมันทำให้ส่วนที่สัมผัสก่อนละลายลงก่อนราวกับถูกสาดด้วยลาวา และละลายต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ก่อนจะมีกรอบเวทรูปสี่เหลี่ยมมาล้อมอาคารที่กำลังละลายเอาไว้
ทานาทรอสพุ่งลงที่กองขยะ ซึ่งประกอบด้วยถุงดำกองรวมกันเป็นเบาะช่วยไม่ให้เขากระแทกกับพื้นโดยตรง สายตาลุกวาวทอดมองไปยังอาคารที่ถูกหลอมละลายด้วยความรู้สึกสยดสยอง แต่ขณะนี้เขาก็ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่นนอกจากมองหาผู้ที่ดูเหมือนนักรบร่างใหญ่ที่มีพละกำลังมหาศาลกับอาวุธทรงอานุภาพ แต่ทว่ากลับกลายเป็นจอมเวทที่มีฝีมือร้ายกาจคนหนึ่งทีเดียว หูก็พยายามฟังเสียงเครื่องยนต์ไอพ่นขนาดจิ๋วที่มักจะส่งเสียงครางเบาๆ ลอยมาให้พอได้ยิน แต่กลับไม่มี ...สงสัยมันจะไม่บินแล้ว ท่าทางมันจะเป็นทั้งจอมเวททั้งมือปืนเลย ดูจากรูปร่างท่าทางจะเป็นโทรล รบในเมืองแบบนี้อย่างน้อยเราก็ได้เปรียบด้านรูปร่างถ้ารบนอกแบบ... ภายในหัวสมองก็คิดวิเคราะห์สถานการณ์และคู่ต่อสู้ไปด้วยอย่างรอบคอบ อาการตื่นเต้นอย่างหนึ่งลดลงไป แต่ความตื่นเต้นอีกอย่างหนึ่งแทรกเข้ามาแทน ...แต่ด้านกลเม็ดการซุ่มยิงเราคงจะเสียเปรียบ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นซูเปอร์โซลเจอร์เราก็ยิ่งเสียเปรียบ...
แม้ความคิดจะเป็นแบบนั้นแต่ทานาทรอสกลับปลดเอาไรเฟิลซุ่มยิงสวมปลอกเก็บเสียงลงจากไหล่ แล้วยกไรเฟิลจู่โจมขึ้นสะพายแทน พยายามนึกย้อนอดีตที่เกิดขึ้นได้ไม่นาน ภาพของกลุ่มกบฏดราก้อนไนท์อมรมการเป็นพลซุ่มยิงแบบตัวต่อตัว แล้วเขาก็กดเครื่องมือสื่อสารแจ้งเรื่องไปยังอีรีน่าทันที
“อีรีน่า ท่าทางฉันคงไปไม่ได้แล้ว แล้วเธอก็ไม่ต้องยิงไอ่พลบินนั่นแล้วด้วย แต่ว่าจากพลบินสุดเด่นตอนนี้มันกลายเป็นพลแม่นปืนสุดเนียนไปแล้ว ขืนฉันเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังโดนยิงหัวทะลุแน่ ฉันจะจัดการกับมันก่อนแล้วค่อยไปช่วยเธอ แต่ว่าเผื่อไว้หน่อยก็ดี เผื่อว่าพลบินนั่นมันกลับมาบินอีกจะได้มีอะไรไว้ยิงมัน”
เงียบไปครู่หนึ่งก็มีเสียงตอบกลับมาสั่นเล็กน้อยว่า
“ทราบแล้ว จัดการเร็วๆ หน่อยนะถ้าเป็นไปได้ เพราะถ้าเจ้านี่รู้ว่าฉันมีกระสุนที่พอจะตอบโต้ได้เหลือไม่มาก มันต้องเข้าประชิดตัวฉันแน่ แล้วที่นั่นเกิดอะไรขึ้น ฉันได้ยินเสียงเหมือนไฟกองใหญ่กำลังไหม้”
“ฉันกำลังจะเตือนเรื่องนี้กับเธอพอดีเลย เธอเข้าใจถูกแล้ว เมื่อกี้ฉันเกือบถูกเผาตายไปแล้วพร้อมกับอาคารที่ฉันใช้เป็นที่หลบ พลบินนั่นไม่ใช่แค่นักรบตัวใหญ่แต่มันเป็นจอมเวทด้วย”
ทานาทรอสกรอกคำพูดลงไปพลางวิ่งเข้าไปหลบในอาคารอีกหลังโดยเข้าทางประตูหลัง ซึ่งอยู่ห่างจากเขาเพียง 2 เมตร เมื่อจบคำพูดอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเกือบเป็นตะคอกอย่างตกอกตกใจ
“จอมเวทเหรอ ถ้า...”
เสียงของฝ่ายหญิงขาดไปแค่นั้น เป็นการตัดการติดต่ออย่างกะทันหันพร้อมกับเสียงปืนที่ที่แผดระเบิดลอยแว่วมาให้ได้ยินนัดหนึ่งแล้วเงียบไป ทานาทรอสสบถอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเดินหาที่ซุ่มอย่างระทึกขวัญกับการทำสงครามพลซุ่มยิงในสนามรบจริงครั้งแรกในชีวิต แม้จะเตรียมใจมาบ้างแล้วแต่ทว่าอีกฝ่ายมีความชำนาญมากกว่า ซ้ำยังเป็นจอมเวท แถมยังรบในดินแดนของตน ผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูถึงกับหน้าบูดหน้าเบี้ยว พยายามคิดอย่างเต็มที่ว่าตนมีอะไรที่ได้เปรียบบ้างนอกจากรูปร่างเล็กกว่าในสถานการณ์ที่ตนเหมือนจะเสียเปรียบทุกประตู ...อย่าว่าแต่ซูเปอร์โซลเจอร์เลย แค่พลซุ่มยิงธรรมดาก็ไม่รู้ว่าจะเทียบชั้นได้รึเปล่า... เขานึกด้วยความหดหู่ใจเล็กน้อยพร้อมกับความกดดันที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย
ไรเฟิลซุ่มยิงในมือยกขึ้นกวาดไปตามช่องหน้าต่างเพื่อพยายามหาจุดสะดุดตา ดังเช่นแสงสะท้อนแวววับจากศูนย์กล้อง แต่ทว่าคงเป็นไปได้ยากสำหรับสมรภูมิที่มีแสงน้อยเช่นนี้ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังพอมีข้อได้เปรียบอยู่บ้างเมื่อเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังย่ำเข้ามาในลักษณะวิ่งทางด้านที่กองกำลังผู้ประเสริฐเข้าโจมตี และมันเป็นเสียงที่เขาคุ้นเคยไม่น้อย ...ไม่ผิดแน่ ต้องเป็นเสียงฝีเท้าของทหารราบโนเบิลแน่นอน ถ้ามันยิงปืน เราก็จะเห็นประกายไฟจากปืนมัน... ขอให้เป็นแบบนั้น... จิตใจที่กำลังจมลงสู่ความหดหู่อย่างช้าๆ เริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง แล้วเขาก็หันไปทางด้านที่คาดว่าทหารราบของฝ่ายตนกำลังเคลื่อนเข้ามา ภาพที่เห็นผ่านระบบมองกลางคืนของศูนย์กล้องไรเฟิลซุ่มยิงในมือเป็นทหารราบฝ่ายตนจริงๆ แต่ทว่าไม่ได้มาในลักษณะจะเข้าโจมตีอะไรหรือที่ใด แต่เหมือนกับกำลังหนีอะไรอยู่
ทันใดนั้นเสียงปืนกระบอกหนึ่งก็แผดระเบิดอย่างต่อเนื่องเป็นชุดละ 3 นัด เว้นระยะเวลาห่างกันประมาณ 1 วินาทีเศษ จากนั้นก็เว้นไปอีกราวๆ 4 วินาทีก่อนจะมีการยิงอีกชุด เหล่าทหารราบที่กำลังวิ่งเข้ามาพากันล้มระเนระนาดพร้อมกับเลือดที่ระเบิดออกมาจากศีรษะ ทานาทรอสรีบตวัดปืนหันไปมองยังต้นเสียงพอดี แต่ทว่าก็ไม่มีประกายไฟแลบออกมาอย่างที่หวังเอาไว้เลย จิตใจของเขาเกิดความหงุดหงิดขึ้นมาทันที แม้ความคิดที่จะกัดขบฟันด้วยความเครียดก็ต้องหยุดชะงักลงเพราะความกังวลว่าข้าศึกจะได้ยินเข้า ...ไม่เคยกดดันขนาดนี้มาก่อนเลย... เขาบอกกับตัวเองพลางในหัวก็คิดคำนวณและคาดคะเนว่าต้นเสียงน่าจะอยู่ตรงไหน
ว่าแล้วเขาก็ติดสินใจลั่นกระสุนออกไปอย่างต่อเนื่อง 4 นัดโดยคาดคะเนเอา แม้คุณภาพปลอกเก็บเสียงจะสู้ของปืนประจำตัวไม่ได้ แต่ก็นับว่าเงียบมากทีเดียว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ติดสินใจพลาดไปเสียแล้ว เสียงปืนไรเฟิลต่อต้านเป้าวัตถุจากฝั่งตรงข้ามแผดระเบิดดังลั่นพร้อมกับผนังตรงหน้าแตกกระจายออกมาเป็นรูขนาดกระบอกไฟฉาย แล้วลำคอด้านข้างและบ่าขวาของทานาทรอสก็รู้สึกเสียววูบขึ้นมาพร้อมกับการรับรู้ถึงคลื่นกระแทกที่มาพร้อมกับหัวกระสุน ส่งร่างของเขาลงไปนอนอย่างไม่เป็นท่าเพราะความตกใจ แล้วในจิตใจก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ...อย่าลืมเวทมนตร์บทนี้ ถ้านายถูกพลซุ่มยิงฝั่งตรงข้ามยิงแบบทะลุกำแพงให้ล้มลงแล้วร่ายมนตร์บทนี้มันจะช่วยพรางสัญญาณชีวิตของนายจากพลซุ่มยิงของข้าศึกได้... คำพูดของชูเน่ดังก้องอยู่ในหัวของเขา ว่าแล้วเขาก็เริ่มท่องมนตร์ในใจโดยอาศัยพลังเวทที่ได้รับถ่ายทอดมาชั่วคราว
“อีรีน่า ได้ยินแล้วตอบด้วย”
หลังจากท่องมนตร์เสร็จเขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงพลางก็ติดต่อไปยังจีแอลสาวอกแบนด้วยเสียงกระซิบ ก่อนจะเริ่มออกย่องหนีคู่ต่อสู้ของเขาไปอย่างเงียบๆ
“ได้ยินแล้ว เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสียงค่อยแบบนั้น”
เสียงใสๆ ของฝ่ายหญิงดังตอบมาทำเอาผู้เชี่ยวชาญกลยุทธ์ศัตรูใจหล่นวูบ กวาดปืนในมือไปทางคู่ต่อสู้ของเขาอย่างระแวงพลางก็เป่าปากเป็นเสียงชู่เพื่อให้อีกฝ่ายลดเสียงลงก่อนจะเริ่มบอกข้อมูลที่ตนเพิ่งได้รับมาหมาดๆ
“ฟังนะ ไรเฟิลซุ่มยิงที่พวกซูเปอร์โซลเจอร์ใช้ไม่ใช่ไรเฟิลซุ่มยิงที่ใช้กับทหารราบ แต่เป็นแบบที่ใช้กับยานเกราะ เพราะฉันเห็นทหารฝ่ายเราถูกพลบินนั่นระเบิดหัวเป็นรูเวอร์ มันเป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายนะ ข่าวดีก็คือ ในซองกระสุน 1 ซองจะมีกระสุนทั้งหมดเพียง 3 นัด แต่ข่าวร้ายก็คือ มันแรงมาก ขนาดกำแพงอย่างน้อย 2 ชั้นยังกันมันไม่อยู่ เมื่อกี้ฉันเกือบคอขาดเพราะโดนมันยิงสวน ดีว่ามองกันไม่เห็น ฉันเลยร่ายเวทอำพรางสัญญาณชีวิต ตอนนี้ฉันกำลังย่องหนีอยู่ แล้วก็อีกอย่าง อย่ายิงส่งเดช เพราะมันจะจับทางแล้วยิงสวนมาได้”
“ทราบแล้ว เลิกกัน”
การติดต่อยุติไปเพียงแค่นั้น เสียงไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านเป้าวัตถุแผดระเบิดดังไล่หลังมาอีก 1 นัดทำเอาทานาทรอสถึงกับสะดุ้งโหยง แต่เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป้าหมายไม่ใช่ตน เขาจึงเดินต่อไปอย่างโล่งใจ ครู่หนึ่งเสียงปืนพลาสมาต่อต้านยานเกราะของกองทัพโนเบิลก็รัวขึ้นชุดหนึ่งก่อนตามด้วยเสียงระเบิดดังสนั่นทางด้านหลัง เขาฉวยโอกาสทันที ด้วยการเดินอย่างเร็วที่สุดพลางก็ระวังให้เกิดเสียงให้น้อยที่สุด
สาวครึ่งภูติเพลิงหรี่รัศมีของตนลงตาก็เพ่งมองผ่านศูนย์กล้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงกระบอกของไรเฟิลต่อต้านเป้าวัตถุ ซึ่งตั้งอยู่บนเก้าอี้สูงตัวหนึ่ง กวาดหาเป้าหมายในแสงสลัวๆ ยามค่ำผ่านหน้าต่างของห้องที่ค่อนข้างมิดชิด
เสียงปืนที่ลอยมาให้ได้ยินมี 3 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสามารถแยกออกได้ชัดเจน ส่วนอีกสองฝ่ายเป็นเสียงจากอาวุธที่ผลิตในดาวดวงเดียวกัน ทำให้เธอกังวลไม่น้อย เพราะไหนจะศัตรูตรงหน้าและกองกำลังกบฏที่จะเข้ามาเล่นงานเมื่อใดก็ไม่ทราบได้ ดังนั้นนอกจากตาจะเพ่งมองไปที่ศูนย์กล้องแล้ว จิตยังสั่งการปลดปล่อยข่ายเวทมนตร์ตรวจจับเพื่อระวังหลังด้วย และยิ่งการสื่อสารเกือบทุกช่องทางถูกตัดขาดทำให้เธอหงุดหงิดเป็นยิ่งนัก ...พวกกบฏเฮงซวย พวกกบฏขายชาติ พวกแกไม่ตายดีแน่... เธอสาปแช่งในใจ ว่าแล้วมือที่ข้างที่ว่างอยู่ก็เอื้อมไปอังที่คลังแสงจิ๋วแล้วคว้าเอาอมยิ้มออกมาแกะใส่ปากใช้ลิ้นดุนก้านสีขาวไปทางด้านซ้าย
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าหลายคู่ก็ดังขึ้น ย่ำมาอย่างเร็วในลักษณะวิ่งมาทางด้านหลัง ซึ่งเป็นด้านที่กองกำลังโนเบิลเข้าโจมตี
“หกคน”
ยูคิเอะพึมพำก่อนจะละจากไรเฟิลซุ่มยิงแล้วมือข้างหนึ่งก็คว้าเอาลูกซองจู่โจมจากคลังแสงจิ๋วขึ้นมากระชับเอาไว้ก้าวออกไปจากที่ซุ่มอย่างแผ่วเบาเพื่อมุ่งไปยังผู้ที่มาเยือนที่ไม่เป็นมิตร พลางก็ถอดซองกระสุนแบบก้นหอยออกมาตรวจดูกระสุนก็พบว่ามันเป็นแบบลูกปราย เธอจึงจับยัดกลับเข้าไปในคลังแสงแล้วง้างคันรั้งเพื่อให้กระสุนที่พร้อมอยู่ในรังเพลิงถูกดีดออกมา มือข้างที่ง้างก็ละจากคันรั้งแล้วยื่นไปคว้าเอาไว้อย่างแม่นยำแล้วจับยัดคืนคลังแสงก่อนจะหยิบเอาอีกซองออกมา ซึ่งบรรจุลูกโดดเอาไว้ แล้วยัดกลับเข้าไปเข้าช่องป้อนกระสุนแล้วขึ้นลำอย่างเงียบๆ จากนั้นจึงร่ายเวทกระสุนเพลิงใส่เข้าไปอีกทีหนึ่ง
เสียงของผู้บุกรุกดังรัวราวกับเสียงรัวกลองผิดกันที่เป็นเสียงฝีเท้า จำแนกได้ว่ากำลังแยกกันค้น ซูเปอร์โซลเจอร์สาวกึ่งภูติเพลิงยิ้มออกมาเล็กน้อยดูดอมยิ้มในปากอย่างพอใจ แต่ทว่าไม่นานเธอก็ต้องดึงก้านอมยิ้มออกมาเพราะว่ามันได้ละลายไปหมดแล้ว และต้องย่อตัวลงเพื่อทิ้งก้านอมยิ้มลงกับพื้นอย่างแผ่วเบาแล้วย่องไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำให้ไม่เกิดเสียงพร้อมกับปืนลูกซองในมือที่ถือในระดับเอว
ทันใดนั้นทหารราบโนเบิลคนหนึ่งก็โผล่พรวดเข้ามาตรงหน้าพอดีในระยะไม่เกิน 5 เมตร ยูคิเอะเหนี่ยวไกโดยไม่รีรอ เสียงปืนลูกซองยิงลูกโดดดังขึ้นเพียง 2 เท่านั้น บริเวณหน้าท้องของศัตรูก็เกิดระเบิดขึ้นเป็นลูกไฟลูกขนาดลูกตระกร้อระเบิดชุดรบให้แตกออกก่อนที่นัดที่สองจะเข้าระเบิดกับเนื้อของเป้าหมายโดยตรงก่อนที่เลือดสาดกระเซ็น บางส่วนกระเด็นมาโดนผู้สังหารด้วย และอวัยวะภายในบริเวณนั้นไหลหล่นออกมาจากร่าง นักรบโนเบิลล้มลงไปกองกับพื้นก่อนจะขาดใจตายอย่างรวดเร็ว ส่วนสาวกึ่งภูติเพลิงก็เดินหาผู้บุกรุกรายต่อไปอย่างไม่แยแสต่อเหยื่อปืนลูกซองของตน
เสียงปืนลูกซองทั้งสองนัดที่ลั่นออกไปเป็นการเตือนให้เหล่านักรบโนเบิลที่เหลือรู้ว่ามีกำลังของข้าศึกซุ่มอยู่ในอาคารหลังนี้ และยังรู้อีกว่าหนึ่งในพวกเขาถูกฆ่าไปเรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าเสียงฝีเท้าของพวกเขาก็เป็นเครื่องบอกตำแหน่งของพวกเขาแต่ละคนอย่างดีเช่นเดียวกัน เมื่อหนึ่งในพวกเขาวิ่งเหยาะๆ มาตามทางเดิน ยูคิเอะก็หลบเข้าไปในห้องมืดๆ ที่ประตูเปิดอ้าค้างไว้ จนเมื่อศัตรูวิ่งผ่านไปเธอจึงเบี่ยงตัวออกมา ประทับปืนเล็งแล้วยิงออกไปสองนัดเข้าที่ศีรษะอย่างแม่นยำ เหยื่อของลูกโดดแทบจะหัวกุดเหลือไว้เพียงส่วนกรามลงไปเท่านั้น เลือด สมอง และเศษกะโหลก กระจัดกระจายไปทั่วทางเดินในบริเวณนั้น นักรบอีกนายวิ่งสวนทางเข้ามาพอดีและได้เห็นศพของเพื่อนร่วมรบอันน่าสยดสยองถึงกับหยุดชะงัก เสียงปืนดังขึ้นอีกสองนัดจากตำแหน่งเดิม เกิดศพน่าสยดสยองแบบเดียวกันเพิ่มขึ้นอีก 1 ศพ
ดูเหมือนเสียงปืนของเธอจะเป็นสัญญาณเรียกให้ศัตรูกรูกันเข้ามา เพราะฟังจากเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งอย่างเร่งรีบใกล้เข้ามาทุกขณะและจากทั้งสองทาง เธอตัดสินใจวิ่งไปทางด้านที่เธอเพิ่งยิงปืนไปก่อน ปืนประทับอยู่ที่ร่องไหล่แต่ตาไม่ได้เล็งศูนย์ เพียงแค่เลี้ยวไปทางซ้ายเท่านั้นก็เจอกับนักรบโนเบิลที่เพิ่งก้าวขึ้นบันไดมาพอดี และอีกเช่นเคยนิ้วชี้งอเข้าหาตัวสับไกแช่ส่งกระสุนออกไป 2 นัดตรงเข้าสู่หน้าอกของศัตรู แต่ก็ไม่มีเวลามาดูผลงาน ปืนลูกซองถูกเก็บเข้าคลังแสงจิ๋วแล้วชักเอาปืนกลอเนกประสงค์ออกมาแทน ขาทรายถูกกางออกพลางวิ่งกลับมาที่ทางแยกที่เชื่อมต่อกับทางเดิน จากนั้นจึงนอนหมอบลงพร้อมตั้งปืนเล็งไปเบื้องหน้าเสร็จสรรพ
ด้วยแสงที่แทบจะไม่มีเหลือแล้วทำให้ทางเดินนั้นแทบจะมืดสนิท ตัวของซูเปอร์โซลเจอร์สาวกึ่งภูติเพลิงแทบจะกลืนไปกับความมืด แต่ทว่าสำหรับนักรบโนเบิลแล้วนี่ไม่ใช่ปัญหาเพราะในชุดรบนั้นมีอุปกรณ์ช่วยรบในเกือบทุกสถานการณ์ติดตั้งไว้พร้อม เมื่อนักรบอีก 2 คนที่เหลือวิ่งกันเข้ามาในทางเดินลึกพอสมควรปืนในมือของคนข้างหน้ากำลังจะยิงมา แต่ทว่าฝ่ายเจ้าบ้านนั้นได้เหนี่ยวไกสาดกระสุนออกไปแล้ว ร่างของทหารคนหน้าดิ้นไปตามจังหวะการลั่นกระสุนแล้วล้มลงทั้งยืน ทหารคนหลังกำลังจะหันหลังวิ่งหนี แต่ทว่าก็ไม่พ้นห่ากระสุนที่กระหน่ำไล่มาอยู่ดี
หลังจากจัดการผู้มาเยือนเสร็จเธอก็กลับไปที่ไรเฟิลซุ่มยิงต่อ สายตาทอดลงไปที่ศูนย์กล้องอีกครั้ง อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นมา มือข้างหนึ่งก็เอื้อมไปเปิดระบบตรวจหาความร้อนแล้วส่องดูอาคารที่คาดว่ามีกบฏคนหนึ่งกำลังซ่อนตัวอยู่ แต่ผลก็คือ ไม่มีอะไรอยู่เลย เหยื่อของเธอได้หนีไปแล้ว เสียงสบถดังขึ้นอย่างแผ่วเบาด้วยความขัดเคือง ไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านเป้าวัตถุถูกเก็บขึ้นแล้วยัดใส่คลังแสงจิ๋วไปด้วยท่าทีกระชากๆ เปลี่ยนเอาปืนกลมือขึ้นมาแทน พานท้ายแบบโครงถูกดึงเหวี่ยงออกมาจากที่แนบกับตัวปืน ก่อนจะเดินออกจากที่ซุ่ม
เฟลเซียกำลังต่อสู้อยู่ตามลำพังไปตามถนนอย่างไม่รู้ทิศทาง โดยมีศพทหารราบเกรย์เอลฟ์ยศสิบตรีนอนคว่ำหน้าอยู่เบื้องหลังห่างออกไปประมาณ 40 เมตร ปืนที่เธอถืออยู่นั้นเป็นไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านเป้าวัตถุ เจอวัตถุอะไรก็ตามที่ใหญ่กว่าตัวเองก็ยึดไว้เป็นที่กำบังแล้วพาดปืนเล็งออกไปเบื้องหน้า เมื่อพบกับนักรบโนเบิลก็จัดการเหนี่ยวไกระเบิดหัวของเหยื่ออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ฝ่ายที่ถูกลอบยิงแทบจะสวนไม่ออก เพราะมัวแต่ตกตะลึงกับภาพของสหายร่วมรบถูกยิงหัวทะลุเศษเนื้อและเลือดสาดกระจาย แม้จะหลบเข้าที่กำบังแต่ก็ไม่พ้นถูกยิงทะลุที่กำบังด้วยกระสุนยิงยานเกราะจนกระทั่งถูกฆ่าจนหมด
เมื่อจัดการเสร็จเธอก็เคลื่อนที่ต่อโดยเลือกเอาเส้นทางที่นำลึกเข้าสู่ตัวเมือง เสียงที่ลอยมาให้ได้ยินตลอดทางทำให้เธอรู้ว่าทางด้านอื่นก็เริ่มรบด้วยไรเฟิลซุ่มยิงกันแล้ว และคงจะมีการทำสงครามพลซุ่มยิงกันแน่ๆ ในบางจุด ถ้าศัตรูอีกด้านหนึ่งเป็นฝ่ายกบฏด้วยแล้ว แม้สถานการณ์จะยุ่งเหยิง น่าเป็นห่วง และน่าหงุดหงิด แต่ใบหน้าของซูเปอร์โซลเจอร์มาดเจ้าแม่ก็ยังคงยิ้มออกมาเล็กน้อยดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทว่าในสมองของเธอนั้นใจหนึ่งก็เห็นเป็นเรื่องสนุกน่าตื่นเต้น แต่อีกใจหนึ่งมันไม่สนุกแล้ว การสื่อสารเกือบทุกช่องทางของฝ่ายตนถูกตัดขาด แต่ดูเหมือนทางฝ่ายโนเบิลและกบฏจะสามารถติดต่อกันได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สถานการณ์ในตอนนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกโนเบิลจะมีชัย พวกกบฏจะถอนกำลังหายไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนพวกตนจะถูกบีบให้ถอยร่นและกระจัดกระจายจนยากจะรวมตัวกันใหม่
แล้วตัวของเธอก็กระตุกสั่นรัวในเวลาสั้นๆ เป็นอาการกลั้นหัวเราะ มีเสียงคิกคักเล็ดลอดออกมาเล็กน้อย รอยยิ้มเล็กๆ ที่ติดบนใบหน้าเป็นปกติได้ฉีกกว้างขึ้นเป็นแยกเขี้ยวแบบอารมณ์ซาดิสม์ แล้วตัวก็สั่นกระตุกอีกครั้ง ...เจอรังของพวกแกเมื่อไหร่ แม่จะเอาให้เลือดท่วมเลย... เฟลเซียหมายมั่นไว้ในใจ แล้วก็หัวเราะอีกแต่เพียงเบาๆ เท่านั้น ก่อนจะกลับสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน ...นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย... เธอคิดพลางหันไปรอบๆ เงยหน้าขึ้นมองป้ายบอกทาง ซึ่งเป็นตัวอักษรเรืองแสงสามารถเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งพลังงานไฟฟ้าหรือเวทมนตร์แต่อย่างใด ก่อนจะเริ่มเคลื่อนที่ต่อ แต่ก็ไม่ลืมกวาดตามองระวังศัตรูอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่รับรู้ถึงเสียงฝีเท้าก็จะรีบหาที่กำบังแล้วใช้ไรเฟิลซุ่มยิง ซึ่งเปิดระบบมองกลางคืนเอาไว้ส่องหาที่มาของเสียง ไม่มีครั้งไหนเลยที่เธอไม่ได้ลั่นไก หวังจะรวมกับทหารฝ่ายเดียวกันแต่ก็ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงฝีเท้า
เวลาผ่านไปจนท้องฟ้าเหลือแต่ดาวที่ส่องประกายระยิบระยับ อากาศหนาวเย็นจับจิตของภูมิประเทศเขตทะเลทรายปกคลุมเข้ามา เฟลเซียได้วิ่งมาจนถึงหน้าสถานที่ ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวด้วยตัวคนเดียวโดยแอบมองอยู่ที่มุมตึกหลังหนึ่ง แต่ก็ได้พบว่ามีแต่กองกำลังกบฏเพ่นพ่านอยู่ประมาณ 30 คนที่ลานจอดรถหน้าห้าง รอยยิ้มปกติก็ฉีกออกไปอีกแต่ไม่ถึงกับรอยยิ้มแบบคนซาดิสม์ แหงนหน้ามองตึกที่ตนกำลังพิงตัวแอบมองอยู่ก็พบว่ามันเป็นอาคารที่เคยเป็นร้านอาหารมาก่อนมีความสูงทั้งสิ้น 4 ชั้น เธอจึงหันเดินไปเข้าทางประตูหลังแล้วรีบก้าวขึ้นบันไดเพื่อขึ้นไปยังดาดฟ้า และอีกเช่นเคยด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด ระหว่างทางกับดักมากกว่า 10 ชิ้นถูกทำลายลงอย่างเงียบๆ จนกระทั่งถึงดาดฟ้า
ไรเฟิลซุ่มยิงส่องกวาดไปที่ชั้นต่างๆ ของห้างสรรพสินค้าเพื่อหาศัตรูโดยเปิดระบบตรวจหาความร้อนเอาไว้ด้วย ก่อนจะกางขาทรายแล้วนำไปตั้งเอาไว้ที่ขอบที่กั้น จากนั้นจึงชักเอาปืนกลอเนกประสงค์ออกมากางขาทรายแล้วนำไปตั้งไว้ใกล้ๆ กับไรเฟิลซุ่มยิง จากนั้นก็ชักเอาเครื่องยิงลูกระเบิดขนาดประมาณไรเฟิลจู่โจมออกมาแล้วเริ่มยิงออกไปอย่างเร็วที่สุดด้วยระบบลูกโม่ แต่ก็เป็นอัตราการยิงที่ไม่สูงนัก
หัวรบลูกแรกตกลงถึงพื้นแล้วระเบิดออกมาเป็นกองเพลิง โดยมีระเบิดลูกเล็ก 4 ลูกกระจายออกมาอีกที ซึ่งเมื่อกระทบพื้นมันก็สร้างกองเพลิงขนาดพอๆ กัน สร้างความโกลาหลแก่กองกำลังกบฏที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเป็นอย่างมากพร้อมกับคร่าชีวิตนักรบฝ่ายกบฏไปจำนวนหนึ่ง ตามด้วยระเบิดลูกที่สอง จากลานจอดรถโล่งๆ เริ่มกลายเป็นนรก เหล่านักรบกบฏวิ่งหนีไฟกันไม่คิดชีวิต ลูกที่ 3 ตกลงตรงหน้าของกลุ่มกบฏที่กำลังวิ่งหนีอย่างแม่นยำ และได้ผลเกือบหมด ลูกที่ 4 ตกลงยังอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถูกเผากันโดยถ้วนหน้าตั้งแต่ระเบิดลูกเล็กตกลงถึงพื้น ส่วนลูกที่ 5 และ 6 ซึ่งเป็นลูกสุดท้ายได้ตกลงที่หน้าทางเข้าด้านหน้าของห้างเป็นกำแพงไฟ
เครื่องยิงลูกระเบิดถูกเก็บเข้าคลังแสงไป ก่อนจะรุดไปที่ปืนกลอเนกประสงค์ จับด้ามขึ้นมาประทับร่องไหล่แล้วกดไกแช่กราดยิงส่ายกวาดไปทั่วบริเวณด้วยสีหน้าเมามันคร่าชีวิตกบฏที่เหลือรอดจากเครื่องยิงลูกระเบิดจนหมด ก่อนจะรีบบรรจุกระสุนใหม่อย่างรีบเร่ง ฝาช่องป้อนกระสุนเปิดขึ้นมา หยิบเอาสายกระสุนเก่าที่ยิงไปเกือบหมดออกพร้อมๆ กับถอดกล่องกระสุนแบบก้นหอยทิ้งแล้วหยิบอันใหม่จากคลังแสงจิ๋วขึ้นมาใส่แทน แล้วจับปลายสายกระสุนขึ้นมาใส่ไว้ที่ช่องป้อนกระสุนก่อนจะปิดฝา แล้วดึงคันรั้งขึ้นลำอย่างรวดเร็ว ทุกขั้นตอนเสร็จในเวลาเกือบจะทันที่เหล่านักรบกบฏกรูกันออกมาทางประตูหน้าห้างที่มีกองไฟกองใหญ่กำลังเผาไหม้อยู่ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร มือข้างขวากำที่ด้ามปืน นิ้วชี้สอดเข้าโก่งไกแล้วกดแช่สาดกระสุนหวังจะฆ่าให้มากที่สุดเท่าที่มากได้ จนกระทั่งกองกำลังกบฏที่เหลืออยู่ในตัวอาคารต้องถอยกลับเข้าไป
ปืนกลอเนกประสงค์ถูกวางลง แล้วเปลี่ยนไปจับไรเฟิลซุ่มยิงต่อต้านเป้าวัตถุขึ้นมาส่องไปตามชั้นต่างๆ ของอาคารศูนย์บัญชาการชั่วคราว ภาพที่ส่งมาเป็นภาพอินฟราเรด ทุกอย่างที่มีอุณหภูมิสูงจะแสดงเป็นสีโทนร้อน ซึ่งแน่นอนร่างของนักรบกบฏทุกร่างจะสร้างความอบอุ่นมาสู้กับอากาศหนาว และยิ่งทำให้มองเห็นชัด เฟลเซียเหนี่ยวไกระเบิดกระสุนใส่ศัตรูแบบไม่เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นก็อบลินร่างเล็กไปจนถึงโทรลร่างยักษ์ล้วนถูกยิงหัวทะลุเหมือนกันหมด ศพแล้วศพเล่า เสียงปืนไรเฟิลต่อต้านเป้าวัตถุจากฝ่ายซูเปอร์โซลเจอร์สาวมาดเจ้าแม่แผดระเบิดอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ทางฝ่ายกบฏเพียงแค่ใครเหนี่ยวไกปืนยิงออกมาไม่กี่นัดก็ต้องถูกฆ่า เว้นแต่ในยามที่อีกฝ่ายกำลังบรรจุกระสุนใหม่
กองไฟหน้าห้างสรรพสินค้าที่เฟลเซียก่อได้ส่องแสงสว่างไสวมองเห็นได้ชัดแม้จะอยู่นอกเมือง นอกจากจะเป็นเพลิงนรกที่คร่าชีวิตของนักรบฝ่าบกบฏแล้วมันยังเป็นสัญญาณเรียกพวกเดียวกันด้วย โอเคอร์และยูคิเอะตอบรับสัญญาณนั้นทันทีที่การระดมยิงเสร็จสิ้นแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงสาดยาวของปืนกลอเนกประสงค์ เมื่อทั้งคู่หันไปมองก็ร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า
“อัลตราแมนิแอค”
แม้จะตอบรับแต่ขณะนี้ทั้งคู่กำลังตั้งรังปืนกลอยู่บนดาดฟ้าของตึกสองหลังที่ตั้งอยู่เคียงกัน โอเคอร์กลับมาเป็นพลบินอีกครั้งปืนกลกล้องหมุนที่สามารถเปลี่ยนเป็นมือได้ทั้งสองข้างยื่นไปข้างหน้ายิงกราดออกไปขัดกับแนวยิงของปืนกลหนักขนาดเกือบ 20 มิลลิเมตรแฝดของยูคิเอะ เป้าหมายอยู่ที่กลุ่มของนักรบโนเบิลกลางถนนสายใหญ่
และในขณะเดียวกันเหล่าทหารราบฝ่ายตั้งรับที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ตอบรับสัญญาณนั้นเช่นเดียวกัน แม้จะรู้ว่าไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณโดยจงใจ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้คงต้องละทิ้งจุดยุทธศาสตร์นี้ไปชั่วคราวเพื่อที่จะกลับมายึดคืนในอนาคต และคงต้องรวมกลุ่มเพื่อที่จะถอดกำลังออกไปแล้ว นายทหารที่ควบคุมกลุ่มทหารกลุ่มต่างๆ ได้บอกกับผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นทำนองเดียวกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ