Fic naruto ภาค พายุโลหิต
10.0
เขียนโดย นิกซ์
วันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 15.23 น.
33 ตอน
12 วิจารณ์
54.28K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 16.43 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
9) บทที่ 9 รวมทัพ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความณ สุสานร้างนอกแคว้น
ร่างที่นอนบนต้นไม้ลืมตาตื่น “ท่านทาเคโนะมารุ เนี่ยนิสัยไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”เด็กสาวผมชมพูบ่นเบาๆ “ดีนะ ที่แวบไปดูก่อน อีกเดี๋ยวคงจะไปเจอกับพวกนั้นแล้วสิจะไหวไหมนะ” ร่างบางส่ายหน้า แล้วตบแก้มเบาๆ “อย่าใส่ใจๆเราเองก็ต้องไปทำงานของเราเหมือนกัน”
...
หนึ่งวันที่อยู่ที่ร้านสวรรค์ระทม ซาอิ อิโนะและซามุย ไม่ได้ออกจากร้านไปไหนตามคำแนะนำของโรส
ซึ่งซาอิเองก็ยังไม่อยากจะปะทะกับพวกนักฆ่าในยามนี้ เพราะความจริงสภาพร่างกายของเค้าเองก็บาดเจ็บมากพอควร ถึงจะไม่เท่าซาสึเกะกับซามุยก็เถอะ
“เครียดอะไรนักหนา ไอ้หนู”
“เออ คุณโรส”
กระเทยร่างยักษ์นั่งลงข้างๆ “ถ้ากังวลเรื่องที่จะต้องสู้ในสงครามที่จะต้องเกิดล่ะก็ อย่าไปกังวลเลย เพราะพวกเธอไม่ต้องสู้”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“เอาไว้คืนพรุ่งนี้ก็รู้เอง ไปพักเอาแรงเถอะ พรุ่งนี้เช้าตรู่พวกเธอก็ต้องลอบออกจากที่นี่ไปยังชายฝั่งที่นัดหมายน่ะนะ”
“ไกลมากเลยเหรอครับ”
“ใช่ นี่น่ะ คือเมืองหลักของแคว้นนะ ทางใต้น่ะไม่ใช่ใกล้ๆ ถ้าขืนไปตอนกลางวันแสกๆเดี๋ยวก็เกิดจลาจลอีก ขอตัวล่ะ อ้อ อย่าไปกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยนะ จะเครียดซะเปล่าๆ”
เช้าตรู่วันต่อมา
อากิระ ได้ลอบพา ซาอิ อิโนะ และซามุย ออกเดินทางไปยังชายฝั่งที่ๆ ได้นัดหมายไว้ การเดินทาง จำต้องเลี่ยงในตัวเมืองเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ซึ่งการเดินทางนั้นนับว่า ช้าพอสมควรเพราะต้องขนชุดปฐมพยาบาลไปจำนวนมาก นั่นกลายเป็นสัญญาณว่า ต้องเกิดสงครามขนาดย่อมแน่ๆ
...
ในตอนเที่ยง ทั้งหมดนั่งพักกินข้าวที่ใต้ต้นสน ที่ไม่ไกลจากทะเล
“อีกไกลไหมคะ”อิโนะถามเสียงอ่อย ก็เล่นเดินทางมาตั้งแต่เช้า แทบไม่ได้พักกันเลย สองหนุ่มเอโดะเองก็เดินอึดทนมาก ไม่บ่น มีแต่เธอเนี่ยแหละ ซาอิใช้นกก็ไม่ได้ เพราะถ้ามีพวกนินจาเข้ามาในแคว้น อาจจะเกิดเรื่องใหญ่
อากิระกลืนข้าวปั้นลงคอก่อนจะตอบสาวผมทอง“อีกไกลครับ ประมาณ ทุ่มหนึ่ง ถ้าเรายังเดินทางด้วยความเร็วแบบนี้ เราก็จะถึงจุดนัดหมาย”
อิโนะนึกอยากจะถามสามหนุ่มว่าเหนื่อยไหม เพราะเธอเหนื่อยมาก
อากิระที่เดาความคิดของหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวได้ จึงเอ่ยดัก “ผมเองก็เหนื่อยนะครับ แต่ตอนนี้ พวกเราต้องรีบเดินทาง เพราะเพื่อนคนสำคัญกำลังรอเราอยู่”
“คุณรู้ความคิดชั้นเหรอคะ”
“ดูสีหน้าก็รู้แล้วครับ”
ซาอิเอ่ยอย่างยิ้มๆ”รักเพื่อนกันจังนะครับ”
“ใช่แล้วครับ และอีกอย่าง ทำเพื่อให้เธอคนนั้นมีรอยยิ้มที่อย่างสดใสเหมือนก่อนอีกครั้ง แค่นั้นก็พอใจแล้วล่ะครับ”
“รอยยิ้มนั่นมีค่ามากเลยเหรอครับ”
“มีค่ามากสิครับ เพราะนั่นคือรอยยิ้มของคนสำคัญ ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอคนนั้น ก็หายเหนื่อยแล้ว สำหรับเบนิจังแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงแค่ไหน เธอก็จะยิ้มปลอบใจเสมอ”
“กล้าสนิทกับเค้าด้วย ดีจังเลยนะครับ”
อากิระเลิกคิ้วพลางมองชายผิวซีด“ก็พวกเราเคยเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ครับ แปลกตรงไหน”
ซาอิพยักหน้า“นั่นสินะครับ”
หลังจากพักกินข้าวเสร็จ ก็เดินทางกันต่อ
สภาพอากาศนับว่าเย็นสบาย
ซามุยเอ่ยขึ้น”ใกล้หน้าหนาวแล้วเหรอเนี่ย”
“รู้ได้ยังไงคะ”
“อ๋อ แคว้นเอโดะ เมื่อเข้าหน้าหนาว ลมก็จะเย็นแบบนี้แหละขอรับ ถึงจะเป็นช่วงกลางวัน ก็จะไร้แสงแดด ก็แค่นั้นขอรับ”
การเดินทางนับว่าไม่ลำบากอะไร แต่ระยะทางนั้นไกลมาก ท่อนขาของอิโนะเริ่มปวดหนึบๆ ร่างกายร้องประท้วงว่าต้องพัก
ซามุยจึงย่อกายลง “คุณอิโนะเชิญขี่หลังผมเลย ขอรับ”
“เอ๋ จะดีเหรอคะ”
“ถึงยังไงคุณก็เป็นผู้หญิง และเป็นเพื่อนของท่านเบนิ ท่านคงจะตำหนิผมแน่ ที่ปล่อยให้เพื่อนของท่านต้องปวดขาแบบนั้น”
อิโนะหน้าขึ้นสี”ก็ได้ค่ะ”
ซาอิขมวดคิ้ว เค้าไม่ชอบใจเอาเสียเลย”
อากิระหันมาเอ่ยถาม “คุณซาอิก็ไม่ไหวเหรอครับ ขี่หลังผมก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
หนุ่มผิวซีดสังเกตเห็นหลุมศพของใครบางคน ที่ตั้งอยู่ใต้ต้นสนที่อยู่ไม่ไกล หลุมศพนั้นเป็นหลุมศพที่ใหญ่ ที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งมีคนมาเซ่นไหว้ได้ไม่นาน เพราะเค้าได้กลิ่นธูปหอม ลอยมา
“เอ่อ นั่นหลุมศพใครเหรอครับ”
“อ๋อ นั่นน่ะ คือหลุมศพของท่านทาเคโนะมารุ วีรบุรุษ ของซามูไรแคว้นเอโดะครับ”อากิระหันไปทางหลุมศพ แล้วยกมือไหว้
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ”
“มันคือความปรารถนาของท่านครับ ก่อนท่านจะจากไป ท่านได้บอกให้น้องชายนำท่านมาฝังไว้ที่นี่ครับ”
“ทำไม พวกคุณถึงยกย่องคนๆนั้นล่ะครับ”
“ชาวเอโดะจะรู้จักท่านในนามนักสืบ ไม่ว่าคดีจะยากแค่ไหน ท่านก็จะไขได้หมด และยังเป็นผู้นำกบฏสิบตระกูลนำกองกำลังซามูไรทั้งแคว้นมาจัดการ เจ้านายตระกูลหนึ่ง ที่ใช้อำนาจไปในทางที่ผิดครับ”
“เค้ามีอำนาจมากเลยเหรอครับ”
“ครับ ท่านทาเคโนะมารุ จากเรื่องที่คุณพ่อผมเล่าให้ฟัง เหตุมันมาจากน้องสาวของเพื่อนรักของท่าน ชื่อ ชิสึ ถูกเจ้านายจะขืนใจแต่เธอขัดขืนรอดมาได้ เจ้านายคนนั้นเจ็บใจมากเลย ลงโทษโดยการสั่งคว้านท้อง สำหรับซามูไรนั้น ไม่อาจขัดได้ เจ้านายคนนั้นก็เอาแต่ใจ เห็นลูกสาวหรือเมียใครสวยก็ฉุดคร่าไปทั่ว ซามูไรที่ไม่ชอบใจก็สั่งประหาร ซามูไรตระกูลใหญ่ สิบตระกูล จึงรวมกองกำลังทหารทั้งแคว้นบุกปราสาทแห่งนั้น โดยให้ท่านทาเคโนะมารุเป็นผู้นำ คุณพ่อเล่าว่า ปราสาทหลังนั้น ลูกเมียของเจ้านายคนนั้นถูกจับ ท่านทาเคโนะมารุเลยสาปแช่ง เจ้านายคนนั้น ว่าตระกูลของเจ้าจะไม่ถูกผู้ใดรู้จัก ความดีที่เคยทำจะไม่มีใครจดจำ สิ่งที่จดจำมีแต่ความชั่วร้ายที่เจ้าทำเท่านั้น ส่วนตัวเจ้าที่เป็นคนใจบาป จะทรมานด้วยโรคร้าย ไร้คนเหลียวแล มีแต่คนจดจำความชั่วร้ายของเจ้าไปชั่วกัลป์ชั่วกันต์ “
“รวมคนเพื่อสาปแช่งน่ะเหรอ”ซาอิพยายามกลั้นขำ
ซามุยเอ่ยขึ้น”ถ้าคนในตระกูลชิอินะรู้ คุณจะหัวหลุด ข้อหาดูหมิ่นบรรพบุรุษเค้านะขอรับ แถมการฆ่าคนในเขตที่อยู่ของตัวเอง สำหรับแคว้นนี้ถือว่าไร้ความผิด คุณอากิระกรุณาเล่าให้ครบด้วย”
งานนี้ทำเอาซาอิหุบยิ้มแทบไม่ทัน
อากิระพยักหน้า“อ้อ ผมลืมเล่าไป ในตอนนั้น ทหารตายหมดปราสาท สาเหตุที่ท่านทาเคโนะมารุสาปแช่งนั้น เพราะท่านเห็นว่าฆ่าให้ตายมันสบายเกินไป สู้ให้ทรมานจนตายจะดีกว่า และคุณพ่อก็พูดไว้ว่า เชื้อสายของท่านทาเคโนะมารุ กับท่านเทนเซ ทั้งคู่มีเชื้อสายฝั่งพ่อเป็นคนที่มาจากตระกูล องเมียวจิ นั่นทำให้พวกเค้ามีวาจาสิทธิ์สาปแช่งคนได้ ฝั่งแม่คือเพชฌฆาต ที่มีฝีดาบด้านการประหารคน คุณพ่อเล่าเสริมไปว่า เจ้านายคนนั้นถูกจับไปทรมานสาหัส จนนายเหนือหัวของแคว้นต้องเข้ามาเจรจาขอให้ปล่อยตัว เพราะเป็นเครือญาติ ท่านทาเคโนะมารุจึงยอมปล่อย แต่เจ้านายคนนั้นก็จบชีวิตลงทันที แต่ถึงกระนั้น ท่านเทนเซก็ขอคำสัญญา สามข้อจากนายเหนือของแคว้นในตอนนั้น”
“สัญญาสามข้อ เหรอครับ”
“ครับ หนึ่ง ห้ามพวกเจ้านายยุ่งเกี่ยวกับลูกเมียของซามูไรทุกคน สอง ห้าม สั่งลงโทษประหารโดยปราศจากความผิดร้ายแรง สาม ห้ามลงโทษโดยปราศจากหลักฐานที่ประชาชนรับรู้ โดยจะมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่สิบตระกูลยอมรับคือ จะส่งลูกหลานมาเป็นซามูไร ครับ แต่เหตุการณ์นั้น ท่านทาเคโนะมารุก็โดนลอบยิง ถึงจะรอด แต่พิษจากปืนไฟทำให้จบชีวิตลงในอีกสามเดือน ท่านเลยขอให้มาฝังที่นั่น ซึ่งไม่ไกลจากคฤหาสน์ของตระกูลชิอินะครับ ปกติคฤหาสน์ของตระกูลนี้มีสองที่ อีกที่ อยู่ทางเหนืออยู่บนเขา เหตุการณ์นั้นเลยถูกเรียกว่า กบฏสิบตระกูล ถ้าเราตรงไปหน่อยก็จะเข้าเขตของตระกูลชิอินะแล้วครับ อย่าไปรบกวนเลย เราเดินทางต่อเถอะ”
“ท่าทางจะเป็นตระกูลใหญ่นะครับ”เพราะฟังจากที่อีกฝ่ายเล่า ถึงขนาดมีคฤหาสน์ริมทะเล อีกหลังอยู่บนเขา ท่าทางจะรวยมาก เห็นที เค้าจะต้องระวังคำพูดให้มาก เพราะเค้ารู้สึกถึงจิตสังหารของใครบางคนที่ส่งมา
“ใช่ครับ ก็นั่นคือตระกูลของท่านทาเคโนะมารุนี่ครับ และเห็นคุณพ่อยังบอกว่า ลูกหลานยังคงรับราชการอยู่ แต่ไม่รู้ว่าใคร เพราะทหารไม่ใช้ชื่อจริงกันน่ะนะ”
การเดินทางของทั้งสี่ กินเวลานานมาก ซามุยที่แบกอิโนะนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยอ่อนเลยสักนิด อิโนะก็แสนจะเกรงใจ แต่ซามุยบอกเองว่ายังไหวก็ไม่อาจจะว่าอะไรได้
อีกด้าน
ซาสึเกะที่ตอนนี้ต้องเดินเท้า ไปยังปราสาทของโชกุนซาบุโร่ เพราะการขี่เหยี่ยวยักษ์มันดูสะดุดตาเกินไป ในใจของอุจิวะหนุ่มแสนรำคาญวิญญาณสีดำ ที่กำลังผิวปากอยู่ข้างตัว ไอ้นี่โคตรรกวนเลย
ขณะที่กำลังเดินทางผ่านป่าสนสัญชาตญาณของนินจาทำงาน
...มีใครกำลังมา...
วิญญาณสีดำเอ่ยอย่างยียวนทั้งรอยยิ้ม “งานเข้าแล้วไอ้หนู อีกา มันมาจิกซากแล้ว ว่าแต่ที่นี่มีซากให้มันจิกกินรึเปล่าน้า...”
อุวิจะหนุ่มชักดาบออกมา เตรียมพร้อมที่จะสู้
กลุ่มนักฆ่าที่แต่งกายคล้ายนักบวช ตัวหัวหน้าสั่งการ
“ฆ่ามัน!!”
กลุ่มนักฆ่าที่ล้อมหน้าหลังไว้ บุกเข้าจู่โจม
ชายหนุ่มที่ระวังตัวอยู่แล้วก็เข้าจัดการ ฝีมือนักฆ่าแต่ล่ะคน นับว่าร้ายกาจมาก! นี่เธอต้องรับมือกับไอ้พวกนี้ตลอดเลยเหรอ
งานนี้ซาสึเกะได้รับบทเรียนจากครั้งก่อน จึงระวังตัวมากกว่าเดิม รอบที่แล้วประมาทไปหน่อย แต่รอบนี้อย่าหวังเลย
การต่อสู้นับว่ากินเวลาพอสมควร เพราะ อีกฝ่ายมีถึงสามสิบ ส่วนเค้าแค่ตัวคนเดียวแถมแขนเดียวอีก!
กว่าจะจัดการหมดก็เล่นเอาแรงแทบหมด
“เหนื่อยชิบ”
“อะไรกัน คนหนุ่มสมัยนี้ มีแรงแค่นี้เองรึ”
“พูดยังกับว่าคุณไม่เคยเหนื่อย”
“ชั้นเคยเจอศึกที่หนักกว่านี้ก็เยอะนะ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่น่ะ”
“ทำไมยังไม่ไปเกิดล่ะ”
“เพราะเด็กคนนั้น”
“หมายความว่ายังไง”
วิญญาณสีดำยิ้มละไม“พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าไม่ตอบเธอก็จะทำให้ชั้นรำคาญ...ก็แค่...อยากเฝ้ามองเด็กคนนั้น อยากเห็นเด็กคนนั้นเติบโต อยากเห็นเธอยิ้ม อยากคอยปกป้อง อยากจะโอบกอดยามเศร้า ”
“นี่แก เป็นทวดเค้านะเว้ย พูดแบบนั้นมัน...”
“แล้วไง ก็พ่อเค้ายกให้ชั้นเองนี่”
คำพูดนั้นทำเอาเค้าตะลึงและงุนงง หมายความว่ายังไง ทำไม ไอ้วิญญาณนี่พูดจริงเหรอ “หมายความว่ายังไง”
“คิดเอาเอง เร่งเดินทางเถอะ อีกเดี๋ยวก็ถึงปราสาทท่านโชกุนแล้ว ถ้าแกไม่รีบชั้นสิงแกแน่”
ซาสึเกะจำใจต้องเร่งฝีเท้าไปยังปราสาทเบื้องหน้าทันที
เมื่อมาถึงปราสาท ก็พบว่า มีกองกำลังทหารอยู่รอบปราสาท
“ต้องการอะไร”ทหารยามหน้าปราสาทร้องถาม
งานนี้เค้าไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไป ถ้าจะพูดโต้งๆเลยเหรอว่า มาขอพบ ท่านโชกุนซาบุโร่ จะเกิดศึกนองเลือดอีกรึเปล่า
วิญญาณสีดำพ่นลมหายใจ”ช่วยไม่ได้”
ทาเคโนะมารุจำต้องเข้าสิงร่างนินจาหนุ่มเสียแล้ว
“นำของสำคัญจากคนที่ชื่อเบนิ มามอบให้ท่านโชกุน”
พอได้ยินชื่อเบนิ ทหารยาม ก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะโค้งคารวะอย่างนอบน้อม “รอสักครู่ขอรับ”ทหารยามคนหนึ่งรีบเข้าไปในปราสาททันที
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”วิญญาณสีดำออกจากร่างทันที “บอกไว้ก่อน ถ้าใครที่ชั้นไม่อยากให้เห็น ก็จะไม่เห็นชั้น อย่าพูดกับชั้นบ่อยนัก ไอ้หนู”
ซาสึเกะหน้าหงิกลง ใครเค้าอยากจะคุยกับแกวะ แต่ดูท่า ยัยนั่น จะตำแหน่งใหญ่โตจริงแฮะ
ไม่นาน ทหารยามที่หายไปก็กลับมา พร้อมผายมือเชิญ “เชิญข้างในขอรับ ท่านโชกุนกับท่านมิคาโดะรออยู่”
ซาสีเกะถูกนำมาที่ห้องรับรองที่ๆขุนนางมิคาโดะ ที่ปรึกษาคนสนิทกับท่านโชกุนที่นั่งอยู่หลังม่านรออยู่
อุจิวะหนุ่มนำชุดเอกสารที่แม่ตัวดีฝากมาให้
มิคาโดะอ่านอยู่ครู่ก่อนจะส่งให้คนที่อยู่หลังม่าน
“ได้พบเบนิรึเปล่า ไอ้หนุ่ม”
“ไม่ครับ”
มิคาโดะพยักหน้าอย่างรับรู้ ก่อนจะหันหน้าไปสั่งคนที่อยู่ข้างนอก “เตรียมกองกำลังและยานรบ ให้พร้อม เราจะไปที่ซาโกมะ !”ขุนนางชราออกจากห้องไป
“ขอบใจเจ้ามาก”
ซาสึเกะหันไปหาคนที่อยู่หลังม่าน”ขอบคุณเรื่องอะไรครับ”
“ช่วยรักษาชีวิตทหารกล้าของเราไว้”
“ไม่เป็นไร เพราะผมเองก็อยากจะปกป้องเธอคนนั้นเหมือนกัน”
“คนไหน? เบนิเหรอ อ้าว เจ้าเป็นไม้ป่าเดียวกันรึ?”
“ไม่ใช่!”
“ก็มิคาโดะพูดเอาไว้นี่นา ว่าเบนิ คือว่าที่เขยในอนาคตนิ”
“ยัยนั่นเป็นผู้หญิงนะครับ!”ได้ไง ยัยนั่นชอบผู้ชายแน่นอน เค้ามั่นใจ
“ฮ่าๆเราล้อเล่น เค้าเป็นคนมีเสน่ห์จริงๆนะ เหมือนกับท่านทาเคโนะมารุ บรรพบุรุษ ของเค้าจริงๆ”
“งั้นเหรอครับ ผมขอตัว”ไม่อยากฟัง เรื่องของไอ้คนกวนโอ๊ยแล้ว
“จะไปช่วยเค้าเหรอ?”
“ใช่”
“ไปพร้อมกันสิ ยังไง ไปพร้อมกับเราก็ถึงเร็วกว่าอยู่แล้ว”
...
อีกด้าน
สองนินจา หนึ่งซามูไรและคุณหมอ ก็เดินทางมาถึงท่าเรือร้าง ที่มีแต่เรือเก่าๆที่ใกล้จะเป็นซาก
“ใช่ที่นี่เหรอคะ”
“ใช่ครับ จุดนัดพบคือ สุสานเรือ ที่นี่เรือขนนักโทษจะมาจอดที่ท่านี้”
อิโนะรู้สึกใจคอไม่ดี แค่ชื่อก็ไม่อยากมาแล้ว แถมบรรยากาศก็น่ากลัว พอหกโมงเย็น ก็มืดแล้ว แถม ที่นี่ก็มีแต่ฝูงอีกา
ซาอิรู้สึกถึงบางสิ่งที่อยู่ข้างหลังจึงชักดาบสั้นออกมาปะทะกับคาตานะสั้น ของใครบางคน รูปร่างนั้นเล็ก มีเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำคลุมหัว และสวมหน้ากากจิ้งจอกสีขาว-แดงครึ่งหน้า ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นกำลังแสยะยิ้ม จิตสังหารของคนตัวเล็กนั้นมันน่ากลัว เรี่ยวแรงก็ไม่ใช่น้อยๆ
สามคนที่เหลือรีบถอยหลัง เตรียมหยิบอาวุธ
คาตานะยาวจากอีกฝ่ายแทงมา ทำเอานินจาผิวซีดต้องกระโดดออกห่าง
“สมกับเป็นหน่วยราก แต่นี่...ยังไม่ดีพอ”
ร่างนั้นพุ่งเข้าฟาดฟันด้วยดาบคาตานะสั้นและยาวอย่างช่ำช่อง นินจาผิวซีดหันไปหาคนอื่น ก็พบว่ายังยืนนิ่ง
“เน่..อย่าสนใจคนอื่นซี่”
ซาอิโดนอีกฝ่ายชกไปทีหนึ่งก่อนจะโดนดาบจ่อที่คอ
อากิระส่ายหน้าก่อนจะตรงเข้ามาห้าม “เบนิจัง เล่นแรงไปแล้วนะ”
อิโนะมองคนสวมหน้ากาก อย่างตะลึงนั่นรึเพื่อนเธอ ฝีมือการใช้ดาบถือว่าร้ายกาจแถมยังมาโดยที่เธอไม่รู้ตัวซะด้วย
“ฮ่าๆโทดทีน้า...พอดีมันเป็นคนปากฟาร์มสุนัข เกิดหมั่นไส้น่ะ”เด็กสาวเก็บดาบทั้งสองเล่มฝัก
“ท่านเบนิ”ซามุยรีบคุกเข่าต่อหน้าทันที
พอร่างนั้นเลิกผ้าคลุมขึ้น ก็เผยให้เห็นว่า ผมสีลูกกวาดที่ควรจะยาวกลับตัดสั้นจนดูเหมือนเด็กผู้ชาย แต่ใบหน้ายังคงสวมหน้ากากจิ้งจอกสีขาว แดง ครึ่งใบหน้าอยู่
“ขอบใจนะอิโนะ ที่ยอมช่วยชั้น”
“ซากุระเหรอ?”
ร่างบางปลดหน้ากาก เผยให้เห็นใบหน้าของเพื่อนรักเต็มตา ที่ตอนนี้ดูเท่ มาก
“ขอสวมหน้ากากก่อนนะ เดี๋ยวเจอกับเจ้าบ้านั่น เกิดงงอีก”เธอสวมหน้ากากอีกครั้ง แล้วหันไปหาซามุยที่คุกเข่า
“ขอบใจนะ”
“ขอรับ”
“เพราะนาย ชิกิเลยรอดตายน่ะ”
สีหน้าของซามุยริ่มมีน้ำตาปริ่มๆอย่างน้อยใจ นี่เห็นอีกามีค่ากว่าเหรอ T^T
อีกาเผือกชิกิ ก็โผล่บินมาเกาะที่ไหล่ “กา กา”
“นกตัวนั้น”ซาอิ อุทานอย่างจำได้ มันป็นนกตัวเดียวที่บินในป่าวันนั้น
“สัตว์เลี้ยงชั้นกับเจ้าพวกสามบ้าน่ะ ชื่อชิกิ เป็นอีกาเผือก แสนรู้เหมือนคนเลย น่ารัก จุ๊บๆ”หญิงสาวจุ๊บที่อีกาเผือกที่ยื่นหน้ามาอย่างออดอ้อน
งานนี้ทำเอาซาอินึกขยาด ถ้าเกิดพูดอะไรไม่เข้าหูล่ะก็ หัวอาจจะหลุดออกจากบ่าได้ เพราะเมื่อกี้เธอจะฆ่าเค้า ก็ทำได้ แต่ ไม่ทำ เธอต้องการขู่เค้าเท่านั้น
อากิระเอ่ยถามหญิงสาว“เบนิจัง เอาไงต่อ”
“ซาโกมะจะมีการขนย้ายนักโทษในวันนี้ การขนย้าย จะมีเรือมารับกลางทาง เรือขนย้ายนักโทษอยู่ฝั่งเราทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“อากิระ นายกับพวกอิโนะไปเรือขนย้ายนะ ชั้นจะแยกไปอีกทาง ส่วนเรือขนย้าย ส่วนที่เหลือไป อากิระ นายน่ะ อยู่ทางด้านล่างหน้าผาเถอะ ไม่ต้องสู้หรอก เป็นหน่วยพยาบาลก็พอ ซามุยนายคุ้มกันพวกเค้านะ”
“ขอรับ”
“เบนิจัง ผมก็จะ..”
ยังไม่ทันที่อากิระจะเอ่ยจบ“ไม่ต้องสู้หรอก งานนี้เรามีหน้าที่ถ่วงเวลา นายกับอิโนะช่วยรักษาคนที่บาดเจ็บเถอะ”
“แต่...ผมไม่อยากให้เบนิจังต้องเจ็บตัวอีกนะ ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากให้...”
ซากุระเข้ามาตบบ่าอากิระเบาๆ”อย่าห่วงเลย ชั้นไม่ตายง่ายขนาดนั้นหรอก เชื่อชั้นเถอะ”
อิโนะคิดในใจ...ถ้าซาสึเกะคุงมาเห็นจะคิดยังไงล่ะเนี่ย...
ไม่นาน กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ก็มา ซากุระจึงเข้าไปสั่งการคนเหล่านั้น อิโนะกับซาอิสังเกตว่า คนเหล่านั้นดูเคารพเพื่อนของเธอมาก
คนกลุ่มหลังที่มาสมทบคือเหล่า ทหารภายใต้บังคับบัญชาของเธอและเพื่อนของเธอเองและอีกส่วนคือกรมราชทัณฑ์ ซึ่งพวกเค้าก็ไม่ชอบขุนนางยามาซารุอยู่แล้วให้ความร่วมมือด้วย
“ท่านเบนิ เราจะเริ่มกันเมื่อไหร่ขอรับ”หนึ่งในทหารนั้นร้องถาม
“สามทุ่มออกเรือ”
ผู้คุมหนุ่มนาม ชิโอะ ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเอ่ยถาม “แต่ว่า เบนิ ทางฝั่งนั้นเค้านัดหมายสองทุ่มน่ะสิ”
“ส่งนกไป อ้างว่านักโทษก่อการจลาจล และกำลังคุมตัวลงเรือ แค่นี้พอแล้ว นักโทษก่อการจราจลน่ะมันเกิดขึ้นบ่อยออก”
ซาอิขมวดคิ้ว”ทำไมต้องตอนสามทุ่มครับ”
“หน้านี้ เรือออกตอนสามทุ่ม กว่าจะไปถึงจุดนัดหมาย ก็เที่ยงคืน นี่ก็ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้วเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนนั้น หมอกก็จะลงหนา พรางตาศัตรูได้นะ”
“แล้วถ้าหมอกไม่ลงล่ะครับ”
คนถูกถามเหยียดยิ้ม “เงยหน้ามองฟ้าสิ”
นินจาผิวซีดทำตาม
“ตำแหน่งของดาว มันบอกชัดนะ อาจจะมีการคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ก็ไม่เกินเที่ยงคืน เราสามารถพรางตา พวกอีกาได้”
“อีกา อีกาไหน”
“พวกที่นายปะทะกันที่ ร้านยายคาเอเดะยังไงล่ะ พวกนั้นจัดการฆ่านินจามาก็มาก ชั้นเองก็ยังจัดการลำบากเลย ครั้งที่แล้ว พวกนั้นต้องการจับเป็นอิโนะเลยใช้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตอาบเข็ม ดีที่ร้านนั่นมียาถอนนะ แต่คราวนี้อันตรายพอดู เพราะมันอาจจะใช้ยาพิษที่แค่แผลเท่าแมวข่วนก็จองศาลาได้น่ะนะ”
“ดูคุณไม่กลัวเลยนะ ทำไมถึงทุ่มเทขนาดนั้น”...ไม่ต่างจากพวกนารูโตะเลย...
ซากุระยิ้มหวาน แววตาสีเขียวมรกตส่องประกายแม้จะมีหน้ากากจิ้งจอกสีขาวแดงกั้นไว้แต่ก็ไม่อาจบดบังประกายบนดวงตาได้“ก็เพราะพวกนั้นไม่เคยทิ้งชั้น ชั้นก็จะไม่ทิ้งพวกนั้น และถ้าเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชั้นต้องการจริงๆคือการได้ตายพร้อมกับพวกนั้น”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจากร่างบาง ทำให้ซาอิตะลึง เพราะมันช่างหนักแน่น และเด็ดเดียวยิ่งนัก ประกอบกับรอยยิ้มแบบนั้น รอยยิ้มที่เธอยิ้มออกมา เค้ารู้เลยว่ามันมาจากใจจริงของเธอ มิตรภาพของเธอกับเพื่อนๆช่างยิ่งใหญ่เสียจริง
...
“เฮ้อ...คิดถึงเบนิว่ะ”หนุ่มผิวเข้ม ผมสีน้ำตาลแสนยุ่งเหยิง ในชุดนักโทษสีตุนๆ เอ่ยขึ้น
“ผมก็เหมือนกัน ไม่ได้เจอหน้าเลย เจอกันทีก็ใส่หน้ากากตลอด”หนุ่มผมสีเงินเอ่ยจบก็ถอดใจเฮือกใหญ่
“ชั้นเองก็อยากเจอนะ”หนุ่มผมชมพูตัดสั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า แววตาสีฟ้าฉายแววอ่อนแสง ป่านนี้ เธอคงจะได้รับจดหมายจากเราแล้วสินะ
“ลื้อไม่ต้องมาพูดเลยบันไซ ลื้อนั่นแหละตัวลี!! ลื้อได้เจอหน้าอาเบนิมาแล้ว อย่ามาพูด!!”หนุ่มผิวเข้มหน้าตาตี๋ๆมีเชื้อสายจีนโวยใส่
ปึ๊ด! ความอดทนหมดลง ไอ้ที่อุตส่าห์เก๊กไว้แตกหมด “ไอ้พวกพูดไม่อยากจะชัด หุบปากไปเลย ถึงชั้นจะได้เจอยัยนั่นบ่อยก็เถอะแต่มันก็ยังใส่หน้ากากจิ้งจอกนะโว้ย!!”
หนุ่มผมสีเงินเอ่ยลอยๆ “แรงดีจริงจริ๊ง สองคนนี้ ริวโอคุงเนี่ย พอไม่มีเบนิ ให้เถียงด้วย ก็มาเถียงกับบันไซคุงแทน น่าสงสารๆ ” ถึงยังไง เค้ารู้ดีว่า เธอคนนั้นจะต้องมาช่วยพวกเค้าแน่นอน อ่า ใช่ ตอนนี้ พวกเค้าถูกจับเป็นนักโทษ รอประหาร จากความผิดที่ไม่ได้ทำ เอาง่ายๆ โดนใส่ร้าย แย่จริง
...
เมื่อใกล้เวลาที่จะออกเรือ ทหารเอโดะร่วม สามสิบชีวิต ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์ ยืนเข้าแถวต่อหน้าเบนิ โดยมี พวกของอิโนะ ซาอิ ซามุยและอากิระ ยืนดูอยู่ไม่ห่าง
ซากุระสูดลมหายใจก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “ใครที่รักตัวกลัวตาย จงอย่าขึ้นเรือ ส่วนใครที่พร้อมจะตายก็ขึ้นเรือ แล้วทำตามแผนที่วางไว้ซะ!”
เหล่าทหารไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไร ทุกคนเตรียมใจที่จะตายอยู่แล้ว และพวกเค้าก็ไว้ใจ หัวหน้าของพวกเค้า เธอจะไม่ยอมให้ใครตายแน่นอน
“ชุน”
เจ้าของนามก้าวเข้ามาข้างหน้า
หญิงสาวหยิบซองบางอย่างออกมา “ เอาไปอ่านระหว่างทาง เมื่อถึงเวลา ชิโอะจะบอกนายเอง ฝากด้วยนะชิโอะ”
“วางใจเถอะ แล้วตัวเธอ...”
“ชั้นจะแยกไปอีกทาง”
ผู้คุมหนุ่มขมวดคิ้ว”ยังไง ทางบนฟ้า ก็มีพวกนาราคุจับตาดู จะดำน้ำไปรึไง ทางมันไกล อึดมากรึไง”
“ใช่ ดำน้ำไป”
“จะบ้าเหรอ เดี๋ยวโดนฉลามงาบหรอก”ชิโอะ ก็เป็นคนหนึ่ง ที่แอบชอบหญิงสาว เค้าไม่ชอบเลยที่เธอทำตัวเสี่ยงๆแบบนี้
หญิงสาวเท้าสะเอวยิ้มแย้ม“นี่ ชั้นมีวิธีของชั้นน่า ชั้นไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นเหยื่อฉลามหรอก เตรียมอุปกรณ์ดำน้ำไซส์มินิมาแล้ว ”ว่าจบก็ชูอุปกรณ์ดำน้ำขนาดพกพารุ่นใหม่ล่าสุดออกมา แล้วก็เกิดควันขาว พอควันจางหาย จากชุกทหารที่สวมอยู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นชุดดำน้ำรัดรูปสีดำ พร้อมที่จะดำน้ำเต็มที่ “งั้น ฝากที่เหลือด้วยนะ” ว่าจบก็คาบอุปกรณ์ดำน้ำถอดหน้ากาก แล้วสวมแว่นตากันน้ำ แล้ววิ่งกระโดดลงทะเลไปโดยที่ใครก็ห้ามไม่ทัน
อิโนะเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเพื่อนรัก “คัมภีร์เปลี่ยนชุด”เป็นคัมภีร์ที่จะช่วยเปลี่ยนที่สวมอยู่เป็นอีกชุดโดย ชุดที่สวมอยู่ก่อนจะถูกเก็บไว้ในคัมภีร์แทน
ชิโอะสบถอย่างหัวเสีย “จริงๆเลย ทุกคนขึ้นเรือ ทำตามแผนที่วางไว้! พวกคุณก็ด้วย”
ทั้งหมดถูกพาขึ้นเรือไป เรือขนส่งนักโทษที่ปราศจากนักโทษได้แล่นไป ท่ามกลางบรรยากาศคลื่นทะเลสงบ
...
ระหว่างที่เรือแล่นไปที่นัดหมาย เวลานี้ก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ซาอิที่อยู่ใต้ท้องเรือกับอิโนะ อากิระและซามุย รู้สึกว่าในตอนนี้ เริ่มมีหมอกมาปกคลุม
“นี่คุณซากุระคำนวณไว้หมดเลยเหรอเนี่ย”
“ดาราศาสตร์”
อากิระเอ่ยขึ้น ก่อนจะมายืนข้างๆซาอิ “มันคือศาสตร์การดูดาว ใช้คำนวณสภาพอากาศ เป็นศาสตร์ที่ยาก ถ้าคนไม่เข้าใจมัน”
“คุณรู้ด้วยเหรอ”
“ผมดูดาวไม่เก่งหรอก รู้แค่ว่าดาวเหนืออยู่ไหนก็ดีถมแล้ว แต่เบนิจัง เค้าเก่งมากๆเลยนะครับ สามารถทำได้ขนาดนี้”
ซาอิพยักหน้ารับรู้ เค้าต้องยอมรับว่า หญิงสาวที่เป็นเพื่อนร่วมทีมคนนี้ช่างเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ในด้านการเป็นนินจา เธอช่างดูสูงค่า ใครก็ชื่นชมและงานนี้ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดล่ะนะ
ชิโอะตรงเข้ามา “พวกนายรีบไปที่เรือบดเร็ว”
“ทำไมคะ”
“อย่าถามเลยครับ เราต้องรีบแล้ว”
ทั้งถูกลงมาที่เรือบด ชิโอะกำชับสามหนุ่มที่ทำหน้าที่ฝีพาย
“รีบพายล่วงหน้าไปให้ไกลเลย”
ซาอิเอ่ยถาม “ไกลแค่ไหนครับ”
ชิโอะเอ่ยหน้าตาย “พายไปให้ไกลพอที่จะหลบแรงระเบิด ชั้นต้องทำหน้าที่ของชั้นแล้ว”
อากิระอ่านแผนออกทันที “อย่าบอกนะว่า จะสละเรือใหญ่กันน่ะ”
ผู้คุมหนุ่มพยักหน้า”ไปซะ”
เมื่อเรือบดลงสู่ผิวน้ำแล้ว สามหนุ่มฝีพาย รีบพายเรืออย่างสุดกำลัง
อิโนะเอ่ยสยองๆ”มิน่าชั้นได้กลิ่นดินปืน ยัยโหนกนะยัยโหนก ทำไมใช้แผนน่ากลัวแบบนี้”
ซาอิเอ่ยปนหอบ”ผมว่า แผนของเค้า น่าจะเป็นการถ่วงเวลา และพรางตาศัตรูนะครับ”
‘ตูม!!!!!!!ๆๆๆๆ’
ทุกคนหยุดผายเรือ แล้วหันไปข้างพร้อมกัน
ซามุยนึกเสียวสันหลัง “ถ้าเราลงเรือบดช้า จะเป็นยังไงเนี่ย”
“ก็เละน่ะสิ”
ทุกคนผงะกับบุคคลปริศนา ที่พูดขึ้นมา
“ยัยโหนก!?”
คนถูกทักยิ้มหวาน“ไง เจอกันแล้วนะ”
ซาอิเหวอรับประทาน “คุณครองแชมป์ดำน้ำมารึไงครับ”
“ใครจะดำน้ำมาให้เปลื้องแรงล่ะ ชั้นใช้ไอ้นี่” หญิงสาวชูบางอย่างขึ้นมา
“นั่นคืออะไรครับ”เท่าที่เค้าเห็นมัน เหมือนเจทสกี ที่เอาไว้เล่นบนผิวน้ำไม่มีผิด
“เจทสกีดำน้ำ ที่พวกทหารเรือใช้ตอนเก็บกู้ซากเรือน่ะ ท่านปู่ซื้อให้เป็นของขวัญนานแล้วแหละ”แถมมีการแลบลิ้นตบท้าย อย่างทะเล้นๆ
“แล้วทำไมแกไม่ขึ้นเรือมาพร้อมเราล่ะ”
“โทด’ทีนะอิโนะ ชั้นมีงานที่ต้องทำ ขอแนะนำว่า ให้ไปจอดที่ริมฝั่งนั้นจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะครับ คุณซากุระ”
“ที่เกาะซาโกมะนั่น มีหินชนิดพิเศษ ที่ทำให้นินจาไม่สามารถใช้พลังจักระได้ ไปตรงที่ชั้นชี้”ซาอิมองไปตามทิศที่หญิงสาวชี้ “จะไม่มีหินแบบนั้นนะ อิโนะกับอากิระ ก็จะสามารถช่วยปฐมพยาบาลคนเจ็บได้ งานนี้อาจมีคนเจ็บเยอะนะ ชั้นต้องพึ่งพวกนายแล้วนะ ไปก่อนล่ะ”ว่าจบก็คาบอุปกรณ์ดำน้ำขนาดพกพาแล้ว ดำน้ำไป
หนุ่มผิวซีดบ่นพลางส่ายหน้า “จะบ้าพลังไปไหนนะเนี่ย ผู้หญิงคนนี้”
อิโนะเองก็นึกไม่ถึงว่า เพื่อนคนนี้มีอะไรให้ตกใจได้เสมอจริงๆ
จากนั้นสามฝีพายหนุ่มก็พายเรือไปตามทิศที่หญิงสาวบอก แต่ระหว่างนั้น พวกเค้าก็เห็น กลุ่มทหารบางส่วนเริ่มพายเรือตามหลังมา
อีกด้าน
เสียงระเบิดดังสนั่นอยู่กลางทะเลนั้น ทำให้สามหนุ่มที่อยู่ในคุกสะดุ้ง ก่อนจะไปดูที่หน้าต่างที่มีลูกกรงกั้น ก็พอรู้ว่ามันเกิดที่กลางทะเลซึ่งไกลจากที่นี่มาก
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าของทั้งสาม
หนุ่มผมชมพูเอ่ยขึ้น “เริ่มแล้วสินะ บอกอะไรไม่เคยเชื่อเลยน้า...เพื่อนคนนี้นิ”
ทางด้านซาสึเกะ
ในตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเดินทางไปที่ซาโกมะ โดยการนั่งยานรบของแคว้นเอโดะนับว่าเร็วดี แต่ที่ช้าก็เพราะมัวแต่เตรียมรวมคน ยังกะจะไปรบยังไงยังงั้นแหละ แค่ไปช่วยคนสามคน ต้องใช้กองกำลังมากขนาดนี้เชียวรึ
“เฮ้ย ไอ้หนุ่ม”
อุจิวะหนุ่มหันไปหา ก็พบว่ามิคาโดะ สวมเครื่องแบบทหารเต็มยศแล้ว
“แขนซ้ายของแกน่ะ เกิดอะไรขึ้นรึ”
“มีเหตุเกิดขึ้นนิดหน่อย”
“คงไม่นิดหน่อยแล้วมั๊ง”จากสายตาของคนที่อยู่มานาน แม้อาจจะไม่ใช่โลกเดียวกัน แต่ก็พอรู้ว่า มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
“แกรู้จักกับเบนินานแล้วสินะ”
“ก็พอดู”แต่เหมือนไม่รู้จักเธอเลย...โดยเฉพาะตอนนี้
“ท่าทางเค้าจะไว้ใจเธอน่าดู ถึงได้กล้ามอบหลักฐานสำคัญ ที่สามารถประหารเสี้ยนหนามที่ตำตาตำใจเรามานานได้แบบนี้”
ชายหนุ่มไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อ
มิดาโตะนำบุหรี่ขึ้นมาสูบม้วนหนึ่ง ก่อนจะส่งให้ชายหนุ่ม “สักม้วนไหม”
ซาสึเกะส่ายหน้าปฏิเสธ
มิคาโดะหยิบไฟแช็กมาจุด ก่อนจะสูดมะเร็งเข้าปอดทีหนึ่งแล้วพ่นลมหายใจออกมา
“แปลกดีนะ ที่เบนิ กล้าไว้ใจคนที่รู้จักในระดับหนึ่งอย่างเธอมาส่งของสำคัญให้แบบนี้”
“ผมกับเธอรู้จักกันมาประมาณ เจ็ดแปดปีน่ะครับ”
“ก็นานอยู่นะ แต่ทำไมพูดราวกับว่าไม่รู้จักเค้าเลยล่ะ”
“ตอนนี้ ผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเธอคนนั้นเลย”
“ถ้าชั้นเป็นเบนิ ก็ไม่อยากให้ใครอ่านความคิดตัวเองได้หรอกนะ” คนอายุมากนึกอยากปลอบคนหนุ่มที่ดู ‘ จ๋อย ’ “ แต่เบนิ เค้าก็ไว้ใจเธอมากชั้นเดาว่าคนอย่างมันน่าจะมีเพื่อนเยอะ แต่ทำไมเจาะจงเธอก็ไม่รู้สินะ”
ซาสึเกะรู้สึกว่าคนตรงหน้าพยายามปลอบใจเค้า แต่ ถ้าเจ้าหล่อนไว้ใจ ทำไมถึงส่งไอ้วิญญาณบ้านี่มาด้วย!!แถมตอนนี้หายไปไหนก็ไม่รู้
“ทำไมพวกคุณอวยยศให้สูงล่ะครับ”
“โอ้ รู้สินะว่าเค้ากินตำแหน่งอะไร”
“ก็พอรู้บ้าง แต่ทำไมถึงเป็นเธอล่ะ”
“เค้า ฉลาด และตำแหน่งกำลังว่าง บอกได้แค่นี้ เพราะเหตุผลจริงๆมันเป็นเรื่องของวงในน่ะนะ”
...
หลังจากดำน้ำมาถึงที่หมายแล้ว ซากุระก็จัดการเปลี่ยนจากชุดดำน้ำรัดรูปเป็นชุดทหาร ที่มีดาบกับแส้ “คัมภีร์นี่สะดวกจัง งานนี้ต้องขอบคุณเท็นเท็นซะแล้วสิ”
...
สามหนุ่มที่อยู่ในคุกกันคนละห้องนั้น มองไปที่นอกหน้าต่างบานเล็กๆ
หนุ่มผมเงินเอ่ยขึ้นลอยๆ”ไม่นึกว่าเบนิคุง จะใช้แผนตบตาศัตรูแบบนี้นะครับ”
“นั่นสิน่อ แผนเบนสายตาของอาเบนิเนี่ย เบสิกจริงๆ”
หนุ่มชมพูไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร สายของเค้าไม่ได้มองไปที่นอกหน้าต่าง แต่เป็นวิญญาณสีดำ ที่ปรากฏตรงหน้าเค้าต่างหาก
‘ผมต้องคุยกับท่านทางจิตสินะครับ’
‘ชั้นปรากฏให้เพื่อนเธอเห็นก็ได้นะ’
‘อ่า อย่าเลยครับ พอดี ผมไม่ค่อยชินน่ะ ผมไม่อยากให้ความลับที่ผมกับยัยนั่น เป็นเชื้อสายท่าน แตกนะครับ’
‘นั่นสินะ ชีวิตพวกเธอคงไม่สงบแน่ ความจริงเบื้องบนเค้ารู้อยู่แล้ว ’
‘ถึงได้ระแวงผมdy[ยัยนั่น โดยเฉพาะผม ’
‘ประมาณนั้น ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะมาถึงเกาะนี้แล้วนะ’
“อ๊าคคค!!!/ฉัวะๆๆๆ”
“โครม!”ร่างอันเทอะทะที่ไร้ชีวิตของเหล่านักฆ่ากระเด็นไปอีกฟาก ถามว่าทำไมถึงได้รู้ว่าตายไปแล้วน่ะเหรอ ง่ายมาก ก็ร่างนั้นไม่มีหัวไปแล้วนี่นา เลือดสาดกระจายเชียว
“ไง”คำทักทายที่แสนสั้นและเรียบง่าย
“อาเบนิ/เบนิคุง/เบนิ”สามหนุ่มเรียกเจ้าของนามพร้อมกัน
“ยังอยู่ดีสินะ ถอยไป”
สามหนุ่มทำตามแต่โดยดี
หญิงสาวผมชมพูที่สวมหน้ากากจิ้งจอกขาวแดง จัดการใช้ดาบฟันลูกกรงออก
หนุ่มผมชมพูเท้าสะเอว“กุญแจมีทำไมไม่ใช้”
หญิงสาวชูพวงกุญแจที่มีมากมายเกือบร้อยดอก ทำเอาสามหนุ่มถึงบางอ้อ จากนั้นหญิงสาวก็โยนคัมภีร์ออกมาสามม้วน “เสื้อผ้ากับอาวุธพวกนาย ชั้นเอามาใส่แล้ว แค่สะบัดคัมภีร์ อย่าช้า”
ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน ก่อนจะรับคัมภีร์ที่มีชื่อของตนมาแล้วสะบัดออก
บุ๋ง
จากชุดนักโทษสีตุนๆก็เปลี่ยนเป็นชุดตัวเก่งของทั้งสาม
ริวโอนั้น สวมชุดตำรวจสีดำ ซึ่งจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมเสื้อสูทหนังสีดำขนาดพอดีตัวทับ เข้าคู่กับกางเกงสีเดียวกันและรองเท้าหนัง ที่เอวมีเข็มขัดเส้นโตเหน็บดาบคาตานะยาว และสวมผ้าคลุมไหล่สีดำทับอีกที
ของเรมเป็นเครื่องแบบตำรวจที่มีความคล้ายกับของริวโอ แต่จะต่างกันตรงที่ เครื่องแบบของเรมเป็นสีขาวขอบฟ้าอ่อน ดาบที่เหน็บเป็นดาบคู่ และสวมรองเท้าบู๊ทสีขาว
ส่วนของคาโอรุ จะกลายเป็นเครื่องแบบที่คล้ายกับหญิงสาวแต่เครื่องแบบของเค้าเป็นกางเกงขายาวพอดีตัว ข้างเอวเหน็บดาบยาว อีกข้างเหน็บปืนหนึ่งกระบอกพร้อมกระสุน
หนุ่มผมชมพูขยับตัวดู “ว้าว พอดีตัวเลย ขอบใจเบนิ อุ้บ”
ซากุระเข้าโผล่กอดญาติของตัวเอง เธอรู้สึกโล่งใจ ที่เพื่อนที่เธอรักยังปลอดภัย
คนถูกกอดทำตัวไม่ถูก เค้าสังเกตว่า เพื่อนอีกสองคนส่งสายตาอาฆาตใส่เค้าแล้ว
“เอ่อ...เบนิ”
“ดีจัง...”หญิงสาวเอาหน้าซุกที่บ่ากว้าง ในตอนนี้เค้าตัวสูงกว่าเธอแล้ว เมื่อก่อนตัวออกจะเท่ากันแท้ๆ
”ที่หัวยังอยู่กับตัว” หมดกันความซึ้งที่มีมา
“อุ๊บ ฮ่าๆๆ”ริวโอหัวเราะลั่น เรมพยายามกลั้นขำสุดชีวิต
“อาเบนิ ลื้อกังวลเกิงเหตุน่า พวกอั๊วหัวแข็งตายยากอยู่นา...”
ทั้งสองผละจากอ้อมกอด
หนุ่มผมชมพู ทำหน้าฉงน “เธอดำน้ำมา ตัวเย็นเชียว”
สองหนุ่มที่เหลือนิ่งเงียบ
“อืม ชั้นให้พวกนั้น ถ่วงเวลาไว้ เจ้านั่นต้องมาที่นี่แน่ ชั้นเลยลอบมาปล่อยพวกนายก่อน”
เด็กหนุ่มรู้สึกห่วงญาติสาวจับใจ เธออาจจะไม่สบายได้ “ศึกครั้งนี้แกไม่ต้องรบหรอกเบนิ แกหนีไปเถอะ”
หญิงสาวชักสีหน้า“ทำไม เพราะชั้นเป็นผู้หญิงเหรอ”
“ใช่ ร่างกายของแกตอนนี้ อาจจะแย่ได้นะ”
หญิงสาวกระชากคอเสื้อญาติของตน “หญิงชาย ก็คนเหมือนกันนี่หว่า อีกอย่าง ชั้นก็จะขอสู้ไปพร้อมพวกนาย ครั้งนี้ถ้าหากต้องตาย ชั้นก็ยินดีที่จะตายพร้อมกับพวกนาย”
ภาพเมื่อเก้าปีก่อนยังคงติดตา เค้าไม่อยากให้เธอต้องมาตายแบบนั้นนะ
หญิงสาวจึงสวมกอดญาติอีกครั้ง แล้วคลายอ้อมแขน พลางส่งยิ้มให้“อย่าห่วง ชั้นไม่ยอมตายง่ายๆหรอกนะ พวกเราจะสู้ไปด้วยกัน และคว้าชัยชนะมาให้ได้”
ริวโอเข้าแทรกระหว่างกลางของทั้งคู่ “งั้น อั๊วว่าเรา ไปที่สมรภูมิกันเถอะน่อ”
หนุ่มผมเงินรีบยิ้มกลบเกลื่อน ความขุ่นเคืองในใจ แล้วแทรกกลางระหว่างริวโอกับหญิงสาวอีกที“ไปกันเถอะครับ”
“นั่นสินะ ไปกันเถอะ บันไซ”
“อื้อ เบนิ”
“อะไร”
“อย่าอยู่ห่างจากชั้นนะ”
“ได้...ถ้าชั้นยังไม่เจอเหยื่อน่ะนะ”รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนหน้าของหญิงสาวคือ รอยยิ้มที่เหี้ยมโหด เธอพร้อมแล้ว ที่จะสังหารศัตรู
ซากุระนำหน้ากากจิ้งจอกมาสวมทันที
...เอาล่ะ ได้เวลา ‘ล่า’ เจ้าทานุกิแล้ว...
ทางด้านกลุ่มทหารที่จะมาช่วยสามหนุ่ม ในตอนนี้กำลังรวมตัวที่จุดเดียวกับอากิระ อิโนะ ซาอิและซามุยเพื่อปฐมพยาบาล เพราะมีทหารบางส่วนได้รับบาดเจ็บ ความจริงเหตุที่ชิโอะจำต้องระเบิดเรือนั้นเพราะว่า อีกฝั่งดูเหมือนจะรู้ตัวจึงส่งพวกนาราคุ มาในเรือ เค้าจำต้องระเบิดเรือใหญ่แล้วมาขึ้นฝั่งด้วยเรือเล็กแทน เดิมทีแผนแรกกะจะ ให้คนปลอมไปเป็นนักโทษแล้วเนียนไปที่เกาะ แต่เมื่ออีกฝ่ายรู้ตัว ก็จำต้องใช้แผนสองแทน
อิโนะเองก็กีดเร้นจักระรักษาอย่างลำบาก เพราะเกาะซาโกมะ มีหินชนิดพิเศษที่สลายพลังจักระได้ แต่ตรงนี้ถือว่ายังดี ที่สามารถกีดเร้นจักระได้บางส่วน โดยเธอจะสมานแผลใหญ่ๆเท่านั้น ส่วนที่เหลืออากิระจะเป็นคนปฐมพยาบาลเอง ที่ๆพวกเค้าหลบอยู่คือ ถ้ำเล็กๆที่อยู่ไม่ห่างจากเชิงผาอันเป็นที่ตั้งของที่จองจำนักโทษของเอโดะ เธอรู้สึกหนาวมาก ดีที่อากิระนำเสื้อกันหนาวมาให้ด้วย มิน่า ยายคาเอเดะถึงได้บอกว่า ที่นี่เป็นเหมือนนรก แล้วคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นยังไงนะ...เพราะงี้สินะ เธอถึงมาช่วยเพื่อนของเธอน่ะ...
เหล่าซามูไรที่ได้รับการปฐมพยาบาลแล้วก็พากันไปที่เชิงผาที่สูงตะหง่าน ยากที่จะปีนขึ้นไป
ชิโอะจึงให้ซามูไรที่เป็นลูกน้อง นำตะขอติดเชือกออกมา แล้ว จัดการเหวี่ยงให้ตะขอเกี่ยวกับก้อนหินที่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักคนได้ จากนั้นก็ทยอยกันปีนผา หน้าผาแห่งนี้นับว่าปีนยากมาก เพราะหินลื่น ทำเอาซามูไรหลายคน เกือบตกลงมาแล้ว
ซาอิพยายามเสนอตัวช่วย แต่ปรากฏว่า เค้าไม่สามารถใช้คาถานินจาได้ ...มิน่า คุณซากุระถึงบอกพวกเรา ให้หนีกลับหมู่บ้านไปซะ...แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอ ต้องโดนประกาศจับก็เพราะเค้านี่นา ตอนนั้น เค้าจำได้ เมื่อเห็น ท่านดันโซ อ่านประวัติสมาชิกทีม7 คนอื่น สีหน้าในตอนนั้น เหมือนดีใจ มิน่า...ค่าหัวของเบนิก็มาก ถึงยี่สิบห้าล้านเยน ซึ่งมากพอที่จะใช้เป็นงบประมาณสำหรับก่อกบฏได้ แถมถ้าจับเพื่อนอีกสามคนได้ ก็จะได้ถึงร้อยล้านเรียว
ขณะที่กำลังใจลอยคิดนู่น คิดนี่ ซาอิก็โดนบางสิ่งเฉียดหน้าเข้า
นินจาหนุ่มผิวซีดหันไปมองก็พบว่า มันคือลูกธนู
“แย่ล่ะสิ พวกนั้นดักทางเรา”
นินจาผิวซีดรีบชักดาบสั้นออกมา รับมือกับพวกนาราคุ จำนวนสิบคน ที่มีอาวุธครบมือ
แต่เพียงชั่วพริบตา ซามุยก็ชักคาตานะ ออกมาจัดการด้วยฝีมือ ทำเอาซาอิตะลึง กับฝีมือของซามุย ที่เก่งกาจเอาเรื่อง ซามูไรหนุ่มตะคอกปนหอบ“อย่ามัวแต่มอง ขอรับ เดี๋ยวตายหรอก ขอรับ”
ขอโทษที ที่คิดว่านายเจ๋ง
อีกด้าน
ห่าธนูได้พุ่งใส่ เหล่าทหารที่พยายามปีนผา ต่างพยายามหลบตามซอกผา กันจ้าระหวั่น
เมื่อห่าธนูหยุดลง
“เตรียม!ชุดที่สอง”
ชิโอะ และทหารคนอื่น หน้าซีด แค่นี้ก็เกือบจะตกผาแล้ว
ฝ่ายพวกนาราคุ ที่กำลังเตรียมยิงธนูชุดที่สอง
‘เผียะๆๆๆ!’
ปลายแส้ได้ฟาดเข้าที่มือของเหล่านักแม่นธนู แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขยับอะไร
‘ปังๆๆๆๆๆ!’
นักแม่นธนูและตัวคนที่สั่งการก็โดนยิงที่ศีรษะเรียบร้อยแล้ว
ตัวหัวหน้า สั่งการคนที่เหลือ “ระวังตัว ศัตรูอยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
“ไม่นึกว่า เราจะได้เจอกันที่นี่นะ ชินจูโร่”
นักฆ่าหนุ่มหันไปทางต้นเสียงก็พบกับ ตัวต้นเหตุ ที่เป็นถึงศัตรูคู่อาฆาตของเค้า
“โผล่หางออกมาแล้วนะ นังจิ้งจอก”
ร่างของคนทั้งสี่ปรากฏบนเชิงผาสูง เรมยังคงถือปืนยาวที่เพื่อนสาวนำมาให้ พวกนาราคุกลุ่มหนึ่งพยายามจะวิ่งขึ้นมาจัดการ ก็โดนหนุ่มผมสีเงินกับหนุ่มผมสีชมพูยิงด้วยปืนแล้ว
“เน่ๆ ลืมพวกอั๊วแล้วรึ ไอ้หน้าบาก”ริวโอเอ่ยอย่างหมั่นไส้เต็มที
ชินจูโร่ประกาศลั่น “ฆ่าพวกมันซะ!”
ชิโอะ กับทหารที่ปีนผามาได้ตะโกน “บุก!!!!!”
สี่หนุ่มสาวเองก็ ชักดาบลงไปปะทะกับพวกนักฆ่านาราคุเช่นกัน
ริวโอ โยนก้อนหินใหญ่ใส่กลุ่มนักฆ่าทำเอา เหล่านักฆ่าที่พยายามปีนมาโดนหินทับตายไปมาก
บางส่วนโดนเรมและบันไซสอยด้วยปืนยาว
สงครามได้เริ่มขึ้น ต่างฝ่ายต่างปะทะกันด้วยฝีมืออย่างไม่มีใครยอมใคร
ทางด้านของซาอิ ที่ตอนนี้ โดนร่างของซามุยที่โดนเตะจนกระแทกตน สองหนุ่มพยายามลุกอย่างทุลักทุเล ขณะที่ เหล่านักฆ่ากำลังจะใช้ดาบแทงร่างของทั้งคู่ในคราวเดียว
‘ฉัวๆๆ/ตุ้บ!’
ศีรษะของนักฆ่าทั้งหมดร่วงลงพื้น เลือดพุ่งออกจากลำคอราวกับน้ำพุร่างล้มตึง
“โอเคมั้ย”เสียงหวานที่คุ้นเคยร้องถาม
“คุณซากุระ”
“ท่านเบนิ”
ร่างของซากุระในเครื่องแบบทหาร ที่ตอนนี้หน้าแทบหนึ่งและตามตัวเต็มไปด้วยเลือด
ซาอิเอ่ยอย่างเป็นกังวล “คุณบาดเจ็บเหรอ”
หญิงสาวตอบด้วยท่าทีสบายๆ “นี่ไม่ใช่เลือดชั้น ไหวไหม”
“พอไหวครับ”
“เดี๋ยวชั้นจะแบ่งกำลังมาที่นี่ ลำพังนายกับซามุยรับมือไม่ไหวแน่”ว่าจบก็ตะโกน“อิชิโร่ ซาบุ เรนิน มาช่วยซามุยคุ้มกันหน่วยแพทย์”
ซามูไรหนุ่มสามคนที่กำลังจะปีนผาตามพยักหน้าก่อนจะวิ่งมาช่วยคุ้มกัน
จากนั้นหญิงสาว ก็นำดาบสองเล่มที่ถืออยู่ปักลงกับพื้น แล้วหยิบแส้ออกมาติดกับตะขอ แล้วเหวี่ยงไปที่บนหน้าผา แล้วกดที่สวิตช์ หญิงสาวลอยขึ้นไปตามแรงดึงของสลิง หญิงสาวเหวี่ยงร่างของตนขึ้นสู่ยอดผาอย่างคล่องแคล้ว
ซาอิมองอย่างตะลึงๆ เก่งเกินไปแล้วนะ
ซามูยตะโกนเสียงแหบพร่า“อย่ามัวแต่เหมอสิขอรับ เดี๋ยวก็ตายหรอก”
ทางด้านซากุระ ที่กำลังจะปลดตะขอที่เกาะหน้าผา
เธอเห็นเงาทะมึนมาคลุมตัว พอหันไป ร่างที่ถือดาบหมายจะฟันเธอ แต่ร่างนั้นต้องชะงักค้าง เมื่อ โดนดาบแทงทะลุกลางอก
“อย่าเหม่อสิ เบนิ แล้วดาบล่ะครับ”
“ลืมแฮะ”หญิงสาวรีบคว้าดาบในมือศพแล้วแทงนักฆ่าที่อยู่ข้างหลัง “จัดการเรื่องนี้ให้จบๆเถอะ”
หญิงสาวกระชับดาบในมือให้มั่น แล้วจัดการเข้าฟาดฟันศัตรูได้ฝีมือและพละกำลัง
แต่ด้วยจำนวนที่เสียเปรียบ ทำให้ทั้งหมดถูกเหล่านักฆ่า ล้อมเอาไว้ ทุกคนต่างบาดเจ็บกันถ้วนหน้า
“ฮ่าๆๆ ไม่นึกว่าจะได้เจอพวกแกอีกนะ ไอ้พวกเด็กผี”ยามาซารุ ขุนนางวัยห้าสิบกว่า ร่างอ้วนฉุ อยู่บนเชิงผามองมาที่ศัตรูทั้งสี่ ด้วยสายตาชิงชัง
เบนิ บันไซ เรมและริวโอ หน้าหงิกเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดยิ้ม
เบนิ “แหมๆ นึกว่าใคร ที่แท้ก้อนไขมันเดินดินนี่เอง”
ริวโอ “ไม่ช่ายๆ เบนิ มันเป็นแค่ ขยะ ต่างหาก”
เรม “ริวโอคุง มันไม่ใช่ขยะนะ ขยะน่ะ ยังเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่นี่คือ สิ่งที่ต้องกำจัด”
บันไซ “เห็นด้วยอย่างที่สุด และเรามีหน้าที่กำจัดมัน”
ขุนนางร่างอ้วนกัดฟันกรอด”ฆ่ามัน ใครฆ่าไอ้เวรสี่คนได้ เงินพันล้านจะเป็นมันผู้นั้น!”
เหล่านักฆ่าต่างกรูกันเข้ามาหา คนทั้งสี่ ที่เตรียมรับมืออยู่แล้ว
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้
ซากุระพุ่งเข้าไปจัดการกับชินจูโร่อย่างบ้าเลือด ทางด้านนักฆ่าหนุ่มที่เป็นศัตรูเก่าที่พกความแค้นมาเต็มอก ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
ถึงหญิงสาวจะมีฝีมือแต่ว่า ตอนนี้เรี่ยวแรงที่มี กำลังจะหมดลง ทำให้ในตอนนี้เธอต้องกัดฟันรับดาบของศัตรู
ในจังหวะที่จะโดนฟันนั้น หนุ่มผมชมพูก็เอาดาบมากันไว้ได้ทันการณ์
“บันไซ!”
“ถอยไปเลยเบนิ งานนี้ชั้นขอฉายเดี่ยวเอง”
เรมรีบดึงตัวหญิงสาวให้มาอยู่ข้างตัว
“เรมชั้นยัง ว่ะ..”
“พักซักครู่ก่อนครับ”
ริวโอหยิบก้อนหินขนาดมหึมา เขวี้ยงใส่
‘ชิ้ง!ๆๆๆ’
ชินจูโร่ ใช้ดาบในมือฟันก้อนดินที่พุ่งมาจนแหลก
“ย้ากกกกกกกกกกก!!!”หนุ่มผมชมพูพุ่งเข้าจู่โจ่มนักฆ่าหนุ่มหน้าบากทันที
สองหนุ่มปะทะกันด้วยฝีมือ
ชินจูโร่ปาดินใส่หน้าหัวชมพู จนเค้าปัดเศษดินที่ปามาใส่หน้า นักฆ่าหน้าบากจึงอาศัยจังหวะนี้จะแทงอีกฝ่าย
‘ชิ้ง’
ดาบของเค้าถูกสกัดโดย ดาบของสองหนุ่ม ริวโอและเรม
“ลอบกัดเก่งจิงน่อ”
“อย่าหวังจะจัดการเพื่อนผมได้เลยนะครับ”
หญิงสาวรีบวิ่งไปหาเพื่อนแล้วรีบนำขวดน้ำขนาดเล็กที่พกมาล้างตาให้ “ประมาทจริงๆเลยนายน่ะ”
นักฆ่าหนุ่มเห็นอย่างนั้นจึงกระโดดถอยออกมาแล้ว กระโดดขึ้นเหยียบไหล่สองหนุ่ม ไปหมายจะฟันร่างของหนุ่มสาวผมชมพู
หญิงสาวตาไวจึงเอาตัวกันร่างหนุ่มผมชมพู ได้ทัน
‘ฉึก!’
“อึก”คมดาบของนักฆ่าหน้าบาก ทำให้หลังของเธอเป็นบาดแผลยาว เธอจึงปลดผ้าคลุมปาใส่หน้านักฆ่าหนุ่ม
บันไซไม่รอช้า อาศัยจังหวะที่ศัตรูกำลังจะดึงผ้าคลุมที่มาคลุมหน้า จัดการฟันอีกฝ่าย
ชินจูโร่หลบได้ทันการณ์แต่ก็ไม่พ้นรัศมีคมดาบ ทำให้กลางอกเค้ามีรอยแผลจากการถูกฟันเป็นทางยาว
ซากุระกัดฟันกรอด เพราะพวกตนนั้นไม่สามารถออกจากวงล้อมของศัตรูได้เลย ด้วยจำนวนที่อีกฝ่ายมากกว่า และในตอนนี้ ทหารทุกคนรวมทั้งเธอ ต่างบาดเจ็บ แรงเริ่มหมด หญิงสาวกำลังประมวลผลหาทางรอดในสมอง ขณะที่สายตายังคงจับจ้องศัตรู
ร่างที่นอนบนต้นไม้ลืมตาตื่น “ท่านทาเคโนะมารุ เนี่ยนิสัยไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ”เด็กสาวผมชมพูบ่นเบาๆ “ดีนะ ที่แวบไปดูก่อน อีกเดี๋ยวคงจะไปเจอกับพวกนั้นแล้วสิจะไหวไหมนะ” ร่างบางส่ายหน้า แล้วตบแก้มเบาๆ “อย่าใส่ใจๆเราเองก็ต้องไปทำงานของเราเหมือนกัน”
...
หนึ่งวันที่อยู่ที่ร้านสวรรค์ระทม ซาอิ อิโนะและซามุย ไม่ได้ออกจากร้านไปไหนตามคำแนะนำของโรส
ซึ่งซาอิเองก็ยังไม่อยากจะปะทะกับพวกนักฆ่าในยามนี้ เพราะความจริงสภาพร่างกายของเค้าเองก็บาดเจ็บมากพอควร ถึงจะไม่เท่าซาสึเกะกับซามุยก็เถอะ
“เครียดอะไรนักหนา ไอ้หนู”
“เออ คุณโรส”
กระเทยร่างยักษ์นั่งลงข้างๆ “ถ้ากังวลเรื่องที่จะต้องสู้ในสงครามที่จะต้องเกิดล่ะก็ อย่าไปกังวลเลย เพราะพวกเธอไม่ต้องสู้”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“เอาไว้คืนพรุ่งนี้ก็รู้เอง ไปพักเอาแรงเถอะ พรุ่งนี้เช้าตรู่พวกเธอก็ต้องลอบออกจากที่นี่ไปยังชายฝั่งที่นัดหมายน่ะนะ”
“ไกลมากเลยเหรอครับ”
“ใช่ นี่น่ะ คือเมืองหลักของแคว้นนะ ทางใต้น่ะไม่ใช่ใกล้ๆ ถ้าขืนไปตอนกลางวันแสกๆเดี๋ยวก็เกิดจลาจลอีก ขอตัวล่ะ อ้อ อย่าไปกังวลกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยนะ จะเครียดซะเปล่าๆ”
เช้าตรู่วันต่อมา
อากิระ ได้ลอบพา ซาอิ อิโนะ และซามุย ออกเดินทางไปยังชายฝั่งที่ๆ ได้นัดหมายไว้ การเดินทาง จำต้องเลี่ยงในตัวเมืองเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ซึ่งการเดินทางนั้นนับว่า ช้าพอสมควรเพราะต้องขนชุดปฐมพยาบาลไปจำนวนมาก นั่นกลายเป็นสัญญาณว่า ต้องเกิดสงครามขนาดย่อมแน่ๆ
...
ในตอนเที่ยง ทั้งหมดนั่งพักกินข้าวที่ใต้ต้นสน ที่ไม่ไกลจากทะเล
“อีกไกลไหมคะ”อิโนะถามเสียงอ่อย ก็เล่นเดินทางมาตั้งแต่เช้า แทบไม่ได้พักกันเลย สองหนุ่มเอโดะเองก็เดินอึดทนมาก ไม่บ่น มีแต่เธอเนี่ยแหละ ซาอิใช้นกก็ไม่ได้ เพราะถ้ามีพวกนินจาเข้ามาในแคว้น อาจจะเกิดเรื่องใหญ่
อากิระกลืนข้าวปั้นลงคอก่อนจะตอบสาวผมทอง“อีกไกลครับ ประมาณ ทุ่มหนึ่ง ถ้าเรายังเดินทางด้วยความเร็วแบบนี้ เราก็จะถึงจุดนัดหมาย”
อิโนะนึกอยากจะถามสามหนุ่มว่าเหนื่อยไหม เพราะเธอเหนื่อยมาก
อากิระที่เดาความคิดของหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวได้ จึงเอ่ยดัก “ผมเองก็เหนื่อยนะครับ แต่ตอนนี้ พวกเราต้องรีบเดินทาง เพราะเพื่อนคนสำคัญกำลังรอเราอยู่”
“คุณรู้ความคิดชั้นเหรอคะ”
“ดูสีหน้าก็รู้แล้วครับ”
ซาอิเอ่ยอย่างยิ้มๆ”รักเพื่อนกันจังนะครับ”
“ใช่แล้วครับ และอีกอย่าง ทำเพื่อให้เธอคนนั้นมีรอยยิ้มที่อย่างสดใสเหมือนก่อนอีกครั้ง แค่นั้นก็พอใจแล้วล่ะครับ”
“รอยยิ้มนั่นมีค่ามากเลยเหรอครับ”
“มีค่ามากสิครับ เพราะนั่นคือรอยยิ้มของคนสำคัญ ไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอคนนั้น ก็หายเหนื่อยแล้ว สำหรับเบนิจังแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงแค่ไหน เธอก็จะยิ้มปลอบใจเสมอ”
“กล้าสนิทกับเค้าด้วย ดีจังเลยนะครับ”
อากิระเลิกคิ้วพลางมองชายผิวซีด“ก็พวกเราเคยเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ครับ แปลกตรงไหน”
ซาอิพยักหน้า“นั่นสินะครับ”
หลังจากพักกินข้าวเสร็จ ก็เดินทางกันต่อ
สภาพอากาศนับว่าเย็นสบาย
ซามุยเอ่ยขึ้น”ใกล้หน้าหนาวแล้วเหรอเนี่ย”
“รู้ได้ยังไงคะ”
“อ๋อ แคว้นเอโดะ เมื่อเข้าหน้าหนาว ลมก็จะเย็นแบบนี้แหละขอรับ ถึงจะเป็นช่วงกลางวัน ก็จะไร้แสงแดด ก็แค่นั้นขอรับ”
การเดินทางนับว่าไม่ลำบากอะไร แต่ระยะทางนั้นไกลมาก ท่อนขาของอิโนะเริ่มปวดหนึบๆ ร่างกายร้องประท้วงว่าต้องพัก
ซามุยจึงย่อกายลง “คุณอิโนะเชิญขี่หลังผมเลย ขอรับ”
“เอ๋ จะดีเหรอคะ”
“ถึงยังไงคุณก็เป็นผู้หญิง และเป็นเพื่อนของท่านเบนิ ท่านคงจะตำหนิผมแน่ ที่ปล่อยให้เพื่อนของท่านต้องปวดขาแบบนั้น”
อิโนะหน้าขึ้นสี”ก็ได้ค่ะ”
ซาอิขมวดคิ้ว เค้าไม่ชอบใจเอาเสียเลย”
อากิระหันมาเอ่ยถาม “คุณซาอิก็ไม่ไหวเหรอครับ ขี่หลังผมก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
หนุ่มผิวซีดสังเกตเห็นหลุมศพของใครบางคน ที่ตั้งอยู่ใต้ต้นสนที่อยู่ไม่ไกล หลุมศพนั้นเป็นหลุมศพที่ใหญ่ ที่ดูเหมือนว่าจะเพิ่งมีคนมาเซ่นไหว้ได้ไม่นาน เพราะเค้าได้กลิ่นธูปหอม ลอยมา
“เอ่อ นั่นหลุมศพใครเหรอครับ”
“อ๋อ นั่นน่ะ คือหลุมศพของท่านทาเคโนะมารุ วีรบุรุษ ของซามูไรแคว้นเอโดะครับ”อากิระหันไปทางหลุมศพ แล้วยกมือไหว้
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ”
“มันคือความปรารถนาของท่านครับ ก่อนท่านจะจากไป ท่านได้บอกให้น้องชายนำท่านมาฝังไว้ที่นี่ครับ”
“ทำไม พวกคุณถึงยกย่องคนๆนั้นล่ะครับ”
“ชาวเอโดะจะรู้จักท่านในนามนักสืบ ไม่ว่าคดีจะยากแค่ไหน ท่านก็จะไขได้หมด และยังเป็นผู้นำกบฏสิบตระกูลนำกองกำลังซามูไรทั้งแคว้นมาจัดการ เจ้านายตระกูลหนึ่ง ที่ใช้อำนาจไปในทางที่ผิดครับ”
“เค้ามีอำนาจมากเลยเหรอครับ”
“ครับ ท่านทาเคโนะมารุ จากเรื่องที่คุณพ่อผมเล่าให้ฟัง เหตุมันมาจากน้องสาวของเพื่อนรักของท่าน ชื่อ ชิสึ ถูกเจ้านายจะขืนใจแต่เธอขัดขืนรอดมาได้ เจ้านายคนนั้นเจ็บใจมากเลย ลงโทษโดยการสั่งคว้านท้อง สำหรับซามูไรนั้น ไม่อาจขัดได้ เจ้านายคนนั้นก็เอาแต่ใจ เห็นลูกสาวหรือเมียใครสวยก็ฉุดคร่าไปทั่ว ซามูไรที่ไม่ชอบใจก็สั่งประหาร ซามูไรตระกูลใหญ่ สิบตระกูล จึงรวมกองกำลังทหารทั้งแคว้นบุกปราสาทแห่งนั้น โดยให้ท่านทาเคโนะมารุเป็นผู้นำ คุณพ่อเล่าว่า ปราสาทหลังนั้น ลูกเมียของเจ้านายคนนั้นถูกจับ ท่านทาเคโนะมารุเลยสาปแช่ง เจ้านายคนนั้น ว่าตระกูลของเจ้าจะไม่ถูกผู้ใดรู้จัก ความดีที่เคยทำจะไม่มีใครจดจำ สิ่งที่จดจำมีแต่ความชั่วร้ายที่เจ้าทำเท่านั้น ส่วนตัวเจ้าที่เป็นคนใจบาป จะทรมานด้วยโรคร้าย ไร้คนเหลียวแล มีแต่คนจดจำความชั่วร้ายของเจ้าไปชั่วกัลป์ชั่วกันต์ “
“รวมคนเพื่อสาปแช่งน่ะเหรอ”ซาอิพยายามกลั้นขำ
ซามุยเอ่ยขึ้น”ถ้าคนในตระกูลชิอินะรู้ คุณจะหัวหลุด ข้อหาดูหมิ่นบรรพบุรุษเค้านะขอรับ แถมการฆ่าคนในเขตที่อยู่ของตัวเอง สำหรับแคว้นนี้ถือว่าไร้ความผิด คุณอากิระกรุณาเล่าให้ครบด้วย”
งานนี้ทำเอาซาอิหุบยิ้มแทบไม่ทัน
อากิระพยักหน้า“อ้อ ผมลืมเล่าไป ในตอนนั้น ทหารตายหมดปราสาท สาเหตุที่ท่านทาเคโนะมารุสาปแช่งนั้น เพราะท่านเห็นว่าฆ่าให้ตายมันสบายเกินไป สู้ให้ทรมานจนตายจะดีกว่า และคุณพ่อก็พูดไว้ว่า เชื้อสายของท่านทาเคโนะมารุ กับท่านเทนเซ ทั้งคู่มีเชื้อสายฝั่งพ่อเป็นคนที่มาจากตระกูล องเมียวจิ นั่นทำให้พวกเค้ามีวาจาสิทธิ์สาปแช่งคนได้ ฝั่งแม่คือเพชฌฆาต ที่มีฝีดาบด้านการประหารคน คุณพ่อเล่าเสริมไปว่า เจ้านายคนนั้นถูกจับไปทรมานสาหัส จนนายเหนือหัวของแคว้นต้องเข้ามาเจรจาขอให้ปล่อยตัว เพราะเป็นเครือญาติ ท่านทาเคโนะมารุจึงยอมปล่อย แต่เจ้านายคนนั้นก็จบชีวิตลงทันที แต่ถึงกระนั้น ท่านเทนเซก็ขอคำสัญญา สามข้อจากนายเหนือของแคว้นในตอนนั้น”
“สัญญาสามข้อ เหรอครับ”
“ครับ หนึ่ง ห้ามพวกเจ้านายยุ่งเกี่ยวกับลูกเมียของซามูไรทุกคน สอง ห้าม สั่งลงโทษประหารโดยปราศจากความผิดร้ายแรง สาม ห้ามลงโทษโดยปราศจากหลักฐานที่ประชาชนรับรู้ โดยจะมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่สิบตระกูลยอมรับคือ จะส่งลูกหลานมาเป็นซามูไร ครับ แต่เหตุการณ์นั้น ท่านทาเคโนะมารุก็โดนลอบยิง ถึงจะรอด แต่พิษจากปืนไฟทำให้จบชีวิตลงในอีกสามเดือน ท่านเลยขอให้มาฝังที่นั่น ซึ่งไม่ไกลจากคฤหาสน์ของตระกูลชิอินะครับ ปกติคฤหาสน์ของตระกูลนี้มีสองที่ อีกที่ อยู่ทางเหนืออยู่บนเขา เหตุการณ์นั้นเลยถูกเรียกว่า กบฏสิบตระกูล ถ้าเราตรงไปหน่อยก็จะเข้าเขตของตระกูลชิอินะแล้วครับ อย่าไปรบกวนเลย เราเดินทางต่อเถอะ”
“ท่าทางจะเป็นตระกูลใหญ่นะครับ”เพราะฟังจากที่อีกฝ่ายเล่า ถึงขนาดมีคฤหาสน์ริมทะเล อีกหลังอยู่บนเขา ท่าทางจะรวยมาก เห็นที เค้าจะต้องระวังคำพูดให้มาก เพราะเค้ารู้สึกถึงจิตสังหารของใครบางคนที่ส่งมา
“ใช่ครับ ก็นั่นคือตระกูลของท่านทาเคโนะมารุนี่ครับ และเห็นคุณพ่อยังบอกว่า ลูกหลานยังคงรับราชการอยู่ แต่ไม่รู้ว่าใคร เพราะทหารไม่ใช้ชื่อจริงกันน่ะนะ”
การเดินทางของทั้งสี่ กินเวลานานมาก ซามุยที่แบกอิโนะนั้นไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยอ่อนเลยสักนิด อิโนะก็แสนจะเกรงใจ แต่ซามุยบอกเองว่ายังไหวก็ไม่อาจจะว่าอะไรได้
อีกด้าน
ซาสึเกะที่ตอนนี้ต้องเดินเท้า ไปยังปราสาทของโชกุนซาบุโร่ เพราะการขี่เหยี่ยวยักษ์มันดูสะดุดตาเกินไป ในใจของอุจิวะหนุ่มแสนรำคาญวิญญาณสีดำ ที่กำลังผิวปากอยู่ข้างตัว ไอ้นี่โคตรรกวนเลย
ขณะที่กำลังเดินทางผ่านป่าสนสัญชาตญาณของนินจาทำงาน
...มีใครกำลังมา...
วิญญาณสีดำเอ่ยอย่างยียวนทั้งรอยยิ้ม “งานเข้าแล้วไอ้หนู อีกา มันมาจิกซากแล้ว ว่าแต่ที่นี่มีซากให้มันจิกกินรึเปล่าน้า...”
อุวิจะหนุ่มชักดาบออกมา เตรียมพร้อมที่จะสู้
กลุ่มนักฆ่าที่แต่งกายคล้ายนักบวช ตัวหัวหน้าสั่งการ
“ฆ่ามัน!!”
กลุ่มนักฆ่าที่ล้อมหน้าหลังไว้ บุกเข้าจู่โจม
ชายหนุ่มที่ระวังตัวอยู่แล้วก็เข้าจัดการ ฝีมือนักฆ่าแต่ล่ะคน นับว่าร้ายกาจมาก! นี่เธอต้องรับมือกับไอ้พวกนี้ตลอดเลยเหรอ
งานนี้ซาสึเกะได้รับบทเรียนจากครั้งก่อน จึงระวังตัวมากกว่าเดิม รอบที่แล้วประมาทไปหน่อย แต่รอบนี้อย่าหวังเลย
การต่อสู้นับว่ากินเวลาพอสมควร เพราะ อีกฝ่ายมีถึงสามสิบ ส่วนเค้าแค่ตัวคนเดียวแถมแขนเดียวอีก!
กว่าจะจัดการหมดก็เล่นเอาแรงแทบหมด
“เหนื่อยชิบ”
“อะไรกัน คนหนุ่มสมัยนี้ มีแรงแค่นี้เองรึ”
“พูดยังกับว่าคุณไม่เคยเหนื่อย”
“ชั้นเคยเจอศึกที่หนักกว่านี้ก็เยอะนะ ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่น่ะ”
“ทำไมยังไม่ไปเกิดล่ะ”
“เพราะเด็กคนนั้น”
“หมายความว่ายังไง”
วิญญาณสีดำยิ้มละไม“พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจ แต่ถ้าไม่ตอบเธอก็จะทำให้ชั้นรำคาญ...ก็แค่...อยากเฝ้ามองเด็กคนนั้น อยากเห็นเด็กคนนั้นเติบโต อยากเห็นเธอยิ้ม อยากคอยปกป้อง อยากจะโอบกอดยามเศร้า ”
“นี่แก เป็นทวดเค้านะเว้ย พูดแบบนั้นมัน...”
“แล้วไง ก็พ่อเค้ายกให้ชั้นเองนี่”
คำพูดนั้นทำเอาเค้าตะลึงและงุนงง หมายความว่ายังไง ทำไม ไอ้วิญญาณนี่พูดจริงเหรอ “หมายความว่ายังไง”
“คิดเอาเอง เร่งเดินทางเถอะ อีกเดี๋ยวก็ถึงปราสาทท่านโชกุนแล้ว ถ้าแกไม่รีบชั้นสิงแกแน่”
ซาสึเกะจำใจต้องเร่งฝีเท้าไปยังปราสาทเบื้องหน้าทันที
เมื่อมาถึงปราสาท ก็พบว่า มีกองกำลังทหารอยู่รอบปราสาท
“ต้องการอะไร”ทหารยามหน้าปราสาทร้องถาม
งานนี้เค้าไม่รู้ว่าพูดอะไรออกไป ถ้าจะพูดโต้งๆเลยเหรอว่า มาขอพบ ท่านโชกุนซาบุโร่ จะเกิดศึกนองเลือดอีกรึเปล่า
วิญญาณสีดำพ่นลมหายใจ”ช่วยไม่ได้”
ทาเคโนะมารุจำต้องเข้าสิงร่างนินจาหนุ่มเสียแล้ว
“นำของสำคัญจากคนที่ชื่อเบนิ มามอบให้ท่านโชกุน”
พอได้ยินชื่อเบนิ ทหารยาม ก็สะดุ้งโหยง ก่อนจะโค้งคารวะอย่างนอบน้อม “รอสักครู่ขอรับ”ทหารยามคนหนึ่งรีบเข้าไปในปราสาททันที
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”วิญญาณสีดำออกจากร่างทันที “บอกไว้ก่อน ถ้าใครที่ชั้นไม่อยากให้เห็น ก็จะไม่เห็นชั้น อย่าพูดกับชั้นบ่อยนัก ไอ้หนู”
ซาสึเกะหน้าหงิกลง ใครเค้าอยากจะคุยกับแกวะ แต่ดูท่า ยัยนั่น จะตำแหน่งใหญ่โตจริงแฮะ
ไม่นาน ทหารยามที่หายไปก็กลับมา พร้อมผายมือเชิญ “เชิญข้างในขอรับ ท่านโชกุนกับท่านมิคาโดะรออยู่”
ซาสีเกะถูกนำมาที่ห้องรับรองที่ๆขุนนางมิคาโดะ ที่ปรึกษาคนสนิทกับท่านโชกุนที่นั่งอยู่หลังม่านรออยู่
อุจิวะหนุ่มนำชุดเอกสารที่แม่ตัวดีฝากมาให้
มิคาโดะอ่านอยู่ครู่ก่อนจะส่งให้คนที่อยู่หลังม่าน
“ได้พบเบนิรึเปล่า ไอ้หนุ่ม”
“ไม่ครับ”
มิคาโดะพยักหน้าอย่างรับรู้ ก่อนจะหันหน้าไปสั่งคนที่อยู่ข้างนอก “เตรียมกองกำลังและยานรบ ให้พร้อม เราจะไปที่ซาโกมะ !”ขุนนางชราออกจากห้องไป
“ขอบใจเจ้ามาก”
ซาสึเกะหันไปหาคนที่อยู่หลังม่าน”ขอบคุณเรื่องอะไรครับ”
“ช่วยรักษาชีวิตทหารกล้าของเราไว้”
“ไม่เป็นไร เพราะผมเองก็อยากจะปกป้องเธอคนนั้นเหมือนกัน”
“คนไหน? เบนิเหรอ อ้าว เจ้าเป็นไม้ป่าเดียวกันรึ?”
“ไม่ใช่!”
“ก็มิคาโดะพูดเอาไว้นี่นา ว่าเบนิ คือว่าที่เขยในอนาคตนิ”
“ยัยนั่นเป็นผู้หญิงนะครับ!”ได้ไง ยัยนั่นชอบผู้ชายแน่นอน เค้ามั่นใจ
“ฮ่าๆเราล้อเล่น เค้าเป็นคนมีเสน่ห์จริงๆนะ เหมือนกับท่านทาเคโนะมารุ บรรพบุรุษ ของเค้าจริงๆ”
“งั้นเหรอครับ ผมขอตัว”ไม่อยากฟัง เรื่องของไอ้คนกวนโอ๊ยแล้ว
“จะไปช่วยเค้าเหรอ?”
“ใช่”
“ไปพร้อมกันสิ ยังไง ไปพร้อมกับเราก็ถึงเร็วกว่าอยู่แล้ว”
...
อีกด้าน
สองนินจา หนึ่งซามูไรและคุณหมอ ก็เดินทางมาถึงท่าเรือร้าง ที่มีแต่เรือเก่าๆที่ใกล้จะเป็นซาก
“ใช่ที่นี่เหรอคะ”
“ใช่ครับ จุดนัดพบคือ สุสานเรือ ที่นี่เรือขนนักโทษจะมาจอดที่ท่านี้”
อิโนะรู้สึกใจคอไม่ดี แค่ชื่อก็ไม่อยากมาแล้ว แถมบรรยากาศก็น่ากลัว พอหกโมงเย็น ก็มืดแล้ว แถม ที่นี่ก็มีแต่ฝูงอีกา
ซาอิรู้สึกถึงบางสิ่งที่อยู่ข้างหลังจึงชักดาบสั้นออกมาปะทะกับคาตานะสั้น ของใครบางคน รูปร่างนั้นเล็ก มีเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำคลุมหัว และสวมหน้ากากจิ้งจอกสีขาว-แดงครึ่งหน้า ริมฝีปากจิ้มลิ้มนั้นกำลังแสยะยิ้ม จิตสังหารของคนตัวเล็กนั้นมันน่ากลัว เรี่ยวแรงก็ไม่ใช่น้อยๆ
สามคนที่เหลือรีบถอยหลัง เตรียมหยิบอาวุธ
คาตานะยาวจากอีกฝ่ายแทงมา ทำเอานินจาผิวซีดต้องกระโดดออกห่าง
“สมกับเป็นหน่วยราก แต่นี่...ยังไม่ดีพอ”
ร่างนั้นพุ่งเข้าฟาดฟันด้วยดาบคาตานะสั้นและยาวอย่างช่ำช่อง นินจาผิวซีดหันไปหาคนอื่น ก็พบว่ายังยืนนิ่ง
“เน่..อย่าสนใจคนอื่นซี่”
ซาอิโดนอีกฝ่ายชกไปทีหนึ่งก่อนจะโดนดาบจ่อที่คอ
อากิระส่ายหน้าก่อนจะตรงเข้ามาห้าม “เบนิจัง เล่นแรงไปแล้วนะ”
อิโนะมองคนสวมหน้ากาก อย่างตะลึงนั่นรึเพื่อนเธอ ฝีมือการใช้ดาบถือว่าร้ายกาจแถมยังมาโดยที่เธอไม่รู้ตัวซะด้วย
“ฮ่าๆโทดทีน้า...พอดีมันเป็นคนปากฟาร์มสุนัข เกิดหมั่นไส้น่ะ”เด็กสาวเก็บดาบทั้งสองเล่มฝัก
“ท่านเบนิ”ซามุยรีบคุกเข่าต่อหน้าทันที
พอร่างนั้นเลิกผ้าคลุมขึ้น ก็เผยให้เห็นว่า ผมสีลูกกวาดที่ควรจะยาวกลับตัดสั้นจนดูเหมือนเด็กผู้ชาย แต่ใบหน้ายังคงสวมหน้ากากจิ้งจอกสีขาว แดง ครึ่งใบหน้าอยู่
“ขอบใจนะอิโนะ ที่ยอมช่วยชั้น”
“ซากุระเหรอ?”
ร่างบางปลดหน้ากาก เผยให้เห็นใบหน้าของเพื่อนรักเต็มตา ที่ตอนนี้ดูเท่ มาก
“ขอสวมหน้ากากก่อนนะ เดี๋ยวเจอกับเจ้าบ้านั่น เกิดงงอีก”เธอสวมหน้ากากอีกครั้ง แล้วหันไปหาซามุยที่คุกเข่า
“ขอบใจนะ”
“ขอรับ”
“เพราะนาย ชิกิเลยรอดตายน่ะ”
สีหน้าของซามุยริ่มมีน้ำตาปริ่มๆอย่างน้อยใจ นี่เห็นอีกามีค่ากว่าเหรอ T^T
อีกาเผือกชิกิ ก็โผล่บินมาเกาะที่ไหล่ “กา กา”
“นกตัวนั้น”ซาอิ อุทานอย่างจำได้ มันป็นนกตัวเดียวที่บินในป่าวันนั้น
“สัตว์เลี้ยงชั้นกับเจ้าพวกสามบ้าน่ะ ชื่อชิกิ เป็นอีกาเผือก แสนรู้เหมือนคนเลย น่ารัก จุ๊บๆ”หญิงสาวจุ๊บที่อีกาเผือกที่ยื่นหน้ามาอย่างออดอ้อน
งานนี้ทำเอาซาอินึกขยาด ถ้าเกิดพูดอะไรไม่เข้าหูล่ะก็ หัวอาจจะหลุดออกจากบ่าได้ เพราะเมื่อกี้เธอจะฆ่าเค้า ก็ทำได้ แต่ ไม่ทำ เธอต้องการขู่เค้าเท่านั้น
อากิระเอ่ยถามหญิงสาว“เบนิจัง เอาไงต่อ”
“ซาโกมะจะมีการขนย้ายนักโทษในวันนี้ การขนย้าย จะมีเรือมารับกลางทาง เรือขนย้ายนักโทษอยู่ฝั่งเราทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“อากิระ นายกับพวกอิโนะไปเรือขนย้ายนะ ชั้นจะแยกไปอีกทาง ส่วนเรือขนย้าย ส่วนที่เหลือไป อากิระ นายน่ะ อยู่ทางด้านล่างหน้าผาเถอะ ไม่ต้องสู้หรอก เป็นหน่วยพยาบาลก็พอ ซามุยนายคุ้มกันพวกเค้านะ”
“ขอรับ”
“เบนิจัง ผมก็จะ..”
ยังไม่ทันที่อากิระจะเอ่ยจบ“ไม่ต้องสู้หรอก งานนี้เรามีหน้าที่ถ่วงเวลา นายกับอิโนะช่วยรักษาคนที่บาดเจ็บเถอะ”
“แต่...ผมไม่อยากให้เบนิจังต้องเจ็บตัวอีกนะ ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากให้...”
ซากุระเข้ามาตบบ่าอากิระเบาๆ”อย่าห่วงเลย ชั้นไม่ตายง่ายขนาดนั้นหรอก เชื่อชั้นเถอะ”
อิโนะคิดในใจ...ถ้าซาสึเกะคุงมาเห็นจะคิดยังไงล่ะเนี่ย...
ไม่นาน กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ก็มา ซากุระจึงเข้าไปสั่งการคนเหล่านั้น อิโนะกับซาอิสังเกตว่า คนเหล่านั้นดูเคารพเพื่อนของเธอมาก
คนกลุ่มหลังที่มาสมทบคือเหล่า ทหารภายใต้บังคับบัญชาของเธอและเพื่อนของเธอเองและอีกส่วนคือกรมราชทัณฑ์ ซึ่งพวกเค้าก็ไม่ชอบขุนนางยามาซารุอยู่แล้วให้ความร่วมมือด้วย
“ท่านเบนิ เราจะเริ่มกันเมื่อไหร่ขอรับ”หนึ่งในทหารนั้นร้องถาม
“สามทุ่มออกเรือ”
ผู้คุมหนุ่มนาม ชิโอะ ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเอ่ยถาม “แต่ว่า เบนิ ทางฝั่งนั้นเค้านัดหมายสองทุ่มน่ะสิ”
“ส่งนกไป อ้างว่านักโทษก่อการจลาจล และกำลังคุมตัวลงเรือ แค่นี้พอแล้ว นักโทษก่อการจราจลน่ะมันเกิดขึ้นบ่อยออก”
ซาอิขมวดคิ้ว”ทำไมต้องตอนสามทุ่มครับ”
“หน้านี้ เรือออกตอนสามทุ่ม กว่าจะไปถึงจุดนัดหมาย ก็เที่ยงคืน นี่ก็ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้วเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนนั้น หมอกก็จะลงหนา พรางตาศัตรูได้นะ”
“แล้วถ้าหมอกไม่ลงล่ะครับ”
คนถูกถามเหยียดยิ้ม “เงยหน้ามองฟ้าสิ”
นินจาผิวซีดทำตาม
“ตำแหน่งของดาว มันบอกชัดนะ อาจจะมีการคลาดเคลื่อนเล็กน้อย ก็ไม่เกินเที่ยงคืน เราสามารถพรางตา พวกอีกาได้”
“อีกา อีกาไหน”
“พวกที่นายปะทะกันที่ ร้านยายคาเอเดะยังไงล่ะ พวกนั้นจัดการฆ่านินจามาก็มาก ชั้นเองก็ยังจัดการลำบากเลย ครั้งที่แล้ว พวกนั้นต้องการจับเป็นอิโนะเลยใช้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตอาบเข็ม ดีที่ร้านนั่นมียาถอนนะ แต่คราวนี้อันตรายพอดู เพราะมันอาจจะใช้ยาพิษที่แค่แผลเท่าแมวข่วนก็จองศาลาได้น่ะนะ”
“ดูคุณไม่กลัวเลยนะ ทำไมถึงทุ่มเทขนาดนั้น”...ไม่ต่างจากพวกนารูโตะเลย...
ซากุระยิ้มหวาน แววตาสีเขียวมรกตส่องประกายแม้จะมีหน้ากากจิ้งจอกสีขาวแดงกั้นไว้แต่ก็ไม่อาจบดบังประกายบนดวงตาได้“ก็เพราะพวกนั้นไม่เคยทิ้งชั้น ชั้นก็จะไม่ทิ้งพวกนั้น และถ้าเป็นสิ่งสุดท้ายที่ชั้นต้องการจริงๆคือการได้ตายพร้อมกับพวกนั้น”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจากร่างบาง ทำให้ซาอิตะลึง เพราะมันช่างหนักแน่น และเด็ดเดียวยิ่งนัก ประกอบกับรอยยิ้มแบบนั้น รอยยิ้มที่เธอยิ้มออกมา เค้ารู้เลยว่ามันมาจากใจจริงของเธอ มิตรภาพของเธอกับเพื่อนๆช่างยิ่งใหญ่เสียจริง
...
“เฮ้อ...คิดถึงเบนิว่ะ”หนุ่มผิวเข้ม ผมสีน้ำตาลแสนยุ่งเหยิง ในชุดนักโทษสีตุนๆ เอ่ยขึ้น
“ผมก็เหมือนกัน ไม่ได้เจอหน้าเลย เจอกันทีก็ใส่หน้ากากตลอด”หนุ่มผมสีเงินเอ่ยจบก็ถอดใจเฮือกใหญ่
“ชั้นเองก็อยากเจอนะ”หนุ่มผมชมพูตัดสั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า แววตาสีฟ้าฉายแววอ่อนแสง ป่านนี้ เธอคงจะได้รับจดหมายจากเราแล้วสินะ
“ลื้อไม่ต้องมาพูดเลยบันไซ ลื้อนั่นแหละตัวลี!! ลื้อได้เจอหน้าอาเบนิมาแล้ว อย่ามาพูด!!”หนุ่มผิวเข้มหน้าตาตี๋ๆมีเชื้อสายจีนโวยใส่
ปึ๊ด! ความอดทนหมดลง ไอ้ที่อุตส่าห์เก๊กไว้แตกหมด “ไอ้พวกพูดไม่อยากจะชัด หุบปากไปเลย ถึงชั้นจะได้เจอยัยนั่นบ่อยก็เถอะแต่มันก็ยังใส่หน้ากากจิ้งจอกนะโว้ย!!”
หนุ่มผมสีเงินเอ่ยลอยๆ “แรงดีจริงจริ๊ง สองคนนี้ ริวโอคุงเนี่ย พอไม่มีเบนิ ให้เถียงด้วย ก็มาเถียงกับบันไซคุงแทน น่าสงสารๆ ” ถึงยังไง เค้ารู้ดีว่า เธอคนนั้นจะต้องมาช่วยพวกเค้าแน่นอน อ่า ใช่ ตอนนี้ พวกเค้าถูกจับเป็นนักโทษ รอประหาร จากความผิดที่ไม่ได้ทำ เอาง่ายๆ โดนใส่ร้าย แย่จริง
...
เมื่อใกล้เวลาที่จะออกเรือ ทหารเอโดะร่วม สามสิบชีวิต ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์ ยืนเข้าแถวต่อหน้าเบนิ โดยมี พวกของอิโนะ ซาอิ ซามุยและอากิระ ยืนดูอยู่ไม่ห่าง
ซากุระสูดลมหายใจก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น “ใครที่รักตัวกลัวตาย จงอย่าขึ้นเรือ ส่วนใครที่พร้อมจะตายก็ขึ้นเรือ แล้วทำตามแผนที่วางไว้ซะ!”
เหล่าทหารไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไร ทุกคนเตรียมใจที่จะตายอยู่แล้ว และพวกเค้าก็ไว้ใจ หัวหน้าของพวกเค้า เธอจะไม่ยอมให้ใครตายแน่นอน
“ชุน”
เจ้าของนามก้าวเข้ามาข้างหน้า
หญิงสาวหยิบซองบางอย่างออกมา “ เอาไปอ่านระหว่างทาง เมื่อถึงเวลา ชิโอะจะบอกนายเอง ฝากด้วยนะชิโอะ”
“วางใจเถอะ แล้วตัวเธอ...”
“ชั้นจะแยกไปอีกทาง”
ผู้คุมหนุ่มขมวดคิ้ว”ยังไง ทางบนฟ้า ก็มีพวกนาราคุจับตาดู จะดำน้ำไปรึไง ทางมันไกล อึดมากรึไง”
“ใช่ ดำน้ำไป”
“จะบ้าเหรอ เดี๋ยวโดนฉลามงาบหรอก”ชิโอะ ก็เป็นคนหนึ่ง ที่แอบชอบหญิงสาว เค้าไม่ชอบเลยที่เธอทำตัวเสี่ยงๆแบบนี้
หญิงสาวเท้าสะเอวยิ้มแย้ม“นี่ ชั้นมีวิธีของชั้นน่า ชั้นไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นเหยื่อฉลามหรอก เตรียมอุปกรณ์ดำน้ำไซส์มินิมาแล้ว ”ว่าจบก็ชูอุปกรณ์ดำน้ำขนาดพกพารุ่นใหม่ล่าสุดออกมา แล้วก็เกิดควันขาว พอควันจางหาย จากชุกทหารที่สวมอยู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นชุดดำน้ำรัดรูปสีดำ พร้อมที่จะดำน้ำเต็มที่ “งั้น ฝากที่เหลือด้วยนะ” ว่าจบก็คาบอุปกรณ์ดำน้ำถอดหน้ากาก แล้วสวมแว่นตากันน้ำ แล้ววิ่งกระโดดลงทะเลไปโดยที่ใครก็ห้ามไม่ทัน
อิโนะเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเพื่อนรัก “คัมภีร์เปลี่ยนชุด”เป็นคัมภีร์ที่จะช่วยเปลี่ยนที่สวมอยู่เป็นอีกชุดโดย ชุดที่สวมอยู่ก่อนจะถูกเก็บไว้ในคัมภีร์แทน
ชิโอะสบถอย่างหัวเสีย “จริงๆเลย ทุกคนขึ้นเรือ ทำตามแผนที่วางไว้! พวกคุณก็ด้วย”
ทั้งหมดถูกพาขึ้นเรือไป เรือขนส่งนักโทษที่ปราศจากนักโทษได้แล่นไป ท่ามกลางบรรยากาศคลื่นทะเลสงบ
...
ระหว่างที่เรือแล่นไปที่นัดหมาย เวลานี้ก็ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ซาอิที่อยู่ใต้ท้องเรือกับอิโนะ อากิระและซามุย รู้สึกว่าในตอนนี้ เริ่มมีหมอกมาปกคลุม
“นี่คุณซากุระคำนวณไว้หมดเลยเหรอเนี่ย”
“ดาราศาสตร์”
อากิระเอ่ยขึ้น ก่อนจะมายืนข้างๆซาอิ “มันคือศาสตร์การดูดาว ใช้คำนวณสภาพอากาศ เป็นศาสตร์ที่ยาก ถ้าคนไม่เข้าใจมัน”
“คุณรู้ด้วยเหรอ”
“ผมดูดาวไม่เก่งหรอก รู้แค่ว่าดาวเหนืออยู่ไหนก็ดีถมแล้ว แต่เบนิจัง เค้าเก่งมากๆเลยนะครับ สามารถทำได้ขนาดนี้”
ซาอิพยักหน้ารับรู้ เค้าต้องยอมรับว่า หญิงสาวที่เป็นเพื่อนร่วมทีมคนนี้ช่างเก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ในด้านการเป็นนินจา เธอช่างดูสูงค่า ใครก็ชื่นชมและงานนี้ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดล่ะนะ
ชิโอะตรงเข้ามา “พวกนายรีบไปที่เรือบดเร็ว”
“ทำไมคะ”
“อย่าถามเลยครับ เราต้องรีบแล้ว”
ทั้งถูกลงมาที่เรือบด ชิโอะกำชับสามหนุ่มที่ทำหน้าที่ฝีพาย
“รีบพายล่วงหน้าไปให้ไกลเลย”
ซาอิเอ่ยถาม “ไกลแค่ไหนครับ”
ชิโอะเอ่ยหน้าตาย “พายไปให้ไกลพอที่จะหลบแรงระเบิด ชั้นต้องทำหน้าที่ของชั้นแล้ว”
อากิระอ่านแผนออกทันที “อย่าบอกนะว่า จะสละเรือใหญ่กันน่ะ”
ผู้คุมหนุ่มพยักหน้า”ไปซะ”
เมื่อเรือบดลงสู่ผิวน้ำแล้ว สามหนุ่มฝีพาย รีบพายเรืออย่างสุดกำลัง
อิโนะเอ่ยสยองๆ”มิน่าชั้นได้กลิ่นดินปืน ยัยโหนกนะยัยโหนก ทำไมใช้แผนน่ากลัวแบบนี้”
ซาอิเอ่ยปนหอบ”ผมว่า แผนของเค้า น่าจะเป็นการถ่วงเวลา และพรางตาศัตรูนะครับ”
‘ตูม!!!!!!!ๆๆๆๆ’
ทุกคนหยุดผายเรือ แล้วหันไปข้างพร้อมกัน
ซามุยนึกเสียวสันหลัง “ถ้าเราลงเรือบดช้า จะเป็นยังไงเนี่ย”
“ก็เละน่ะสิ”
ทุกคนผงะกับบุคคลปริศนา ที่พูดขึ้นมา
“ยัยโหนก!?”
คนถูกทักยิ้มหวาน“ไง เจอกันแล้วนะ”
ซาอิเหวอรับประทาน “คุณครองแชมป์ดำน้ำมารึไงครับ”
“ใครจะดำน้ำมาให้เปลื้องแรงล่ะ ชั้นใช้ไอ้นี่” หญิงสาวชูบางอย่างขึ้นมา
“นั่นคืออะไรครับ”เท่าที่เค้าเห็นมัน เหมือนเจทสกี ที่เอาไว้เล่นบนผิวน้ำไม่มีผิด
“เจทสกีดำน้ำ ที่พวกทหารเรือใช้ตอนเก็บกู้ซากเรือน่ะ ท่านปู่ซื้อให้เป็นของขวัญนานแล้วแหละ”แถมมีการแลบลิ้นตบท้าย อย่างทะเล้นๆ
“แล้วทำไมแกไม่ขึ้นเรือมาพร้อมเราล่ะ”
“โทด’ทีนะอิโนะ ชั้นมีงานที่ต้องทำ ขอแนะนำว่า ให้ไปจอดที่ริมฝั่งนั้นจะดีกว่า”
“ทำไมล่ะครับ คุณซากุระ”
“ที่เกาะซาโกมะนั่น มีหินชนิดพิเศษ ที่ทำให้นินจาไม่สามารถใช้พลังจักระได้ ไปตรงที่ชั้นชี้”ซาอิมองไปตามทิศที่หญิงสาวชี้ “จะไม่มีหินแบบนั้นนะ อิโนะกับอากิระ ก็จะสามารถช่วยปฐมพยาบาลคนเจ็บได้ งานนี้อาจมีคนเจ็บเยอะนะ ชั้นต้องพึ่งพวกนายแล้วนะ ไปก่อนล่ะ”ว่าจบก็คาบอุปกรณ์ดำน้ำขนาดพกพาแล้ว ดำน้ำไป
หนุ่มผิวซีดบ่นพลางส่ายหน้า “จะบ้าพลังไปไหนนะเนี่ย ผู้หญิงคนนี้”
อิโนะเองก็นึกไม่ถึงว่า เพื่อนคนนี้มีอะไรให้ตกใจได้เสมอจริงๆ
จากนั้นสามฝีพายหนุ่มก็พายเรือไปตามทิศที่หญิงสาวบอก แต่ระหว่างนั้น พวกเค้าก็เห็น กลุ่มทหารบางส่วนเริ่มพายเรือตามหลังมา
อีกด้าน
เสียงระเบิดดังสนั่นอยู่กลางทะเลนั้น ทำให้สามหนุ่มที่อยู่ในคุกสะดุ้ง ก่อนจะไปดูที่หน้าต่างที่มีลูกกรงกั้น ก็พอรู้ว่ามันเกิดที่กลางทะเลซึ่งไกลจากที่นี่มาก
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าของทั้งสาม
หนุ่มผมชมพูเอ่ยขึ้น “เริ่มแล้วสินะ บอกอะไรไม่เคยเชื่อเลยน้า...เพื่อนคนนี้นิ”
ทางด้านซาสึเกะ
ในตอนนี้ชายหนุ่มกำลังเดินทางไปที่ซาโกมะ โดยการนั่งยานรบของแคว้นเอโดะนับว่าเร็วดี แต่ที่ช้าก็เพราะมัวแต่เตรียมรวมคน ยังกะจะไปรบยังไงยังงั้นแหละ แค่ไปช่วยคนสามคน ต้องใช้กองกำลังมากขนาดนี้เชียวรึ
“เฮ้ย ไอ้หนุ่ม”
อุจิวะหนุ่มหันไปหา ก็พบว่ามิคาโดะ สวมเครื่องแบบทหารเต็มยศแล้ว
“แขนซ้ายของแกน่ะ เกิดอะไรขึ้นรึ”
“มีเหตุเกิดขึ้นนิดหน่อย”
“คงไม่นิดหน่อยแล้วมั๊ง”จากสายตาของคนที่อยู่มานาน แม้อาจจะไม่ใช่โลกเดียวกัน แต่ก็พอรู้ว่า มันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
“แกรู้จักกับเบนินานแล้วสินะ”
“ก็พอดู”แต่เหมือนไม่รู้จักเธอเลย...โดยเฉพาะตอนนี้
“ท่าทางเค้าจะไว้ใจเธอน่าดู ถึงได้กล้ามอบหลักฐานสำคัญ ที่สามารถประหารเสี้ยนหนามที่ตำตาตำใจเรามานานได้แบบนี้”
ชายหนุ่มไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรต่อ
มิดาโตะนำบุหรี่ขึ้นมาสูบม้วนหนึ่ง ก่อนจะส่งให้ชายหนุ่ม “สักม้วนไหม”
ซาสึเกะส่ายหน้าปฏิเสธ
มิคาโดะหยิบไฟแช็กมาจุด ก่อนจะสูดมะเร็งเข้าปอดทีหนึ่งแล้วพ่นลมหายใจออกมา
“แปลกดีนะ ที่เบนิ กล้าไว้ใจคนที่รู้จักในระดับหนึ่งอย่างเธอมาส่งของสำคัญให้แบบนี้”
“ผมกับเธอรู้จักกันมาประมาณ เจ็ดแปดปีน่ะครับ”
“ก็นานอยู่นะ แต่ทำไมพูดราวกับว่าไม่รู้จักเค้าเลยล่ะ”
“ตอนนี้ ผมไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเธอคนนั้นเลย”
“ถ้าชั้นเป็นเบนิ ก็ไม่อยากให้ใครอ่านความคิดตัวเองได้หรอกนะ” คนอายุมากนึกอยากปลอบคนหนุ่มที่ดู ‘ จ๋อย ’ “ แต่เบนิ เค้าก็ไว้ใจเธอมากชั้นเดาว่าคนอย่างมันน่าจะมีเพื่อนเยอะ แต่ทำไมเจาะจงเธอก็ไม่รู้สินะ”
ซาสึเกะรู้สึกว่าคนตรงหน้าพยายามปลอบใจเค้า แต่ ถ้าเจ้าหล่อนไว้ใจ ทำไมถึงส่งไอ้วิญญาณบ้านี่มาด้วย!!แถมตอนนี้หายไปไหนก็ไม่รู้
“ทำไมพวกคุณอวยยศให้สูงล่ะครับ”
“โอ้ รู้สินะว่าเค้ากินตำแหน่งอะไร”
“ก็พอรู้บ้าง แต่ทำไมถึงเป็นเธอล่ะ”
“เค้า ฉลาด และตำแหน่งกำลังว่าง บอกได้แค่นี้ เพราะเหตุผลจริงๆมันเป็นเรื่องของวงในน่ะนะ”
...
หลังจากดำน้ำมาถึงที่หมายแล้ว ซากุระก็จัดการเปลี่ยนจากชุดดำน้ำรัดรูปเป็นชุดทหาร ที่มีดาบกับแส้ “คัมภีร์นี่สะดวกจัง งานนี้ต้องขอบคุณเท็นเท็นซะแล้วสิ”
...
สามหนุ่มที่อยู่ในคุกกันคนละห้องนั้น มองไปที่นอกหน้าต่างบานเล็กๆ
หนุ่มผมเงินเอ่ยขึ้นลอยๆ”ไม่นึกว่าเบนิคุง จะใช้แผนตบตาศัตรูแบบนี้นะครับ”
“นั่นสิน่อ แผนเบนสายตาของอาเบนิเนี่ย เบสิกจริงๆ”
หนุ่มชมพูไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไร สายของเค้าไม่ได้มองไปที่นอกหน้าต่าง แต่เป็นวิญญาณสีดำ ที่ปรากฏตรงหน้าเค้าต่างหาก
‘ผมต้องคุยกับท่านทางจิตสินะครับ’
‘ชั้นปรากฏให้เพื่อนเธอเห็นก็ได้นะ’
‘อ่า อย่าเลยครับ พอดี ผมไม่ค่อยชินน่ะ ผมไม่อยากให้ความลับที่ผมกับยัยนั่น เป็นเชื้อสายท่าน แตกนะครับ’
‘นั่นสินะ ชีวิตพวกเธอคงไม่สงบแน่ ความจริงเบื้องบนเค้ารู้อยู่แล้ว ’
‘ถึงได้ระแวงผมdy[ยัยนั่น โดยเฉพาะผม ’
‘ประมาณนั้น ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะมาถึงเกาะนี้แล้วนะ’
“อ๊าคคค!!!/ฉัวะๆๆๆ”
“โครม!”ร่างอันเทอะทะที่ไร้ชีวิตของเหล่านักฆ่ากระเด็นไปอีกฟาก ถามว่าทำไมถึงได้รู้ว่าตายไปแล้วน่ะเหรอ ง่ายมาก ก็ร่างนั้นไม่มีหัวไปแล้วนี่นา เลือดสาดกระจายเชียว
“ไง”คำทักทายที่แสนสั้นและเรียบง่าย
“อาเบนิ/เบนิคุง/เบนิ”สามหนุ่มเรียกเจ้าของนามพร้อมกัน
“ยังอยู่ดีสินะ ถอยไป”
สามหนุ่มทำตามแต่โดยดี
หญิงสาวผมชมพูที่สวมหน้ากากจิ้งจอกขาวแดง จัดการใช้ดาบฟันลูกกรงออก
หนุ่มผมชมพูเท้าสะเอว“กุญแจมีทำไมไม่ใช้”
หญิงสาวชูพวงกุญแจที่มีมากมายเกือบร้อยดอก ทำเอาสามหนุ่มถึงบางอ้อ จากนั้นหญิงสาวก็โยนคัมภีร์ออกมาสามม้วน “เสื้อผ้ากับอาวุธพวกนาย ชั้นเอามาใส่แล้ว แค่สะบัดคัมภีร์ อย่าช้า”
ทั้งสามพยักหน้าพร้อมกัน ก่อนจะรับคัมภีร์ที่มีชื่อของตนมาแล้วสะบัดออก
บุ๋ง
จากชุดนักโทษสีตุนๆก็เปลี่ยนเป็นชุดตัวเก่งของทั้งสาม
ริวโอนั้น สวมชุดตำรวจสีดำ ซึ่งจะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมเสื้อสูทหนังสีดำขนาดพอดีตัวทับ เข้าคู่กับกางเกงสีเดียวกันและรองเท้าหนัง ที่เอวมีเข็มขัดเส้นโตเหน็บดาบคาตานะยาว และสวมผ้าคลุมไหล่สีดำทับอีกที
ของเรมเป็นเครื่องแบบตำรวจที่มีความคล้ายกับของริวโอ แต่จะต่างกันตรงที่ เครื่องแบบของเรมเป็นสีขาวขอบฟ้าอ่อน ดาบที่เหน็บเป็นดาบคู่ และสวมรองเท้าบู๊ทสีขาว
ส่วนของคาโอรุ จะกลายเป็นเครื่องแบบที่คล้ายกับหญิงสาวแต่เครื่องแบบของเค้าเป็นกางเกงขายาวพอดีตัว ข้างเอวเหน็บดาบยาว อีกข้างเหน็บปืนหนึ่งกระบอกพร้อมกระสุน
หนุ่มผมชมพูขยับตัวดู “ว้าว พอดีตัวเลย ขอบใจเบนิ อุ้บ”
ซากุระเข้าโผล่กอดญาติของตัวเอง เธอรู้สึกโล่งใจ ที่เพื่อนที่เธอรักยังปลอดภัย
คนถูกกอดทำตัวไม่ถูก เค้าสังเกตว่า เพื่อนอีกสองคนส่งสายตาอาฆาตใส่เค้าแล้ว
“เอ่อ...เบนิ”
“ดีจัง...”หญิงสาวเอาหน้าซุกที่บ่ากว้าง ในตอนนี้เค้าตัวสูงกว่าเธอแล้ว เมื่อก่อนตัวออกจะเท่ากันแท้ๆ
”ที่หัวยังอยู่กับตัว” หมดกันความซึ้งที่มีมา
“อุ๊บ ฮ่าๆๆ”ริวโอหัวเราะลั่น เรมพยายามกลั้นขำสุดชีวิต
“อาเบนิ ลื้อกังวลเกิงเหตุน่า พวกอั๊วหัวแข็งตายยากอยู่นา...”
ทั้งสองผละจากอ้อมกอด
หนุ่มผมชมพู ทำหน้าฉงน “เธอดำน้ำมา ตัวเย็นเชียว”
สองหนุ่มที่เหลือนิ่งเงียบ
“อืม ชั้นให้พวกนั้น ถ่วงเวลาไว้ เจ้านั่นต้องมาที่นี่แน่ ชั้นเลยลอบมาปล่อยพวกนายก่อน”
เด็กหนุ่มรู้สึกห่วงญาติสาวจับใจ เธออาจจะไม่สบายได้ “ศึกครั้งนี้แกไม่ต้องรบหรอกเบนิ แกหนีไปเถอะ”
หญิงสาวชักสีหน้า“ทำไม เพราะชั้นเป็นผู้หญิงเหรอ”
“ใช่ ร่างกายของแกตอนนี้ อาจจะแย่ได้นะ”
หญิงสาวกระชากคอเสื้อญาติของตน “หญิงชาย ก็คนเหมือนกันนี่หว่า อีกอย่าง ชั้นก็จะขอสู้ไปพร้อมพวกนาย ครั้งนี้ถ้าหากต้องตาย ชั้นก็ยินดีที่จะตายพร้อมกับพวกนาย”
ภาพเมื่อเก้าปีก่อนยังคงติดตา เค้าไม่อยากให้เธอต้องมาตายแบบนั้นนะ
หญิงสาวจึงสวมกอดญาติอีกครั้ง แล้วคลายอ้อมแขน พลางส่งยิ้มให้“อย่าห่วง ชั้นไม่ยอมตายง่ายๆหรอกนะ พวกเราจะสู้ไปด้วยกัน และคว้าชัยชนะมาให้ได้”
ริวโอเข้าแทรกระหว่างกลางของทั้งคู่ “งั้น อั๊วว่าเรา ไปที่สมรภูมิกันเถอะน่อ”
หนุ่มผมเงินรีบยิ้มกลบเกลื่อน ความขุ่นเคืองในใจ แล้วแทรกกลางระหว่างริวโอกับหญิงสาวอีกที“ไปกันเถอะครับ”
“นั่นสินะ ไปกันเถอะ บันไซ”
“อื้อ เบนิ”
“อะไร”
“อย่าอยู่ห่างจากชั้นนะ”
“ได้...ถ้าชั้นยังไม่เจอเหยื่อน่ะนะ”รอยยิ้มที่ผุดขึ้นบนหน้าของหญิงสาวคือ รอยยิ้มที่เหี้ยมโหด เธอพร้อมแล้ว ที่จะสังหารศัตรู
ซากุระนำหน้ากากจิ้งจอกมาสวมทันที
...เอาล่ะ ได้เวลา ‘ล่า’ เจ้าทานุกิแล้ว...
ทางด้านกลุ่มทหารที่จะมาช่วยสามหนุ่ม ในตอนนี้กำลังรวมตัวที่จุดเดียวกับอากิระ อิโนะ ซาอิและซามุยเพื่อปฐมพยาบาล เพราะมีทหารบางส่วนได้รับบาดเจ็บ ความจริงเหตุที่ชิโอะจำต้องระเบิดเรือนั้นเพราะว่า อีกฝั่งดูเหมือนจะรู้ตัวจึงส่งพวกนาราคุ มาในเรือ เค้าจำต้องระเบิดเรือใหญ่แล้วมาขึ้นฝั่งด้วยเรือเล็กแทน เดิมทีแผนแรกกะจะ ให้คนปลอมไปเป็นนักโทษแล้วเนียนไปที่เกาะ แต่เมื่ออีกฝ่ายรู้ตัว ก็จำต้องใช้แผนสองแทน
อิโนะเองก็กีดเร้นจักระรักษาอย่างลำบาก เพราะเกาะซาโกมะ มีหินชนิดพิเศษที่สลายพลังจักระได้ แต่ตรงนี้ถือว่ายังดี ที่สามารถกีดเร้นจักระได้บางส่วน โดยเธอจะสมานแผลใหญ่ๆเท่านั้น ส่วนที่เหลืออากิระจะเป็นคนปฐมพยาบาลเอง ที่ๆพวกเค้าหลบอยู่คือ ถ้ำเล็กๆที่อยู่ไม่ห่างจากเชิงผาอันเป็นที่ตั้งของที่จองจำนักโทษของเอโดะ เธอรู้สึกหนาวมาก ดีที่อากิระนำเสื้อกันหนาวมาให้ด้วย มิน่า ยายคาเอเดะถึงได้บอกว่า ที่นี่เป็นเหมือนนรก แล้วคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นยังไงนะ...เพราะงี้สินะ เธอถึงมาช่วยเพื่อนของเธอน่ะ...
เหล่าซามูไรที่ได้รับการปฐมพยาบาลแล้วก็พากันไปที่เชิงผาที่สูงตะหง่าน ยากที่จะปีนขึ้นไป
ชิโอะจึงให้ซามูไรที่เป็นลูกน้อง นำตะขอติดเชือกออกมา แล้ว จัดการเหวี่ยงให้ตะขอเกี่ยวกับก้อนหินที่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักคนได้ จากนั้นก็ทยอยกันปีนผา หน้าผาแห่งนี้นับว่าปีนยากมาก เพราะหินลื่น ทำเอาซามูไรหลายคน เกือบตกลงมาแล้ว
ซาอิพยายามเสนอตัวช่วย แต่ปรากฏว่า เค้าไม่สามารถใช้คาถานินจาได้ ...มิน่า คุณซากุระถึงบอกพวกเรา ให้หนีกลับหมู่บ้านไปซะ...แต่ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอ ต้องโดนประกาศจับก็เพราะเค้านี่นา ตอนนั้น เค้าจำได้ เมื่อเห็น ท่านดันโซ อ่านประวัติสมาชิกทีม7 คนอื่น สีหน้าในตอนนั้น เหมือนดีใจ มิน่า...ค่าหัวของเบนิก็มาก ถึงยี่สิบห้าล้านเยน ซึ่งมากพอที่จะใช้เป็นงบประมาณสำหรับก่อกบฏได้ แถมถ้าจับเพื่อนอีกสามคนได้ ก็จะได้ถึงร้อยล้านเรียว
ขณะที่กำลังใจลอยคิดนู่น คิดนี่ ซาอิก็โดนบางสิ่งเฉียดหน้าเข้า
นินจาหนุ่มผิวซีดหันไปมองก็พบว่า มันคือลูกธนู
“แย่ล่ะสิ พวกนั้นดักทางเรา”
นินจาผิวซีดรีบชักดาบสั้นออกมา รับมือกับพวกนาราคุ จำนวนสิบคน ที่มีอาวุธครบมือ
แต่เพียงชั่วพริบตา ซามุยก็ชักคาตานะ ออกมาจัดการด้วยฝีมือ ทำเอาซาอิตะลึง กับฝีมือของซามุย ที่เก่งกาจเอาเรื่อง ซามูไรหนุ่มตะคอกปนหอบ“อย่ามัวแต่มอง ขอรับ เดี๋ยวตายหรอก ขอรับ”
ขอโทษที ที่คิดว่านายเจ๋ง
อีกด้าน
ห่าธนูได้พุ่งใส่ เหล่าทหารที่พยายามปีนผา ต่างพยายามหลบตามซอกผา กันจ้าระหวั่น
เมื่อห่าธนูหยุดลง
“เตรียม!ชุดที่สอง”
ชิโอะ และทหารคนอื่น หน้าซีด แค่นี้ก็เกือบจะตกผาแล้ว
ฝ่ายพวกนาราคุ ที่กำลังเตรียมยิงธนูชุดที่สอง
‘เผียะๆๆๆ!’
ปลายแส้ได้ฟาดเข้าที่มือของเหล่านักแม่นธนู แต่ยังไม่ทันที่จะได้ขยับอะไร
‘ปังๆๆๆๆๆ!’
นักแม่นธนูและตัวคนที่สั่งการก็โดนยิงที่ศีรษะเรียบร้อยแล้ว
ตัวหัวหน้า สั่งการคนที่เหลือ “ระวังตัว ศัตรูอยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
“ไม่นึกว่า เราจะได้เจอกันที่นี่นะ ชินจูโร่”
นักฆ่าหนุ่มหันไปทางต้นเสียงก็พบกับ ตัวต้นเหตุ ที่เป็นถึงศัตรูคู่อาฆาตของเค้า
“โผล่หางออกมาแล้วนะ นังจิ้งจอก”
ร่างของคนทั้งสี่ปรากฏบนเชิงผาสูง เรมยังคงถือปืนยาวที่เพื่อนสาวนำมาให้ พวกนาราคุกลุ่มหนึ่งพยายามจะวิ่งขึ้นมาจัดการ ก็โดนหนุ่มผมสีเงินกับหนุ่มผมสีชมพูยิงด้วยปืนแล้ว
“เน่ๆ ลืมพวกอั๊วแล้วรึ ไอ้หน้าบาก”ริวโอเอ่ยอย่างหมั่นไส้เต็มที
ชินจูโร่ประกาศลั่น “ฆ่าพวกมันซะ!”
ชิโอะ กับทหารที่ปีนผามาได้ตะโกน “บุก!!!!!”
สี่หนุ่มสาวเองก็ ชักดาบลงไปปะทะกับพวกนักฆ่านาราคุเช่นกัน
ริวโอ โยนก้อนหินใหญ่ใส่กลุ่มนักฆ่าทำเอา เหล่านักฆ่าที่พยายามปีนมาโดนหินทับตายไปมาก
บางส่วนโดนเรมและบันไซสอยด้วยปืนยาว
สงครามได้เริ่มขึ้น ต่างฝ่ายต่างปะทะกันด้วยฝีมืออย่างไม่มีใครยอมใคร
ทางด้านของซาอิ ที่ตอนนี้ โดนร่างของซามุยที่โดนเตะจนกระแทกตน สองหนุ่มพยายามลุกอย่างทุลักทุเล ขณะที่ เหล่านักฆ่ากำลังจะใช้ดาบแทงร่างของทั้งคู่ในคราวเดียว
‘ฉัวๆๆ/ตุ้บ!’
ศีรษะของนักฆ่าทั้งหมดร่วงลงพื้น เลือดพุ่งออกจากลำคอราวกับน้ำพุร่างล้มตึง
“โอเคมั้ย”เสียงหวานที่คุ้นเคยร้องถาม
“คุณซากุระ”
“ท่านเบนิ”
ร่างของซากุระในเครื่องแบบทหาร ที่ตอนนี้หน้าแทบหนึ่งและตามตัวเต็มไปด้วยเลือด
ซาอิเอ่ยอย่างเป็นกังวล “คุณบาดเจ็บเหรอ”
หญิงสาวตอบด้วยท่าทีสบายๆ “นี่ไม่ใช่เลือดชั้น ไหวไหม”
“พอไหวครับ”
“เดี๋ยวชั้นจะแบ่งกำลังมาที่นี่ ลำพังนายกับซามุยรับมือไม่ไหวแน่”ว่าจบก็ตะโกน“อิชิโร่ ซาบุ เรนิน มาช่วยซามุยคุ้มกันหน่วยแพทย์”
ซามูไรหนุ่มสามคนที่กำลังจะปีนผาตามพยักหน้าก่อนจะวิ่งมาช่วยคุ้มกัน
จากนั้นหญิงสาว ก็นำดาบสองเล่มที่ถืออยู่ปักลงกับพื้น แล้วหยิบแส้ออกมาติดกับตะขอ แล้วเหวี่ยงไปที่บนหน้าผา แล้วกดที่สวิตช์ หญิงสาวลอยขึ้นไปตามแรงดึงของสลิง หญิงสาวเหวี่ยงร่างของตนขึ้นสู่ยอดผาอย่างคล่องแคล้ว
ซาอิมองอย่างตะลึงๆ เก่งเกินไปแล้วนะ
ซามูยตะโกนเสียงแหบพร่า“อย่ามัวแต่เหมอสิขอรับ เดี๋ยวก็ตายหรอก”
ทางด้านซากุระ ที่กำลังจะปลดตะขอที่เกาะหน้าผา
เธอเห็นเงาทะมึนมาคลุมตัว พอหันไป ร่างที่ถือดาบหมายจะฟันเธอ แต่ร่างนั้นต้องชะงักค้าง เมื่อ โดนดาบแทงทะลุกลางอก
“อย่าเหม่อสิ เบนิ แล้วดาบล่ะครับ”
“ลืมแฮะ”หญิงสาวรีบคว้าดาบในมือศพแล้วแทงนักฆ่าที่อยู่ข้างหลัง “จัดการเรื่องนี้ให้จบๆเถอะ”
หญิงสาวกระชับดาบในมือให้มั่น แล้วจัดการเข้าฟาดฟันศัตรูได้ฝีมือและพละกำลัง
แต่ด้วยจำนวนที่เสียเปรียบ ทำให้ทั้งหมดถูกเหล่านักฆ่า ล้อมเอาไว้ ทุกคนต่างบาดเจ็บกันถ้วนหน้า
“ฮ่าๆๆ ไม่นึกว่าจะได้เจอพวกแกอีกนะ ไอ้พวกเด็กผี”ยามาซารุ ขุนนางวัยห้าสิบกว่า ร่างอ้วนฉุ อยู่บนเชิงผามองมาที่ศัตรูทั้งสี่ ด้วยสายตาชิงชัง
เบนิ บันไซ เรมและริวโอ หน้าหงิกเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดยิ้ม
เบนิ “แหมๆ นึกว่าใคร ที่แท้ก้อนไขมันเดินดินนี่เอง”
ริวโอ “ไม่ช่ายๆ เบนิ มันเป็นแค่ ขยะ ต่างหาก”
เรม “ริวโอคุง มันไม่ใช่ขยะนะ ขยะน่ะ ยังเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่นี่คือ สิ่งที่ต้องกำจัด”
บันไซ “เห็นด้วยอย่างที่สุด และเรามีหน้าที่กำจัดมัน”
ขุนนางร่างอ้วนกัดฟันกรอด”ฆ่ามัน ใครฆ่าไอ้เวรสี่คนได้ เงินพันล้านจะเป็นมันผู้นั้น!”
เหล่านักฆ่าต่างกรูกันเข้ามาหา คนทั้งสี่ ที่เตรียมรับมืออยู่แล้ว
ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมแพ้
ซากุระพุ่งเข้าไปจัดการกับชินจูโร่อย่างบ้าเลือด ทางด้านนักฆ่าหนุ่มที่เป็นศัตรูเก่าที่พกความแค้นมาเต็มอก ไม่ยอมแพ้เช่นกัน
ถึงหญิงสาวจะมีฝีมือแต่ว่า ตอนนี้เรี่ยวแรงที่มี กำลังจะหมดลง ทำให้ในตอนนี้เธอต้องกัดฟันรับดาบของศัตรู
ในจังหวะที่จะโดนฟันนั้น หนุ่มผมชมพูก็เอาดาบมากันไว้ได้ทันการณ์
“บันไซ!”
“ถอยไปเลยเบนิ งานนี้ชั้นขอฉายเดี่ยวเอง”
เรมรีบดึงตัวหญิงสาวให้มาอยู่ข้างตัว
“เรมชั้นยัง ว่ะ..”
“พักซักครู่ก่อนครับ”
ริวโอหยิบก้อนหินขนาดมหึมา เขวี้ยงใส่
‘ชิ้ง!ๆๆๆ’
ชินจูโร่ ใช้ดาบในมือฟันก้อนดินที่พุ่งมาจนแหลก
“ย้ากกกกกกกกกกก!!!”หนุ่มผมชมพูพุ่งเข้าจู่โจ่มนักฆ่าหนุ่มหน้าบากทันที
สองหนุ่มปะทะกันด้วยฝีมือ
ชินจูโร่ปาดินใส่หน้าหัวชมพู จนเค้าปัดเศษดินที่ปามาใส่หน้า นักฆ่าหน้าบากจึงอาศัยจังหวะนี้จะแทงอีกฝ่าย
‘ชิ้ง’
ดาบของเค้าถูกสกัดโดย ดาบของสองหนุ่ม ริวโอและเรม
“ลอบกัดเก่งจิงน่อ”
“อย่าหวังจะจัดการเพื่อนผมได้เลยนะครับ”
หญิงสาวรีบวิ่งไปหาเพื่อนแล้วรีบนำขวดน้ำขนาดเล็กที่พกมาล้างตาให้ “ประมาทจริงๆเลยนายน่ะ”
นักฆ่าหนุ่มเห็นอย่างนั้นจึงกระโดดถอยออกมาแล้ว กระโดดขึ้นเหยียบไหล่สองหนุ่ม ไปหมายจะฟันร่างของหนุ่มสาวผมชมพู
หญิงสาวตาไวจึงเอาตัวกันร่างหนุ่มผมชมพู ได้ทัน
‘ฉึก!’
“อึก”คมดาบของนักฆ่าหน้าบาก ทำให้หลังของเธอเป็นบาดแผลยาว เธอจึงปลดผ้าคลุมปาใส่หน้านักฆ่าหนุ่ม
บันไซไม่รอช้า อาศัยจังหวะที่ศัตรูกำลังจะดึงผ้าคลุมที่มาคลุมหน้า จัดการฟันอีกฝ่าย
ชินจูโร่หลบได้ทันการณ์แต่ก็ไม่พ้นรัศมีคมดาบ ทำให้กลางอกเค้ามีรอยแผลจากการถูกฟันเป็นทางยาว
ซากุระกัดฟันกรอด เพราะพวกตนนั้นไม่สามารถออกจากวงล้อมของศัตรูได้เลย ด้วยจำนวนที่อีกฝ่ายมากกว่า และในตอนนี้ ทหารทุกคนรวมทั้งเธอ ต่างบาดเจ็บ แรงเริ่มหมด หญิงสาวกำลังประมวลผลหาทางรอดในสมอง ขณะที่สายตายังคงจับจ้องศัตรู
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ