Conquerhearts ปฏิบัติการพิชิตหัวใจ
9.4
เขียนโดย NannyCandy
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 19.31 น.
21 chapter
861 วิจารณ์
31.35K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559 15.37 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
19) ท่วงทำนองของความเศร้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter 18 ท่วงทำนองของความเศร้า
โทโมะใช้เวลาไม่นานมากนักในการพาฉันมายังห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่อยู่ ใกล้มหาวิทยาลัยของเราที่สุด ไม่อยากจะเชื่อเลยแฮะว่าเขาจะเลี้ยงฉันจริงๆ น่ะ >_<แต่เมื่อโอกาสมาถึงมือแล้วมีเหรอที่แก้วใจคนนี้จะไม่คว้าเอาไว้(พี่สอนมาดี) ฉันเลือกบุฟเฟ่ต์ชาบูร้านประจำที่มีสาขาอยู่ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป ฉันกับพี่ขนมเข่งชอบกินชาบูของที่นี่มากไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่เราก็มักจะมา ฝากท้องไว้กับร้านนี้เสมอ
“พอบอกว่าจะเลี้ยง ก็เล่นซะคุ้มเลยนะ”โทโมะบ่นอุบหลังจากที่เห็นฉันเดินไปตักโน่นตักนี่มาวางเต็มโต๊ะเพื่อ เตรียมเอาลงหม้อ
“ที่ต้องเอาให้คุ้มเพราะมันเป็นบุฟเฟ่ต์ต่างหากล่ะ ว่าแต่นายเถอะ ไม่คิดจะช่วยกันตักอะไรเลยหรือไง หรือไม่ก็ช่วยเอาของใส่หม้อก็ได้ มัวแต่นั่งมึนอยู่นั่นแหละ”
“ฉันบอกเธอตอนไหนว่าฉันจะกินด้วย”
“อ้าว! แล้วนายจะมานั่งเสียเงินค่าหัวฟรีๆ โดยไม่แตะอะไรเลยเนี่ยนะ รวยหนักหรือไง -*-” หมอนี่มันอกหักจนประสาทเสียไปแล้วหรือยังไงเนี่ย มีอย่างที่ไหนเข้ามานั่งให้เสียตังค์เล่นฟรีๆ
“รวยไม่รวย มื้อนี้ฉันเลี้ยงเธอได้ก็แล้วกัน -_-^”
จ้า~ ไอ้หล่อ ไอ้รวย ชิ!
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอสั่งให้นายกินเป็นเพื่อนฉัน ไหนๆ นายก็เป็นเบ๊ฉันแล้ว”
“อยากตื่นมาพรุ่งนี้แล้วพบว่าผ่านไปแล้วสามเดือนจริงๆ เลย”โทโมะบ่นงึมงำพลางเริ่มหยิบจานที่ใส่เนื้อสัตว์ต่างๆ เทลงหม้อซุป นี่เขาคงคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เขาพูดสินะ ผิดถนัด! ฉันได้ยินและได้ยินชัดมากด้วย TOTv
“เธอชอบกินกุ้งเหรอ” โทโมะถามหลังจากที่นั่งกินอย่างเงียบๆ มานาน ส่วนฉันเองก็ตั้งหน้าตั้งตากินเหมือนกัน
“แอบมองฉันอยู่ล่ะสิ ถึงได้ถามแบบนี้”
“เปล่า ตามันเห็นเอง -_-^”
“-0-”
“อ้ะ! กินๆ เข้าไป” โทโมะบอกพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบกุ้งที่ยังไม่ได้กินในจานของตัวเองมาใส่จานฉัน
“ขอบคุณนะ ของโปรดฉันเลยล่ะ >_<”
“อือ พิมก็ชอบกินมันมากเหมือนกัน”
“เกลียดกุ้งว่ะ!” เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันก็ถึงกับชะงักมือที่กำลัง คีบกุ้งตัวเมื่อกี้ไปจิ้มน้ำจิ้มทันทีก่อนจะนำมันกลับไปใส่จานโทโมะเหมือน เดิม
“เมื่อกี้ยังชอบอยู่เลย”
“ก็ตอนนี้จะเกลียดอะทำไม ไม่อยากซ้ำกับใคร โดยเฉพาะยัยปีศาจหน้าขาวแฟนเก่านาย!-0-”
“…”
“เอ่อ…” ปากไวอีกแล้วแก้วใจ T^T ฉันไม่น่าพูดคำว่า แฟนเก่า ออกไปเลย จากที่โทโมะยิ้มๆ อยู่ก็ถึงกับหน้าเจื่อนลงไปทันทีก่อนที่เขาจะวางตะเกียบกับช้อนในมือลงกับถ้วยตรงหน้า
“ฉันอิ่มแล้วล่ะ” น้ำเสียงแผ่วเบาถูกเอ่ยออกมาพร้อมๆ กับที่คนพูดหันหน้าหนีไปมองทางอื่น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เห็นว่าตาเขาเริ่มเป็นสีแดงระเรื่ออีกครั้ง
“ฉะ ฉันขอโทษ”
“เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“แต่สีหน้านายมันบอกว่าฉันผิด T^T”
“คิดไปเองน่า” แน่ะ! ยัง จะมาบอกว่าฉันคิดไปอีกเหรอ ถึงฉันจะเป็นพวกชอบมโนก็เถอะ แต่ครั้งนี้ฉันพูดออกมาจากสิ่งที่เห็นเลยนะ สีหน้าของเขาย่ำแย่มากเลยล่ะตอนนี้
เขาเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ววว~
อ้าก! ทำยังไงดี YOY
“เอ่อ ฉันก็อิ่มแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราไปนั่งรถเล่นกันเถอะนะ >_<”
ฉันลุกขึ้นเดินมาฝั่งโทโมะแล้วฉุดแขนของเขาขึ้นมาเพื่อให้เขาลุกตาม ฉันไม่ได้แกล้งอิ่มหรอกนะแต่มันอิ่มจริงๆ นั่นแหละ คนตัวสูงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะยอมลุกขึ้นโดยไม่ลืมหยิบบิลค่าอาหารที่ วางอยู่บนโต๊ะมาด้วย และหลังจากที่จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็กลับมาที่เจ้าเต่าเหลืองของ โทโมะตอนแรกเขาบอกให้ฉันเดินเล่นข้างในห้างก่อนก็ได้ แต่ฉันบอกเขาไปว่าตัวเองเป็นพวกไม่ค่อยชอบเดินเล่นช็อปปิ้งในห้างสักเท่าไหร่
“ฉันว่าต้องกลับบ้านอย่างเดียวแล้วล่ะ คงนั่งรถเล่นชิวๆ ไม่ได้แล้ว -_-^” โทโมะพูดขึ้นหลังจากที่เลี้ยวรถออกมาจากทางออกของห้างสรรพสินค้าแล้วเรียบร้อย และปรากฏว่าระหว่างที่เรานั่งกินบุฟเฟ่ต์อย่างสบายใจอยู่นั้น ข้างนอกก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
“แย่จัง กลับบ้านก็ได้ นายจะได้ไปทำแผลด้วย เดี๋ยวเชื้อโรคเข้าไปแล้วหน้าจะเน่าไม่รู้ตัว” ฉันแกล้งแหย่คนตัวสูงจนเขานิ่วหน้าแล้วเหล่มาที่ฉันเล็กน้อยอย่างขำๆ
“ถ้าหน้าฉันเน่า ฉันจะโทษเธอคนแรกเลย”
“เฮ้ย! ไหงงั้นอะ!”
“อย่าลืมสิว่าฉันเจ็บตัวก็เพราะเธอเป็นคนยุให้ฉันไปที่นั่น”
“แต่ฉันไม่ได้บอกให้นายไปต่อยกับไอ้บ้าฌอนสักหน่อย” บ้าที่สุดเลย ทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาปแท้ๆ -_-^ เพราะดวงตกฉันเลยทำบุญกับคนไม่ขึ้นเลยใช่มั้ยเนี่ย ความดีกลายเป็นความผิดซะงั้นอะ เฮ้อ! แล้วแก้วน้อยผู้น่าสงสารคนนี้จะไปหาความยุติธรรมได้จากที่ใดเล่า
น่าอนาถจิตดีแท้ Y.Y
ในที่สุดโทโมะก็พาฉันมาส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัยไร้กังวลจนได้ เฮ้! ตอน นี้เป็นเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ ได้แล้ว ไฟที่รั้วและในบ้านเปิดสว่างแสดงว่าพี่ขนมเข่งอยู่บ้านสินะ แต่ก็แน่ล่ะ ฝนตกหนักแบบนี้พี่แกคงไม่ถ่อไปริกกี้หรอก
“Hello~ โอ๊ะโอ…พี่เข่ง ทำบ้าอะไรอีกแล้วน่ะ -_-^” ทันทีที่เดินเขามาในบ้านฉันก็ต้องพบกับผู้ชายผมแดงแรงฤทธิ์ซึ่งเป็นพี่ชาย ของฉันเองและตอนนี้เขาก็กลายร่างเป็นตัวประหลาด ความจริงก็ไม่เชิงหรอก เพราะที่หน้าของเขามีแผ่นมาร์คหน้าสีขาวแปะอยู่น่ะสิ มองดูแล้วเหมือนเอเลี่ยนมากสำหรับฉัน รู้มั้ยว่าฉันไม่เคยมานั่งทำอะไรแบบนี้เลย นี่ขนาดฉันเป็นผู้หญิงแท้ๆ นะเนี่ย
“ก็บำรุงผิวหน้าไง หน้าจะได้ใสๆ เด้งๆ >.,<”
แปะๆๆ
พี่ขนมเข่งตอบพร้อมกับปล่อยช้อนที่กำลังตักอะไรบางอย่างกินอยู่แล้วยกมือขึ้นมา ตบแก้มทั้งสองข้างของตัวเองเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มหวานมาให้ฉัน
“แรดจริงๆ พี่ใครวะ -0-” ฉันบ่นอุบก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เขามากขึ้นจนสังเกตเห็นว่าสิ่งที่เขากำลังกิน อยู่มันคือสลัดผักนั่นเอง “กินสลัดอีกต่างหาก ครบสูตรเลยนะ -_-^”
“สลัดผักเพื่อสุขภาพ นี่ฉันทำเองเลยนะเว้ย!”
“ทำยากตรงไหนเนี่ย แค่เอาสารพัดผักมาใส่ถ้วยแล้วตักน้ำสลัดจากกระปุกที่ซื้อมาราดใส่ แค่เนี้ยเอง”
“นั่นแหละ! -0-”
“ว่าแต่แกนั่งแท็กซี่เข้ามาเหรอ ทำไมไม่เปียกอะ”
“คือว่า…”
“สวัสดีครับพี่หนมเข่ง ^_^” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบโทโมะที่เพิ่งจะเดินตามเข้ามาก็เอ่ยทักทายคนแก่สุดด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม แน่ล่ะ! เขาก็ฝืนยิ้มมาตลอดนั่นแหละตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อตอนเย็น
“เออดีๆ…อ๋อ ที่แท้ก็มีผู้ชายมาส่ง หึหึ” พี่ขนมเข่งตอบรับผู้มาใหม่ก่อนจะหันมาหรี่ตาแล้วแกล้งแซวฉันจนฉันต้องรีบเดินไปตรงอื่นแก้เก้อทันที
“ฉันไปเอาอุปกรณ์ทำแผลก่อนนะ”
“ใครเป็นอะไรวะ…เฮ้ย! ไอ้โมะ ทำไมหน้ายับแบบนั้นวะเฮ้ย” พี่เข่งถามซะดังลั่นหลังจากที่ได้คำตอบของสิ่งที่สงสัยแล้ว โทโมะเดินไปนั่งลงข้างคนถามก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
“เอ่อ คือว่า…” เขาเล่าแบบย่อๆ แต่รวบรวมใจความสำคัญของเรื่องไว้ทั้งหมด ฉันที่ได้กล่องอุปกรณ์ทำแผลแล้วก็เดินกลับมานั่งฟังเขาด้วยความรู้สึกหดหู่ ก็ตอนที่เขาเล่าน่ะ สีหน้าดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก
“ถือว่าหมดเคราะห์กรรมไปก็แล้วกัน ดีกว่าแกโดนยัยพิมหลอกต่อไปเรื่อยๆ” พี่ขนมเข่งพูดพร้อมกับตบไหล่โทโมะเบาๆ เป็นการปลอบ
“ครับ”
“เอาล่ะ ต่อไปแกก็ลืมเรื่องเลวร้ายพวกนั้นซะ ถือว่าเป็นบทเรียน การที่แกมีความเชื่อใจมันก็ดี แต่ก็ต้องมีขอบเขตบ้าง การเชื่อทุกอย่างน่ะมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนโง่หรอก” พี่ขนมเข่งบอกด้วยใบหน้าจริงจังแต่ฉันก็ยังมองว่าหน้าของเขามันแอบตลกอยู่ ไม่น้อยเพราะมีที่มาร์คหน้าปิดอยู่ ฮ่าๆๆ >O<
ส่วน โทโมะน่ะ รายนั้นก็ได้แต่หลุบตามองพื้นอย่างเศร้าๆ ฉันเองที่นั่งฟังอยู่ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ชายตัวเองพูด เมื่อกี้นี้นะ เวลาผู้ชายผมสีแดงคนนี้อบรมสั่งสอนอย่างจริงจังขึ้นมาน่ะ เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมมากเลยล่ะ เพราะแบบนี้ฉันเลยรักเขามากไง >_<
“…”
“ฉัน อยากให้แกจำเอาไว้อย่างหนึ่งว่า จงมองโลกในแง่ของความเป็นจริงที่มันเป็น เพราะทุกวันนี้ไอ้ที่ว่าจงมองโลกในแง่ดีอย่ามองโลกในแง่ร้ายมันใช้ไม่ค่อย ได้แล้วล่ะ คนมันทำให้โลกอยู่ยากขึ้นทุกวัน แค่มองตามความเป็นจริงแล้วยอมรับมันนี่สิถึงจะมีความสุข ”
“ครับ”
“บ่นมาซะยาวเลย ฉันไปล้างถ้วยล้างจานก่อนก็แล้วกัน แกให้ไอ้แก้วใจทำแผลไปก่อนนะ” พูดจบเจ้าตัวก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะหยิบถ้วยสลัดของตัวเองที่กินหมดไป ระหว่างที่ฟังใจแก้วเล่าเรื่องอยู่ขึ้นมาแล้วเดินหายเข้าไปในครัว เมื่อกี้เขาเรียกชื่อฉันผิดอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย U_U
“ฉันทำแผลไม่เก่งนะ แต่ก็เป็นคนทำให้พี่เข่งตลอด” ฉันรีบออกตัวพร้อมกับย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆ โทโมะตรงที่เดียวกับที่พี่ขนมเข่งนั่งอยู่เมื่อกี้
“อืม ไม่ทำให้มันแย่กว่าเดิมก็โอเคแล้วล่ะ -_-^”
ระหว่างการทำแผล รู้มั้ยว่าบรรยากาศมันโคตรอึดอัดเลยล่ะ ฉันก็เขินๆ เวลาที่ต้องมานั่งจ้องหน้าคนหล่อใกล้ๆ แบบนี้จึงไม่กล้าพูดอะไร ส่วนโทโมะเองก็ดูเหมือนจะเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา สายตาของเขาดูเศร้าหมองและจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งข้างนอกมีเม็ดฝนกำลัง โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายอีกทั้งยังตกหนักกว่าตอนที่ฉันกลับมาถึงด้วย มิหนำซ้ำ…
ครืนนน~! ครืนนน~! ครืนนน~!
“อึ๋ย! ทำไมต้องมีฟ้าร้องด้วยเนี่ย น่ากลัวชะมัด T^T” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องให้เรียบร้อยเหมือนเดิม เพราะทำแผลให้โทโมะเสร็จพอดี โทโมะที่หลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงของฟ้าหรือเสียงของฉันก็ไม่แน่ใจค่อยๆ หันมามองฉันแล้วขมวดคิ้วเป็นปม
“ขอบคุณนะ…ว่าแต่เธอกลัวฟ้าร้องเหรอ”
“ก็นิดหน่อยน่ะ” ฉันตอบด้วยสีหน้ายุ่งๆ
ครืนนน~!!!
“โอยยย~ หยุดร้องเถอะ TOT” ฉันโอดครวญพร้อมกับเอากล่องอุปกรณ์ทำแผลไปวางไว้ที่โต๊ะกระจกตรงหน้าแล้วนั่งทำตัวสั่นพร้อมใบหน้า
“ทำไมต้องทำหน้าอุบาทว์แบบนี้ด้วยเนี่ย -_-^”
“ก็ฉันไม่ชอบเสียงฟ้าร้องนี่! -0-”
“ฮ่าๆ”
“ไอ้โมะ ฉันว่าแกอย่าเพิ่งกลับเลยว่ะ มีหวังขับรถออกไปตอนนี้ไม่ถึงบ้านแน่ ฉันดูข่าวเมื่อเย็นเขาบอกว่าบ้านเราได้รับอิทธิพลพายุก๋องแก๊งอะไรไม่รู้ว่ะ ดูท่าแล้วฝนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เนี่ย ฉันออกไปดูหลังบ้านเมื่อกี้ ข้างนอกลมโคตรแรงเลย TT_TT” พี่ขนมเข่งเดินกลับมาหาเราสองคนแล้วบอกโทโมะด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“จะดีเหรอครับพี่”
“แกอยู่บ้านฉันก่อนดีกว่ากลับไปตอนนี้แน่นอน เชื่อฉันเถอะ -_-^”
“เอางั้นก็ได้ครับ…”
Tomo talking
ครืนนน~! ครืนนน~!
เสียง ฟ้าคำรามยังคงดังมาเป็นระยะๆ พร้อมกับสายฝนที่ตกหนักและลมพัดแรงซึ่งดูเหมือนจะไม่หยุดในเร็วๆ นี้เลย ผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างคนหมดหวัง น่าตลกมั้ยล่ะครับที่คนอย่าง โทโมะโดน ผู้หญิงหลอกน่ะ แถมผู้หญิงที่ผมเข้าใจว่าเธอเป็นแฟนของผมมาตลอดกลับเป็นแฟนของเพื่อน(เก่า) อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และทั้งสองคนก็รวมหัวกันปั่นหัวผมเล่นกับความรู้สึกของผม เหอะ!
จะว่าโกรธก็โกรธมาก จะว่าเสียใจก็เสียใจมากเหมือนกัน ผมรักพิมจริงๆ นะ ถึงแม้จะเป็นก่อนหน้านี้ก็เถอะ อ่า…ไม่ ต้องสงสัยครับ ผมไม่ได้พูดผิดหรอก ที่บอกว่าก่อนหน้านี้ก็เพราะตอนนี้ผมไม่ได้รักเธอเหมือนเดิมแล้วไงครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องเสียใจบ้างล่ะนะ
อยากรู้ใช่มั้ยล่ะครับว่าผมรักเธอน้อยลงตั้งแต่เมื่อไหร่?
ผมเองก็ไม่รู้หรอกครับ รู้แต่ว่ามันไม่เหมือนเดิมเท่านั้นเอง ในขณะที่ผมรู้สึกว่าเธอไม่เหมือนเดิมผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปเหมือน กัน ตั้งแต่…
“นี่นาย! จะนั่งทำหน้าอยากตายอีกนานมั้ยฮะ! -0-” ตั้งแต่รู้จักกับผู้หญิงคนนี้ล่ะมั้งครับ ฮ่าๆ เธอชื่อ แก้วใจ น่ะ เรารู้จักกันโดยบังเอิญ เป็นความบังเอิญแบบแปลกๆ ด้วยครับ เพราะเธอเข้ามาขอผมเป็นแฟน -///- (ความจริงก็ไม่ได้ขอหรอก บังคับซะมากกว่า) แล้วตอนนี้ผมก็ติดฝนอยู่ที่บ้านของเธอนี่แหละ
“ไม่รู้สิ” ผมตอบอย่างเนือยๆ ก่อนจะละสายตาจากฝนด้านนอกมายังคนตัวเล็กที่เดินกลับลงมาจากด้านบนหลังจาก ที่เธอขอตัวไปอาบน้ำ
“คิดซะว่ายัยนั่นตายไปจากโลกนี้แล้วก็ได้ นายจะได้สบายใจขึ้น -0-” แก้วใจบอกพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กับผม
“เป็นเธอ…ถ้าคนรักตาย เธอจะสบายใจอย่างนั้นเหรอ” ผมถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ จริงๆ นะครับ ผมไม่เคยเข้าใจผู้หญิงคนนี้เลย ให้ตายสิ -_-^
“เอ่อ…พี่เข่งไปไหนแล้วล่ะ” เมื่อไปต่อไม่ถูกและเห็นสีหน้ายุ่งๆ ของผมเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
แหม…เป็นแบบนี้ตลอดเลยสิน่า
“เห็นว่าจะไปทำเมนูรอบดึกสำหรับวันนี้ในครัวน่ะ” ผมตอบพร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางห้องครัวซึ่งคนถามก็มองตามไปแล้วพยักหน้าลง อย่างเข้าใจ
“คิดไว้แล้วเชียวว่าเดี๋ยวต้องไม่อิ่ม ไอ้สลัดผักนั่นน่ะเห็นกินทีไรเป็นต้องหาอะไรใส่ท้องอีกรอบทุกทีนั่นแหละ”แก้วเบะปากเล็กน้อยใส่คนในครัวก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าผมเหมือนคิดอะไร บางอย่าง “นาย…เล่นกีต้าร์เป็นมั้ย”
“เป็น…ทำไมล่ะ”
“ดีเลย! ถ้าอย่างนั้นเล่นให้ฉันฟังหน่อยนะ ร้องเพลงด้วย >_<” เธอเบิกตาโตพร้อมกับทำท่าทางตื่นเต้นก่อนจะลุกไปหยิบกีต้าร์ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนักมายื่นให้ผม
“ของเธอเหรอ” ผมถามแต่ยังไม่ยอมรับมา
“ของพี่เข่งน่ะ เอ้า! รับไปสิ นายเป็นเบ๊ฉันนะ -0-” คำก็เบ๊สองคำก็เบ๊ แค่เข้าใจผิดนิดหน่อยไม่คิดเลยว่าผมต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ เฮ้อ!
“ทำไมฉันต้องเล่นให้เธอฟังด้วยล่ะ ฉันไม่ได้จีบเธอสักหน่อย เธอจีบฉันอยู่เธอก็เล่นให้ฉันฟังสิ”
“จะบ้าเหรอ! ใครจีบนายอะไรกัน ไม่มีเลย เฮอะ!” แก้วใจรีบโวยวายแต่ใบหน้าของเธอกับเป็นสีแดงระเรื่อคล้ายมะเขือเทศใกล้จะสุก
“แล้วที่มาตามตื้อให้ฉันไปเป็นแฟนนั่นไม่เรียกว่าจีบเหรอ”
“เออ! เปล่า -3-” ปากแข็งจริงๆ เลยยัยบ้านี่ แต่แปลกนะครับที่ผมอยู่กับเธอทีไรผมมักจะเผลอแอบยิ้มในใจทุกทีเลย อยากรู้ล่ะสิทำไมผมไม่ยิ้มออกมาให้เธอเห็น
เพราะผมกลัวเธอจะได้ใจน่ะ
ครืนนน!!!
“กรี๊ด!>_<” เพราะครั้งนี้ฟ้าร้องเสียงดังกว่าทุกครั้ง คนตัวเล็กข้างๆ ผมจึงต้องยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างเอาไว้พร้อมกับก้มหน้างุดแล้วร้องออก มาเสียงดังแข่งกับฟ้าฝน
“แก้ว!!! ไอ้แก้ว!!! แกเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น! O[]O” พี่ขนมเข่งที่ได้ยินเสียงกรี๊ดของน้องสาวตัวเองก็รีบวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากห้องครัวด้วยความตกใจ
“ไม่มีอะไรครับพี่หนมเข่ง ยัยนี่ตกใจเสียงฟ้าร้องน่ะ”
“อ๋อ ฝากแกดูแก้วน้อยของฉันหน่อยนะ มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ” พี่ขนมเข่งกำชับด้วยสีหน้าเป็นกังวลก่อนจะหายเข้าไปในครัวอีกครั้งหลังจาก ที่ผมพยักหน้ารับแล้ว
“เดี๋ยวฉันร้องเพลงให้เธอฟังก็ได้ จะได้ไม่ต้องฟังเสียงฟ้าข้างนอกนั่น” ผมบอกคนข้างๆ ด้วยเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่น ตามที่ต้องการแล้ว
“จริงเหรอ! เอาเพลงให้เข้ากับบรรยากาศตอนนี้หน่อยนะ >_<” เธอบอกแล้วทำสีหน้าตั้งใจรอฟัง ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเพื่อนึกเพลงอย่างที่เธอว่า
บรรยากาศตอนนี้อย่างนั้นเหรอ?
ฝนตกฟ้าร้องคงมีแต่ท่วงทำนองเศร้าๆ เท่านั้นแหละมั้งที่เหมาะสมที่สุด…
น้ำตาฟ้า…เพลงของคนอกหัก
“เธอรู้มั้ยว่าทำไมฝนถึงตก”
“ได้รับอิทธิพลพายุไง ก็พี่เข่งบอกเมื่อกี้ -_-^”
“เปล่าหรอก ความจริงแล้ว ฟ้าทำลังร้องไห้ต่างหากล่ะ…”
“นี่อย่ามาดราม่านะ เพลงที่เข้ากับบรรยากาศของฉันหมายถึงเพลงซึ้งๆ โรแมนติกต่างหากล่ะ -0-”
“อืม” ผมแปลความหมายต่างไปจากเธอ แล้วผมก็เข้าใจที่เธอพูดนะ เพียงแต่ตอนนี้ผมนึกเพลงซึ้งๆ ไม่ออกจริงๆ
ปลาย นิ้วของผมเริ่มกดคอร์ดที่นึกขึ้นได้ในหัวพร้อมกับอีกมือที่ดีดสายกีต้าร์ออก มาเป็นท่วงทำนองเศร้าๆ ก่อนจะเริ่มร้องเพลงเข้ากับจังหวะออกมา
เขาบอกว่าฟ้า ร้องไห้ออกมาเป็นน้ำฝน
อยากรู้นักฟ้าที่เบื้องบน ต้องมาร้องไห้เพราะใคร
หรือฟ้าสงสาร คนอย่างฉันถูกหลอกเรื่อยไป
ถูกเขาลวงเขาล้วงหัวใจ เอาไปต้มยำทำแกง
ฝนฟ้ากระหน่ำ เสียงฟ้าคำรามดูน่ากลัว
น้ำตาฟ้าหลั่งมารดตัว รดหัวใจฉันจนชา
ฉันคนผิดหวัง มีเคราะห์กรรมไร้วาสนา
เขาเลยไม่รักไม่ยอมพูดจา หลอกลวงให้ฉันต้องตรม
“นี่นาย…” แก้วใจทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่แล้วเมื่อผมหันไปสบตากับเธอ คนตัวเล็กดูจะอึ้งๆ ไปเล็กน้อยแล้วก็เงียบไปในที่สุด
ที่หน้าผมมีอะไรติดอย่างนั้นเหรอ?
ช่างเถอะ…
ฉันมันคนซื่อ ไม่เคยฝึกปรือ ในเรื่องความรัก
เพิ่งเคยได้รู้ เพิ่งเคยได้ลอง เพิ่งเคยรู้จัก
สุดท้ายต้องมาอกหัก ไม่รู้จะดามยังไง
เขาบอกว่าฟ้า ร้องไห้ออกมาให้ฉัน
ฟ้าสงสารและคงผิดหวัง ที่ชักนำให้ฉันพบเธอ
น้ำตาที่ไหล จากความตั้งใจไม่ได้พลั้งเผลอ
ชาตินี้เข็ดแล้วนะเออ ไม่อยากเจอหน้าเธออีกเลย…
ผม ดีดท่วงทำนองเศร้าๆ ไปเรื่อยๆ พลางหันไปสบตากับแก้วอยู่เป็นระยะๆ เธอมองผมด้วยสีหน้าและสายตาดูเป็นกังวลยังไงชอบกล และหลังจากที่เพลงจบลงผมจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามข้อสงสัยออกไป
“ทำไมมองหน้าฉันแบบนั้นล่ะ”
“ก็นาย…” แก้วใจกลืนคำพูดลงคอไปก่อนจะตอบผมด้วยภาษากายแทน เธอใช้มือเล็กเอื้อมมาปาดน้ำตาที่อาบแก้มทั้งสองข้างของผมอย่างแผ่วเบา ราวกลับกลัวว่าผมจะเจ็บ
ผมกำลังเสียใจเรื่องของพิม…
ใช่ผมเสียใจ และผมก็ดีใจที่ยังมีผู้หญิงอีกคนซึ่งไม่ทิ้งผมไปไหน เธอคือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ และกำลังเช็ดน้ำตาให้กับผม ถ้าผมคบกับเธอตอนนี้ ผมคงจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวน่าดูเพราะผมยังรู้สึกดีกับแฟนเก่าอยู่ ดังนั้น…
รอฉันก่อนนะแก้วใจ
“สัญญากับฉันสิว่านายจะร้องไห้วันนี้เป็นวันสุดท้าย ฉันบอกแล้วไงว่าคนพวกนั้นไม่มีค่าพอที่นายจะต้องเสียน้ำตาให้” เธอบอกพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างล็อกใบหน้าของผมเอาไว้ให้สบตากับเธอ
“อืม” ผมตอบรับสั้นๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาจับมือเล็กเอาไว้หลวมๆแล้วดึงออกให้พ้นจากหน้าของตัวเองก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น
มากขึ้นเรื่อยๆ…
มากขึ้น…
มากจนปลายจมูกของเราแตะกันเบาๆ แก้วใจถึงกับตัวแข็งทื่อแล้วเบิกตาโต ผมเอียงหน้าเล็กน้อยเพราะอยากจะสัมผัสเธอให้มากกว่านี้ คนตัวเล็กก็หลับตาพริ้มเหมือนรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
“เฮ้ย! เด็กๆ มากิน…เอ่อ ผิดคิวอีกแล้วว่ะกู เดี๋ยวออกมาใหม่ละกัน -0-” พี่ขนมเข่งที่เดินถือถาดใส่จานอาหารออกมาจากในครัวพร้อมกับเรียกผมและแก้วใจ ถึงกับชะงักไปก่อนจะกลับเข้าไปยังที่เดิมที่เพิ่งเดินออกมาได้ไม่กี่วินาที
ไม่ใช่แค่พี่ขนมเข่งหรอกนะที่ชะงักไป เพราะสติของผมก็กลับมาเหมือนกัน ผมรีบปล่อยมือแก้วใจแล้วผละตัวเองออกห่างจากเธอเล็กน้อยอย่างเก้อๆ เธอเองก็หันหน้าหนีผมไปอีกทางด้วยท่าทีเขินอาย
“ขอโทษ” ผมเอ่ยออกไปโดยพยายามทำน้ำเสียงให้นิ่งเป็นปกติที่สุดเพราะกลัวเธอจะจับได้ ว่าผมกำลังตื่นเต้นเพราะเรื่องเมื่อกี้
“อื้อ...” เธอตอบเสียงแผ่วแต่ว่าผมก็ได้ยินล่ะนะ เฮ้อ! เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ผมไม่ควรปล่อยตัวเองให้เคลิ้มไปกับบรรยากาศเลยแฮะ U_U
อัพแล้วน๊าอัพช้าหน่อยช่วงนี้ไรต์สอบบ่อยมากการบ้านก็เยอะ ช่วยเม้นให้กันด้วยน๊า
โทโมะใช้เวลาไม่นานมากนักในการพาฉันมายังห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่อยู่ ใกล้มหาวิทยาลัยของเราที่สุด ไม่อยากจะเชื่อเลยแฮะว่าเขาจะเลี้ยงฉันจริงๆ น่ะ >_<แต่เมื่อโอกาสมาถึงมือแล้วมีเหรอที่แก้วใจคนนี้จะไม่คว้าเอาไว้(พี่สอนมาดี) ฉันเลือกบุฟเฟ่ต์ชาบูร้านประจำที่มีสาขาอยู่ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป ฉันกับพี่ขนมเข่งชอบกินชาบูของที่นี่มากไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่เราก็มักจะมา ฝากท้องไว้กับร้านนี้เสมอ
“พอบอกว่าจะเลี้ยง ก็เล่นซะคุ้มเลยนะ”โทโมะบ่นอุบหลังจากที่เห็นฉันเดินไปตักโน่นตักนี่มาวางเต็มโต๊ะเพื่อ เตรียมเอาลงหม้อ
“ที่ต้องเอาให้คุ้มเพราะมันเป็นบุฟเฟ่ต์ต่างหากล่ะ ว่าแต่นายเถอะ ไม่คิดจะช่วยกันตักอะไรเลยหรือไง หรือไม่ก็ช่วยเอาของใส่หม้อก็ได้ มัวแต่นั่งมึนอยู่นั่นแหละ”
“ฉันบอกเธอตอนไหนว่าฉันจะกินด้วย”
“อ้าว! แล้วนายจะมานั่งเสียเงินค่าหัวฟรีๆ โดยไม่แตะอะไรเลยเนี่ยนะ รวยหนักหรือไง -*-” หมอนี่มันอกหักจนประสาทเสียไปแล้วหรือยังไงเนี่ย มีอย่างที่ไหนเข้ามานั่งให้เสียตังค์เล่นฟรีๆ
“รวยไม่รวย มื้อนี้ฉันเลี้ยงเธอได้ก็แล้วกัน -_-^”
จ้า~ ไอ้หล่อ ไอ้รวย ชิ!
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอสั่งให้นายกินเป็นเพื่อนฉัน ไหนๆ นายก็เป็นเบ๊ฉันแล้ว”
“อยากตื่นมาพรุ่งนี้แล้วพบว่าผ่านไปแล้วสามเดือนจริงๆ เลย”โทโมะบ่นงึมงำพลางเริ่มหยิบจานที่ใส่เนื้อสัตว์ต่างๆ เทลงหม้อซุป นี่เขาคงคิดว่าฉันไม่ได้ยินที่เขาพูดสินะ ผิดถนัด! ฉันได้ยินและได้ยินชัดมากด้วย TOTv
“เธอชอบกินกุ้งเหรอ” โทโมะถามหลังจากที่นั่งกินอย่างเงียบๆ มานาน ส่วนฉันเองก็ตั้งหน้าตั้งตากินเหมือนกัน
“แอบมองฉันอยู่ล่ะสิ ถึงได้ถามแบบนี้”
“เปล่า ตามันเห็นเอง -_-^”
“-0-”
“อ้ะ! กินๆ เข้าไป” โทโมะบอกพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบกุ้งที่ยังไม่ได้กินในจานของตัวเองมาใส่จานฉัน
“ขอบคุณนะ ของโปรดฉันเลยล่ะ >_<”
“อือ พิมก็ชอบกินมันมากเหมือนกัน”
“เกลียดกุ้งว่ะ!” เมื่อได้ยินประโยคนั้นจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันก็ถึงกับชะงักมือที่กำลัง คีบกุ้งตัวเมื่อกี้ไปจิ้มน้ำจิ้มทันทีก่อนจะนำมันกลับไปใส่จานโทโมะเหมือน เดิม
“เมื่อกี้ยังชอบอยู่เลย”
“ก็ตอนนี้จะเกลียดอะทำไม ไม่อยากซ้ำกับใคร โดยเฉพาะยัยปีศาจหน้าขาวแฟนเก่านาย!-0-”
“…”
“เอ่อ…” ปากไวอีกแล้วแก้วใจ T^T ฉันไม่น่าพูดคำว่า แฟนเก่า ออกไปเลย จากที่โทโมะยิ้มๆ อยู่ก็ถึงกับหน้าเจื่อนลงไปทันทีก่อนที่เขาจะวางตะเกียบกับช้อนในมือลงกับถ้วยตรงหน้า
“ฉันอิ่มแล้วล่ะ” น้ำเสียงแผ่วเบาถูกเอ่ยออกมาพร้อมๆ กับที่คนพูดหันหน้าหนีไปมองทางอื่น แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็เห็นว่าตาเขาเริ่มเป็นสีแดงระเรื่ออีกครั้ง
“ฉะ ฉันขอโทษ”
“เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“แต่สีหน้านายมันบอกว่าฉันผิด T^T”
“คิดไปเองน่า” แน่ะ! ยัง จะมาบอกว่าฉันคิดไปอีกเหรอ ถึงฉันจะเป็นพวกชอบมโนก็เถอะ แต่ครั้งนี้ฉันพูดออกมาจากสิ่งที่เห็นเลยนะ สีหน้าของเขาย่ำแย่มากเลยล่ะตอนนี้
เขาเหมือนจะร้องไห้อีกแล้ววว~
อ้าก! ทำยังไงดี YOY
“เอ่อ ฉันก็อิ่มแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราไปนั่งรถเล่นกันเถอะนะ >_<”
ฉันลุกขึ้นเดินมาฝั่งโทโมะแล้วฉุดแขนของเขาขึ้นมาเพื่อให้เขาลุกตาม ฉันไม่ได้แกล้งอิ่มหรอกนะแต่มันอิ่มจริงๆ นั่นแหละ คนตัวสูงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะยอมลุกขึ้นโดยไม่ลืมหยิบบิลค่าอาหารที่ วางอยู่บนโต๊ะมาด้วย และหลังจากที่จ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็กลับมาที่เจ้าเต่าเหลืองของ โทโมะตอนแรกเขาบอกให้ฉันเดินเล่นข้างในห้างก่อนก็ได้ แต่ฉันบอกเขาไปว่าตัวเองเป็นพวกไม่ค่อยชอบเดินเล่นช็อปปิ้งในห้างสักเท่าไหร่
“ฉันว่าต้องกลับบ้านอย่างเดียวแล้วล่ะ คงนั่งรถเล่นชิวๆ ไม่ได้แล้ว -_-^” โทโมะพูดขึ้นหลังจากที่เลี้ยวรถออกมาจากทางออกของห้างสรรพสินค้าแล้วเรียบร้อย และปรากฏว่าระหว่างที่เรานั่งกินบุฟเฟ่ต์อย่างสบายใจอยู่นั้น ข้างนอกก็มีฝนตกลงมาอย่างหนักจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย
“แย่จัง กลับบ้านก็ได้ นายจะได้ไปทำแผลด้วย เดี๋ยวเชื้อโรคเข้าไปแล้วหน้าจะเน่าไม่รู้ตัว” ฉันแกล้งแหย่คนตัวสูงจนเขานิ่วหน้าแล้วเหล่มาที่ฉันเล็กน้อยอย่างขำๆ
“ถ้าหน้าฉันเน่า ฉันจะโทษเธอคนแรกเลย”
“เฮ้ย! ไหงงั้นอะ!”
“อย่าลืมสิว่าฉันเจ็บตัวก็เพราะเธอเป็นคนยุให้ฉันไปที่นั่น”
“แต่ฉันไม่ได้บอกให้นายไปต่อยกับไอ้บ้าฌอนสักหน่อย” บ้าที่สุดเลย ทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาปแท้ๆ -_-^ เพราะดวงตกฉันเลยทำบุญกับคนไม่ขึ้นเลยใช่มั้ยเนี่ย ความดีกลายเป็นความผิดซะงั้นอะ เฮ้อ! แล้วแก้วน้อยผู้น่าสงสารคนนี้จะไปหาความยุติธรรมได้จากที่ใดเล่า
น่าอนาถจิตดีแท้ Y.Y
ในที่สุดโทโมะก็พาฉันมาส่งถึงบ้านอย่างปลอดภัยไร้กังวลจนได้ เฮ้! ตอน นี้เป็นเวลาประมาณทุ่มกว่าๆ ได้แล้ว ไฟที่รั้วและในบ้านเปิดสว่างแสดงว่าพี่ขนมเข่งอยู่บ้านสินะ แต่ก็แน่ล่ะ ฝนตกหนักแบบนี้พี่แกคงไม่ถ่อไปริกกี้หรอก
“Hello~ โอ๊ะโอ…พี่เข่ง ทำบ้าอะไรอีกแล้วน่ะ -_-^” ทันทีที่เดินเขามาในบ้านฉันก็ต้องพบกับผู้ชายผมแดงแรงฤทธิ์ซึ่งเป็นพี่ชาย ของฉันเองและตอนนี้เขาก็กลายร่างเป็นตัวประหลาด ความจริงก็ไม่เชิงหรอก เพราะที่หน้าของเขามีแผ่นมาร์คหน้าสีขาวแปะอยู่น่ะสิ มองดูแล้วเหมือนเอเลี่ยนมากสำหรับฉัน รู้มั้ยว่าฉันไม่เคยมานั่งทำอะไรแบบนี้เลย นี่ขนาดฉันเป็นผู้หญิงแท้ๆ นะเนี่ย
“ก็บำรุงผิวหน้าไง หน้าจะได้ใสๆ เด้งๆ >.,<”
แปะๆๆ
พี่ขนมเข่งตอบพร้อมกับปล่อยช้อนที่กำลังตักอะไรบางอย่างกินอยู่แล้วยกมือขึ้นมา ตบแก้มทั้งสองข้างของตัวเองเบาๆ ก่อนจะส่งยิ้มหวานมาให้ฉัน
“แรดจริงๆ พี่ใครวะ -0-” ฉันบ่นอุบก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เขามากขึ้นจนสังเกตเห็นว่าสิ่งที่เขากำลังกิน อยู่มันคือสลัดผักนั่นเอง “กินสลัดอีกต่างหาก ครบสูตรเลยนะ -_-^”
“สลัดผักเพื่อสุขภาพ นี่ฉันทำเองเลยนะเว้ย!”
“ทำยากตรงไหนเนี่ย แค่เอาสารพัดผักมาใส่ถ้วยแล้วตักน้ำสลัดจากกระปุกที่ซื้อมาราดใส่ แค่เนี้ยเอง”
“นั่นแหละ! -0-”
“ว่าแต่แกนั่งแท็กซี่เข้ามาเหรอ ทำไมไม่เปียกอะ”
“คือว่า…”
“สวัสดีครับพี่หนมเข่ง ^_^” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบโทโมะที่เพิ่งจะเดินตามเข้ามาก็เอ่ยทักทายคนแก่สุดด้วยใบหน้าฝืนยิ้ม แน่ล่ะ! เขาก็ฝืนยิ้มมาตลอดนั่นแหละตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อตอนเย็น
“เออดีๆ…อ๋อ ที่แท้ก็มีผู้ชายมาส่ง หึหึ” พี่ขนมเข่งตอบรับผู้มาใหม่ก่อนจะหันมาหรี่ตาแล้วแกล้งแซวฉันจนฉันต้องรีบเดินไปตรงอื่นแก้เก้อทันที
“ฉันไปเอาอุปกรณ์ทำแผลก่อนนะ”
“ใครเป็นอะไรวะ…เฮ้ย! ไอ้โมะ ทำไมหน้ายับแบบนั้นวะเฮ้ย” พี่เข่งถามซะดังลั่นหลังจากที่ได้คำตอบของสิ่งที่สงสัยแล้ว โทโมะเดินไปนั่งลงข้างคนถามก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น
“เอ่อ คือว่า…” เขาเล่าแบบย่อๆ แต่รวบรวมใจความสำคัญของเรื่องไว้ทั้งหมด ฉันที่ได้กล่องอุปกรณ์ทำแผลแล้วก็เดินกลับมานั่งฟังเขาด้วยความรู้สึกหดหู่ ก็ตอนที่เขาเล่าน่ะ สีหน้าดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นัก
“ถือว่าหมดเคราะห์กรรมไปก็แล้วกัน ดีกว่าแกโดนยัยพิมหลอกต่อไปเรื่อยๆ” พี่ขนมเข่งพูดพร้อมกับตบไหล่โทโมะเบาๆ เป็นการปลอบ
“ครับ”
“เอาล่ะ ต่อไปแกก็ลืมเรื่องเลวร้ายพวกนั้นซะ ถือว่าเป็นบทเรียน การที่แกมีความเชื่อใจมันก็ดี แต่ก็ต้องมีขอบเขตบ้าง การเชื่อทุกอย่างน่ะมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนโง่หรอก” พี่ขนมเข่งบอกด้วยใบหน้าจริงจังแต่ฉันก็ยังมองว่าหน้าของเขามันแอบตลกอยู่ ไม่น้อยเพราะมีที่มาร์คหน้าปิดอยู่ ฮ่าๆๆ >O<
ส่วน โทโมะน่ะ รายนั้นก็ได้แต่หลุบตามองพื้นอย่างเศร้าๆ ฉันเองที่นั่งฟังอยู่ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับสิ่งที่พี่ชายตัวเองพูด เมื่อกี้นี้นะ เวลาผู้ชายผมสีแดงคนนี้อบรมสั่งสอนอย่างจริงจังขึ้นมาน่ะ เขาดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมมากเลยล่ะ เพราะแบบนี้ฉันเลยรักเขามากไง >_<
“…”
“ฉัน อยากให้แกจำเอาไว้อย่างหนึ่งว่า จงมองโลกในแง่ของความเป็นจริงที่มันเป็น เพราะทุกวันนี้ไอ้ที่ว่าจงมองโลกในแง่ดีอย่ามองโลกในแง่ร้ายมันใช้ไม่ค่อย ได้แล้วล่ะ คนมันทำให้โลกอยู่ยากขึ้นทุกวัน แค่มองตามความเป็นจริงแล้วยอมรับมันนี่สิถึงจะมีความสุข ”
“ครับ”
“บ่นมาซะยาวเลย ฉันไปล้างถ้วยล้างจานก่อนก็แล้วกัน แกให้ไอ้แก้วใจทำแผลไปก่อนนะ” พูดจบเจ้าตัวก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะหยิบถ้วยสลัดของตัวเองที่กินหมดไป ระหว่างที่ฟังใจแก้วเล่าเรื่องอยู่ขึ้นมาแล้วเดินหายเข้าไปในครัว เมื่อกี้เขาเรียกชื่อฉันผิดอีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย U_U
“ฉันทำแผลไม่เก่งนะ แต่ก็เป็นคนทำให้พี่เข่งตลอด” ฉันรีบออกตัวพร้อมกับย้ายตัวเองไปนั่งข้างๆ โทโมะตรงที่เดียวกับที่พี่ขนมเข่งนั่งอยู่เมื่อกี้
“อืม ไม่ทำให้มันแย่กว่าเดิมก็โอเคแล้วล่ะ -_-^”
ระหว่างการทำแผล รู้มั้ยว่าบรรยากาศมันโคตรอึดอัดเลยล่ะ ฉันก็เขินๆ เวลาที่ต้องมานั่งจ้องหน้าคนหล่อใกล้ๆ แบบนี้จึงไม่กล้าพูดอะไร ส่วนโทโมะเองก็ดูเหมือนจะเหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา สายตาของเขาดูเศร้าหมองและจ้องมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งข้างนอกมีเม็ดฝนกำลัง โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายอีกทั้งยังตกหนักกว่าตอนที่ฉันกลับมาถึงด้วย มิหนำซ้ำ…
ครืนนน~! ครืนนน~! ครืนนน~!
“อึ๋ย! ทำไมต้องมีฟ้าร้องด้วยเนี่ย น่ากลัวชะมัด T^T” ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่องให้เรียบร้อยเหมือนเดิม เพราะทำแผลให้โทโมะเสร็จพอดี โทโมะที่หลุดออกจากภวังค์เพราะเสียงของฟ้าหรือเสียงของฉันก็ไม่แน่ใจค่อยๆ หันมามองฉันแล้วขมวดคิ้วเป็นปม
“ขอบคุณนะ…ว่าแต่เธอกลัวฟ้าร้องเหรอ”
“ก็นิดหน่อยน่ะ” ฉันตอบด้วยสีหน้ายุ่งๆ
ครืนนน~!!!
“โอยยย~ หยุดร้องเถอะ TOT” ฉันโอดครวญพร้อมกับเอากล่องอุปกรณ์ทำแผลไปวางไว้ที่โต๊ะกระจกตรงหน้าแล้วนั่งทำตัวสั่นพร้อมใบหน้า
“ทำไมต้องทำหน้าอุบาทว์แบบนี้ด้วยเนี่ย -_-^”
“ก็ฉันไม่ชอบเสียงฟ้าร้องนี่! -0-”
“ฮ่าๆ”
“ไอ้โมะ ฉันว่าแกอย่าเพิ่งกลับเลยว่ะ มีหวังขับรถออกไปตอนนี้ไม่ถึงบ้านแน่ ฉันดูข่าวเมื่อเย็นเขาบอกว่าบ้านเราได้รับอิทธิพลพายุก๋องแก๊งอะไรไม่รู้ว่ะ ดูท่าแล้วฝนจะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เนี่ย ฉันออกไปดูหลังบ้านเมื่อกี้ ข้างนอกลมโคตรแรงเลย TT_TT” พี่ขนมเข่งเดินกลับมาหาเราสองคนแล้วบอกโทโมะด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“จะดีเหรอครับพี่”
“แกอยู่บ้านฉันก่อนดีกว่ากลับไปตอนนี้แน่นอน เชื่อฉันเถอะ -_-^”
“เอางั้นก็ได้ครับ…”
Tomo talking
ครืนนน~! ครืนนน~!
เสียง ฟ้าคำรามยังคงดังมาเป็นระยะๆ พร้อมกับสายฝนที่ตกหนักและลมพัดแรงซึ่งดูเหมือนจะไม่หยุดในเร็วๆ นี้เลย ผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างคนหมดหวัง น่าตลกมั้ยล่ะครับที่คนอย่าง โทโมะโดน ผู้หญิงหลอกน่ะ แถมผู้หญิงที่ผมเข้าใจว่าเธอเป็นแฟนของผมมาตลอดกลับเป็นแฟนของเพื่อน(เก่า) อยู่ก่อนหน้านี้แล้ว และทั้งสองคนก็รวมหัวกันปั่นหัวผมเล่นกับความรู้สึกของผม เหอะ!
จะว่าโกรธก็โกรธมาก จะว่าเสียใจก็เสียใจมากเหมือนกัน ผมรักพิมจริงๆ นะ ถึงแม้จะเป็นก่อนหน้านี้ก็เถอะ อ่า…ไม่ ต้องสงสัยครับ ผมไม่ได้พูดผิดหรอก ที่บอกว่าก่อนหน้านี้ก็เพราะตอนนี้ผมไม่ได้รักเธอเหมือนเดิมแล้วไงครับ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องเสียใจบ้างล่ะนะ
อยากรู้ใช่มั้ยล่ะครับว่าผมรักเธอน้อยลงตั้งแต่เมื่อไหร่?
ผมเองก็ไม่รู้หรอกครับ รู้แต่ว่ามันไม่เหมือนเดิมเท่านั้นเอง ในขณะที่ผมรู้สึกว่าเธอไม่เหมือนเดิมผมเองก็รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปเหมือน กัน ตั้งแต่…
“นี่นาย! จะนั่งทำหน้าอยากตายอีกนานมั้ยฮะ! -0-” ตั้งแต่รู้จักกับผู้หญิงคนนี้ล่ะมั้งครับ ฮ่าๆ เธอชื่อ แก้วใจ น่ะ เรารู้จักกันโดยบังเอิญ เป็นความบังเอิญแบบแปลกๆ ด้วยครับ เพราะเธอเข้ามาขอผมเป็นแฟน -///- (ความจริงก็ไม่ได้ขอหรอก บังคับซะมากกว่า) แล้วตอนนี้ผมก็ติดฝนอยู่ที่บ้านของเธอนี่แหละ
“ไม่รู้สิ” ผมตอบอย่างเนือยๆ ก่อนจะละสายตาจากฝนด้านนอกมายังคนตัวเล็กที่เดินกลับลงมาจากด้านบนหลังจาก ที่เธอขอตัวไปอาบน้ำ
“คิดซะว่ายัยนั่นตายไปจากโลกนี้แล้วก็ได้ นายจะได้สบายใจขึ้น -0-” แก้วใจบอกพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ กับผม
“เป็นเธอ…ถ้าคนรักตาย เธอจะสบายใจอย่างนั้นเหรอ” ผมถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ จริงๆ นะครับ ผมไม่เคยเข้าใจผู้หญิงคนนี้เลย ให้ตายสิ -_-^
“เอ่อ…พี่เข่งไปไหนแล้วล่ะ” เมื่อไปต่อไม่ถูกและเห็นสีหน้ายุ่งๆ ของผมเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
แหม…เป็นแบบนี้ตลอดเลยสิน่า
“เห็นว่าจะไปทำเมนูรอบดึกสำหรับวันนี้ในครัวน่ะ” ผมตอบพร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางห้องครัวซึ่งคนถามก็มองตามไปแล้วพยักหน้าลง อย่างเข้าใจ
“คิดไว้แล้วเชียวว่าเดี๋ยวต้องไม่อิ่ม ไอ้สลัดผักนั่นน่ะเห็นกินทีไรเป็นต้องหาอะไรใส่ท้องอีกรอบทุกทีนั่นแหละ”แก้วเบะปากเล็กน้อยใส่คนในครัวก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าผมเหมือนคิดอะไร บางอย่าง “นาย…เล่นกีต้าร์เป็นมั้ย”
“เป็น…ทำไมล่ะ”
“ดีเลย! ถ้าอย่างนั้นเล่นให้ฉันฟังหน่อยนะ ร้องเพลงด้วย >_<” เธอเบิกตาโตพร้อมกับทำท่าทางตื่นเต้นก่อนจะลุกไปหยิบกีต้าร์ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้มากนักมายื่นให้ผม
“ของเธอเหรอ” ผมถามแต่ยังไม่ยอมรับมา
“ของพี่เข่งน่ะ เอ้า! รับไปสิ นายเป็นเบ๊ฉันนะ -0-” คำก็เบ๊สองคำก็เบ๊ แค่เข้าใจผิดนิดหน่อยไม่คิดเลยว่าผมต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ แบบนี้ เฮ้อ!
“ทำไมฉันต้องเล่นให้เธอฟังด้วยล่ะ ฉันไม่ได้จีบเธอสักหน่อย เธอจีบฉันอยู่เธอก็เล่นให้ฉันฟังสิ”
“จะบ้าเหรอ! ใครจีบนายอะไรกัน ไม่มีเลย เฮอะ!” แก้วใจรีบโวยวายแต่ใบหน้าของเธอกับเป็นสีแดงระเรื่อคล้ายมะเขือเทศใกล้จะสุก
“แล้วที่มาตามตื้อให้ฉันไปเป็นแฟนนั่นไม่เรียกว่าจีบเหรอ”
“เออ! เปล่า -3-” ปากแข็งจริงๆ เลยยัยบ้านี่ แต่แปลกนะครับที่ผมอยู่กับเธอทีไรผมมักจะเผลอแอบยิ้มในใจทุกทีเลย อยากรู้ล่ะสิทำไมผมไม่ยิ้มออกมาให้เธอเห็น
เพราะผมกลัวเธอจะได้ใจน่ะ
ครืนนน!!!
“กรี๊ด!>_<” เพราะครั้งนี้ฟ้าร้องเสียงดังกว่าทุกครั้ง คนตัวเล็กข้างๆ ผมจึงต้องยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้างเอาไว้พร้อมกับก้มหน้างุดแล้วร้องออก มาเสียงดังแข่งกับฟ้าฝน
“แก้ว!!! ไอ้แก้ว!!! แกเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น! O[]O” พี่ขนมเข่งที่ได้ยินเสียงกรี๊ดของน้องสาวตัวเองก็รีบวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากห้องครัวด้วยความตกใจ
“ไม่มีอะไรครับพี่หนมเข่ง ยัยนี่ตกใจเสียงฟ้าร้องน่ะ”
“อ๋อ ฝากแกดูแก้วน้อยของฉันหน่อยนะ มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ” พี่ขนมเข่งกำชับด้วยสีหน้าเป็นกังวลก่อนจะหายเข้าไปในครัวอีกครั้งหลังจาก ที่ผมพยักหน้ารับแล้ว
“เดี๋ยวฉันร้องเพลงให้เธอฟังก็ได้ จะได้ไม่ต้องฟังเสียงฟ้าข้างนอกนั่น” ผมบอกคนข้างๆ ด้วยเสียงอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาเป็นประกายเหมือนกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่น ตามที่ต้องการแล้ว
“จริงเหรอ! เอาเพลงให้เข้ากับบรรยากาศตอนนี้หน่อยนะ >_<” เธอบอกแล้วทำสีหน้าตั้งใจรอฟัง ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเพื่อนึกเพลงอย่างที่เธอว่า
บรรยากาศตอนนี้อย่างนั้นเหรอ?
ฝนตกฟ้าร้องคงมีแต่ท่วงทำนองเศร้าๆ เท่านั้นแหละมั้งที่เหมาะสมที่สุด…
น้ำตาฟ้า…เพลงของคนอกหัก
“เธอรู้มั้ยว่าทำไมฝนถึงตก”
“ได้รับอิทธิพลพายุไง ก็พี่เข่งบอกเมื่อกี้ -_-^”
“เปล่าหรอก ความจริงแล้ว ฟ้าทำลังร้องไห้ต่างหากล่ะ…”
“นี่อย่ามาดราม่านะ เพลงที่เข้ากับบรรยากาศของฉันหมายถึงเพลงซึ้งๆ โรแมนติกต่างหากล่ะ -0-”
“อืม” ผมแปลความหมายต่างไปจากเธอ แล้วผมก็เข้าใจที่เธอพูดนะ เพียงแต่ตอนนี้ผมนึกเพลงซึ้งๆ ไม่ออกจริงๆ
ปลาย นิ้วของผมเริ่มกดคอร์ดที่นึกขึ้นได้ในหัวพร้อมกับอีกมือที่ดีดสายกีต้าร์ออก มาเป็นท่วงทำนองเศร้าๆ ก่อนจะเริ่มร้องเพลงเข้ากับจังหวะออกมา
เขาบอกว่าฟ้า ร้องไห้ออกมาเป็นน้ำฝน
อยากรู้นักฟ้าที่เบื้องบน ต้องมาร้องไห้เพราะใคร
หรือฟ้าสงสาร คนอย่างฉันถูกหลอกเรื่อยไป
ถูกเขาลวงเขาล้วงหัวใจ เอาไปต้มยำทำแกง
ฝนฟ้ากระหน่ำ เสียงฟ้าคำรามดูน่ากลัว
น้ำตาฟ้าหลั่งมารดตัว รดหัวใจฉันจนชา
ฉันคนผิดหวัง มีเคราะห์กรรมไร้วาสนา
เขาเลยไม่รักไม่ยอมพูดจา หลอกลวงให้ฉันต้องตรม
“นี่นาย…” แก้วใจทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่แล้วเมื่อผมหันไปสบตากับเธอ คนตัวเล็กดูจะอึ้งๆ ไปเล็กน้อยแล้วก็เงียบไปในที่สุด
ที่หน้าผมมีอะไรติดอย่างนั้นเหรอ?
ช่างเถอะ…
ฉันมันคนซื่อ ไม่เคยฝึกปรือ ในเรื่องความรัก
เพิ่งเคยได้รู้ เพิ่งเคยได้ลอง เพิ่งเคยรู้จัก
สุดท้ายต้องมาอกหัก ไม่รู้จะดามยังไง
เขาบอกว่าฟ้า ร้องไห้ออกมาให้ฉัน
ฟ้าสงสารและคงผิดหวัง ที่ชักนำให้ฉันพบเธอ
น้ำตาที่ไหล จากความตั้งใจไม่ได้พลั้งเผลอ
ชาตินี้เข็ดแล้วนะเออ ไม่อยากเจอหน้าเธออีกเลย…
ผม ดีดท่วงทำนองเศร้าๆ ไปเรื่อยๆ พลางหันไปสบตากับแก้วอยู่เป็นระยะๆ เธอมองผมด้วยสีหน้าและสายตาดูเป็นกังวลยังไงชอบกล และหลังจากที่เพลงจบลงผมจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามข้อสงสัยออกไป
“ทำไมมองหน้าฉันแบบนั้นล่ะ”
“ก็นาย…” แก้วใจกลืนคำพูดลงคอไปก่อนจะตอบผมด้วยภาษากายแทน เธอใช้มือเล็กเอื้อมมาปาดน้ำตาที่อาบแก้มทั้งสองข้างของผมอย่างแผ่วเบา ราวกลับกลัวว่าผมจะเจ็บ
ผมกำลังเสียใจเรื่องของพิม…
ใช่ผมเสียใจ และผมก็ดีใจที่ยังมีผู้หญิงอีกคนซึ่งไม่ทิ้งผมไปไหน เธอคือคนที่นั่งอยู่ข้างๆ และกำลังเช็ดน้ำตาให้กับผม ถ้าผมคบกับเธอตอนนี้ ผมคงจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวน่าดูเพราะผมยังรู้สึกดีกับแฟนเก่าอยู่ ดังนั้น…
รอฉันก่อนนะแก้วใจ
“สัญญากับฉันสิว่านายจะร้องไห้วันนี้เป็นวันสุดท้าย ฉันบอกแล้วไงว่าคนพวกนั้นไม่มีค่าพอที่นายจะต้องเสียน้ำตาให้” เธอบอกพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างล็อกใบหน้าของผมเอาไว้ให้สบตากับเธอ
“อืม” ผมตอบรับสั้นๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาจับมือเล็กเอาไว้หลวมๆแล้วดึงออกให้พ้นจากหน้าของตัวเองก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น
มากขึ้นเรื่อยๆ…
มากขึ้น…
มากจนปลายจมูกของเราแตะกันเบาๆ แก้วใจถึงกับตัวแข็งทื่อแล้วเบิกตาโต ผมเอียงหน้าเล็กน้อยเพราะอยากจะสัมผัสเธอให้มากกว่านี้ คนตัวเล็กก็หลับตาพริ้มเหมือนรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น
“เฮ้ย! เด็กๆ มากิน…เอ่อ ผิดคิวอีกแล้วว่ะกู เดี๋ยวออกมาใหม่ละกัน -0-” พี่ขนมเข่งที่เดินถือถาดใส่จานอาหารออกมาจากในครัวพร้อมกับเรียกผมและแก้วใจ ถึงกับชะงักไปก่อนจะกลับเข้าไปยังที่เดิมที่เพิ่งเดินออกมาได้ไม่กี่วินาที
ไม่ใช่แค่พี่ขนมเข่งหรอกนะที่ชะงักไป เพราะสติของผมก็กลับมาเหมือนกัน ผมรีบปล่อยมือแก้วใจแล้วผละตัวเองออกห่างจากเธอเล็กน้อยอย่างเก้อๆ เธอเองก็หันหน้าหนีผมไปอีกทางด้วยท่าทีเขินอาย
“ขอโทษ” ผมเอ่ยออกไปโดยพยายามทำน้ำเสียงให้นิ่งเป็นปกติที่สุดเพราะกลัวเธอจะจับได้ ว่าผมกำลังตื่นเต้นเพราะเรื่องเมื่อกี้
“อื้อ...” เธอตอบเสียงแผ่วแต่ว่าผมก็ได้ยินล่ะนะ เฮ้อ! เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ผมไม่ควรปล่อยตัวเองให้เคลิ้มไปกับบรรยากาศเลยแฮะ U_U
อัพแล้วน๊าอัพช้าหน่อยช่วงนี้ไรต์สอบบ่อยมากการบ้านก็เยอะ ช่วยเม้นให้กันด้วยน๊า
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ