Stop หยุดหัวใจนายเย็นชา
9.6
เขียนโดย NannyCandy
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.18 น.
43 chapter
860 วิจารณ์
67.51K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 19.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
39) - Can You Be My Girlfriend? , Baby…
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ - Can You Be My Girlfriend? , Baby…-
( คุณจะเป็นแฟนผมได้มั้ย? ,ที่รัก... )
1 วันต่อมา...
โรงพยาบาล xxx
“คนไข้มีอาการฟื้นตัวเร็วกว่าที่หมอคิดนะเนี่ย”
คุณหมอหันมายิ้มให้กับโทโมะแล้วก็พ่อแม่ของเขา และยังมีพ่อกับน้องชายของแก้วอย่างพิชชี่หลังจากที่เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา นั้นคุณหมอและพยาบาลได้ทำการตรวจร่างกายของแก้วที่ตอนนี้เธอยังคงนอน หลับไหลอยู่และยังไม่ฟื้นขึ้นมาแต่ว่าร่างกายของเธอนั้นได้รับออกซิเจนสะอาด เข้าไปได้เยอะจนทำให้ร่างกายภายในฟื้นตัวเร็วชีพจรเริ่มเต้นดีขึ้นเรื่อยๆ
อาการของแก้วนั้นดีขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่คุณหมอคาดการเอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับพวกเขาที่มาเยี่ยมแก้ว
แต่ว่าโทโมะเนี่ยสิ...เขาก็ดีใจนะ ที่หมอบอกแบบนั้น แต่หากทว่าในใจลึกๆแล้วเขาเสียใจมากที่คำขอพรของเขานั้นไม่เป็นความจริง เพราะว่านี่มันผ่านวันเกิดเขามา 1 วันแล้ว
แล้วตั้งแต่คืนนั้นโทโมะนอนเฝ้าอาการของแก้ว ทั้งคืนไม่ยอมกลับบ้านไม่ยอมกินอะไร จนแม่กับพ่อของเขากับลุงวิชัย ( พ่อแก้ว ) ต้องมาบอกว่าให้กลับไปพักผ่อนก่อน
‘ โทโมะกลับไปพักที่บ้านก่อนเถอะลูกแล้วเดี๋ยวค่อยมาใหม่ ’
‘แต่ว่าผมอยากอยู่นี่...’
‘ แต่ว่าลูกจะอยู่ที่นี่โดยไม่กินอะไรไม่ได้นะลูก ’
‘ แต่ผม...’
‘ เดี๋ยว ลุงเฝ้าแก้วเองลูก แล้วถ้ามีอะไรลุงจะโทรบอกโทโมะนะ แต่ตอนนี้โทโมะต้องกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวทำอะไรให้มันสดชื่นก่อน เผื่อว่าแก้วฟื้นมาเขาจะได้เห็นว่าโทโมะสบายดีไงลูก ^^’
‘ งั้นก็ได้ครับ แต่ถ้าแก้วฟื้นลุงวิชัยต้องโทรหาผมทันทีเลยนะครับ’
และ หลังจากวันนั้นโทโมะก็มาเฝ้าแก้วตลอดไม่ไปไหน จะมีก็ฟางที่มาอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนด้วยแล้วก็คอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ ซึ่งฟางเองก็รู้สึกเหงาหงอยอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่เพื่อนสนิทอย่างแก้วยัง ไม่ตื่นขึ้นมาสักที
“เดี๋ยวหมอจะเอาเครื่องช่วยหายใจออกเพื่อให้คนไข้ได้หายใจได้ด้วยตัวเอง เพราะว่าตอนนี้เธอดีขึ้นแล้วทางครอบครัวสบายใจได้นะครับ ^^” คุณหมอยิ้มอีกครั้งและคำพูดนั้นก็ทำให้ครอบครัวของโทโมะกับครอบครัวแก้วยิ้มออกมาได้
แต่โทโมะเขาก็แค่ยกยิ้มบางๆเจื่อนๆจนขนาดที่ว่าถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้ เลยด้วยซ้ำว่าเขายิ้มเพราะว่าโทโมะนั้นยังมีสีหน้าที่มีแววตาเศร้าหมองอยู่ดี นั่นแหละน่า เฮ้อ...
2 ชั่วโมงต่อมา
สวนสาธารณะ
“ให้ตายสิ นายมาอารมณ์ไหนวะเนี่ย”น้ำ เสียงของสาวห้าวอย่างฟางเอ่ยขึ้นเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วโทโมะได้โทรหาเธอให้มา เดินเป็นเพื่อนที่สวนสาธารณะใกล้ๆกับโรงพยาบาลหน่อย ซึ่งตอนนั้นฟางว่างพอดีแต่เดี๋ยวเธอก็จะต้องกลับไปดูร้านต่อ
ซึ่ง ในตอนเช้าสายๆแบบนี้ยังไม่ค่อยมีคนมาที่นี่กันมากนัก ที่นี่จึงเงียบสงบเป็นพิเศษและเป็นที่ที่เหมาะแก่การนั่งผักผ่อน เดินเล่นรับลมแก้เครียดได้มากที่สุดเพราะว่ามันมีต้นไม้ล้อมรอบจึงทำให้ อากาศเย็นสบาย ดอกไม้หลากสีก็มีอยู่เต็มไปหมด สนามหญ้าสีเขียวที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ซึ่งโทโมะคิดว่าการที่เขามาที่ในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เขาได้ออกมา เดินเล่นบ้าง
จะได้ไม่รู้สึกตึงเครียดจนเกินไปยังไงล่ะ
และเพราะว่าตอนนี้พ่อกับแม่โทโมะไปทำงานแล้วหลังจากที่คุณหมอได้จัดการทำอะไรจน เสร็จเรียบร้อยส่วนลุงวิชัยพ่อแก้วก็อยู่เฝ้าแก้วอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละ โทโมะจึงไม่อยากอยู่ขัดเพราะอยากให้ลุงวิชัยเฝ้าแก้วลูกสาวของเขากับพิชชี่แบบ ครอบครัว
ตามจริงแล้วโทโมะสามารถที่จะโทรหาเพื่อนๆในกลุ่มของเขาให้มาเดินเป็นเพื่อนได้ โดยที่ไม่ใช่ฟาง แต่ทำไมโทโมะถึงโทรหาเธอล่ะ? ก็เพราะว่าฟางเป็นเพื่อนของแก้วโทโมะจึงอยากจะคุยอะไรกับเธอสักหน่อย
แล้วเขาก็คิดว่าฟางนั้นคงจะเข้าใจความรู้สึกของเขาและช่วยบอกทางที่ถูกให้ แก่เขาได้เป็นอย่างดีว่า ณ เวลานี้เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปหากแก้วยังไม่ฟื้นขึ้นมา
“...”
“เฮ้ย ถามเนี่ยได้ยินมั้ย = =?” ฟางสะกิดแขนเสื้อโทโมะที่เดินทำหน้าเซ็งโลกอยู่ข้างๆเธอแถมเขายังไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำเอาแต่เดินไปข้างหน้าเงียบๆ “นายโทโมะ! ><!”
“ฮะ อะไร?”โทโมะสะดุ้งตัวเพราะถูกฟางดึงชายเสื้ออย่างแรง
“ไหวป่าวเนี่ย”ฟางถามเพราะว่าดูจากอาการของโทโมะแล้วน่าเป็นห่วงที่เขานั้นซึมๆบูดๆไม่ค่อยยิ้มมาตั้งแต่แก้วเข้าโรงพยาบาลแล้ว
“ไหวดิ”
“ไหว? เห๊อะ แต่หน้านายมันไม่ให้ว่ะ”ฟางเค้นหัวเราะออกมาแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆสวนสาธารณะก่อนที่สายตาของเธอจะไปหยุดอยู่ตรงเก้าอี้ม้านั่งใกล้ๆนี้ “ป่ะ ไปนั่งตรงนั้นกันก่อนมีไรค่อยคุย”
“อืม”โทโมะ พยักหน้าแล้วเดินตามฟางไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้อย่างเซ็งๆ เขานั่งลงพิงกับเก้าอี้สองมือก็วางพาดไว้บนหัวเข่าทั้งสองข้างก่อนจะถอน หายใจเฮือกยาวออกมาราวกับเบื่อโลกสุดๆไปเลยในตอนนี้ “เฮ้อ!”
“เป็นไรไหนพูดมาดิ๊”ฟางที่นั่งอยู่ข้างๆหันหน้ามาถามโทโมะ แต่ว่าเธอนั้นก็รู้ดีอยู่แล้วแหละว่าโทโมะนั้นเป็นอะไร ที่ถามไปก็แค่ไม่อยากให้โทโมะเอาแต่เงียบแบบนี้
และเธออยากให้เขาได้ระบายอะไรออกมาบ้างจะได้ไม่อึดอัดใจไปมากกว่านี้ สักนิดก็ยังดี
“เซ็งเว๊ย!><!”
“เย้ย ตกใจหมด = =;;;”ฟางสะดุ้งหน่อยๆแล้วเอามือยกขึ้นทาบอกเพราะว่าโทโมะระบายความอึดอัดออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว
“แหม่ วันเกิดทั้งทีคำขอพรไม่เป็นจริง”โทโมะทำท่าหายใจฟึดฟัดจากนั้นเขาก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน “ไม่เข้าใจ ว่าทำไมคนบนฟ้าชอบกลั่นแกล้งกับความรู้สึกของเราด้วยวะ”
นั่นไง๊! เขาด่าทอเทวดานางฟ้าอีกจนได้ ><!
“เอาน่า ไหนบอกว่าแก้วเริ่มดีขึ้นแล้วไง มันก็ดีแล้วนี่”
“ก็ดีขึ้น แต่ไม่ฟื้นสักทีคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”โทโมะพูดแล้วหันมามองหน้าฟาง แต่สีหน้าเบื่อโลกของเขานี่ทำให้ฟางขำออกมาหน่อยๆ
“อ่ะจ้า เข้าใจเพราะฉันก็คิดถึงเพื่อนฉันเหมือนกัน ^^”
“เซ็ง = =;;;”
“รู้...”ฟางบอกอย่างเข้าใจโทโมะว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไรที่แก้วยังไม่ฟื้นสักที แต่ว่าของแบบนี้มันต้องใจเย็นๆเพราะหมอบอกว่าอาการแก้วปลอดภัยแล้วเหลือแค่ รอเธอฟื้น “แต่นายน่ะก็ต้องรอเวลาบ้างน้า ยังไงซะแก้วก็ต้องฟื้นอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็ว”
“แต่ฉันคิดถึงอ่ะ ไม่ได้ยินเสียงยัยนั่นแล้วเหงาๆไงไม่รู้”
“โอ๊ย อย่าพูดดิ อิจฉา”
“อิจฉาไรอ่ะ”ตอนนั้นเหมือนว่าโทโมะคิดอยากแซวฟางขึ้นมาเขาจึงเผลอยิ้มแบบมีเลศนัยส่งมาให้ฟาง
“ก็อิจฉาแก้วไงที่มีคนคอยถึงแบบนี้ ให้ตายสิ แถมดูแล้วรักเดียวไม่เปลี่ยนแปลง”ฟางยิ้ม
“แหงล่ะ แค่คนเดียวหัวใจก็ชื่นบานไปทั้งชีวิตแล้ว”โทโมะบอกแล้วนอนนั้นนั่นเองที่เขาดูมีความสุขมากที่ได้พูดแบบนั้นออกมา
“...”
“แล้วเธอล่ะ รักใครอยู่รึปล่าว?”
“ให้ตอบตรงๆป๊ะล่ะ?”ฟางเลิกคิ้วถามโทโมะ โทโมะก็พยักหน้า ฉะนั้นเธอก็จะบอกตรงๆให้ “ตอบตรงๆก็คือเกิดมาไม่เคยแอบชอบใครเลยสักคนรวมถึงตอนนี้ก็ด้วย”
“จริงดิ? แล้วน้องคนนั้นอ่ะ”เมื่อโทโมะเอ่ยขึ้นมาแบบนั้นแหละฟางจึงขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “ก็คนที่ส่งจดหมายมาให้ไง”
“อ๋อออออ”
อ๋อทันที = =;;;
ก็จะเป็นใครได้ล่ะก็เด็กที่ส่งจดหมายคนนั้นมีนามว่า ‘แบมแบม’ แล้วดูท่าทางจะเกรียนแสบซนซะด้วยสิ แล้วมาส่งจดหมายจีบฟางเนี่ยนะ? ช่างกล้า... =[]=;;;
“...”
“น้องคนนั้นฉันไม่ได้รู้จักหรอกก็อาจจะแค่ส่งมาแกล้งเล่นๆก็ได้”ฟางพูดแล้วหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เสียเท่าไหร่
“แล้วถ้าไม่ได้แกล้งล่ะ ถ้าน้องเขาชอบเธอจริงๆแล้วมาจีบเธอ เธอจะตอบตกลงมั้ย?”โทโมะถามเพราะว่าในใจของเขานั้นยังห่วงๆ ‘ใครอีกคน’ ที่ถึงแม้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘คู่กัดกับฟาง’ แต่ใครจะรู้หัวใจของนายหนุ่มจอมเจ้าชู้นั่นอย่างนายป๊อปปี้ล่ะว่าเขาคิดอย่างไรกับฟาง
ถึงปากบอกว่า ‘ไม่! ไม่มีทาง!’ แต่นั่นก็อาจเป็นแค่คำพูด ‘ปิดกั้นตัวเอง’ รึปล่าวนะ?
เพราะ ปิ๊อปปี้เคยบอกกับเพื่อนๆว่าสเป็คเขาไม่มีทางเป็นผู้หญิงอย่างฟางเด็ดขาด แต่จะต้องเป็นผู้หญิงที่สวย เพอร์เฟ็ค สมบูรณ์แบบ น่ารัก จมูกโด่ง และอีกบลาๆๆๆ
“ไม่รู้สิ”
“อย่าตกลงเลย”
“ทำไม - -?”ฟางถามทันทีแต่คำตอบที่ได้จากโทโมะมาก็คือ...
“เหอะน่า บอกว่าอย่าตกลงก็อย่าตกลง เชื่อฉันดิ”
“นี่นายคงไม่ได้จะให้ฉันคิดทบทวนดูใจว่าฉันชอบเพื่อนนายอย่างไอ้บ้าป๊อปปี้นั่นหรอกใช่มั้ย?”แต่ถึงโทโมะจะพูดแบบนั้นฟางก็รู้ทันอยู่ดี
“แล้วเธอคิดยังไงกับมันล่ะ”
“ก็ไม่ได้คิดอะไร หมอนั่นไม่ถูกชะตากับฉันนายก็รู้”ฟางตอบออกมาตามตรงอย่างที่ตัวเองคิด แต่ใครจะไปรู้อนาคตกันล่ะว่าจะมี ‘อะไร’ เกิดขึ้นกับฟางกับป๊อปปี้ต่อไป
“แต่คนที่ไม่ถูกชะตานี่มักเป็นเนื้อคู่กันนะไม่รู้เหรอ”
“ไม่มีทางอ่ะ ไม่ได้จะว่านะ แต่ว่าเพื่อนนายน่ะนิสียเสีย หลงตัวเอง แบบ...เยอะอ่ะ! ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง แต่เวลาที่หมอนั่นกวนประสาทฉัน ฉันอยากจะบ้าตาย! ><!”
“โอเคคคค”โทโมะพูดลากเสียงอย่างยอมแพ้เพราะว่าฟางกับป๊อปปี้นั้นก็ปากแข็งพอๆกันแหละ
อืมมมม...ฟางก็อาจจะไม่ได้ชอบป๊อปปี้อย่างที่เธอพูดจริงๆ
แต่โทโมะเนี่ยสิก็กังวลอยู่ไม่น้อยเลยว่าป๊อปปี้แอบหลงชอบฟางอยู่ลึกๆข้างในรึ ปล่าวก็ไม่รู้ แล้วถ้าฟางไปคบกับรุ่นน้องคนนั้นล่ะ? ถ้าเกิดว่าป๊อปปี้มารู้ตัวทีหลังจะทำไง? เฮ้อ...ก็คงต้องรอดูกันต่อไปสำหรับคู่นี้ เพราะเป็นคู่ที่เพื่อนๆในกลุ่มพากันชงแต่ไม่เคยชงสำเร็จเลยสักที
แต่โทโมะเนี่ยเพื่อนๆในกลุ่มสิชงแรกๆบอกไม่ พอมาตอนหลังเริ่มรู้สึกตัวว่ารักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วไง แต่ก็ถือว่ายังดีที่เขาเป็นคนที่รักใครแล้วเขาจะไม่ยอมปล่อยคนๆนั้นไป แต่สำหรับคลอรีนคงไม่ใช่ความรักแต่เป็นบทเรียนในชีวิต เพราะความรักนั้นมันเกิดขึ้นจากความรู้สึกของคนสองคนที่รักกัน
นั่นแหละ! เขาเรียกว่า... ‘ความรัก’^^
“เออนี่ฟาง”
“ว่า?”เมื่อโทโมะเอ่ยขึ้นแบบนั้นฟางจึงหันไปมองเขาอย่างสงสัย และโทโมะก็หันมามองฟางอีกครั้งเช่นเดียวกันก่อนที่เขาจะเอ่ยถามอะไรบางอย่างขึ้นมา
“เธอว่า...ถ้าฉันขอคบแก้ว แก้วจะตกลงมั้ย?”
“เอ๋า? ม่ายยยยยรู้”ฟางรีบส่ายหน้าทันทีที่โทโมะถามออกมาแบบนั้น “ก็แก้วชอบนายนี่แล้วนายก็ชอบแก้ว แต่...มันก็ไม่แน่หรอกของแบบนี้”
“ยังไง?”โทโมะเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“ก็คนเราอ่ะบางครั้งความรู้สึกก่อนคบกันกับตอนคบกันมันไม่เหมือนกันนะ”ฟางเริ่มอธิบายให้โทโมะอย่างจริงจัง แล้วโทโมะเองก็ตั้งใจฟังเธอเหมือนกัน “เพราะ ก่อนจะคบกันมันก็จะมีเรื่องฟินๆเยอะจนเรารู้สึกว่าเราอยากเป็นแฟนกับเขา แต่บางทีคบไปแล้วความฟินหายเพราะว่าชินจนมันเริ่มห่างเหินแล้วก็เลิกรา แต่ฉันไม่ได้หมายถึงนายกะแก้วนะ แค่บอกให้ฟังเฉยๆ”
ฟางพูดออกมาตามความรู้สึกนึกคิดของเธอจากการที่เธอได้เห็นมาหลายๆคู่ที่เป็นแบบนี้
ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เธอพูดนั่นแหละนะ เพราะคนสมัยนี้คบกันง่ายเลิกกันก็ง่าย แต่ถึงแม้ว่าฟางจะเป็นสาวโสดมาตลอดไร้ซึ่งคนจีบเพราะว่าเธอดูแมนเลยมีแต่ ผู้ชายกลัวแต่ผู้หญิงรุ่นน้องเข้าหา ( ? ) แต่ถึงแม้ภายนอกฟางจะดูเป็นคนแบบนั้นแต่จริงๆแล้วฟางเป็นคนที่อ่อนโยน มาก น้อยคนนักที่จะเห็นแม้แต่กระทั่งแก้วเองก็ยังไม่ค่อยได้เห็นด้านนั้นของฟาง เลยแล้วใครไหนเล่าจะมาสังเกตว่าผู้หญิงห้าวๆแมนๆแบบนี้จะมีมุมแบบนั้นเป็น กันกับเขาด้วย
แบบนี้แหละฟางจึงเป็นผู้หญิงที่รู้เรื่องราวรอบตัวถึงแม้ไม่จะเคยมี ประสบการณ์มีแฟน แต่เพราะจากการสังเกตของเธอ บวกกับความคิดที่คิดเรื่องราวลงลึกเข้าไปจึงทำให้เธอนั้นรับรู้ ถึงแม้มันอาจจะไม่ใช่ไปซะหมดแต่ก็ถือว่าดีที่เธอก็รู้อะไรบ้าง
“อืม ส่วนใหญ่หลายคู่เป็นแบบนั้นนั่นแหละ แต่...”โทโมะเว้นช่วงเอาไว้ก่อนที่เขาจะหลุบสายตาลงต่ำแล้วยิ้มออกมา “ฉันน่ะ...ไม่มีทางที่จะเป็นแบบคนพวกนั้นหรอก เพราะว่าฉันไม่มีทางทิ้งแก้วเด็ดขาด”
“แหงล่ะ อยู่ข้างบ้านกันขนาดนั้นนี่นา น่าอิจชี่อ่ะ ><! ”
“ทำไมอ่ะ?”
“ก็ถ้าคบกันบ้านอยู่ข้างกันนี่ก็เจอกันทุกวันน่ะสิ ดีจะตาย”
“เห๊อะ เออลืมถามยังคาใจอยู่เลยเนี่ย ><!”โทโมะหันหน้ามามองฟางเหมือนกับว่าจะดูว่าคำถามของเขาจากนี้ฟางจะตอบจริงมั้ย และถ้าเธอโกหกโทโมะก็ดูออกทันทีเลย
แต่ว่าฟางไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกเขารู้ แต่เพียงแค่เขาอยากจะรู้ว่าฟางจะตอบความจริงกับเขามั้ยไม่ใช่แค่ตอบเพื่อให้ เขาสบายใจเท่านั้น
“ว่ามาสิ”
“ไอ้มิณท์น่ะ”
แปะ!
“กะแล้วไม่พ้นเรื่องนี้”ฟางตบมือเสียงดังเป๊ะ! เพราะ ว่าโทโมะถามมาแบบนี้มันตรงกับสิ่งที่เธอคิดเอาไว้เลยทีเดียวว่าโทโมะคงอยากจะรู้ เรื่องของมิณท์หนุ่มแว่นหน้าใสเพื่อนเธอที่เคยมาตามจีบแก้วน่ะสิ! ><!
“หมอนั่นมันยังจีบแก้วอยู่รึปล่าว”โทโมะถามน้ำเรียบนิ่งเรียบและจริงจังขณะที่สายตาก็มองฟางเป็นทำนองบอกในใจว่า ‘อย่าโกหกฉันนะเฟ้ย! ><!’
“เมื่อก่อนก็จีบแบบไม่ลดละความพยายามเลยล่ะ แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ยังจีบอยู่มั้ย? มิณท์ไม่ได้จีบแล้วเพราะเขารู้ว่าก็แก้วชอบนาย”
“รู้หน้าที่ก็ดี”โทโมะเหยียดยิ้มอย่างหมั่นไส้แล้วยึกยักไหลทั้งสองข้างอย่างสบายอารมณ์ แต่ทำแบบนั้นมันกวนประสาทจริงๆเลยเหอะ = =;;;
“อ๊ะๆ แต่หมอนั่นไม่ได้ตัดใจนะครับผม เพราะแก้วเคยบอกฉันว่ามิณท์พูดกับเธอว่า ‘หากวันไหนต้องการเป็นมากกว่าเพื่อนเขาก็พร้อมเสมอ’ ^^”
“พร้อมบ้าอะไรวะ - -!”โทโมะทำเสียงโหดแล้วเบ้ปากอย่างหมั่นไส้พลางกลอกลูกตาขึ้นลง
“แต่มิณท์เขาเป็นคนดีน้า ชอบ ใครก็บอกชอบถ้าคนๆนั้นคิดกับเขาแบบเพื่อนเขาก็ตัดใจ แต่ฉันก็รู้แหละว่าใจลึกๆของมิณท์ก็คงจะชอบแก้วอยู่ แต่เขาก็ยังแมนพอที่จะไม่ข้ามหน้าข้ามตานาย”
“งั้นบอกมันให้ตัดใจซะก่อนที่จะโดนฝ่ามืออรหันต์ของฉัน - -!”
“ทำมาหึง ปัดโธ่! นี่ถ้านายบอกชอบแก้วหรือแสดงความรู้สึกช้ากว่านี้ฉันจะเชียร์แก้วกะมิณท์อยู่แล้วรู้ป่ะ”
“ไปเชียร์มันทำไมฉันเป็นพระเอก - -?”
ผ่าง!
“มโน?”
“เรื่องจริง”โทโมะตอบแบบไม่ต้องคิดเพราะว่าเขามั่นใจ
“แล้วฝากไปบอกไอ้พระรองอย่างมันด้วยว่าให้หาสาวใหม่ได้แล้วเพราะคนนี้คือ ‘ผู้หญิงของฉัน’ ฉันดูแลเองได้ อย่ามายุ่ง...หวง ”
“ร่ายมาซะยาวเลยนะพ่อคุณ = =;;; แต่เฮ้อ... อยากให้แก้วมาได้ยินได้พูดแบบนี้จังเลยว่ะ ยัยนั่นคงหน้าแดงเป็นลูกตำลึงแน่ๆ”
“ก็...คิดงั้นเหมือนกันนะ”โทโมะละสายตาจากการมองหน้าฟางหันไปมองรอบๆอย่างปล่อยวางมากขึ้นที่เขาได้โล่งใจไปว่ามิณท์ไม่คิดจะจีบแก้วแล้วแน่ๆ
เพราะหมอนั่นน่ะกลัวกลุ่มคโอติคจะตายไปแถมยิ่งรู้ว่าแก้วชอบเขาอีก โทโมะเองก็ยิ่งมันใจเลยแหละว่า...แก้วชอบแค่เขาคนเดียวมาโดยตลอด...นั่นแหละ ที่ทำให้โทโมะอมยิ้มหน่อยๆ
“แล้วรออะไรอยู่ล่ะเนี่ย กลับไปดูแลแก้วเพื่อนฉันได้แล้วไป” ฟางพูดแล้วก้มมองนาฬิกาที่บ่งบอกว่ามันสายมากแล้วและเธอต้องไปช่วยป๊าเธอดูร้าน อีกด้วยเธอกับโทโมะจึงยืนขึ้นเพื่อที่จะได้ต่างคนต่างไปได้แล้ว
“อ่าๆ ไปทำหน้าที่พระเอกต่อดีกว่า”โทโมะเบะยิ้มแล้วเอามือสองข้างล้วงเข้ากระเป๋าเสื้อหนาวแล้วทำท่าว่าจะเดินไปแต่ฟางก็เรียกเขาเอาไว้ซะก่อน
“นี่โทโมะ... ”และเมื่อฟางเห็นว่าโทโมะหันมาแล้วเธอจึงเอ่ยขึ้น“แล้วก็อีกอย่างที่อยากบอก...”
“ว่า?”โทโมะถามแล้วเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นนิดๆ
“ดูแลเพื่อนฉันให้ดีด้วยล่ะ”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่แค่วันนี้...”
“แต่ฉันจะดูแลตลอดไป...”โทโมะ เอ่ยพูดก่อนที่ฟางจะเอ่ยจบเสียอีกและเมื่อฟางได้ยินแบบนั้นเธอก็ยิ้มออกมา บางๆรวมถึงโทโมะด้วย แต่ฟางนั้นเธอคงคิดแหละว่าแก้วนั้นโชคดีเหลือเกินที่เจอกับ ‘รักแรก’ ที่มัน ‘โชคดี’ แบบนี้
เพราะว่าโทโมะนั้นถึงแม้จะเจอกับแก้วได้ไม่นานแต่เรื่องของความรักเวลา นั้นสำคัญเสียเมื่อไหร่กันเล่า? ใช้แต่ใจล้วนๆ ถึงแม้จะยากลำบากเพียงใดเขาก็พร้อมจะทำตามหัวใจของตัวเอง
ส่วน ตอนนี้ฟางเธอแล้วก็เพื่อนกลุ่มเคโอติคก็คงจะต่างพากกันอวยพรอยู่โทโมะกับแก้วใน ใจว่าให้ทั้งสองคนสมหวังกันสักที ซึ่งมันคงไม่นานเกินรอนักหรอก...^^
เย็นวันนั้นที่โรงพยาบาล
“ฮ้าว @o@ ง่วงนอนจัง...”
นั่นเป็นเสียงบ่นเบ่าๆของโทโมะที่เอ่ยขึ้นมาเมื่อหลังจากที่ตอนเช้าของวันนี้ เขากลับจากสวนสาธารณะเขาก็รีบมาที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าแก้วต่อพ่อแก้วก็ฝาก แก้วเอาไว้กับโทโมะตามเดิมเพราะท่านของไปทำงานส่วนพิชชี่ต้องไปเรียน แล้วนี่ก็เป็นเวลาเที่ยงแล้วของวันนั้นซึ่งโทโมะเอาแต่เดินเฝ้าแก้วอยู่ในห้อง รอเธอฟื้นแต่เธอก็ไม่ตื่นขึ้นมาสักทีเพราะว่าโทโมะเฝ้าเธอมาทั้งวัน
แต่หากทว่าในตอนนี้เขาก็โล่งอกหน่อยๆแล้วที่แก้วไม่ได้ใส่เครื่องช่วยหายใจ เหมือนตอนแรก จึงทำให้เขาได้มองหน้าของแก้วได้อย่างเต็มตาสักที
“หึ เด็กน้อยเอ๊ย”โทโมะ เค้นหัวเราะออกมาเมื่อยืนมองแก้วที่กำลังหลับอยู่แบบนั้นจากนั้นยืนมองเธอ นิ่งๆได้ไม่นานเขาก็ค่อยๆย่างก้าวเข้าไปหาแก้วแต่สายตานี่ไม่ละไปไหนเลย
มันปะปนไปด้วยความคิดถึงที่เขานั้นมีต่อเธอ รอเธอตื่นขึ้นมาคุยกับเขาสักที...
ครืด
โทโมะลากเก้าอี้ออกก่อนจะลงนั่งลงไปข้างๆเตียงของแก้วมือของเขานั้นได้จับกุม มือของแก้วเอาไว้ ก่อนจะนอนฟุบลงไปตรงมือนุ่มๆนั้นของเธอแล้วหลับตาลงเพราะว่าอ่อนล้าจากการ ที่เขาจะแทบไม่ได้นอนเท่าไหร่ทุกครั้งที่เฝ้าเธอเขาก็พยายามที่จะไม่หลับ เพราะรอเธอตื่น แต่ว่าวันนี้ดวงตาของเขามันไม่ไหวที่จะมองไปรอบๆตัว
เพราะคงถึงเวลาที่โทโมะจะต้องนอนพักเสียบ้างแล้วล่ะ...
และเขาจะนอนตรงมือนุ่มๆนี้ของแก้วอยู่แบบนี้เพราะถ้าแก้วตื่นขึ้นมา จะได้เห็นเขาเป็นคนแรกไง
เช้าของวันต่อมา...
“อ่ะ...”
น้ำเสียงสุดแสนจะเบาบางของฉันนั้นได้เอ่ยขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าตัวเองเหมือน เริ่มจะหายใจสะดวกแล้วหลังจากที่ครั้งนั้นได้สลบหมดสติหายไปในตอนที่ไฟไหม้ ตึก แต่หากทว่าตอนนี้หัวสมองของฉันพยายามสั่งให้ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับโลก ทั้งๆที่มันก็มีมึนๆหัวอยู่นิดหน่อยบวกกับความอ่อนล้าของร่างกาย
ฟึ่บ...
“...!”ใน ที่สุดฉันก็สามารถสั่งให้ตัวเองลืมตาขึ้นมาได้สักทีและก็พบเห็นกับเพดานสี ขาวซึ่งคาดการว่าที่คงจะเป็นโรงพยาบาลสักทีหนึ่งและแสงแดดอ่อนๆที่เล็ดลอด เข้ามาทางผ่านมานทางซ้ายมันทำให้ห้องนี้ได้รับไออุ่นจริงๆ
ตอนเช้านี่...
นี่ฉันหลับไปนานเท่าไหร่กันนะ...?
ตอนนี้เหมือนรู้สึกว่าตัวเองกลับคืนสู่โลกอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้า นี้โลกในการหลับใหลของฉันมันเป็นสีดำสนิทมืดไปหมด ได้ยินเสียงคนพูดเป็นเสียงเบาๆก็รับรู้นะ แต่ไม่สามารถลืมตาตื่นมาได้เพราะมันอ่อนล้าแบบนี้นี่มันทรมานจริงๆเลย ให้ตายสิ...
แถมตอนนั้นฉันยังได้ยินเสียงของ...โทโมะ
เพราะว่าเขาพูดกับฉันว่า...
กึก...
“...” สงสัย ฉันคงจะเผลอจ้องมองเพดานนานไปหน่อยจึงไม่ทันได้สังเกตรอบตัวเองเลยว่ามีใคร อยู่มั้ย แต่ที่แน่ๆเมื่อตะกี้นี้มือของตัวเองนั้นรับรู้ถึงการขยับเขยื้อนของอะไร บางอย่างที่อยู่บนมือของตัวเองที่ไม่สามารถขยับได้ในตอนนั้น
และเมื่อฉันค่อยๆหันหน้าไปมองทางด้านขวามือของตัวเองก็เห็นว่ามีใครบางคนที่ ขณะนี้เขากำลังนอนฟุบหนุนหัวของตัวเองอยู่กับมือฉัน... เขาจับมือของฉันเอาไว้แล้วนอนอยู่
ใบ หน้าที่ดูเย็นชาดวงตาเฉียบคมกับจมูกที่โด่งเป็นสันนั้นฉันไม่เคยที่จะลืมมัน เลยจริงๆ และที่สำคัญริมฝีปากของโทโมะก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันนั้นเหมือนกับอยู่ในฝัน ทุกๆครั้งที่เขาสัมผัสมันลงมาตรงริมฝีปากของฉัน ฉันล่ะคิดถึงมันจริงๆ และตอนนี้เขาก็อยู่ตรงนี้...
ฝันรึปล่าวเนี่ย...?
“ZzZzzZz...”โทโมะยังคงนอนหลับอยู่ แต่...แค่ฉันเห็นว่าเขานอนอยู่ตรงนี้ฉันก็ดีใจมากแล้วที่ได้เห็นเขา...
เพียงแค่ได้มองเขาในตอนนี้น้ำตามันก็เริ่มคลอเบ้าแล้วล่ะทุกคนเพราะ ว่าฉันคิดถึงเขาจริงๆ คำพูดสุดท้ายที่ฉันได้ยินก่อนสลบหมดสติไปตอนนั้นคือเขาบอกว่า...อย่าหลับนะ อยู่กับฉันก่อน...
แต่ฉันอยากจะขอโทษโทโมะจริงๆที่ไม่ได้อยู่ตามที่เขาขอ...และอีกอย่างที่ ฉันเสียใจที่สุดก็คือเพิ่งนึกได้เมื่อกี้ว่าฉันดันหมดสติไปก่อนวันเกิดเขา 1 วันนี่มันแย่จริงๆ และวันเกิดของโทโมะมันคงจะผ่านมาแล้วสินะ...แต่เป็นวันเกิดเขาที่ทำให้ฉันได้ ยินคำพูดบางอย่าง ซึ่งฉันรับรู้มัน...และฉันก็ดีใจมากๆเลยด้วยที่ได้ยิน
เขาพูดว่า...เขารักฉัน...
เขาพูดมันถึงแม้ฉันจะยังไม่ฟื้น...แต่ฉันรับรู้...และขอโทษจริงๆที่ ฉันไม่ได้ตื่นขึ้นมา
“ฮึบ...”ใน ตอนนั้นฉันพยายามใช้อีกมือที่ว่างยันตัวเองขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงคนไข้และ พยายามไม่ให้โทโมะตื่นขึ้นมา แต่หากทว่า...มันกลับมากกว่านั้นคือ...
โทโมะนั้นงัวเงียอยู่ตรงมือของฉันก่อนที่เขาจะเปลี่ยนท่านอน เขยิบตัวเองทั้งๆที่ตายังคงหลับอยู่ จากนั้นเขาก็เลื่อนตัวขึ้นมาอีกหน่อยจนหัวของเขาเลื่อนมาวางเอาไว้บนขาข้าง ขวาของฉันในตอนนั้นนั่นเอง แต่มือของเขาก็ยังคงจับที่มือฉันอยู่เพียงแต่หัวนั้นเปลี่ยนมาอยู่ตรงขาของ ฉันไงแถมโทโมะยังใช้ลิ้นเลียปากตัวเองแพลบๆอีกด้วย
‘น่ารักอะไรแต่เช้าเนี่ย?’
เพียงแค่คิดก็ทำให้ฉันยิ้มออกมา และฉันก็ละสายตาจากใบหน้าของเขาไปมองที่มือของตัวเองที่โทโมะจับกุมมันอยู่แบบ นั้น ภาพที่เห็นคือ...โทโมะกระชับมือนั้นที่จับมือของฉันอยู่ให้แน่นยิ่งขึ้นกว่า เดิมเสมือนกับว่าไม่อยากปล่อยออก แต่ว่าเขาก็ยังคงหลับอยู่ดีนั่นแหละน่า
“โทโมะ...เราตื่นขึ้นมาแล้วนะ...”ฉัน พูดคำนั้นออกมาเบาๆแล้วเอามือข้างซ้ายที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ค่อยๆขยับให้มัน มีแรงอีกครั้งก่อนจะยกมือไปวางทาบเอาไว้ที่ผมสีดำสนิทของโทโมะก่อนจะลูบมันเบาๆ
หมับ!
เฮือก!
O_O!
แต่หากทว่าเมื่อฉัน ทำแบบนั้นร่างของโทโมะก็เหมือนกับว่าจะได้สติขึ้นมาเพราะว่ามือของโทโมะที่จากที่ จับมือข้างขวาของฉันอยู่ได้ปล่อยออกแล้วเอามาจับไว้ที่มือที่ฉันกำลังลูบหัว เขาอยู่แทนจนฉันต้องชะงักมือของตัวเองด้วยความตกใจ และฉันก็เบิกตากว้างหน่อยๆที่โทโมะนั้นเงยหน้าตัวเองขึ้นมามองมือของฉันที่เขา จับเอาไว้อย่างงๆ
โทโมะมองที่มือของฉันนิ่งงันราวกับไม่ อยากเชื่อและไม่นานสายตาของเขานั้นก็ค่อยหันมามองทางฉันจนในที่สุดเราสองคน ก็ได้สบตากันสักที...
“...”
“ธะ...เธอ...”
“...”
ความนิ่งงันได้บังเกิดขึ้นมา ทันทีในตอนนั้นราวกับโทโมะเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่มันคือความจริงที่ว่าฉัน ฟื้นขึ้นมาแล้วฟื้นขึ้นมานั่งมองหน้าเขาอยู่จริงๆ และสายตาที่โทโมะกับฉันจ้องมองกันในตอนนี้มันคงยากเหลือเกินที่จะอธิบายออกมา เป็นคำพูดเพราะว่าเราสองคนต่างมองตากันนิ่งๆแล้วมือของโทโมะที่จับมือของฉัน อยู่นั้นก็ได้กระชับแน่นมากยิ่งขึ้น
และในตอนนั้นนั่นเองฉันก็เห็นด้วยว่าบริเวณขอบตาของโทโมะมันมีน้ำใสๆเอ่อล้นอยู่ซึ่งฉันเองก็เป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน เพราะว่าในตอนนี้เราสองคนได้มาเจอหน้ากัน ได้มองกันสักที
และฉันก็คิดถึงโทโมะมาก...!
ฟึ่บ!
เฮือก!
“ทะ...โทโมะ”
วินาทีนั้นร่างของฉันถูกโทโมะดึงเข้าไป กอดเอาไว้อย่างรวดเร็วแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่นิดเดียว อ้อมแขนของโทโมะโอบกอดรัดร่างของฉันแน่นมากจนฉันหายใจแทบจะไม่ออกแต่ฉันก็รู้นะ ว่าโทโมะเขากำลังรู้สึกยังไงอยู่ในตอนนี้เพราะว่าดูจากการที่เขากอดฉันแน่นแบบ นี้แล้ว
และใบหน้าของโทโมะตอนี้ก็ซุกอยู่ตรงไหล่ของฉันนั่นเอง ส่วนคางของฉันนั้นก็ขึ้นไปเกยอยู่บนไหล่กว้างของเขาด้วยสิ ภายในหัวใจตอนนี้ก็เต้นตุบตับตึกตักเสียงดังรัวๆราวกับจะระเบิดออกมา
แต่ที่น่าเสียดายอย่างก็คือ...โทโมะกอดฉันเพราะความคิดถึงและเขากอด เหมือนไปไม่อยากปล่อยอ้อมกอดนี้เลยแต่ฉันเนี่ยสิ แรงของมือทั้งสองข้างนี่มันแทบจะไม่มีเลย แต่ยังไงซะฉันก็รั้นจะดื้อแล้วพยายามยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดโทโมะเช่นกัน
หากทว่าฉันไม่สามารถกอดเขาได้แน่นๆเหมือนดั่งใจคิดเพราะว่ามือข้างซ้ายที่ พันแผลอยู่นั้นก็ดันติดสายน้ำเกลือเอาไว้ด้วย แถมมือขวาก็เมื่อยล้าอีก
เฮ้อให้ตายสิ! ฉันอยากจะกอดโทโมะให้แน่นๆมากกว่านี้แต่ทำไมถึง...เฮ้อ
“เธอฟื้นแล้วจริงๆ”เสียงของโทโมะพูดอยู่ตรงหูของฉันขณะที่เราก็ยังคงกอดกันอยู่แบบนี้“บอกหน่อยสิว่าฉันไม่ได้ฝันใช่มั้ย...”
เมื่อ คำพูดนั้นของวีเอ่ยขึ้นมาน้ำตาของฉันคลอเบ้าอยู่ก็เริ่มไหลรินลงมาตรงแก้ม ทั้งสองข้าง และตอนนั้นฉันก็ซุกหน้าลงตรงไหล่โทโมะก่อนจะตอบเขาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ...
“อะ...อืม...”ฉันหลับตาลงเพราะว่าน้ำตามันไหลลงมาไม่หยุดจากความรู้สึกที่ว่ามันดีใจมากที่ได้ตื่นขึ้นมาสักที “ทะ...โทโมะเรา...”
“ฉันคิดถึงเธอ...มาก”โทโมะเน้นย้ำคำพูดนั้นให้ฉันได้ยินชัดๆก่อนที่เขาจะกอดฉันแน่นขึ้นอีกครั้ง และคำพูดของเขานี่มัน...ให้ตายสิ ฉันจะร้องไห้มากว่าเดิมก็เพราะเขาเนี่ยแหละนะ Y^Y!
“เราก็คิดถึงนายมากเหมือนกัน อึก...ขอโทษนะที่ตื่นมาไม่ทันวันเกิด”น้ำ เสียงของฉันในตอนนี้มันแทบจะพูดไม่เป็นประโยคเลยทีเดียวเชียวเพราะว่าความ รู้สึกทั้งหมดมันกำลังถูกปลดปล่อยออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
“ขอโทษทำไม เธอไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย...”โทโมะพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มหูและอ่อนโยนขณะที่เขาเอามือยกขึ้นมาวูบๆหัวของฉันเพื่อเป็นการปลอบใจกันว่า...ไม่เป็นไรแล้ว...
“แต่เรา...”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”โทโมะบอกแต่เขาก็ยังคงกอดฉันเอาไว้ตามเดิม และฉันก็รับรู้ถึงคางของโทโมะเลื่อนเอามาเงยไว้บนไหล่ของตัวเองในตอนนั้น “แค่เธอฟื้นขึ้นมาฉันก็ดีใจแทบบ้าแล้วรู้รึปล่าว”
“อืม”ฉันตอบแล้วแอบยิ้มออกมาหน่อยๆสายตาก็มองขึ้นไปบนเพดานพร้อมกับเม้มริมฝีปากเข้าหากัน
ฉันกับโทโมะก็ยังคงกอดกันอยู่นานนับนาทีจนโทโมะนั้นได้ถอนอ้อมกอดของเขาออกไปแล้ว ใช้สายตาของเขามองมายังใบหน้าของฉันที่ตอนนี้มันมีบาดแผลช้ำตรงมุมปาก รอยโดนกระเบื้องหลังคาโรงขยะบาดตรงแก้ม
ซึ่งฉันจำได้ดีเลยล่ะว่าวันนั้นที่ไฟไหม้ฉันโดนอะไรบ้าง
มันเลวร้ายมากเลยจริงๆ จนฉันคิดว่าตัวเองจะตายอยู่ในนั้นเสียแล้ว และถ้าวันนั้นฟางไม่มาเจอฉัน ฉันก็คงไม่รอดจริงๆนั่นแหละนะ
“เดี๋ยวเธออย่าเพิ่งลุกไปไหนนะฉันจะไปตามหมอกับพยาบาลก่อน”โทโมะเอ่ยบอกแล้วปล่อยมือออกก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องพยาบาลนี้และความเงียบงันมันก็ได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนี้ฉันก็ได้แต่ก้มหน้าลงแล้วยิ้มให้กับตัวเอง ก้มมองมือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนตักแล้วหลับตาของตัวเองลงพยายามจะลืม เรื่องทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นจนทำให้ฉันเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันตื่นขึ้นมาแล้ว มาเริ่มใหม่สักที เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นก็ถือว่าปล่อยให้ผ่านไปเถอะคิดถึงไปก็แย่ต่อจิตใจ ตัวเองปล่าวๆ
โอเคแก้ว! ตอนนี้เธอฟื้นแล้ว! เธอจะต้องมีจิตใจเข้มแข็งกว่าเก่า ><!
เที่ยงวันนั้น
“พ่อนึกว่าลูกจะเป็นหอบหืดซะแล้วสิ”
พ่อ ของฉันเอ่ยบอกแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เมื่อเช้าโทโมะได้ตามหมอกับพยาบาลมา แล้วจากนั้นเขาก็โทรหาพ่อฉันทันทีเลย แต่พ่อติดทำงานให้ลูกค้าจึงมาประมาณช่วงกลางวันจนตอนนี้เที่ยงเสียแล้ว แต่พ่อก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเป็นห่วงฉันอยู่ดี
ส่วนโทโมะตอนนี้เขาได้ปล่อยให้ฉันอยู่กับพ่อแล้วเขาก็บอกว่าจะกลับไปเอา ‘ของบางอย่าง’ ที่บ้านแล้วเดี๋ยวจะกลับมาอีกทีในช่วงเย็นๆ
“หนูโอเคแล้วนะพ่อ”ฉัน บอกเพื่อไม่ให้พ่อเป็นห่วงแต่ร่างกายก็ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียหน่อยๆ แต่พยาบาลก็เพิ่งจะให้ยาฉันไปเมื่อประมาณ 10 นาทีที่แล้วและบอกว่าให้ฉันนอนพักด้วยหลังจากทานยาเสร็จ
อ้อ ลืม บอกไปพยายาบาลได้เอาสายน้ำเกลืออกให้ฉันแล้วนะเพราะคุณหมอบอกว่าร่างกายของ ฉันได้รับการฟื้นฟูแล้ว แต่ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสักวันสองวันเพื่อตรวจดูอาการอีกทีถ้าไม่ได้ เป็นอะไรและหายดีแล้วจะปล่อยให้กลับบ้านได้ ^^
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว”พ่อฉันที่นั่งอยู่ข้างเตียงพูดยิ้มๆแล้วเอามือมาลูบหัวของฉัน
“พ่อคะ”
“จ๋าลูก”พ่อฉันเลิกคิ้วเมื่อฉันเรียก
“เอ่อ...เมื่อวันที่ 14 ที่ผ่านมามันเป็นวันเกิดของโทโมะแล้ว...เขา...”ฉันหยุดชะงักจากคำพูดเอาไว้เพียงแค่นั้นเพราะว่าพ่อเหมือนจะรู้ว่าฉันกำลังหมายถึงเรื่องอะไรท่านจึงเอ่ยบอกขึ้นมา
“แก้วพ่อจะบอกอะไรให้นะ...”พ่อฉันพูดแล้วเอามือมาจับมือฉันพร้อมกับกุมมันเอาไว้
“...”
“โทโมะ น่ะ...เขาไม่ได้ไหนเลยตั้งแต่ที่ลูกเข้าโรงพยาบาลมา เขานอนเฝ้าลูกทุกคืนเลยจนพ่อลุงอากิโอะแล้วก็น้ามาซากิต้องมากล่อมให้กลับบ้านไป กินน้ำกินท่าบ้าง แล้วก็ห้องคนไข้พิเศษนี้เขาก็เป็นคนจัดการให้หมด พ่อบอกว่าจะจ่ายเองโทโมะก็บอกกับพ่อว่าไม่เป็นไรเขาไม่ได้ต้องการแบบนั้น เพราะว่าเขาเองก็เห็นว่าลูกกับพ่อแล้วก็พิชชี่เป็นเหมือนครอบครัวของเขา ฉะนั้นมีอะไรก็จะต้องช่วยเหลือกัน”
“เขาพูดแบบนั้นเหรอคะ?”ฉันถามพ่อแล้วมวดคิ้วเข้าหากันนิดๆ
นี่โทโมะเป็นคนจัดการให้หมดเลยเหรอเนี่ย?
“ใช่ แล้วลูกรู้มั้ยว่าพอเขาพูดแบบนี้มันทำให้พ่อรู้สึกได้เลยว่าโทโมะเขาคิดยังไงกับลูกสาวพ่อ”
ฉัน นิ่งเงียบไปเมื่อพ่อเอ่ยแบบนั้นและรู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างของตัวเองกำลัง ร้อนผาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเลยว่าตัวเองกำลังอายมากแค่ไหน อยากจะยิ้มเหมือนกันที่พ่อพูดแบบนั้นแต่ก็ไม่...เพราะกลัวว่าพ่อจะแซวไป มากกว่านี้น่ะสิ ^/////^
“...”
“โทโมะเขาคงจะรู้สึกพิเศษกับลูกมากเลยนะ แล้วลูกล่ะ รู้สึกยังไงกับเขา?”
“หนู...”ฉันรู้สึกประหม่าออกมานิดหน่อย แต่พ่อถามแล้วอ่ะก็ต้องตอบไปเลยสิ “หนู...ชอบเขาค่ะ”
“ชอบมานานแล้วใช่มั้ย?”เมื่อฉันตอบออกไปแบบนั้นพ่อก็ถามยิ้มๆ แต่ท่านดูจะไม่ตื่นเต้นอะไรเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพ่อของฉันรู้อยู่แล้ว?
“พ่อรู้เหรอ O_O?”
“แก้ว ลูกเป็นลูกพ่อนะทำไมพ่อจะไม่รู้ พ่อรู้มานานแล้วแต่เพียงแค่พ่อไม่อยากจะอะไรกับลูกมากเพราะว่าพ่อเข้าใจว่า มันก็เป็นเรื่องที่ยากเหมือนกันที่เราจะบอกกับใครสักคนหนึ่งว่าเรากำลังชอบ คนๆนั้นอยู่ แต่พ่อว่านะสำหรับลูกแล้วความรู้สึกที่ลูกมีมันคงจะ ‘มากกว่า’ คำว่า ‘ชอบ’ ไปนานแล้วล่ะ”
ใช่ค่ะพ่อ...มันมากกว่านั้นเพียงแต่หนูไม่รู้จะพูดมันยังไงดี =//////=
“หนูก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”ฉันตอบพ่อแล้วก้มหน้าลงเพราะอาย
“แล้วทำไมไม่บอกพ่อตั้งแต่ทีแรกละฮึ? กลัวพ่อแซว?”
“ค่ะ (_ /////_)”ฉันพยักหน้าตอบไปตามตรงอย่างไม่ลังเล
“ตายๆ ลูกฉันทำไมถึงขี้อายเยี่ยงนี้”
“พ่ออ่ะ =^=” ฉันเงยหน้าขึ้นไปทำหน้ามุ่ยใส่พ่อ “แก้วไม่คุยกับพ่อแล่ว นอนดีกว่า :P”ฉันล้มตัวลงนอนทันทีแล้วพ่อก็หัวเราะใส่ก่อนจะช่วยฉันจับพาห่มขึ้นมาคลุมตัว
“อ่ะ นอนพักซะ”พ่อบอกจากนั้นฉันก็นอนพลิกตะแคงไปอีกทางแล้วหลับตาลง
ฉันน่ะเป็นโรคแปลกอยู่อย่างคือ...นอนหงายที ไรนอนไม่หลับทุกทีต้องนอนตะแคงถึงจะหลับ ใครเป็นแบบฉันบ้างยกมือขึ้น!><//
“พ่อจะกลับแล้วเหรอคะ”แต่ฉันก็ยังมิวายหันหน้าไปถามพ่อที่กำลังลุกขึ้นยืน
“อื้ม พ่อมีงานรับจ้างต่อน่ะแล้วตอนเย็นต้องไปรับพิชชี่ด้วย เดี๋ยวลูกก็พักผ่อนซะนะ”พ่อฉันบอกบอกยิ้มๆแล้วเอามือมาลูบหัวของฉัน
“ค่ะ พ่อก็ขับรถดีๆนะคะฝากบอกคิดถึงพิชชี่ด้วย”
“ตามนั้น”เมื่อพูดจบฉันก็หันนอนคะแตงแล้วหลับตาลงเพื่อทำการพักผ่อนเพราะตอนนี้รู้สึกว่าฤทธิ์ยาที่พยาบาลให้มันเริ่มออกฤทธิ์ทำให้ง่วงซะแล้วสิ
เฮ้อ! หวังว่าถ้าหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาคราวนี้ฉันคงจะเจอเรื่องดีๆนะ เพี้ยง! >/\<!
ประมาณ 5 ทุ่มของคืนนั้น
“อื้อ...”
ฉัน ร้องครางออกมาเมื่ออยู่ดีๆตัวเองก็เหมือนว่าจะนอนหลับไปเต็มอิ่มตั้งแต่ เที่ยงแล้ว แต่พอลืมตาตื่นแล้วหันไปดูนาฬิกาที่ผนังก็พบว่านี่มันเป็นเวลา 5 ทุ่มกว่าแล้วยังไงล่ะ แถมในห้องพยาบาลนี้ก็ถูกปิดไฟเอาไว้จะเห็นได้แต่แสงจากไฟทางระเบียงด้านนอก กับห้องน้ำแค่นั้นเองที่สาดส่องเข้ามา
นะ...นี่ฉันอยู่คนเดียวเหรอเนี่ย?
เมื่อ เห็นว่ารอบตัวเองไม่มีใครเลยมีแต่ความมืดที่มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อยบวกกับ ความเงียบสงัดฉันจึงรีบจับผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองเอาไว้แล้วนอนตะแคงหันไป มองตรงระเบียงเพราะว่ากลัวที่ว่าอยู่คนเดียวในห้องมืดๆแบบนี้ แถมนี่มันก็เป็นโรงพยาบาลซะด้วยสิ อยู่คนเดียวแบบนี้แล้วออกหลอนๆยังไม่รู้ ฮืออออ Y^Y
ฟิ้ว...
“เอ๊ะ?” ฉันเอ่ยขึ้นมาเมื่อมันผิดคาดไปที่คิดว่าฉันนั้นอยู่คนเดียวในตอนนี้
เพราะว่าผ้าม่านตรงประตูเลื่อนที่ให้เปิดไปเดินสูดอากาศเล่นตรง ระเบียงมาโดนลมจากข้างนอกพัดมาจึงทำให้ฉันเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนสูด อากาศอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
โทโมะไง...
ฉันเห็นเขาทำท่าถอนหายใจด้วยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่แต่ฉันก็นอนมองเขาแบบ นี้แหละไม่ได้ลุกเดินเข้าไปหา แต่มองๆไปกลับเผลอยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัวที่เขามาเฝ้ากันแบบนี้อย่างที่พ่อ บอกจริงๆด้วย ให้ตายสิ นายจะทำให้ฉันหลงนายไปถึงไหนเนี่ยโทโมะ ><!
แต่นี่มันก็ 5 ทุ่มกว่าแล้วนะทำไมโทโมะถึงไม่ยอมนอนซักทีเพราะเขาเคยบอกกับฉันว่าเขาไม่ชอบนอนดึกนี่นา แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมนอนล่ะ?
ตอน นั้นฉันมองโทโมะแล้วหันสลับมองโซฟานั่งเฝ้าคนไข้ตรงผนังไปด้วย แต่เมื่อหันไปอีกทีเห็นว่าโทโมะกำลังเดินกลับเข้ามาฉันก็รีบหลับตาลงทันทีเลย ให้โทโมะเห็นเหมือนว่าฉันกำลังหลับอยู่ไง แต่ก็ยังมิวายแอบหรี่ตามองเขาอยู่หน่อยๆ แต่โทโมะเขาเดินเข้ามาแล้วก็ตรงมาที่เตียงของฉันเห็นว่าฉันกำลังหลับเขาจึงเดิน เข้ามาจับผ้าห่มห่มให้ดีๆ
อ๊ากกกกก ทำไมนายอ่อนโยนแบบนี้เนี่ย? เขานี่มันหลายบุคลิกจริงๆเลยนะ! พอมาดโหดมาก็โหดซะจนฉันกลัว พอน่ารักเขาก็น่ารักจนฉันแอบหมั่นไส้ แต่พอเย็นชามานี่ฉันเดาอาการโทโมะไม่ถูกเลยทีเดียวเชียว แถมผู้ชายแบบโทโมะนี่ยังชอบกินนมจืดมากๆอีกด้วย = =;;;
“ให้ตายสิ...เฮ้อ...”
อ้าว? สบถอะไรอ่ะ? โทโมะเป็นอะไร? สบถแล้วถอนหายใจแบบนั้นคือ?
ตอน นั้นฉันหรี่ตามองก็เห็นว่าโทโมะนั้นมีท่าทางแปลกๆเหมือนกับกังวลอะไรสัก อย่างอยู่ในใจ แต่เขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจก่อนจะเดินห่างออกไป และจากนั้นฉันก็เห็นว่าเหมือนโทโมะจะเดินเปิดประตูออกไปข้างนอกนั่นเอง
แอ๊ด...ปึง
“ไปไหนนะ”ฉันลุกขึ้นมานั่งแล้วพูดด้วยความสงสัย “เป็นอะไรรึปล่าว”คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันก่อนที่จะหันไปมองตรงประตูอย่างสงสัย
ด้วย ความที่เป็นห่วงโทโมะ เพราะเหมือนว่าแลเขาดูจะกังวลอะไรบางอย่างถึงได้สบถออกมาแบบนั้นฉันก็ลุก ขึ้นจากเตียงนอนคนไข้ของตัวเองแล้วจัดชุดคนไข้สีฟ้าที่ใส่อยู่ให้เข้าที่ดีๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตูแล้วเปิดมันออกกะว่าจะตามไปดูโทโมะว่าเขาจะไปไหนเพราะนี่ มันดึกแล้วนะ ถ้าเขาจะกลับบ้านเขาคงจะกลับไปตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ดึกแบบนี้แล้วสิ
ปึง...
เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เจอว่าใครเดินอยู่แถวนี้เลยฉัน จึงค่อยๆเดินไปตามทางแต่ก็พยายามไม่ให้พยาบาลเห็นเพราะว่าคนไข้ไม่ควรที่จะ ออกมาเดินแบบนี้และจะต้องอยู่ภายในห้อง
แต่ฉันห่วงโทโมะนี่นา ขอโทษด้วยก็แล้วกัน Y^Y
“ไปไหนนะ”ฉันพูดแล้วขมวดคิ้วเมื่อมองหาโทโมะแต่ก็ไม่เจอเขาเลย ทำไมเขาเดินเร็วจังเนี่ย ><? “หรือว่าจะขึ้นไปบนนั้น...”
เพราะสาเหตุอันใดก็มิทราบที่ทำให้ฉันหันไปเจอกับบันไดที่มีป้ายสีแดงติดเอาไว้ตรงผนังชี้ไปว่าบันไดนั้นเป็นทางขึ้นดาดฟ้า
ดาดฟ้าอย่างงั้นเหรอ?
ฉันคิดก่อนจะเดินไปดูตรงบันไดแล้วเอามือเกาะขอบบันไดเอาไว้ก่อนจะเงยหน้ามอง ขึ้นไปว่ามีคนเดินขึ้นไปบนนั้นรึปล่าว และก็ปรากฏว่าฉันเห็นว่ามีคนเดินจับขอบบันไดนั่นอยู่แล้วเดินขึ้นไปข้างบน จริงๆ
ต้องเป็นโทโมะแน่ๆ!
ว่าแต่...เขาจะขึ้นไปข้างบนทำไมกันนะ?
ตึก...ตึก...
ตอน นั้นฉันก็ใช้มือจับราวบันไดเอาไว้แล้วค่อยๆเดินตามโทโมะขึ้นไปบนดาดฟ้านั่น และพอสักพักต่อมาฉันได้ยินเสียงโทโมะเปิดประตูดาดฟ้าด้วย เอิ่มมมม ก็ลืมไปด้วยน่ะสิว่านี่มันก็ดึกแล้ว แถมถ้าฉันตามขึ้นไปบนนั้นก็หนาวกันพอดีน่ะสิ ><!
แต่ช่างเหอะ! เดินมาจะถึงแล้วจะให้กลับลงไปนี่ไม่เอานะไม่อยากอยู่คนเดียว >^<!
กรึก
“???” ตอน นั้นฉันสะดุ้งขึ้นมาเมื่อพอเดินมาถึงตรงประตูดาดฟ้าแล้วทำท่าจะเปิดออกก็ ต้องตกใจกับเสียงลากของอะไรบางอย่างซึ่งพอก้มมองก็ปรากฏว่ามันคือไม้ท่อน เล็กๆที่เอาไว้กั้นตรงประตูเพื่อไม่ให้มันปิดล็อคนั่นเอง
เพราะขืนไม่ได้เอากั้นเอาไว้มีหวังลงจากดาดฟ้าๆไม่ได้แน่และคงจะต้องรออยู่ บนนี้จนถึงเช้าเลยน่ะสิ
แอ๊ด....
ฟิ้ว...
ตอน นั้นที่เปิดประตูดาดฟ้าออกมาลมมันก็พัดเข้ามากระทบกับร่างของฉันในทันทีทัน ใดจนฉันต้องเอามือกอดสองข้างยกกอดตัวเองแล้วเดินออกไปดู คือตอนนี้หนาวไปหมดโดยเฉพาะเท้าฉันเนี่ยไม่ได้ใส่รองเท้าพอเหยียบพื้นไปแล้ว แบบเย็น อ๊ากกกกก หนาวๆๆๆ >O<!!!
“อยู่ไหนน้า”ฉันพูดแล้วเดินมองหาโทโมะไปด้วยแต่ก็ไม่พบเขาเลย เห็นแต่ความว่างปล่าวราวกับว่าฉันอยู่ที่นี่คนเดียว
อ้าว? ไปไหนล่ะ =[]=?
เอิ่มมมมม คงไม่ใช่ว่าฉันละเมอคิดไปเองว่าโทโมะขึ้นมาบนนี้ใช่มั้ย?
“แอบตามฉันมาเหรอ”
ขวับ!
ปึก!
“เหว๋อ!”ตอน นั้นฉันตกใจจนสะดุ้งเมื่อเสียงของโทโมะเอ่ยขึ้นมาจากทางด้านหลังพอฉันหันไปก็ชน เข้ากับหน้าอกของเขาพอดิบพอดีและร่างของตัวเองก็เซจะล้มแต่หากทว่าโทโมะก็ได้ คว้าเอวของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน
ให้ตายสิตกใจหมดเลย YOY!!!
“...”
“นายทำแบบนี้อีกแล้วนะ”ฉัน ทำหน้ามุ่ยใส่โทโมะที่กำลังมองฉันอยู่ และมือที่จับเอวของฉันเอาไว้นี่ก็ไม่ยอมปล่อยแถมยังใช้มืออีกข้างมากอดเอว ฉันเอาไว้อีกจนร่างของเราสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกด้วย
“ฉันทำอะไร?”โทโมะถามแล้วเอียงคอหน่อยๆพลางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็ทำเราตกใจน่ะสิ”
“ฉันปล่าวเลยเธอขี้ตกใจเอง”
“อย่ามาโทษเรานะ ><!”ฉันบอกแล้วเอามือตีท่อนแขนของโทโมะ
“ไม่รู้ไม่สน แต่ที่ฉันสงสัยคือ...เธอแอบตามฉันมาบนดาดฟ้านี้ใช่มั้ย”
โทโมะ ถามแล้วโน้มหน้าลงมองหน้าฉันจนฉันต้องหันหน้าไปทางอื่นก็เห็นแต่ว่าบนนี้มี แค่เราสองคนเท่านั้นกับแสงไฟของเมืองกรุงในยามขึ้นคืนบนตึกสูงที่มองเห็นไป ไกลจนสุดลูกหูลูกตาแถมลมมันก็เริ่มแรงมาขึ้นเรื่อยๆจนผมของฉันปลิวไปตามลม เลยทีเดียว
“...”
“ถามไม่ตอบล่ะ ฮึ?”
“ก็...อื้ม! เราตามนายมานั่นแหละ เห็นทำหน้าเครียดๆเซ็งๆแล้วเดินออกจากห้องมาก็นึกว่าเป็นอะไรน่ะสิ”ฉันเงยหน้าขึ้นไปบอกจนลืมไปเลยว่าหน้าของฉันกับโทโมะนั้นอยู่ใกล้กันมากๆ =////=
“อ๋ออออ นี่แอบดูฉันแล้วทำเป็นแกล้งหลับด้วยใช่มั้ย?”โทโมะถามแต่ฉันเม้นปากแล้วไม่ยอมตอบนั่นแหละเขาจึงกอดเอวฉันแน่นกว่าเดิม “ถามว่าใช่มั้ย?”
“อะ...อื้ม!”ฉันตอบโทโมะไปแล้วพยายามไม่มองหน้าเขาเพราะถึงแม้เราสองคนจะเคย ‘มากกว่ากอด’ แต่ฉันก็...เขินอยู่ดีนั่นแหละ! >O<///////
“ตามขึ้นมาทั้งๆที่ยังไม่หายดีข้างบนนี้หนาวก็หนาว แล้วดูสิ...ผมปลิวหมดแล้ว”ไม่ พูดปล่าวโทโมะยังเอามือของเขาสอดเข้ามาตรงผมของฉันแล้วเกลี่ยๆมันให้เข้าทรง ก่อนที่เขาจะคลายอ้อมกอดออกไปแล้วถอดเสื้อกันหนาวสีดำของตัวเองออกมาแล้ว ยื่นมาให้ฉัน “ใส่ซะ”
“อ้าว? เอาให้ฉันแล้วนายไม่หนาวเหรอ O_O?”ฉัน ถามโทโมะเพราะว่าเขาใส่แค่กางเกงขาห้าส่วนรองเท้าผ้าใบสีดำกับเสื้อยืดธรรมดาๆ เองแล้วยิ่งถอดเสื้อกันหนาวออกมาแบบนี้เขาเองก็คงจะหนาวเหมือนกันนี่นา
“หนาวสิ...แต่กลัวเธอหนาวกว่า ตัวแห้งอย่างกะกิ่งไม้โดนลมพัดนี่แทบปลิว - -!”
ตอนแรกเหมือนจะดี แต่พอเจอคำหลังนี่คือ...!!!
“เราไม่ใช่กิ่งไม้นะ >O<!”แรงไม่ค่อยมีแต่ก็ยังจะเถียงอีกนะเรา บ้าสุดๆ = =;;;
“ไม่ใช่ก็คล้าย...จบนะ? แล้วก็เอาเสื้อฉันไปใส่ได้แล้ว อย่าดื้อ - -!”โทโมะชี้นิ้วสั่งจนฉันต้องรีบเอาเสื้อที่เขายื่นให้มาใส่ในทันที
‘อย่าดื้อ’ ฉันดื้ออะไรเนี่ย? และแหม่ พูดซะฉันนี่กลายเป็นเด็ก 3 4 ชวบไปได้ = =;;;
“ขอบคุณนะ”เมื่อ ใส่เสร็จฉันก็บอกขอบคุณแล้วก็ทำเดินๆไปมองวิวเมืองกรุงที่เกิดมาไม่เคยเห็น กับตาสักที เห็นแต่ในรูปภาพซะส่วนใหญ่พอมาได้เห็นจริงๆนี่มันสวยมากๆเลยอ่ะ
“หายหนาวยัง”โทโมะเดินมาหยุดอยู่ข้างๆแล้วถามฉันก็พยักหน้า
“อื้ม ก็...อบอุ่นดี”ไม่รู้ทำไมเมื่อพูดคำนั้นฉันต้องเขินด้วยก็ไม่รู้สินะ
“อบอุ่นเพราะเสื้อหรือว่าเพราะมีคนมายืนข้างๆแล้วทำ...แบบนี้...”
จึก!
O//////O
ตึกตักๆๆๆๆๆๆ
สาเหตุที่ใจเต้นไม่ใช่อะไรแต่เป็นเพราะว่าโทโมะนั้นเขยิบเข้ามาใกล้ๆร่างของฉัน จนไหล่ของเราชิดกันแล้วเขาก็เอามือมาคล้องคอของฉันเอาไว้น่ะสิ ให้ตาย! ขอพูดจากใจเลยว่า...เขิน! ทำแบบนี้ท่ามกลางอากศหนาวเย็นแล้วเราสองคนก็กำลังยืนดูวิวทิวทัศน์ในเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้วเนี่ยนะ?
มันเหมือนกับนิยายเลยอ่ะ...เพ้อแล้วเรา = =;;;
“แก้ว...”
“หือ?”โทโมะเอ่ยเรียกชื่อของฉันขึ้นมาฉันก็ละสายตาจากวิวทิวทัศน์นั่นแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองโทโมะ “มีอะไรเหรอ?”
“ลองล้วงดูในกระเป๋าเสื้อกันหนาวข้างขวาดูสิ...”
โทโมะ หันมาบอกฉันก็ขมวดคิ้วนิดๆแต่ก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าขวาของเสื้อกัน หนาวแล้วก็พบว่ามันมีเหมือนดอกไม้แห้งๆอะไรสักอย่างอยู่ในนั้นและพอฉันหยิบ มันออกมาดูก็พบว่ามันคือ...ดอกเบญจมาศสีขาวนั่นเองที่ถูกตัดเอามาแค่ตัวดอก ที่แห้งไปหน่อยๆแล้ว
“เห็นว่าชอบเลยซื้อมาให้วันวาเลนไทน์แต่ไม่ฟื้นขึ้นมาเองดอกไม้เลยแห้งเลยดูสิ แต่ฉันต้องตัดเอามาแค่นั้นนะเพราะรากมันเน่าแล้ว”
“ไม่เป็นไรแค่นี้เราก็ชอบแล้ว...ขอบคุณมากๆนะ ^^”ฉันยิ้มให้โทโมะแล้วเก็บเจ้าดอกไม้นั่นเข้าไว้ในกระเป๋าเสื้อที่เดิม แล้วก็คิดว่าเดี๋ยวจะเอาไปสอดไว้ในหนังสือน่าจะดี
ซื้อให้ตอนวาเลนไทน์เหรอ...เฮ้อ ทำไมคิดแล้วยิ้ม ^^
ฟิ้ว...
“แก้ว...เธออยากรู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงขึ้นมาบนนี้”โทโมะเอ่ยขึ้นมาเมื่อเราต่างคนต่างเงียบกันไปสักพักแต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้มองฉันหรอกเพียงแต่ทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า
“แล้ว...นายขึ้นมาทำไมล่ะ”
“ก็เพราะกังวลเรื่องบางอย่างเลยขึ้นมา”
นั่นไง! มันเป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆด้วย ว่าแต่...เขากำลังกังวลอะไรอยู่นะ?
“นายกังวลอะไรอยู่เหรอ...”เมื่อ ฉันถามแบบนั้นโทโมะก็ก้มหน้าลงมามองฉันก่อนที่เขาจะเอามือที่คล้องคอฉันอยู่ออก ก่อนที่เขาจะหันมามองฉันตรงๆด้วยสายตาที่ยากจะอ่านความหมายฉันก็มองโทโมะเช่น กัน
“แก้ว...”เขาเรียกชื่อฉันอีกครั้ง “ฉันมีเรื่องบางอย่างจะบอกกับเธอ...”
เรื่องบางอย่าง...อย่างงั้นเหรอ?
“ระ...เรื่องอะไรเหรอ”ฉัน ถามโทโมะแล้วมองเขาด้วยสายตาที่สงสัยแต่โทโมะก็ไม่ได้ตอบอะไรหลังจากนั้นแต่เขา นั้นกำลังล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังก็ไม่รู้แล้วพอเขา หยิบมันออกมาฉันก็เห็นว่ามันคือ...
กระดาษนั่นเอง...
เขาเอามาทำอะไรอ่ะ...
“...”
“...”
ทั้งฉันและโทโมะต่างก็เงียบกันไปทั้งคู่ โทโมะก็เอาแต่มองหน้าฉันนิ่งๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจออกมาราวกับกำลังจะพยายามปลดปล่อยความ รู้สึกที่มีภายในซึ่งฉันก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขานั้นกำลังรู้สึกอะไรอยู่ กันแน่ และหลังจากนั้นเขาก็เปิดเจ้ากระดาษนั้นออกราวกับเขากำลังจะอ่านข้อความ บางอย่างที่ถูกเขียนเอาไว้ในนั้นให้ฉันฟัง
มันเป็นข้อความที่ ‘สำคัญ’ มากเลยใช่มั้ย...
“ผม...นายวิศวะ ไทยานนท์ ขออ่านข้อความนี้ถึงนางสาวจริญญา ศิริมงคงสกุล ซึ่งข้อความในกระดาษแผ่นนี้เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อเธอ...”โทโมะก้มหน้าเริ่มอ่านข้อความนั่นโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองฉันเลย
แต่พอเขาเริ่มอ่านมันหัวใจของฉันก็รู้สึกใจเต้นตึกตักอย่างบอกไม่ถูกเลยที เดียว...โทโมะเขา...เขียนข้อความถึงฉันอย่างงั้นเหรอ?
“...”
“แก้ว...คุณรู้มั้ย? ว่าวันแรกที่ผมเจอกับคุณที่สวนสาธาณนะในหมู่บ้านสีหน้าของคุณมันดูตลกมากเลย”โทโมะขำออกมาหน่อยๆเมื่ออ่านข้อความนั้นฉันเองก็เช่นกันที่ยิ้มออกมานิดๆ
นี่เขาเขียนอะไรเนี่ย ></////
แถมยังใช้คำเรียกเป็น ‘คุณกับผม’ อีกด้วยสิ...
“...”
“ก็ แหงล่ะเพราะตอนนั้นผมทำคุณตกใจที่กระโดดลงมาจากต้นไม้ต่อหน้าต่อตาคุณ แล้วมันแย่มากจริงๆที่ผมเมินคุณไป ผมขอโทษนะ...ที่ตอนนั้นผมทำให้คุณเสียขวัญแล้วไม่ยอมเอ่ยปากขอโทษ มันคงเป็นเพราะว่า...ตอนนั้นผมคงจะเป็นคนที่มีนิสัยเย็นชาจนเกินไปเลยอาจทำให้คุณไม่ค่อยชอบใจนัก...”
“...”
“แต่ พอมาถึงตอนนี้อะไรหลายๆอย่างในชีวิตของผมมันก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ที่ผมเจอคุณ เข้ามาในชีวิต ซึ่งมันทำให้ผมได้รู้เลยว่าคุณเป็นคนที่เกิดมาเพื่อผม...ทำให้ผมเป็นคนใหม่ เปลี่ยนผม...ให้ผมสามารพูดในสิ่งที่ผมอยากจะพูดกับคุณได้อย่างไม่ลังเลในตอน นี้เลยว่า...ผมรักคุณ...”โทโมะเม้มปากเข้าหากันแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะอ่านข้อความนั้นต่อโดยที่เขาไม่เงยหน้าขึ้นมามองฉันเลยแม้แต่น้อย
“...”
“ผม ไม่สามารถจะบอกกับคุณได้ว่าความรู้สึกนี้ที่ผมมีต่อคุณมันเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่กัน แต่พอมารู้ตัวผมก็ถอนตัวจากคุณไม่ขึ้นเสียแล้ว...เพราะจากเหตุการณ์ทั้งหมด ที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้เลยว่าผมต้องการคุณมากแค่ไหน...”
“...”
“ใช่...ผม เคยทำให้คุณเสียใจในอดีตเพราะความจนปลักของตัวเองแต่ ณ ตอนนี้ ผมอยากจะบอกกับคุณไว้เลยว่า...ผมจะไม่ขอคิดถึงเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาในอีก แล้ว...เพราะว่าผมอยากจะจำแต่เรื่องดีๆ แล้วก็ขอให้คุณได้รับรู้เอาไว้ว่า...ถ้าผมคิดถึงอดีตที่ผ่านมา ขอให้รู้เอาไว้ว่า...ผมคิดถึงแต่คุณ”
“...”
“ถึงคุณจะไม่ใช่ผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปทุกอย่าง แต่ผมไม่สนหรอก เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงที่อาจจะอ้วนขึ้นหรือผอมลง คุณก็ยังคงเป็น ‘แก้ว’ สาวข้างบ้านของผมคนเดิม...”
“...”
“ผม รู้...ว่าคุณหลงรักผมก่อน แต่ตอนนี้ความรักของผมมันเดินตามคุณมาทันแล้วนะ แสดงว่าเวลาของเรากำลังเดินด้วยกันอยู่......แต่คุณรู้มั้ย? ว่า สำหรับผมแล้วเพียงแค่กระดาษแผ่นนี้แผ่นเดียวผมคงจะอธิบายความรู้สึกที่ผมมี ต่อคุณไม่หมดหรอก และถึงแม้ว่าผมได้พูดบอกสิ่งที่ผมมีต่อคุณไปจนชัดเจนแล้ว...แต่คุณรู้มั้ย?”
“...”
“...ว่าถึงแม้ผมจะบอกคุณไปแล้วแต่ในอนาคตผมก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดบอกความในใจกับคุณได้หรอกเชื่อผมสิ เพราะว่าผมอยากจะพูดบอกสิ่งที่ผมมีต่อคุณไปทุกๆวันเลย”
โทโมะ...นายทำฉันน้ำตาคลอแล้วนะ...อึก...
“...”
“ผมอยากจะทำให้เหมือนกับว่าทุกๆวันนั้นเป็นเหมือนกับวันแรกที่ผมกับคุณต่างบอกความในใจต่อกัน และนั่นก็ทำให้ผมมีความสุขมากเหมือนกัน...”
ฉันเองก็มีความสุขมากที่นายอ่านข้อความนี้นะ...โทโมะ
“...”
“และสุดท้าย... ณ ตอนนี้ เวลานี้ ผมก็มีบางอย่างที่อยากจะถามคุณว่า...”โทโมะหยุดอ่านแล้วเอากระดาษแผ่นนั่นลงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองฉันที่ตอนนี้น้ำตากำลังคลอเบ้าอีกครั้งจากคำพูดของเขา
และโทโมะเองก็มีสีหน้าที่รอ ‘ความหวัง’ บางอย่างซึ่งมันบอกอย่างนั้น...
เขาจะพูดอะไรต่อเหรอ...
“...”
“แก้ว...ผมอยากจะถามคุณว่า... ‘คุณพร้อมที่จะเดินไปกับผมมั้ย?’ ถ้าหากคุณไม่ขัดข้อง...”
เขาพูดแบบนี้แสดงว่าเขากำลังขอคบฉันอยู่ใช่มั้ย...เขาขอคบฉันจริงๆ...
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตักๆๆๆ
“เรา...”
“...”
“เรา...ไม่ขัดข้องเลยสักนิด!”
ฟึ่บ!
ฉัน โผลเข้าโอบกอดโทโมะทันทีโดยใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่กอดเขาจนแน่นโทโมะเองก็เช่นกัน เขากอดรัดฉันแน่นเพื่อระบายความรู้ที่มีจนขาของฉันลอยขึ้นเหนือพื้นแล้วใน ตอนนี้ ส่วนฉันก็ร้องไห้ออกมาเพราะว่าดีใจมากๆที่เขาขอ แต่ที่ดีใจมากที่สุดคือฉันคิดไม่ผิดเลยที่เลือกรักผู้ชายคนนี้ที่ชื่อ ‘โทโมะ’
ใช่! เขาอาจจะเคยทำให้ฉันเสียใจมาก่อน แต่ว่าเรื่องเหล่านั้นฉันจะไม่คิดถึงมันอีกแล้วล่ะ!
“เดินไปกับฉันตลอดไปนะ”โทโมะเอ่ยบอกแล้วกอดฉันแน่นและเสียงของเขาเหมือนว่าเขากำลังร้องไห้อยู่เลยซึ่งฉันเองก็เป็นเหมือนกัน
“เราจะไม่มีวันปล่อยมือนายเลย...”ฉันเอ่ยบอกแล้วกอดรัดโทโมะแน่นกว่าเดิมน้ำตาก็ไหลลงมาไม่ขาดสายในตอนนั้น “เรารักนายนะโทโมะ และสุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะ”
“เธอเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับฉันนะ...”โทโมะเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของฉันมามองหน้ากันจนปลายจมูกของเราสองคนชนกันซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วฉันก็จำไม่ได้
แต่ที่รู้แน่ๆก็คือตอนนี้หัวใจของเราสองคนมันเต้นแรงมากจนได้ยินชัดเจนเลยล่ะ...
“...”
“...และจะเป็นตลอดไป”
จบ คำพูดนั้นโทโมะไม่รีรออะไรเลยเพราะเขารีบประทับกดริมฝีปากของตัวเองลงมาบนริม ฝีปากที่แห้งซีดของฉันในตอนนี้ แต่เมื่อเขาทำแบบนั้นแล้วฉันกลับรู้สึกได้เลยว่าอากาศหนาวรอบข้างได้จางหาย ไปและพบกับอุณภูมิที่ร้อนขึ้นของฉันกับโทโมะ
และไม่นานนัก...
โทโมะก็เอามือทั้งสอข้างมากอดรั้งที่เอวของฉันเอาไว้ทั้งสองข้าง ส่วนมือของฉันนั้นก็เลื่อนสอดเข้าไปภายในเส้นผมสีดำของเขาขณะที่ฉันเองก็ได้ แต่หลับตาและตอบรับกับสัมผัสที่โทโมะส่งมอบมาให้แบบไม่คิดอะไรอีกแล้ว
เพราะว่าหลังจากนี้เราสองคนจะไม่ใช่แค่เพื่อนบ้าน ที่มีความคิดหลายอย่างอยู่ในใจอีกแล้วเพราะตอนแรกฉันหลงรักโทโมะมาข้างเดียว แต่สุดท้ายใครจะไปรู้เล่าว่าหนุ่มเย็นชาคนนี้จะกลายมาเป็นคนที่ ‘บอกรัก’ ฉันในวันนี้และขอให้ฉันเดินไปด้วยกันกับเขา ซึ่งฉันก็ได้ตอบตกลงเขาไปแล้วในค่ำคืนแสนสวยที่สวยที่สุดสำหรับฉัน
และฉันก็เชื่ออย่างแน่แท้เลยว่า ‘คำตอบนั้น’ ที่ฉันตอบโทโมะไป ฉันคิดไม่ผิดที่ตอบ...
( ยังไม่จบนะครัช! )
‘และในที่สุดความรักของคนสองคนก็ได้ลงเอยด้วยกับตอบรับในกันและกัน
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีตนั้นจะเป็นสิ่งที่ช่วยย้ำเตือนว่าเราเคยเป็นยังไง เราเคยเจ็บเพราะใคร
แต่ถ้าคนเรารักในทางที่สมัครมั่นจริงๆ ไม่ว่าสิ่งใดก็ฝ่าฟันมันไปทั้งนั้น
แต่หากทว่าฟ้าเบื้องนั้นบนยังมีบททดสอบเขาทั้งสองอีก...ก็ต้องมารอดูกันว่าพวกเขาจะผ่านมันไป
ได้อย่างไร...’
__________________________________________________________สมหวังแล้ว เม้นหน่อยยยยยย^^
( คุณจะเป็นแฟนผมได้มั้ย? ,ที่รัก... )
1 วันต่อมา...
โรงพยาบาล xxx
“คนไข้มีอาการฟื้นตัวเร็วกว่าที่หมอคิดนะเนี่ย”
คุณหมอหันมายิ้มให้กับโทโมะแล้วก็พ่อแม่ของเขา และยังมีพ่อกับน้องชายของแก้วอย่างพิชชี่หลังจากที่เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา นั้นคุณหมอและพยาบาลได้ทำการตรวจร่างกายของแก้วที่ตอนนี้เธอยังคงนอน หลับไหลอยู่และยังไม่ฟื้นขึ้นมาแต่ว่าร่างกายของเธอนั้นได้รับออกซิเจนสะอาด เข้าไปได้เยอะจนทำให้ร่างกายภายในฟื้นตัวเร็วชีพจรเริ่มเต้นดีขึ้นเรื่อยๆ
อาการของแก้วนั้นดีขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่คุณหมอคาดการเอาไว้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับพวกเขาที่มาเยี่ยมแก้ว
แต่ว่าโทโมะเนี่ยสิ...เขาก็ดีใจนะ ที่หมอบอกแบบนั้น แต่หากทว่าในใจลึกๆแล้วเขาเสียใจมากที่คำขอพรของเขานั้นไม่เป็นความจริง เพราะว่านี่มันผ่านวันเกิดเขามา 1 วันแล้ว
แล้วตั้งแต่คืนนั้นโทโมะนอนเฝ้าอาการของแก้ว ทั้งคืนไม่ยอมกลับบ้านไม่ยอมกินอะไร จนแม่กับพ่อของเขากับลุงวิชัย ( พ่อแก้ว ) ต้องมาบอกว่าให้กลับไปพักผ่อนก่อน
‘ โทโมะกลับไปพักที่บ้านก่อนเถอะลูกแล้วเดี๋ยวค่อยมาใหม่ ’
‘แต่ว่าผมอยากอยู่นี่...’
‘ แต่ว่าลูกจะอยู่ที่นี่โดยไม่กินอะไรไม่ได้นะลูก ’
‘ แต่ผม...’
‘ เดี๋ยว ลุงเฝ้าแก้วเองลูก แล้วถ้ามีอะไรลุงจะโทรบอกโทโมะนะ แต่ตอนนี้โทโมะต้องกลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่ากินข้าวทำอะไรให้มันสดชื่นก่อน เผื่อว่าแก้วฟื้นมาเขาจะได้เห็นว่าโทโมะสบายดีไงลูก ^^’
‘ งั้นก็ได้ครับ แต่ถ้าแก้วฟื้นลุงวิชัยต้องโทรหาผมทันทีเลยนะครับ’
และ หลังจากวันนั้นโทโมะก็มาเฝ้าแก้วตลอดไม่ไปไหน จะมีก็ฟางที่มาอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนด้วยแล้วก็คอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ ซึ่งฟางเองก็รู้สึกเหงาหงอยอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่เพื่อนสนิทอย่างแก้วยัง ไม่ตื่นขึ้นมาสักที
“เดี๋ยวหมอจะเอาเครื่องช่วยหายใจออกเพื่อให้คนไข้ได้หายใจได้ด้วยตัวเอง เพราะว่าตอนนี้เธอดีขึ้นแล้วทางครอบครัวสบายใจได้นะครับ ^^” คุณหมอยิ้มอีกครั้งและคำพูดนั้นก็ทำให้ครอบครัวของโทโมะกับครอบครัวแก้วยิ้มออกมาได้
แต่โทโมะเขาก็แค่ยกยิ้มบางๆเจื่อนๆจนขนาดที่ว่าถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้ เลยด้วยซ้ำว่าเขายิ้มเพราะว่าโทโมะนั้นยังมีสีหน้าที่มีแววตาเศร้าหมองอยู่ดี นั่นแหละน่า เฮ้อ...
2 ชั่วโมงต่อมา
สวนสาธารณะ
“ให้ตายสิ นายมาอารมณ์ไหนวะเนี่ย”น้ำ เสียงของสาวห้าวอย่างฟางเอ่ยขึ้นเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วโทโมะได้โทรหาเธอให้มา เดินเป็นเพื่อนที่สวนสาธารณะใกล้ๆกับโรงพยาบาลหน่อย ซึ่งตอนนั้นฟางว่างพอดีแต่เดี๋ยวเธอก็จะต้องกลับไปดูร้านต่อ
ซึ่ง ในตอนเช้าสายๆแบบนี้ยังไม่ค่อยมีคนมาที่นี่กันมากนัก ที่นี่จึงเงียบสงบเป็นพิเศษและเป็นที่ที่เหมาะแก่การนั่งผักผ่อน เดินเล่นรับลมแก้เครียดได้มากที่สุดเพราะว่ามันมีต้นไม้ล้อมรอบจึงทำให้ อากาศเย็นสบาย ดอกไม้หลากสีก็มีอยู่เต็มไปหมด สนามหญ้าสีเขียวที่ทำให้รู้สึกสดชื่น ซึ่งโทโมะคิดว่าการที่เขามาที่ในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้เขาได้ออกมา เดินเล่นบ้าง
จะได้ไม่รู้สึกตึงเครียดจนเกินไปยังไงล่ะ
และเพราะว่าตอนนี้พ่อกับแม่โทโมะไปทำงานแล้วหลังจากที่คุณหมอได้จัดการทำอะไรจน เสร็จเรียบร้อยส่วนลุงวิชัยพ่อแก้วก็อยู่เฝ้าแก้วอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นแหละ โทโมะจึงไม่อยากอยู่ขัดเพราะอยากให้ลุงวิชัยเฝ้าแก้วลูกสาวของเขากับพิชชี่แบบ ครอบครัว
ตามจริงแล้วโทโมะสามารถที่จะโทรหาเพื่อนๆในกลุ่มของเขาให้มาเดินเป็นเพื่อนได้ โดยที่ไม่ใช่ฟาง แต่ทำไมโทโมะถึงโทรหาเธอล่ะ? ก็เพราะว่าฟางเป็นเพื่อนของแก้วโทโมะจึงอยากจะคุยอะไรกับเธอสักหน่อย
แล้วเขาก็คิดว่าฟางนั้นคงจะเข้าใจความรู้สึกของเขาและช่วยบอกทางที่ถูกให้ แก่เขาได้เป็นอย่างดีว่า ณ เวลานี้เขาควรจะทำอย่างไรต่อไปหากแก้วยังไม่ฟื้นขึ้นมา
“...”
“เฮ้ย ถามเนี่ยได้ยินมั้ย = =?” ฟางสะกิดแขนเสื้อโทโมะที่เดินทำหน้าเซ็งโลกอยู่ข้างๆเธอแถมเขายังไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำเอาแต่เดินไปข้างหน้าเงียบๆ “นายโทโมะ! ><!”
“ฮะ อะไร?”โทโมะสะดุ้งตัวเพราะถูกฟางดึงชายเสื้ออย่างแรง
“ไหวป่าวเนี่ย”ฟางถามเพราะว่าดูจากอาการของโทโมะแล้วน่าเป็นห่วงที่เขานั้นซึมๆบูดๆไม่ค่อยยิ้มมาตั้งแต่แก้วเข้าโรงพยาบาลแล้ว
“ไหวดิ”
“ไหว? เห๊อะ แต่หน้านายมันไม่ให้ว่ะ”ฟางเค้นหัวเราะออกมาแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆสวนสาธารณะก่อนที่สายตาของเธอจะไปหยุดอยู่ตรงเก้าอี้ม้านั่งใกล้ๆนี้ “ป่ะ ไปนั่งตรงนั้นกันก่อนมีไรค่อยคุย”
“อืม”โทโมะ พยักหน้าแล้วเดินตามฟางไปนั่งตรงเก้าอี้ไม้อย่างเซ็งๆ เขานั่งลงพิงกับเก้าอี้สองมือก็วางพาดไว้บนหัวเข่าทั้งสองข้างก่อนจะถอน หายใจเฮือกยาวออกมาราวกับเบื่อโลกสุดๆไปเลยในตอนนี้ “เฮ้อ!”
“เป็นไรไหนพูดมาดิ๊”ฟางที่นั่งอยู่ข้างๆหันหน้ามาถามโทโมะ แต่ว่าเธอนั้นก็รู้ดีอยู่แล้วแหละว่าโทโมะนั้นเป็นอะไร ที่ถามไปก็แค่ไม่อยากให้โทโมะเอาแต่เงียบแบบนี้
และเธออยากให้เขาได้ระบายอะไรออกมาบ้างจะได้ไม่อึดอัดใจไปมากกว่านี้ สักนิดก็ยังดี
“เซ็งเว๊ย!><!”
“เย้ย ตกใจหมด = =;;;”ฟางสะดุ้งหน่อยๆแล้วเอามือยกขึ้นทาบอกเพราะว่าโทโมะระบายความอึดอัดออกมาแบบไม่ทันตั้งตัว
“แหม่ วันเกิดทั้งทีคำขอพรไม่เป็นจริง”โทโมะทำท่าหายใจฟึดฟัดจากนั้นเขาก็เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าแล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน “ไม่เข้าใจ ว่าทำไมคนบนฟ้าชอบกลั่นแกล้งกับความรู้สึกของเราด้วยวะ”
นั่นไง๊! เขาด่าทอเทวดานางฟ้าอีกจนได้ ><!
“เอาน่า ไหนบอกว่าแก้วเริ่มดีขึ้นแล้วไง มันก็ดีแล้วนี่”
“ก็ดีขึ้น แต่ไม่ฟื้นสักทีคิดถึงจะแย่อยู่แล้ว”โทโมะพูดแล้วหันมามองหน้าฟาง แต่สีหน้าเบื่อโลกของเขานี่ทำให้ฟางขำออกมาหน่อยๆ
“อ่ะจ้า เข้าใจเพราะฉันก็คิดถึงเพื่อนฉันเหมือนกัน ^^”
“เซ็ง = =;;;”
“รู้...”ฟางบอกอย่างเข้าใจโทโมะว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไรที่แก้วยังไม่ฟื้นสักที แต่ว่าของแบบนี้มันต้องใจเย็นๆเพราะหมอบอกว่าอาการแก้วปลอดภัยแล้วเหลือแค่ รอเธอฟื้น “แต่นายน่ะก็ต้องรอเวลาบ้างน้า ยังไงซะแก้วก็ต้องฟื้นอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็ว”
“แต่ฉันคิดถึงอ่ะ ไม่ได้ยินเสียงยัยนั่นแล้วเหงาๆไงไม่รู้”
“โอ๊ย อย่าพูดดิ อิจฉา”
“อิจฉาไรอ่ะ”ตอนนั้นเหมือนว่าโทโมะคิดอยากแซวฟางขึ้นมาเขาจึงเผลอยิ้มแบบมีเลศนัยส่งมาให้ฟาง
“ก็อิจฉาแก้วไงที่มีคนคอยถึงแบบนี้ ให้ตายสิ แถมดูแล้วรักเดียวไม่เปลี่ยนแปลง”ฟางยิ้ม
“แหงล่ะ แค่คนเดียวหัวใจก็ชื่นบานไปทั้งชีวิตแล้ว”โทโมะบอกแล้วนอนนั้นนั่นเองที่เขาดูมีความสุขมากที่ได้พูดแบบนั้นออกมา
“...”
“แล้วเธอล่ะ รักใครอยู่รึปล่าว?”
“ให้ตอบตรงๆป๊ะล่ะ?”ฟางเลิกคิ้วถามโทโมะ โทโมะก็พยักหน้า ฉะนั้นเธอก็จะบอกตรงๆให้ “ตอบตรงๆก็คือเกิดมาไม่เคยแอบชอบใครเลยสักคนรวมถึงตอนนี้ก็ด้วย”
“จริงดิ? แล้วน้องคนนั้นอ่ะ”เมื่อโทโมะเอ่ยขึ้นมาแบบนั้นแหละฟางจึงขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างสงสัย “ก็คนที่ส่งจดหมายมาให้ไง”
“อ๋อออออ”
อ๋อทันที = =;;;
ก็จะเป็นใครได้ล่ะก็เด็กที่ส่งจดหมายคนนั้นมีนามว่า ‘แบมแบม’ แล้วดูท่าทางจะเกรียนแสบซนซะด้วยสิ แล้วมาส่งจดหมายจีบฟางเนี่ยนะ? ช่างกล้า... =[]=;;;
“...”
“น้องคนนั้นฉันไม่ได้รู้จักหรอกก็อาจจะแค่ส่งมาแกล้งเล่นๆก็ได้”ฟางพูดแล้วหยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เสียเท่าไหร่
“แล้วถ้าไม่ได้แกล้งล่ะ ถ้าน้องเขาชอบเธอจริงๆแล้วมาจีบเธอ เธอจะตอบตกลงมั้ย?”โทโมะถามเพราะว่าในใจของเขานั้นยังห่วงๆ ‘ใครอีกคน’ ที่ถึงแม้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘คู่กัดกับฟาง’ แต่ใครจะรู้หัวใจของนายหนุ่มจอมเจ้าชู้นั่นอย่างนายป๊อปปี้ล่ะว่าเขาคิดอย่างไรกับฟาง
ถึงปากบอกว่า ‘ไม่! ไม่มีทาง!’ แต่นั่นก็อาจเป็นแค่คำพูด ‘ปิดกั้นตัวเอง’ รึปล่าวนะ?
เพราะ ปิ๊อปปี้เคยบอกกับเพื่อนๆว่าสเป็คเขาไม่มีทางเป็นผู้หญิงอย่างฟางเด็ดขาด แต่จะต้องเป็นผู้หญิงที่สวย เพอร์เฟ็ค สมบูรณ์แบบ น่ารัก จมูกโด่ง และอีกบลาๆๆๆ
“ไม่รู้สิ”
“อย่าตกลงเลย”
“ทำไม - -?”ฟางถามทันทีแต่คำตอบที่ได้จากโทโมะมาก็คือ...
“เหอะน่า บอกว่าอย่าตกลงก็อย่าตกลง เชื่อฉันดิ”
“นี่นายคงไม่ได้จะให้ฉันคิดทบทวนดูใจว่าฉันชอบเพื่อนนายอย่างไอ้บ้าป๊อปปี้นั่นหรอกใช่มั้ย?”แต่ถึงโทโมะจะพูดแบบนั้นฟางก็รู้ทันอยู่ดี
“แล้วเธอคิดยังไงกับมันล่ะ”
“ก็ไม่ได้คิดอะไร หมอนั่นไม่ถูกชะตากับฉันนายก็รู้”ฟางตอบออกมาตามตรงอย่างที่ตัวเองคิด แต่ใครจะไปรู้อนาคตกันล่ะว่าจะมี ‘อะไร’ เกิดขึ้นกับฟางกับป๊อปปี้ต่อไป
“แต่คนที่ไม่ถูกชะตานี่มักเป็นเนื้อคู่กันนะไม่รู้เหรอ”
“ไม่มีทางอ่ะ ไม่ได้จะว่านะ แต่ว่าเพื่อนนายน่ะนิสียเสีย หลงตัวเอง แบบ...เยอะอ่ะ! ฉันก็ไม่รู้จะพูดยังไง แต่เวลาที่หมอนั่นกวนประสาทฉัน ฉันอยากจะบ้าตาย! ><!”
“โอเคคคค”โทโมะพูดลากเสียงอย่างยอมแพ้เพราะว่าฟางกับป๊อปปี้นั้นก็ปากแข็งพอๆกันแหละ
อืมมมม...ฟางก็อาจจะไม่ได้ชอบป๊อปปี้อย่างที่เธอพูดจริงๆ
แต่โทโมะเนี่ยสิก็กังวลอยู่ไม่น้อยเลยว่าป๊อปปี้แอบหลงชอบฟางอยู่ลึกๆข้างในรึ ปล่าวก็ไม่รู้ แล้วถ้าฟางไปคบกับรุ่นน้องคนนั้นล่ะ? ถ้าเกิดว่าป๊อปปี้มารู้ตัวทีหลังจะทำไง? เฮ้อ...ก็คงต้องรอดูกันต่อไปสำหรับคู่นี้ เพราะเป็นคู่ที่เพื่อนๆในกลุ่มพากันชงแต่ไม่เคยชงสำเร็จเลยสักที
แต่โทโมะเนี่ยเพื่อนๆในกลุ่มสิชงแรกๆบอกไม่ พอมาตอนหลังเริ่มรู้สึกตัวว่ารักเขาจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วไง แต่ก็ถือว่ายังดีที่เขาเป็นคนที่รักใครแล้วเขาจะไม่ยอมปล่อยคนๆนั้นไป แต่สำหรับคลอรีนคงไม่ใช่ความรักแต่เป็นบทเรียนในชีวิต เพราะความรักนั้นมันเกิดขึ้นจากความรู้สึกของคนสองคนที่รักกัน
นั่นแหละ! เขาเรียกว่า... ‘ความรัก’^^
“เออนี่ฟาง”
“ว่า?”เมื่อโทโมะเอ่ยขึ้นแบบนั้นฟางจึงหันไปมองเขาอย่างสงสัย และโทโมะก็หันมามองฟางอีกครั้งเช่นเดียวกันก่อนที่เขาจะเอ่ยถามอะไรบางอย่างขึ้นมา
“เธอว่า...ถ้าฉันขอคบแก้ว แก้วจะตกลงมั้ย?”
“เอ๋า? ม่ายยยยยรู้”ฟางรีบส่ายหน้าทันทีที่โทโมะถามออกมาแบบนั้น “ก็แก้วชอบนายนี่แล้วนายก็ชอบแก้ว แต่...มันก็ไม่แน่หรอกของแบบนี้”
“ยังไง?”โทโมะเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย
“ก็คนเราอ่ะบางครั้งความรู้สึกก่อนคบกันกับตอนคบกันมันไม่เหมือนกันนะ”ฟางเริ่มอธิบายให้โทโมะอย่างจริงจัง แล้วโทโมะเองก็ตั้งใจฟังเธอเหมือนกัน “เพราะ ก่อนจะคบกันมันก็จะมีเรื่องฟินๆเยอะจนเรารู้สึกว่าเราอยากเป็นแฟนกับเขา แต่บางทีคบไปแล้วความฟินหายเพราะว่าชินจนมันเริ่มห่างเหินแล้วก็เลิกรา แต่ฉันไม่ได้หมายถึงนายกะแก้วนะ แค่บอกให้ฟังเฉยๆ”
ฟางพูดออกมาตามความรู้สึกนึกคิดของเธอจากการที่เธอได้เห็นมาหลายๆคู่ที่เป็นแบบนี้
ซึ่งมันก็จริงอย่างที่เธอพูดนั่นแหละนะ เพราะคนสมัยนี้คบกันง่ายเลิกกันก็ง่าย แต่ถึงแม้ว่าฟางจะเป็นสาวโสดมาตลอดไร้ซึ่งคนจีบเพราะว่าเธอดูแมนเลยมีแต่ ผู้ชายกลัวแต่ผู้หญิงรุ่นน้องเข้าหา ( ? ) แต่ถึงแม้ภายนอกฟางจะดูเป็นคนแบบนั้นแต่จริงๆแล้วฟางเป็นคนที่อ่อนโยน มาก น้อยคนนักที่จะเห็นแม้แต่กระทั่งแก้วเองก็ยังไม่ค่อยได้เห็นด้านนั้นของฟาง เลยแล้วใครไหนเล่าจะมาสังเกตว่าผู้หญิงห้าวๆแมนๆแบบนี้จะมีมุมแบบนั้นเป็น กันกับเขาด้วย
แบบนี้แหละฟางจึงเป็นผู้หญิงที่รู้เรื่องราวรอบตัวถึงแม้ไม่จะเคยมี ประสบการณ์มีแฟน แต่เพราะจากการสังเกตของเธอ บวกกับความคิดที่คิดเรื่องราวลงลึกเข้าไปจึงทำให้เธอนั้นรับรู้ ถึงแม้มันอาจจะไม่ใช่ไปซะหมดแต่ก็ถือว่าดีที่เธอก็รู้อะไรบ้าง
“อืม ส่วนใหญ่หลายคู่เป็นแบบนั้นนั่นแหละ แต่...”โทโมะเว้นช่วงเอาไว้ก่อนที่เขาจะหลุบสายตาลงต่ำแล้วยิ้มออกมา “ฉันน่ะ...ไม่มีทางที่จะเป็นแบบคนพวกนั้นหรอก เพราะว่าฉันไม่มีทางทิ้งแก้วเด็ดขาด”
“แหงล่ะ อยู่ข้างบ้านกันขนาดนั้นนี่นา น่าอิจชี่อ่ะ ><! ”
“ทำไมอ่ะ?”
“ก็ถ้าคบกันบ้านอยู่ข้างกันนี่ก็เจอกันทุกวันน่ะสิ ดีจะตาย”
“เห๊อะ เออลืมถามยังคาใจอยู่เลยเนี่ย ><!”โทโมะหันหน้ามามองฟางเหมือนกับว่าจะดูว่าคำถามของเขาจากนี้ฟางจะตอบจริงมั้ย และถ้าเธอโกหกโทโมะก็ดูออกทันทีเลย
แต่ว่าฟางไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกเขารู้ แต่เพียงแค่เขาอยากจะรู้ว่าฟางจะตอบความจริงกับเขามั้ยไม่ใช่แค่ตอบเพื่อให้ เขาสบายใจเท่านั้น
“ว่ามาสิ”
“ไอ้มิณท์น่ะ”
แปะ!
“กะแล้วไม่พ้นเรื่องนี้”ฟางตบมือเสียงดังเป๊ะ! เพราะ ว่าโทโมะถามมาแบบนี้มันตรงกับสิ่งที่เธอคิดเอาไว้เลยทีเดียวว่าโทโมะคงอยากจะรู้ เรื่องของมิณท์หนุ่มแว่นหน้าใสเพื่อนเธอที่เคยมาตามจีบแก้วน่ะสิ! ><!
“หมอนั่นมันยังจีบแก้วอยู่รึปล่าว”โทโมะถามน้ำเรียบนิ่งเรียบและจริงจังขณะที่สายตาก็มองฟางเป็นทำนองบอกในใจว่า ‘อย่าโกหกฉันนะเฟ้ย! ><!’
“เมื่อก่อนก็จีบแบบไม่ลดละความพยายามเลยล่ะ แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ยังจีบอยู่มั้ย? มิณท์ไม่ได้จีบแล้วเพราะเขารู้ว่าก็แก้วชอบนาย”
“รู้หน้าที่ก็ดี”โทโมะเหยียดยิ้มอย่างหมั่นไส้แล้วยึกยักไหลทั้งสองข้างอย่างสบายอารมณ์ แต่ทำแบบนั้นมันกวนประสาทจริงๆเลยเหอะ = =;;;
“อ๊ะๆ แต่หมอนั่นไม่ได้ตัดใจนะครับผม เพราะแก้วเคยบอกฉันว่ามิณท์พูดกับเธอว่า ‘หากวันไหนต้องการเป็นมากกว่าเพื่อนเขาก็พร้อมเสมอ’ ^^”
“พร้อมบ้าอะไรวะ - -!”โทโมะทำเสียงโหดแล้วเบ้ปากอย่างหมั่นไส้พลางกลอกลูกตาขึ้นลง
“แต่มิณท์เขาเป็นคนดีน้า ชอบ ใครก็บอกชอบถ้าคนๆนั้นคิดกับเขาแบบเพื่อนเขาก็ตัดใจ แต่ฉันก็รู้แหละว่าใจลึกๆของมิณท์ก็คงจะชอบแก้วอยู่ แต่เขาก็ยังแมนพอที่จะไม่ข้ามหน้าข้ามตานาย”
“งั้นบอกมันให้ตัดใจซะก่อนที่จะโดนฝ่ามืออรหันต์ของฉัน - -!”
“ทำมาหึง ปัดโธ่! นี่ถ้านายบอกชอบแก้วหรือแสดงความรู้สึกช้ากว่านี้ฉันจะเชียร์แก้วกะมิณท์อยู่แล้วรู้ป่ะ”
“ไปเชียร์มันทำไมฉันเป็นพระเอก - -?”
ผ่าง!
“มโน?”
“เรื่องจริง”โทโมะตอบแบบไม่ต้องคิดเพราะว่าเขามั่นใจ
“แล้วฝากไปบอกไอ้พระรองอย่างมันด้วยว่าให้หาสาวใหม่ได้แล้วเพราะคนนี้คือ ‘ผู้หญิงของฉัน’ ฉันดูแลเองได้ อย่ามายุ่ง...หวง ”
“ร่ายมาซะยาวเลยนะพ่อคุณ = =;;; แต่เฮ้อ... อยากให้แก้วมาได้ยินได้พูดแบบนี้จังเลยว่ะ ยัยนั่นคงหน้าแดงเป็นลูกตำลึงแน่ๆ”
“ก็...คิดงั้นเหมือนกันนะ”โทโมะละสายตาจากการมองหน้าฟางหันไปมองรอบๆอย่างปล่อยวางมากขึ้นที่เขาได้โล่งใจไปว่ามิณท์ไม่คิดจะจีบแก้วแล้วแน่ๆ
เพราะหมอนั่นน่ะกลัวกลุ่มคโอติคจะตายไปแถมยิ่งรู้ว่าแก้วชอบเขาอีก โทโมะเองก็ยิ่งมันใจเลยแหละว่า...แก้วชอบแค่เขาคนเดียวมาโดยตลอด...นั่นแหละ ที่ทำให้โทโมะอมยิ้มหน่อยๆ
“แล้วรออะไรอยู่ล่ะเนี่ย กลับไปดูแลแก้วเพื่อนฉันได้แล้วไป” ฟางพูดแล้วก้มมองนาฬิกาที่บ่งบอกว่ามันสายมากแล้วและเธอต้องไปช่วยป๊าเธอดูร้าน อีกด้วยเธอกับโทโมะจึงยืนขึ้นเพื่อที่จะได้ต่างคนต่างไปได้แล้ว
“อ่าๆ ไปทำหน้าที่พระเอกต่อดีกว่า”โทโมะเบะยิ้มแล้วเอามือสองข้างล้วงเข้ากระเป๋าเสื้อหนาวแล้วทำท่าว่าจะเดินไปแต่ฟางก็เรียกเขาเอาไว้ซะก่อน
“นี่โทโมะ... ”และเมื่อฟางเห็นว่าโทโมะหันมาแล้วเธอจึงเอ่ยขึ้น“แล้วก็อีกอย่างที่อยากบอก...”
“ว่า?”โทโมะถามแล้วเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นนิดๆ
“ดูแลเพื่อนฉันให้ดีด้วยล่ะ”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่แค่วันนี้...”
“แต่ฉันจะดูแลตลอดไป...”โทโมะ เอ่ยพูดก่อนที่ฟางจะเอ่ยจบเสียอีกและเมื่อฟางได้ยินแบบนั้นเธอก็ยิ้มออกมา บางๆรวมถึงโทโมะด้วย แต่ฟางนั้นเธอคงคิดแหละว่าแก้วนั้นโชคดีเหลือเกินที่เจอกับ ‘รักแรก’ ที่มัน ‘โชคดี’ แบบนี้
เพราะว่าโทโมะนั้นถึงแม้จะเจอกับแก้วได้ไม่นานแต่เรื่องของความรักเวลา นั้นสำคัญเสียเมื่อไหร่กันเล่า? ใช้แต่ใจล้วนๆ ถึงแม้จะยากลำบากเพียงใดเขาก็พร้อมจะทำตามหัวใจของตัวเอง
ส่วน ตอนนี้ฟางเธอแล้วก็เพื่อนกลุ่มเคโอติคก็คงจะต่างพากกันอวยพรอยู่โทโมะกับแก้วใน ใจว่าให้ทั้งสองคนสมหวังกันสักที ซึ่งมันคงไม่นานเกินรอนักหรอก...^^
เย็นวันนั้นที่โรงพยาบาล
“ฮ้าว @o@ ง่วงนอนจัง...”
นั่นเป็นเสียงบ่นเบ่าๆของโทโมะที่เอ่ยขึ้นมาเมื่อหลังจากที่ตอนเช้าของวันนี้ เขากลับจากสวนสาธารณะเขาก็รีบมาที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าแก้วต่อพ่อแก้วก็ฝาก แก้วเอาไว้กับโทโมะตามเดิมเพราะท่านของไปทำงานส่วนพิชชี่ต้องไปเรียน แล้วนี่ก็เป็นเวลาเที่ยงแล้วของวันนั้นซึ่งโทโมะเอาแต่เดินเฝ้าแก้วอยู่ในห้อง รอเธอฟื้นแต่เธอก็ไม่ตื่นขึ้นมาสักทีเพราะว่าโทโมะเฝ้าเธอมาทั้งวัน
แต่หากทว่าในตอนนี้เขาก็โล่งอกหน่อยๆแล้วที่แก้วไม่ได้ใส่เครื่องช่วยหายใจ เหมือนตอนแรก จึงทำให้เขาได้มองหน้าของแก้วได้อย่างเต็มตาสักที
“หึ เด็กน้อยเอ๊ย”โทโมะ เค้นหัวเราะออกมาเมื่อยืนมองแก้วที่กำลังหลับอยู่แบบนั้นจากนั้นยืนมองเธอ นิ่งๆได้ไม่นานเขาก็ค่อยๆย่างก้าวเข้าไปหาแก้วแต่สายตานี่ไม่ละไปไหนเลย
มันปะปนไปด้วยความคิดถึงที่เขานั้นมีต่อเธอ รอเธอตื่นขึ้นมาคุยกับเขาสักที...
ครืด
โทโมะลากเก้าอี้ออกก่อนจะลงนั่งลงไปข้างๆเตียงของแก้วมือของเขานั้นได้จับกุม มือของแก้วเอาไว้ ก่อนจะนอนฟุบลงไปตรงมือนุ่มๆนั้นของเธอแล้วหลับตาลงเพราะว่าอ่อนล้าจากการ ที่เขาจะแทบไม่ได้นอนเท่าไหร่ทุกครั้งที่เฝ้าเธอเขาก็พยายามที่จะไม่หลับ เพราะรอเธอตื่น แต่ว่าวันนี้ดวงตาของเขามันไม่ไหวที่จะมองไปรอบๆตัว
เพราะคงถึงเวลาที่โทโมะจะต้องนอนพักเสียบ้างแล้วล่ะ...
และเขาจะนอนตรงมือนุ่มๆนี้ของแก้วอยู่แบบนี้เพราะถ้าแก้วตื่นขึ้นมา จะได้เห็นเขาเป็นคนแรกไง
เช้าของวันต่อมา...
“อ่ะ...”
น้ำเสียงสุดแสนจะเบาบางของฉันนั้นได้เอ่ยขึ้นมาเพราะรู้สึกว่าตัวเองเหมือน เริ่มจะหายใจสะดวกแล้วหลังจากที่ครั้งนั้นได้สลบหมดสติหายไปในตอนที่ไฟไหม้ ตึก แต่หากทว่าตอนนี้หัวสมองของฉันพยายามสั่งให้ตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับโลก ทั้งๆที่มันก็มีมึนๆหัวอยู่นิดหน่อยบวกกับความอ่อนล้าของร่างกาย
ฟึ่บ...
“...!”ใน ที่สุดฉันก็สามารถสั่งให้ตัวเองลืมตาขึ้นมาได้สักทีและก็พบเห็นกับเพดานสี ขาวซึ่งคาดการว่าที่คงจะเป็นโรงพยาบาลสักทีหนึ่งและแสงแดดอ่อนๆที่เล็ดลอด เข้ามาทางผ่านมานทางซ้ายมันทำให้ห้องนี้ได้รับไออุ่นจริงๆ
ตอนเช้านี่...
นี่ฉันหลับไปนานเท่าไหร่กันนะ...?
ตอนนี้เหมือนรู้สึกว่าตัวเองกลับคืนสู่โลกอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้า นี้โลกในการหลับใหลของฉันมันเป็นสีดำสนิทมืดไปหมด ได้ยินเสียงคนพูดเป็นเสียงเบาๆก็รับรู้นะ แต่ไม่สามารถลืมตาตื่นมาได้เพราะมันอ่อนล้าแบบนี้นี่มันทรมานจริงๆเลย ให้ตายสิ...
แถมตอนนั้นฉันยังได้ยินเสียงของ...โทโมะ
เพราะว่าเขาพูดกับฉันว่า...
กึก...
“...” สงสัย ฉันคงจะเผลอจ้องมองเพดานนานไปหน่อยจึงไม่ทันได้สังเกตรอบตัวเองเลยว่ามีใคร อยู่มั้ย แต่ที่แน่ๆเมื่อตะกี้นี้มือของตัวเองนั้นรับรู้ถึงการขยับเขยื้อนของอะไร บางอย่างที่อยู่บนมือของตัวเองที่ไม่สามารถขยับได้ในตอนนั้น
และเมื่อฉันค่อยๆหันหน้าไปมองทางด้านขวามือของตัวเองก็เห็นว่ามีใครบางคนที่ ขณะนี้เขากำลังนอนฟุบหนุนหัวของตัวเองอยู่กับมือฉัน... เขาจับมือของฉันเอาไว้แล้วนอนอยู่
ใบ หน้าที่ดูเย็นชาดวงตาเฉียบคมกับจมูกที่โด่งเป็นสันนั้นฉันไม่เคยที่จะลืมมัน เลยจริงๆ และที่สำคัญริมฝีปากของโทโมะก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันนั้นเหมือนกับอยู่ในฝัน ทุกๆครั้งที่เขาสัมผัสมันลงมาตรงริมฝีปากของฉัน ฉันล่ะคิดถึงมันจริงๆ และตอนนี้เขาก็อยู่ตรงนี้...
ฝันรึปล่าวเนี่ย...?
“ZzZzzZz...”โทโมะยังคงนอนหลับอยู่ แต่...แค่ฉันเห็นว่าเขานอนอยู่ตรงนี้ฉันก็ดีใจมากแล้วที่ได้เห็นเขา...
เพียงแค่ได้มองเขาในตอนนี้น้ำตามันก็เริ่มคลอเบ้าแล้วล่ะทุกคนเพราะ ว่าฉันคิดถึงเขาจริงๆ คำพูดสุดท้ายที่ฉันได้ยินก่อนสลบหมดสติไปตอนนั้นคือเขาบอกว่า...อย่าหลับนะ อยู่กับฉันก่อน...
แต่ฉันอยากจะขอโทษโทโมะจริงๆที่ไม่ได้อยู่ตามที่เขาขอ...และอีกอย่างที่ ฉันเสียใจที่สุดก็คือเพิ่งนึกได้เมื่อกี้ว่าฉันดันหมดสติไปก่อนวันเกิดเขา 1 วันนี่มันแย่จริงๆ และวันเกิดของโทโมะมันคงจะผ่านมาแล้วสินะ...แต่เป็นวันเกิดเขาที่ทำให้ฉันได้ ยินคำพูดบางอย่าง ซึ่งฉันรับรู้มัน...และฉันก็ดีใจมากๆเลยด้วยที่ได้ยิน
เขาพูดว่า...เขารักฉัน...
เขาพูดมันถึงแม้ฉันจะยังไม่ฟื้น...แต่ฉันรับรู้...และขอโทษจริงๆที่ ฉันไม่ได้ตื่นขึ้นมา
“ฮึบ...”ใน ตอนนั้นฉันพยายามใช้อีกมือที่ว่างยันตัวเองขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงคนไข้และ พยายามไม่ให้โทโมะตื่นขึ้นมา แต่หากทว่า...มันกลับมากกว่านั้นคือ...
โทโมะนั้นงัวเงียอยู่ตรงมือของฉันก่อนที่เขาจะเปลี่ยนท่านอน เขยิบตัวเองทั้งๆที่ตายังคงหลับอยู่ จากนั้นเขาก็เลื่อนตัวขึ้นมาอีกหน่อยจนหัวของเขาเลื่อนมาวางเอาไว้บนขาข้าง ขวาของฉันในตอนนั้นนั่นเอง แต่มือของเขาก็ยังคงจับที่มือฉันอยู่เพียงแต่หัวนั้นเปลี่ยนมาอยู่ตรงขาของ ฉันไงแถมโทโมะยังใช้ลิ้นเลียปากตัวเองแพลบๆอีกด้วย
‘น่ารักอะไรแต่เช้าเนี่ย?’
เพียงแค่คิดก็ทำให้ฉันยิ้มออกมา และฉันก็ละสายตาจากใบหน้าของเขาไปมองที่มือของตัวเองที่โทโมะจับกุมมันอยู่แบบ นั้น ภาพที่เห็นคือ...โทโมะกระชับมือนั้นที่จับมือของฉันอยู่ให้แน่นยิ่งขึ้นกว่า เดิมเสมือนกับว่าไม่อยากปล่อยออก แต่ว่าเขาก็ยังคงหลับอยู่ดีนั่นแหละน่า
“โทโมะ...เราตื่นขึ้นมาแล้วนะ...”ฉัน พูดคำนั้นออกมาเบาๆแล้วเอามือข้างซ้ายที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ค่อยๆขยับให้มัน มีแรงอีกครั้งก่อนจะยกมือไปวางทาบเอาไว้ที่ผมสีดำสนิทของโทโมะก่อนจะลูบมันเบาๆ
หมับ!
เฮือก!
O_O!
แต่หากทว่าเมื่อฉัน ทำแบบนั้นร่างของโทโมะก็เหมือนกับว่าจะได้สติขึ้นมาเพราะว่ามือของโทโมะที่จากที่ จับมือข้างขวาของฉันอยู่ได้ปล่อยออกแล้วเอามาจับไว้ที่มือที่ฉันกำลังลูบหัว เขาอยู่แทนจนฉันต้องชะงักมือของตัวเองด้วยความตกใจ และฉันก็เบิกตากว้างหน่อยๆที่โทโมะนั้นเงยหน้าตัวเองขึ้นมามองมือของฉันที่เขา จับเอาไว้อย่างงๆ
โทโมะมองที่มือของฉันนิ่งงันราวกับไม่ อยากเชื่อและไม่นานสายตาของเขานั้นก็ค่อยหันมามองทางฉันจนในที่สุดเราสองคน ก็ได้สบตากันสักที...
“...”
“ธะ...เธอ...”
“...”
ความนิ่งงันได้บังเกิดขึ้นมา ทันทีในตอนนั้นราวกับโทโมะเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่มันคือความจริงที่ว่าฉัน ฟื้นขึ้นมาแล้วฟื้นขึ้นมานั่งมองหน้าเขาอยู่จริงๆ และสายตาที่โทโมะกับฉันจ้องมองกันในตอนนี้มันคงยากเหลือเกินที่จะอธิบายออกมา เป็นคำพูดเพราะว่าเราสองคนต่างมองตากันนิ่งๆแล้วมือของโทโมะที่จับมือของฉัน อยู่นั้นก็ได้กระชับแน่นมากยิ่งขึ้น
และในตอนนั้นนั่นเองฉันก็เห็นด้วยว่าบริเวณขอบตาของโทโมะมันมีน้ำใสๆเอ่อล้นอยู่ซึ่งฉันเองก็เป็นแบบนั้นด้วยเหมือนกัน เพราะว่าในตอนนี้เราสองคนได้มาเจอหน้ากัน ได้มองกันสักที
และฉันก็คิดถึงโทโมะมาก...!
ฟึ่บ!
เฮือก!
“ทะ...โทโมะ”
วินาทีนั้นร่างของฉันถูกโทโมะดึงเข้าไป กอดเอาไว้อย่างรวดเร็วแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่นิดเดียว อ้อมแขนของโทโมะโอบกอดรัดร่างของฉันแน่นมากจนฉันหายใจแทบจะไม่ออกแต่ฉันก็รู้นะ ว่าโทโมะเขากำลังรู้สึกยังไงอยู่ในตอนนี้เพราะว่าดูจากการที่เขากอดฉันแน่นแบบ นี้แล้ว
และใบหน้าของโทโมะตอนี้ก็ซุกอยู่ตรงไหล่ของฉันนั่นเอง ส่วนคางของฉันนั้นก็ขึ้นไปเกยอยู่บนไหล่กว้างของเขาด้วยสิ ภายในหัวใจตอนนี้ก็เต้นตุบตับตึกตักเสียงดังรัวๆราวกับจะระเบิดออกมา
แต่ที่น่าเสียดายอย่างก็คือ...โทโมะกอดฉันเพราะความคิดถึงและเขากอด เหมือนไปไม่อยากปล่อยอ้อมกอดนี้เลยแต่ฉันเนี่ยสิ แรงของมือทั้งสองข้างนี่มันแทบจะไม่มีเลย แต่ยังไงซะฉันก็รั้นจะดื้อแล้วพยายามยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดโทโมะเช่นกัน
หากทว่าฉันไม่สามารถกอดเขาได้แน่นๆเหมือนดั่งใจคิดเพราะว่ามือข้างซ้ายที่ พันแผลอยู่นั้นก็ดันติดสายน้ำเกลือเอาไว้ด้วย แถมมือขวาก็เมื่อยล้าอีก
เฮ้อให้ตายสิ! ฉันอยากจะกอดโทโมะให้แน่นๆมากกว่านี้แต่ทำไมถึง...เฮ้อ
“เธอฟื้นแล้วจริงๆ”เสียงของโทโมะพูดอยู่ตรงหูของฉันขณะที่เราก็ยังคงกอดกันอยู่แบบนี้“บอกหน่อยสิว่าฉันไม่ได้ฝันใช่มั้ย...”
เมื่อ คำพูดนั้นของวีเอ่ยขึ้นมาน้ำตาของฉันคลอเบ้าอยู่ก็เริ่มไหลรินลงมาตรงแก้ม ทั้งสองข้าง และตอนนั้นฉันก็ซุกหน้าลงตรงไหล่โทโมะก่อนจะตอบเขาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ...
“อะ...อืม...”ฉันหลับตาลงเพราะว่าน้ำตามันไหลลงมาไม่หยุดจากความรู้สึกที่ว่ามันดีใจมากที่ได้ตื่นขึ้นมาสักที “ทะ...โทโมะเรา...”
“ฉันคิดถึงเธอ...มาก”โทโมะเน้นย้ำคำพูดนั้นให้ฉันได้ยินชัดๆก่อนที่เขาจะกอดฉันแน่นขึ้นอีกครั้ง และคำพูดของเขานี่มัน...ให้ตายสิ ฉันจะร้องไห้มากว่าเดิมก็เพราะเขาเนี่ยแหละนะ Y^Y!
“เราก็คิดถึงนายมากเหมือนกัน อึก...ขอโทษนะที่ตื่นมาไม่ทันวันเกิด”น้ำ เสียงของฉันในตอนนี้มันแทบจะพูดไม่เป็นประโยคเลยทีเดียวเชียวเพราะว่าความ รู้สึกทั้งหมดมันกำลังถูกปลดปล่อยออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
“ขอโทษทำไม เธอไม่ได้ผิดอะไรสักหน่อย...”โทโมะพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มหูและอ่อนโยนขณะที่เขาเอามือยกขึ้นมาวูบๆหัวของฉันเพื่อเป็นการปลอบใจกันว่า...ไม่เป็นไรแล้ว...
“แต่เรา...”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”โทโมะบอกแต่เขาก็ยังคงกอดฉันเอาไว้ตามเดิม และฉันก็รับรู้ถึงคางของโทโมะเลื่อนเอามาเงยไว้บนไหล่ของตัวเองในตอนนั้น “แค่เธอฟื้นขึ้นมาฉันก็ดีใจแทบบ้าแล้วรู้รึปล่าว”
“อืม”ฉันตอบแล้วแอบยิ้มออกมาหน่อยๆสายตาก็มองขึ้นไปบนเพดานพร้อมกับเม้มริมฝีปากเข้าหากัน
ฉันกับโทโมะก็ยังคงกอดกันอยู่นานนับนาทีจนโทโมะนั้นได้ถอนอ้อมกอดของเขาออกไปแล้ว ใช้สายตาของเขามองมายังใบหน้าของฉันที่ตอนนี้มันมีบาดแผลช้ำตรงมุมปาก รอยโดนกระเบื้องหลังคาโรงขยะบาดตรงแก้ม
ซึ่งฉันจำได้ดีเลยล่ะว่าวันนั้นที่ไฟไหม้ฉันโดนอะไรบ้าง
มันเลวร้ายมากเลยจริงๆ จนฉันคิดว่าตัวเองจะตายอยู่ในนั้นเสียแล้ว และถ้าวันนั้นฟางไม่มาเจอฉัน ฉันก็คงไม่รอดจริงๆนั่นแหละนะ
“เดี๋ยวเธออย่าเพิ่งลุกไปไหนนะฉันจะไปตามหมอกับพยาบาลก่อน”โทโมะเอ่ยบอกแล้วปล่อยมือออกก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องพยาบาลนี้และความเงียบงันมันก็ได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนนี้ฉันก็ได้แต่ก้มหน้าลงแล้วยิ้มให้กับตัวเอง ก้มมองมือทั้งสองข้างที่วางอยู่บนตักแล้วหลับตาของตัวเองลงพยายามจะลืม เรื่องทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นจนทำให้ฉันเป็นแบบนี้ แต่ตอนนี้ฉันตื่นขึ้นมาแล้ว มาเริ่มใหม่สักที เหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้นก็ถือว่าปล่อยให้ผ่านไปเถอะคิดถึงไปก็แย่ต่อจิตใจ ตัวเองปล่าวๆ
โอเคแก้ว! ตอนนี้เธอฟื้นแล้ว! เธอจะต้องมีจิตใจเข้มแข็งกว่าเก่า ><!
เที่ยงวันนั้น
“พ่อนึกว่าลูกจะเป็นหอบหืดซะแล้วสิ”
พ่อ ของฉันเอ่ยบอกแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เมื่อเช้าโทโมะได้ตามหมอกับพยาบาลมา แล้วจากนั้นเขาก็โทรหาพ่อฉันทันทีเลย แต่พ่อติดทำงานให้ลูกค้าจึงมาประมาณช่วงกลางวันจนตอนนี้เที่ยงเสียแล้ว แต่พ่อก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างเป็นห่วงฉันอยู่ดี
ส่วนโทโมะตอนนี้เขาได้ปล่อยให้ฉันอยู่กับพ่อแล้วเขาก็บอกว่าจะกลับไปเอา ‘ของบางอย่าง’ ที่บ้านแล้วเดี๋ยวจะกลับมาอีกทีในช่วงเย็นๆ
“หนูโอเคแล้วนะพ่อ”ฉัน บอกเพื่อไม่ให้พ่อเป็นห่วงแต่ร่างกายก็ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียหน่อยๆ แต่พยาบาลก็เพิ่งจะให้ยาฉันไปเมื่อประมาณ 10 นาทีที่แล้วและบอกว่าให้ฉันนอนพักด้วยหลังจากทานยาเสร็จ
อ้อ ลืม บอกไปพยายาบาลได้เอาสายน้ำเกลืออกให้ฉันแล้วนะเพราะคุณหมอบอกว่าร่างกายของ ฉันได้รับการฟื้นฟูแล้ว แต่ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสักวันสองวันเพื่อตรวจดูอาการอีกทีถ้าไม่ได้ เป็นอะไรและหายดีแล้วจะปล่อยให้กลับบ้านได้ ^^
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว”พ่อฉันที่นั่งอยู่ข้างเตียงพูดยิ้มๆแล้วเอามือมาลูบหัวของฉัน
“พ่อคะ”
“จ๋าลูก”พ่อฉันเลิกคิ้วเมื่อฉันเรียก
“เอ่อ...เมื่อวันที่ 14 ที่ผ่านมามันเป็นวันเกิดของโทโมะแล้ว...เขา...”ฉันหยุดชะงักจากคำพูดเอาไว้เพียงแค่นั้นเพราะว่าพ่อเหมือนจะรู้ว่าฉันกำลังหมายถึงเรื่องอะไรท่านจึงเอ่ยบอกขึ้นมา
“แก้วพ่อจะบอกอะไรให้นะ...”พ่อฉันพูดแล้วเอามือมาจับมือฉันพร้อมกับกุมมันเอาไว้
“...”
“โทโมะ น่ะ...เขาไม่ได้ไหนเลยตั้งแต่ที่ลูกเข้าโรงพยาบาลมา เขานอนเฝ้าลูกทุกคืนเลยจนพ่อลุงอากิโอะแล้วก็น้ามาซากิต้องมากล่อมให้กลับบ้านไป กินน้ำกินท่าบ้าง แล้วก็ห้องคนไข้พิเศษนี้เขาก็เป็นคนจัดการให้หมด พ่อบอกว่าจะจ่ายเองโทโมะก็บอกกับพ่อว่าไม่เป็นไรเขาไม่ได้ต้องการแบบนั้น เพราะว่าเขาเองก็เห็นว่าลูกกับพ่อแล้วก็พิชชี่เป็นเหมือนครอบครัวของเขา ฉะนั้นมีอะไรก็จะต้องช่วยเหลือกัน”
“เขาพูดแบบนั้นเหรอคะ?”ฉันถามพ่อแล้วมวดคิ้วเข้าหากันนิดๆ
นี่โทโมะเป็นคนจัดการให้หมดเลยเหรอเนี่ย?
“ใช่ แล้วลูกรู้มั้ยว่าพอเขาพูดแบบนี้มันทำให้พ่อรู้สึกได้เลยว่าโทโมะเขาคิดยังไงกับลูกสาวพ่อ”
ฉัน นิ่งเงียบไปเมื่อพ่อเอ่ยแบบนั้นและรู้สึกว่าแก้มทั้งสองข้างของตัวเองกำลัง ร้อนผาวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเลยว่าตัวเองกำลังอายมากแค่ไหน อยากจะยิ้มเหมือนกันที่พ่อพูดแบบนั้นแต่ก็ไม่...เพราะกลัวว่าพ่อจะแซวไป มากกว่านี้น่ะสิ ^/////^
“...”
“โทโมะเขาคงจะรู้สึกพิเศษกับลูกมากเลยนะ แล้วลูกล่ะ รู้สึกยังไงกับเขา?”
“หนู...”ฉันรู้สึกประหม่าออกมานิดหน่อย แต่พ่อถามแล้วอ่ะก็ต้องตอบไปเลยสิ “หนู...ชอบเขาค่ะ”
“ชอบมานานแล้วใช่มั้ย?”เมื่อฉันตอบออกไปแบบนั้นพ่อก็ถามยิ้มๆ แต่ท่านดูจะไม่ตื่นเต้นอะไรเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพ่อของฉันรู้อยู่แล้ว?
“พ่อรู้เหรอ O_O?”
“แก้ว ลูกเป็นลูกพ่อนะทำไมพ่อจะไม่รู้ พ่อรู้มานานแล้วแต่เพียงแค่พ่อไม่อยากจะอะไรกับลูกมากเพราะว่าพ่อเข้าใจว่า มันก็เป็นเรื่องที่ยากเหมือนกันที่เราจะบอกกับใครสักคนหนึ่งว่าเรากำลังชอบ คนๆนั้นอยู่ แต่พ่อว่านะสำหรับลูกแล้วความรู้สึกที่ลูกมีมันคงจะ ‘มากกว่า’ คำว่า ‘ชอบ’ ไปนานแล้วล่ะ”
ใช่ค่ะพ่อ...มันมากกว่านั้นเพียงแต่หนูไม่รู้จะพูดมันยังไงดี =//////=
“หนูก็คิดแบบนั้นเหมือนกันค่ะ”ฉันตอบพ่อแล้วก้มหน้าลงเพราะอาย
“แล้วทำไมไม่บอกพ่อตั้งแต่ทีแรกละฮึ? กลัวพ่อแซว?”
“ค่ะ (_ /////_)”ฉันพยักหน้าตอบไปตามตรงอย่างไม่ลังเล
“ตายๆ ลูกฉันทำไมถึงขี้อายเยี่ยงนี้”
“พ่ออ่ะ =^=” ฉันเงยหน้าขึ้นไปทำหน้ามุ่ยใส่พ่อ “แก้วไม่คุยกับพ่อแล่ว นอนดีกว่า :P”ฉันล้มตัวลงนอนทันทีแล้วพ่อก็หัวเราะใส่ก่อนจะช่วยฉันจับพาห่มขึ้นมาคลุมตัว
“อ่ะ นอนพักซะ”พ่อบอกจากนั้นฉันก็นอนพลิกตะแคงไปอีกทางแล้วหลับตาลง
ฉันน่ะเป็นโรคแปลกอยู่อย่างคือ...นอนหงายที ไรนอนไม่หลับทุกทีต้องนอนตะแคงถึงจะหลับ ใครเป็นแบบฉันบ้างยกมือขึ้น!><//
“พ่อจะกลับแล้วเหรอคะ”แต่ฉันก็ยังมิวายหันหน้าไปถามพ่อที่กำลังลุกขึ้นยืน
“อื้ม พ่อมีงานรับจ้างต่อน่ะแล้วตอนเย็นต้องไปรับพิชชี่ด้วย เดี๋ยวลูกก็พักผ่อนซะนะ”พ่อฉันบอกบอกยิ้มๆแล้วเอามือมาลูบหัวของฉัน
“ค่ะ พ่อก็ขับรถดีๆนะคะฝากบอกคิดถึงพิชชี่ด้วย”
“ตามนั้น”เมื่อพูดจบฉันก็หันนอนคะแตงแล้วหลับตาลงเพื่อทำการพักผ่อนเพราะตอนนี้รู้สึกว่าฤทธิ์ยาที่พยาบาลให้มันเริ่มออกฤทธิ์ทำให้ง่วงซะแล้วสิ
เฮ้อ! หวังว่าถ้าหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาคราวนี้ฉันคงจะเจอเรื่องดีๆนะ เพี้ยง! >/\<!
ประมาณ 5 ทุ่มของคืนนั้น
“อื้อ...”
ฉัน ร้องครางออกมาเมื่ออยู่ดีๆตัวเองก็เหมือนว่าจะนอนหลับไปเต็มอิ่มตั้งแต่ เที่ยงแล้ว แต่พอลืมตาตื่นแล้วหันไปดูนาฬิกาที่ผนังก็พบว่านี่มันเป็นเวลา 5 ทุ่มกว่าแล้วยังไงล่ะ แถมในห้องพยาบาลนี้ก็ถูกปิดไฟเอาไว้จะเห็นได้แต่แสงจากไฟทางระเบียงด้านนอก กับห้องน้ำแค่นั้นเองที่สาดส่องเข้ามา
นะ...นี่ฉันอยู่คนเดียวเหรอเนี่ย?
เมื่อ เห็นว่ารอบตัวเองไม่มีใครเลยมีแต่ความมืดที่มีแสงสว่างเพียงเล็กน้อยบวกกับ ความเงียบสงัดฉันจึงรีบจับผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเองเอาไว้แล้วนอนตะแคงหันไป มองตรงระเบียงเพราะว่ากลัวที่ว่าอยู่คนเดียวในห้องมืดๆแบบนี้ แถมนี่มันก็เป็นโรงพยาบาลซะด้วยสิ อยู่คนเดียวแบบนี้แล้วออกหลอนๆยังไม่รู้ ฮืออออ Y^Y
ฟิ้ว...
“เอ๊ะ?” ฉันเอ่ยขึ้นมาเมื่อมันผิดคาดไปที่คิดว่าฉันนั้นอยู่คนเดียวในตอนนี้
เพราะว่าผ้าม่านตรงประตูเลื่อนที่ให้เปิดไปเดินสูดอากาศเล่นตรง ระเบียงมาโดนลมจากข้างนอกพัดมาจึงทำให้ฉันเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนสูด อากาศอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
โทโมะไง...
ฉันเห็นเขาทำท่าถอนหายใจด้วยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่แต่ฉันก็นอนมองเขาแบบ นี้แหละไม่ได้ลุกเดินเข้าไปหา แต่มองๆไปกลับเผลอยิ้มออกมาแบบไม่รู้ตัวที่เขามาเฝ้ากันแบบนี้อย่างที่พ่อ บอกจริงๆด้วย ให้ตายสิ นายจะทำให้ฉันหลงนายไปถึงไหนเนี่ยโทโมะ ><!
แต่นี่มันก็ 5 ทุ่มกว่าแล้วนะทำไมโทโมะถึงไม่ยอมนอนซักทีเพราะเขาเคยบอกกับฉันว่าเขาไม่ชอบนอนดึกนี่นา แล้วทำไมเขาถึงไม่ยอมนอนล่ะ?
ตอน นั้นฉันมองโทโมะแล้วหันสลับมองโซฟานั่งเฝ้าคนไข้ตรงผนังไปด้วย แต่เมื่อหันไปอีกทีเห็นว่าโทโมะกำลังเดินกลับเข้ามาฉันก็รีบหลับตาลงทันทีเลย ให้โทโมะเห็นเหมือนว่าฉันกำลังหลับอยู่ไง แต่ก็ยังมิวายแอบหรี่ตามองเขาอยู่หน่อยๆ แต่โทโมะเขาเดินเข้ามาแล้วก็ตรงมาที่เตียงของฉันเห็นว่าฉันกำลังหลับเขาจึงเดิน เข้ามาจับผ้าห่มห่มให้ดีๆ
อ๊ากกกกก ทำไมนายอ่อนโยนแบบนี้เนี่ย? เขานี่มันหลายบุคลิกจริงๆเลยนะ! พอมาดโหดมาก็โหดซะจนฉันกลัว พอน่ารักเขาก็น่ารักจนฉันแอบหมั่นไส้ แต่พอเย็นชามานี่ฉันเดาอาการโทโมะไม่ถูกเลยทีเดียวเชียว แถมผู้ชายแบบโทโมะนี่ยังชอบกินนมจืดมากๆอีกด้วย = =;;;
“ให้ตายสิ...เฮ้อ...”
อ้าว? สบถอะไรอ่ะ? โทโมะเป็นอะไร? สบถแล้วถอนหายใจแบบนั้นคือ?
ตอน นั้นฉันหรี่ตามองก็เห็นว่าโทโมะนั้นมีท่าทางแปลกๆเหมือนกับกังวลอะไรสัก อย่างอยู่ในใจ แต่เขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจก่อนจะเดินห่างออกไป และจากนั้นฉันก็เห็นว่าเหมือนโทโมะจะเดินเปิดประตูออกไปข้างนอกนั่นเอง
แอ๊ด...ปึง
“ไปไหนนะ”ฉันลุกขึ้นมานั่งแล้วพูดด้วยความสงสัย “เป็นอะไรรึปล่าว”คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันก่อนที่จะหันไปมองตรงประตูอย่างสงสัย
ด้วย ความที่เป็นห่วงโทโมะ เพราะเหมือนว่าแลเขาดูจะกังวลอะไรบางอย่างถึงได้สบถออกมาแบบนั้นฉันก็ลุก ขึ้นจากเตียงนอนคนไข้ของตัวเองแล้วจัดชุดคนไข้สีฟ้าที่ใส่อยู่ให้เข้าที่ดีๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตูแล้วเปิดมันออกกะว่าจะตามไปดูโทโมะว่าเขาจะไปไหนเพราะนี่ มันดึกแล้วนะ ถ้าเขาจะกลับบ้านเขาคงจะกลับไปตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ดึกแบบนี้แล้วสิ
ปึง...
เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เจอว่าใครเดินอยู่แถวนี้เลยฉัน จึงค่อยๆเดินไปตามทางแต่ก็พยายามไม่ให้พยาบาลเห็นเพราะว่าคนไข้ไม่ควรที่จะ ออกมาเดินแบบนี้และจะต้องอยู่ภายในห้อง
แต่ฉันห่วงโทโมะนี่นา ขอโทษด้วยก็แล้วกัน Y^Y
“ไปไหนนะ”ฉันพูดแล้วขมวดคิ้วเมื่อมองหาโทโมะแต่ก็ไม่เจอเขาเลย ทำไมเขาเดินเร็วจังเนี่ย ><? “หรือว่าจะขึ้นไปบนนั้น...”
เพราะสาเหตุอันใดก็มิทราบที่ทำให้ฉันหันไปเจอกับบันไดที่มีป้ายสีแดงติดเอาไว้ตรงผนังชี้ไปว่าบันไดนั้นเป็นทางขึ้นดาดฟ้า
ดาดฟ้าอย่างงั้นเหรอ?
ฉันคิดก่อนจะเดินไปดูตรงบันไดแล้วเอามือเกาะขอบบันไดเอาไว้ก่อนจะเงยหน้ามอง ขึ้นไปว่ามีคนเดินขึ้นไปบนนั้นรึปล่าว และก็ปรากฏว่าฉันเห็นว่ามีคนเดินจับขอบบันไดนั่นอยู่แล้วเดินขึ้นไปข้างบน จริงๆ
ต้องเป็นโทโมะแน่ๆ!
ว่าแต่...เขาจะขึ้นไปข้างบนทำไมกันนะ?
ตึก...ตึก...
ตอน นั้นฉันก็ใช้มือจับราวบันไดเอาไว้แล้วค่อยๆเดินตามโทโมะขึ้นไปบนดาดฟ้านั่น และพอสักพักต่อมาฉันได้ยินเสียงโทโมะเปิดประตูดาดฟ้าด้วย เอิ่มมมม ก็ลืมไปด้วยน่ะสิว่านี่มันก็ดึกแล้ว แถมถ้าฉันตามขึ้นไปบนนั้นก็หนาวกันพอดีน่ะสิ ><!
แต่ช่างเหอะ! เดินมาจะถึงแล้วจะให้กลับลงไปนี่ไม่เอานะไม่อยากอยู่คนเดียว >^<!
กรึก
“???” ตอน นั้นฉันสะดุ้งขึ้นมาเมื่อพอเดินมาถึงตรงประตูดาดฟ้าแล้วทำท่าจะเปิดออกก็ ต้องตกใจกับเสียงลากของอะไรบางอย่างซึ่งพอก้มมองก็ปรากฏว่ามันคือไม้ท่อน เล็กๆที่เอาไว้กั้นตรงประตูเพื่อไม่ให้มันปิดล็อคนั่นเอง
เพราะขืนไม่ได้เอากั้นเอาไว้มีหวังลงจากดาดฟ้าๆไม่ได้แน่และคงจะต้องรออยู่ บนนี้จนถึงเช้าเลยน่ะสิ
แอ๊ด....
ฟิ้ว...
ตอน นั้นที่เปิดประตูดาดฟ้าออกมาลมมันก็พัดเข้ามากระทบกับร่างของฉันในทันทีทัน ใดจนฉันต้องเอามือกอดสองข้างยกกอดตัวเองแล้วเดินออกไปดู คือตอนนี้หนาวไปหมดโดยเฉพาะเท้าฉันเนี่ยไม่ได้ใส่รองเท้าพอเหยียบพื้นไปแล้ว แบบเย็น อ๊ากกกกก หนาวๆๆๆ >O<!!!
“อยู่ไหนน้า”ฉันพูดแล้วเดินมองหาโทโมะไปด้วยแต่ก็ไม่พบเขาเลย เห็นแต่ความว่างปล่าวราวกับว่าฉันอยู่ที่นี่คนเดียว
อ้าว? ไปไหนล่ะ =[]=?
เอิ่มมมมม คงไม่ใช่ว่าฉันละเมอคิดไปเองว่าโทโมะขึ้นมาบนนี้ใช่มั้ย?
“แอบตามฉันมาเหรอ”
ขวับ!
ปึก!
“เหว๋อ!”ตอน นั้นฉันตกใจจนสะดุ้งเมื่อเสียงของโทโมะเอ่ยขึ้นมาจากทางด้านหลังพอฉันหันไปก็ชน เข้ากับหน้าอกของเขาพอดิบพอดีและร่างของตัวเองก็เซจะล้มแต่หากทว่าโทโมะก็ได้ คว้าเอวของฉันเอาไว้ได้เสียก่อน
ให้ตายสิตกใจหมดเลย YOY!!!
“...”
“นายทำแบบนี้อีกแล้วนะ”ฉัน ทำหน้ามุ่ยใส่โทโมะที่กำลังมองฉันอยู่ และมือที่จับเอวของฉันเอาไว้นี่ก็ไม่ยอมปล่อยแถมยังใช้มืออีกข้างมากอดเอว ฉันเอาไว้อีกจนร่างของเราสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกด้วย
“ฉันทำอะไร?”โทโมะถามแล้วเอียงคอหน่อยๆพลางเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
“ก็ทำเราตกใจน่ะสิ”
“ฉันปล่าวเลยเธอขี้ตกใจเอง”
“อย่ามาโทษเรานะ ><!”ฉันบอกแล้วเอามือตีท่อนแขนของโทโมะ
“ไม่รู้ไม่สน แต่ที่ฉันสงสัยคือ...เธอแอบตามฉันมาบนดาดฟ้านี้ใช่มั้ย”
โทโมะ ถามแล้วโน้มหน้าลงมองหน้าฉันจนฉันต้องหันหน้าไปทางอื่นก็เห็นแต่ว่าบนนี้มี แค่เราสองคนเท่านั้นกับแสงไฟของเมืองกรุงในยามขึ้นคืนบนตึกสูงที่มองเห็นไป ไกลจนสุดลูกหูลูกตาแถมลมมันก็เริ่มแรงมาขึ้นเรื่อยๆจนผมของฉันปลิวไปตามลม เลยทีเดียว
“...”
“ถามไม่ตอบล่ะ ฮึ?”
“ก็...อื้ม! เราตามนายมานั่นแหละ เห็นทำหน้าเครียดๆเซ็งๆแล้วเดินออกจากห้องมาก็นึกว่าเป็นอะไรน่ะสิ”ฉันเงยหน้าขึ้นไปบอกจนลืมไปเลยว่าหน้าของฉันกับโทโมะนั้นอยู่ใกล้กันมากๆ =////=
“อ๋ออออ นี่แอบดูฉันแล้วทำเป็นแกล้งหลับด้วยใช่มั้ย?”โทโมะถามแต่ฉันเม้นปากแล้วไม่ยอมตอบนั่นแหละเขาจึงกอดเอวฉันแน่นกว่าเดิม “ถามว่าใช่มั้ย?”
“อะ...อื้ม!”ฉันตอบโทโมะไปแล้วพยายามไม่มองหน้าเขาเพราะถึงแม้เราสองคนจะเคย ‘มากกว่ากอด’ แต่ฉันก็...เขินอยู่ดีนั่นแหละ! >O<///////
“ตามขึ้นมาทั้งๆที่ยังไม่หายดีข้างบนนี้หนาวก็หนาว แล้วดูสิ...ผมปลิวหมดแล้ว”ไม่ พูดปล่าวโทโมะยังเอามือของเขาสอดเข้ามาตรงผมของฉันแล้วเกลี่ยๆมันให้เข้าทรง ก่อนที่เขาจะคลายอ้อมกอดออกไปแล้วถอดเสื้อกันหนาวสีดำของตัวเองออกมาแล้ว ยื่นมาให้ฉัน “ใส่ซะ”
“อ้าว? เอาให้ฉันแล้วนายไม่หนาวเหรอ O_O?”ฉัน ถามโทโมะเพราะว่าเขาใส่แค่กางเกงขาห้าส่วนรองเท้าผ้าใบสีดำกับเสื้อยืดธรรมดาๆ เองแล้วยิ่งถอดเสื้อกันหนาวออกมาแบบนี้เขาเองก็คงจะหนาวเหมือนกันนี่นา
“หนาวสิ...แต่กลัวเธอหนาวกว่า ตัวแห้งอย่างกะกิ่งไม้โดนลมพัดนี่แทบปลิว - -!”
ตอนแรกเหมือนจะดี แต่พอเจอคำหลังนี่คือ...!!!
“เราไม่ใช่กิ่งไม้นะ >O<!”แรงไม่ค่อยมีแต่ก็ยังจะเถียงอีกนะเรา บ้าสุดๆ = =;;;
“ไม่ใช่ก็คล้าย...จบนะ? แล้วก็เอาเสื้อฉันไปใส่ได้แล้ว อย่าดื้อ - -!”โทโมะชี้นิ้วสั่งจนฉันต้องรีบเอาเสื้อที่เขายื่นให้มาใส่ในทันที
‘อย่าดื้อ’ ฉันดื้ออะไรเนี่ย? และแหม่ พูดซะฉันนี่กลายเป็นเด็ก 3 4 ชวบไปได้ = =;;;
“ขอบคุณนะ”เมื่อ ใส่เสร็จฉันก็บอกขอบคุณแล้วก็ทำเดินๆไปมองวิวเมืองกรุงที่เกิดมาไม่เคยเห็น กับตาสักที เห็นแต่ในรูปภาพซะส่วนใหญ่พอมาได้เห็นจริงๆนี่มันสวยมากๆเลยอ่ะ
“หายหนาวยัง”โทโมะเดินมาหยุดอยู่ข้างๆแล้วถามฉันก็พยักหน้า
“อื้ม ก็...อบอุ่นดี”ไม่รู้ทำไมเมื่อพูดคำนั้นฉันต้องเขินด้วยก็ไม่รู้สินะ
“อบอุ่นเพราะเสื้อหรือว่าเพราะมีคนมายืนข้างๆแล้วทำ...แบบนี้...”
จึก!
O//////O
ตึกตักๆๆๆๆๆๆ
สาเหตุที่ใจเต้นไม่ใช่อะไรแต่เป็นเพราะว่าโทโมะนั้นเขยิบเข้ามาใกล้ๆร่างของฉัน จนไหล่ของเราชิดกันแล้วเขาก็เอามือมาคล้องคอของฉันเอาไว้น่ะสิ ให้ตาย! ขอพูดจากใจเลยว่า...เขิน! ทำแบบนี้ท่ามกลางอากศหนาวเย็นแล้วเราสองคนก็กำลังยืนดูวิวทิวทัศน์ในเวลาใกล้จะเที่ยงคืนแล้วเนี่ยนะ?
มันเหมือนกับนิยายเลยอ่ะ...เพ้อแล้วเรา = =;;;
“แก้ว...”
“หือ?”โทโมะเอ่ยเรียกชื่อของฉันขึ้นมาฉันก็ละสายตาจากวิวทิวทัศน์นั่นแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองโทโมะ “มีอะไรเหรอ?”
“ลองล้วงดูในกระเป๋าเสื้อกันหนาวข้างขวาดูสิ...”
โทโมะ หันมาบอกฉันก็ขมวดคิ้วนิดๆแต่ก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าขวาของเสื้อกัน หนาวแล้วก็พบว่ามันมีเหมือนดอกไม้แห้งๆอะไรสักอย่างอยู่ในนั้นและพอฉันหยิบ มันออกมาดูก็พบว่ามันคือ...ดอกเบญจมาศสีขาวนั่นเองที่ถูกตัดเอามาแค่ตัวดอก ที่แห้งไปหน่อยๆแล้ว
“เห็นว่าชอบเลยซื้อมาให้วันวาเลนไทน์แต่ไม่ฟื้นขึ้นมาเองดอกไม้เลยแห้งเลยดูสิ แต่ฉันต้องตัดเอามาแค่นั้นนะเพราะรากมันเน่าแล้ว”
“ไม่เป็นไรแค่นี้เราก็ชอบแล้ว...ขอบคุณมากๆนะ ^^”ฉันยิ้มให้โทโมะแล้วเก็บเจ้าดอกไม้นั่นเข้าไว้ในกระเป๋าเสื้อที่เดิม แล้วก็คิดว่าเดี๋ยวจะเอาไปสอดไว้ในหนังสือน่าจะดี
ซื้อให้ตอนวาเลนไทน์เหรอ...เฮ้อ ทำไมคิดแล้วยิ้ม ^^
ฟิ้ว...
“แก้ว...เธออยากรู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงขึ้นมาบนนี้”โทโมะเอ่ยขึ้นมาเมื่อเราต่างคนต่างเงียบกันไปสักพักแต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้มองฉันหรอกเพียงแต่ทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้า
“แล้ว...นายขึ้นมาทำไมล่ะ”
“ก็เพราะกังวลเรื่องบางอย่างเลยขึ้นมา”
นั่นไง! มันเป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆด้วย ว่าแต่...เขากำลังกังวลอะไรอยู่นะ?
“นายกังวลอะไรอยู่เหรอ...”เมื่อ ฉันถามแบบนั้นโทโมะก็ก้มหน้าลงมามองฉันก่อนที่เขาจะเอามือที่คล้องคอฉันอยู่ออก ก่อนที่เขาจะหันมามองฉันตรงๆด้วยสายตาที่ยากจะอ่านความหมายฉันก็มองโทโมะเช่น กัน
“แก้ว...”เขาเรียกชื่อฉันอีกครั้ง “ฉันมีเรื่องบางอย่างจะบอกกับเธอ...”
เรื่องบางอย่าง...อย่างงั้นเหรอ?
“ระ...เรื่องอะไรเหรอ”ฉัน ถามโทโมะแล้วมองเขาด้วยสายตาที่สงสัยแต่โทโมะก็ไม่ได้ตอบอะไรหลังจากนั้นแต่เขา นั้นกำลังล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลังก็ไม่รู้แล้วพอเขา หยิบมันออกมาฉันก็เห็นว่ามันคือ...
กระดาษนั่นเอง...
เขาเอามาทำอะไรอ่ะ...
“...”
“...”
ทั้งฉันและโทโมะต่างก็เงียบกันไปทั้งคู่ โทโมะก็เอาแต่มองหน้าฉันนิ่งๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจออกมาราวกับกำลังจะพยายามปลดปล่อยความ รู้สึกที่มีภายในซึ่งฉันก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขานั้นกำลังรู้สึกอะไรอยู่ กันแน่ และหลังจากนั้นเขาก็เปิดเจ้ากระดาษนั้นออกราวกับเขากำลังจะอ่านข้อความ บางอย่างที่ถูกเขียนเอาไว้ในนั้นให้ฉันฟัง
มันเป็นข้อความที่ ‘สำคัญ’ มากเลยใช่มั้ย...
“ผม...นายวิศวะ ไทยานนท์ ขออ่านข้อความนี้ถึงนางสาวจริญญา ศิริมงคงสกุล ซึ่งข้อความในกระดาษแผ่นนี้เป็นสิ่งที่ผมตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อเธอ...”โทโมะก้มหน้าเริ่มอ่านข้อความนั่นโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองฉันเลย
แต่พอเขาเริ่มอ่านมันหัวใจของฉันก็รู้สึกใจเต้นตึกตักอย่างบอกไม่ถูกเลยที เดียว...โทโมะเขา...เขียนข้อความถึงฉันอย่างงั้นเหรอ?
“...”
“แก้ว...คุณรู้มั้ย? ว่าวันแรกที่ผมเจอกับคุณที่สวนสาธาณนะในหมู่บ้านสีหน้าของคุณมันดูตลกมากเลย”โทโมะขำออกมาหน่อยๆเมื่ออ่านข้อความนั้นฉันเองก็เช่นกันที่ยิ้มออกมานิดๆ
นี่เขาเขียนอะไรเนี่ย ></////
แถมยังใช้คำเรียกเป็น ‘คุณกับผม’ อีกด้วยสิ...
“...”
“ก็ แหงล่ะเพราะตอนนั้นผมทำคุณตกใจที่กระโดดลงมาจากต้นไม้ต่อหน้าต่อตาคุณ แล้วมันแย่มากจริงๆที่ผมเมินคุณไป ผมขอโทษนะ...ที่ตอนนั้นผมทำให้คุณเสียขวัญแล้วไม่ยอมเอ่ยปากขอโทษ มันคงเป็นเพราะว่า...ตอนนั้นผมคงจะเป็นคนที่มีนิสัยเย็นชาจนเกินไปเลยอาจทำให้คุณไม่ค่อยชอบใจนัก...”
“...”
“แต่ พอมาถึงตอนนี้อะไรหลายๆอย่างในชีวิตของผมมันก็เปลี่ยนไปตั้งแต่ที่ผมเจอคุณ เข้ามาในชีวิต ซึ่งมันทำให้ผมได้รู้เลยว่าคุณเป็นคนที่เกิดมาเพื่อผม...ทำให้ผมเป็นคนใหม่ เปลี่ยนผม...ให้ผมสามารพูดในสิ่งที่ผมอยากจะพูดกับคุณได้อย่างไม่ลังเลในตอน นี้เลยว่า...ผมรักคุณ...”โทโมะเม้มปากเข้าหากันแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะอ่านข้อความนั้นต่อโดยที่เขาไม่เงยหน้าขึ้นมามองฉันเลยแม้แต่น้อย
“...”
“ผม ไม่สามารถจะบอกกับคุณได้ว่าความรู้สึกนี้ที่ผมมีต่อคุณมันเกิดขึ้นมาเมื่อไหร่กัน แต่พอมารู้ตัวผมก็ถอนตัวจากคุณไม่ขึ้นเสียแล้ว...เพราะจากเหตุการณ์ทั้งหมด ที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้เลยว่าผมต้องการคุณมากแค่ไหน...”
“...”
“ใช่...ผม เคยทำให้คุณเสียใจในอดีตเพราะความจนปลักของตัวเองแต่ ณ ตอนนี้ ผมอยากจะบอกกับคุณไว้เลยว่า...ผมจะไม่ขอคิดถึงเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาในอีก แล้ว...เพราะว่าผมอยากจะจำแต่เรื่องดีๆ แล้วก็ขอให้คุณได้รับรู้เอาไว้ว่า...ถ้าผมคิดถึงอดีตที่ผ่านมา ขอให้รู้เอาไว้ว่า...ผมคิดถึงแต่คุณ”
“...”
“ถึงคุณจะไม่ใช่ผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปทุกอย่าง แต่ผมไม่สนหรอก เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงที่อาจจะอ้วนขึ้นหรือผอมลง คุณก็ยังคงเป็น ‘แก้ว’ สาวข้างบ้านของผมคนเดิม...”
“...”
“ผม รู้...ว่าคุณหลงรักผมก่อน แต่ตอนนี้ความรักของผมมันเดินตามคุณมาทันแล้วนะ แสดงว่าเวลาของเรากำลังเดินด้วยกันอยู่......แต่คุณรู้มั้ย? ว่า สำหรับผมแล้วเพียงแค่กระดาษแผ่นนี้แผ่นเดียวผมคงจะอธิบายความรู้สึกที่ผมมี ต่อคุณไม่หมดหรอก และถึงแม้ว่าผมได้พูดบอกสิ่งที่ผมมีต่อคุณไปจนชัดเจนแล้ว...แต่คุณรู้มั้ย?”
“...”
“...ว่าถึงแม้ผมจะบอกคุณไปแล้วแต่ในอนาคตผมก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดบอกความในใจกับคุณได้หรอกเชื่อผมสิ เพราะว่าผมอยากจะพูดบอกสิ่งที่ผมมีต่อคุณไปทุกๆวันเลย”
โทโมะ...นายทำฉันน้ำตาคลอแล้วนะ...อึก...
“...”
“ผมอยากจะทำให้เหมือนกับว่าทุกๆวันนั้นเป็นเหมือนกับวันแรกที่ผมกับคุณต่างบอกความในใจต่อกัน และนั่นก็ทำให้ผมมีความสุขมากเหมือนกัน...”
ฉันเองก็มีความสุขมากที่นายอ่านข้อความนี้นะ...โทโมะ
“...”
“และสุดท้าย... ณ ตอนนี้ เวลานี้ ผมก็มีบางอย่างที่อยากจะถามคุณว่า...”โทโมะหยุดอ่านแล้วเอากระดาษแผ่นนั่นลงแล้วเงยหน้าขึ้นมามองฉันที่ตอนนี้น้ำตากำลังคลอเบ้าอีกครั้งจากคำพูดของเขา
และโทโมะเองก็มีสีหน้าที่รอ ‘ความหวัง’ บางอย่างซึ่งมันบอกอย่างนั้น...
เขาจะพูดอะไรต่อเหรอ...
“...”
“แก้ว...ผมอยากจะถามคุณว่า... ‘คุณพร้อมที่จะเดินไปกับผมมั้ย?’ ถ้าหากคุณไม่ขัดข้อง...”
เขาพูดแบบนี้แสดงว่าเขากำลังขอคบฉันอยู่ใช่มั้ย...เขาขอคบฉันจริงๆ...
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตักๆๆๆ
“เรา...”
“...”
“เรา...ไม่ขัดข้องเลยสักนิด!”
ฟึ่บ!
ฉัน โผลเข้าโอบกอดโทโมะทันทีโดยใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่กอดเขาจนแน่นโทโมะเองก็เช่นกัน เขากอดรัดฉันแน่นเพื่อระบายความรู้ที่มีจนขาของฉันลอยขึ้นเหนือพื้นแล้วใน ตอนนี้ ส่วนฉันก็ร้องไห้ออกมาเพราะว่าดีใจมากๆที่เขาขอ แต่ที่ดีใจมากที่สุดคือฉันคิดไม่ผิดเลยที่เลือกรักผู้ชายคนนี้ที่ชื่อ ‘โทโมะ’
ใช่! เขาอาจจะเคยทำให้ฉันเสียใจมาก่อน แต่ว่าเรื่องเหล่านั้นฉันจะไม่คิดถึงมันอีกแล้วล่ะ!
“เดินไปกับฉันตลอดไปนะ”โทโมะเอ่ยบอกแล้วกอดฉันแน่นและเสียงของเขาเหมือนว่าเขากำลังร้องไห้อยู่เลยซึ่งฉันเองก็เป็นเหมือนกัน
“เราจะไม่มีวันปล่อยมือนายเลย...”ฉันเอ่ยบอกแล้วกอดรัดโทโมะแน่นกว่าเดิมน้ำตาก็ไหลลงมาไม่ขาดสายในตอนนั้น “เรารักนายนะโทโมะ และสุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะ”
“เธอเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับฉันนะ...”โทโมะเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของฉันมามองหน้ากันจนปลายจมูกของเราสองคนชนกันซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วฉันก็จำไม่ได้
แต่ที่รู้แน่ๆก็คือตอนนี้หัวใจของเราสองคนมันเต้นแรงมากจนได้ยินชัดเจนเลยล่ะ...
“...”
“...และจะเป็นตลอดไป”
จบ คำพูดนั้นโทโมะไม่รีรออะไรเลยเพราะเขารีบประทับกดริมฝีปากของตัวเองลงมาบนริม ฝีปากที่แห้งซีดของฉันในตอนนี้ แต่เมื่อเขาทำแบบนั้นแล้วฉันกลับรู้สึกได้เลยว่าอากาศหนาวรอบข้างได้จางหาย ไปและพบกับอุณภูมิที่ร้อนขึ้นของฉันกับโทโมะ
และไม่นานนัก...
โทโมะก็เอามือทั้งสอข้างมากอดรั้งที่เอวของฉันเอาไว้ทั้งสองข้าง ส่วนมือของฉันนั้นก็เลื่อนสอดเข้าไปภายในเส้นผมสีดำของเขาขณะที่ฉันเองก็ได้ แต่หลับตาและตอบรับกับสัมผัสที่โทโมะส่งมอบมาให้แบบไม่คิดอะไรอีกแล้ว
เพราะว่าหลังจากนี้เราสองคนจะไม่ใช่แค่เพื่อนบ้าน ที่มีความคิดหลายอย่างอยู่ในใจอีกแล้วเพราะตอนแรกฉันหลงรักโทโมะมาข้างเดียว แต่สุดท้ายใครจะไปรู้เล่าว่าหนุ่มเย็นชาคนนี้จะกลายมาเป็นคนที่ ‘บอกรัก’ ฉันในวันนี้และขอให้ฉันเดินไปด้วยกันกับเขา ซึ่งฉันก็ได้ตอบตกลงเขาไปแล้วในค่ำคืนแสนสวยที่สวยที่สุดสำหรับฉัน
และฉันก็เชื่ออย่างแน่แท้เลยว่า ‘คำตอบนั้น’ ที่ฉันตอบโทโมะไป ฉันคิดไม่ผิดที่ตอบ...
( ยังไม่จบนะครัช! )
‘และในที่สุดความรักของคนสองคนก็ได้ลงเอยด้วยกับตอบรับในกันและกัน
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีตนั้นจะเป็นสิ่งที่ช่วยย้ำเตือนว่าเราเคยเป็นยังไง เราเคยเจ็บเพราะใคร
แต่ถ้าคนเรารักในทางที่สมัครมั่นจริงๆ ไม่ว่าสิ่งใดก็ฝ่าฟันมันไปทั้งนั้น
แต่หากทว่าฟ้าเบื้องนั้นบนยังมีบททดสอบเขาทั้งสองอีก...ก็ต้องมารอดูกันว่าพวกเขาจะผ่านมันไป
ได้อย่างไร...’
__________________________________________________________สมหวังแล้ว เม้นหน่อยยยยยย^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ