Stop หยุดหัวใจนายเย็นชา
เขียนโดย NannyCandy
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.18 น.
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 19.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
38) - Birhtday Of ' TOMO'- ( วันเกิดของ ' โทโมะ ' )
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ- Birhtday Of ' TOMO'-
( วันเกิดของ ' โทโมะ ' )
เช้ามืดของวันต่อมา...
“โทโมะ...โทโมะลูก...โทโมะ”
“อื้อ...”ผม ร้องครวญครางเมื่อได้ยินเสียงของแม่ดังอยู่ใกล้ๆซึ่งเมื่อผมกระพริบตาถี่ๆผม ก็เห็นว่าแม่กำลังนั่งอยู่ที่ปลายเตียงนอนของผมแล้วผมก็เห็นว่าพ่อผมนั้นยืน อยู่ตรงแม่ด้วย “มีอะไรเหรอครับ”ผมถามเสียงงัวเงียแล้วค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นมานั่งดีๆ
“เอ๋า จำวันสำคัญของตัวเองไม่ได้ซะงั้น”พ่อผมเอ่ยแล้วหัวเราะออกมาหน่อยๆขณะที่ผมกำลังเอามือทั้งสองข้างขยี้ตาของตัวเองเพื่อให้ตื่น
เอ๋? วันสำคัญ?
อ้อใช่สิ! วันนี้วันเกิดของผมนี่ ให้ตายสิลืมไปได้ยังไงเนี่ย ><!
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะลูก ^^”ตอนนั้นเองที่ผมขยี้ตาของตัวเองจนตื่นแล้วแม่ก็เอ่ยขึ้นมา “อายุ 18 ปีเต็มแล้วน้า เป็นหนุ่มเต็มตัวแล้วนะเรา ^^”
“ขอบคุณครับ ว่าแต่...ทำไมต้องปลุกผมมาบอกแฮปปี้เบิร์ดเดย์เอาตอนเช้ามืดแบบนี้ด้วยล่ะแม่”ผมพูดปนขำแล้วเอามือยกเกาคอแก้เขินพ่อกับแม่
แต่ก็จริงนะ ทำไมพวกเขาต้องรีบปลุกผมด้วยเนี่ยนี่ยังเช้ามืออยู่เลยนี่นา
“ถามมาได้ ก็มารอใส่บาตรไงลูก ป่ะ ไปล้างหน้าล้างตาไปเดี๋ยวพระก็มาแล้ว”แม่บอกผมแล้วลุกขึ้นจากปลายเตียงก่อนจะเดินมาลูบหัวผมแล้วก้มลงหอมเข้าที่หน้าผากผมเบาๆ ซึ่งผมก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในทันที “มีความสุขมากๆนะลูก”
“คิดสิ่งใดก็ขอให้สมดั่งปรารถนานะเจ้าลูกชาย”พ่อเดินมาบอกผมแล้วก็เอามือโอบไหล่แม่ ทั้งสองมองมาที่ผมยิ้มๆผมก็มองพวกท่านแล้วพยักหน้ารับคำอวยพรที่พ่อกับแม่มอบให้
เพราะ ว่าผมรู้ไงว่าพ่อแม่กำลังหมายถึงเรื่องของแก้วอยู่และพวกท่านก็คงอยากจะให้ ผมมีกำลังใจ ถึงแม้ความหวังมันอาจจะมีอยู่น้อยนิดก็ตามที
“ครับ”
หลัง จากนั้นพ่อกับแม่ผมก็พากันเดินออกไป ส่วนผมก็ไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะตามพ่อกับแม่ลงไปใส่บาตรหน้าบ้าน ซึ่งตอนนั้นผมรู้สึกว่าเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกไปได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งตอนนี้มันยังคงอยู่กับแก้วที่ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ได้สติเลย เพราะว่าผมบอกลุงวิชัยไว้แล้วว่าถ้าแก้วฟื้นให้โทรหาผมด้วย ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนถ้าแก้วฟื้นผมก็จะรีบไปหาที่โรงพยาบาล
แต่ว่านี่ก็เช้าของวันต่อมาแล้วลุงวิชัยยังไม่โทรมาเลยแสดงว่าแก้วคงจะยังไม่ ฟื้นขึ้นมา...งั้นสินะ
แต่ตอนที่ผมใส่บาตรไหว้พระผมก็ได้ขอพรให้กับวันเกิดตัวเองในใจนะว่าขอ ให้แก้วตื่นขึ้นมาทันวันเกิดผมทีเถอะ แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่ผมขอมั้ย แต่ผมก็จะให้ความหวังตัวเองต่อไปจนกว่าจะถึงเที่ยงคืนของวันนี้ และถ้าเลยเที่ยงคืนแก้วยังไม่ฟื้น...
...เวลามันก็จะผ่านไป...
เวลาที่ผมได้คิดเอาไว้ว่าจะขอคบเธอในวันเกิดของตัวเองก็จะไม่เป็นจริงในวันนี้
แต่ก็ต้องไปเป็นวันอื่นแทน มันก็น่าเสียดายนะวันสำคัญของตัวเองแท้ๆ...แต่ก็ช่างเถอะ! ถ้าชะตาอยากกลั่นแกล้งผมนักก็เชิญ จะใจร้ายกับผมยังไงก็ช่าง แต่ขอให้แก้วอย่าเป็นอะไรไปก็แล้วกัน
แล้วถ้าเธอฟื้นก็ขอให้อย่าเป็นโรคหอบหืดอย่างที่หมอกล่าวเลย เพราะถ้าเธอเป็นแบบนั้นเธอคงจะอ่อนแอยิ่งกว่าตอนนี้แน่ๆ ขอเถอะ...อย่าเลย...
“พ่อแม่ผมไปหาแก้วแล้วนะ”ผม บอกพ่อกับแม่ก่อนจะเดินออกจากบ้านมาเพราะว่าหลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวทำ อะไรจนเสร็จเรียบร้อยผมก็บอกพ่อกับแม่ว่าจะไปเยี่ยมแก้วที่โรงพยาบาล
ส่วนพ่อกับแม่ผมท่านไม่ว่างไปเลยเพราะว่าพ่อก็ต้องไปสอนที่มหาวิทยาลัยส่วน แม่ก็มีนัดกับลูกค้าที่ร้านตัดชุดทั้งวันเลย แต่พวกท่านก็บอกผมว่าถ้าแก้วตื่นแล้วก็ฝากความเป็นห่วงไปให้แก้วด้วย
“เดินดีๆนะลูก”แม่ผมตะโกนบอกในตอนที่ผมเดินออกมาแล้วปิดประตูรั้วบ้านแล้ว
สักพักต่อมา...
ฟิ้ว...
ใน ขณะที่ผมกำลังเดินๆออกมาตามทางหมู่บ้านนั้น สายลมเย็นๆก็พัดผ่านเข้ามากระทบเข้าที่ตัวของผมจนผมต้องเอามือทั้งสองข้าง ล้วงเข้ากระเป๋าเสื้อกันหนาวที่สวมใส่มาด้วย อากาศนี้ก็แปลกจริงๆเลย เมื่อวานฝนยังตกอยู่เลยทำไมวันนี้มาแบบหนาวๆซะล่ะ
ให้ตายสิมันคาดเดาไม่ได้เลยจริงๆนะ = =;;;
“เอ้า! ใครอยากซื้อของถูกใจให้คนพิเศษมาทางนี้เร๊วววว ><//”
เมื่อผมเดินออกมาจากทางเข้าหมู่บ้านแล้ว ผมก็เห็นว่าร้านทุกร้านนั้นจัดเป็นสีแดงแล้วก็มีของน่ารักๆขายเต็มไปหมด พ่อค้าแม่ค้าก็ต่างพากันเรียกลูกค้าด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม เพราะว่ามันเป็น ‘วันแห่งความรัก’ นี่นา แต่ผมเนี่ยสิอาการกำลังหงอยๆเลยเพราะว่าไม่มีคนมาเดินข้างๆในวันนี้
และคงเป็นเพราะว่าผมอาจจะคิดถึงแก้วมากเกินไปมันจึงทำให้ผมนั้นหันไป เห็นว่าเธอกำลังเดินอยู่ข้างๆผม แล้วหันมามองผมก่อนจะยิ้มให้ผมบางๆ และรอยยิ้มนี้มันเป็นรอยยิ้มที่ผมชอบแอบมองแก้วยิ้มบ่อยๆเวลาที่เห็นเธอคุยกับฟางน่ะ
มันน่ารักมากเลยนะ ^^
ซึ่งเมื่อผมเห็นภาพนั้นผมก็ยิ้มออกมาหน่อยๆ แต่ก็รู้แหละว่ายังไงซะมันก็เป็นเพียงแค่ภาพหลอนที่ผมคิดขึ้นมาเองผมถึงได้ เศร้าขณะที่ยิ้มนิดๆ
แต่ไม่นานนักที่ผมมองภาพหลอนนั้นขณะเดินไปด้วย ภาพหลอนนั้นของแก้วก็หยุดเดินผมก็หยุดตามแล้วมองภาพนั้นที่ตอนนี้กำลัง ค่อยๆจางไป แต่หากทว่าภาพหลอนนั้นของแก้วที่กำลังมองผมยิ้มๆก็ละสายตาจากใบหน้าของผม หันมองไปที่ๆหนึ่งซึ่งเมื่อผมมองตามไปก็เห็นว่าเธอกำลังมองไปร้านดอกไม้ร้าน หนึ่งซึ่งมีดอกไม้สวยๆอยู่หน้าร้านเยอะแยะเต็มไปหมด
เมื่อมองไปแล้วหันกลับมาที่เก่าภาพของแก้วก็ได้หายไปแล้วในตอนนั้น...
“อยากได้ดอกไม้เหรอ...”ผม พูดแล้วครุ่นคิดว่าที่ผมเห็นภาพนั้นเหมือนกับว่ามีลางบอกผมล่ะมั้งว่าให้ ซื้อดอกไม้ไปให้แก้วที่โรงพยาบาลด้วยถึงแม้เธอจะยังไม่ตื่นขึ้นมาก็เถอะ
คิดได้ดั่งนั้นแล้วผมจึงเดินข้ามถนนไปยังร้านดอกไม้ที่ภาพหลอนนั่นมอง ซึ่งมันอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง
“...”เมื่อ ผมเดินมาถึงหน้าร้านผมก็เลือกๆมองดอกไม้หน้าร้านที่เอามาเสียบใส่ตะกร้าเอา ไว้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นดอกกุหลาบสีแดงสดกับสีขาวเสียมากกว่าน่ะสิ
“สนใจช่อไหนเป็นพิเศษรึปล่าวคะ ^^”คนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเจ้าของร้านเดินออกมาถามผม จนผมต้องละสายตาจากดอกไม้ขึ้นไปมองเธอ “จะซื้อให้คนพิเศษรึปล่าวคะ”เธอถาม แล้วผมก็พยักหน้าให้
“ครับ”
“สนใจช่อไหนมั้ยเอ่ย? ถ้าไม่มีช่อที่ถูกใจทางร้านเราสามารถจัดดอกไม้เป็นช่อตามใจคุณได้นะคะ ^^”
‘ ส่วนที่ฉันจะบอกนายก็มีแค่ว่า แก้วชอบดอกเบญจมาศสีขาวมากๆ’
คำพูดนั้นของฟางผุดขึ้นมาในหัวซึ่งผมนั้นไม่เคยลืมเลยว่าฟางพูดบอกว่าอะไรบ้าง ว่าแก้วชอบอะไรไม่ชอบอะไร และผมก็จำได้หมด
“เอ่อไม่ดีกว่าครับ แต่ว่า...มีดอกเบญจมาศสีขาวมั้ยครับ”เจ้าของร้านแลดูงงนิดๆที่แทนที่ผมจะซื้อดอกกุหลาบแต่กลับบอกว่าอยากได้ดอกเบญจมาศเนี่ยนะ? “คือ...แฟนผมชอบดอกเบญจมาศสีขาวน่ะครับ ^^”
“อ๋อ แหม๋ๆ เอาใจแฟนนี่เอง ^^” เจ้าของร้านแซวผมจนผมอดที่จะยิ้มออกมาหน่อยๆไม่ได้ “งั้นเดี๋ยวพี่จัดช่อเบญจมาศให้แป๊บนึงเน๊าะ ^O^//”
“ครับ”ผมบอก จากนั้นเจ้าของร้านก็ยิ้มให้ผมแล้วเดินเข้าร้านไป ผมก็เห็นว่ามีเก้าอี้ไม้ให้นั่งรอหน้าร้านก็เลยนั่งรอไปสักพัก
แล้วพอเวลาผ่านไปสัก 10 นาทีได้ เจ้าของร้านก็เดินถือช่อเบญจมาศสีขาวออกมาแล้วเรียกผม
“น้องคะ ได้แล้วค่ะ”
“อ้อครับ” ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วควักเงินในกระเป๋ากางเกงยื่นให้พี่เจ้าของร้านเขาก่อนจะรับช่อดอกไม้มาถืออยู่ในมือ
“แฟนน้องต้องชอบมากเลยนะเนี่ยที่น้องใส่ใจเขาขนาดนี้น่ะ”
“ก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะครับ ^^”ผมฉีกยิ้มแล้วเกาคอแก้เก้อก่อนที่สายตาจะเลื่อนมองไปเห็นซองจดหมายน่ารักๆเล็กๆห้อยอยู่กับช่อดอกเบญจมาศ “เอ่อแล้วนี่...”
“อ๋อ อันนั้นเป็นความหมายเกี่ยวกับดอกไม้น่ะจ้ะ ^^”เจ้าของร้านคนนั้นบอกผมก่อนที่ผมจะถามจบเสียอีก “มันจะเป็นตัวบอกว่าคนที่ชอบดอกไม้แบบไหนเป็นคนยังไง”
“อ๋อ”ผมพยักหน้า
“วันแห่งความรักคือวันที่มหัศจรรย์นะ บอกรักแฟนเยอะๆล่ะ ^^”
“ฮ่าๆ ครับ” เมื่อคุยจบผมก็เดินออกมาจากร้านนั้นพร้อมกับรอยยิ้มบางๆที่ยังติดตรึงอยู่บนใบหน้าของตัวเองในตอนนี้
แสงแดดอ่อนๆกับอากาศเย็นๆนั้นมันช่างดีสำหรับผมจริงๆ แต่จะดีมากถ้ามันมีปฏิหาริย์ทำให้แก้วตื่นขึ้นมาในวันนี้ได้ตื่นมาเห็นดอกไม้นี้ที่ผมซื้อให้เธอ ก็ฟางบอกว่าเธอชอบแถมหลังบ้านเธอก็มีดอกเบญจมาศปลูกเต็มไปหมด แล้วถ้าเธอตื่นขึ้นมาเห็น
ผมว่า...เธอต้องยิ้มแน่ๆเลยครับ
โรงพยาบาล
“ฝากแก้วด้วยนะโทโมะ”
“ครับ เดี๋ยวผมดูแลเอง”
ผม บอกกับลุงวิชัยที่ตอนนี้มีงานแล้วเขาต้องรีบไปทำ ส่วนพิชชี่นั้นลุงวิชัยบอกว่าไปส่งไปโรงเรียนแต่เช้าแล้วในตอนที่พยาบาลมาดูแล แก้วให้ ก่อนจะกลับมาดูแก้วอีกรอบจนผมมาพอดีในจังหวะที่ลุงวิชัยต้องไปทำงานให้ลูกค้า ผมก็เลยอาสาดูแลเอง
แล้วผมก็เต็มใจมากๆเลยด้วย!
ปึง...
เมื่อประตูห้องคนไข้ได้ปิดลงหลังจากที่ลุงวิชัยเดินออกไปแล้ว ความเงียบงันก็ได้เข้าครอบคลุมภายในห้องนี้ทันที จนผมนั้นได้ยินถึงเสียงหายใจของตัวเองขณะที่ขาทั้งสองข้างยังไม่ได้ขยับไป ไหนเลย แต่สายของผมก็มองเพียงแก้วที่ไม่มีทาทีวี่แววว่าเธอจะตื่นขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ
“ฮืม...”ตอนนี้ผมก็คงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมาแล้วเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับเม้นริมฝีปากนิดๆ
สายตาที่มองแก้วนั้นถูกเลื่อนมองมายังมือของตัวเองที่ตอนนี้ได้ถือช่อดอก เบญจมาศสีขาวอยู่ในมือนิ่งๆ สายตาของผมนั้นมันไม่ได้ว่างปล่าวเหมือนแต่ก่อนแต่มันช่างน่าเสียดายสิ้นดี ที่แก้วนั้นไม่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นมัน
ถ้าเธอตื่นขึ้นมาเจ้าดอกไม้นี่ก็คงจะเหี่ยวไปเรียบร้อยแล้วกระมัง?
เฮ้อ...ถ้าเป็นในละครหลังข่าวนางเอกก็คงจะฟื้นใช่มั้ย?
แต่นี่มันไม่ใช่ละครไง เพราะมันคือเรื่องจริงที่มันคิดคาดเดาอะไรไม่ได้เลยสักนิดเดียว ผมถึงได้แต่รู้สึกหน่วงๆในใจอยู่แบบนี้ไงล่ะ
“ให้ตายเหอะตื่นขึ้นมาเจอหน้าฉันสักทีไม่ได้รึไง”ผม พูดอย่างหงุดหงิดหน่อยๆก่อนที่ปลายเท้าของตัวเองค่อยๆเริ่มก้าวเดินไปอยู่ ตรงขอบเตียงขณะที่สายตาก็กวาดมองไปทั่วใบหน้าของแก้วที่ตอนนี้ยังเครื่อง ช่วยหายใจให้ออกซิเจนสะอาดอยู่เลย
แถมใบหน้าของเธอยังมีบาดแผลอยู่ตรงคิ้ว ตรงแก้มเล็กๆน้อยๆ ไม่สิ! สำหรับผมมันไม่น้อยเลยสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆไม่ค่อยสู้คนอย่างเธอน่ะ
ตึก...ตึก...ตึก
ครืด
เมื่อผมเดินไปเลื่อนผ้าม่านตรงระเบียงให้เปิดออกแสงแดดอ่อนๆยามเช้าก็สาด ส่องเข้ามาในห้องนี่ให้สว่างขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วผมจึงเดินไปไปเลื่อนเก้าอี้มาข้างๆเตียงคนไข้แล้วนั่ง ลงมองแก้วก่อนจะเอาช่อดอกไม้วางไว้ตรงโต๊ะข้างๆเตียง
“อ่านหน่อยดีมั้ยวะ”ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งนึกได้ว่าช่อดอกไม้นั่นมีจดหมายที่บอกความหมายของคนที่ชอบดอกเบญจมาศอยู่ผมจึงเอามือไปเปิดอ่านข้อความข้างในนั้น
‘ คนที่ชอบดอกเบญจมาศเป็นคนเรียบง่ายธรรมดาๆ ไม่ได้ต้องการสิ่งหรูหราในชีวิต
เป็นคนรักสงบ รักการผูกมิตร หลงรักคนง่ายแต่รักแค่คนเดียวเท่านั้น เป็นคนที่อ่อนโยนมาก
จึงเชื่อว่ารักแท้มีจริงแต่บางครั้งก็ไม่เป็นดั่งฝัน หากได้คู่ครองจะเป็นคนที่มีนิสัยตรงกันข้ามกับตัวเอง
ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้แต่ถ้าได้อยู่กินด้วยกันจนมีลูกจะยิ่งรักกันมากขึ้นไปจนแก่เฒ่าเลยล่ะ!’
“แน่นอน”ผมแบะยิ้มแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นทันทีเมื่ออ่านจบ
และในตอนนั้นนั่นเองที่เสียงโทรศัพท์มือถือของผมมันดังขึ้นมา...
ตืด...ตืด...
และเมื่อผมหยิบมันขึ้นมาดูเบอร์ก็ปรากฏว่ามันเป็นเบอร์ของ
+ Jongbe +
ติ๊ด!
“ฮัลโหล”ผมกดรับปลายสายแต่ปรากฏว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบงัน
[ ... ]
“ไอ้จองเบ...จองเบ”ผมเรียกย้ำแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรใดๆเลย “จองเบ ฮัลโหล?”
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก ขวับ!
“???” ผมหันไปตามเสียงเคาะประตูเมื่อกี้แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเดินเข้ามาเลย “อะไรวะ...”
ด้วย ความสงสัยขณะที่ถือสายไอ้จองเบอยู่ แต่ว่ามันก็ไม่พูดอยู่ดี ตอนนั้นนั่นเองที่ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปที่ประตูช้าๆ แต่ก็ยังถือโทรศัพท์แนบหูอยู่
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
ผมยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเมื่อได้ยินเสียงเคาะนั้นอีก คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันทันทีแต่ผมก็ยังยืนมองประตูนิ่งๆ จนกกระทั่ง...
ปึง!
“เฮ้ย ใครเล่นอะไรวะ...!”จังหวะนั้นที่ผมทนไม่ไหวแล้วเปิดประตูออกไปก็พบเจอกับเรื่องที่ไม่คิดไม่ฝันนั่นก็คือ
โป๊ะ!
ผม ถึงกับหน้าเหวอไปเลยเมื่อเปิดประตูออกมาก็พบกับพวกเพื่อนๆกลุ่มเคโอติคนั่น เองที่ตอนที่พวกมันเห็นว่าผมเปิดประตูออกมามันก็ดึงกรวยสายรุ้งดังโป๊ะจนผม ตกใจว่าพวกมันมาเอาตอนไหนวะเนี่ย? ให้ตายเหอะกะจะเซอร์ไพรส์ในวันเกิดกันรึอย่างไร
“แฮปปี้เบิร์ดเดย์! วู้วๆๆๆ ”
“แหม่ นึกว่าผีเถอะที่เคาะประตูเมื่อกี๊อ่ะ”ผมขำออกมาหน่อยๆ “แล้วรู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่”
“ก็กะจะไปเซอร์ไพรส์ที่บ้าน แต่โทรถามพ่อแกก่อน พ่อแกบอกแกมาหาแก้วพวกฉันก็เลยตามมาไง” เขื่อนบอกแล้วตอนนั้นนั่นเองที่ผมสังเกตว่าบนหัวมาใส่ที่คาดผมเล็กๆสีชมพูด้วย
เอิ่ม หวานแหว๋วซะนะ = =;;;
“สุขสันต์วันเกิดครบ 18 ปีนะเพื่อน แก่ขึ้นอีกปีแล้วนะเว้ย”
“นั่นคือคำอวยพร?”ผมถามย้ำไอ้ป๊อปปี้อีกครั้งแต่มันก็ยิ้มตาหยีเพียงแค่นั้น
“เออ เมื่อกี้อ่ะกะแกล้งให้กลัวแต่แม่งเสียงโคตรนิ่งอ่ะ ฮ่าๆ”ไอ้จองเบเอ่ยแล้วชูโทรศัพท์ของมันให้ผมดู
“นี่ ฉันไม่ได้กลัวผีเหมือนไอ้เคนตะมันนะเว้ย”
“ฉันไม่ได้กลัวเว้ย ><!”
โกหกชัดๆ!
ก็ในกลุ่มผมน่ะไอ้เคนตะน่ะกลัวผีมากใครๆก็รู้ ><!
“เฮ้ย นี่พวกแกลืมอะไรไปรึปล่าววะ = =;;;”ไอ้ป๊อปปี้ที่นิ่งอยู่นานเอ่ยขึ้นบ้าง
“ลืมอะไร = =?”พวกเพื่อนๆที่เหลือถาม
“เค้กไงเค้ก! จองเบมันถือรออยู่นานแล้วนะเนี่ย ><!”
“ว๊าก ลืมๆๆ ลืมจองเบได้ไงเนี่ยยยยย” ไอ้ เขื่อนรีบแหวกทางทันที และในตอนนั้นเองที่ผมเห็นว่าจองเบนั้นถือเค้กช็อคโกแลตก้อนเล็กๆเอาไว้ใน มือ แล้วปักด้วยเทียนเล็กๆหนึ่งเล่มไว้ตรงกลางเค้กด้วย
เมื่อเห็นภาพนั้นผมก็ยิ้มเลยครับ แหม่ เข้าใจคิดกันจริงๆนะ ^^
“มีความสุขมากๆนะครับ วิศวะ^^”จองเบยิ้มแยกเขี้ยวให้ผม
“เรียกชื่อเต็มเขาแบบนี้ไม่เรียกชื่อพ่อเขาไปเลยล่ะ = =;;;” ป๊อปปี้หันไปหรี่ตามองจองเบและผลตอบรับที่ได้กลับมาคือ!!
“อ้อ! ไอ้โทโมะพ่อแกชื่อไร O_O?”
“พ่อง! ฉันประชดเว้ย >O<!”
“เฮ้ยๆๆๆ ชักช้าเดี๋ยวเทียนก็ไหลลงเค้กหมดหรอก อ่ะไอ้โทโมะ...ขอพรเลยเว้ย”
เมื่อไอ้จองเบพูดบอกผมเช่นนั้น ผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหลับตาลงสักแป๊ปแล้วก็เอ่ยขอพรในใจ
‘ เนื่องด้วยวันนี้วันเกิดผมครบ 18 ปี
ผมขอให้แก้วผู้หญิงที่ผมอยากดูแลตื่นขึ้นมาทันวันเกิดผมด้วยเถอะ เพี้ยง!’
“ฟู่ว...”เมื่อขอพรเสร็จผมก็จัดการเป่าเทียนจนมันดับลง
“ฉันรู้ว่ามันขออะไร ^^”
ไอ้เขื่อนจอมฉลาดที่มักจะอ่านความคิดผมออกบ่อยๆ เอ่ยขึ้น และนั่นก็สร้างความอยากรู้อยากเห็นของไอ้ป๊อปปี้อีกแล้วยังไงล่ะ
“ไอ้โทโมะมันขออะไรวะ OoO?”
“ไม่บอก ^^”
“นั่น! เดาไม่เคยพลาดเลยว่าคุณมึงจะต้องตอบกระผมเช่นกัน ><!”
“ฮ่าๆๆๆ ถ้ารู้ว่าไอ้เขื่อนจะตอบแบบนั้นจะถามเพื่อ?” พวกเพื่อนๆทั้งกลุ่มพากันหัวเราะไอ้ป๊อปปี้จนมันถึงกับทำหน้ามู่ทู่เลยทีเดียว
แต่ถึงเพื่อนผมคนนี้จะทำหน้ามู่ทู่สักแค่ไหนผมก็ว่ามันก็ยังดูดีอยู่เหมือน เดิมนั่นแหละ แต่แค่น่าหมั่นไส้แค่นั้นเอง ก็มันจีบใครก็ติดไปหมดแต่ไม่คิดผูกพัน
“โอเค พีธีวันเกิดไอ้โทโมะจบแล้ว ปล่อยให้เขาอยู่ดูแลว่าที่แฟนในอนาคตต่อไปเถอะว่ะ” เขื่อนเอ่ย
“เดี๋ยว...ยังไปไม่ได้ - -!”ไอ้ป๊อปปี้เอ่ยขัดขึ้นเสียงดุๆจนทำให้ไอ้พวกเพื่อนๆผมที่เหลือถึงกับขมวดคิ้วไปตามๆกัน
“ทำไมวะ”เคนตะถาม
“พวกคุณมึงก้มลงมองพื้นด้วยครับแหม่ กระผมบอกแล้วว่าไม่ต้องเอามาหรอกมันเลอะพื้นโรงพยาบาลเขาเนี่ย”ป๊อปปี้ชี้นิ้วลงไปที่พื้นก็ปรากฏว่าพื้นมันเละเทะไปหมดจริงๆด้วย “ แค่เอาเค้กให้ไอ้โทโมะก็ปลื้มตายห่าแล้ว เนี่ยๆๆ เศษพลุสายรุ้งของแกเนี่ยไอ้เคนเก็บเลย ><!”
“โง้ยยย ทำไมคุณป๊อปต้องด่าเก๋าด้วยง่า YOY” เคนตะทำหน้าจะร้องไห้แต่ก็ก้มลงไปเก็บเศษพลุสายรุ้งนั่นจนเกลี้ยง
“แล้วนี่พวกแกจะไปไหนกันเนี่ย”ผมถาม
“ว่าจะไปนั่งเล่นที่สนามแข่งไอ้จองเบว่ะ”
“อ่อ เออไปกลับกันดีๆนะเว้ย”ผมบอกบอกมันด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่ลืมที่จะพูดคำพูดสำคัญไว้ให้พวกมันด้วย “เออ วันนี้ขอบใจนะเว้ยที่มา แต่ตามจริงพวกแกโทรบอกแฮปปี้เบิร์ดเดย์ฉันทางโทรศัพท์ก็ได้นะจะได้ไม่ต้องลำบากมาหาที่นี่”
“เฮ้ย สำหรับ‘เพื่อน’ แล้วกลุ่มเคโอติคของเราเคยมีคำว่า ‘ลำบาก’ ด้วยเหรอวะ” ป๊อปปี้เอ่ยคำคมๆขึ้นมาแล้วเอามือมันมาตบเบาๆที่บ่าของผม “อีก อย่างวันนี้เป็นวันสำคัญของแก ให้พวกฉันพูดอวยพรทางโทรศัพท์มันก็ไม่อินอ่ะดิ ที่สำคัญวันเกิดเพื่อนเราในกลุ่มทุกครั้งพวกเราก็ไม่เคยอวยพรทางโทรศัพท์กัน เลยไม่ใช่เหรอวะ”
“ใช่เลยยยยย” >> ป๊อปปี้
“ซึ้งเลย”ผมพูดแล้วก็อดที่จะอมยิ้มหน่อยๆไม่ได้
“แกอ่ะ ขออะไรก็ขอให้สมดั่งใจนะเว้ย”
“ก็ขอให้เป็นอย่างที่แกพูดแล้วกันไอ้ป๊อปปี้”
“เฮ้ย ต้องเป็นดิ วันเกิดขออะไรก็ได้ทั้งแหละ...มั้งนะ?^^”
เอา ตรงๆนะ เท่าที่ผมรู้จักกับพวกเพื่อนเคโอติคมานี่ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองรู้สึกเดียวดาย เลยนะครับ เพราะไม่ว่าใครในกลุ่มเราที่กำลังลำบากพวกเราก็จะช่วยกันเสมอ จำวันสำคัญของกันได้โดยไม่ต้องพูดถึงบ่อยๆเพื่อย้ำเตือนอะไรมากมาย
ผมว่าดีนะที่พวกเรามีอะไรก็แบ่งปันกัน^^
ถึงแม้ว่าครูอาจารย์ในโรงเรียนส่วนใหญ่เขาจะพามองว่าพวกกลุ่มเราไม่เอา ไหนอันตรายไม่น่าเข้าใกล้ อยู่ใกล้ด้วยไม่ดี ไม่น่าไว้ใจ ( แต่ไรท์เตอร์อยากอยู่ใกล้อ่ะ 5555+ ) แต่อาจารย์พวกนั้นเขาก็มองพวกผมแค่เพียงภายนอกเท่านั้นแหละครับ
ก็ยอมรับแหละว่าพวกผมบางครั้งก็ขี้เกียจเรียนจนต้องโดดเรียนมานั่งเล่น แต่งานก็ส่งตลอดไม่เคยขาดเพราะตามส่งย้อนหลังเอา แต่ก็ยังโชคดีที่ว่าพวกผมนั้นสมองดีอ่านหนังสือก่อนสอบรอบเดียวไม่ต้องย้ำ มากก็สามารถทำได้ สอบผ่านฉลุยไปด้วยกัน ^^
และความทรงจำเหล่านั้นมันก็จะอยู่กับพวกเราไปนานจนกระทั่งพวกแก่ตัวเลย และผมก็เชื่อแบบนั้น...
[ จบบันทึกพิเศษ : โทโมะ ]
เนิ่นนานจวบจน 5 ทุ่มครึ่งของคืนนั้น
“ให้ตายสิ...”
นั่น คือเสียงสบทเบาๆที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากของคนที่มานั่งเฝ้าแก้วตั้งแต่เช้า อย่างโทโมะวันนี้ทั้งวันเขาไม่ได้ออกไปไหนเลยเพราะไม่อยากทิ้งให้แก้วนอนอยู่คนเดียว ถึงแม้ว่าเอจะยังไม่ฟื้นขึ้นมาก็เถอะ แต่โทโมะก็ได้แต่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงมือทั้งสองข้างของเขาก็จับมือของ แก้วเอาไว้รอเธอฟื้นขึ้นมาสักที
เพราะอีกไม่นาน...วันเกิดของเขาก็จะสิ้นสุดลงแล้ว
แต่แก้วก็ยังคงหลับใหลอยู่แบบนั้น
“คนบนฟ้านี่จะแกล้งกันไปถึงไหนวะ”โทโมะพูดอย่างหัวเสียก่อนที่เขาจะปล่อยมือออกจากมือแก้วแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมารอบๆเตียงคนไข้ “ฟื้นสิๆๆๆ”
ถึงแม้ว่าเขาเดินไปมาแล้วพูดแบบนั้นมันก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดีนั่นแหละ
โทโมะละสายตาจากแก้วแล้วหันมองออกไปตรงประตูกระจกของคนนี้เขาก็เห็นว่า นี่มันดึกมาๆแล้วพระจันทร์เต็มดวงส่องแสง ไฟทั่วเมืองเปิดจนสว่างไปทั้งเมืองและดูสวยงามจนน่ามอง แต่เขาไม่ได้อยากจะดีใจกับมันเพราะความหวังที่เขามีนั้นมันเริ่มเลือนลางทีละนิดแล้ว
“นี่...”ท้ายสุดแล้วโทโมะก็เดินกลับมานั่งลงข้างๆแก้วด้วยความรู้สึกที่หมดหวัง “แก้ว...”น้ำเสียงอันเบาบางเอ่ยเรียกชื่อนั้นอย่างหมดหวังด้วยดวงตาสร้อยเศร้าเหมือนอยากจะร้องไห้
“...”
สิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็มีแค่ความเงียบงันตามเดิม...
“นี่...”โทโมะพูดลากเสียงแล้วใช้มือจับมือแก้วก่อนจะเขย่าเบาๆ “นี่เธอจะไม่ตื่นมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ฉันหน่อยเหรอ...”
“...”
“เฮ้ย จะร้องไห้แล้วน้า”พูดแล้วก็ได้แต่เม้นปากเข้าหากันพร้อมกันน้ำตาที่เริ่มคลอเบ้า
นี่คงเป็นความรู้สึกอีกด้านหนึ่งของโทโมะที่ไม่ค่อยมีใครเคยเห็นมาก่อน นอกจากคนใกล้ตัว และแม้แต่ตัวของเขาเอง โทโมะก็ยังไม่เคยเห็นอาการของเขาเป็นแบบนี้เลยด้วยซ้ำ แต่พอมาเจอเรื่องที่มันมีทั้งความสุข เศร้า มันก็ทำให้เขาเข้าใจในตัวตนของตัวเองมากขึ้น และได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง
ถึงแม้เขาพยายามที่จะไม่ร้องไห้แล้ว แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ดันเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจของเขามากมายเหลือเกิน
“...”
“อีกไม่นานจะเที่ยงคืนแล้วนะ...มันจะเลยวันเกิดฉันแล้วนะ...แก้ว...”โทโมะพูดย้ำแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อที่จะไม่ให้ตัวเองร้องไห้
“...”
“ไม่ตื่นจริงดิ...”เปลือกตาของโทโมะได้ปิดลงเพราะว่าตอนนี้น้ำตาของเขามันไหลลงมาเป็นครั้งที่นับไม่ได้แล้ว
เพราะเขาได้เสียน้ำตาให้ผู้หญิงคนนี้ไปเยอะมากๆจากใจของลูกผู้ชาย...
ตัวของโทโมะสั่นเทาพร้อมกับมือของเขาที่กำมือของแก้วแน่นขณะที่หลับตาแล้ว ร้องไห้ออกมา เพราะสิ่งที่คิดไม่เป็นดั่งฝัน คำพรไม่เป็นตามคำขอในวันเกิด
“รู้มั้ยเนี่ยว่าคิดถึงอ่ะ ตื่นได้แล้วยัยอึน”โทโมะพูดพลางเม้นริมฝีปากเข้าหากันแต่น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหล “อยากได้ยินเสียงเธอว่ะ”
“...”
“อึก...ฉันซื้อดอกไม้ที่เธอชอบมาให้ด้วยนะ ช่วยตื่นมาเห็นมันหน่อยเถอะ...”น้ำเสียงของโทโมะที่เริ่มแหบแห้งเพราะเกิดจากความจุกจนพูดไม่ออก
ติ๊ก ตอก...ติ๊ก...ตอก...
“...”โทโมะเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาตรงผนังห้องเงียบๆก็พบว่าเข็มสั้นของนาฬิกานั้นใกล้จะชี้ไปที่เลขสิบสองแล้วส่วนเข็มยาวนั้นก็ชี้ที่เลขสิบ
แสดงว่าเป็นเวลา 5 ทุ่ม 50 นาที...แต่เหลือเวลาอีกไม่นานค่ำคืนแห่งวันแห่งความรักกับวันเกิดของโทโมะก็ กำลังจะผ่านพ้นไปแล้วโดยที่คำพรของโทโมะนั้นไม่ได้เป็นความจริงในใจของเขาในตอนนี้ก็ว่าคนบนฟ้าแล้วก็พระเจ้าสารพัดว่าทำไมถึงต้องกลั่น แกล้งเขาแบบนี้ด้วยนะ
...ทำไม...
“คบกับฉันมั้ย...”โทโมะเอ่ยถ้อยคำที่เขาอยากจะเอ่ยมันขึ้นมาอย่างใจคิด
เพราะในเวลานี้นั่นเองที่เขาได้คิดไว้ว่าถ้าแก้วตื่นขึ้นมาในวันนี้เขาจะขอ คบกับเธอในเวลานี้ก่อนจะเลยเที่ยงคืนเพื่อเป็นความทรงจำ และมันไม่ใช่เลย...ไม่ใช่อย่างที่คิดเลยสักนิดเดียว...
เพราะตามความจริงแล้ว...ภาพที่โทโมะคิดคือแก้วกำลังนั่งอยู่บนเตียงคน ไข้มองมาที่เขาในตอนที่เขาเอ่ยขอคบเธอ ส่วนคำตอบจะเป็นอย่างไรนั้นเขาไม่รู้ แต่มันไม่ใช่ไง...ก็ในตอนนี้แก้วยังไม่ฟื้นขึ้นมาเลย
...เธอยังคงนอนนิ่งอยู่...หายใจเข้าออกผ่านเครื่องช่วยหายใจอยู่แบบนั้น...
“...”
“ถ้าเธอตื่นขึ้นมาเธอจะตอบฉันว่าอะไรนะ”โทโมะพูดพลางคิดไปด้วยทั้งๆที่น้ำตายังคงไหลลงมาไม่ขาดสาย “...ขอล่ะ...”
“...”
“ถ้าเธอยังไม่ตื่นขึ้นมา แต่ขอให้เธอได้ยินคำพูดฉันได้มั้ย...”ไม่นานหลังจบคำพูดที่แสนเบาบางนั้นโทโมะก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะโน้มตัวลงมาจนหน้าของเขาอยู่ใกล้ๆหน้าของแก้ว
โทโมะจ้องมองใบหน้าของแก้วนิ่งๆก่อนที่เขาจะค่อยๆเลื่อนใบหน้าของตัวเองต่ำลง ไปแล้วริมฝีปากของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าหูของแก้วและแก้มของโทโมะก็แตะเข้า ที่แก้มของแก้วเบาๆ ในใจเขาก็ขอให้แก้วที่กำลังหลับอยู่นั้นได้ยินคำพูดของเขาทีเถอะ
ตึกตัก...ตึกตัก...
เสียงหัวใจของโทโมะนั้นเต้นถี่รัวๆเพราะว่ามี ‘บางคำ’ ที่เขาอยากจะเอ่ยถึงแม้ว่าไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะได้ยินหรือไม่ แต่ขอแค่เขาได้เอ่ยมันขึ้นมาใน‘ วันสำคัญ ’ ของเขาก็พอ...
“...”
“...”
ตึกตัก...ตึกตัก...
“แก้ว...”โทโมะพูดกระซิบเบาๆก่อนที่เขาจะหลับตาลงด้วยคำพูดสุดท้ายนี้
“...”
“...ฉันรักเธอนะ...”
เพียง แค่คำพูดนั้นเอ่ยออกมาโทโมะก็ลืมตาขึ้นแล้วยิ้มบางๆแต่นัยน์ตานั้นดูเศร้าเหลือ เกิน เขาเลื่อนใบหน้าของตัวเองขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของแก้วอีกครั้งพร้อมทั้งค่อย เลื่อนใบหน้าไปใกล้ๆก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะประทับลงบนหน้าผากของแก้วอย่าง อ้อยอิ่งและบางเบาและโทโมะก็หลับตาลงอีกครั้ง
เขาจูบหน้าผากของแก้วแล้วก็ละริมฝีปากออกมา แต่น้ำตาของเขานั้นได้หยดลงบนผิวแก้มของแก้วไปหนึ่งหยดก่อนที่โทโมะจะเดิน ห่างออกไปจากเตียงคนไข้แล้วเดินไปตรงประตูเลื่อนกระจกก่อนที่เขาจะเปิดมัน ออกไปเดินรับลมตรงระเบียง
สองมือของโทโมะจับขอบตรงระเบียงเอาไว้แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆเมืองในค่ำคืนแห่ง ความรักนี้ที่คู่รักหลายๆคู่ก็คงจะไปเดตกัน ป๊อปปี้กับพวกเพื่อนๆเขาก็คงจะโทรชวนสาวไปเที่ยวเล่นซึ่งมันน่าอิจฉาตรงที่ว่า ไม่เหงาเนี่ยแหละ
แต่โทโมะเนี่ยสิ...ตอนนี้เขาหมดหวังแล้วจึงได้แค่หลับตาเงยหน้าขึ้นลับลมที่ ผ่านเข้ามาให้น้ำตามันหายไป
ติ๊ก ตอก...ติ๊ก...ตอก...
เวลาผ่านไปโทโมะยังคงยืนอยู่ตรงระเบียงอยู่อย่างนั้นแต่...
เขาคงไม่รู้หรอกว่าขณะที่เขากำลังยืนหันหลังอยู่ในอีกด้านของใครคนหนึ่งที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงนั้นในเวลาที่เข็มนาฬิกาบ่งบอกเวลาอยู่ที่
- 23 : 59 น. -
ติ๊ก ตอก...ติ๊ก...ตอก...
ใครว่าคำพรของโทโมะไม่เป็นจริงกันล่ะ?
ในเวลานั้นนั่นเองที่นิ้วมือเล็กๆของหญิงสาวที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียง คนไข้กระดิกขึ้นมานิดๆพร้อมกับหยดน้ำตาเล็กๆของเธอที่ไหลลงมาขณะที่หลับตา อยู่แบบนั้น ความรู้สึกนี้...มันสามารถบ่งบอกได้เลยว่า...
...แก้วนั้น...เธอรับรู้ถึงคำพูดของโทโมะแล้ว...
ถึงมันอาจจะไม่ชัดแต่สัมผัสนั้นตรงหน้าผากของเธอมันทำให้เธอรู้สึกได้ถึง ความรู้สึกของโทโมะ แต่เพียงแค่เธอยังไม่สามารถลืมตาตื่นจากการหลับใหลได้ในตอนนี้เพราะร่างกาย ที่อ่อนล้ายังไม่หายดี
คุณเชื่อรึยังล่ะ? ว่าคำขอพรของคนเรามันก็มี ‘ความหัศจรรย์ ’ อยู่เสมอ...
โทโมะเขารักแก้วมากจนเอ่ยออกมาได้แม้ไม่รู้ว่าเธอจะได้ยินมั้ย แต่เขาก็อยากจะพูดความรู้สึกที่มี...และครั้งนี้พระเจ้าคงได้รับรู้ความ รู้สึกของโทโมะแล้วว่าเขานั้นมี‘ความจริงใจ’ ต่อ คำพูดที่เขาเอ่ยออกมา ท่านจึงทำให้คำขอพรของเขาเป็นจริง ถึงแม้ว่าเขายังหันหลังอยู่โดยไม่รู้เลยว่านิ้วมือเล็กๆนี้กระดิกหน่อยๆแล้ว นี่สินะที้เรียกว่า... ‘ ปาฏิหาริย์ ’ จากคำขอพร...
‘ ถ้าเป็นในนิทานเจ้าชายจุมพิตเจ้าหญิงให้หายจากคำสาป
และหลังจากนั้นเจ้าหญิงก็ฟื้นขึ้นมาเจอกับเจ้าชายในทันทีทันใด แต่นี่ไม่ใช่นิทานแต่
ทว่า...มันเป็นเหมือนกับสิ่งที่วิเศษที่เกิดขึ้นจากสิ่งใดนั้นไม่มีใครรู้ รู้แต่คำขอพรบางคำถ้า
มาจากส่วนลึกข้างใน แล้วมีบางสิ่งรับรู้คุณก็อาจจะสมดั่งหวังก็เป็นได้...
____________________________________________________________อัพแล้วนะเม้นกันหน่อยยยย
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ