Stop หยุดหัวใจนายเย็นชา
9.6
เขียนโดย NannyCandy
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.18 น.
43 chapter
860 วิจารณ์
67.53K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 19.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
37) - Please... - ( ได้โปรด... )
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ- Please... -
( ได้โปรด... )
[ บันทึกพิเศษ : โทโมะ ]
ซ่า...ซ่า...ซ่า...
“โถ่...แก้วลูก”
นั่น คือเสียงของลุงวิชัยพ่อของแก้วเองแหละครับ นี่ก็ผ่านเวลามาจนเย็นกระทั่งฝนตก ผมก็ยังคงเฝ้าแก้วตั้งแต่ที่หมอจัดการย้ายห้องมาอยู่ห้องพิเศษ ซึ่งผมเป็นคนจัดการให้เองทั้งหมดเลย ใช่! ผมยอมจ่ายเพื่อให้แก้วได้นอนในห้องดีๆที่ไม่ใช่ห้องแคบๆแบบหดหู่ๆ เพราะแค่เธอไม่ตื่นและใช้เครื่องช่วยหายใจครอบจมูกอยู่
ซึ่งผมเห็นแค่นั้นผมก็ทรมานมากพอแล้ว...
และหลังจากที่จัดการอะไรเสร็จพวกเพื่อนๆผมก็มากันที่โรงพยาบาลแห่งนี้ พร้อมกับฟางที่แลดูใจเย็นขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งฟางนั้นเธอมาก่อนหน้าพ่อของแก้วสักพักแต่ผมก็เล่าอาการของแก้วให้ฟาง ฟัง
ตอนที่ผมบอกว่าแก้วอาจจะเป็นหอบนั้นฟางแลดูโกรธมากที่พวกพิมพ์นั้นทำ ให้แก้วเป็นแบบนี้ แต่ผมกับเธอก็ตกลงกันแล้วว่าจะยังไม่จัดการอะไรกับพิมพ์เพราะว่าจะรอแก้ว ตื่นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยคิดดูอีกทีว่าแก้วจะเอาเรื่องมั้ย ที่ผมทำแบบนี้เพราะว่าผมไม่อยากคิดเองทำเองถ้ายังไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมจะทำแก้วนั้นจะเห็นด้วยหรือไม่น่ะสิ
แต่เอาตรงๆนะ...ผมก็รู้แหละว่าแก้วคงจะปล่อยเรื่องนี้ไปให้มันจบๆ
เพราะเธอคงไม่อยากให้พ่อของเธอเป็นห่วงที่ได้รู้ว่าลูกสาวของตัวเองมีคนคอย จ้องจะปองร้าย และนั่นแหละที่มันจะทำให้เกิดความไม่สบายใจตามมาและเรื่องก็จะไม่มีวันจบ เพราะคนอย่างพิมพ์น่ะผมดูแล้ว...เธอคงไม่คิดที่จะกลับตัวกลับใจหรอก
และเธอจะต้องเสียทุกอย่าง!
“แล้วเมื่อไหร่พี่แก้วจะตื่นเหรอครับเพ่อ?”พิชชี่ที่ยืนจับมือกับลุงวิชัยเอ่ยอย่างไร้เดียงสาเพราะลุงวิชัยแค่บอกพิชชี่ว่าแก้วแค่ไม่สบาย
“เดี๋ยวพี่เขาก็ตื่นแล้วไม่ต้องห่วงหรอกน่า”ลุงวิชัยก้มหน้าลงไปบอกกับพิชชี่
ซึ่ง ผมนั้นรู้ดีว่านั่นมันเป็นคำพูดที่พยายามจะทำให้มันดูสบายใจขึ้นถึงแม้ว่า ภายใจในของลุงวิชัยอาจจะไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่พูดกับพิชชี่ก็ตามที
“...”
“โทโมะ...”
“ครับ?”ผมที่ยืนอยู่กับพวกเพื่อนๆแล้วก็ฟางเอ่ยขึ้นเมื่อลุงวิชัยหันมาหาผม
“ขอบใจนะที่ช่วยแก้วเอาไว้”ลุงวิชัยพูดแล้วยิ้มบางๆมาให้ผม
ซึ่งผมก็เข้าใจในหัวอกของคนเป็นพ่อนะว่าท่านน่ะรักลูกของตัวเองมากมายแค่ไหน แล้วยิ่งถ้าลูกของตัวเองเจอเรื่องแบบนี้ถ้าผมเป็นลุงวิชัย...ผมเองก็คงขวัญ เสียเอามากๆเลยเพราะกลัวว่าลูกของตัวเองจะเป็นอะไรไป
“ครับ...”ผมตอบรับก่อนที่สายตาของตัวเองจะมองไปยังร่างของแก้วที่ยังหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้
แต่ทว่า...พอผมเห็นภาพนั้นอีกครั้งทั้งๆที่ผมพยายามจะไม่มองแล้ว แต่มันก็...
“อ้าว ไปไหนวะ?”เพื่อนๆผมที่อยู่ตรงนี้ก็คงงงๆกันที่เห็นว่าผมนั้นเดินออกมาจากห้องคนไข้อย่างกะทันหัน
เพราะอะไรน่ะเหรอ...ก็เพราะว่าผมกำลังร้องไห้อีกแล้วน่ะสิครับ
ผมเห็นภาพแก้วเป็นแบบนั้นก่อนวันเกิดของตัวเองนี่ผมแบบ...โคตรกลัว เลยว่ะ กลัวว่าพอถึงวันพรุ่งนี้แล้วเธอจะยังไม่ตื่นขึ้นมา ใช่! พรุ่งนี้ไม่ตื่นแต่วันอื่นก็คงจะตื่นขึ้นมาแล้วจะกลัวจะเสียใจอะไรขนาดนั้นล่ะ?
คือ...ความ รู้สึกของผมนะ ถ้าแก้วไม่ตื่นในวันพรุ่งนี้มันคงจะเป็นปีที่เป็นวันเกิดที่ไม่น่าจดจำเอา เสียเลย เพราะว่าสิ่งที่ผมอยากจะได้ก็คือ...
“เฮ้ย...โอเคปล่าววะ...”ไอ้จองเบเดินตามผมออกมาแล้วมานั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆผม
อ้อ! ผม ลืมบอกไปว่าไอ้จองเบมันพูดถึงเรื่องที่เห็นว่ามีคนมารับคลอรีนด้วย ซึ่งในความคิดมันมันก็คิดว่าคนๆนี้รึปล่าวที่เป็นสาเหตุให้คลอรีนบอกเลิกมัน แต่มันบอกว่ามันยังไม่เห็นหน้า แล้วก็ไม่รู้ว่าจะใช่อย่างที่มันคิดมั้ย แต่ผมว่านะ...ถ้าคลอรีนเลิกกับมันแล้วคบคนใหม่
ไอ้จองเบมันคงจะ...โกรธมากน่าดู
แต่คลอรีนไม่น่าจะใช่คนแบบนั้นนี่นา? หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นอันนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ
“ไม่ค่อยว่ะ”ผมตอบไอ้จองเบเสียงเบาแล้วก้มหน้าลง
“เอาน่า ใจเย็นๆไม่ต้องเครียด”ไอ้จองเบพูดปลอบ
และในตอนนั้นนั่นเองที่พวกเพื่อนๆของผมที่เหลือเดินตาม กันออกมาพร้อมกันกับฟางพอดี...
แอ๊ด...
“เฮ้ย ไอ้โทโมะจะให้พวกฉันอยู่เป็นเพื่อนมั้ยวะ ”เสียงของเขื่อนเอ่ยถามเมื่อมันเดินมาหยุดอยู่ตรงที่ผมนั่งผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองพวกมันแล้วยิ้มๆบางๆก่อนจะส่ายหน้าเป็นทำนองว่า‘ไม่ต้องหรอกว่ะ’
“เดี๋ยวฉันไปส่งมันที่บ้านเอง”ไอ้จองเบที่นั่งอยู่ข้างๆผมเอ่ย
“เออๆ แล้วถ้ามีอะไรก็โทรหาได้เลยนะเว้ย”เคนตะเอ่ยแล้วจากนั้นพวกเพื่อนผมก็พยักหน้าก่อนจะค่อยๆพากันเดินไป
แต่...
“ฟาง”
“ฮะ?”ฟางหยุดเดินทันทีที่ผมเรียกเธอเอาไว้
“แล้วเธอกลับยังไงอ่ะ”ผมถาม
เผื่อว่า...ไอ้คนแถวนี้มันจะมีน้ำใจไปส่งฟางที่บ้านบ้าง ( ดราม่าอยู่แต่ขอชงสักนิดเถอะ = =;;; )
“ก็กลับเองไง ฉันเอามอเตอร์ไซค์มา O_O”
ง่าว!! =[]=!!!
เออว่ะ ก็...ลืมไปเลยว่าฟางขับมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียนทุกวันนี่หว่า โห่ อดชงต่อเลย เซ็งๆๆๆๆ = =;;;
“อ้อ อืม งั้นกลับดีๆนะ ”เมื่อผมบอกฟางจึงพยักหน้าก่อนจะเดินไปแต่ก็ยังมิวายทิ้งท้ายเอาไว้ให้ผมด้วย
“โทโมะ! พรุ่งนี้อย่าลืมมาทำหน้าที่ดูแลเพื่อนของฉันด้วยล่ะ”ฟางบอกแบบนั้นผมก็ยิ้มให้ตอบกลับไป
“โทโมะเขาไม่ลืมหรอกครับฟาง ผมว่านะคืนนี้เขาอาจจะไม่กลับบ้านด้วยซ้ำ ^^” เขื่อนเอ่ยแซวผมแล้วฉีกยิ้มพลางเดินเอาแขนไปโอบไหล่ฟางอย่างหยอกล้อกัน
ก็น่าแปลกที่ฟางก็เล่นด้วยเหมือนกันจนกระทั่ง...
“เล่นกันอยู่ได้ กลับบ้านได้แล้วไอเขื่อน ><!”
คงไม่ต้องให้ผมบอกหรอกนะว่าเสียงขัดแบบนี้คือเสียงของใครถ้าไม่ใช่ไอ้ป๊อปปี้น่ะ = =;;;
“ยุ่งอะไรด้วย” ฟางทำพูดเสียงดังก่อนจะเดินไปเลย
“หน๋อยยัย...!”
“อย่าทะเลาะกันพลีส! ><!”เคนตะห้ามป๊อปปี้เอาไว้ได้ทันเมื่อเห็นว่าไอ้ป๊อปปี้มันกำลังจะเดินตามไปตอกกลับฟางที่เดินขึ้นลิฟท์ไปแล้ว
และ ไม่นานนักที่พวกเพื่อนๆผมเดินออกไปจากตรงนี้กันหมด ส่วนลุงวิชัยก็คงจะดูเฝ้าแก้วอยู่ ผมเองก็ยังคงนั่งอยู่กับไอ้จองเบข้างนอกห้อง
อยากรู้จัง...ว่าถ้าตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวผมจะคิดอะไรไปถึงไหนแล้ว
เพราะในกลุ่มเคติคของเราน่ะผมจะสนิทก็ไอ้จองเบมากที่สุดเหมือน เป็นพี่น้องกันเลยแหละครับ ถึงตอนนั้นที่ผมโกรธมันจนไปต่อยหน้ามันเรื่องคลอรีนยอมรับว่าโกรธ แต่พอได้ฟังเหตุผลของมันผมก็เข้าใจแล้วล่ะนี่สินะที่เขาเรียกว่า ‘มิตรภาพความเป็นเพื่อน’
“ไอ้โมะ...”
“ฮึ? ว่า”เมื่อไอ้จองเบเรียกผม ผมก็หันไปก็เห็นว่ามันกำลังมองมาที่ผมอยู่ในตอนนี้
“ฉันขอถามอะไรหน่อยดิ”
“อืม”ผมพยักหน้า
“ทำไมแกถึงเดินออกมาจากห้องแบบนั้นวะ”
“...”ผมนิ่งไปพักนึงเมื่อไอ้จองเบถามขึ้นมาแบบนั้น แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะบอกมันไปนั่นแหละเพราะว่ามันก็ต้องเข้าใจผมแน่นอนอยู่แล้ว “คือ...ฉัน...”
“...”
“...คือฉันเห็นแก้วเป็นแบบนี้แล้วฉันอยากร้องไห้ว่ะ”พูดไปแล้วก็เม้นริมฝีปากเข้าหากันเพราะเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้น้ำตามันเริ่มคลอเบ้า “รู้ ป่ะ ว่ายิ่งฉันเห็นแก้วใส่เครื่องช่วยหายใจครอบจมูกกับปากอยู่มันรู้สึกเหมือน กับว่าอาการของแก้วมันหนักเกินกว่าที่เธอจะตื่นขึ้นมาทันวันเกิดฉันว่ะ”
“เออจริงสินะ พรุ่งนี้วันเกิดแกนี่หว่า”ไอ้จองเบเอ่ยออกมาเหมือนเพิ่งนึกได้
“โคตรกลัวเลยอ่ะ แม่ง...”ผมพูดอย่างตัดพ้อก่อนจะก้มหน้าลงแล้วถอนหายใจ “แล้วแกรู้ป่ะว่าวันเกิดปีนี้ฉันจะทำอะไรให้ตัวเอง...”
“อะไรวะ...”
“ฉันจะขอคบแก้ว”ผมพูดอย่างไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองไอ้จองเบตรงๆอีกครั้ง “นั่นแหละคือของขวัญที่ฉันอยากมอบให้ตัวเองเป็นชิ้นแรก...”
ใช่ครับ...
นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากได้จริงๆ เพราะผมอยากจะขอคบแก้วให้มันชัดเจนแจ่มแจ้งกันไปเลยว่าเธอจะคบกับผมมั้ยถ้า หากว่าผมขอ เพราะมันผ่านอะไรมาขนาดนี้แล้วเราสองคนก็ต่างรู้ใจของตัวเองมากขึ้น
“...”
“และมันจะเป็นของขวัญที่ฉันจะรักษามันไปตลอดชีวิตของฉัน...”คำพูดนั้นของผมเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงลงอาบแก้มจนผมต้องรีบเอามือขึ้นมาเช็ด “แต่...ถ้าพรุ่งนี้แก้วไม่ตื่นฉันก็คงจะ...”
“เข้าใจนะเว้ยว่าวันเกิดเรา 1 ปีมีครั้งเดียวแล้วเราก็อยากจะทำให้มันดีแต่ไม่เป็นไรหรอกไอ้โทโมะ...”ไอ้จองเบเอามือมาตบบ่าผมเบาๆ “ถึงพรุ่งนี้แก้วอาจจะยังไม่ตื่นขึ้นมา แต่ฉันขอบอกอะไรแกอย่าง...”
“...”
“ไม่ใช่แค่วันเกิดแกที่เป็นวันสำคัญหรอก เพราะถ้าแกมีคนที่แกรักมากๆอยู่ในหัวใจของแกแล้ว ทุกๆวันของแกจะเป็น‘วันสำคัญ’ เสมอ...เพราะยังไงซะ แก้วเขาก็ต้องฟื้นขึ้นมาไม่พรุ่งนี้ก็วันต่อไป แกเชื่อฉันดิ”ไอ้จองเบยิ้มบางๆมาให้ผม ผมก็ยิ้มบางๆกลับไปให้มันเช่นเดียวกัน
“ขอบใจว่ะ”ผมเอามือตัวเองไปแตะทับมือไอ้จองเบที่แตะอยู่บ่าของผมเพื่อเป็นการบอกขอบคุณอีกครั้ง
ก็คงถูกอย่างที่ไอ้จองเบมันพูดนะ...
ถ้า...พรุ่งนี้แก้วยังไม่ตื่นขึ้นมาก็...ไม่เป็นไรหรอก...วันต่อไปยังมีนี่? ใช่มั้ย?
แต่ถึงจะคิดแบบนั้นผมก็หวังนะว่าอยากจะให้เธอตื่นขึ้นมาทันอยู่ดีนั่นแหละถ้าพระเจ้าไม่กลั่นแกล้งกันน่ะ
1 ทุ่มของวันนั้น
บ้านผมเอง
แอ๊ด...
“โทโมะ เห็นลุงวิชัยบอกพ่อว่าแก้วอยู่โรงพยาบาลเหรอลูก?”เสียงของพ่อเอ่ยถามเมื่อผมเปิดประตูเข้ามาในบ้านพอดี
ก็หลังจากที่ลุงแทนบอกว่าให้ผมกลับมาก่อนก็ได้ เพราะลุงวิชัยจะอยู่ดูแก้วที่โรงพยาบาลก่อน ตอนแรกลุงวิชัยจะฝากพิชชี่มากับผมแต่พิชชี่จะขออยู่เฝ้าแก้วกับลุงวิชัยด้วยผม เลยกลับมาแค่ผมกับไอ้จองเบสองคน ส่วนไอ้จองเบตอนนี้มันมาส่งผมเสร็จก็บอกว่าจะไปที่สนามแข่งต่อเพราะว่ามันไม่ ได้ไปดูแลที่นั่นมาสักพักแล้วล่ะ
“ครับพ่อ พอดีเกิดอุบัติเหตุที่โรงเรียนน่ะครับ”ผมบอกพ่อแล้วเดินเอากระเป๋าเป้ไปวางไว้ตรงโต๊ะกินข้าวแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำปล่าวมากระดกดื่ม
“แล้วนี่แก้วเป็นอะไรมากรึปล่าวลูก”แม่ผมที่กำลังนั่งถักหมวกไหมพรมอยู่ตรงโต๊ะทานข้าวเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“...หมอบอกว่าปลอดภัยแล้วครับ เหลือแค่รอเธอฟื้น”
“พรุ่งก็วันเกิดลูกแล้วด้วยน่ะสิ”พ่อผมเอ่ยเพราะรู้ไงว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาเสียเลย “แล้วโทโมะ...ลูกโอเคนะ”
“ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกพ่อ แต่ก็โอเคกว่าตอนที่เกิดเรื่องนิดนึง”
“เห็นลุงวิชัยบอกพ่อว่าแก้วไปติดอยู่ในโรงขยะแล้วเกือบโดนไฟไหม้ เฮ้อไม่น่าเลย”
“ช่างเรื่องบ้าๆนั่นเถอะครับ ตอนนี้ผมสนแค่ว่าแก้วปลอดภัยดีก็โอเคแล้วพ่อ”หลังจากพูดจบผมก็เดินขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองทันทีเพราะว่าไม่อยากจะพูดถึงมันอีก
แอ๊ด...ปึง...
“เฮ้อ...”เสียงถอนหายใจของผมได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ปิดประตูห้องนอนของตัวเองแล้ว
แล้วความเงียบงันภายในห้องนี้ก็เกิดขึ้นก่อนที่ปลายเท้าของผมจะเดินไปหยุด อยู่ตรงประตูกระจก หลังจากนั้นมือของตัวเองก็เลื่อนเปิดไปมันพร้อมกับมองไปยังห้องนอนของแก้ว ที่ปกติผมจะเห็นเธออยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้ไม่แล้วเพราะว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาล
ไม่นานที่ผมยืนดูห้องนอนของแก้วอยู่แบบนั้น ผมก็พาตัวเองไปนั่งลงกับพื้นระเบียงเย็นๆหนาวๆ ขณะที่ฝนกำลังตกลงมาแต่ไม่หนักมาก แต่ก็ยังดีที่ตรงระเบียงมีหลังคาช่วยกันฝนไว้ได้ จะมีก็แต่ละอองฝนเท่านั้นที่กระทบใส่ตัวผมแค่นั้น
“ว่าแล้วต้องมานั่งกอดเข่าอยู่แน่ๆ”
“อ้าวพ่อตามขึ้นมาตอนไหนอ่ะ”ผมเงยหน้าขึ้นไปมองพ่อที่กำลังก้มมองผมที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่เงียบๆสักพักแล้ว
“ก็เมื่อกี๊แหละ”พ่อผมเอ่ยแล้วยิ้มให้ผมหน่อยๆก่อนจะเดินออกมานั่งลงข้างๆผม
ซ่า...ซ่า...ซ่า...
“...”
“...”
“โทโมะ...พ่อรู้นะ...” หลังจากที่ผมกับพ่อนั่งด้วยกันเงียบๆมาสักพักพ่อผมก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางเสียงของสายฝนที่กำลังตกลงมาอยู่หน่อยๆ
“รู้อะไรพ่อ”ผมถามแต่ก็ไม่ได้มองไปที่พ่อหรอก
เพราะรู้ไงว่าพ่อผมหมายถึงอะไร แต่แค่ถามไปงั้นแหละ
พ่อผมน่ะเป็นถึงระดับอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเชียวนะ ทำไมท่านจะดูไม่ออกว่าผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่ล่ะจริงมั้ย?
“รู้ว่าพ่อหมายถึงอะไรแล้วยังจะถามอีกนะ”
นั่นไง! ว่าแล้วเขาต้องรู้ทันผม ><!
“พ่อหมายถึงเรื่องของ...แก้ว?”
“แล้วจะมีเรื่องไหนอีกนอกจากเรื่องนี้เล่า”พ่อผมขำออกมาหน่อยๆก่อนจะเอามือมาแตะที่บ่าของผม “แม่เขาน่ะบอกให้พ่อขึ้นมาดูลูกหน่อย เขาเป็นห่วงลูกนะ พ่อเองก็เหมือนกัน...”เมื่อพ่อพูดผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองพ่อนิ่งๆ
“ผม...”
“โชคชะตาน่ะ มันมักจะเล่นตลกกับเราเสมอแหละ”พ่อผมพูดแล้วละสายตาออกจากผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่เริ่มเปิดออกให้เห็นแสงจันทร์บางแล้วแต่ฝนก็ยังอ่อยๆอยู่ “สมัยตอนที่พ่อคบกับแม่น่ะ แม่เขาก็เคยป่วยไม่สบายจนนอนหลับหมดสติไปหลายวันเลยล่ะ”
“จริงเหรอครับ”
“อื้ม พ่อน่ะ...ไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลทุกวันเลยรู้มั้ยลูก พอแม่ของลูกตื่นขึ้นมาพ่อดีใจจนน้ำตาไหลเลยแหละ”
“...”
“ผู้ชาย น่ะนะถึงจะเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีมากแค่ไหน แต่ถ้าคนที่เขารักนั้นเป็นอะไร ศักดิ์ศรีของน้ำตาลูกผู้ชายมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป...เพราะผู้ชายคนไหนที่ ร้องไห้เพราะใครคนหนึ่งแสดงว่าคนๆนั้นสำคัญสำหรับชีวิตของเขามาก และพ่อเห็นนะว่าตาของลูกออกบวมๆ”
โห...สังเกตยันดวงตาเลยนะพ่อ
แหม่อุตส่าห์ทำเป็นว่า ‘ผมโอเค’ แล้วเชียว แต่พ่อก็ยังจับได้อยู่ดี
“...”
“ร้องไห้มาใช่มั้ย?”
“...ครับ”ผมตอบแบบไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด
“ดีแล้ว”พ่อผมบอกแล้วหันมายิ้มให้บางๆ “ร้องออกมาน่ะดีกว่าทำเก๊กว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แบบนั้นน่ะไม่ได้เรียกว่า ‘น่าอาย’ สำหรับผู้ชายหรอก แต่มันเรียกว่า‘กล้าหาญ’...”
“แต่...ผมก็หลอกพ่อกับแม่นี่นาว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แบบนั้นน่ะกล้าหาญตรงไหนถ้าผมกล้าหาญจริงๆผมคงจะร้องไห้ให้พ่อกับแม่เห็นแล้วน่ะสิ”
“พ่อไม่ได้หมายความอย่างงั้น...”คำพูดของพ่อทำเอาผมชะงักไป แล้ว...ที่พ่อพูดมันหมายความว่าอย่างไหนกันล่ะ? “...มัน ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าตอนที่ลูกร้องไห้จะมีคนเห็นรึปล่าว แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าลูกได้เสียน้ำตาให้กับคนที่ลูกรักอย่างไม่ปิดบังความ รู้สึกนั่นแหละเขาเรียกว่ากล้าหาญ”
“...”
“และ ถ้าหนูแก้วเขาเห็นลูกร้องไห้เพราะเธอ เธอจะยิ่งรักลูกมากขึ้นเพราะว่าน้ำตาของผู้ชายคือสิ่งที่มหัศจรรย์สำหรับ ผู้หญิง เพราะลูกร้องไห้ที่เห็นเขาเจ็บ ร้องไห้ที่เห็นเขาเป็นแบบนี้ มันก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าลูก...รักเขา”
“...”
“แต่ ความรักน่ะ อย่าไปยึดติดกับมันมากนักจนทำให้ลูกรู้สึกกังวลอยู่ตลอดเวลาอย่างเช่นตอนนี้ ที่พ่อเห็นความกังวลความหม่นหมองในดวงตาของลูกที่มันยังอยากจะมี ‘ความหวัง’...ซึ่งอันนี้ลูกก็ต้องยอมรับมันว่าถ้าพรุ่งนี้แก้วยังไม่ฟื้นในวันเกิดของลูก ลูกก็ไม่ต้องเสียใจหรอก...”
“อัน นี้ผมก็ทำใจไว้แล้วแหละครับ เพราะหมอบอกว่าถ้าร่างกายเธออ่อนแอเธอจะฟื้นตัวช้า แล้วผมก็คิดว่า...พรุ่งนี้เธอคงอาจจะยังไม่ตื่นขึ้นมาหรอกครับ...”ผมพูดแล้วถอนหายใจออกมาเพราะว่าทำใจเอาไว้แล้ว
“แต่ก็ไม่แน่นะ...”
“???”ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพ่อเอ่ยขึ้นมาแบบนั้น
‘ก็ไม่แน่นะ’ ความหมายของมันคือ...
“ก็อย่างที่พ่อบอกนั่นแหละว่า‘โชคชะตาชอบเล่นตลก’ กับเราบางที...แก้วอาจจะตื่นขึ้นมาทันก็ได้ใครจะรู้กันล่ะ”
“แต่บางครั้งโชคชะตาก็ใจร้าย...”
“ไม่หรอก”พ่อผมเอ่ยขึ้นขัด “เพราะถ้าโชคชะตาใจร้ายจริงๆ ลูกคงไม่ได้มาเจอกับแก้วตั้งแต่แรกหรอก”
“นี่พ่อกำลังหมายถึง...”
“ก็ลองคิดดูสิว่าถ้าวันนั้นลุงวิชัยไม่ย้ายบ้านมาอยู่ข้างๆบ้านเราลูกกับแก้วจะได้เจอกันรึปล่าวล่ะ”
เมื่อพ่อผมเอ่ยบอกแบบนั้นผมก็คิดตามทันที...
ก็จริงสินะ...ถ้าวันนั้นลุงวิชัยไม่ย้ายมาที่นี่ผมจะได้เจอแก้วมั้ย แล้วถ้าตอนนั้นที่ผมไม่ได้เจอกับเธอที่สวนสาธารณะซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ เราสบตากันตั้งแต่แรกเจอเลย
แล้วถ้าวันนั้นผมไม่เจอเธอ...แล้วตอนนี้ผมจะทำอะไรอยู่กันนะ?
“นั่นสินะครับ”ผมเอ่ยแล้วก้มหน้ายิ้มกับตัวเองบางๆ
“ก็น่าแปลกนะ จากคนข้างบ้านคนหนึ่งก็ทำให้ลูกของพ่อเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
“ครับ...ผมเปลี่ยนจริงๆ”
มันก็จริงอย่างที่ผมพูดใช่มั้ยล่ะ?
ก็ ตามหลักแล้วอย่างที่บอกผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้เลยด้วยซ้ำ แทบไม่พูดเลยด้วย แต่ว่าปีนี้นี่พูดเยอะที่สุดเท่าที่เคยพูดมาทั้งกับพ่อกับแม่ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าตั้งแต่ที่แก้วเข้ามาในชีวิตผมวันนั้นผมก็ค่อยๆ เปิดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ และรับรู้ชีวิตมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวที่ไม่ใช่การ‘จมปลัก’
เพราะว่าไอ้แบบนั้นน่ะ...มันแลดูหดหู่สำหรับชีวิตของผมจนเกินไป
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้วล่ะครับ เพราะผมนั้นรู้ใจตัวเองแล้ว และไม่เคยคิดเปลี่ยนใจไปมองหรือรักผู้หญิงคนไหนได้อีกนอกจากแก้ว ก็ไม่รู้สินะว่าทำไมผู้หญิงที่แทบไม่ได้โดดเด่นอะไรเลยกลับกลายเป็นคนที่คอย ดึงดูดให้ผมอยากเข้าหาได้มากขนาดนี้ทั้งๆที่ถ้าเทียบกับผู้หญิงคนอื่นนั้น แก้วนี่เธอเป็นผู้หญิงที่ธรรมดาๆและบ้านๆมากๆ ไม่รู้โลก ซื่อบื้อๆหน่อยๆ
แต่เชื่อมั้ยว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถที่จะทำให้ผมหยุดรักเธอหรอก...
เพราะผมไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่เลิศเลอไปทุกอย่าง ไม่ได้ต้องการผู้หญิงสวยๆที่เป็นที่ต้องตาต้องใจของใครๆหลายๆคน ไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่ภายนอกถึงแม้คนส่วนใหญ่จะคิดแบบนั้นก็ตาม...แต่ผม ไม่! ใครจะทำไมก็ผมรักของผมนิครับ
“เปลี่ยนเพราะรู้ว่ารักเขาน่ะสิ ^^”
“แล้วพ่อล่ะเปลี่ยนตัวเองเพราะรักแม่รึปล่าว”ผมถามกลับ
“เอา ตามจริงนะพ่อไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แต่นิสัยของพ่อลึกๆมันเป็นแบบนี้อยู่แล้วเพียงแต่มันยังไม่พร้อมเปิดเผยออก มาจนมาเจอแม่ของลูกเนี่ยแหละที่พ่อเป็นตัวของตัวเองที่สุด”
“...”
“โทโมะ...พ่อจะบอกให้นะ โลกนี้มันไม่มีอะไรที่สมหวังดั่งใจไปเสียหมดหรอก เห็นพ่อกับแม่แลดูรักกันแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยทะเลาะกันนะมีหลายครั้งที่พ่อกับแม่น่ะทะเลาะกันหนักๆจนแม่ของลูกร้องไห้ แต่เชื่อมั้ย?”
“...?”
“ว่าพ่อกับแม่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยคิดที่จะเลิกรักกันเลย...”
“...”
“แล้วลูกน่ะ ถ้ารักหนูแก้วก็อย่าทำให้เขาร้องไห้นะ มันบาป...”
“ไม่มีทางหรอกพ่อ ถึงก่อนหน้านี้จะเคยก็เถอะ”ผมบอกกับพ่อแล้วเค้นหัวเราะเบาๆ “ผม ขอสัญญาเลยว่าถ้าแก้วตื่นมาเมื่อไหร่ผมจะขอเป็นคนดูแลเธอและจะไม่ทำให้เธอ ร้องไห้อีก เพราะผมรู้แล้วว่าแก้วน่ะร้องไห้เพราะผมมามากแค่ไหน และต่อไปนี้...มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
“งั้นก็ขอให้มันเป็นดั่งที่ลูกหวังก็แล้วกัน”
“ความหวังของผมน่ะ...คือผมอยากให้แก้วตื่นมาทันวันเกิดของผมจังเลยอ่ะพ่อ ถ้าโชคชะตาไม่ใจร้ายกับผมจนเกินไปน่ะนะ”
“รักจริงหวังแต่งแบบนี้โชคชะตาใจร้ายกับลูกไม่ลงหรอกเชื่อพ่อสิ^^”
“ก็ขอให้คำพูดพ่อเป็นจริงก็แล้วกัน”ผมยิ้มให้พ่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่กำลังทอแสงส่องลงมา
ก้อนเมฆที่เคยจับตัวเป็นก้อนเริ่มคลายออกจนท้องฟ้าแลดูน่ามองมากถึงฝนจะตก อยู่ วันนี้ทั้งคำพูดของพ่อแล้วก็ไอ้จองเบมันเป็นกำลังใจให้ผมมากๆ มันทำให้ผมสบายใจขึ้นและไม่ท้อ ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงผมก็จะรับมันเอาไว้ให้ได้ ถ้าวันเกิดของผมผ่านไปแบบที่ไม่มีแก้วตื่นมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ในวันนั้นก็ไม่เป็นไร
แต่ในใจก็แอบหวังนะ...
ได้โปรด...ขอให้คำขอของผมเป็นจริงได้มั้ยนะ?
ผม อยากขอโชคชะตาในใจดังๆว่าถ้าพรุ่งนี้ผมไปเฝ้าแก้วที่โรงพยาบาลขอให้เธอฟื้น ขึ้นมาเจอหน้าผมทีเถอะ แค่ลืมตามองผมก็ยังดีกว่าหลับไหลอยู่แบบนั้น
แต่คุณคิดว่า...คำขอของผมมันจะเป็นจริงมั้ยครับ?
‘ บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเสมอไป...สิ่งที่คิดอาจไม่เป็นจริง
หรืออาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ใครจะรู้...
แต่เพียงแค่ขอให้เราเชื่อมั่นในคำขอของตัวเราเอง...ไม่ว่าผลลับจะออกมาเป็นอย่างไร
โชคชะตาเท่านั้นที่รู้...’
_________________________________________________________อัพแล้วจ้าเม้นกันหน่อย แก้วใจจะตื่นไหมนะพรุ่งนี้^^
( ได้โปรด... )
[ บันทึกพิเศษ : โทโมะ ]
ซ่า...ซ่า...ซ่า...
“โถ่...แก้วลูก”
นั่น คือเสียงของลุงวิชัยพ่อของแก้วเองแหละครับ นี่ก็ผ่านเวลามาจนเย็นกระทั่งฝนตก ผมก็ยังคงเฝ้าแก้วตั้งแต่ที่หมอจัดการย้ายห้องมาอยู่ห้องพิเศษ ซึ่งผมเป็นคนจัดการให้เองทั้งหมดเลย ใช่! ผมยอมจ่ายเพื่อให้แก้วได้นอนในห้องดีๆที่ไม่ใช่ห้องแคบๆแบบหดหู่ๆ เพราะแค่เธอไม่ตื่นและใช้เครื่องช่วยหายใจครอบจมูกอยู่
ซึ่งผมเห็นแค่นั้นผมก็ทรมานมากพอแล้ว...
และหลังจากที่จัดการอะไรเสร็จพวกเพื่อนๆผมก็มากันที่โรงพยาบาลแห่งนี้ พร้อมกับฟางที่แลดูใจเย็นขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งฟางนั้นเธอมาก่อนหน้าพ่อของแก้วสักพักแต่ผมก็เล่าอาการของแก้วให้ฟาง ฟัง
ตอนที่ผมบอกว่าแก้วอาจจะเป็นหอบนั้นฟางแลดูโกรธมากที่พวกพิมพ์นั้นทำ ให้แก้วเป็นแบบนี้ แต่ผมกับเธอก็ตกลงกันแล้วว่าจะยังไม่จัดการอะไรกับพิมพ์เพราะว่าจะรอแก้ว ตื่นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยคิดดูอีกทีว่าแก้วจะเอาเรื่องมั้ย ที่ผมทำแบบนี้เพราะว่าผมไม่อยากคิดเองทำเองถ้ายังไม่รู้ว่าสิ่งที่ผมจะทำแก้วนั้นจะเห็นด้วยหรือไม่น่ะสิ
แต่เอาตรงๆนะ...ผมก็รู้แหละว่าแก้วคงจะปล่อยเรื่องนี้ไปให้มันจบๆ
เพราะเธอคงไม่อยากให้พ่อของเธอเป็นห่วงที่ได้รู้ว่าลูกสาวของตัวเองมีคนคอย จ้องจะปองร้าย และนั่นแหละที่มันจะทำให้เกิดความไม่สบายใจตามมาและเรื่องก็จะไม่มีวันจบ เพราะคนอย่างพิมพ์น่ะผมดูแล้ว...เธอคงไม่คิดที่จะกลับตัวกลับใจหรอก
และเธอจะต้องเสียทุกอย่าง!
“แล้วเมื่อไหร่พี่แก้วจะตื่นเหรอครับเพ่อ?”พิชชี่ที่ยืนจับมือกับลุงวิชัยเอ่ยอย่างไร้เดียงสาเพราะลุงวิชัยแค่บอกพิชชี่ว่าแก้วแค่ไม่สบาย
“เดี๋ยวพี่เขาก็ตื่นแล้วไม่ต้องห่วงหรอกน่า”ลุงวิชัยก้มหน้าลงไปบอกกับพิชชี่
ซึ่ง ผมนั้นรู้ดีว่านั่นมันเป็นคำพูดที่พยายามจะทำให้มันดูสบายใจขึ้นถึงแม้ว่า ภายใจในของลุงวิชัยอาจจะไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่พูดกับพิชชี่ก็ตามที
“...”
“โทโมะ...”
“ครับ?”ผมที่ยืนอยู่กับพวกเพื่อนๆแล้วก็ฟางเอ่ยขึ้นเมื่อลุงวิชัยหันมาหาผม
“ขอบใจนะที่ช่วยแก้วเอาไว้”ลุงวิชัยพูดแล้วยิ้มบางๆมาให้ผม
ซึ่งผมก็เข้าใจในหัวอกของคนเป็นพ่อนะว่าท่านน่ะรักลูกของตัวเองมากมายแค่ไหน แล้วยิ่งถ้าลูกของตัวเองเจอเรื่องแบบนี้ถ้าผมเป็นลุงวิชัย...ผมเองก็คงขวัญ เสียเอามากๆเลยเพราะกลัวว่าลูกของตัวเองจะเป็นอะไรไป
“ครับ...”ผมตอบรับก่อนที่สายตาของตัวเองจะมองไปยังร่างของแก้วที่ยังหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้
แต่ทว่า...พอผมเห็นภาพนั้นอีกครั้งทั้งๆที่ผมพยายามจะไม่มองแล้ว แต่มันก็...
“อ้าว ไปไหนวะ?”เพื่อนๆผมที่อยู่ตรงนี้ก็คงงงๆกันที่เห็นว่าผมนั้นเดินออกมาจากห้องคนไข้อย่างกะทันหัน
เพราะอะไรน่ะเหรอ...ก็เพราะว่าผมกำลังร้องไห้อีกแล้วน่ะสิครับ
ผมเห็นภาพแก้วเป็นแบบนั้นก่อนวันเกิดของตัวเองนี่ผมแบบ...โคตรกลัว เลยว่ะ กลัวว่าพอถึงวันพรุ่งนี้แล้วเธอจะยังไม่ตื่นขึ้นมา ใช่! พรุ่งนี้ไม่ตื่นแต่วันอื่นก็คงจะตื่นขึ้นมาแล้วจะกลัวจะเสียใจอะไรขนาดนั้นล่ะ?
คือ...ความ รู้สึกของผมนะ ถ้าแก้วไม่ตื่นในวันพรุ่งนี้มันคงจะเป็นปีที่เป็นวันเกิดที่ไม่น่าจดจำเอา เสียเลย เพราะว่าสิ่งที่ผมอยากจะได้ก็คือ...
“เฮ้ย...โอเคปล่าววะ...”ไอ้จองเบเดินตามผมออกมาแล้วมานั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆผม
อ้อ! ผม ลืมบอกไปว่าไอ้จองเบมันพูดถึงเรื่องที่เห็นว่ามีคนมารับคลอรีนด้วย ซึ่งในความคิดมันมันก็คิดว่าคนๆนี้รึปล่าวที่เป็นสาเหตุให้คลอรีนบอกเลิกมัน แต่มันบอกว่ามันยังไม่เห็นหน้า แล้วก็ไม่รู้ว่าจะใช่อย่างที่มันคิดมั้ย แต่ผมว่านะ...ถ้าคลอรีนเลิกกับมันแล้วคบคนใหม่
ไอ้จองเบมันคงจะ...โกรธมากน่าดู
แต่คลอรีนไม่น่าจะใช่คนแบบนั้นนี่นา? หรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นอันนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ
“ไม่ค่อยว่ะ”ผมตอบไอ้จองเบเสียงเบาแล้วก้มหน้าลง
“เอาน่า ใจเย็นๆไม่ต้องเครียด”ไอ้จองเบพูดปลอบ
และในตอนนั้นนั่นเองที่พวกเพื่อนๆของผมที่เหลือเดินตาม กันออกมาพร้อมกันกับฟางพอดี...
แอ๊ด...
“เฮ้ย ไอ้โทโมะจะให้พวกฉันอยู่เป็นเพื่อนมั้ยวะ ”เสียงของเขื่อนเอ่ยถามเมื่อมันเดินมาหยุดอยู่ตรงที่ผมนั่งผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองพวกมันแล้วยิ้มๆบางๆก่อนจะส่ายหน้าเป็นทำนองว่า‘ไม่ต้องหรอกว่ะ’
“เดี๋ยวฉันไปส่งมันที่บ้านเอง”ไอ้จองเบที่นั่งอยู่ข้างๆผมเอ่ย
“เออๆ แล้วถ้ามีอะไรก็โทรหาได้เลยนะเว้ย”เคนตะเอ่ยแล้วจากนั้นพวกเพื่อนผมก็พยักหน้าก่อนจะค่อยๆพากันเดินไป
แต่...
“ฟาง”
“ฮะ?”ฟางหยุดเดินทันทีที่ผมเรียกเธอเอาไว้
“แล้วเธอกลับยังไงอ่ะ”ผมถาม
เผื่อว่า...ไอ้คนแถวนี้มันจะมีน้ำใจไปส่งฟางที่บ้านบ้าง ( ดราม่าอยู่แต่ขอชงสักนิดเถอะ = =;;; )
“ก็กลับเองไง ฉันเอามอเตอร์ไซค์มา O_O”
ง่าว!! =[]=!!!
เออว่ะ ก็...ลืมไปเลยว่าฟางขับมอเตอร์ไซค์มาโรงเรียนทุกวันนี่หว่า โห่ อดชงต่อเลย เซ็งๆๆๆๆ = =;;;
“อ้อ อืม งั้นกลับดีๆนะ ”เมื่อผมบอกฟางจึงพยักหน้าก่อนจะเดินไปแต่ก็ยังมิวายทิ้งท้ายเอาไว้ให้ผมด้วย
“โทโมะ! พรุ่งนี้อย่าลืมมาทำหน้าที่ดูแลเพื่อนของฉันด้วยล่ะ”ฟางบอกแบบนั้นผมก็ยิ้มให้ตอบกลับไป
“โทโมะเขาไม่ลืมหรอกครับฟาง ผมว่านะคืนนี้เขาอาจจะไม่กลับบ้านด้วยซ้ำ ^^” เขื่อนเอ่ยแซวผมแล้วฉีกยิ้มพลางเดินเอาแขนไปโอบไหล่ฟางอย่างหยอกล้อกัน
ก็น่าแปลกที่ฟางก็เล่นด้วยเหมือนกันจนกระทั่ง...
“เล่นกันอยู่ได้ กลับบ้านได้แล้วไอเขื่อน ><!”
คงไม่ต้องให้ผมบอกหรอกนะว่าเสียงขัดแบบนี้คือเสียงของใครถ้าไม่ใช่ไอ้ป๊อปปี้น่ะ = =;;;
“ยุ่งอะไรด้วย” ฟางทำพูดเสียงดังก่อนจะเดินไปเลย
“หน๋อยยัย...!”
“อย่าทะเลาะกันพลีส! ><!”เคนตะห้ามป๊อปปี้เอาไว้ได้ทันเมื่อเห็นว่าไอ้ป๊อปปี้มันกำลังจะเดินตามไปตอกกลับฟางที่เดินขึ้นลิฟท์ไปแล้ว
และ ไม่นานนักที่พวกเพื่อนๆผมเดินออกไปจากตรงนี้กันหมด ส่วนลุงวิชัยก็คงจะดูเฝ้าแก้วอยู่ ผมเองก็ยังคงนั่งอยู่กับไอ้จองเบข้างนอกห้อง
อยากรู้จัง...ว่าถ้าตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวผมจะคิดอะไรไปถึงไหนแล้ว
เพราะในกลุ่มเคติคของเราน่ะผมจะสนิทก็ไอ้จองเบมากที่สุดเหมือน เป็นพี่น้องกันเลยแหละครับ ถึงตอนนั้นที่ผมโกรธมันจนไปต่อยหน้ามันเรื่องคลอรีนยอมรับว่าโกรธ แต่พอได้ฟังเหตุผลของมันผมก็เข้าใจแล้วล่ะนี่สินะที่เขาเรียกว่า ‘มิตรภาพความเป็นเพื่อน’
“ไอ้โมะ...”
“ฮึ? ว่า”เมื่อไอ้จองเบเรียกผม ผมก็หันไปก็เห็นว่ามันกำลังมองมาที่ผมอยู่ในตอนนี้
“ฉันขอถามอะไรหน่อยดิ”
“อืม”ผมพยักหน้า
“ทำไมแกถึงเดินออกมาจากห้องแบบนั้นวะ”
“...”ผมนิ่งไปพักนึงเมื่อไอ้จองเบถามขึ้นมาแบบนั้น แต่ผมก็ตัดสินใจที่จะบอกมันไปนั่นแหละเพราะว่ามันก็ต้องเข้าใจผมแน่นอนอยู่แล้ว “คือ...ฉัน...”
“...”
“...คือฉันเห็นแก้วเป็นแบบนี้แล้วฉันอยากร้องไห้ว่ะ”พูดไปแล้วก็เม้นริมฝีปากเข้าหากันเพราะเริ่มรู้สึกว่าตอนนี้น้ำตามันเริ่มคลอเบ้า “รู้ ป่ะ ว่ายิ่งฉันเห็นแก้วใส่เครื่องช่วยหายใจครอบจมูกกับปากอยู่มันรู้สึกเหมือน กับว่าอาการของแก้วมันหนักเกินกว่าที่เธอจะตื่นขึ้นมาทันวันเกิดฉันว่ะ”
“เออจริงสินะ พรุ่งนี้วันเกิดแกนี่หว่า”ไอ้จองเบเอ่ยออกมาเหมือนเพิ่งนึกได้
“โคตรกลัวเลยอ่ะ แม่ง...”ผมพูดอย่างตัดพ้อก่อนจะก้มหน้าลงแล้วถอนหายใจ “แล้วแกรู้ป่ะว่าวันเกิดปีนี้ฉันจะทำอะไรให้ตัวเอง...”
“อะไรวะ...”
“ฉันจะขอคบแก้ว”ผมพูดอย่างไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองไอ้จองเบตรงๆอีกครั้ง “นั่นแหละคือของขวัญที่ฉันอยากมอบให้ตัวเองเป็นชิ้นแรก...”
ใช่ครับ...
นั่นแหละคือสิ่งที่ผมอยากได้จริงๆ เพราะผมอยากจะขอคบแก้วให้มันชัดเจนแจ่มแจ้งกันไปเลยว่าเธอจะคบกับผมมั้ยถ้า หากว่าผมขอ เพราะมันผ่านอะไรมาขนาดนี้แล้วเราสองคนก็ต่างรู้ใจของตัวเองมากขึ้น
“...”
“และมันจะเป็นของขวัญที่ฉันจะรักษามันไปตลอดชีวิตของฉัน...”คำพูดนั้นของผมเอ่ยออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ร่วงลงอาบแก้มจนผมต้องรีบเอามือขึ้นมาเช็ด “แต่...ถ้าพรุ่งนี้แก้วไม่ตื่นฉันก็คงจะ...”
“เข้าใจนะเว้ยว่าวันเกิดเรา 1 ปีมีครั้งเดียวแล้วเราก็อยากจะทำให้มันดีแต่ไม่เป็นไรหรอกไอ้โทโมะ...”ไอ้จองเบเอามือมาตบบ่าผมเบาๆ “ถึงพรุ่งนี้แก้วอาจจะยังไม่ตื่นขึ้นมา แต่ฉันขอบอกอะไรแกอย่าง...”
“...”
“ไม่ใช่แค่วันเกิดแกที่เป็นวันสำคัญหรอก เพราะถ้าแกมีคนที่แกรักมากๆอยู่ในหัวใจของแกแล้ว ทุกๆวันของแกจะเป็น‘วันสำคัญ’ เสมอ...เพราะยังไงซะ แก้วเขาก็ต้องฟื้นขึ้นมาไม่พรุ่งนี้ก็วันต่อไป แกเชื่อฉันดิ”ไอ้จองเบยิ้มบางๆมาให้ผม ผมก็ยิ้มบางๆกลับไปให้มันเช่นเดียวกัน
“ขอบใจว่ะ”ผมเอามือตัวเองไปแตะทับมือไอ้จองเบที่แตะอยู่บ่าของผมเพื่อเป็นการบอกขอบคุณอีกครั้ง
ก็คงถูกอย่างที่ไอ้จองเบมันพูดนะ...
ถ้า...พรุ่งนี้แก้วยังไม่ตื่นขึ้นมาก็...ไม่เป็นไรหรอก...วันต่อไปยังมีนี่? ใช่มั้ย?
แต่ถึงจะคิดแบบนั้นผมก็หวังนะว่าอยากจะให้เธอตื่นขึ้นมาทันอยู่ดีนั่นแหละถ้าพระเจ้าไม่กลั่นแกล้งกันน่ะ
1 ทุ่มของวันนั้น
บ้านผมเอง
แอ๊ด...
“โทโมะ เห็นลุงวิชัยบอกพ่อว่าแก้วอยู่โรงพยาบาลเหรอลูก?”เสียงของพ่อเอ่ยถามเมื่อผมเปิดประตูเข้ามาในบ้านพอดี
ก็หลังจากที่ลุงแทนบอกว่าให้ผมกลับมาก่อนก็ได้ เพราะลุงวิชัยจะอยู่ดูแก้วที่โรงพยาบาลก่อน ตอนแรกลุงวิชัยจะฝากพิชชี่มากับผมแต่พิชชี่จะขออยู่เฝ้าแก้วกับลุงวิชัยด้วยผม เลยกลับมาแค่ผมกับไอ้จองเบสองคน ส่วนไอ้จองเบตอนนี้มันมาส่งผมเสร็จก็บอกว่าจะไปที่สนามแข่งต่อเพราะว่ามันไม่ ได้ไปดูแลที่นั่นมาสักพักแล้วล่ะ
“ครับพ่อ พอดีเกิดอุบัติเหตุที่โรงเรียนน่ะครับ”ผมบอกพ่อแล้วเดินเอากระเป๋าเป้ไปวางไว้ตรงโต๊ะกินข้าวแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำปล่าวมากระดกดื่ม
“แล้วนี่แก้วเป็นอะไรมากรึปล่าวลูก”แม่ผมที่กำลังนั่งถักหมวกไหมพรมอยู่ตรงโต๊ะทานข้าวเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“...หมอบอกว่าปลอดภัยแล้วครับ เหลือแค่รอเธอฟื้น”
“พรุ่งก็วันเกิดลูกแล้วด้วยน่ะสิ”พ่อผมเอ่ยเพราะรู้ไงว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาเสียเลย “แล้วโทโมะ...ลูกโอเคนะ”
“ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกพ่อ แต่ก็โอเคกว่าตอนที่เกิดเรื่องนิดนึง”
“เห็นลุงวิชัยบอกพ่อว่าแก้วไปติดอยู่ในโรงขยะแล้วเกือบโดนไฟไหม้ เฮ้อไม่น่าเลย”
“ช่างเรื่องบ้าๆนั่นเถอะครับ ตอนนี้ผมสนแค่ว่าแก้วปลอดภัยดีก็โอเคแล้วพ่อ”หลังจากพูดจบผมก็เดินขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองทันทีเพราะว่าไม่อยากจะพูดถึงมันอีก
แอ๊ด...ปึง...
“เฮ้อ...”เสียงถอนหายใจของผมได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ปิดประตูห้องนอนของตัวเองแล้ว
แล้วความเงียบงันภายในห้องนี้ก็เกิดขึ้นก่อนที่ปลายเท้าของผมจะเดินไปหยุด อยู่ตรงประตูกระจก หลังจากนั้นมือของตัวเองก็เลื่อนเปิดไปมันพร้อมกับมองไปยังห้องนอนของแก้ว ที่ปกติผมจะเห็นเธออยู่ตรงนั้น แต่ตอนนี้ไม่แล้วเพราะว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาล
ไม่นานที่ผมยืนดูห้องนอนของแก้วอยู่แบบนั้น ผมก็พาตัวเองไปนั่งลงกับพื้นระเบียงเย็นๆหนาวๆ ขณะที่ฝนกำลังตกลงมาแต่ไม่หนักมาก แต่ก็ยังดีที่ตรงระเบียงมีหลังคาช่วยกันฝนไว้ได้ จะมีก็แต่ละอองฝนเท่านั้นที่กระทบใส่ตัวผมแค่นั้น
“ว่าแล้วต้องมานั่งกอดเข่าอยู่แน่ๆ”
“อ้าวพ่อตามขึ้นมาตอนไหนอ่ะ”ผมเงยหน้าขึ้นไปมองพ่อที่กำลังก้มมองผมที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่เงียบๆสักพักแล้ว
“ก็เมื่อกี๊แหละ”พ่อผมเอ่ยแล้วยิ้มให้ผมหน่อยๆก่อนจะเดินออกมานั่งลงข้างๆผม
ซ่า...ซ่า...ซ่า...
“...”
“...”
“โทโมะ...พ่อรู้นะ...” หลังจากที่ผมกับพ่อนั่งด้วยกันเงียบๆมาสักพักพ่อผมก็เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางเสียงของสายฝนที่กำลังตกลงมาอยู่หน่อยๆ
“รู้อะไรพ่อ”ผมถามแต่ก็ไม่ได้มองไปที่พ่อหรอก
เพราะรู้ไงว่าพ่อผมหมายถึงอะไร แต่แค่ถามไปงั้นแหละ
พ่อผมน่ะเป็นถึงระดับอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยเชียวนะ ทำไมท่านจะดูไม่ออกว่าผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่ล่ะจริงมั้ย?
“รู้ว่าพ่อหมายถึงอะไรแล้วยังจะถามอีกนะ”
นั่นไง! ว่าแล้วเขาต้องรู้ทันผม ><!
“พ่อหมายถึงเรื่องของ...แก้ว?”
“แล้วจะมีเรื่องไหนอีกนอกจากเรื่องนี้เล่า”พ่อผมขำออกมาหน่อยๆก่อนจะเอามือมาแตะที่บ่าของผม “แม่เขาน่ะบอกให้พ่อขึ้นมาดูลูกหน่อย เขาเป็นห่วงลูกนะ พ่อเองก็เหมือนกัน...”เมื่อพ่อพูดผมจึงเงยหน้าขึ้นไปมองพ่อนิ่งๆ
“ผม...”
“โชคชะตาน่ะ มันมักจะเล่นตลกกับเราเสมอแหละ”พ่อผมพูดแล้วละสายตาออกจากผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าที่เริ่มเปิดออกให้เห็นแสงจันทร์บางแล้วแต่ฝนก็ยังอ่อยๆอยู่ “สมัยตอนที่พ่อคบกับแม่น่ะ แม่เขาก็เคยป่วยไม่สบายจนนอนหลับหมดสติไปหลายวันเลยล่ะ”
“จริงเหรอครับ”
“อื้ม พ่อน่ะ...ไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลทุกวันเลยรู้มั้ยลูก พอแม่ของลูกตื่นขึ้นมาพ่อดีใจจนน้ำตาไหลเลยแหละ”
“...”
“ผู้ชาย น่ะนะถึงจะเป็นคนที่รักศักดิ์ศรีมากแค่ไหน แต่ถ้าคนที่เขารักนั้นเป็นอะไร ศักดิ์ศรีของน้ำตาลูกผู้ชายมันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป...เพราะผู้ชายคนไหนที่ ร้องไห้เพราะใครคนหนึ่งแสดงว่าคนๆนั้นสำคัญสำหรับชีวิตของเขามาก และพ่อเห็นนะว่าตาของลูกออกบวมๆ”
โห...สังเกตยันดวงตาเลยนะพ่อ
แหม่อุตส่าห์ทำเป็นว่า ‘ผมโอเค’ แล้วเชียว แต่พ่อก็ยังจับได้อยู่ดี
“...”
“ร้องไห้มาใช่มั้ย?”
“...ครับ”ผมตอบแบบไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด
“ดีแล้ว”พ่อผมบอกแล้วหันมายิ้มให้บางๆ “ร้องออกมาน่ะดีกว่าทำเก๊กว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แบบนั้นน่ะไม่ได้เรียกว่า ‘น่าอาย’ สำหรับผู้ชายหรอก แต่มันเรียกว่า‘กล้าหาญ’...”
“แต่...ผมก็หลอกพ่อกับแม่นี่นาว่าผมไม่ได้เป็นอะไร แบบนั้นน่ะกล้าหาญตรงไหนถ้าผมกล้าหาญจริงๆผมคงจะร้องไห้ให้พ่อกับแม่เห็นแล้วน่ะสิ”
“พ่อไม่ได้หมายความอย่างงั้น...”คำพูดของพ่อทำเอาผมชะงักไป แล้ว...ที่พ่อพูดมันหมายความว่าอย่างไหนกันล่ะ? “...มัน ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ว่าตอนที่ลูกร้องไห้จะมีคนเห็นรึปล่าว แต่ขึ้นอยู่ที่ว่าลูกได้เสียน้ำตาให้กับคนที่ลูกรักอย่างไม่ปิดบังความ รู้สึกนั่นแหละเขาเรียกว่ากล้าหาญ”
“...”
“และ ถ้าหนูแก้วเขาเห็นลูกร้องไห้เพราะเธอ เธอจะยิ่งรักลูกมากขึ้นเพราะว่าน้ำตาของผู้ชายคือสิ่งที่มหัศจรรย์สำหรับ ผู้หญิง เพราะลูกร้องไห้ที่เห็นเขาเจ็บ ร้องไห้ที่เห็นเขาเป็นแบบนี้ มันก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าลูก...รักเขา”
“...”
“แต่ ความรักน่ะ อย่าไปยึดติดกับมันมากนักจนทำให้ลูกรู้สึกกังวลอยู่ตลอดเวลาอย่างเช่นตอนนี้ ที่พ่อเห็นความกังวลความหม่นหมองในดวงตาของลูกที่มันยังอยากจะมี ‘ความหวัง’...ซึ่งอันนี้ลูกก็ต้องยอมรับมันว่าถ้าพรุ่งนี้แก้วยังไม่ฟื้นในวันเกิดของลูก ลูกก็ไม่ต้องเสียใจหรอก...”
“อัน นี้ผมก็ทำใจไว้แล้วแหละครับ เพราะหมอบอกว่าถ้าร่างกายเธออ่อนแอเธอจะฟื้นตัวช้า แล้วผมก็คิดว่า...พรุ่งนี้เธอคงอาจจะยังไม่ตื่นขึ้นมาหรอกครับ...”ผมพูดแล้วถอนหายใจออกมาเพราะว่าทำใจเอาไว้แล้ว
“แต่ก็ไม่แน่นะ...”
“???”ผมเลิกคิ้วขึ้นเมื่อพ่อเอ่ยขึ้นมาแบบนั้น
‘ก็ไม่แน่นะ’ ความหมายของมันคือ...
“ก็อย่างที่พ่อบอกนั่นแหละว่า‘โชคชะตาชอบเล่นตลก’ กับเราบางที...แก้วอาจจะตื่นขึ้นมาทันก็ได้ใครจะรู้กันล่ะ”
“แต่บางครั้งโชคชะตาก็ใจร้าย...”
“ไม่หรอก”พ่อผมเอ่ยขึ้นขัด “เพราะถ้าโชคชะตาใจร้ายจริงๆ ลูกคงไม่ได้มาเจอกับแก้วตั้งแต่แรกหรอก”
“นี่พ่อกำลังหมายถึง...”
“ก็ลองคิดดูสิว่าถ้าวันนั้นลุงวิชัยไม่ย้ายบ้านมาอยู่ข้างๆบ้านเราลูกกับแก้วจะได้เจอกันรึปล่าวล่ะ”
เมื่อพ่อผมเอ่ยบอกแบบนั้นผมก็คิดตามทันที...
ก็จริงสินะ...ถ้าวันนั้นลุงวิชัยไม่ย้ายมาที่นี่ผมจะได้เจอแก้วมั้ย แล้วถ้าตอนนั้นที่ผมไม่ได้เจอกับเธอที่สวนสาธารณะซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ เราสบตากันตั้งแต่แรกเจอเลย
แล้วถ้าวันนั้นผมไม่เจอเธอ...แล้วตอนนี้ผมจะทำอะไรอยู่กันนะ?
“นั่นสินะครับ”ผมเอ่ยแล้วก้มหน้ายิ้มกับตัวเองบางๆ
“ก็น่าแปลกนะ จากคนข้างบ้านคนหนึ่งก็ทำให้ลูกของพ่อเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้”
“ครับ...ผมเปลี่ยนจริงๆ”
มันก็จริงอย่างที่ผมพูดใช่มั้ยล่ะ?
ก็ ตามหลักแล้วอย่างที่บอกผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้เลยด้วยซ้ำ แทบไม่พูดเลยด้วย แต่ว่าปีนี้นี่พูดเยอะที่สุดเท่าที่เคยพูดมาทั้งกับพ่อกับแม่ ซึ่งมันเห็นได้ชัดเลยว่าตั้งแต่ที่แก้วเข้ามาในชีวิตผมวันนั้นผมก็ค่อยๆ เปิดโลกมากขึ้นเรื่อยๆ และรับรู้ชีวิตมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวที่ไม่ใช่การ‘จมปลัก’
เพราะว่าไอ้แบบนั้นน่ะ...มันแลดูหดหู่สำหรับชีวิตของผมจนเกินไป
แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้วล่ะครับ เพราะผมนั้นรู้ใจตัวเองแล้ว และไม่เคยคิดเปลี่ยนใจไปมองหรือรักผู้หญิงคนไหนได้อีกนอกจากแก้ว ก็ไม่รู้สินะว่าทำไมผู้หญิงที่แทบไม่ได้โดดเด่นอะไรเลยกลับกลายเป็นคนที่คอย ดึงดูดให้ผมอยากเข้าหาได้มากขนาดนี้ทั้งๆที่ถ้าเทียบกับผู้หญิงคนอื่นนั้น แก้วนี่เธอเป็นผู้หญิงที่ธรรมดาๆและบ้านๆมากๆ ไม่รู้โลก ซื่อบื้อๆหน่อยๆ
แต่เชื่อมั้ยว่าสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถที่จะทำให้ผมหยุดรักเธอหรอก...
เพราะผมไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่เลิศเลอไปทุกอย่าง ไม่ได้ต้องการผู้หญิงสวยๆที่เป็นที่ต้องตาต้องใจของใครๆหลายๆคน ไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่ภายนอกถึงแม้คนส่วนใหญ่จะคิดแบบนั้นก็ตาม...แต่ผม ไม่! ใครจะทำไมก็ผมรักของผมนิครับ
“เปลี่ยนเพราะรู้ว่ารักเขาน่ะสิ ^^”
“แล้วพ่อล่ะเปลี่ยนตัวเองเพราะรักแม่รึปล่าว”ผมถามกลับ
“เอา ตามจริงนะพ่อไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย แต่นิสัยของพ่อลึกๆมันเป็นแบบนี้อยู่แล้วเพียงแต่มันยังไม่พร้อมเปิดเผยออก มาจนมาเจอแม่ของลูกเนี่ยแหละที่พ่อเป็นตัวของตัวเองที่สุด”
“...”
“โทโมะ...พ่อจะบอกให้นะ โลกนี้มันไม่มีอะไรที่สมหวังดั่งใจไปเสียหมดหรอก เห็นพ่อกับแม่แลดูรักกันแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยทะเลาะกันนะมีหลายครั้งที่พ่อกับแม่น่ะทะเลาะกันหนักๆจนแม่ของลูกร้องไห้ แต่เชื่อมั้ย?”
“...?”
“ว่าพ่อกับแม่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยคิดที่จะเลิกรักกันเลย...”
“...”
“แล้วลูกน่ะ ถ้ารักหนูแก้วก็อย่าทำให้เขาร้องไห้นะ มันบาป...”
“ไม่มีทางหรอกพ่อ ถึงก่อนหน้านี้จะเคยก็เถอะ”ผมบอกกับพ่อแล้วเค้นหัวเราะเบาๆ “ผม ขอสัญญาเลยว่าถ้าแก้วตื่นมาเมื่อไหร่ผมจะขอเป็นคนดูแลเธอและจะไม่ทำให้เธอ ร้องไห้อีก เพราะผมรู้แล้วว่าแก้วน่ะร้องไห้เพราะผมมามากแค่ไหน และต่อไปนี้...มันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
“งั้นก็ขอให้มันเป็นดั่งที่ลูกหวังก็แล้วกัน”
“ความหวังของผมน่ะ...คือผมอยากให้แก้วตื่นมาทันวันเกิดของผมจังเลยอ่ะพ่อ ถ้าโชคชะตาไม่ใจร้ายกับผมจนเกินไปน่ะนะ”
“รักจริงหวังแต่งแบบนี้โชคชะตาใจร้ายกับลูกไม่ลงหรอกเชื่อพ่อสิ^^”
“ก็ขอให้คำพูดพ่อเป็นจริงก็แล้วกัน”ผมยิ้มให้พ่อก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่กำลังทอแสงส่องลงมา
ก้อนเมฆที่เคยจับตัวเป็นก้อนเริ่มคลายออกจนท้องฟ้าแลดูน่ามองมากถึงฝนจะตก อยู่ วันนี้ทั้งคำพูดของพ่อแล้วก็ไอ้จองเบมันเป็นกำลังใจให้ผมมากๆ มันทำให้ผมสบายใจขึ้นและไม่ท้อ ไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไงผมก็จะรับมันเอาไว้ให้ได้ ถ้าวันเกิดของผมผ่านไปแบบที่ไม่มีแก้วตื่นมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์ในวันนั้นก็ไม่เป็นไร
แต่ในใจก็แอบหวังนะ...
ได้โปรด...ขอให้คำขอของผมเป็นจริงได้มั้ยนะ?
ผม อยากขอโชคชะตาในใจดังๆว่าถ้าพรุ่งนี้ผมไปเฝ้าแก้วที่โรงพยาบาลขอให้เธอฟื้น ขึ้นมาเจอหน้าผมทีเถอะ แค่ลืมตามองผมก็ยังดีกว่าหลับไหลอยู่แบบนั้น
แต่คุณคิดว่า...คำขอของผมมันจะเป็นจริงมั้ยครับ?
‘ บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรแน่นอนเสมอไป...สิ่งที่คิดอาจไม่เป็นจริง
หรืออาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้ใครจะรู้...
แต่เพียงแค่ขอให้เราเชื่อมั่นในคำขอของตัวเราเอง...ไม่ว่าผลลับจะออกมาเป็นอย่างไร
โชคชะตาเท่านั้นที่รู้...’
_________________________________________________________อัพแล้วจ้าเม้นกันหน่อย แก้วใจจะตื่นไหมนะพรุ่งนี้^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ