Stop หยุดหัวใจนายเย็นชา
เขียนโดย NannyCandy
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.18 น.
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 19.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
36) - It’s Paleness… - ( มันหม่นหมอง... )
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ- It’s Paleness… -
( มันหม่นหมอง... )
โรงพยาบาล XXX
หน้าห้อง ICU
[ บันทึกพิเศษ : โทโมะ ]
“...”
ตอนนี้ก็เป็นบ่ายกว่าๆของวันที่แสนเลวร้ายนี้...
หลังจากเกิดเรื่องผมก็ขออาจารย์ที่กำลังช่วยคุมนักเรียนอยู่ที่ สนามฟุตบอลว่าขอมาดู ‘แฟน’ ของผมที่บาดเจ็บจากเหตุการไฟไหม้ได้มั้ยเพราะผมเป็นห่วงเธอมากซึ่งพอบอกไปแบบนั้นอาจารย์เขาก็เลยอนุญาติให้ผมมาได้
ส่วนตอนนั้นรถดับเพลิงก็ต่างพากันมาช่วยควบคุมเพลิงแล้วในตอนที่ผมบอกให้ไอ้ เคนตะมันขับรถมันมาส่งที่โรงพยาบาลในตอนที่โทรถามไอ้จองเบว่าไปโรงพยาบาลไหนกัน ก็ปรากฎว่าเป็นโรงพยาบาล XXX นั่นเองซึ่งใกล้กับโรงเรียนของเราอยู่พอสมควร
จนผมกับไอ้เขื่อนมาถึงที่โรงพยาบาลนี้ได้สักพักแล้วและขณะนี้ผมก็กำลังนั่ง อยู่หน้าห้อง ICU
อ้อ! ลืม บอกก่อนหน้านี้ในตอนที่ผมกับไอ้เคนตะมาถึงผมก็ถามอาจารย์ผู้หญิงที่เป็นคนพา แก้วขึ้นรถพยาบาลมาอาจารย์เขาบอกว่าแก้วตอนที่อยู่รถพยาบาลนั้นเธอมีอาการ ไม่ค่อยดีเลยและเธอชักหน่อยๆด้วยจนคลอรีนกับจองเบต้องช่วยกันขับแขนเอาไว้และ พยาบาลก็ต้องรีบเอาเครื่องช่วยหายใจช่วย
ไม่อย่างงั้นแก้วคงจะ...ขาดอากาศ
และ อาจารย์เขาก็ได้ขอเบอร์พ่อแก้วจากผมเพราะผมตอบว่ามีเบอร์ผู้ปกครองของแก้ว อยู่อาจารย์เลยขอเบอร์เอาไปโทรแจ้งตรงอีกมุมได้สักพักแล้วล่ะครับ
“ใจเย็นๆเพื่อน”เคนตะ ที่นั่งอยู่ข้างๆผมเอามือมาตบบ่าผมเบาๆเพราะมันคงจะเห็นว่าสีหน้าของผมแลดู เคร่งเครียดและไม่ค่อยดีเท่าไหร่แถมมือที่จับประสานเอาไว้ก็สั่นหน่อยๆเพราะ ว่า...
...กังวล...
ใครบ้างล่ะไม่กังวล เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก่อนวันสำคัญ 1 วันในชีวิตนี่มันเป็นอะไรที่แย่ๆสุดๆไปเลยนะ ผมก็เชื่อนะว่าถ้าคุณเจอแบบผมในตอนนี้
คุณคงไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่หรอก...
“เคนตะ แกโทรหาเพื่อนเรายัง มันจะมากันมั้ย”ไอ้จองเบที่นั่งอยู่อีกข้างถามเคนตะ
“เมื่อกี้โทรไปแล้วมันบอกเดี๋ยวตามมาทีหลังเพราะว่ายัยฟางยังของขึ้นอยู่เลยต้องให้สงบสติอารมณ์ก่อน ขืนพามาเจอแก้วเข้าห้อง ICU มีหวังต้องรีบกลับไปจัดการพิมพ์จนเละแน่ๆ”เคนตะพูดบอก
จริงสิ...ผมน่ะพูดว่ายัยพิมพ์ไปก็แรงพออยู่ ตามจริงอยากทำมากกว่านั้นแต่ไม่...
เพราะผมรังเกียจที่จะต้องเอามือของตัวเองไปแตะตัวยัยนั่น ไม่ได้เวอร์นะแต่มันคือเรื่องจริง และขอบอกเลยว่ายัยพิมพ์เป็นคนที่โชคร้ายมากที่เจอผมด่ากราดแบบนั้นเพราะปกติ ผมจะไม่ด่าใครถ้าไม่จำเป็นแต่เรื่องแบบนี้มันทำแรงและเกินไปแล้วผมจึงยอมไม่ ได้ที่จะอยู่เฉยๆ
แต่ ที่ผมไม่ได้เอาเรื่องไม่ใช่ว่าจะไม่ แต่ผมอยากรอแก้วฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วถามความเห็นจากเธอ เพราะเรื่องแบบนี้ผมคิดทำคนเดียวไม่ได้หรอก เพราะบางทีแก้วอาจไม่ได้ต้องการให้มันเป็นเรื่องใหญ่แบบนั้นก็เป็นได้
เพราะผมรู้...รู้ว่าแก้วเธอเป็นคนที่พยายามทำให้ตัวเองดูเข้มแข็งเพื่อครอบ ครัว และพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองมีปัญหากับใครเพราะครอบครัวอีกเช่นกัน เธอรักพ่อกับน้องชายของเธอมากเพราะว่าเธออยู่กับครอบครัวเล็กๆที่อบอุ่น นั่นแหละที่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมมองออกว่าแก้วนั้นทำไมถึงได้เป็นคนใจเย็นนัก ทั้งที่เรื่องบางเรื่องมันก็เกินจะแบกรับไหว
แต่แก้วก็ไม่เคยเอาปัญหาไปบอกกับพ่อให้ท่านไม่สบายใจ...
ผมก็เข้าใจนะว่าเธอไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง...แต่เอาตามตรง จะหาว่าผมมันเป็นผู้ชายที่ไม่ดีก็ได้เพราะ...
ถ้าหากมันเป็นไปได้ผมอยากจะโยนยัยพิมพ์นั่นเข้าไปในโรงขยะที่ไฟกำลัง ไหม้เสียเหลือเกินเพื่อให้เธอได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่ต้องไปติดอยู่ในนั้น แบบแก้วเสียบ้าง จะได้รู้ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน และผมปล่อยเธอไปนี่ก็บุญเท่าไหร่แล้วที่ไม่แจ้งอาจารย์ว่ายัยนั่นเป็นคนสั่ง ให้เพื่อนของเธอขังแก้วเอาไว้
แต่ผมขอบอกไว้เลยว่าถ้าแก้วเป็นอะไรไปล่ะก็ยัยผู้หญิงใจร้ายนั่นจะไม่เหลือ ที่ยืนอีกเด็ดขาดและผมจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลยคอยดูสิ!
“แล้วแกจะเอาไงต่อ...จะเอาเรื่องยัยนั่นรึปล่าว”
“ปล่อยไปก่อนเหอะ...แต่ถ้าแก้วเป็นอะไรไปยัยพิมพ์นั่นไม่ตายดีแน่”ผมพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบขณะที่สายตาก็หันไปมองจดจ่ออยู่กับประตูห้อง ICU ที่ตอนนี้ไม่เปิดออกมาสักที
บ้าชะมัด! อย่าทำให้ลุ้นเหมือนในละครหลังข่าวจะได้มั้ยวะ?!
รู้มั้ยว่าตอนนี้ผมห่วงแก้วแทบจะบ้าตายอยู่แล้วนะเว้ยเฮ้ย เครียดนะเนี่ย! หมอรีบเปิดประตูออกมาบอกอาการแก้วกับพวกผมเลยเร็ว!!
เปิด!!!
แอ๊ด...
“เฮ้ยเปิดแล้ว”ไอ้จองเบรีบสะกิดผมทันทีที่ตอนนั้นประตูของห้อง ICU เปิดออก
ในตอนนั้นผมกับเคนตะจองเบแล้วก็คลอรีนที่กำลังนั่งกันอยู่จึงลุกขึ้นยืนทันที เพราะว่าอยากฟังคำของคุณหมอผู้มีอายุใส่แว่นที่เพิ่งเดินออกมาจากห้อง ICU พูดบอกอาการแก้ว
“เพื่อนพวกหนูเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”คลอรีนถามคุณหมอมีอายุคนนั้นเพราะว่าเธอยืนอยู่ใกล้กว่าพวกผม
“เอ่อ...ตอนนี้คนไข้ปลอดภัยแล้วนะครับ...”เมื่อคุณหมอพูดแบบนั้นผมจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่หากทว่าคำพูดของคุณหมอหลังจากนั้นทำเอาผมแทบน้ำตาคลอ “แต่ว่า...หมอไม่มั่นใจนะว่าคนไข้เขาจะได้สติขึ้นมาอีกทีเมื่อไหร่...”
“ทะ...ทำไมล่ะครับ”ผมถามคุณหมอเสียงสั่นๆ
คุณรู้มั้ย...ว่านั่นคือสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยเพราะ...พรุ่งนี้เป็นวันเกิดผมนะ...
แถมมันยังเป็นวันแห่งความรักและถ้าแก้วยังไม่ตื่นขึ้นมาล่ะผมคง...เสียใจมาก
ให้ตายเหอะพระเจ้า! ท่านจะกลั่นแกล้งกันไปถึงไหนกัน! รู้ มั้ยว่าทำแบบนี้มันแรงเกินไป ทำไมคนบนฟ้าถึงทำแบบนี้กับผมนะ ผมล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าทำไมพอถึงตอนที่ผมรู้ใจตัวเองว่าผมรักแก้ว มากๆทำไมจะต้องมีเรื่องร้ายๆแบบนี้เกิดขึ้นกันด้วยวะ
...แม่ง...
“คือ...คน ไข้เพื่อนของพวกหนูน่ะได้สูดควันไฟและอากาศที่ไม่บริสุทธิ์เข้าไปเยอะมากจน หยุดหายใจไปชั่วขณะ แต่ตอนนี้เธอกลับมาหายใจได้ปกติแล้วแต่ต้องการ การพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ก่อนจนกว่าคนไข้จะฟื้นได้สติขึ้นมานะครับ”
“มะ...หมายความว่าไม่มีทางรู้เลยเหรอครับว่าเธอจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่”ผมถามอีกครั้งซึ่งคลอรีนกับไอ้จองเบแล้วก็ไอ้เคนตะต่างมองมาที่ผมด้วยความเป็นห่วง
“อัน นี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการปรับสภาพร่างกายและลมหายใจของคนไข้นะครับว่าจะรับ สารบริสุทธิ์เข้าไปได้เยอะเพียงไหน ถ้าร่างกายของคนไข้ปรับสภาพได้เร็วก็มีสิทธิ์ที่จะฟื้นได้ในเวลาที่ไม่นาน นัก แต่ถ้าร่างกายของคนไข้อ่อนแอไม่แข็งแรงก็มีสิทธิ์ที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ ช้า...”
“...แล้วถ้าเพื่อนหนูฟื้นขึ้นมามีโอกาสที่จะเป็นโรคภูมิแพ้รึปล่าวคะ”คลอรีนถาม
นั่นสินะ...แก้วสูดควันไปเยอะขนาดนั้นนี่นา
“ถ้า สภาพร่างกายของคนไข้อ่อนแอมากๆก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคหอบหืดได้ครับ...แต่พวก หนูไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เพราะหมอจะให้ออกซิเจนสะอาดกับคนไข้ผ่านทางเครื่องช่วยหายใจตลอด 24 ชั่วโมงจนกว่าคนไข้จะฟื้นตัว”คุณหมอพูดแล้วยิ้มบางๆเพื่อให้กำลังใจ
แต่ผมเนี่ยสิ...โคตรห่วงแก้วอ่ะ
‘หอบหืด’ เหรอ...ไม่เอานะ ยัยนั่นตัวแห้งอย่างกับกิ่งไม้ ( ประชดนะครับ = =;;; ) เป็นหอบหืดอีกนี่คงไม่ไหวมั้ง?
“ครับ...”ผมตอบรับเบาๆ
“งั้น หมอขออนุญาตไปดูคนไข้รายอื่นก่อนนะ ส่วนเพื่อนของหนูตอนนี้ยังเข้าเยี่ยมไม่ได้นะครับเพราะต้องรอให้พยาบาล จัดการให้น้ำเกลือและทำอะไรให้เสร็จเสียก่อน งั้นหมอขอตัวนะครับสวัสดีครับ”
เมื่อคุณหมอบอกพวกผมที่ยืนอยู่ก็ยกมือไหว้คุณหมอ คุณหมอก็รับไหว้อีกครั้งก่อนจะเดินไปยังอีกทาง ซึ่งในจังหวะที่ผมหันไปมองคุณหมอที่กำลังเดินไปอาจารย์ที่เหมือนว่าเพิ่งจะ คุยโทรศัพท์กับพ่อของแก้วเสร็จก็เดินมาพอดีเลยแวะคุยกับคุณหมอเพื่อถามอาการ
ตอนนั้นผมก็ละสายตาออกมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองป้าย ข้างบนห้องตรงหน้าที่เขียนว่า ICU ซึ่ง นั่นก็ทำให้แต่ผมได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินไปอยู่ตรงประตูแล้วเอาข้อศอกยัน ประตูไว้ก่อนจะเอาหัวแนบลงไปพลางก้มหน้าแล้วกลืนน้ำลายลงคอ
และตอนนี้ผมก็รับรู้ได้ถึงบริเวณขอบตาที่กำลังเริ่มร้อนผาวขึ้นมา...
‘ แต่ว่า...หมอไม่มั่นใจนะว่าคนไข้เขาจะได้สติขึ้นมาอีกทีเมื่อไหร่...’
“ปล่อยมัน...”เสียง โทนต่ำบวกกับห่วงใยของไอ้จองเบที่เหมือนว่าจะพูดกับเคนตะที่เห็นว่าผมดูไม่ค่อย โอเคล่ะมั้งแล้วมันอาจจะกำลังเดินมาหาแต่ไอ้จองเบพูดไว้เสียก่อน
ผมน่ะเป็นประเภทที่ว่าเวลาที่เสียใจอะไรผมจะชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่อยากให้ใครปลอบเท่าไหร่เพราะว่าอยากหายซึมเองมากกว่า
“ฮืม...”ผมว่า...วันนี้ผมคงถอนหายใจออกมาอีกเป็นร้อยๆครั้งแน่ๆเลยครับ...
ให้ตายสิแล้วแก้วจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่กัน พรุ่งนี้? เห๊อะ! หมดหวังไปเลยเถอะแบบนั้น ขนาดคุณหมอเองก็ยังไม่มั่นใจเลยว่าจะฟื้นเมื่อไหร่เพราะสูดควันเข้าไปเยอะ แล้วผมจะไปเดาอะไรได้
แต่บอกเลยนะตอนนี้อยู่ใน‘ระยะทำใจ’ อย่างเดียวเลยเอาจริงๆ...
[ จบบันทึกพิเศษ : โทโมะ ]
“เพื่อนคนนั้นเขาจะอยู่ที่นี่ก่อนใช่มั้ย ‘เนวิกา’”
คลอรีน ที่กำลังยืนมองดูโทโมะเงียบๆก็จำต้องหันหน้าไปหาอาจารย์ผู้หญิงอายุปานกลางที่ เป็นอาจารย์ที่คุ้นเคยกับเธอดีเพราะว่าคลอรีนนั้นเป็นนักเรียนดีเด่นของ โรงเรียน เรียนดี ฉลาด หลักแหลมไปเสียทุกอย่าง ใครบ้างในโรงเรียนจะไม่รู้จักเธอคนนี้
ไม่ใช่แค่เฉพาะในโรงเรียนหรอกที่จะรู้จักเธอ เพราะคลอรีนนั้นได้ถูกโหวตให้เป็นหนึ่งในสิบของเด็กที่เป็นแบบอย่างที่ดีใน เว็บบอร์ดยอดนิยมของวัยรุ่นอีกด้วย
“หนูว่าคงจะเป็นแบบนั้นล่ะค่ะ”คลอรีนตอบแล้วหันไปมองโทโมะอีกรอบ
ในสายตาของเธอโทโมะคือเพื่อนที่ดีของเธอคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าเขาจะเคยสารภาพรักกับเธอมาก่อนว่าแอบรักเธอมานานตั้งแต่ ม.ต้น แต่เธอก็ปฏิเสธไปเพราะว่าเธอเป็นคนที่ตรงไปตรงมา
ภายในหัวใจของเธอเองเธอนั้นรู้เสมอว่าเธอ‘รักใคร’ และเธอคิดกับโทโมะยังไงก็ยังเป็นแบบนั้นเสมอ...
“เมื่อครู่นี้ครูโทรหาพ่อของนักเรียนที่อยู่ ICU คนนั้นแล้วนะ เขาบอกว่ากำลังจะมาที่นี่”อาจารย์คนนั้นพูดบอกก่อนที่จะมีโทรศัพท์โทรเข้ามาหาอาจารย์คนนั้นอีกครั้ง “ฮัลโหลค่ะ ค่ะตอนนี้นักเรียนคนนั้นปลอดภัยแล้วค่ะ...”
วูบ...
และในระหว่างที่อาจารย์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้น คลอรีนเหมือนจะรับรู้ว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งกำลังจับจ้องมองมาที่เธอ และเมื่อเธอหันไปมองก็เห็นว่าตอนนี้จองเบกำลังยืนมองเธออยู่นั่นเอง ปากของจองเบเหมือนกำลังอยากจะพูดบอกอะไรกับคลอรีนสักอย่างแต่เขาก็เลือก ที่จะมองมากกว่า
“...”คลอรีนมองจองเบเพียงชั่วขณะก่อนที่เธอจะละสายตาจากดวงตาคู่สวยของจองเบไปมองยังที่อื่น
เธอไม่ได้อยากจะทำแบบนี้ แต่เพราะมันมีอะไร ‘บางอย่าง’ ที่ทำให้เธอต้องทำเย็นชาใส่จองเบทั้งๆที่จองเบเขาก็ไม่ได้ผิดอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่พูดและพยายามที่จะลืมเขาให้ได้
แต่เธอจะลืมคนรักที่เป็น‘รักครั้งแรกของกันและกัน’ ได้ลงคอเชียวหรือ?
สิ่ง นี้ไม่มีใครรู้นอกจากตัวของคลอรีนเอง แต่กับจองเบเขานั้นมีสายตาที่เปิดเผยเวลาที่มองเธออย่างซื่อตรงเพราะความ รู้สึกที่เขามีให้กับคลอรีนนั้นยังคงเหมือนเดิมเสมอไม่เปลี่ยนแปลง
สัมผัสนั้นที่จองเบเคยมอบให้คลอรีนมันยังคงไม่จางหายไปจากใจเลยแม้แต่ น้อย แต่นานวันมันก็ยิ่งฝังลึกเข้าไปทุกที แต่สุดท้ายคลอรีนก็เลือกที่จะเดินออกมาจากจองเบด้วยเหตุผลของเธอที่มันยังคง เป็น‘ความลับ’ มาตลอดตั้งแต่เลิกรากัน
แต่เชื่อเถอะ...สักวันความลับนั้นมันต้องมีวันที่จะ ‘เปิดเผย’ ออกมาในไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน...
“เนวิกา”
“คะ?”คลอรีนหันไปหันอาจารย์อีกครั้งเมื่ออาจารย์คนนั้นที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จ
“หนู จะอยู่ที่นี่ก่อนรึปล่าว ถ้าไม่หนูกลับบ้านได้เลยนะเพราะทางโรงเรียนโทรมาบอกครูว่าหน่วยกู้ภัยควบคุม เพลิงได้แล้วและปล่อยให้นักเรียนกลับบ้านได้แต่เดี๋ยวครูจะกลับไปคุยกับทาง ผอ. เรื่องที่เกิดอุบัติเหตุกับเพื่อนของเธออีกทีแล้ว...หนูจะไปพร้อมครูเลยรึปล่าว?”
“เดี๋ยวหนูกลับเองค่ะอาจารย์ ”คลอรีนบอกอาจารย์จึงพยักหน้ารับเบาๆ “เอ่อ อาจารย์คะแล้ว...พรุ่งนี้ต้องมาเรียนรึปล่าวคะ”
“อ้อ จริงสิ ครูลืมบอกไปเลยว่าไม่ต้องมา จะมาอีกทีก็อาทิตย์หน้าเลยจ้ะ เพราะนักเรียนที่อยู่บนอาคาร 5 ค่อนข้างเสียขวัญเอาการให้มาเรียนตามปกติในวันพรุ่งนี้ก็คงจะไม่ค่อยดีเท่า ไหร่”
“...”
“โอเค ถ้าไม่มีอะไรแล้วครูกลับโรงเรียนก่อนนะ”
“ค่ะ”ไม่นานนักที่คลอรีนนั้นมองตามแผ่นหลังของอาจารย์ไป และในใจเธอก็คิดว่าตัวเองควรจะกลับบ้านได้แล้ว
“อ้าว จะกลับแล้วเหรอคลอรีน O_O?”เสียงของเคนตะเอ่ยทักคลอรีนจึงหันไปพยักหน้าให้เขา
“อื้ม”เธอตอบและพยายามไม่มองไปที่จองเบ
“แล้วอาจารย์อ่ะ”
“อาจารย์จะกลับไปคุยกับ ผอ. ที่โรงเรียน แล้วพรุ่งนี้ไม่ต้องมาเรียนนะอาจารย์บอกให้มาอาทิตย์หน้าเลย”
“อ้อ โอเคๆ”
“งั้นฉันกลับก่อนนะ”
คลอรีน บอกเคนตะเพียงแค่นั้นก่อนที่สายตาของเธอจะเหลือบไปมองจองเบเพียงแว๊บเดียวก่อน จะตัดสินใจเดินหันหลังออกมาจากตรงนั้นทันที ปลายเท้าที่ก้าวไปเรื่อยๆของคลอรีนนั้นเธอไม่ได้รับรู้เลยว่ามีใครคนหนึ่ง เดินตามเธอมาตั้งแต่หน้าห้อง ICU แล้ว
และเมื่อเธอเดินมาจนถึงหน้าลิฟท์และกดให้มันเปิดออกในจังหวะที่เธอ เดินก้าวขาเข้าไปเธอก็ถึงกับตกใจหน่อยๆที่เห็นว่าจองเบนั้นรีบเดินตามเธอเข้า มาในลิฟท์ด้วย
กึก!
“...!”
“...”
คลอรีนถึงกับชะงักไปเมื่อเธอเห็นจองเบยืนอยู่ตรงหน้าในขณะที่ลิฟท์ก็ได้ปิดตัวลงจนภายในนี้มีเพียงแค่เขาสองคนเท่านั้น
“...”คลอรีนรีบปรับสีหน้าให้ดูเป็นปกติก่อนที่เอจะทำราวกับว่าไม่มีอะไรแล้วยื่นมือไปกดปุ่มเลขเพื่อลงไปยังชั้นล่าง
“กลับยังไงเหรอ”น้ำเสียงนุ่มนวลของจองเบเอ่ยขึ้นถามคลอรีน
“เดี๋ยวโทรให้คนขับรถที่บ้านมารับ”คลอรีนตอบแต่ก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองจองเบ
แต่ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะตอบแบบสดใสๆกับจองเบ แล้วจองเบก็จะอ้อนขอไปส่งเธอเองทุกครั้ง แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ตอนนั้นเพราะมันเปลี่ยนไปแล้ว
“อ้อ”จองเบพูดเพียงเท่านั้นก่อนที่เขาจะเดินไปพิงอยู่กับผนังลิฟท์เงียบๆ แต่ในความคิดของเขานั้นเขาอยากจะไปส่งเธอมากจริงๆ
“...”
“คลอรีน...” เมื่อจองเบเอ่ยเรียกชื่อคลอรีนขึ้น คลอรีนที่กำลังยืนหันหลังให้จินอยู่นั้นก็กำมือของตัวเองแน่นเหมือนพยายามเก็บความรู้สึกของตัวเอง “ให้ฉันไปสะ...”
ตื๊ด...ตื๊ด...
ในจังหวะที่จองเบกำลังจะขออาสาไปส่งคลอรีน เสียงโทรศัพท์มือถือของคลอรีนก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน...
คลอรีนหยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าเสื้อสูทขึ้นมาดูว่าใครโทรมาและเหมือนว่าเธอจะผงะไปนิดนึงก่อนจะกดรับสายที่โทรมา
“ฮัลโหล...”คลอรีนตอบรับปลายสายเสียงเบาเหมือนกลัวว่าจองเบจะได้ยินที่เธอคุย
ภายในหัวของจองเบตอนนี้ก็คือ...คลอรีนคุยกับใคร?
“...”
“ฉันอยู่โรงพยาบาลพอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะกำลังจะกลับ...”ในตอนนั้นที่คลอรีนเผลอหันมามองจองเบที่กำลังมองเธอนิ่งๆแต่คลอรีนก็รีบทำเป็นมองไปทางอื่นทันที “อยู่โรงพยาบาล XXX จะมารับเหรอ...”
“คุยกับใครวะ...”จองเบเอ่ยขึ้นเสียงเบาๆพลางหรี่ตามองคลอรีนแล้วกำหมัดในมือของตัวเองแน่นเหมือนว่าไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่
“อืม...เดี๋ยวรออยู่หน้าโรงพยาบาลละกัน”เมื่อคลอรีนพูดจบเธอก็กดตัดสายทันทีก่อนจะเอาโทรศัพท์เก็บเอาไว้ในกระเป๋าเสื้อสูทตามเดิม
ติ๊ง!
ใน จังหวะนั้นที่ลิฟท์เปิดออกเพราะว่าถึงชั้นล่างแล้ว คลอรีนก็รีบเดินออกไปจากลิฟท์ทันทีโดยไม่ได้หันมามองจองเบเลย แต่จองเบก็กลับเดินตามไปคว้ามือของคลอรีนไว้จากทางด้านหลังเสียก่อน
หมับ...
“เดี๋ยวมีคนมารับเหรอ”จองเบถามเมื่อเห็นว่าคลอรีนหันมามองเขาแล้ว แต่สายของคลอรีนจากที่มองหน้าจินอยู่ก็ก้มลงมองมือของเธอที่โดนจองเบจับเอาไว้
เมื่อจองเบเห็นแบบนั้นเขาจึงปล่อยมือออก...
“อืม...”คลอรีนบอกแล้วพยักหน้าให้จองเบหน่อยๆ
“งั้น...กลับดีๆนะ”
และนั่นก็คือคำพูดทิ้งท้ายของจองเบก่อนที่จองเบจะหันเดินออกมาทันทีเพราะเหมือน ว่าสิ่งที่เขาอยากถามว่า‘ใครมารับ?’ แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะถามเพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ในฐานะใดๆกับคลอรีนทั้งสิ้น แต่ลึกๆแล้วเขานั้นอยากจะรู้มากๆว่าคนที่โทรมาเป็นใคร
คนขับรถ? เพื่อน? หรือว่า... ' แฟนใหม่ '
“จะ...”ไม่รู้เพราะอะไรคลอรีนถึงอยากเรียกจองเบขึ้นมา แต่เธอกลับหยุดชะงักคำพูดเอาไว้เมื่อเห็นว่าจองเบเดินไปอีกทางแล้วและอีกอย่าง
ตั้งแต่เลิกกันเธอก็พยายามที่จะไม่เรียกชื่อผู้ชายคนนี้อีก...
และไม่นานนักเมื่อคลอรีนที่ยังยืนอยู่ที่เดิมหันหน้ามองออกไปหน้าโรงพยาบาลก็เห็นว่ามีรถยนต์รุ่น Corvette Stringray สี ดำมาจอดเทียบอยู่เมื่อคลอรีนเห็นเธอจึงทำท่าว่าจะเดินออกไป แต่จู่ๆฝีเท้าก็หยุดชะงักลงแล้วหันกลับมองยังทางที่จองเบเดินไปแล้วอีกครั้ง
ถึงแม้ตอนนี้จะไม่เห็นเขาแล้วก็ตาม...
เมื่อ เป็นเช่นนั้นเธอจึงตัดสินใจเดินออกจากโรงพยาบาลไปขึ้นรถคันนั้นที ก่อนที่มันจะค่อยๆขับเคลื่อนออกไป แต่คนที่นั่งอยู่ข้างในรถยนต์คันนั้นคงไม่รู้หรอกว่ามีใครบางคนแอบมองอยู่ ตั้งแต่ตอนที่เขาปลีกตัวออกมาจากคลอรีนแล้ว แต่เขายังไม่ได้ไปไหนแต่แอบยืนมองเธออยู่ตลอด
และคนๆนั้นก็คือจองเบนั่นเอง
“ใครวะ”จองเบพูดหลังที่ขมวดคิ้วแล้วคิดอยู่นานแต่ก็...ไม่น่าจะใช่คนขับรถแน่ๆ
แล้วใครกันคือคนที่มารับคลอรีน!!
อีกฝั่ง
“พะ...พิมพ์”
เสียง เรียกที่ดูเบาบางและสั่นเครือของจินนี่เอ่ยเรียกพิมพ์ที่กำลังนั่งหันหลังให้ เธออยู่หลังจากที่ทางโรงเรียนด้วยปล่อยให้ทุกกลับบ้านได้แล้วเพราะได้เกิด เหตุการณ์ไฟไหม้ขึ้น แต่ว่าพวกพิมพ์นั้นยังไม่กลับแต่กลับมานั่งอยู่ที่หลังโรงเรียนเงียบๆแทน และตั้งแต่ที่พิมพ์กรีดร้องที่หน้าโรงขยะเธอก็ไม่พูดจาอะไรกันใครเลย
แต่ถึงไม่พูดสีหน้าของเธอก็ดูเย็นชาและนิ่งงันมีดวงตาที่แข็งกร้าวอยู่
“ลองเอาน้ำไปให้มันสิ”เฟื้องฟ้าที่ยืนอยู่ข้างๆจินนี่เอ่ยบอกแล้วยื่นขวดน้ำปล่าวให้จินนี่เอาไปให้พิมพ์จินนี่ก็รับน้ำขวดนั้นมาก่อนจะเดนิเข้าไปหาพิมพ์แล้วเอมือสะกิดไหล่พิมพ์ ที่กำลังนั่งหันหลังให้อยู่
“พิมพ์”
“...”พิมพ์เงียบ
“พิมพื อะ...เอาน้ำมั้ย?”
ฟึ่บ!
“...!”ตอน นั้นจินนี่เบิกตากว้างหน่อยๆเมื่อพิมพ์ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วหันมาหาเธอ แล้วมองมาที่เธอตรงๆด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะเอามือปัดขวดน้ำในมือจินนี่ออก
พรึ่บ!
เพี๊ยะ!!
“โอ๊ย!!”จินนี่ร้องขึ้นมาเมื่อพิมพ์ปัดขวดน้ำออกแล้วใช้ฝ่ามือข้างนั้นตบเข้ามาที่ใบ หน้าของเธอแบบเต็มแรงจนทำให้ใบหน้าของจินนี่นั้นหันไปอีกทาง
และผลปรากฏว่าตรงมุมปากของจินนี่แตกออกก่อนจะมีเลือดซึมออกมาอย่างเห็นได้ชัด!
“ยัยเพื่อนสารเลว!”พิมพ์ตะคอกใส่จินนี่ “แกรู้มั้ยว่าฉันอับอายแค่ไหน ฮะ! แกรู้มั้ย!?”
“โอ๊ยพิมพ์เจ็บ! ><! ”จินนี่ร้องออกมาเมื่อพิมพ์นั้นจัดการกระชากผมของเธอแล้วกำมันเอาไว้ในมือก่อนจะกระตุกดึงอย่างแรง
“ทำไมแกไม่บอกไปล่ะว่าแกเป็นคนทำเอง!”
เมื่อพิมพ์พูดจาเห็นแก่ตัวแบบนั้นออกมาเฟื้องฟ้าที่ยืนอยู่สถานการณ์อยู่ก็หรี่ตามอง พิมพ์เงียบๆ และเธอเหมือนว่ากำลังรอคอยว่าต่อไปพิมพ์จะพูดคำว่าอะไรอีก
“ฉะ...ฉัน”
“รู้มั้ยว่าพอแกบอกความจริงไปฉันนี่แทบจะเอาหน้ามุดดินอยู่แล้ว! แถมโ?โมะยังมาพูดจาเจ็บแสบใส่ฉันแบบนั้นอีก! เป็นเพราะแกยัยจินนี่ มันเป็นเพราะแก!”
ผลัก!
“ฟะ...เฟื้องฟ้า”จินนี่พูดเมื่อเห็นว่าเฟื้องฟ้าเดินเข้ามาผลักพิมพ์ออกไปจนพิมพ์ตกใจ
“...”เฟื้องฟ้ามองพิมพ์นิ่งๆแบบไร้ความรู้สึกก่อนที่จะเดินเข้าไปหาพิมพ์พร้อมกับฝ่ามือที่เหวี่ยงไปตรงแก้มขวาของพิมพ์อย่างเต็มแรง
เพี๊ยะ!!!
“ยะ...ยัยเฟื้องฟ้า?”พิมพ์ถึงกับมีสีหน้าที่ไม่เข้าใจอย่างแรงเมื่อเห็นเฟื้องฟ้าเป็นเช่นนี้และที่สำคัญ
เฟื้องฟ้าตบหน้าเธอ...
ตบแบบว่าตั้งใจแบบสุดๆทั้งๆที่ปกติเฟื้องฟ้าจะอยู่ข้างพิมพ์และไม่พูดอะไรใดๆค้าน พิมพ์ทั้งสิ้น แต่ทำไมวันนี้เฟื้องฟ้าถึงทำกับเธอแบบนี้ นี่แหละคือสิ่งที่พิมพ์ไม่เข้าใจเพราะว่าเธอยังไม่สำนึกยังไงล่ะ
“...”เฟื้องฟ้าทำหน้าแบบไม่รู้สึกอะไรเพราะเธอเอาแต่มองพิมพ์นิ่งๆก่อนจะเดินมาหยุดขั้นกลางระหว่างจินนี่กับพิมพ์
“เฟื้องฟ้าแกจะทำอะไรเนี่ย”จินนี่ถามเฟื้องฟ้าแล้วมองไปที่พิมพ์ซึ่งตอนนี้กำลังกำหมัดในมือแล้วมองหน้าเฟื้องฟ้า
“หน้าด้านเน๊อะ...”นั่นเป็นคำพูดแรกที่เฟื้องฟ้าเอ่ยออกมาขณะที่มองหน้าพิมพ์ไปด้วย “แกพูดมาได้ไงอ่ะ ว่าจะให้ยัยจินนี่ยอมรับว่าเป็นตัวเองเป็นคนทำ” เฟื้องฟ้าพูด
“ก็มันเป็นเบ๊ในกลุ่มเรา และฉันเป็นหัวหน้ามีหน้าที่สั่ง มันก็มีหน้าที่ทำตาม!”พิมพ์บอกแล้วมองค้อนใส่จินนี่ “เมื่อมันทำอะไรไม่ได้ดั่งใจฉันก็แค่จัดการ ก็แค่นั้น”พิมพ์เค้นเสียงใส่
“เบ๊? หัวหน้า? เห๊อะ...ตลกอ่ะ”เฟื้องฟ้าเค้นหัวเราะก่อนจะมองพิมพ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ที่ผ่านมาอ่ะพวกเราก็แค่ทำอะไรสนุกๆใช่มั้ย? โอเค๊ ยอมรับ ว่ากลุ่มเราร้ายก็จริงแต่ไม่ได้‘เลว’ ที่พูดเนี่ยหมายถึงเมื่อก่อนนะ”
“หมายว่าความว่าไง”พิมพ์ถามแล้วถลึงตาใส่เฟื้องฟ้าทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“ก็ เพราะว่าตอนนี้มีแกคนเดียวไงที่ทั้งร้ายทั้งเลว จะบอกให้นะฉันสังเกตมาหลายครั้งจนสุดทนแล้วกับความเห็นแก่ตัวและหน้าด้านของ แก อย่างเช่นเรื่องโทโมะ...”
“...”
“รู้ว่าเขาไม่ชอบก็ยังจะชอบเขา...อันนี้ไม่ผิด เพราะว่าเราชอบใช่มั้ย? แต่...แกชอบแล้วแกดันมาหวงเขาออกนอกหน้าถึงขนาดที่ว่าตามไปตบผู้หญิงที่มีสัมพันธ์ทางใจกับโทโมะอย่างยัยนั่นน่ะ มันน่าดูน่าเกลียดนะอ้อไม่สิ! เพราะมันโคตรน่าเกลียดเลยอ่ะ”
“นี่แกด่าฉันเหรอ...แกด่าฉันทั้งๆที่ที่ผ่านนี่แกก็เป็นคนสนับสนุนฉันไม่ใช่?”
“ก็ ที่ทำแบบนั้นมันแค่เป็นการลองใจไงว่า...คนแบบแกจะทำอย่างที่ฉันเสนอรึปล่าว แล้วแกก็ทำสิ่งนั้น...ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้บังคับเพราะมันเป็นความคิดของแกเอง และไอ้ความคิดนั้นมันคือความคิดของคนไม่มีความคิดทั้งๆที่แกก็มีสมอง แต่แกไม่คิดไงถ้าแกมีสมองแกก็น่าจะคิดได้ไงว่ามันสมควรทำรึปล่าว”
“!!!”
“แต่นี่! เพื่อนบอก...แกก็ทำตามเพราะอะไร? เพราะอยากได้ความสะใจไง ซึ่งนั่นมันโง่มาก! แต่แกก็ทำตามที่ฉันบอก แล้วฉันก็รู้เลยว่าแกมันเป็นคนที่...ใช้ – ไม่ –ได้ ”
“ยัยเฟื้องฟ้า!”เมื่อพิมพ์ที่เหมือนจะทนฟังไม่ไหวจึงตะคอกเสียงใส่เฮเลนทันที
“คน แบบแกอ่ะมันไม่เคยมีใครอยากอยู่ด้วยหรอก ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้อยากจะอยู่ แต่สงสารไง...กลัวแกไม่มีคนอยู่ข้างๆเดินหาเรื่องคนอื่นไปทั่ว”
“นี่แกไม่มีความเป็นเพื่อนให้ฉันเลยใช่มั้ย”
“แกถามตัวแกเองเหอะ ว่ามีความเป็น‘เพื่อน’ ให้ใครบ้าง”เฟื้องฟ้าพูดบอกพิมพ์อย่างเฉียบขาดจนทำเอาพิมพ์ถึงกับพูดไม่ออก “ก็แกเป็นคนพูดเองนี่ว่ายัยจินนี่เป็นเบ๊ในกลุ่มแล้วแกเป็นหัวหน้าแบบนั้นเหรอที่เรียกว่าเพื่อน...”
“...”
“ฉันกล้าพูดจากใจเลยนะว่าถึงฉันจะร้ายขนาดไหน จะด่าจะว่ายัยจินนี่ขนาดไหนแต่ฉันก็ไม่เคยคิดจะตบเพื่อนของตัวเอง แต่ ที่ฉันตบแกเป็นเพราะคิดแล้วว่าคนแบบแกน่ะไม่เหมาะที่จะเป็นเพื่อนกับฉันหรือ กับใครตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปถ้าแกยังทำตัวแบบนี้อยู่”
“ทำไมฉันถึงไม่เหมาะจะเป็นเพื่อนกับใคร!?”
“เพราะแกมันเห็นแก่ตัวไง”
“อ๋อ นี่จะตัดเพื่อนกันเลยใช่มั้ย?”
“...”
“เออได้! ไปเลย! ทิ้งฉันไว้ที่นี่คนเดียวเลยเพราะฉันไม่ต้องการพวกแกหรอก!!”พิมพ์ตะคอกบอกเฟื้องฟ้าทั้งน้ำตาแต่แบบนั้นมันน่าสมเพศเสียมากกว่า
“ไปกันเถอะจินนี่”เฟื้องฟ้าบอกจินนี่ก่อนจะพากันเดินออกมาแล้วทิ้งพิมพ์เอาไว้
“ไปเลย! ไปกันให้หมดเลย!! ไม่มีพวกแกฉันก็อยู่ได้จำไว้!!”
เสียง ของพิมพ์นั้นดังสะท้อนไปทั่วแต่ก็ไม่ได้ทำให้จินนี่กับเฟื้องฟ้าไม่หันกลับมามองแม้ แต่หางตา และแบบนี้มันก็เป็นจริงอย่างที่โทโมะพูดเพราะเวรกรรมมันมีจริง โทโมะบอกพิมพ์ว่าถ้ายังไม่สำนึกก็จะเสียทุกอย่างและจะไม่เหลือใคร และตอนนี้เธอได้เสียเพื่อนไปถึงสองคนแล้ว
ไม่สิ...ต้องเรียกว่าเสีย ‘อะไรก็ไม่รู้’ สำหรับพิมพ์ไปถึงสองคน เพราะว่าในสายตาพิมพ์นั้นเห็นสองคนนั้นเป็นเพื่อนก็ไม่รู้เธอถึงได้ใช้อำนาจของตัวเองมาตลอด
แต่นับตั้งแต่วินาทีนี้สองคนนั้นจะไม่มีวันแคร์ไม่ว่าพิมพ์จะคิดอย่างไรก็ตาม กับพวกเธอเพราะพวกเธอเลือกแล้วที่จะทิ้งคนแบบนี้ไว้คนเดียวเพื่อเป็นบทเรียน อีกบทเรียนในชีวิตที่พิมพ์จะไม่มีวันลืม
ส่วนเธอจะคิดได้ไม่ได้ไม่รู้เพราะว่ามันขึ้นอยู่ที่ตัวของเธอเอง...
__________________________________________________________อัพแล้วอัพช้าหน่อยโทษนะ เม้นหน่อยยย^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ