Stop หยุดหัวใจนายเย็นชา

9.6

เขียนโดย NannyCandy

วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.18 น.

  43 chapter
  860 วิจารณ์
  67.59K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 19.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

23) - Clear - ( กระจ่าง )

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

- Clear - 

( กระจ่าง )

 

สวนสาธารณะ

 

 

4 ทุ่ม

 

 

ติ๊ด!

 

 

           

       ‘ฟาง...ถ้า ได้อ่านข้อความนี้  ฉันขอโทษนะที่ต้องรีบกลับก่อน  เลยไม่ได้โทรบอกก่อน แต่มีธุระสำคัญที่บ้านน่ะ  หวังว่าแกคงไม่โกรธนะ...พรุ่งนี้เจอกัน ^^’  

 

 

“ฮืม...”

 

 

       หลัง จากที่ฉันส่งข้อความไปหาฟางแล้วฉันก็เอาแต่นั่งเงียบแล้วถอนหายใจออกมาอยู่ คนเดียว ในใจก็พลางบอกว่าตัวเองบ้ามากที่มานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวในสวนสาธารณะที่ไม่ มีใครเลย มันเงียบสงัดราวกับความรู้สึกของฉันในตอนนี้ที่ไม่อยากแม้แต่จะพูดอะไรเพียง แค่อยากจะอยู่เงียบๆคนเดียว

 

 

        ตามจริงฉันอยากจะโทรหาฟางนะแต่ถ้าเป็นแบบนั้นฟางต้องรู้แน่ๆว่าฉัน กำลังร้องไห้และฉันเป็นอะไรซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกฟางยังไงดี

 

 

        ใช่...น้ำตาของฉันมันยังไม่หมดไปและมันยังคงอยู่พร้อมกับไหลลงมา เงียบๆ  และฉันรับรู้ได้เลยว่าตาของตัวเองกำลังบวม  ตามจริงฉันก็พยายามแล้วที่จะควบคุมมัน และอยากจะให้เรื่องที่มันเกิดขึ้นเป็นแค่ความฝัน

 

 

        อยากจะให้มันเป็นแค่ฝันร้าย...ไม่สิ!

 

 

       เพราะ ฉันอยากให้เรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ตอนที่ย้ายเข้ามาที่นี่ในบ้านหลังนี้  ในโรงเรียนนี้  และเรื่องทั้งหมดเรื่องที่ฉันได้เจอโทโมะ...เป็นแค่ความฝัน อยากให้ตัวเองตื่นมาแล้วไม่เจอเขาอีก

 

 

       แต่มันก็ทำไม่ได้...

 

 

“อึก” ยิ่งฉันคิดฉันยิ่งร้องไห้มากขึ้นจนต้องเอามือทั้งสองข้างยกขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง

 

 

        ไม่เคยคิดเลยเน๊อะว่า ‘ความรัก’ มันจะทำให้เรา ‘เจ็บปวด’ ได้มากขนาดนี้  แต่โทโมะไม่ผิดหรอก...มันผิดที่ฉันเองที่ไปหลงชอบเขาทั้งๆที่รู้ว่าเขาไม่ไดคิดอะไรก็ยังจะ...

 

 

ฟิ้ว...

 

 

        ลมหนาวๆที่พัดผ่านมาแบบเงียบๆทำให้ฉันต้องปาดน้ำตาของตัวเองเหมือนจะคอยปลอบ ว่าไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรนะ...แต่สิ่งที่คอยย้ำเตือนในตอนนี้ว่าไม่สามารถลบ ทิ้งไปได้เลยคือ

 

 

        สัมผัสนั้น...

 

 

        คิดแล้วฉันก็ยกมือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเองอย่างแผ่วเบาก่อนจะเม้นริม ฝีปากเข้าหากันช้าๆ ‘จูบนั้น’ ของโทโมะคือ ‘จูบแรก’ ใน ชีวิตของฉันตั้งแต่เกิดมา  แต่ช่างน่าเสียดาย...ที่มันไม่ได้มาจากหัวใจข้างในลึกๆของคนที่กระทำมันลง ไป  คิดแล้วก็เจ็บจี๊ดๆขึ้นมาตรงหน้าอกข้างซ้าย

 

 

        เพราะแม้แต่ในเวลาตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้คนที่ทำยังปล่อยให้ฉันอยู่ตัวคน เดียว  แบกรับสิ่งนี้เอาไว้หน่วงใจคนเดียวโดยไม่มีแม้แต่คำ ‘ขอโทษ’

 

 

       แต่จะไปหวังอะไรกับเขาล่ะ?

 

 

       แม้ ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันที่โทโมะทำฉันตกใจที่เขากระโดนลงมาจากต้นไม้ต่อหน้าต่อ ตาฉัน เขายังไม่คิดที่จะขอโทษกันเลยสักคำ และฉันก็ไม่เคยคิดว่าโทโมะจะขอโทษใครเป็นด้วย คนแบบนั้นน่ะฉันไม่ควรที่จะไปใส่ใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นา  คนเย็นชาแบบนั้นคงจะพูดคำว่า ‘ขอโทษ’ ได้แต่กับ ‘คนที่เขารัก’ อย่างพ่อแม่หรือไม่ก็...คลอรีน

 

 

        แต่มันก็ไม่แปลกหรอกที่คนอย่างคลอรีนจะมีคนหลงรัก ก็เพราะเธอสวยทั้งภายในและภายนอกจิตใจ  แถมสมบูรณ์แบบทุกอย่างทุกประการ ฉันเองคงไปเทียบอะไรก็ไม่ได้หรอก

 

 

        เพราะเราสองคนต่างกันริบหรี่...

 

 

“เมี๊ยว...เมี๊ยว...”

 

 

“หือ?” ขณะ ที่ภายในหัวกำลังคิดราวต่างๆอยูก็มีเสียงร้องของแมวดังขึ้นใกล้ๆนี้เมื่อได้ ยินเสียงแมวฉันจึงหันหน้าไปตามเสียงแต่ก็ไม่พบมันเลยพอฉันลองลุกขึ้นมองหา มันก็ไม่เจอ

 

 

       แต่พอมองขึ้นไปบนต้นไม้ ‘ต้นนั้น’ ต้นไม้ที่วันแรกฉันได้พบเจอกับเขา...ความคิดของฉันก็ย้อนกลับไปในวันนั้น วันที่โทโมะกระโดดลงมาจากต้นไม้นั่น...ตรงหน้าฉัน  

 

 

          ตุบ!!

 

 

         ‘กรื๊ดดดดด’  

 

 

             และตอนนี้ฉันก็เห็นว่ามันมีแมวตัวเล็กๆอยู่ตัวนึงที่เหมือนว่าจะร้องขอความ ช่วยเหลือเพราะว่ามันคงจะลงมาจากต้นไม้ต้นนั้นไม่ได้  และด้วยสัญชาตญาณของตัวเอง ถึงแม้ว่าฉันจะกลัวความสูงอยู่หน่อยๆแต่ก็ต้องช่วยมันฉันเลยตัดสินใจถอด รองเท้าผ้าใบส้นสูงออกแล้ววางมันเอาไว้ก่อนจะเดินไปที่ต้นไม้ต้นนั้นก่อนจะ ค่อยๆปีนขึ้นไป

 

 

“รอแป๊ปนึงน้ะเจ้าเหมียว” ฉันพูดขณะที่ปีนขึ้นไปจนถึงตัวมัน

 

 

       และพอมองลงไปข้างล่างมันก็สูงมากๆเลย...

 

 

“เมี๊ยว...”

 

 

“เฮ้อ...รู้ว่ามันสูงขึ้นมาแล้วลงไม่ได้แกก็ไม่ควรที่จะปีนป่ายขึ้นมาตั้งแต่แรกนะรู้มั้ย...” ฉันพูดแล้วจับเจ้าแมวนั่นมาลูบหัวเบาๆขณะที่ตัวเองนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้เงียบๆ

 

 

       แต่คำพูดของฉันมันแลดูเหมือนว่า ‘ตอกย้ำ’ ตัวเองยังไม่รู้สินะ...

 

 

       และ พอสักพักฉันก็ลงมาจากต้นไม้ต้นนั้นแล้วก็ปล่อยเจ้าแมวตัวนั้นไปแล้วกลับมา ใส่รองเท้าตามเดิม และจังหวะนั้นนั่นเองที่ฉันตั้งสติพยายามจะปรับสภาพของตัวเองให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินกลับบ้านสายตาก็ดันมองไปเจอใครบางคนตอนที่กำลังจะเดินออกจากสวน สาธารณะ

 

 

       และใช่...เขาคนนั้นก็คือผู้ชายที่ทำในสิ่งที่ไม่คาดฝันกับฉันเอาไว้ยังไงล่ะ

 

 

“...”

 

 

      ฉัน เงียบขณะที่สายตามองโทโมะที่กำลังเดินอยู่อีกฝั่ง  และเขาไม่ได้เห็นเลยว่าฉันมองเขาอยู่  แต่โทโมะดูเหมือนว่าเขาไม่ยังค่อยหายจากอาการเมาไวน์สักเท่าไหร่นักเพราะท่าเดินของเขามันเซไปเซมาเหมือนว่าจะล้มได้ทุกเมื่อเลยก็ว่าได้  แต่ฉันก็คิดนะว่าตอนนั้นที่เขาเหมือนว่าได้สติหน่อยๆแล้วหลังจากที่เขา...

 

 

       เฮ้อ...ฉันบอกความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ไม่ถูกเลยจริงๆ  ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี

 

 

“...”

 

 

      และ ไม่รู้เพราะสาเหตุใดที่ทำให้ฉันแอบเดินตามโทโมะกลับบ้านแบบเงียบๆโดยที่เขาเอง ก็ไม่ได้รู้ตัวหรอก และพอเดินมาจนใกล้ถึงบ้าน  ฉันก็หยุดเดินแบบกะทันหันเมื่อสายตาที่มองโทโมะเพราะคิดว่าเขาจะเดินเข้าบ้าน ตัวเองแต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด

 

 

       เพราะโทโมะเดินเลยบ้านของเขาไปหยุดอยู่ที่...หน้าบ้านของฉัน...

 

 

 

      ฉันเงียบและยืนมองเขาอยู่ห่างๆว่าโทโมะจะทำอะไร หรือว่าเขาเมาจนเดินไปผิดบ้าน  แต่มันกลับไม่ใช่เมื่อโทโมะเงยหน้าขึ้นมองข้างบนบ้านชั้นสองของบ้านฉันที่เป็น ห้องนอนฉันเอง  เขามองอยู่สักพักก่อนทำท่าเหมือนว่าจะกดอ็อดหน้าบ้านฉัน แต่มือที่กำลังจะกดลงไปกลับถูกเอาลงมาไว้ข้างตัวตามเดิม

 

 

       โทโมะไม่กดมัน...

 

 

       แต่เขากับเดินเข้าไปใกล้ประตูรั้วบ้านของฉันมากขึ้นแล้วเอามือทั้งสองยกขึ้น เกาะรั้วเอาไว้จากนั้นอาการตัดพ้อบางอย่างที่ทำให้โทโมะเอาหัวเคาะเข้ากับประตู รั้วบ้านของฉันแรงๆแล้วก็นิ่งค้างอยู่แบบนั้น

 

 

       เขาเป็นบ้าอะไร...

 

 

“...”

 

 

“...”

 

 

       และ ดูเหมือนว่าโทโมะจะไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างใดๆเลย เพราะเขาถอยออกมาจากรั้วบ้านฉันแล้วก็เดินก้มหน้ากลับมาที่บ้านของตัว เอง  แม้แต่ฉันที่กำลังยืนมองเขาอยู่เขาก็ยังไม่เห็น

 

 

       แต่ก็ดี...เพราะฉันก็ไม่อยากให้เขาเห็นฉันหรอก

 

 

        เห็นแล้วได้อะไรขึ้นมาล่ะ?

 

 

        ฉะนั้นอย่ามาเจอกันอีกเลยเถอะ และฉันจะพยายามลืม  พยายามไม่คิดถึงเขาแล้วถึงแม้มันจะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม  เพราะว่าฉันไม่อยากเจ็บ  ไม่อยากไปรักคนที่เขาไม่รักเรา...ไม่แม้แต่จะรู้สึกอะไร  ฉะนั้นถ้าฉันไม่เจอเขาฉันก็คงไม่ต้องมาเจ็บแล้วก็รู้สึกอึดอัดเหมือนในตอน นี้

 

 

        มันจะดีกว่าใช่มั้ย...

 

 

 

“พอ...พอที...” ฉันพูดแล้วส่ายหัวให้ตัวเองเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่มันไหลลงมาอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า  

 

 

 

อย่าร้องไห้สิแก้ว...เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของครอบครัวยังต้องเจออะไร อีกมากมายในชีวิต อย่าอ่อนแอสิให้ตายเถอะทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้นะ...  

 

 

อีกฝั่ง...

 

 

แอ๊ด...

 

 

“อึก!”

 

 

       เมื่อ ร่างสูงที่เดินเปิดประตูเข้ามาในบ้านด้วยอาการเซไปเซมา กับอาการสะอึกจากการดื่มไวน์มากเกินไปทำให้เขาเริ่มขาดสติเข้าไปใหญ่  แต่ว่าจากที่ดูแล้วโทโมะคงจะมีความรู้สึกขึ้นมาบ้างหลังจากที่เห็นแก้วร้องไห้ และเขาก็รับรู้ด้วยว่าเขาทำอะไรเอาไว้ พอแก้ววิ่งหนีไปเขาเองก็เสียใจที่ทำแบบนั้น

 

 

        แต่แทนที่เขาจะตามเธอไปในตอนนั้นเขากลับเปิดขวดไวน์กินมันเข้าไปอีกขวดอย่าง ไม่เข้าใจตัวเอง...พอรู้ตัวอีกทีเขาก็เดินมาอยู่ที่หน้าบ้านของแก้วเสีย แล้ว

 

 

        ตอนที่เขามองขึ้นไปบนห้องของเธอด้วยความรู้สึกผิดแต่เขาก็ไม่สามารถที่จะพูด อะไรออกไปได้เพราะการกระทำของตัวเองมันสับสนเกินกว่าที่อธิบายให้ใครเข้าใจ ในความรู้สึกของตัวโทโมะเอง

 

 

ฟุ่บ!

 

 

       ร่าง สูงของโทโมะเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างอ่อนล้าและหมดแรงราวกับร่างของเขาอยากจะ สลายไปในตอนนั้นเสียเลย แต่เขาทำได้แค่เพียงลืมตามองเพดานห้องรับแขกเงียบๆด้วยแววตาที่ว่างปล่าวราว กับไม่รู้สึกอะไร  แต่ทว่าภายในใจนั้นกลับรู้สึกเหมือนโดนจับถ่วงน้ำก็ไม่ปาน

 

 

        โทโมะเขาเสียใจมากจนไม่สามารถที่จะพูดให้ใครฟังได้ว่าเขาโดน ‘เพื่อนสนิทหักหลัง’ แต่ความรู้สึกตอนนี้ไม่ใช่เสียใจที่โดนปฏิเสธ แต่เสียใจที่เพื่อนเราไว้ใจมากที่สุดไม่เคยบอกเรื่องที่มันสำคัญขนาดนี้กับเราเลย...

 

 

“อ้าว? โทโมะ? ลูกกลับมาแล้วเหรอเนี่ย แล้วทำไมมานอนอยู่ตรงนี้?”แม่ของโทโมะแลดูตกใจหน่อยๆเมื่อเดินลงมากินน้ำแล้วดันมาเห็นว่าลูกชายของตัวเองมีท่าทีเหนื่อยๆแบบนี้

 

 

“อื้ออออ” โทโมะร้องเสียงงัวเงียเมื่อแม่โทโมะเดินมาดู

 

 

“อื้อหือ ทำไมดื่มหนักขนาดนี้เนี่ยฮะ ถ้าพ่อรู้เราโดนแน่เลย ปกติเห็นไม่เคยดื่มแบบนี้นี่ลูก” แม่โทโมะดุหลังจากที่ได้กลิ่นไวน์จากตัวลูกชายตัวเองเต็มไปหมด “ป่ะขึ้นไปนอนบนห้องเลย”

 

 

“แม่อ่า” โทโมะพูดงัวเงียแล้วพยายามเอามือแม่ออกจากร่างของเขา

 

 

“ไม่ต้องมางัวเงีย ขึ้นไปนอนบนห้องเดี๋ยวนี้” และสุดท้ายแม่โทโมะก็ดึงวีขึ้นมาจากโซฟาจนได้

 

 

“อื้อฮือออ”

 

 

“เป็นอะไร”

 

 

       แม่โทโมะ บ่นเบาๆแล้วส่ายหัวไปมาเมื่อเห็นว่าลูกชายของตัวเองค่อยๆก้าวขาขึ้นบันไดไป ยังห้องตัวเองด้วยท่าทางแปลกๆจากอาการเมาแล้วเสียงถอนหายใจดังๆนั้นมัน เหมือนกับว่าโทโมะเครียดอะไรสักอย่าง

 

 

ปึง...

 

 

“อึ๊ก!”เมื่อโทโมะเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนเขาก็สะอึกเสียงดังลั่นห้อง “อ๊า”น้ำเสียงสั้นๆที่ดูตัดพ้อถูกเอ่ยขึ้นก่อนที่โทโมะจะนั่งลงบนเตียงนอนของตัวเองก่อนจะนอนลงไป

 

 

 

           ‘ระ...เรา...เราขอโทษที่ทำให้นายสับสน...เราขอโทษ...ที่เข้ามาในชีวิตนาย...แต่เรา...อุ้บ!’

 

 

           ‘โทโมะเราบอกให้นายหยุดไงเล่า! ฮือ...พอได้แล้ว...’

 

 

        ‘อย่าเข้ามานะ...เราบอกว่าอย่าเข้ามา!’

 

 

 

       ภาพ และเสียงของแก้วมันดังก้องอยู่ในหัวของโทโมะในตอนนี้และเสียงพวกเริ่มดังขึ้นๆ ภาพแก้วร้องไห้ก็เริ่มชัดเจนขึ้นบนหัวของเขา  จนโทโมะต้องเอามือทั้งสองข้างยกขึ้นมาทุบศรีษะของตัวเองเพื่อให้ภาพเหล่านั้น หายไป แต่มันก็ไม่เป็นผลใดๆเลย เพราะยิ่งเขาทุบหัวของตัวเองภาพเหล่านั้นก็ชัดขึ้นราวกับจะย้ำเตือนชัดๆว่า  

 

 

       เขา...ทำอะไรกับแก้วจนเธอร้องไห้แบบนั้น...

 

 

“ฉันทำอะไรลงไป...”น้ำเสียงที่แผ่วเบาของโทโมะเอ่ยหลังจากที่เขามองเพดานอยู่นานนับนาที

 

 

      และนั่นก็เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาเอ่ยก่อนที่โทโมะจะเผลอหลับตาลงจนหลับใหลไปในที่สุด...

 

 

      และตอนนี้ห้องนอนของทั้งโทโมะและแก้วที่อยู่ตรงกันข้าม  กับไฟห้องนอนของแก้วที่ถูกปิดลงเช่นเดียวกัน  ความรู้สึกของเขาทั้งสองในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับร่มที่กำลังเปียกฝนเลย  และก็ได้แต่รอเวลาที่ฝนจะหายตกลงมาและหลังจากนั้นฟ้าก็จะสว่าง ก้อนเมฆก็จะเปิดรับแสงสว่าง...

 

 

      แต่สิ่งนี้ มันก็ขึ้นอยู่กับเขาสองคนเท่านั้นแหละ...

 

 

 

[ ช่วงของเคโอติค ]

 

 

 

วันต่อมา...

 

 

 

พักเที่ยง

 

 

 

“ไอ้โทโมะมันหายไปไหนวะ ตั้งแต่เมื่อคืนและโทรไปก็ไม่รับ” ป๊อปปี้ พูดขณะที่นั่งรวบกลุ่มกันอยู่ที่สนามบาสหลังจากที่เพิ่งเรียนเสร็จแต่พวกเขา ก็ยังไม่ได้ไปพักกินข้าวที่โรงอาหารเหมือนกับเพื่อนในห้องคนอื่นๆ

 

 

 

       และตอนนี้ในสนามบาสก็มีกันแค่กลุ่มของพวกเขาเท่านั้น

 

 

 

“สงสัยเมื่อวานหึงแก้วหนักเลยงอนกลับไปบ้านเลยม้าง”เขื่อนพูดขณะที่กำลังก้มอ่านการ์ตูนไปพลางๆ

 

 

 

“ไหนโทโมะมันบอกไม่ได้ชอบแก้วไงวะเขื่อน = =;;;;” ป๊อปปี้ถาม

 

 

 

“เอ่อ...มันก็คงจะยอมรับให้เราฟังง่ายๆหรอกนะครับคุณ ‘ป๊อปปี้นี่’ ” เคนตะประชด  

 

 

 

 

“ป๊อปปี้นี่พ่อง >O<!”

 

 

 

“อ้าวไมอ่ะ? เข้ากันดีออกกับ ‘ฟางแมน’ ฮ่าๆๆๆ”

 

 

“ไอ้เคนตะ!!”

 

 

 

        ตอนนี้ดูเหมือนว่าป๊อปปี้อยากจะฆ่าเคนตะให้ตายคามือหลังจากที่พูดล้อเลียนป๊อปปี้แถมยังเอาไปคู่กับ ‘ฟางแมน’ ( คนที่คุณก็รู้ว่าใคร อิ อิ ) และแบบนี้จะไม่ให้ของขึ้นได้อย่างไรกันหนอ

 

 

 

“อืม จะว่าผมคิดไปเองรึปล่าวเพราะตอนที่โทโมะหายไปสักพัก แก้วก็หายไปด้วยนะ”

 

 

 

จึก!

 

 

 

ขวับ!

 

 

 

“ไงนะ?” เพื่อนที่เหลือยกเว้นจองเบ ( ที่นั่งเหม่อถึงอะไรอยู่เงียบๆ ) นั้นรีบหันมาหาเขื่อนทันที

 

 

 

“ก็สังเกตหลังจากที่โทโมะเดินออกไป พอแก้วเต้นกับผู้ชายคนนั้นเสร็จแล้วเธอก็หายไปเลย”

 

 

 

“เฮ้ย หรือว่าสองคนนั้นจะไปด้วยกันวะ?” ป๊อปปี้ถามอย่างขอความเห็นก่อนที่จะหันไปถามขอความเห็นจากจองเบ “แกคิดว่าไงวะจองเบ”  

 

 

 

“ฮะ?” จองเบที่ถูกเรียกหันมาเค้นเสียงสงสัยเนื่องจากเมื่อกี้เขาไม่ได้สนใจฟังอะไรเพราะว่ามัวแต่นั่งเหม่อ

 

 

 

“ฉันถามว่าแกคิดว่าไง”

 

 

 

“เอ่อ...ไม่รู้ว่ะ” จองเบส่ายหน้า

 

 

 

“ไม่รู้หรือไม่ได้ฟังวะ แกนี่พักนี้เหม่อบ่อยนะเนี่ย เพ้อถึงสาวที่ไหนง๊ะ? หรือว่าคนที่ตบหน้าแก?”

 

 

 

กึก!

 

 

 

         จองเบถึงกับลืมคิดคำโกหกตอนที่ว่าถ้าเพื่อนจะถามว่าปากไปโดนอะไรมาแล้วเขาจะ ตอบอย่างไร แต่เห็นไม่มีใครถามเขาซักคน เขาก็เลยคิดว่าไม่มีใครสนใจแผลที่มุมปากนั่นน่ะสิ

 

 

 

“ฉันไม่ได้โดนใครตบ จบนะ? และขอโทษทีที่ไม่ได้ฟัง”จองเบพูดแบบขำๆไปแบบเนียนๆแต่ในใจของเขาตอนนี้จะรู้สึกตามสีหน้ารึปล่าวก็ไม่รู้สินะ

 

 

 

“ฉันจะไปรู้ได้ไงวะก็เห็นแกมุมปากแตกอย่างกับคนโดนตบมา”

 

 

 

“ก็เมื่อวานตอนกลับจากกิจกรรมฉันก็แวะไปที่สนามแข่งแล้วก็มีปัญหานิดหน่อย” จองเบพยายามพูดให้เนียนที่สุด

 

 

 

“มีเรื่องทำไมไม่โทรบอกพวกฉันวะ” เขื่อนพูด แต่จองเบก็แค่หยักยิ้มที่มุมปากแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น

 

 

 

“เฮ้ยเรื่องไอ้โทโมะอ่ะฉันคิดว่านะ...”

 

 

 

“เฮ้ยไอ้โทโมะมาแล้ว” เขื่อนรีบสะกิดป๊อปปี้ที่กำลังจะพูดบางอย่างออกมาเมื่อเห็นโทโมะเดินเข้ามาในสนามบาสด้วยสีหน้านิ่งตามฉบับปกติ

 

 

 

        แต่วันนี้  จะเป็นวันที่เพื่อนๆในกลุ่มไม่คาดคิดเลยล่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น!  

 

 

 

“ไอ้โทโมะแม่งทำหน้าอย่างกับคนอกหักว่ะ เห๋อๆ” เคนตะพูดหยอกขณะที่โทโมะเดินมาถึง  

 

 

 

“เมื่อวานแกกลับบ้านไปตอนไหนวะ ฉันโทรไปก็ไม่รับ นึกว่าเมาจนเดินไปตกท่อที่ไหนแล้ว”

 

 

 

“...” โทโมะไม่ตอบแต่แค่หันไปพยักหน้าให้เคนตะเฉยๆจากนั้นเขาก็หันสายตาไปทางจองเบที่กำลังมองเขาอยู่

 

 

“เฮ้ยไอ้โทโมะมาแล้ว งั้นพวกเราไปกินข้าวกันป่ะ” เขื่อนเอ่ยเพื่อนๆก็เห็นด้วยเลยพากันสะพายเป้ของตัวเองแล้วทำท่าว่าจะเดินออกไปจากนอกสนามบาสเพื่อไปยังโรงอาหาร

 

 

 

       แต่ทว่า...

 

 

 

ตึกๆๆๆ

 

 

 

ผัวะ!!

 

 

 

“เฮ้ย! อะไรวะ!?”

 

 

 

       เมื่อ เหตุการณ์ไม่คาดฝันบังเกิดเพื่อนๆ ทุกคนต่างพากันตกอกตกใจเมื่อโทโมะเดินตรงเข้าไปหาจองเบแล้วต่อยเข้าที่ใบหน้าของ เขาอย่างแรงจนจองเบเซถอยหลังไปหายก้าว เขื่อนกับกับป๊อปปี้ก็รีบวิ่งตรงเข้าไปจับโทโมะเอาไว้เมื่อโทโมะทำท่าว่าจะเข้าไปต่อยจองเบอีกครั้งนึง

 

 

 

“เป็นไรวะเนี่ยไอ้โทโมะ! ต่อยไอ้จองเบทำไม!?”   

 

 

 

“ปล่อย!” โทโมะพูดพร้อมกับสลัดแขนของตัวเองออกจากเขื่อนกับป๊อปปี้ก่อนจะเดินเข้าไปหาจองเบที่ตอนนี้ยืนมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจอยู่ตรงหน้า

 

 

 

“เป็นอะไรวะ” จองเบถามโทโมะพลางขมวดคิ้วเข้าหากัน

 

 

 

“ปากแกไปโดนอะไรมา”โทโมะถามเสียงนิ่งแล้วมองจ้องจองเบอย่างจะฟังคำตอบว่าจองเบจะตอบว่าอะไร

 

 

 

“ก็โดนแกต่อยไง”

 

 

 

“หมายถึงก่อนหน้านี้!” โทโมะพูดเสียงดังและนั่นก็ทำให้เพื่อนๆยิ่งสงสัยกันเข้าไปใหญ่ว่าโทโมะโมโหอะไรจองเบ

 

 

 

        ใช่! เพราะ หมัดที่เขาต่อยหน้าจองเบไปก็คือจุดเดียวกันกับที่คลอรีนตบจองเบนั่นเอง และตอนนี้เลือดมันก็ไหลลงมาที่มุมปากของจองเบอีกครั้ง เหมือนเมื่อคืน...

 

 

 

“ไอ้จองเบมันบอกว่ามันมีเรื่องที่สนามแข่งเมื่อคืนเว้ยไอ้โทโมะ ><!”

 

 

 

“แกแน่ใจเหรอ?” เมื่อป๊อปปี้พูดแบบนั้นโทโมะถึงกับหันไปถามเสียงเชิงประชดจนป๊อปปี้จำต้องเงียบ

 

 

 

“...”

 

 

 

“แกกับฉันมีเรื่องต้องคุยกันไอ้จองเบ...”

 

 

 

        หลัง จากโทโมะพูดจบเขาก็เดินไปยังทางออกอีกทางที่จะเป็นตึกหลังโรงเรียนเงียบๆที่ไม่ มีใครในช่วงพักกลางวัน และเป็นเวลากับสถานที่ที่เหมาะกับการคุยอะไรลับๆกันด้วย ตอนนั้นจองเบก็ได้มองหน้าเพื่อนๆในกลุ่มก่อนที่เขาจะหันหลังแล้วเดินตามโทโมะออก ไป

 

 

 

        และพอป๊อปปี้อยากจะตามไปดูเขื่อนก็ยั้งไว้เหมือนจะบอกว่า ‘ปล่อยให้มันคุยกันเอง’

 

 

 

        แล้วตอนนี้จองเบเองก็เหมือนจะรู้เป็นลางๆแล้วว่าเรื่องที่โทโมะจะคุยคือเรื่องอะไรถึงต้องต่อยเขาแบบนี้

 

 

 

 “มีอะไรว่ามา” จองเบถามทันทีที่เขาเดินมา แล้วเห็นว่าโทโฒะยืนหันหลังให้เขาอยู่

 

 

 

“แกมีอะไรที่ไม่ได้บอกฉันรึปล่าว”

 

 

 

“...”

 

 

“...”

 

 

 

“...มี”หลังจากที่จองเบถอนหายใจออกมาสักพักเขาก็พูด และเมื่อโทโมะได้ยินมันเขาก็หันมามองจองเบนิ่งๆ “แต่...ฉันคิดว่าแกคงจะรู้แล้ว”

 

 

 

“...ตั้งแต่เมื่อไรวะ...”

 

 

 

        โทโมะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เข้าใจจองเบแบบตัดพ้อก่อนที่เขาจะเมินสายตาไปทางอื่น แล้วพยายามใจเย็นให้ได้มากที่สุด เพราะโทโมะไม่คิดว่าการคุยกันด้วยถ้อยคำโมโหใส่คงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก  และปกติโทโมะไม่ใช่คนแบบนี้ เขาออกจะเงียบเฉยชาเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้มันคงถึงคราวที่เขาต้องพูดและถามให้เคลียร์เรื่องที่ค้างคาใจบ้าง แล้ว

 

 

 

        เพื่อที่ให้เรื่องที่มันเป็นปมอยู่ในใจได้คลายออกสักที

 

 

 

“ฉันขอโทษเว้ยเพื่อน แต่ฉันไม่รู้จะบอกพวกแกยังไง” จองเบพูดขณะที่เขานั่งลงยองๆอย่างเหนื่อยล้าโทโมะเองก็เช่นกัน  

 

 

 

“...แกคบกับคลอรีนตอนไหนวะ” โทโม

 

 

 “ฉันกับคลอรีนน่ะ...เราคบกันก่อนที่แกจะพูดบอกกับกลุ่มเราให้รู้ว่าแกชอบคลอรีนอยู่...”

 

 

“...”

 

 

“ตอน ม.1 ฉันแอบมองคลอรีนตั้งแต่วันแรกที่เจอ และพอมารู้ตัวอีกทีฉันก็แอบเดินตามไปส่งเธอขึ้นรถที่ทางบ้านส่งมารับเธอหน้า โรงเรียนซะแล้ว  และคลอรีนเองก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกแปลกๆกับฉันเหมือนกัน พอเวลาว่างเราก็จะแอบไปนั่งคุยกันที่สวนหลังโรงเรียน  จนมันเกิดความรู้สึกว่าเราชอบกัน”

 

 

“...”

 

 

“แต่ ด้วยเหตุที่ว่าฉันเห็นว่าคลอรีนถูกแต่งตั้งให้เป็นนักเรียนดีเด่นของระดับ ชั้น และไม่อยากให้เธอโดนปลดออกด้วยเหตุผลที่ว่ามีแฟนทั้งๆที่ยังอยู่ ม.1 ฉันกับคลอรีนเลยตกลงกันว่าเราจะเก็บความสัมพันธ์นี้ไว้เป็นความลับ ไม่บอกใคร แม้กระทั่งเพื่อนสนิท...และในช่วงนั้นฉันก็ต้องทำเป็นคบเล่นๆกับคนอื่นด้วย เพื่อที่จะได้ไม่มีใครมาสงสัยฉันกับคลอรีน”

 

 

“...”

 

 

“แต่ไม่ใช่ว่าฉันไม่ไว้ใจพวกแกนะเว้ยที่ไม่ยอมบอก  แต่ฉันก็กะจะบอกตอนที่ถึงเวลา  แต่ว่าแก...โทโมะ” จองเบพูดแล้วหันมามองหน้าโทโมะที่กำลังนั่งฟังเขาอยู่ “พอแกมาบอกให้พวกฉันฟัง ตอนเปิดเทอม ม.2 ว่าแกแอบชอบคลอรีนมาตั้งแต่ ม. 1 แล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดบอกกับแกยังไงเลยว่ะ”

 

 

“แกกลัวฉันอึดอัดใช่มั้ยล่ะ” โทโมะถามอย่างเข้าใจเมื่อเขาได้รู้ความจริงแล้ว

 

 

“อืม”จองเบพยักหน้า “ฉัน กลัวว่าแกจะเสียใจ  แต่ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยเก็บเอาไว้ตามเดิม ตอนนั้นฉันยอมรับเลยว่าอยากจะบอกแกมากว่าฉันกำลังคบกับคลอรีนเพราะด้วยความ ที่ว่าฉันรักคลอรีนจนไม่อยากให้ใครมาชอบเธอเกินกว่าเพื่อน แต่แกเป็นเพื่อนสนิทฉัน ฉันจะพูดให้มันทำลายความรู้สึกของแกได้ยังไง เพราะคนอย่างแกถ้าไม่ชอบใครจริงคงไม่พูดออกมาหรอกว่าชอบใครอยู่”

 

 

“แล้ว...แกกับคลอรีน...”

 

 

“เราเลิกกันไปตั้งแต่ ม.4 แล้ว เลิกกันก่อนที่แกจะไปสารภาพรักกับเธอซะอีก” จองเบบอกแล้วยิ้มบางๆแต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้มีน้ำตาคลอเอ่อขึ้นมาที่บริเวณขอบตา

 

 

“ทำไมถึงเลิกวะ...แกกับคลอรีนน่าจะรักกันมากนิ”

 

 

“อืมมม ไม่รู้ดิ” และพอจองเบพูดแบบนั้นพลางถอนหายใจออกมาน้ำตาของเขาก็ไหลลงมา “แต่แกเชื่อมั้ย...ว่าตอนที่คลอรีนบอกเลิกฉันน่ะฉันโคตรเจ็บเลยว่ะ...”

 

 

“อืม ฉันเข้าใจแกแล้ว”โทโมะพูดอย่างเข้าใจจองเบเมื่อเห็นว่าจองเบร้องไห้ แต่จองเบก็รีบเอาหลังมือของเขาขึ้นมาปาดน้ำตาของตัวเอง

 

 

“ก็ไม่คิดเลยเน๊อะว่า...เมื่อวานเพิ่งยิ้มให้กัน บอกรักกัน แล้ววันต่อมาก็มาบอกเลิกด้วยถ้อยคำที่เย็นชากับท่าทางที่ต่างกันกับคนล่ะคนแบบนั้นน่ะ”ะถามตรงๆหลังจากที่เขานั่งมองจองเบอยู่พักใหญ่

 

 

 

“เขาไม่บอกเหรอว่าทำไมเลิก” โทโมะถามแต่จองเบก็เงียบไปจากนั้นก็ส่ายหน้าเป็นเชิงบอกแทน  

 

 

 

“ฉันพยายามถามแต่คำตอบที่ได้กลับมาคือความเฉยชา ทุกครั้งอ่ะ ฉันก็ถามตัวเองนะว่า...ฉันทำอะไรผิดไปวะ?”

 

 

 

       และจากนั้นโทโมะก็เข้าใจจองเบมากขึ้นพร้อมกับเข้าใจเหตุผลของคลอรีนว่าทำไม ถึงไม่รับรักเขา  เพราะคงจะเป็นไปได้ว่าคลอรีนอาจจะยังรักจองเบอยู่เป็นได้  แต่แค่เธอต้องไม่แสดงออกให้ใครรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงอยู่  เพราะเธอคงจะมีเหตุผลของเธอนั่นแหละ

 

 

 

        แต่เป็นเหตุผลที่เธอบอกใครไม่ได้นั่นเอง...

 

 

 

“ไอ้จองเบ...” เมื่อโทโมะเรียกจองเบ จองเบก็หันมามองเขาพร้อมกับเลิกคิ้วให้ “ฉันขอโทษแกนะเว้ยที่...”

 

 

 

“แกไม่ต้องขอโทษหรอก  เพราะแกไม่ได้ผิด  คนที่ผิดคือฉันเองที่ไม่ยอมบอกอะไรพวกแกเลย และถ้าฉันเป็นแก...”จองเบพูดแล้วเอามือของเขามาตบไหล่โทโมะเบาๆ “...ฉันก็คงจะเสียความรู้สึกเหมือนกัน”

 

 

 

“อื้ม ขอบใจนะเว้ยที่บอกกันตรงๆ”

 

 

 

“ฉันบอกแกแล้ว...คราวนี้แกบอกฉันบ้างได้รึปล่าววะ”

 

 

 

“ถามมาดิ”

 

 

 

“ตอนนี้แกยังชอบคลอรีนอยู่รึปล่าววะ...ขอความจริง”

 

 

 

       เมื่อจองเบตัดสินใจถามออกมาแล้ว  คำตอบที่โทโมะจะตอบออกไปก็คือ ‘ความจริงเท่านั้น’ และครั้งนี้เขาไม่ได้โกหกใจตัวเองเหมือนๆที่ผ่านมาอีกแล้ว  เพราะเรื่องเมื่อคืนมันทำให้เขารับรู้ได้ว่าใครกันที่ ‘รักเขา’ และใครกันที่ ‘เขาแคร์’ ถึงว่าโทโมะจะไม่อยากแสดงออก

 

 

 

        แต่จากสิ่งหลายอย่างที่มันเป็นข้อเตือนหัวใจตัวเองนั้นทำให้เขารับรู้ มันสักที...

 

 

 

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะตอบว่าใช่...” โทโมะพูดแล้วมองจองเบตรงๆ

 

 

 

“แล้วตอนนี้อ่ะ”

 

 

 

“ตอนนี้...ฉัน...ฉันคิดว่าฉันรู้ใจตัวเองแล้วว่ะ”

 

 

 

        เพียงจบคำพูดนั้นทุกอย่างก็กระจ่างแล้วว่าโทโมะรู้สึกยังไง  และเขากับจองเบก็เคลียร์กันรู้เรื่องเพราะความ ‘เข้าใจกันและกัน’ นั่นเอง  และต่อไปก็คงจะเป็นหน้าที่ของโทโมะแล้วที่ต้องทำการ ‘ขอโทษ’ ใครบางคนที่โทโมะทำให้เธอคนนั้นเสียใจ

 

 

 

         และเธอคนนั้นก็คือแก้วใจนั่นเอง!

 

____________________________________________________

 

 มาอัพแล้วนะ ในที่สุดโทโมะก็รู้ใจตัวเองสักที

#ขอโทษที่มาอัพช้า พอดีไรต์ไปเรียนมาคะ

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา