KP Warriors : โรงเรียนนักรบ แหวนเทวะ
9.7
เขียนโดย nesugiso
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.35 น.
20 ตอน
12 วิจารณ์
26.49K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557 11.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
19) เด็กสาวปริศนาที่พลัดหลงเข้ามา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ "มาทำอะไรเหรอคะ?"
"เอ๋?!"
เพราะประโยคทักทายที่สาวใบหน้าสวยตรงหน้าของเรย์ส่งมานั้น ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงรู้สึกตัวว่าโลกที่สร้างจากจินตนาการของตัวเองนั้นเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน เมื่อรู้สึกตัวอีกที ตัวเองก็ยื่นมือไปจับมือกับมิซึกิอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังลอยแหวกอากาศเข้ามาหา และในที่สุด
- ผั๊ว!!!!!!!! -
"ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!!!!!!"
กว่าเรย์จะหาคำตอบได้พบ ฝ่ามือของคนที่คุ้นเคยที่มาจากทางด้านหลังก็หวดเข้ามากลางศีรษะของเรย์อย่างสุดแรงจนเสียง แสงไฟภายในหอประชุมขนาดใหญ่นั้นก็ส่องสว่างขึ้นมา เผยให้เห็นเด็กนักเรียนสาวอีกสี่ห้าคนที่กำลังมองมาทางชายหนุ่มเป็นตาเดียวบนเวทีใหญ่ตรงหน้าของพวกเธอนั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที หัวใจเต้นระรัว ใบหน้าแดงกล่ำด้วยความเขิน ก่อนที่จะชำเลืองมองไปยังหญิงสาวอีกคนที่กำลังยืนอยู่ใกล้เขา
เธอคนนั้นก็คือทาคาฮาชิ ไอ หรือประธานนักเรียนสาวแสนสวยที่กำลังยืนหน้าบูดหน้าบึ่งเพราะว่าเจ้าตัวเขามาขัดจังหวะเวลาทำกิจกรรมของเธอ ซึ่งเมื่อเรย์ดูสภาพโดยรอบแล้ว กิจกรรมนี้น่าจะเป็นกิจกรรมที่ใหญ่ไม่ใช่น้อย
"ให้ตายสิ!!! กำลังได้ฟิลอยู่แล้วเชียว อีกนิดเดียวก็จะจบบทอยู่ล่ะ!! มาทำบ้าอะไรของนายตอนนี้เนี่ย!!!!" ไอจังที่กำลังหัวเสียพูดออกเป็นชุดจนเรย์ที่กำลังยืนงงอยู่จับใจความแทบไม่ทัน ชายหนุ่มยืนเกาหัวและยืนอ้ำอึ้งอยู่นานไม่รู้จะพูดอะไรก่อนดี
"เอ๋... เอ่อคือว่า นี่มันเรื่องอะไรกันเหรอ?" เรย์ถามออกไปด้วยความรู้สึกที่ยังอึนๆอยู่ ทั้งๆที่คนที่ถามคำถามมันน่าจะเป็นตัวเขาเองซะมากกว่า เขารู้สึกอย่างนั้น
"เร๊ย์! มาแล้วเหรอ" เสียงเรียกชื่อของชายหนุ่มดังขึ้นมา ริสะรุ่นพี่ของเขาอีกคนเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนที่เธอจะชายตามองสลับกับเรย์และมิซึกิ แล้วเธอก็ทำหน้าตาเหมือนว่าพึ่งคิดอะไรออกขึ้นมา
"เอ้อจริงสิ! ตอนนี้พวกเรากำลังซ้อมการแสดงกันอยู่นะ แต่อีกแป๊บเดียวก็จะเลิกแล้วล่ะ" เธอบอกกับเรย์ ซึ่งเมื่อชายหนุ่มได้ยินคำพูดของรุ่นพี่ของเธอก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย
"ซ้อมการแสดงงั้นเหรอ ซ้อมเพื่องานอะไรเหรอครับรุ่นพี่"
"นี่นาย! ไปอยู่ไหนมาเนี่ย!" ไอจังพูดเสียงแข็งสวนขึ้นมา "ไม่รู้หรือไงว่าอีกสองสามวันก็จะมีงานนิทรรศการโรงเรียนน่ะ"
".....จริงด้วย!! ลืมไปซะสนิดเลยนะเนี่ย!" ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยความตกใจในทันทีเมื่อได้ยินในสิ่งที่ประธานนักเรียนสาวของเขาเอ่ยขึ้นมา แต่เมื่อสายตาของเขาไปสะดุดกับสายตาที่ชวนหลงใหลของมิซึกิที่กำลังส่งมาให้กับเขาพร้อมกับอมยิ้มที่แลดูน่ารักในท่าทางของชายหนุ่มอยู่นิดๆ ทำให้เขาต้องหลบสายตาไปด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำเพราะความเขิน
"....งั้นถ้ายังไง เธอไปรอที่ห้องแต่งตัวก่อนนะ ไม่นานหรอกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว"
และแล้วเรย์จำยอมที่จะต้องมานั่งในห้องแต่งตัวที่หลังเวทีไปก่อน โดยที่เขาเองก็ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่ตัวเองต้องถ่อสังขารมาที่โรงเรียนนี้เวลามืดค่ำ จากการเรียกตัวของไอจัง แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็คิดได้ว่าก็ยังดีกว่าการที่ตัวเองต้องขังตัวเองอยู่ภายในบ้านหลังนั้นเพียงลำพังดั่งเช่นทุกๆวัน
เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เรย์กำลังนั่งรอพวกเธออยู่นั้นเขาก็นำมือถือขึ้นมาเล่นเกมส์ที่ดาวน์โหลดมาไว้ภายในเครื่อง แล้วก็เล่นเกมส์ไปเพื่อค่าเวลาที่แสนเงียบเหงาและน่าเบื่อหน่าย บนเก้าอี้สีสมหน้ากระจกบานใหญ่ภายในห้องสีขาวที่มีแสงไฟนีออนส่องสว่างไปทั่วห้องนั้นคนเดียว จนในที่สุดไม่ถึงอึดใจเดียว บรรดาเด็กนักเรียนที่เป็นทีมงานของการแสดงชุดดังกล่าวก็ยกขบวนกันเข้ามาภายในห้อง พร้อมกับถือข้าวของที่ใช้สำหรับการแสดงติดไม้ติดมือกันมาคนละสองสามอย่างด้วย
ชายหนุ่มรีบปิดเกมส์บนมือถือที่กำลังเล่นอยู่อย่างรวดเร็ว และลุกขึ้นยืนเพื่อให้ทุกคนที่เข้ามาได้เห็นเผื่อตัวเองที่กำลังว่างอยู่นั้นจะช่วยอะไรพวกเธอได้บาง แต่ด้วยงานของบรรดาเหล่านักเรียนสาวทั้งหลายทำให้ยังไม่มีใครหันมาสนใจเขาอยู่ดี ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงแต่มองดูพวกเธอตาปริบๆ ยืนดูพวกเธอวางของจัดของพวกชุด ริบบิ้น ปีกที่ติดขนนกจำลองไว้ให้เข้าที่เข้าทาง เขายืนมองของที่กำลังเรียงรายกันอยู่ตรงหน้านั้นแล้วก็คิดว่า ของที่ใช้ในการแสดงครั้งนี้ดูจุกจิกซะเหลือเกิน
และไม่นานนัก คนที่เรย์คิดว่าพอที่จะเสวนาด้วยได้ก็เดินเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน ที่หน้าประตูห้องนั้นนำมาโดยไอจังและริสะ ที่เดินเข้ามาภายในห้องนั้น พร้อมกับมิซึกิและเอรินะเพื่อนสาวรุ่นเดียวกันของเธออีกคน ไม่ทันไรประธานนักเรียนสาวก็ไม่วายรีบเดินไปกำกับเหล่าบรรดาทีมงานของเธอว่าให้เอาของวางเอาไว้ตรงไหนบ้างอย่างดูจู้จี้ พร้อมกับนำกล่องขนาดไม่ใหญ่มากที่เธอถือติดตัวเข้ามาด้วยไปวางเอาไว้รวมกัน
แต่ถึงอย่างนั้น เรย์ก็อยากจะได้คำตอบที่มันค้างคาใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ เหตุผลที่เธอเป็นคนเรียกเข้าให้ถ่อสังขารจากบ้านออกมาในยามดึกๆดื่นๆเช่นนี้ เรย์ไม่รีรอช้าเดินตรงดิ่งเข้าไปหาไอจังในทันที
"นี่คุณประธาน...." ชายหนุ่มใช้นิ้วสะกิดหัวไหล่ของไอจังเบาๆ และเจ้าตัวที่โดนสะกิดหัวไหล่นั้นก็หันหน้ามาแทบจะในทันที พร้อมกับทำสีหน้าบึ่งตึงใส่เรย์อีกต่างหาก
"อะไร!" คำพูดสั้นๆห้วนๆส่งมายังชายหนุ่มที่พึ่งเข้ามาหาเธอนั้น
"เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยนะว่าเรียกฉันออกมาทำไมตอนดึกๆป่านนี้เนี่ย" เรย์ถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเบื่อหน่าย หญิงสาวรุ่นพี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าตาเหมือนว่านึกอะไรขึ้นได้
"อ๋อออ อออ คือแบบว่า...." สายตาของไอจังลอกแลกมีพิรุธจนเรย์รู้สึกได้ เรย์เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแสดงความสงสัยให้คนตรงหน้าได้รับรู้
"พอดีว่าวันนี้เราเลิกซ้อมแล้วก็ต้องเก็บของกันต่อ แต่มิซึกิต้องรีบกลับบ้านไปก่อนน่ะ แล้วคือว่าน้องต้องกลับบ้านไปคนเดียว ตอนนี้มันมืดไปแล้วด้วย เป็นผู้หญิงเดินทางกลับบ้านคนเดียวมันอันตรายใช่ไหมล่ะ เพราะนายเป็นผู้ชายนั่นแหละฉันก็เลยเรียกนายมานี่ไง"
"เอ่อ คือว่าฉัน ฉันทำงานในส่วนนี้เสร็จแล้วล่ะค่ะ ก็เลยว่าจะขอกลับกะมิซึกิเล...ย..." แววตาดุดันของประธานนักเรียนสาวหันควับไปที่เอรินะรุ่นน้องของเธอในทันใด ทำให้รุ่นน้องของเธอเบรกคำพูดของเธออย่างกะทันหัน และไอจังก็เหมือนมีประกายแสงวับๆจากสายตาที่ส่งไปยังเพื่อนสาวรุ่นเดียวกันกับเธอ ประหนึ่งเหมือนกำลังส่งซิกที่นัดกันมา ริสะสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยเมืองเห็นสายตาของไอจังจนตัวเองนึกได้ว่าต้องทำอะไรต่อไป
"คือว่า!!!" และทันใดนั้นริมฝีปากสวยของเอรินะก็ถูกหยุดด้วยมือเนียนใสของรุ่นพี่ของเธอ ที่แทบจะกระโจนเข้าหาเธอจากทางด้านหลังในทันที
"พอดีเอรินะกำลังจะบอกว่าต้องช่วยฉันเคลียเรื่องอุปกรณ์การแสดงก่อนนะ ก็เลยต้องอยู่ช่วยฉันก่อนเลยกลับไปกับมิซึกิในตอนนี้ไม่ได้นะ ต้องพึ่งนายแล้วล่ะนะเรย์"
ใบหน้าของเรย์ในตอนนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยไม่เสื่อมคลายไปจากเดิม ชายหนุ่มชายตามองไปหามิซึกิที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้น ซึ่งเธอก็ทำสีหน้าเหรอหลากับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ริมฝีฝากอมชมพูเผยอค้างเอาไว้เหมือนกับคนที่กำลังจะพูดแต่ก็ไม่รู้จะพูดออกไปยังไง เพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี เธอได้แต่มองพวกรุ่นพี่ของเธอแล้วปล่อยให้เรื่องมันเป็นไป
เรย์ถอนหายใจยาวๆก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"...เอาเถอะ ยังไงเดี๋ยวฉันไปส่งมิซึกิก่อนแล้วกันนะ" เมื่อได้ยินคำพูดของเรย์ สองคู่หูตัวแสบรุ่นพี่ของชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มที่แสนจะมีเล่ห์นัยออกมาพร้อมกันทั้งคูู่
"ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้" เรย์หันมาบอกกับมิซึกิรุ่นน้องของเขาพร้อมกับเดินนำไปก่อนสองสามก้าว แล้วหันมาเพื่อรอมิซึกิที่กำลังจะบอกลารุ่นพี่ของพวกเธอ
"ค่ะ!... ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะรุ่นพี่ กลับก่อนน๊าเอรินะ" มิซึกิโค้งให้กับรุ่นพี่ของเธอแล้วโบกมือลาเพื่อนสาวของเธอ แล้วหันหลังเดินตามเรย์ออกไป เมื่อมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่จนเดินออกจากห้องไป สองประธานนักเรียนและรองประธานนักเรียนสาวตัวแสบก็หันมาสบตากันก่อนจะยิ้มและหัวเราะกันเล็กน้อย
ท่ามกลางคืนอันแสนเงียบสงัด แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ก็ยังคงมีรถที่วิ่งอยู่ตามท้องถนนให้เห็นอยู่อย่างไม่ขาดสาย สองหนุ่มสาวในชุดนักเรียนสีแดงเพลิงแห่งไนท์เบลดเดินเคียงคู่กันอยู่บนทางเดินคอนกรีตริมทางนั้นอย่างเนิบๆไม่รีบร้อนอะไร ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันมาตลอดทางหลังจากที่ออกจากโรงเรียนมาได้พักใหญ่ๆแล้ว เขาทั้งสองเพียงแค่พยายามเหล่คนข้างด้วยหางตาด้วยความเขินอาย บางครั้งก็แอบหันไปมองอีกฝ่ายแต่เมื่ออีกฝ่ายหันมา ก็ทำเป็นหันกลับไปทางเดิมด้วยความเขินอาย บ่อยครั้งๆเขาก็ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงเริ่มรู้สึกรำคาญจนเขาต้องทำอะไรบางอย่าง
"เอ่อคือว่า!"
"เอ่อคือ!..."
แม้จะรวบรวบความกล้าแล้วเข้าไปทักทาย แต่ทั้งสองก็ดันมาทักทายพร้อมๆกันอย่างกับนัดกันมาซะอย่างนั้น เมื่อเสียงสองเสียงประสานกัน ทั้งคู่ก็รีบหันควับกลับไปที่เดิมด้วยความเขินอาย ซึ่งแสดงออกมาอย่างชัดเจนจากใบหน้าที่แดงกล่ำของทั้งคู่ โดยเฉพาะมิซึกิที่ผิวใบหน้านั้นเปลี่ยนไปจากสีขาวดั่งหิมะเป็นสีแดงเลือดจางๆ
"เอ่อ เธอพูดก่อนเถอะ" เรย์ผู้พี่บอกมิซึกิด้วยความเขินอาย แม้จะพูดกับหญิงสาวก็ตามแต่ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้หันมาทางหญิงสาวแต่อย่างใด
"ไม่เป็นไรค่ะ รุ่นพี่พูดก่อนก็ได้" มิซึกิปฎิเสธพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว เมื่อได้ยินอย่างนั้นเรย์ก็ถอนหายใจเล็กน้อย แต่ก็ยาวพอที่จะนึกเรื่องอะไรที่จะพูดก่อนจะพูดออกมา
"จริงสิ!... วันนี้เธอแสดงได้ดีมากเลยนะ! แม้จะเป็นแค่การซ้อมก็เถอะ" แม้ในหัวก็เต็มไปด้วยความเขินอายและจับประเด็นเรื่องที่ตัวเองจะพูดออกมาไม่ได้ แต่ในที่สุดตัวเองก็นำเรื่องละครมาพูดออกไปแทน เรย์แทบรู้สึกถึงคำพูดของตัวเขาเองเพราะความเขินอายที่ถาโถมเข้ามาหา
"ถึงแม้จะเป็นแค่การซ้อมก็เถอะ แต่เธอแสดงออกมาได้ ยอดเยี่ยมจริงๆนะ"
"เห... ไม่หรอกค่ะๆ รุ่นพี่ก็ชมเกินไปแล้ว" แม้เธอจะปฎิเสธ แต่ใบหน้าของมิซึกิก็แอบมีรอยยิ้มปรากฏออกมาให้เห็นเล็กน้อย
"ฉันพูดคำไหนคำนั้นน๊า แล้วฉันก็ไม่ใช่เป็นคนชอบประจบด้วยนะ" เรย์พูดย้ำคำตอบของตัวเองพร้อมกับเหล่มามองหญิงสาวที่กำลังมองมาที่ชายหนุ่มเช่นกัน
"....ห้ามโกหกมิซึกินะ" หญิงสาวหันมาใช้ดวงตาคู่สวยของเธอมองรุ่นพี่ของเธอพร้อมกับทำแก้มป่องๆอย่างน่ารักน่าชัง
"ไม่โกหกหรอก เชื่อฉันสิ" ชายหนุ่มยังคงย้ำคำตอบเดิม แต่ในใจของเขาเมื่อเห็นใบหน้าแบบนั้นก็เตลิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้
"เหรอค่ะ! ดีใจจังเลย" มิซึกิร้องออกมาด้วยความดีใจ "....อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ชอบอยู่ค่ะ แค่คนเดียวก็ยังดี"
"มักน้อยไปไหมเนี่ยเธอ..."
"แหะๆๆๆ" มิซึกิแลบลิ้นออกมาพร้อมกับทำท่าเข่กหัวตัวเอง ทำให้เรย์ยิ้มและหัวเราะออกมา
"...ว่าแต่เรื่องที่เธอแสดงในวันงานสถาปนาโรงเรียนเรื่องนี้นี่คือเรื่องอะไรเหรอ" ตั้งแต่ที่เรย์ได้เห็นการแสดงและสิ่งของต่างๆภายในห้องแต่งตัวหลังจากที่เขาและเธอพึ่งจากมานั้น ทำให้เรย์เกิดความสนใจจนอดสงสัยไม่ได้ที่จะถามเธอที่มีส่วนในงานแสดงครั้งนี้
"อ๋อ เป็นนิยายเรื่องหนึ่งน่ะค่ะ มีชื่อเรื่องว่า ดอกไม้ในโลกที่แตกสลาย รุ่นพี่น่าจะเคยได้ยินนะคะ"
เมื่้อได้ยินชื่อเรื่องจากสาวคนข้างๆแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแว๊บเข้ามาในหัวของตัวเองในขณะนั้น คับคล้ายคับคลาว่าเหมือนกับเป็นเรื่องที่เขาเคยได้ยินมาก่อนหน้านั้น เมื่อนานมาแล้ว
"ดอกไม้ในโลกที่แตกสลายอย่างนั้นเหรอ... คุ้นๆนะ" เรย์เอามือมากุมคางของตัวเองพลางทำท่าครุ่นคิดไปด้วย "...ถ้าจำไม่ผิดใช่เรื่องที่เกี่ยวกับดอกลิลลี่ ที่อยู่ในโลกใบนั้นเพียงลำพังใช่หรือเปล่า?"
"ใช่แล้วค่ะ เป็นเรื่องที่เศร้ามากๆเลย มิซึกิน่ะตอนซ้อมยังแสดงไปแล้วร้องไห้ไปเลย"
"หืม มันทำให้อินขนาดนั้นได้เลยเหรอ..." ชายหนุ่มถามเด็กสาวรุ่นน้องของเธอผู้ที่รับบทบาทการแสดงนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
"ก็แหม๋ เรื่องนี้มันเศร้าจริงๆนะคะ ฉันลองนึกถึงถ้าตัวเองเป็นเด็กที่อยู่ในโลกใบนั้นเพียงลำพังด้วยว่าจะเป็นยังไง ต้องมองดูเพื่อนๆของตัวเองล้มตายไปคนแล้วคนเล่า ในขณะที่ตัวเองไม่มีวันตาย แล้วต้องอยู่ภายในโลกใบนั้นเพียงลำพัง เป็นดอกไม้ที่ไม่มีเหี่ยวเฉาไม่มีวันสูญสลายไปจากโลกใบนั้นค่ะ"
"...ดอกไม้ที่ไม่มีวันสูญสลายไปจากโลกอย่างนั้นเหรอ"
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่มิซึกิเล่ามา ชายหนุ่มก็เริ่มจินตภาพในหัวของเขาขึ้นมาเป็นฉากๆ เป็นภาพฉากในหัวที่ค่อนข้างชัดเจนดังภาพวาดสามมิติในยุคสมัยนี้ที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว ภาพในหัวของชายหนุ่มนั้นเป็นภาพดอกไม้ดอกหนึ่งที่มีกลีบสีขาวบริสุทธิ์แต่ใบและโคนของมันกลับมีสีดำทมิฬ กุหลาบยืนต้นอยู่ใจกลางโลกที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมน ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ และภาพในหัวของเขานั้นยังคงมีเด็กสาวในชุดราตรีสีขาวผูกผ้าคาดหน้าท้องสีดำ ผมยาวสลวยสีดำขลับของเธอมีโบว์รูปดอกไม้สีขาวคาดเรือนผมทางด้านซ้ายอยู่อย่างโดดเด่น เธอกำลังนั่งก้มลงมองดอกไม้ด้วยความรู้สึกที่สิ้นหวัง ไร้หนทาง ราวกับว่าเธอคือร่างไร้วิญญาณไปแล้ว
แม้จะเป็นแค่ภาพในจินตนาการของเรย์ก็ตาม แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่อยู่ไม่น้อย
"เรื่องแบบนี้มัน เศร้าจริงๆ..ฮึก..นะคะ" พูดยังไม่ทันขาดคำสาวเจ้าก็ปล่อยน้ำตาแห่งความอ่อนไหวออกมา พร้อมกับเสียงสะอื้นเหมือนคนที่กำลังร้องไห้อย่างนัก จนเรย์ชายหนุ่มที่แสนจะซื่อบื้อทำท่าเหลอหลาไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ได้แต่โบกมือไปมาอยู่ข้างๆมิซึกิเป็นเชิงว่าให้หยุดร้องไห้
"เหวยๆๆๆ ไม่เอาน่าอย่ามาร้องไห้ตอนนี้สิ" เรย์พูดห้ามปรามหญิงสาวขี้แยข้างๆนั้น
"ฮื้อๆๆ ก็มัน... เศร้าจริงๆนี่คะ" หญิงสาวใช้นิ้วมือของตัวเองบาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย และพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้
"....บ่อน้ำตาตื้นจังเลยนะเธอ"
แม้จะเลยช่วงหัวค่ำมาแล้วก็ตาม แต่รถบนท้องถนนก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงมีรถวิ่งผ่านให้เห็นอย่างไม่ขาดสาย และหนุ่มสาวทั้งสองคนก็ยังคงเดินไปบนริมทางเท้านั้นต่อไป จนกระทั่งเรย์สังเกตเห็นสี่แยกตรงข้างหน้า ชายหนุ่มกำลังเดินตรงไปที่ทางม้าลายเพื่อรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม แต่ว่าเด็กสาวรุ่นน้องกลับกระตุกแขนเสื้อนักเรียนของเขาไปก่อน พร้อมกับพูดว่าทางไปบ้านของเธอต้องเลี้ยวซ้ายไม่ใช่ตรงไป เรย์แอบเขินเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามสาวเจ้าไป
เมื่อผ่านตรงสี่แยกนั้นมา ชายหนุ่มรู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศแถวนี้ดูร่มรื่นขึ้นมาทันตาเห็น ไม่ดูรู้สึกอึดอัดเหมือนตลอดทางที่เขาเดินผ่านมาเมื่อกี้นี้ ต้นไม้เขียวขจีริมทางดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่ผ่านๆมา ทำให้เรย์รู้สึกแปลกใจขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อนั้นชายร่างสูงได้นึกถึงเรื่องเมื่อครั้งก่อนที่แว๊บเข้ามาในหัวเขาทันที เรื่องที่เขาบุกฝ่าไปช่วยสาวรุ่นน้องของเขาจากพวกผู้ร้าย จนทำให้เขาต้องตัดสินใจสวมแหวนสีแดงขึ้นอีกครั้ง และเรื่องที่เขาสวมแหวนสีแดงนี้ นอกจากหลินหลินสหายคนสนิทของเขา กับกลุ่มแคลนผู้พิทักษ์แล้ว ก็ไม่มีใครได้ล่วงรู้อีกเลย เพราะมิซึกิปิดปากเงียบไม่แพล่งพลายความลับนี้ออกไปให้ใครได้รู้
"จะว่าไปแล้ว...." จู่เรย์ก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบกริบมาเป็นเวลานาน ทำให้มิซึกิหันควับมาด้วยความตกใจเล็กน้อย
"รุ่นพี่คริสเตียนไปไหนเหรอ ความจริงแล้วเธออยู่ซ้อมดึกขนาดนี้รุ่นพี่น่าจะมาส่งเธอกลับบ้านมากกว่านะ" เมื่อได้ยินคำพูดของเรย์ มิซึกิก็ก้มหน้าลงและเม้มปาก ทำให้หัวใจของเรย์หล่นลูบลงตะตุ่มลงในทันใดเมื่อเห็นพฤติกรรมที่ดูออกมามิซึกิสาวผู้น้องกำลังรู้สึกอย่างไร
"คนแบบนั้น อย่าไปพูดถึงเขาเลยดีว่าค่ะ"
ถ้าคนในโรงเรียนหรือคนสนิทของมิซึกิจะรู้จักดีในเรื่องของความเรียบร้อย อ่อนน้อม ถึงแม้บางครั้งเธอจะทำอะไรติงต๋องไปมากอยู่ก็ตาม แต่ในวันนี้ที่ชายหนุ่มได้เห็นมันกลับตรงข้ามกันเลย เรย์รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่เศร้าหมองออกมาจากดวงตาคู่สวยที่เขาหลงใหล และรู้ตัวดีแล้วว่าเขาพึ่งจะพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ในตอนนั้นเรย์พยายามเปลี่ยนเรื่องที่ตัวเองเริ่มไปให้เร็วที่สุด
"....จริงสิ ฉันยังไม่ได้ขอบใจเธอเลยนะ" ท่ามกลางความเงียบสะงัดมาเป็นเวลานาน จู่ๆเรย์ก็พูดขึ้นมา ทำให้หญิงสาวคนข้างที่เริ่มคิดอะไรไปเรื่อยเฉื่อยออกจากภวังค์และหันไปตามเสียงนั้น
"เอ๋ เรื่องอะไรเหรอคะ?" มิซึกิยังคงสงสัยในสิ่งที่รุ่นพี่ของเขาเอ่ยออกมา
"ก็เรื่องที่เธอยอมปกปิดมาตลอดว่าฉันเป็นผู้กล้าสีแดงไง ต้องขอบใจเธอมากๆเลยนะ" เรย์อธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนแสดงความรู้สึกขอบคุณมากๆกับผู้หญิงคนนี้
"ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ" มิซึกิพูดออกมาด้วยท่าที่เขินอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคที่รุ่นพี่ของเธอเอ่ยออกมา "แต่ก็... ถึงจะไม่ใช่ฉัน ฉันคิดว่าเป็นคนอื่นก็คงทำเหมือนกับฉันแหละค่ะ ที่จริง คนที่ต้องขอบคุณคือฉันต่างหาก เพราะว่าถ้าไม่มีรุ่นพี่ มิซึกิก็คงไม่มีวันนี้จริงๆ"
ถ้อยคำชมเชยที่แสนจะอ่อนโยนถูกส่งออกมาจากหญิงสาวคนข้างๆของเรย์ ทำให้ความเอ็นดูที่ชายหนุ่มมีต่อเด็กคนนี้มีมากมายถมขึ้นไปอีก มิซึกิเผยรอยยิ้มอันสดใสของเธอออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆไหลออกมาอาบแก้มเนียนใสนั่นอีกครั้ง ทำให้ผู้เป็นรุ่นพี่อดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปเช็ดน้ำตาด้วยนิ้วที่ดูแข็งแกร่งแต่แสนจะบอบบางในขณะนั้น ทั้งสองส่งรอยยิ้มให้กันและกัน ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปตามทางเดินที่กำลังมีกลีบดอกไม้สีชมพูที่ร่วงล่นลงมาจากต้นริมทางเท้านั้น ราวกับว่ากำลังปูทางให้พวกเธอทั้งสองเดินไปจนสุดทาง
และไม่นานมิซึกิก็วิ่งนำหน้ารุ่นพี่ของเธอไปไกลจนเรย์รู้สึกแปลกใจจนเกือบจะวิ่งตามเธอไปแล้ว แต่ว่าชายหนุ่มก็ต้องหยุด เมื่อมิซึกิถึงเสาไฟที่กำลังส่งสว่างตรงลงมายังเธอเพียงผู้เดียวและเธอก็หันมาทางรุ่นพี่ของเธอพร้อมกับยิ้มให้ชานหนุ่มร่างสูงตรงหน้าของเธอ เรย์หยุดมองได้ครู่หนึ่งเมื่อมองดูออกว่าเธอกำลังจะอะไรต่อไปก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาเธอ
"เค้าน่ะเคยฝันนะ ว่าบินไปบนท้องฟ้าได้" มิซึกิเงยหน้ามองดูดาวพร้อมกับเอ่ยออกมา สายตาของเรย์จ้องมองไปยังสร้อยคอที่มิซึกิเอาออกมาแล้วกำเอาไว้อยู่ในมือ เป็นสร้อยสีเงินที่กำลังห้อยจี้หินสีฟ้าทรงห้าเหลี่ยมอยู่ มันกำลังเรืองแสงที่ส่องลงมาจากเสาไฟที่เธอไปยืนอยู่นั้น
"...ถ้าเธออยากขึ้นไปบนท้องฟ้าล่ะก็ ฉันจะเป็นคนพาเธอไปเอง" เรย์เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นจนหญิงสาวตรงหน้าก้มลงมาสบตากับรุ่นพี่ของเธออีกครั้ง ดวงตาทั้งสองสั่นระริกราวกับว่ากำลังจะส่งความรู้สึกถึงกันและกันได้
"ฉันจะเป็นคนพาเธอไปเอง ขอแค่... เธอเชื่อใจฉันก็พอแล้ว"
ทั้งสองสบการกันด้วยรอยยิ้ม แสงสว่างส่องลงมาเพียงคู่ชายหนุ่มและหญิงสาวนั้น ราวกับว่าภาพนี้เป็นภาพๆหนึ่งแทนเรื่องราวที่แสนโรแมนติกสำหรับความรักที่พึ่งจะเกิดขึ้นมา
เมื่อเวลาเป็นใจแต่เรย์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวดี สาวเจ้าก็วิ่งแจ๊นออกไปจากตรงนั้นอีกครั้งหนึ่ง สร้างความสงสัยให้กับรุ่นพี่ของเธออีกครั้ง เธอรีบวิ่งไปยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งสายตาของเรย์ไปสะดุดเข้ากับสนามเด็กเล่นแห่งหนึ่งเยื้องย่านชุมชนตรงหน้านั้น ก่อนที่จะชายตากลับมาหาสาวรุ่นน้องของเขา
"รุ่นพี่!" มิซึกิพูดออกมาเสียงดัง มือทั้งสองกำลังทำมือราวกับว่ากำลังตะโกนหาชายหนุ่มตรงหน้านั้น
"บ้านของหนูอยู่ตรงข้ามเยื้องๆกับสวนสาธารณะตรงนั้นนะคะ ถ้าไม่รังเกียจว่างๆแวะมาหากันบ้างนะ"
"ได้สิ! ฉันจะหาไปแน่นอน!" ชายหนุ่มตอบเธอในทันทีจนเด็กสาวยิ้มออกมาอย่างน่ารัก
"ขอบคุณนะคะ รุ่นพี่..."
มิซึกิโบกมือลารุ่นพี่ของเธอซึ่งเรย์ก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน หลังจากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเรย์ก็ยังอดสงสัยในสิ่งที่ประธานและรองประธานของโรงเรียนทำกับเขาในคืนนี้ไม่หาย แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันกลับทำให้คืนๆนี้เป็นคืนที่แสนวิเศษคืนหนึ่งของเขา เมื่อคิดเช่นนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างไม่อาย ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนที่มีแสงดาวส่งระยิบระยับไปทั่วท้องฟ้า
ในทางกลับบ้านดั่งเช่นทุกๆวันของชายหนุ่มก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาใช้เวลาที่แสนเงียบเหงาไปตลอดทางในการเดินชมสิ่งต่างๆรอบตัว แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ก็ยังคงมีสิ่งที่ทำให้เขาสนใจมันอยู่ไม่น้อย แสงไฟจากร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนๆในป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ทำให้ดูงามตา หรือแม้กระทั่งร้านเหล้าตรงข้ามที่ตกแต่งด้วยไม้ซะส่วนใหญ่ออกจะแนวสไตล์คาวบอย หมวกคาวบอยใบยักษ์ที่อยู่บนหลังคาทำให้ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
ราวกับเป็นการเปิดหูเปิดตายามค่ำคืน ที่เด็กหนุ่มคนนี้แม้จะเคยทำงานกลางคืนอยู่บ่อยครั้ง แต่ตัวเองก็ไม่เคยได้สนใจสภาพแวดล้อมในละแวกบ้านของตัวเองเลยสักครั้ง ทำให้เขารู้สึกว่าเมืองๆนี้ก็มีอะไรน่าสนใจอยู่มากมายอยู่เหมือนกัน
ในระหว่างทางกลับบ้านนั้นหารู้หรือไม่ว่า คืนๆนี้อาจจะทำให้วันคืนไม่เหมือนคืนที่ผ่านมา ในขณะที่เรย์กำลังเดินกลับบ้านอย่างเพลินๆอยู่นั้น จู่ๆเขาก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างเข้ามาหาอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็ดูเหมือนว่าจะถูกใครบางคนดึกแขนของเขาไป แล้วพาเขาไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขายังมึนงงกับเหตุการที่กำลังเกิดขึ้นรู้สึกตัวอีกทีเรย์ก็ไปอยู่ตรงพุ่มไม้ใหญ่แล้ว
เมื่อมองดูผ่านรู้ใบไม้ตรงหน้านั้น นี่มันอยู่ในสวนสุขภาพที่อยู่ห่างจากบ้านเขาไปไม่ไกลนัก และเมื่อเขาชายตามองลงไปก็พบกับมือเล็กๆมือหนึ่งที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังปิดปากเขาอยู่ เรย์ค่อยๆเหล่ไปทางด้านหลัง สัมผัสอุ่นๆสองข้างจากทางด้านหลังที่เขาไม่คุ้นเคย ความรู้สึกระคายนี่คงเป็นเส้นผมเป็นแน่ เรย์รู้สึกอย่างนั้น จนกระทั่นไออุ่นๆกำลังเข้ามาจากทางข้างหลังมาใกล้หูของเขา
"ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้จะมาทำร้ายคุณ แต่ว่า...ช่วยอยู่เงียบๆสักพักนึงนะ" เสียงแหบแห้งและเหนื่อยหอบดังออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ถึงอย่างนั้นเรย์ก็ยังรู้ได้ว่าเสียงๆนี้เป็นเสียงผู้หญิงแน่นอน
ไม่ทันได้จบประโยคดี ทันใดนั้นเองอะไรบางอย่างก็ค่อยๆปรากฏตรงหน้าของพวกเขาอย่างช้าๆผ่านทางรูพุ่มไม้นั้น และสิ่งที่พวกเขาได้เจอนั่นก็คือร่างยักษ์ในชุดหนังสีดำพร้อมอาวุธในการลอบสังหารครบมือ มาพร้อมกับกลุ่มยักษ์ที่มีอาวุธครบมือเช่นกัน เพียงแค่แว็บเดียวก็ทำให้เรย์รู้ได้เลยคนที่อยู่ตรงหน้าคือพวกไนติงเกลหรือกับพวกกองทัพอันดูริลอย่างแน่นอน เรย์พยายามเอี่ยวคอมองเพราะอยากมองเห็นใบหน้าของเธอคนนี้สักครั้งว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อเสียงๆหนึ่งที่น่าสงสัยดังขึ้นมาเขาก็หันกลับไปตรงหน้า
และทันใดนั้นเองดวงตาสีชาคล้ายกับสนิมที่เกาะกินเหล็กก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขา เด็กสาวหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ ไม่ต่างกับเรย์ที่รู้สึกตกใจกับภาพตรงหน้าไม่แพ้กัน
"เฮ้ย!!!! มันอยู่ในนี้!!!!!!"
สิ้นเสียงอันน่ากลัวของยักษ์ตรงหน้า เด็กสาวก็ไม่รอช้ารีบดึงมือของเรย์ออกจากพุ่มไม้ที่เขาไว้หลบซ่อนตัวอยู่ แล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหล่ากลุ่มนักรบชุดดำเห็นดั่งนั้นก็ไม่รอช้ารีบตามพวกเขาทั้งสองไปในทันที แต่ทว่าด้วยความเร็วสูงของเด็กสาวผู้นั้นทำให้เธอและชายหนุ่มทิ้งห่างยักษ์พวกนั้นหลายเหล่าตัวนัก
เมื่อไปถึงภายในส่วนนั้น ไม่นานนักพวกมันก็ไปไม่ได้ก็ต้องหยุด หัวหน้าของพวกมันคือหนึ่งในกลุ่มไนติงเกลที่ใส่ชุดดูน่าเกรงขามกว่ายักษ์ตัวอื่นๆกำลังสอดส่องสายตาไปรอบและออกคำสั่งให้กระจายกำลังออกค้นหา เพราะว่าคนที่ตามหานั้นได้หายไปจากสวยตาของพวกเขาอีกแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าคนที่พวกมัยกำลังตามหาอยู่นั้น กำลังหลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ข้างๆนั่น
เรย์มองดูสถานการณ์การผ่านรูพุ่มไม้แล้วหันควับกลับมา เด็กสาวกำลังนอนหายใจหืดหอบอย่างอ่อนแรงอยู่ข้างๆนั่น ราวกับว่าเธอกำลังจะขาดใจในไม่ช้า
ชายหนุ่มพิจารณาดูจากใบหน้าของเธอน่าจะรุ่นราวเดียวกันกับมิซึกิหญิงสาวรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกันของเขาที่พึ่งจากกันมา ใบหน้ากลมเนียนใสแต่เปื้อนไปด้วยคราบดินเป็นรอยทางยาวดำๆ ดวงตาตี่ๆคล้ายกับคนที่พึ่งกำลังตื่นนอนอยู่ตลอดเวลา เรย์มองดูชุดหนังที่เธอกำลังสวมใส่อยู่ ชุดหนังสีเลือดหมูมีตราเซนทอร์ยิงคันศรอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้ายและเกราะสีเงินช่วงต้นแขน ต้นขาถึงหัวเขา ส่วนช่วงลำตัวก็มีเข็มขัดที่เอาไว้ใส่อาวุธประจำกายและอาวุธลับแต่มันว่างเปล่าอยู่ คาดว่าเธอคงใช้งานมันไปจนหมดแล้ว ทำให้เขารู้ว่าเธอคนนี้คงจะเป็นนักรบฝึกหัดอย่างแน่นอน เธอคงทำภาระอะไรบางอย่างและถูกเจ้าพวกนี้ไล่ตามมาเป็นแน่
แต่ดูจากสภาพของเธอที่ไม่สู้ดีในตอนนี้จากชุดของเธอที่ขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยเลือดและดินตามร่างกายไม่น้อยไปกว่าบาดแผลของเธอ ทำให้เรย์รู้ว่าถึงหนีไปอีกก็คงไปไม่ได้ไกลอยู่ดี และคงโดนจับตัวได้ในที่สุด ชายหนุ่มคิดอย่างนั้น
ในขณะที่เรย์กำลังจะทำอะไรบางอย่าง เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังมองเขาเข้ามาผ่านรูพุ่งไม้นั้น เมื่อเขาหันไปก็พบกับเลนใสที่สะท้อนแสงจากหน้ากากของยักษ์ไนติงเกลหัวหน้านั่น เด็กสาวข้างๆกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ว่าร่างกายของเธอก็ขยับไม่ทันท่วงที ทำให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกต้องอุ้มหญิงสาวคนนั้นแล้วกระโจนออกมาจากพุ่มไม้นั่น และก็เป็นไปอย่างที่เขาคาด ทันทีที่เรย์กระโดดออกมาจากพุ่มไม้นั้น เหล่ายักษ์ก็รุมลงดาบฟาดผ่านอากาศลงมา แต่ก็ไม่ทันความเร็วที่ดูเหนือมนุษย์ของชายหนุ่มอยู่ดี
เรย์ค่อยๆวางเด็กสาวคนนั้นลงกับพื้นเพราะดูท่าทีแล้วเธอน่าจะไปต่อไม่ไหว จากการคาดการทางสายตาของเรย์จากเลือดที่ไหลออกมาไม่ขาดสายของเธอ ถึงกระนั้นเด็กสาวก็จับแขนของเรย์และพยายามบอกให้เขาหนีไปด้วยเสียงที่แผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยิน ดวงตาสั่นระริกและสะลึมสะลือคล้ายกับคนที่กำลังจะหมดสติ เธอสำลักออกมาเล็กน้อยเพราะร่างกายที่ช้ำในเป็นอย่างมาก
"เธอน่ะนอนพักไปเถอะ" ชายหนุ่มค่อยๆดึงมือของเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนนั้นมาไว้ที่อกของเธอ พร้อมกับกำมือของเธอแน่นๆ เด็กสาวจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าดวงความแปลกใจ ในใจคิดว่าหรือว่าเขากำลังจะไปตายแทนเธอ
"เดี๋ยวฉันจัดการเอง!"
"แต่...ว่า...."
เรย์ปล่อยมือจากเด็กผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับกำหมัดแน่น ดวงตาที่ส่งออกมาดูเอาจริงเอาจังมากๆกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เหล่านักรบชุดดำแห่งกองทัพอันดูริลวิ่งมาล้อมกรอบพวกเขาทั้งสองนั้นเอาไว้ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ไม่ได้ไหวติงเลยแต่อย่างใด
"เอาตัวผู้หญิงคนนั้นมาซะ ชาวไนท์เบลด" ไนติงเกลพูดขึ้นมาพร้อมกับชี้ดาบมาที่เรย์ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้านั่น แต่ทว่าเด็กหนุ่มในชุดสีแดงตรงหน้านั้นก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไรเลยแม้แต่น้อย
"ไม่อย่างนั้น ข้าจะฆ่าแกพร้อมกับนางนั่นซะ! จะฆ่ามันให้แต่ไปพร้อมกับความลับของพวกเราที่มันเอามา!!!" พวกยักษ์คำรามออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง
"หุบปากของพวกแกไปเถอะ!!!!" แต่ทว่าเสียงตวาดของเด็กหนุ่มตรงหน้าดันดุดัน และก้องกังวานยิ่งกว่า
"ไอ้พวกกระจอกอย่างพวกแกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน!!!!"
ในขณะนั้นเองเด็กหนุ่มในชุดสีแดงเพลิงค่อยๆลุกขึ้นมาแล้วหันควับมาประจันหน้ากับเหล่ากองทัพอันดูริลที่กำลังล้อมเขาเอาไว้ เมื่อลืมตาขึ้นมา ดวงตาคู่ตรงหน้าของเหล่านักรบทมิฬก็ทำให้พวกมันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงโดยฉับพลัน แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ความกลัวที่ก่อเกิดในจิตใจของพวกมันก็ทำให้พวกมันถอยหลังกันไปหนึ่งเข้าอย่างอัตโนมัติ
เด็กหนุ่มยกมือขวาขึ้นมาเหมือนกำลังจะเอื้อมคว้าอะไรซักอย่างบนอากาศ ทำให้พวกกองทัพอันดูริลหันมองกันเลอะหลักไปทั่ว ราวกับว่าเด็กหนุ่มกำลังจะเรียกอะไรออกมา และหลังจากนั้นไม่นานเสียงแหวกผ่านอากาศก็ค่อยๆพุ่งเข้ามาหาอย่างช้าๆ และทันใดนั้นเอง แสงสีแดงที่ส่องสว่างจากที่ไกลๆก็พุ่งเข้ามาหาชายหนุ่มในชุดสีแดงเพลิงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่เสี้ยววินาที เครื่องประดับที่ลองพุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันมองก็สวมเข้ากับนิ้วของชายหนุ่มตรงหน้า จนเกิดเป็นแสงสีแดงหลังจากที่สวมมันเข้าไป
สายฟ้าสีแดงที่ออกมาจากแหวนพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ชายหนุ่มไม่รอช้าสะบัดแขนชี้ขึ้นไปบนฟ้า และเสียงฟ้าผ่าก็ดังสนั่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงกระแสไฟฟ้าที่กำลังวิ่งผ่านแหวนสีแดงวงนั้นมา เกิดเป็นสายพลังพุ่งตรงลงมาจากฝากฟ้า และนกฟีนิกซ์ที่มาพร้อมกับเปลวไฟก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน โบยบินขึ้นมาโอบร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังลุกไปด้วยเปลวเพลิงเอาไว้ ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยเปลี่ยนไปตามแสงสีแดงจากกระแสไฟฟ้าที่ค่อยๆไหลผ่านร่างกายของเขาไปตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดนักเรียนไนท์เบลดสีแดงเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นชุดเกราะสีแดงขาวเงาวาววับ จนกระทั่งสิ้นเสียงผ้าคลุมที่กำลังโบกสะบัดตามแรงลมที่กำลังพัดผ่าน ก็ได้ปรากฏชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงขาวที่ดูน่าเกรงขามตรงหน้าของเหล่านักรบสีดำนั้น
เด็กสาวที่นอนอยู่หลีตามองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า เพราะแสงสีแดงที่เจิดจ้าทำให้เธอแยงตาเป็นอย่างมาก ทำให้เธอเห็นเพียงแต่ร่ายของชายหนุ่มกับผ้าคลุมที่กำลังโบกสะบัดอยู่ตรงหน้านั้น
"จัดการมันเลย!!!!!!!"
เหล่ากองทัพอันดูริลที่ตกอยู่ในภวังค์อยู่นานก็หลุดออกมาได้เพราะเสียงของยักษ์หัวหน้าตนนั้น และทันทีที่ได้รับคำสั่ง พวกมันก็กระโจนเข้าหาชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้านั้น และเมื่อเห็นดั่งนั้น เรย์ก็เริ่มสูดหายใจเพื่อรวบรวมพลังภายในของตัวเองจนเกิดเป็นแสงสีแดงขึ้นมาที่หมัดขวา พลังของเขาทำให้พื้นที่แถวนั้นกลายเต็มไปด้วยออร่าสีแดงที่ออกมาจากชายหนุ่ม นกฟินิกซ์เริ่มโผยบินขึ้นมาจากทางด้านหลังของเขา พร้อมกับท่าเผด็จศึกของผู้กล้าสีแดง
- ฟินิกซ์ เรดซิ่ง เฟรม!!!!!!!!!! -
ด้วยพลังอันมหาสารจากหมัดจากผู้กล้าสีแดง ทำให้ร่างของเหล่ายักษ์ที่พึ่งกระโจนเข้ามาหากระเด็นออกไปเพราะแรงหมัดพลังของผู้กล้าสีแดง ไม่เพียงแค่นั้น นกฟินิกซ์ที่ออกมาจากหมัดของเรย์ได้พุ่งไปยังหัวหน้าของเหล่ายักษ์พวกนั้น ผ่านหัวสมองของยักษ์ตนนั้นเข้าไป เกิดเป็นท่าไม้ตายใหม่ที่ร้ายแรงไม่แพ้กับท่าเรดซิ่งเฟรมที่มีพลังทำลายล้างสูงมาก
- ดรรชนีมายาปีศาจ ฟินิกซ์!!!!! -
สายพลังเป็นเส้นเรียวยาวเล็กๆที่ออกมาจากปลายนิ้วชี้พุ่งทะลุผ่านสมองของยักษ์ตัวนั้นออกไป และเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของมันในทันที เมื่อภาพตรงหน้าของมันแปรเปลี่ยนเป็นความมืดสีดำทมิฬ เบื้องหน้าปรากฏร่างอันมหึมาของอันดูริลที่กำลังยื่นมืออันใหญ่ยักษ์เข้ามาหามัน พร้อมกับบีบร่างของมันอย่างไม่หยั้งมือ สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับยักษ์ตนนั้นเป็นอย่างมาก เสียงกรีดร้องดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งร่างของมันแตกสลายไปคามือของเงาอันใหญ่ยักษ์ของอันดูริล
แต่ทว่า ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็เป็นเพียงแต่ภาพหลอนของ"ดรรชนีมายาปีศาจ"ที่เรย์เป็นคนสร้างขึ้นมาเท่านั้น แม้จะดูไม่มีพิษสงค์ใดๆ แต่ทว่าท่าไม้ตายนี้ทำให้สมองของศัตรูตรงหน้าได้รับการกระทบกระเทือนเป็นอย่างหนัก จนทำให้บางครั้งศัตรูถึงกับขาดสติและสิ้นลมหายใจไป รวมไปถึงสร้างความเสียหายแก่ร่างกายของศัตรูตรงหน้าทำให้ร่ายกายอ่อนแรงและทรุดตัวลงเป็นอย่างมาก
ตรงหน้าของเรย์นั้น สายตาของเขายังคงมองไปยังยักษ์ตนนั้นที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยสีหน้าหวาดกลัวอย่างสุดขีดชีวิต ผู้กล้าสีแดงไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปแล้วกระชากคอมันขึ้นมา เพื่อทำอะไรบางอย่าง
"ใคร! เป็นคนส่งพวกแกมา! แกทำงานให้กับใคร!" แม้จะเป็นเสียงตวาดของเรย์ แต่ภายในจิตใจภาพตรงหน้าของมันที่เห็นเขานั้น กลายเป็นปีศาจที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟนรกที่กำลังแผดเผาร่างกายอยู่
"อะ อะ อันดูริล...."
"อันดูริลตายไปนานแล้ว แกทำงานให้กับใคร!! ใครส่งแกมา!! พูดมา!!!" เรย์รู้ว่าพลังหมัดของเขานั้นอาจจะส่งผลทำให้สมองของมันกระทบกระเทือนหนักเกินไป ทำให้มันจับต้นชนปลายไม่ถูกนักเลยพยายามถามใหม่ให้ยักษ์ตรงหน้าแน่ใจ
"คนที่เจ้าพึ่งสู้ไปด้วยไม่นานมานี้ไง คนที่เจ้าก็น่าจะรู้จักดี" เพราะคำพูดที่ออกจากปากของมันมา ทำให้เรย์เผยใบหน้าคิ้วขมวดด้วยความแปลกใจ
"หมายความว่ายังไง"
"ปีศาจร้ายน่ะอยู่หลังกำแพงแล้ว และคนที่สั่งให้ข้ามาที่นี่ก็คือ..."
- โป้ง!!!!!!!!!! -
เสียงคำรามดั่งสั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าพร้อมกับวัตถุอะไรบางอย่างที่พึ่งลอยผ่านหน้าผู้กล้าสีแดงไป เมื่อเขาหันไปตามเสียงนั่นก็ได้พบกับไนติงเกลคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนด่านฟ้าของตึกสามชั้นหลังหนึ่งใกล้ๆนั้น ทันทีที่เขาหันไป ไนติงเกลคนนั้นก็วิ่งข้ามตึกแล้วก็หายตัวไปในความมืด
เรย์พยายามที่จะวิ่งหวังตามไนติงเกลคนนั้นไป แต่ว่าเพราะเสียงอะไรบางอย่างที่มันหนักอึ้งกระทบกับพื้นดินทำให้ประสาทสัมผัสที่แสนว่องไวของเขาทำงาน เขาหยุดวิ่งและรีบหันกลับมาดูในทันที หญิงสาวที่ชายหนุ่มพึ่งช่วยชีวิตเธอไปนั้นกำลังนอนคว่ำหน้าลงไปกับพื้นพร้อมกับฝุ่นที่พุ้งกระจายไปทั่ว เป็นหลักฐานว่าเธอพึ่งจะล้มลงไป เมื่อเห็นดั่งนั้นชายหนุ่มผู้กล้าที่ชั่งใจอยู่นานว่าจะทำอะไรดี ก็ตัดใจที่จะตามไนติงเกลคนนั้นไปแล้วรีบเข้าไปช่วยเหลือเด็กหญิงตรงหน้าคนนั้น
"เห้ย!!! นี่เธอ! ทำใจดีดีเอาไว้ๆ!! เห้ย!!!" เรย์รีบพลิกตัวของเด็กหญิงคนนั้นพร้อมกับประคองเด็กผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาแล้วเขย่าตัวเธอเบาๆ แต่เมื่อเรียกไปเท่าไรเธอคนนั้นก็ไม่ตอบกลับมาแม้แต่น้อย เพราะเธอได้หมดสติลงไปแล้ว เรย์เม้มปากและคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับเธอคนนี้ดี
ในที่สุดชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกจึงนำร่างของเธอกลับมาที่บ้านของตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงบ้าน เรย์ก็อุ้มเธอคนนั้นขึ้นไปยังชั้นสองห้องของเขาเอง ชายหนุ่มค่อยๆวางเธอลงบนเตียงนอนของตัวเองอย่างทะนุทนอม และสายตาที่อยู่ไม่สุขของของเขาไปสะดุดเข้ากับเลือดที่หยดลงมาเลอะบนที่นอนของเขาเป็นดวงๆ ทำให้เขาเอ๊ะใจและพยายามจะถอดชุดของเธอออก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอคนนี้เป็นผู้หญิงทำให้เขาเกิดความรู้สึกลังเลใจและชะงักไปอยู่นานมาก เขาเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องของตัวเองด้วยท่าทีที่ร้อนรนว่าจะทำยังไงดี แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจได้ว่าต้องทำแผลให้เธอให้ได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเรย์ก็กลับมาที่ร่างของหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนั่นอีกครั้ง เรย์สูดหายใจเข้าไปลึกๆก่อนที่จะยกมือไว้ปะหลกๆพร้อมกับพูดว่าขอโทษนะ แล้วเริ่มถอดชุดส่วนลำตัวของเธอออกทีละชิ้น เผยให้เห็นรอยบากของบาดแผลในส่วนลำตัว กับเลือดที่ยังสดๆอยู่เปรอะร่างกายของเธอไปทั่ว ทำให้เรย์ต้องรีบนำเครื่องกล่องปฐมพยาบาลมาแล้วเริ่มบรรจงรักษาบาดแผลของเธอผู้นี้โดยเร็วที่สุด
... เด็กคนนี้มาจากไหนกันนะ แต่ว่า หน้าตาน่ารักดีแหะ ....
"เอ๋?!"
เพราะประโยคทักทายที่สาวใบหน้าสวยตรงหน้าของเรย์ส่งมานั้น ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงรู้สึกตัวว่าโลกที่สร้างจากจินตนาการของตัวเองนั้นเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน เมื่อรู้สึกตัวอีกที ตัวเองก็ยื่นมือไปจับมือกับมิซึกิอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังลอยแหวกอากาศเข้ามาหา และในที่สุด
- ผั๊ว!!!!!!!! -
"ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!!!!!!"
กว่าเรย์จะหาคำตอบได้พบ ฝ่ามือของคนที่คุ้นเคยที่มาจากทางด้านหลังก็หวดเข้ามากลางศีรษะของเรย์อย่างสุดแรงจนเสียง แสงไฟภายในหอประชุมขนาดใหญ่นั้นก็ส่องสว่างขึ้นมา เผยให้เห็นเด็กนักเรียนสาวอีกสี่ห้าคนที่กำลังมองมาทางชายหนุ่มเป็นตาเดียวบนเวทีใหญ่ตรงหน้าของพวกเธอนั้น ชายหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที หัวใจเต้นระรัว ใบหน้าแดงกล่ำด้วยความเขิน ก่อนที่จะชำเลืองมองไปยังหญิงสาวอีกคนที่กำลังยืนอยู่ใกล้เขา
เธอคนนั้นก็คือทาคาฮาชิ ไอ หรือประธานนักเรียนสาวแสนสวยที่กำลังยืนหน้าบูดหน้าบึ่งเพราะว่าเจ้าตัวเขามาขัดจังหวะเวลาทำกิจกรรมของเธอ ซึ่งเมื่อเรย์ดูสภาพโดยรอบแล้ว กิจกรรมนี้น่าจะเป็นกิจกรรมที่ใหญ่ไม่ใช่น้อย
"ให้ตายสิ!!! กำลังได้ฟิลอยู่แล้วเชียว อีกนิดเดียวก็จะจบบทอยู่ล่ะ!! มาทำบ้าอะไรของนายตอนนี้เนี่ย!!!!" ไอจังที่กำลังหัวเสียพูดออกเป็นชุดจนเรย์ที่กำลังยืนงงอยู่จับใจความแทบไม่ทัน ชายหนุ่มยืนเกาหัวและยืนอ้ำอึ้งอยู่นานไม่รู้จะพูดอะไรก่อนดี
"เอ๋... เอ่อคือว่า นี่มันเรื่องอะไรกันเหรอ?" เรย์ถามออกไปด้วยความรู้สึกที่ยังอึนๆอยู่ ทั้งๆที่คนที่ถามคำถามมันน่าจะเป็นตัวเขาเองซะมากกว่า เขารู้สึกอย่างนั้น
"เร๊ย์! มาแล้วเหรอ" เสียงเรียกชื่อของชายหนุ่มดังขึ้นมา ริสะรุ่นพี่ของเขาอีกคนเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มก่อนที่เธอจะชายตามองสลับกับเรย์และมิซึกิ แล้วเธอก็ทำหน้าตาเหมือนว่าพึ่งคิดอะไรออกขึ้นมา
"เอ้อจริงสิ! ตอนนี้พวกเรากำลังซ้อมการแสดงกันอยู่นะ แต่อีกแป๊บเดียวก็จะเลิกแล้วล่ะ" เธอบอกกับเรย์ ซึ่งเมื่อชายหนุ่มได้ยินคำพูดของรุ่นพี่ของเธอก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย
"ซ้อมการแสดงงั้นเหรอ ซ้อมเพื่องานอะไรเหรอครับรุ่นพี่"
"นี่นาย! ไปอยู่ไหนมาเนี่ย!" ไอจังพูดเสียงแข็งสวนขึ้นมา "ไม่รู้หรือไงว่าอีกสองสามวันก็จะมีงานนิทรรศการโรงเรียนน่ะ"
".....จริงด้วย!! ลืมไปซะสนิดเลยนะเนี่ย!" ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยความตกใจในทันทีเมื่อได้ยินในสิ่งที่ประธานนักเรียนสาวของเขาเอ่ยขึ้นมา แต่เมื่อสายตาของเขาไปสะดุดกับสายตาที่ชวนหลงใหลของมิซึกิที่กำลังส่งมาให้กับเขาพร้อมกับอมยิ้มที่แลดูน่ารักในท่าทางของชายหนุ่มอยู่นิดๆ ทำให้เขาต้องหลบสายตาไปด้วยใบหน้าที่แดงกล่ำเพราะความเขิน
"....งั้นถ้ายังไง เธอไปรอที่ห้องแต่งตัวก่อนนะ ไม่นานหรอกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว"
และแล้วเรย์จำยอมที่จะต้องมานั่งในห้องแต่งตัวที่หลังเวทีไปก่อน โดยที่เขาเองก็ยังไม่ทราบถึงสาเหตุที่ตัวเองต้องถ่อสังขารมาที่โรงเรียนนี้เวลามืดค่ำ จากการเรียกตัวของไอจัง แต่ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็คิดได้ว่าก็ยังดีกว่าการที่ตัวเองต้องขังตัวเองอยู่ภายในบ้านหลังนั้นเพียงลำพังดั่งเช่นทุกๆวัน
เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เรย์กำลังนั่งรอพวกเธออยู่นั้นเขาก็นำมือถือขึ้นมาเล่นเกมส์ที่ดาวน์โหลดมาไว้ภายในเครื่อง แล้วก็เล่นเกมส์ไปเพื่อค่าเวลาที่แสนเงียบเหงาและน่าเบื่อหน่าย บนเก้าอี้สีสมหน้ากระจกบานใหญ่ภายในห้องสีขาวที่มีแสงไฟนีออนส่องสว่างไปทั่วห้องนั้นคนเดียว จนในที่สุดไม่ถึงอึดใจเดียว บรรดาเด็กนักเรียนที่เป็นทีมงานของการแสดงชุดดังกล่าวก็ยกขบวนกันเข้ามาภายในห้อง พร้อมกับถือข้าวของที่ใช้สำหรับการแสดงติดไม้ติดมือกันมาคนละสองสามอย่างด้วย
ชายหนุ่มรีบปิดเกมส์บนมือถือที่กำลังเล่นอยู่อย่างรวดเร็ว และลุกขึ้นยืนเพื่อให้ทุกคนที่เข้ามาได้เห็นเผื่อตัวเองที่กำลังว่างอยู่นั้นจะช่วยอะไรพวกเธอได้บาง แต่ด้วยงานของบรรดาเหล่านักเรียนสาวทั้งหลายทำให้ยังไม่มีใครหันมาสนใจเขาอยู่ดี ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงแต่มองดูพวกเธอตาปริบๆ ยืนดูพวกเธอวางของจัดของพวกชุด ริบบิ้น ปีกที่ติดขนนกจำลองไว้ให้เข้าที่เข้าทาง เขายืนมองของที่กำลังเรียงรายกันอยู่ตรงหน้านั้นแล้วก็คิดว่า ของที่ใช้ในการแสดงครั้งนี้ดูจุกจิกซะเหลือเกิน
และไม่นานนัก คนที่เรย์คิดว่าพอที่จะเสวนาด้วยได้ก็เดินเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงกัน ที่หน้าประตูห้องนั้นนำมาโดยไอจังและริสะ ที่เดินเข้ามาภายในห้องนั้น พร้อมกับมิซึกิและเอรินะเพื่อนสาวรุ่นเดียวกันของเธออีกคน ไม่ทันไรประธานนักเรียนสาวก็ไม่วายรีบเดินไปกำกับเหล่าบรรดาทีมงานของเธอว่าให้เอาของวางเอาไว้ตรงไหนบ้างอย่างดูจู้จี้ พร้อมกับนำกล่องขนาดไม่ใหญ่มากที่เธอถือติดตัวเข้ามาด้วยไปวางเอาไว้รวมกัน
แต่ถึงอย่างนั้น เรย์ก็อยากจะได้คำตอบที่มันค้างคาใจของเขามากที่สุดในตอนนี้ เหตุผลที่เธอเป็นคนเรียกเข้าให้ถ่อสังขารจากบ้านออกมาในยามดึกๆดื่นๆเช่นนี้ เรย์ไม่รีรอช้าเดินตรงดิ่งเข้าไปหาไอจังในทันที
"นี่คุณประธาน...." ชายหนุ่มใช้นิ้วสะกิดหัวไหล่ของไอจังเบาๆ และเจ้าตัวที่โดนสะกิดหัวไหล่นั้นก็หันหน้ามาแทบจะในทันที พร้อมกับทำสีหน้าบึ่งตึงใส่เรย์อีกต่างหาก
"อะไร!" คำพูดสั้นๆห้วนๆส่งมายังชายหนุ่มที่พึ่งเข้ามาหาเธอนั้น
"เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยนะว่าเรียกฉันออกมาทำไมตอนดึกๆป่านนี้เนี่ย" เรย์ถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเบื่อหน่าย หญิงสาวรุ่นพี่เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำหน้าตาเหมือนว่านึกอะไรขึ้นได้
"อ๋อออ อออ คือแบบว่า...." สายตาของไอจังลอกแลกมีพิรุธจนเรย์รู้สึกได้ เรย์เลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแสดงความสงสัยให้คนตรงหน้าได้รับรู้
"พอดีว่าวันนี้เราเลิกซ้อมแล้วก็ต้องเก็บของกันต่อ แต่มิซึกิต้องรีบกลับบ้านไปก่อนน่ะ แล้วคือว่าน้องต้องกลับบ้านไปคนเดียว ตอนนี้มันมืดไปแล้วด้วย เป็นผู้หญิงเดินทางกลับบ้านคนเดียวมันอันตรายใช่ไหมล่ะ เพราะนายเป็นผู้ชายนั่นแหละฉันก็เลยเรียกนายมานี่ไง"
"เอ่อ คือว่าฉัน ฉันทำงานในส่วนนี้เสร็จแล้วล่ะค่ะ ก็เลยว่าจะขอกลับกะมิซึกิเล...ย..." แววตาดุดันของประธานนักเรียนสาวหันควับไปที่เอรินะรุ่นน้องของเธอในทันใด ทำให้รุ่นน้องของเธอเบรกคำพูดของเธออย่างกะทันหัน และไอจังก็เหมือนมีประกายแสงวับๆจากสายตาที่ส่งไปยังเพื่อนสาวรุ่นเดียวกันกับเธอ ประหนึ่งเหมือนกำลังส่งซิกที่นัดกันมา ริสะสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อยเมืองเห็นสายตาของไอจังจนตัวเองนึกได้ว่าต้องทำอะไรต่อไป
"คือว่า!!!" และทันใดนั้นริมฝีปากสวยของเอรินะก็ถูกหยุดด้วยมือเนียนใสของรุ่นพี่ของเธอ ที่แทบจะกระโจนเข้าหาเธอจากทางด้านหลังในทันที
"พอดีเอรินะกำลังจะบอกว่าต้องช่วยฉันเคลียเรื่องอุปกรณ์การแสดงก่อนนะ ก็เลยต้องอยู่ช่วยฉันก่อนเลยกลับไปกับมิซึกิในตอนนี้ไม่ได้นะ ต้องพึ่งนายแล้วล่ะนะเรย์"
ใบหน้าของเรย์ในตอนนี้ก็ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยไม่เสื่อมคลายไปจากเดิม ชายหนุ่มชายตามองไปหามิซึกิที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้น ซึ่งเธอก็ทำสีหน้าเหรอหลากับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ ริมฝีฝากอมชมพูเผยอค้างเอาไว้เหมือนกับคนที่กำลังจะพูดแต่ก็ไม่รู้จะพูดออกไปยังไง เพราะไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อนดี เธอได้แต่มองพวกรุ่นพี่ของเธอแล้วปล่อยให้เรื่องมันเป็นไป
เรย์ถอนหายใจยาวๆก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
"...เอาเถอะ ยังไงเดี๋ยวฉันไปส่งมิซึกิก่อนแล้วกันนะ" เมื่อได้ยินคำพูดของเรย์ สองคู่หูตัวแสบรุ่นพี่ของชายหนุ่มก็เผยรอยยิ้มที่แสนจะมีเล่ห์นัยออกมาพร้อมกันทั้งคูู่
"ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้" เรย์หันมาบอกกับมิซึกิรุ่นน้องของเขาพร้อมกับเดินนำไปก่อนสองสามก้าว แล้วหันมาเพื่อรอมิซึกิที่กำลังจะบอกลารุ่นพี่ของพวกเธอ
"ค่ะ!... ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะรุ่นพี่ กลับก่อนน๊าเอรินะ" มิซึกิโค้งให้กับรุ่นพี่ของเธอแล้วโบกมือลาเพื่อนสาวของเธอ แล้วหันหลังเดินตามเรย์ออกไป เมื่อมองตามแผ่นหลังของทั้งคู่จนเดินออกจากห้องไป สองประธานนักเรียนและรองประธานนักเรียนสาวตัวแสบก็หันมาสบตากันก่อนจะยิ้มและหัวเราะกันเล็กน้อย
ท่ามกลางคืนอันแสนเงียบสงัด แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ก็ยังคงมีรถที่วิ่งอยู่ตามท้องถนนให้เห็นอยู่อย่างไม่ขาดสาย สองหนุ่มสาวในชุดนักเรียนสีแดงเพลิงแห่งไนท์เบลดเดินเคียงคู่กันอยู่บนทางเดินคอนกรีตริมทางนั้นอย่างเนิบๆไม่รีบร้อนอะไร ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันมาตลอดทางหลังจากที่ออกจากโรงเรียนมาได้พักใหญ่ๆแล้ว เขาทั้งสองเพียงแค่พยายามเหล่คนข้างด้วยหางตาด้วยความเขินอาย บางครั้งก็แอบหันไปมองอีกฝ่ายแต่เมื่ออีกฝ่ายหันมา ก็ทำเป็นหันกลับไปทางเดิมด้วยความเขินอาย บ่อยครั้งๆเขาก็ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงเริ่มรู้สึกรำคาญจนเขาต้องทำอะไรบางอย่าง
"เอ่อคือว่า!"
"เอ่อคือ!..."
แม้จะรวบรวบความกล้าแล้วเข้าไปทักทาย แต่ทั้งสองก็ดันมาทักทายพร้อมๆกันอย่างกับนัดกันมาซะอย่างนั้น เมื่อเสียงสองเสียงประสานกัน ทั้งคู่ก็รีบหันควับกลับไปที่เดิมด้วยความเขินอาย ซึ่งแสดงออกมาอย่างชัดเจนจากใบหน้าที่แดงกล่ำของทั้งคู่ โดยเฉพาะมิซึกิที่ผิวใบหน้านั้นเปลี่ยนไปจากสีขาวดั่งหิมะเป็นสีแดงเลือดจางๆ
"เอ่อ เธอพูดก่อนเถอะ" เรย์ผู้พี่บอกมิซึกิด้วยความเขินอาย แม้จะพูดกับหญิงสาวก็ตามแต่ใบหน้าของเขาก็ไม่ได้หันมาทางหญิงสาวแต่อย่างใด
"ไม่เป็นไรค่ะ รุ่นพี่พูดก่อนก็ได้" มิซึกิปฎิเสธพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว เมื่อได้ยินอย่างนั้นเรย์ก็ถอนหายใจเล็กน้อย แต่ก็ยาวพอที่จะนึกเรื่องอะไรที่จะพูดก่อนจะพูดออกมา
"จริงสิ!... วันนี้เธอแสดงได้ดีมากเลยนะ! แม้จะเป็นแค่การซ้อมก็เถอะ" แม้ในหัวก็เต็มไปด้วยความเขินอายและจับประเด็นเรื่องที่ตัวเองจะพูดออกมาไม่ได้ แต่ในที่สุดตัวเองก็นำเรื่องละครมาพูดออกไปแทน เรย์แทบรู้สึกถึงคำพูดของตัวเขาเองเพราะความเขินอายที่ถาโถมเข้ามาหา
"ถึงแม้จะเป็นแค่การซ้อมก็เถอะ แต่เธอแสดงออกมาได้ ยอดเยี่ยมจริงๆนะ"
"เห... ไม่หรอกค่ะๆ รุ่นพี่ก็ชมเกินไปแล้ว" แม้เธอจะปฎิเสธ แต่ใบหน้าของมิซึกิก็แอบมีรอยยิ้มปรากฏออกมาให้เห็นเล็กน้อย
"ฉันพูดคำไหนคำนั้นน๊า แล้วฉันก็ไม่ใช่เป็นคนชอบประจบด้วยนะ" เรย์พูดย้ำคำตอบของตัวเองพร้อมกับเหล่มามองหญิงสาวที่กำลังมองมาที่ชายหนุ่มเช่นกัน
"....ห้ามโกหกมิซึกินะ" หญิงสาวหันมาใช้ดวงตาคู่สวยของเธอมองรุ่นพี่ของเธอพร้อมกับทำแก้มป่องๆอย่างน่ารักน่าชัง
"ไม่โกหกหรอก เชื่อฉันสิ" ชายหนุ่มยังคงย้ำคำตอบเดิม แต่ในใจของเขาเมื่อเห็นใบหน้าแบบนั้นก็เตลิดไปไหนแล้วก็ไม่รู้
"เหรอค่ะ! ดีใจจังเลย" มิซึกิร้องออกมาด้วยความดีใจ "....อย่างน้อยก็ยังมีคนที่ชอบอยู่ค่ะ แค่คนเดียวก็ยังดี"
"มักน้อยไปไหมเนี่ยเธอ..."
"แหะๆๆๆ" มิซึกิแลบลิ้นออกมาพร้อมกับทำท่าเข่กหัวตัวเอง ทำให้เรย์ยิ้มและหัวเราะออกมา
"...ว่าแต่เรื่องที่เธอแสดงในวันงานสถาปนาโรงเรียนเรื่องนี้นี่คือเรื่องอะไรเหรอ" ตั้งแต่ที่เรย์ได้เห็นการแสดงและสิ่งของต่างๆภายในห้องแต่งตัวหลังจากที่เขาและเธอพึ่งจากมานั้น ทำให้เรย์เกิดความสนใจจนอดสงสัยไม่ได้ที่จะถามเธอที่มีส่วนในงานแสดงครั้งนี้
"อ๋อ เป็นนิยายเรื่องหนึ่งน่ะค่ะ มีชื่อเรื่องว่า ดอกไม้ในโลกที่แตกสลาย รุ่นพี่น่าจะเคยได้ยินนะคะ"
เมื่้อได้ยินชื่อเรื่องจากสาวคนข้างๆแล้วชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างแว๊บเข้ามาในหัวของตัวเองในขณะนั้น คับคล้ายคับคลาว่าเหมือนกับเป็นเรื่องที่เขาเคยได้ยินมาก่อนหน้านั้น เมื่อนานมาแล้ว
"ดอกไม้ในโลกที่แตกสลายอย่างนั้นเหรอ... คุ้นๆนะ" เรย์เอามือมากุมคางของตัวเองพลางทำท่าครุ่นคิดไปด้วย "...ถ้าจำไม่ผิดใช่เรื่องที่เกี่ยวกับดอกลิลลี่ ที่อยู่ในโลกใบนั้นเพียงลำพังใช่หรือเปล่า?"
"ใช่แล้วค่ะ เป็นเรื่องที่เศร้ามากๆเลย มิซึกิน่ะตอนซ้อมยังแสดงไปแล้วร้องไห้ไปเลย"
"หืม มันทำให้อินขนาดนั้นได้เลยเหรอ..." ชายหนุ่มถามเด็กสาวรุ่นน้องของเธอผู้ที่รับบทบาทการแสดงนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก
"ก็แหม๋ เรื่องนี้มันเศร้าจริงๆนะคะ ฉันลองนึกถึงถ้าตัวเองเป็นเด็กที่อยู่ในโลกใบนั้นเพียงลำพังด้วยว่าจะเป็นยังไง ต้องมองดูเพื่อนๆของตัวเองล้มตายไปคนแล้วคนเล่า ในขณะที่ตัวเองไม่มีวันตาย แล้วต้องอยู่ภายในโลกใบนั้นเพียงลำพัง เป็นดอกไม้ที่ไม่มีเหี่ยวเฉาไม่มีวันสูญสลายไปจากโลกใบนั้นค่ะ"
"...ดอกไม้ที่ไม่มีวันสูญสลายไปจากโลกอย่างนั้นเหรอ"
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่มิซึกิเล่ามา ชายหนุ่มก็เริ่มจินตภาพในหัวของเขาขึ้นมาเป็นฉากๆ เป็นภาพฉากในหัวที่ค่อนข้างชัดเจนดังภาพวาดสามมิติในยุคสมัยนี้ที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว ภาพในหัวของชายหนุ่มนั้นเป็นภาพดอกไม้ดอกหนึ่งที่มีกลีบสีขาวบริสุทธิ์แต่ใบและโคนของมันกลับมีสีดำทมิฬ กุหลาบยืนต้นอยู่ใจกลางโลกที่ปกคลุมไปด้วยความมืดมน ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ และภาพในหัวของเขานั้นยังคงมีเด็กสาวในชุดราตรีสีขาวผูกผ้าคาดหน้าท้องสีดำ ผมยาวสลวยสีดำขลับของเธอมีโบว์รูปดอกไม้สีขาวคาดเรือนผมทางด้านซ้ายอยู่อย่างโดดเด่น เธอกำลังนั่งก้มลงมองดอกไม้ด้วยความรู้สึกที่สิ้นหวัง ไร้หนทาง ราวกับว่าเธอคือร่างไร้วิญญาณไปแล้ว
แม้จะเป็นแค่ภาพในจินตนาการของเรย์ก็ตาม แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่อยู่ไม่น้อย
"เรื่องแบบนี้มัน เศร้าจริงๆ..ฮึก..นะคะ" พูดยังไม่ทันขาดคำสาวเจ้าก็ปล่อยน้ำตาแห่งความอ่อนไหวออกมา พร้อมกับเสียงสะอื้นเหมือนคนที่กำลังร้องไห้อย่างนัก จนเรย์ชายหนุ่มที่แสนจะซื่อบื้อทำท่าเหลอหลาไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ได้แต่โบกมือไปมาอยู่ข้างๆมิซึกิเป็นเชิงว่าให้หยุดร้องไห้
"เหวยๆๆๆ ไม่เอาน่าอย่ามาร้องไห้ตอนนี้สิ" เรย์พูดห้ามปรามหญิงสาวขี้แยข้างๆนั้น
"ฮื้อๆๆ ก็มัน... เศร้าจริงๆนี่คะ" หญิงสาวใช้นิ้วมือของตัวเองบาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย และพยายามกลั้นน้ำตาของตัวเองเอาไว้
"....บ่อน้ำตาตื้นจังเลยนะเธอ"
แม้จะเลยช่วงหัวค่ำมาแล้วก็ตาม แต่รถบนท้องถนนก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว ยังคงมีรถวิ่งผ่านให้เห็นอย่างไม่ขาดสาย และหนุ่มสาวทั้งสองคนก็ยังคงเดินไปบนริมทางเท้านั้นต่อไป จนกระทั่งเรย์สังเกตเห็นสี่แยกตรงข้างหน้า ชายหนุ่มกำลังเดินตรงไปที่ทางม้าลายเพื่อรอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม แต่ว่าเด็กสาวรุ่นน้องกลับกระตุกแขนเสื้อนักเรียนของเขาไปก่อน พร้อมกับพูดว่าทางไปบ้านของเธอต้องเลี้ยวซ้ายไม่ใช่ตรงไป เรย์แอบเขินเล็กน้อยก่อนที่จะเดินตามสาวเจ้าไป
เมื่อผ่านตรงสี่แยกนั้นมา ชายหนุ่มรู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศแถวนี้ดูร่มรื่นขึ้นมาทันตาเห็น ไม่ดูรู้สึกอึดอัดเหมือนตลอดทางที่เขาเดินผ่านมาเมื่อกี้นี้ ต้นไม้เขียวขจีริมทางดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่ผ่านๆมา ทำให้เรย์รู้สึกแปลกใจขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อนั้นชายร่างสูงได้นึกถึงเรื่องเมื่อครั้งก่อนที่แว๊บเข้ามาในหัวเขาทันที เรื่องที่เขาบุกฝ่าไปช่วยสาวรุ่นน้องของเขาจากพวกผู้ร้าย จนทำให้เขาต้องตัดสินใจสวมแหวนสีแดงขึ้นอีกครั้ง และเรื่องที่เขาสวมแหวนสีแดงนี้ นอกจากหลินหลินสหายคนสนิทของเขา กับกลุ่มแคลนผู้พิทักษ์แล้ว ก็ไม่มีใครได้ล่วงรู้อีกเลย เพราะมิซึกิปิดปากเงียบไม่แพล่งพลายความลับนี้ออกไปให้ใครได้รู้
"จะว่าไปแล้ว...." จู่เรย์ก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบกริบมาเป็นเวลานาน ทำให้มิซึกิหันควับมาด้วยความตกใจเล็กน้อย
"รุ่นพี่คริสเตียนไปไหนเหรอ ความจริงแล้วเธออยู่ซ้อมดึกขนาดนี้รุ่นพี่น่าจะมาส่งเธอกลับบ้านมากกว่านะ" เมื่อได้ยินคำพูดของเรย์ มิซึกิก็ก้มหน้าลงและเม้มปาก ทำให้หัวใจของเรย์หล่นลูบลงตะตุ่มลงในทันใดเมื่อเห็นพฤติกรรมที่ดูออกมามิซึกิสาวผู้น้องกำลังรู้สึกอย่างไร
"คนแบบนั้น อย่าไปพูดถึงเขาเลยดีว่าค่ะ"
ถ้าคนในโรงเรียนหรือคนสนิทของมิซึกิจะรู้จักดีในเรื่องของความเรียบร้อย อ่อนน้อม ถึงแม้บางครั้งเธอจะทำอะไรติงต๋องไปมากอยู่ก็ตาม แต่ในวันนี้ที่ชายหนุ่มได้เห็นมันกลับตรงข้ามกันเลย เรย์รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่เศร้าหมองออกมาจากดวงตาคู่สวยที่เขาหลงใหล และรู้ตัวดีแล้วว่าเขาพึ่งจะพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ในตอนนั้นเรย์พยายามเปลี่ยนเรื่องที่ตัวเองเริ่มไปให้เร็วที่สุด
"....จริงสิ ฉันยังไม่ได้ขอบใจเธอเลยนะ" ท่ามกลางความเงียบสะงัดมาเป็นเวลานาน จู่ๆเรย์ก็พูดขึ้นมา ทำให้หญิงสาวคนข้างที่เริ่มคิดอะไรไปเรื่อยเฉื่อยออกจากภวังค์และหันไปตามเสียงนั้น
"เอ๋ เรื่องอะไรเหรอคะ?" มิซึกิยังคงสงสัยในสิ่งที่รุ่นพี่ของเขาเอ่ยออกมา
"ก็เรื่องที่เธอยอมปกปิดมาตลอดว่าฉันเป็นผู้กล้าสีแดงไง ต้องขอบใจเธอมากๆเลยนะ" เรย์อธิบายด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนแสดงความรู้สึกขอบคุณมากๆกับผู้หญิงคนนี้
"ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ" มิซึกิพูดออกมาด้วยท่าที่เขินอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคที่รุ่นพี่ของเธอเอ่ยออกมา "แต่ก็... ถึงจะไม่ใช่ฉัน ฉันคิดว่าเป็นคนอื่นก็คงทำเหมือนกับฉันแหละค่ะ ที่จริง คนที่ต้องขอบคุณคือฉันต่างหาก เพราะว่าถ้าไม่มีรุ่นพี่ มิซึกิก็คงไม่มีวันนี้จริงๆ"
ถ้อยคำชมเชยที่แสนจะอ่อนโยนถูกส่งออกมาจากหญิงสาวคนข้างๆของเรย์ ทำให้ความเอ็นดูที่ชายหนุ่มมีต่อเด็กคนนี้มีมากมายถมขึ้นไปอีก มิซึกิเผยรอยยิ้มอันสดใสของเธอออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆไหลออกมาอาบแก้มเนียนใสนั่นอีกครั้ง ทำให้ผู้เป็นรุ่นพี่อดไม่ได้ที่จะเอื้อมไปเช็ดน้ำตาด้วยนิ้วที่ดูแข็งแกร่งแต่แสนจะบอบบางในขณะนั้น ทั้งสองส่งรอยยิ้มให้กันและกัน ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปตามทางเดินที่กำลังมีกลีบดอกไม้สีชมพูที่ร่วงล่นลงมาจากต้นริมทางเท้านั้น ราวกับว่ากำลังปูทางให้พวกเธอทั้งสองเดินไปจนสุดทาง
และไม่นานมิซึกิก็วิ่งนำหน้ารุ่นพี่ของเธอไปไกลจนเรย์รู้สึกแปลกใจจนเกือบจะวิ่งตามเธอไปแล้ว แต่ว่าชายหนุ่มก็ต้องหยุด เมื่อมิซึกิถึงเสาไฟที่กำลังส่งสว่างตรงลงมายังเธอเพียงผู้เดียวและเธอก็หันมาทางรุ่นพี่ของเธอพร้อมกับยิ้มให้ชานหนุ่มร่างสูงตรงหน้าของเธอ เรย์หยุดมองได้ครู่หนึ่งเมื่อมองดูออกว่าเธอกำลังจะอะไรต่อไปก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วค่อยๆเดินเข้าไปหาเธอ
"เค้าน่ะเคยฝันนะ ว่าบินไปบนท้องฟ้าได้" มิซึกิเงยหน้ามองดูดาวพร้อมกับเอ่ยออกมา สายตาของเรย์จ้องมองไปยังสร้อยคอที่มิซึกิเอาออกมาแล้วกำเอาไว้อยู่ในมือ เป็นสร้อยสีเงินที่กำลังห้อยจี้หินสีฟ้าทรงห้าเหลี่ยมอยู่ มันกำลังเรืองแสงที่ส่องลงมาจากเสาไฟที่เธอไปยืนอยู่นั้น
"...ถ้าเธออยากขึ้นไปบนท้องฟ้าล่ะก็ ฉันจะเป็นคนพาเธอไปเอง" เรย์เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นจนหญิงสาวตรงหน้าก้มลงมาสบตากับรุ่นพี่ของเธออีกครั้ง ดวงตาทั้งสองสั่นระริกราวกับว่ากำลังจะส่งความรู้สึกถึงกันและกันได้
"ฉันจะเป็นคนพาเธอไปเอง ขอแค่... เธอเชื่อใจฉันก็พอแล้ว"
ทั้งสองสบการกันด้วยรอยยิ้ม แสงสว่างส่องลงมาเพียงคู่ชายหนุ่มและหญิงสาวนั้น ราวกับว่าภาพนี้เป็นภาพๆหนึ่งแทนเรื่องราวที่แสนโรแมนติกสำหรับความรักที่พึ่งจะเกิดขึ้นมา
เมื่อเวลาเป็นใจแต่เรย์ยังไม่ทันได้ตั้งตัวดี สาวเจ้าก็วิ่งแจ๊นออกไปจากตรงนั้นอีกครั้งหนึ่ง สร้างความสงสัยให้กับรุ่นพี่ของเธออีกครั้ง เธอรีบวิ่งไปยังหน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งสายตาของเรย์ไปสะดุดเข้ากับสนามเด็กเล่นแห่งหนึ่งเยื้องย่านชุมชนตรงหน้านั้น ก่อนที่จะชายตากลับมาหาสาวรุ่นน้องของเขา
"รุ่นพี่!" มิซึกิพูดออกมาเสียงดัง มือทั้งสองกำลังทำมือราวกับว่ากำลังตะโกนหาชายหนุ่มตรงหน้านั้น
"บ้านของหนูอยู่ตรงข้ามเยื้องๆกับสวนสาธารณะตรงนั้นนะคะ ถ้าไม่รังเกียจว่างๆแวะมาหากันบ้างนะ"
"ได้สิ! ฉันจะหาไปแน่นอน!" ชายหนุ่มตอบเธอในทันทีจนเด็กสาวยิ้มออกมาอย่างน่ารัก
"ขอบคุณนะคะ รุ่นพี่..."
มิซึกิโบกมือลารุ่นพี่ของเธอซึ่งเรย์ก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน หลังจากนั้นทั้งสองก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นเรย์ก็ยังอดสงสัยในสิ่งที่ประธานและรองประธานของโรงเรียนทำกับเขาในคืนนี้ไม่หาย แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาทำมันกลับทำให้คืนๆนี้เป็นคืนที่แสนวิเศษคืนหนึ่งของเขา เมื่อคิดเช่นนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างไม่อาย ท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนที่มีแสงดาวส่งระยิบระยับไปทั่วท้องฟ้า
ในทางกลับบ้านดั่งเช่นทุกๆวันของชายหนุ่มก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เขาใช้เวลาที่แสนเงียบเหงาไปตลอดทางในการเดินชมสิ่งต่างๆรอบตัว แม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ก็ยังคงมีสิ่งที่ทำให้เขาสนใจมันอยู่ไม่น้อย แสงไฟจากร้านอาหารที่ตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนๆในป้ายบิลบอร์ดขนาดใหญ่ทำให้ดูงามตา หรือแม้กระทั่งร้านเหล้าตรงข้ามที่ตกแต่งด้วยไม้ซะส่วนใหญ่ออกจะแนวสไตล์คาวบอย หมวกคาวบอยใบยักษ์ที่อยู่บนหลังคาทำให้ดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก
ราวกับเป็นการเปิดหูเปิดตายามค่ำคืน ที่เด็กหนุ่มคนนี้แม้จะเคยทำงานกลางคืนอยู่บ่อยครั้ง แต่ตัวเองก็ไม่เคยได้สนใจสภาพแวดล้อมในละแวกบ้านของตัวเองเลยสักครั้ง ทำให้เขารู้สึกว่าเมืองๆนี้ก็มีอะไรน่าสนใจอยู่มากมายอยู่เหมือนกัน
ในระหว่างทางกลับบ้านนั้นหารู้หรือไม่ว่า คืนๆนี้อาจจะทำให้วันคืนไม่เหมือนคืนที่ผ่านมา ในขณะที่เรย์กำลังเดินกลับบ้านอย่างเพลินๆอยู่นั้น จู่ๆเขาก็รู้สึกได้ว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างเข้ามาหาอย่างรวดเร็วจนเขาไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็ดูเหมือนว่าจะถูกใครบางคนดึกแขนของเขาไป แล้วพาเขาไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขายังมึนงงกับเหตุการที่กำลังเกิดขึ้นรู้สึกตัวอีกทีเรย์ก็ไปอยู่ตรงพุ่มไม้ใหญ่แล้ว
เมื่อมองดูผ่านรู้ใบไม้ตรงหน้านั้น นี่มันอยู่ในสวนสุขภาพที่อยู่ห่างจากบ้านเขาไปไม่ไกลนัก และเมื่อเขาชายตามองลงไปก็พบกับมือเล็กๆมือหนึ่งที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังปิดปากเขาอยู่ เรย์ค่อยๆเหล่ไปทางด้านหลัง สัมผัสอุ่นๆสองข้างจากทางด้านหลังที่เขาไม่คุ้นเคย ความรู้สึกระคายนี่คงเป็นเส้นผมเป็นแน่ เรย์รู้สึกอย่างนั้น จนกระทั่นไออุ่นๆกำลังเข้ามาจากทางข้างหลังมาใกล้หูของเขา
"ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้จะมาทำร้ายคุณ แต่ว่า...ช่วยอยู่เงียบๆสักพักนึงนะ" เสียงแหบแห้งและเหนื่อยหอบดังออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ถึงอย่างนั้นเรย์ก็ยังรู้ได้ว่าเสียงๆนี้เป็นเสียงผู้หญิงแน่นอน
ไม่ทันได้จบประโยคดี ทันใดนั้นเองอะไรบางอย่างก็ค่อยๆปรากฏตรงหน้าของพวกเขาอย่างช้าๆผ่านทางรูพุ่มไม้นั้น และสิ่งที่พวกเขาได้เจอนั่นก็คือร่างยักษ์ในชุดหนังสีดำพร้อมอาวุธในการลอบสังหารครบมือ มาพร้อมกับกลุ่มยักษ์ที่มีอาวุธครบมือเช่นกัน เพียงแค่แว็บเดียวก็ทำให้เรย์รู้ได้เลยคนที่อยู่ตรงหน้าคือพวกไนติงเกลหรือกับพวกกองทัพอันดูริลอย่างแน่นอน เรย์พยายามเอี่ยวคอมองเพราะอยากมองเห็นใบหน้าของเธอคนนี้สักครั้งว่าเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อเสียงๆหนึ่งที่น่าสงสัยดังขึ้นมาเขาก็หันกลับไปตรงหน้า
และทันใดนั้นเองดวงตาสีชาคล้ายกับสนิมที่เกาะกินเหล็กก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าของพวกเขา เด็กสาวหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความตกใจ ไม่ต่างกับเรย์ที่รู้สึกตกใจกับภาพตรงหน้าไม่แพ้กัน
"เฮ้ย!!!! มันอยู่ในนี้!!!!!!"
สิ้นเสียงอันน่ากลัวของยักษ์ตรงหน้า เด็กสาวก็ไม่รอช้ารีบดึงมือของเรย์ออกจากพุ่มไม้ที่เขาไว้หลบซ่อนตัวอยู่ แล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหล่ากลุ่มนักรบชุดดำเห็นดั่งนั้นก็ไม่รอช้ารีบตามพวกเขาทั้งสองไปในทันที แต่ทว่าด้วยความเร็วสูงของเด็กสาวผู้นั้นทำให้เธอและชายหนุ่มทิ้งห่างยักษ์พวกนั้นหลายเหล่าตัวนัก
เมื่อไปถึงภายในส่วนนั้น ไม่นานนักพวกมันก็ไปไม่ได้ก็ต้องหยุด หัวหน้าของพวกมันคือหนึ่งในกลุ่มไนติงเกลที่ใส่ชุดดูน่าเกรงขามกว่ายักษ์ตัวอื่นๆกำลังสอดส่องสายตาไปรอบและออกคำสั่งให้กระจายกำลังออกค้นหา เพราะว่าคนที่ตามหานั้นได้หายไปจากสวยตาของพวกเขาอีกแล้ว แต่หารู้ไม่ว่าคนที่พวกมัยกำลังตามหาอยู่นั้น กำลังหลบซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ข้างๆนั่น
เรย์มองดูสถานการณ์การผ่านรูพุ่มไม้แล้วหันควับกลับมา เด็กสาวกำลังนอนหายใจหืดหอบอย่างอ่อนแรงอยู่ข้างๆนั่น ราวกับว่าเธอกำลังจะขาดใจในไม่ช้า
ชายหนุ่มพิจารณาดูจากใบหน้าของเธอน่าจะรุ่นราวเดียวกันกับมิซึกิหญิงสาวรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกันของเขาที่พึ่งจากกันมา ใบหน้ากลมเนียนใสแต่เปื้อนไปด้วยคราบดินเป็นรอยทางยาวดำๆ ดวงตาตี่ๆคล้ายกับคนที่พึ่งกำลังตื่นนอนอยู่ตลอดเวลา เรย์มองดูชุดหนังที่เธอกำลังสวมใส่อยู่ ชุดหนังสีเลือดหมูมีตราเซนทอร์ยิงคันศรอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้ายและเกราะสีเงินช่วงต้นแขน ต้นขาถึงหัวเขา ส่วนช่วงลำตัวก็มีเข็มขัดที่เอาไว้ใส่อาวุธประจำกายและอาวุธลับแต่มันว่างเปล่าอยู่ คาดว่าเธอคงใช้งานมันไปจนหมดแล้ว ทำให้เขารู้ว่าเธอคนนี้คงจะเป็นนักรบฝึกหัดอย่างแน่นอน เธอคงทำภาระอะไรบางอย่างและถูกเจ้าพวกนี้ไล่ตามมาเป็นแน่
แต่ดูจากสภาพของเธอที่ไม่สู้ดีในตอนนี้จากชุดของเธอที่ขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวเปื้อนไปด้วยเลือดและดินตามร่างกายไม่น้อยไปกว่าบาดแผลของเธอ ทำให้เรย์รู้ว่าถึงหนีไปอีกก็คงไปไม่ได้ไกลอยู่ดี และคงโดนจับตัวได้ในที่สุด ชายหนุ่มคิดอย่างนั้น
ในขณะที่เรย์กำลังจะทำอะไรบางอย่าง เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังมองเขาเข้ามาผ่านรูพุ่งไม้นั้น เมื่อเขาหันไปก็พบกับเลนใสที่สะท้อนแสงจากหน้ากากของยักษ์ไนติงเกลหัวหน้านั่น เด็กสาวข้างๆกำลังจะลุกขึ้นยืน แต่ว่าร่างกายของเธอก็ขยับไม่ทันท่วงที ทำให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกต้องอุ้มหญิงสาวคนนั้นแล้วกระโจนออกมาจากพุ่มไม้นั่น และก็เป็นไปอย่างที่เขาคาด ทันทีที่เรย์กระโดดออกมาจากพุ่มไม้นั้น เหล่ายักษ์ก็รุมลงดาบฟาดผ่านอากาศลงมา แต่ก็ไม่ทันความเร็วที่ดูเหนือมนุษย์ของชายหนุ่มอยู่ดี
เรย์ค่อยๆวางเด็กสาวคนนั้นลงกับพื้นเพราะดูท่าทีแล้วเธอน่าจะไปต่อไม่ไหว จากการคาดการทางสายตาของเรย์จากเลือดที่ไหลออกมาไม่ขาดสายของเธอ ถึงกระนั้นเด็กสาวก็จับแขนของเรย์และพยายามบอกให้เขาหนีไปด้วยเสียงที่แผ่วเบาแทบจะไม่ได้ยิน ดวงตาสั่นระริกและสะลึมสะลือคล้ายกับคนที่กำลังจะหมดสติ เธอสำลักออกมาเล็กน้อยเพราะร่างกายที่ช้ำในเป็นอย่างมาก
"เธอน่ะนอนพักไปเถอะ" ชายหนุ่มค่อยๆดึงมือของเด็กสาวหน้าตาน่ารักคนนั้นมาไว้ที่อกของเธอ พร้อมกับกำมือของเธอแน่นๆ เด็กสาวจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าดวงความแปลกใจ ในใจคิดว่าหรือว่าเขากำลังจะไปตายแทนเธอ
"เดี๋ยวฉันจัดการเอง!"
"แต่...ว่า...."
เรย์ปล่อยมือจากเด็กผู้หญิงคนนั้นพร้อมกับกำหมัดแน่น ดวงตาที่ส่งออกมาดูเอาจริงเอาจังมากๆกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เหล่านักรบชุดดำแห่งกองทัพอันดูริลวิ่งมาล้อมกรอบพวกเขาทั้งสองนั้นเอาไว้ ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ไม่ได้ไหวติงเลยแต่อย่างใด
"เอาตัวผู้หญิงคนนั้นมาซะ ชาวไนท์เบลด" ไนติงเกลพูดขึ้นมาพร้อมกับชี้ดาบมาที่เรย์ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้านั่น แต่ทว่าเด็กหนุ่มในชุดสีแดงตรงหน้านั้นก็ไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไรเลยแม้แต่น้อย
"ไม่อย่างนั้น ข้าจะฆ่าแกพร้อมกับนางนั่นซะ! จะฆ่ามันให้แต่ไปพร้อมกับความลับของพวกเราที่มันเอามา!!!" พวกยักษ์คำรามออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง
"หุบปากของพวกแกไปเถอะ!!!!" แต่ทว่าเสียงตวาดของเด็กหนุ่มตรงหน้าดันดุดัน และก้องกังวานยิ่งกว่า
"ไอ้พวกกระจอกอย่างพวกแกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน!!!!"
ในขณะนั้นเองเด็กหนุ่มในชุดสีแดงเพลิงค่อยๆลุกขึ้นมาแล้วหันควับมาประจันหน้ากับเหล่ากองทัพอันดูริลที่กำลังล้อมเขาเอาไว้ เมื่อลืมตาขึ้นมา ดวงตาคู่ตรงหน้าของเหล่านักรบทมิฬก็ทำให้พวกมันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ดวงตาที่เปลี่ยนเป็นสีแดงโดยฉับพลัน แม้จะไม่ได้ตั้งใจ แต่ความกลัวที่ก่อเกิดในจิตใจของพวกมันก็ทำให้พวกมันถอยหลังกันไปหนึ่งเข้าอย่างอัตโนมัติ
เด็กหนุ่มยกมือขวาขึ้นมาเหมือนกำลังจะเอื้อมคว้าอะไรซักอย่างบนอากาศ ทำให้พวกกองทัพอันดูริลหันมองกันเลอะหลักไปทั่ว ราวกับว่าเด็กหนุ่มกำลังจะเรียกอะไรออกมา และหลังจากนั้นไม่นานเสียงแหวกผ่านอากาศก็ค่อยๆพุ่งเข้ามาหาอย่างช้าๆ และทันใดนั้นเอง แสงสีแดงที่ส่องสว่างจากที่ไกลๆก็พุ่งเข้ามาหาชายหนุ่มในชุดสีแดงเพลิงอย่างรวดเร็ว เพียงแค่เสี้ยววินาที เครื่องประดับที่ลองพุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันมองก็สวมเข้ากับนิ้วของชายหนุ่มตรงหน้า จนเกิดเป็นแสงสีแดงหลังจากที่สวมมันเข้าไป
สายฟ้าสีแดงที่ออกมาจากแหวนพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ชายหนุ่มไม่รอช้าสะบัดแขนชี้ขึ้นไปบนฟ้า และเสียงฟ้าผ่าก็ดังสนั่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงกระแสไฟฟ้าที่กำลังวิ่งผ่านแหวนสีแดงวงนั้นมา เกิดเป็นสายพลังพุ่งตรงลงมาจากฝากฟ้า และนกฟีนิกซ์ที่มาพร้อมกับเปลวไฟก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน โบยบินขึ้นมาโอบร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังลุกไปด้วยเปลวเพลิงเอาไว้ ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยเปลี่ยนไปตามแสงสีแดงจากกระแสไฟฟ้าที่ค่อยๆไหลผ่านร่างกายของเขาไปตั้งแต่หัวจรดเท้า ชุดนักเรียนไนท์เบลดสีแดงเริ่มเปลี่ยนไปกลายเป็นชุดเกราะสีแดงขาวเงาวาววับ จนกระทั่งสิ้นเสียงผ้าคลุมที่กำลังโบกสะบัดตามแรงลมที่กำลังพัดผ่าน ก็ได้ปรากฏชายหนุ่มในชุดเกราะสีแดงขาวที่ดูน่าเกรงขามตรงหน้าของเหล่านักรบสีดำนั้น
เด็กสาวที่นอนอยู่หลีตามองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า เพราะแสงสีแดงที่เจิดจ้าทำให้เธอแยงตาเป็นอย่างมาก ทำให้เธอเห็นเพียงแต่ร่ายของชายหนุ่มกับผ้าคลุมที่กำลังโบกสะบัดอยู่ตรงหน้านั้น
"จัดการมันเลย!!!!!!!"
เหล่ากองทัพอันดูริลที่ตกอยู่ในภวังค์อยู่นานก็หลุดออกมาได้เพราะเสียงของยักษ์หัวหน้าตนนั้น และทันทีที่ได้รับคำสั่ง พวกมันก็กระโจนเข้าหาชายหนุ่มที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้านั้น และเมื่อเห็นดั่งนั้น เรย์ก็เริ่มสูดหายใจเพื่อรวบรวมพลังภายในของตัวเองจนเกิดเป็นแสงสีแดงขึ้นมาที่หมัดขวา พลังของเขาทำให้พื้นที่แถวนั้นกลายเต็มไปด้วยออร่าสีแดงที่ออกมาจากชายหนุ่ม นกฟินิกซ์เริ่มโผยบินขึ้นมาจากทางด้านหลังของเขา พร้อมกับท่าเผด็จศึกของผู้กล้าสีแดง
- ฟินิกซ์ เรดซิ่ง เฟรม!!!!!!!!!! -
ด้วยพลังอันมหาสารจากหมัดจากผู้กล้าสีแดง ทำให้ร่างของเหล่ายักษ์ที่พึ่งกระโจนเข้ามาหากระเด็นออกไปเพราะแรงหมัดพลังของผู้กล้าสีแดง ไม่เพียงแค่นั้น นกฟินิกซ์ที่ออกมาจากหมัดของเรย์ได้พุ่งไปยังหัวหน้าของเหล่ายักษ์พวกนั้น ผ่านหัวสมองของยักษ์ตนนั้นเข้าไป เกิดเป็นท่าไม้ตายใหม่ที่ร้ายแรงไม่แพ้กับท่าเรดซิ่งเฟรมที่มีพลังทำลายล้างสูงมาก
- ดรรชนีมายาปีศาจ ฟินิกซ์!!!!! -
สายพลังเป็นเส้นเรียวยาวเล็กๆที่ออกมาจากปลายนิ้วชี้พุ่งทะลุผ่านสมองของยักษ์ตัวนั้นออกไป และเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของมันในทันที เมื่อภาพตรงหน้าของมันแปรเปลี่ยนเป็นความมืดสีดำทมิฬ เบื้องหน้าปรากฏร่างอันมหึมาของอันดูริลที่กำลังยื่นมืออันใหญ่ยักษ์เข้ามาหามัน พร้อมกับบีบร่างของมันอย่างไม่หยั้งมือ สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับยักษ์ตนนั้นเป็นอย่างมาก เสียงกรีดร้องดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่งร่างของมันแตกสลายไปคามือของเงาอันใหญ่ยักษ์ของอันดูริล
แต่ทว่า ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดก็เป็นเพียงแต่ภาพหลอนของ"ดรรชนีมายาปีศาจ"ที่เรย์เป็นคนสร้างขึ้นมาเท่านั้น แม้จะดูไม่มีพิษสงค์ใดๆ แต่ทว่าท่าไม้ตายนี้ทำให้สมองของศัตรูตรงหน้าได้รับการกระทบกระเทือนเป็นอย่างหนัก จนทำให้บางครั้งศัตรูถึงกับขาดสติและสิ้นลมหายใจไป รวมไปถึงสร้างความเสียหายแก่ร่างกายของศัตรูตรงหน้าทำให้ร่ายกายอ่อนแรงและทรุดตัวลงเป็นอย่างมาก
ตรงหน้าของเรย์นั้น สายตาของเขายังคงมองไปยังยักษ์ตนนั้นที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยสีหน้าหวาดกลัวอย่างสุดขีดชีวิต ผู้กล้าสีแดงไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปแล้วกระชากคอมันขึ้นมา เพื่อทำอะไรบางอย่าง
"ใคร! เป็นคนส่งพวกแกมา! แกทำงานให้กับใคร!" แม้จะเป็นเสียงตวาดของเรย์ แต่ภายในจิตใจภาพตรงหน้าของมันที่เห็นเขานั้น กลายเป็นปีศาจที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟนรกที่กำลังแผดเผาร่างกายอยู่
"อะ อะ อันดูริล...."
"อันดูริลตายไปนานแล้ว แกทำงานให้กับใคร!! ใครส่งแกมา!! พูดมา!!!" เรย์รู้ว่าพลังหมัดของเขานั้นอาจจะส่งผลทำให้สมองของมันกระทบกระเทือนหนักเกินไป ทำให้มันจับต้นชนปลายไม่ถูกนักเลยพยายามถามใหม่ให้ยักษ์ตรงหน้าแน่ใจ
"คนที่เจ้าพึ่งสู้ไปด้วยไม่นานมานี้ไง คนที่เจ้าก็น่าจะรู้จักดี" เพราะคำพูดที่ออกจากปากของมันมา ทำให้เรย์เผยใบหน้าคิ้วขมวดด้วยความแปลกใจ
"หมายความว่ายังไง"
"ปีศาจร้ายน่ะอยู่หลังกำแพงแล้ว และคนที่สั่งให้ข้ามาที่นี่ก็คือ..."
- โป้ง!!!!!!!!!! -
เสียงคำรามดั่งสั่นหวั่นไหวไปทั่วฟ้าพร้อมกับวัตถุอะไรบางอย่างที่พึ่งลอยผ่านหน้าผู้กล้าสีแดงไป เมื่อเขาหันไปตามเสียงนั่นก็ได้พบกับไนติงเกลคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนด่านฟ้าของตึกสามชั้นหลังหนึ่งใกล้ๆนั้น ทันทีที่เขาหันไป ไนติงเกลคนนั้นก็วิ่งข้ามตึกแล้วก็หายตัวไปในความมืด
เรย์พยายามที่จะวิ่งหวังตามไนติงเกลคนนั้นไป แต่ว่าเพราะเสียงอะไรบางอย่างที่มันหนักอึ้งกระทบกับพื้นดินทำให้ประสาทสัมผัสที่แสนว่องไวของเขาทำงาน เขาหยุดวิ่งและรีบหันกลับมาดูในทันที หญิงสาวที่ชายหนุ่มพึ่งช่วยชีวิตเธอไปนั้นกำลังนอนคว่ำหน้าลงไปกับพื้นพร้อมกับฝุ่นที่พุ้งกระจายไปทั่ว เป็นหลักฐานว่าเธอพึ่งจะล้มลงไป เมื่อเห็นดั่งนั้นชายหนุ่มผู้กล้าที่ชั่งใจอยู่นานว่าจะทำอะไรดี ก็ตัดใจที่จะตามไนติงเกลคนนั้นไปแล้วรีบเข้าไปช่วยเหลือเด็กหญิงตรงหน้าคนนั้น
"เห้ย!!! นี่เธอ! ทำใจดีดีเอาไว้ๆ!! เห้ย!!!" เรย์รีบพลิกตัวของเด็กหญิงคนนั้นพร้อมกับประคองเด็กผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาแล้วเขย่าตัวเธอเบาๆ แต่เมื่อเรียกไปเท่าไรเธอคนนั้นก็ไม่ตอบกลับมาแม้แต่น้อย เพราะเธอได้หมดสติลงไปแล้ว เรย์เม้มปากและคิดไม่ตกว่าจะทำยังไงกับเธอคนนี้ดี
ในที่สุดชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกจึงนำร่างของเธอกลับมาที่บ้านของตัวเองอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงบ้าน เรย์ก็อุ้มเธอคนนั้นขึ้นไปยังชั้นสองห้องของเขาเอง ชายหนุ่มค่อยๆวางเธอลงบนเตียงนอนของตัวเองอย่างทะนุทนอม และสายตาที่อยู่ไม่สุขของของเขาไปสะดุดเข้ากับเลือดที่หยดลงมาเลอะบนที่นอนของเขาเป็นดวงๆ ทำให้เขาเอ๊ะใจและพยายามจะถอดชุดของเธอออก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอคนนี้เป็นผู้หญิงทำให้เขาเกิดความรู้สึกลังเลใจและชะงักไปอยู่นานมาก เขาเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องของตัวเองด้วยท่าทีที่ร้อนรนว่าจะทำยังไงดี แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจได้ว่าต้องทำแผลให้เธอให้ได้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นเรย์ก็กลับมาที่ร่างของหญิงสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนั่นอีกครั้ง เรย์สูดหายใจเข้าไปลึกๆก่อนที่จะยกมือไว้ปะหลกๆพร้อมกับพูดว่าขอโทษนะ แล้วเริ่มถอดชุดส่วนลำตัวของเธอออกทีละชิ้น เผยให้เห็นรอยบากของบาดแผลในส่วนลำตัว กับเลือดที่ยังสดๆอยู่เปรอะร่างกายของเธอไปทั่ว ทำให้เรย์ต้องรีบนำเครื่องกล่องปฐมพยาบาลมาแล้วเริ่มบรรจงรักษาบาดแผลของเธอผู้นี้โดยเร็วที่สุด
... เด็กคนนี้มาจากไหนกันนะ แต่ว่า หน้าตาน่ารักดีแหะ ....
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ