KP Warriors : โรงเรียนนักรบ แหวนเทวะ
เขียนโดย nesugiso
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.35 น.
แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557 11.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
18) ห้องสี่เหลี่ยมแห่งการจองจำ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความแสงสีส้มอ่อนของตะวันในยามเย็นสาดส่องลงมายังเมืองไนท์เบลดอันแสนเงียบสงบ รวมไปถึงโรงเรียนไนท์เบลดพรอนเทร่าที่ในตอนนี้เด็กนักเรียนต่างพากันแยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเองหลังเวลาเลิกเรียน สีหน้าของเด็กนักเรียนแต่ละคนดูแจ่มใสเมื่อได้คิดว่าพวกเขากำลังจะไปปาร์ตี้ไหนต่อดีหลังเลิกเรียน
จะมีแต่อาจารย์เทชิงาวาระเท่านั้นที่ในตอนนี้กำลังบ่อน้ำตาแตก ใบหน้าของเขาอาบไปด้วยน้ำตา ส่วนเด็กนักเรียนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเขา ก็มีสีหน้าที่ชื่นมื่นและเบิกบานกว่าเด็กนักเรียนรอบๆเป็นไหนๆ
"วันนี้ต้องขอบคุณอาจารย์มากๆเลยนะครับ ถึงแม้จะเหนื่อยไปหน่อย แต่ก็ วันนี้ก็หมดหน้าที่ของผมแล้ว..." เรย์พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความดีใจออกมา "อย่าลืมที่ตกลงกันไว้นะครับ"
เหมือนคำพูดของเรย์กำลังทำร้ายจิตใจของคนตรงหน้าเอามากๆ ทำให้เสียงสะอื้อของอาจารย์เทชิงาวาระดังยิ่งขึ้นไปอีกจนเรย์เองเริ่มที่จะสงสัย
"เอ่อ! อาจารย์ เป็นอะไรไปเหรอครับ ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ?" เรย์ถามด้วยความสงสัย ก่อนที่อาจารย์ของเขาพยายามจะลบเสียงสะอื้นเพื่อพูดออกมา
"ฮื้อๆๆ แบบนี้... ฉันก็เสียคนรับใช้ไปอ่ะดิ ง่าาา าาา" อาจารย์เทชิงาวาระงอแงออกมาราวกับเป็นเด็กอีกครั้งจนเรย์ทำหน้าเหยเกประหนึ่งรับไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้
... นี่ ห่วงเรื่องลูกศิษย์ตัวเองบ้างไหมเนี่ยน้า ....
เรย์ทำหน้าเหยเกอยู่พักหนึ่งเมื่อเห็นพฤติกรรมของอาจารย์ของเขา
"งั้น... ผมไปก่อนนะครับ" เรย์โบกมือลา หันหลังแล้วเดินจากตรงนั้นไปในทันที
"กลับบ้านดีๆล่ะ" อาจารย์เทชิงาวาระโบกมือลาลูกศิษย์พร้อมกับน้ำเสียงอ่อยๆของตัวเอง
เรย์เดินยิ้มออกมาจากตรงนั้นได้พักใหญ่ เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองเริ่มจะออกห่างจากโรงเรียนไปไกลขึ้นๆ จากแผ่นหลังที่ดูแข็งแกร่งดั่งมาดของผู้กล้าแห่งเมืองนี้กำลังมีภาพของโรงเรียนที่สวยงามและใหญ่โตอยู่เบื้องหลัง และรอยยิ้มที่เคยแสดงออกมาบนใบหน้าอันแสนสะอาดสะอ่านของเรย์นั้น ก็ค่อยๆหุบลงไปทีละน้อยๆ พร้อมกับดวงตะวันยามเย็นที่กำลังจะลับขอบฟ้าในไม่ช้านี้
ราวกับว่าช่วงเวลาแห่งความสุขของเขาหายไปพร้อมกับแสงตะวันนั้น กลายเป็นเด็กหนุ่มผู้แสนจะเอื่อยเฉื่อยและไม่มีความคิดริเริ่มใดๆทั่งนั้น ปล่อยให้ร่างกายร่างนี้ไหลไปตามเส้นทางของกาลเวลา เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆตามทางเดินอย่างไร้จุดหมายและชอบเดินแวะไปในหลายๆที่เพื่อค่าเวลาที่เดินต่อไปไม่หยุดนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะแวะซื้อน้ำอัดลมจากตู้กดน้ำอัดลมอัตโนมัติและยืนดื่มมันหน้าร้านจำหน่ายหนังสือแห่งหนึ่ง เพื่อนั่งดูนักดนตรีเปิดหมวกอยู่ริมฝุดบาดข้างถนน แต่บทเพลงที่เขากำลังขับขาลออกมาเป็นลำนำนั้นก็ไม่อาจจะชดเชยเรื่องบางอย่างในใจ รวมไปถึงม้านั่งของเขาตัวโปรดแห่งหนึ่งบนเนินสูงที่กำลังรายล้อมด้วยต้นไม้เขียวขจี บรรยากาศที่แสนเย็นสบายรวมไปถึงวิวทิวทัศน์ของบ้านเมืองที่แน่นขนัดกำลังส่องแสงไฟระยิบระยับอยู่นั้น ก็ไม่อาจลบเลือนความเจ็บปวดบางอย่างในจิตใจที่เขาปกปิดจากคนรอบข้างมาโดยตลอด
... และวันนี้ก็เป็นอีกวัน ที่ผ่านพ้นไปโดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ...
ในเวลาไม่นานนักเด็กหนุ่มเจ้าของบ้านหลังสีขาวสองชั้นก็ได้มาถึงบ้านของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย เรย์ยืนมองบ้านของตัวเองอยู่หน้ารั้วเหล็กสีดำหน้าบ้านนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งเจ็บปวดและเศร้าหมอง ราวกับว่าบ้านหลังนี้เป็นหนึ่งที่ในโลกนี้ที่ตัวเองไม่อยากจะกลับมาอีกเป็นครั้งที่สอง สองมือเอื้อมไปเปิดรั้วสีดำด้วยความรู้สึกที่ขัดกับหัวใจของตัวเอง เสียงรั้วที่ขึ้นสนิมดังเสียดสีกันราวกับกำลังกรีดแทงหัวใจของเจ้าของบ้านดวงนี้อยู่ เหมือนถูกบังคับให้ตัวเองต้องเข้าบ้านหลังนี้และอยู่ในนั้นจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้าของวันต่อไป
"กลับมาแล้ว..."
เสียงเรียกขาลดังก้องไปทั่วห้องอันมืดมิดนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะพูดไปทำไม เพราะที่แห่งนี้ก็โดดเดี่ยวมาหลายปีแล้วหรือจะพูดให้ถูกเลยก็นับตั้งแต่เรย์จำความได้เลยก็ว่าได้ สายตาจ้องมองไปที่ชั้นวางกรอบรูปที่ว่างเปล่าราวกับไม่มีความทรงจำดีๆหลงเหลืออยู่ สองเท้าก้าวขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อไปยังห้องสี่เหลียมของตัวเองท่ามกลางความมืดมิดที่ไร้ซึ่งแสงไฟ ราวกับว่าความมืดมิดและความเงียบสงัดนี้นั้นได้กลายเป็นเจ้านายของบ้านหลังนี้ไปแล้ว
... ฉันเกลียดบ้านหลังนี้ ...
เรย์หยุดอยู่ตรงหน้าห้องนอนของตัวเองและชายตามองไปห้องนอนอีกสองห้องที่เหลืออยู่นั้นเหมือนทุกๆครั้ง และทุกๆครั้งที่ตัวเองทำแบบนี้เขาก็กลับมาถามตัวเองอีกทีเหมือนกันว่าจะทำไปทำไม เมื่อรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองอาศัยอยู่ภายในบ้านหลังนี้ตัวคนเดียวมาเป็นทศวรรษแล้ว แต่ถึงกระนั้น ความทรงจำที่แสนเลวร้ายนั้นก็ยังคงวนเวียนอยู่ภายในบ้านหลังนี้
... เพราะมันเต็มไปด้วยความทรงจำที่ฉันไม่อาจจะลืมได้เสมอ ...
เด็กหนุ่มเปิดประตูห้องสี่เหลี่ยมนั้น โยนกระเป๋าหนังสือของตัวเองและทิ้งตัวลงไปบนที่นอนหลังเดิมของตัวเอง ราวกับว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีอย่างท่วมท้นนั้นได้ถูกดูดกลืนหายไปจนหมด
... ไปโรงเรียนทุกวัน คุยเล่นกับเพื่อน และกลับบ้านที่ไม่อยากกลับ สักวันหนึ่งเรื่องราวต่างๆของเราจะเปลี่ยนไปบ้างไหม? วันแบบนั้นจะมาถึงจริงๆเหรอ? ...
และไม่เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มก็เผลอหลับไปทั้งชุดนักเรียนอย่างนั้น ราวกับวิญญาณของเขาหลุดออกจากร่างสูงนี้ เสียงกรนดังขึ้นมาเบาๆท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงจันทราที่สาดส่องลงมาผ่านหน้าต่างบนหัวนอนเท่านั้น
... แหวนอัคคีไม่เคยบอกอะไรฉันเลย ...
***
10 ปีก่อนหน้านั้น
ในตอนที่ฉันยังเด็กพ่อกับแม่ของฉันก็วาดฝันถึงตัวฉันในอนาคตเอาไว้มากมาย ว่าจะต้องเป็นคนที่ดีเลิศและเพอร์เฟคกว่าใครๆฉันจะต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ เพราะพ่อเป็นถึงหนึ่งนายตำรวจที่มีตำแหน่งที่สูงคนหนึ่งในประเทศ และแม่ของฉันก็เป็นถึงขั้นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่ว่าเพราะเส้นทางที่พ่อแม่วาดฝันให้ฉันมันสูงเกินไป ตัวฉันที่ไม่เอาไหนก็ไม่อาจจะทำตามความปรารถนาของพ่อกับแม่ได้
พอฉันเริ่มโตขึ้นพ่อกับแม่ของฉันก็เริ่มวาดฝันในตัวฉันมากขึ้น อยากให้เป็นอย่างที่ใจของพวกท่านปรารถณาให้จงได้
และความปรารถนาของสองผู้มีพระคุณของเรย์ก็ดูเหมือนจะนำไปสู่รอยร้าวและระยะห่างของครอบครัวของเขา ภาพที่ตราตรึงอยู่ในหัวใจของเด็กหนุ่มกลับเต็มไปด้วยภาพของพ่อและแม่ของตัวเองมีปากเสียงกัน และภาพของโซฟาตัวโปรดของครอบครัวหน้าทีวีที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มกลับถูกทดแทนด้วยระยะห่างของครอบครัว ราวกับว่าพ่อแม่ลูกทั้งสามคนนี้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทั้งที่ทั้งสามคนก็อาศัยอยู่บ้านหลังเดียวกัน
... และในวันนั้นเองตัวฉันเองที่เริ่มทนไม่ไหวกับเสียงบ่นด่าของแม่และพ่อที่คอยเอาแต่เข้มงวดกับเรื่องความฝันที่ยัดเยียดให้กับฉัน เหมือนกับตัวฉันได้ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ฉันไม่เอาอีกแล้ว!! ชีวิตแบบนี้!! ครอบครัวแบบนี้!! ฉันตัดสินใจแล้ว!! ...
เด็กชายวิ่งหนีออกจากบ้านหลังนั้นไปด้วยน้ำตาแห่งการปลดปล่อย วิ่งไปด้วยความเสียใจ วิ่งไปอย่างที่ไม่คิดที่จะหันหลังกลับมามองบ้านที่อยู่ด้านหลังของตัวเอง เด็กชายวิ่งไปตามถนนที่ว่างเปล่าในยามเย็นที่แสงแดดส่องลงมากระทบกับพื้นถนน ราวกับกำลังย้อมใจที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองของเขา
เด็กหนุ่มวิ่งตามทางมาเนิ่นนานจนมาหยุดที่สนามเด็กเล่นด้วยความเหนื่อยล้า หยาดเหงื่อก็ไม่อาจที่จะทดแท้น้ำตาที่เสียไปซ้ำแล้วซ้ำเล่านั้นได้เลย แต่ทว่าเมื่อมีเสียงๆหนึ่งเข้ามาที่โสตประสาทหูของเขานั้นทำให้เขาคลายความเสียใจที่กำลังที่อยู่ไปช่วยครู่ และเงยหน้ามองไปยังสิ่งที่กำลังอยู่ตรงหน้านั้น
เด็กชายราวกับว่าตัวได้พบหับดินแดนแห่งอิสรภาพ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นเป็นภาพของเด็กเล็กๆรุ่นราวเดียวกันกับเขา กำลังเล่นเครื่องเล่นที่ตั้งอยู่ในสนามเด็กเล่นแห่งนั้นอย่างสนุกสนาน เด็กพวกนั้นไม่ได้รู้จักกันมาก่อนแต่พวกเขากลับเล่นของเล่นด้วยกันราวกับว่าสนิทกันมาแล้วหลายปี สายตาของเด็กชายที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองชายตามองไปที่เด็กหญิงผิวขาวร่างเล็กคนหนึ่ง ที่กำลังเล่นก่อปราสาทสร้างอยู่ข้างๆกับเด็กกลุ่มนั้น และเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกใครบางคนมองมาที่เธอ ราวกับว่าอยากให้เธอช่วยมาปลดปล่อยพันธนาการนี้ไปทีเถอะ
รอยยิ้มที่เด็กชายคนนี้ไม่อาจลืม รอยยิ้มที่เจิดจรัสราวกับว่าเธอเป็นนางฟ้ามาโปรด
"มาเล่นด้วยกันซิ!"
เด็กชายเล่นก่อปราสาททรายกับเด็กผู้หญิงคนนั้นอย่างสนุกสนานจนลืมเรื่องราวที่ทำให้ตัวเองหนีออกจากบ้านมา ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตลอดเวลาที่เด็กชายเล่นก่อปราสาทสร้างกับเด็กสาวคนนั้น เธอมักจะมองมาที่เด็กชายที่แสนเเศร้าสร้อยคนนี้และยิ้มให้เสมอ ไม่นานนักเด็กชายคนนี้ก็เริ่มที่จะหลงรักดวงตาคู่นั้นกับรอยยิ้มนั้นคอยเธอ และไม่นานนักปราสาททรายหลังน้อยๆก็เสร็จสมบูรณ์ เป็นปราสาททรายในจินตนาการของเขาและเธอทั้งสองคน เด็กทั้งสองคนหันมาส่งรอยยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
... และนั่นก็เป็นหนึ่งความทรงจำดีๆที่ยังคงลงเหลืออยู่ในตัวของฉัน และเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของอะไรหลายๆอย่างหลังจากนั้น ...
แม้เด็กชายจะไม่รู้จักเด็กสาวที่เล่นด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้อย่างหนึ่งก็คือ ช่วงเวลาที่แสนสั้นนั้นมันทำให้เด็กชายมีความสุขมากๆ และถึงแม้เด็กชายจะกลับบ้านที่เปรียบเสมือนสถานที่แห่งการจองจำเขาก็ตาม แต่เขาก็พยายามทำและภาวนาให้ครอบครัวของเขามีความสุขอีกครั้ง
และเมื่อนั้น เมื่อวันที่เขารู้สึกว่าสวรรค์รับรู้ถึงคำขอจากเด็กชายที่แสนเศร้าคนนี้
... และในวันนั้น วันที่คำขอของฉันกำลังจะเป็นจริง ....
อยู่มาวันหนึ่งในวันที่มีแสงแดดสาดส่องลงมาแต่ไม่แจ่มใสเท่าทุกๆวันนั้น ภาพตรงหน้าที่ติดตามของเด็กหนุ่มนั่นก็คือ ภาพของคุณพ่อของเขาที่กำลังจูงมือเด็กผู้หญิงร่างเล็กคนหนึ่งเข้ามาในบ้านหลังนั้นอย่างหน้าชื่นตาบาน ราวกับพ่อของเขานั้นได้เปลี่ยนเป็นคนละคนไป ทำไมเด็กหนุ่มไม่ค่อยคุ้นกับภาพของพ่อตัวเองในตอนนี้สักเท่าไร
เด็กหนุ่มมองดูเด็กสาวน่ารักๆที่ร่างเล็กกว่าตัวเองมากโขอยู่ตรงหน้านั้น ใบหน้าเรียวรูปไข่ แก้มกลมยุ้ยน่าหยิก เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนๆที่ยาวสยาย ดวงตาสีน้ำตาลเรียวคมจ้องมองมาที่เด็กหนุ่มร่างสูงตรงหน้านั้น ราวกับว่ากำลังสะกดใจของเขา หรือ กำลังออกคำสั่งเขากันแน่
"นี่เรย์ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเด็กคนนี้จะมาอยู่กับลูกนะ เป็นน้องสาวของลูก เป็นสมาชิกในครอบครัวของเรา..." ผู้เป็นพ่อกล่าวขึ้นมา ส่วนคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นได้แต่ทำสีหน้าที่ไม่รู้ว่าจะจัดใจความตรงไหนดี
"น้องเขาชื่อ อิชิดะ อายูมิ... นี่อายูมิ ทักทายพี่ชายหน่อยสิลูก"
ใบหน้าที่แสนชื่นมื่นตาบานยังแสดงออกมาอย่างไม่ลดละจากผู้เป็นพ่อของเด็กหนุ่ม และเช่นเดียวกับสายตาของเด็กสาวตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มแอบคิดในใจว่านี่หรืออาจจะเป็นคำขอของเขาที่บนสวรรค์ดลบันดาลให้มันเป็นจริงแล้วก็ได้
หรืออาจจะเป็นแค่สิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้คิดไปเอง....
... และนั่นก็ทำให้ฉันมีความหวังว่าชีวิตครอบครัวของฉันกำลังจะมีความสุขเหมือนครอบครัวอื่นๆเขาแล้ว แต่ว่า เรื่องราวมันพึ่งจะเริ่มต่อจากนี้ต่างหาก ...
เมื่อเวลาผ่านพ้นไปความสัมพันธ์ของครอบครัวที่เคยห่างเหินก็เริ่มจะกระชับขึ้นมาทันตาเห็น แต่ทว่า ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นมานั้นกลับไม่มีเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ภาพของเด็กหนุ่มถูกแทนที่ด้วยเด็กสาวหน้าตาน่ารักที่ทำทุกๆอย่างได้อย่างที่ผู้เป็นพ่อและแม่ปรารถนาทุกประการ โดยเฉพาะเรื่องเรียนที่น้องสาวสอบได้ที่หนึ่งของห้องมาโดยตลอด แต่ผู้เป็นพี่ชายไม่เคยทำได้เลยสักครั้งเดียว
... ฉันเป็นคนที่หัวทึบ และไม่เอาไหนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พ่อน่ะแทบกัดฟันเวลาจะชวนฉันไปออกงานที่มีแขกผู้ใหญ่เยอะๆ เพราะผู้ส่วนใหญ่ในงานมักจะถามแค่เพียงว่าเรียนอยู่ชั้นอะไร และเรียนได้เกรดเท่าไร และพ่อเองก็ต้องกัดฟันตอบเขาไปเสมอว่าอยู่อันดับท้ายๆของห้อง
ส่วนน้องสาวของฉันคนนี้เป็นคนหัวดีมากๆเรียกได้ว่าฉลาดมาเกิดเลยล่ะ ไม่ใช่แค่นั้น ถึงแม้จะตัวเธอจะเล็กและบอบบางมากก็จริง แต่ร่างกายของน้องสาวฉันกลับแข็งแรงกว่าผู้หญิงปกติ ไม่แค่เพียงเรื่องเรียนเท่านั้น กีฬาเธอก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อกับแม่อยากให้ฉันเป็นมากๆในสมัยก่อน น้องสาวของฉันก็ทำตามความปรารถนาของพวกท่านให้เป็นจริงได้ทุกอย่าง ...
เวลามีงานสำคัญๆที่ไหนผู้เป็นน้องมักจะถูกพ่อเรียกตัวไปเป็นผู้ติดตามและออกสังคมอยู่เสมอ และด้วยวีรกรรมต่างๆนาๆทำให้ผู้เป็นน้องเป็นที่กล่าวขาลในหมู่สังคมส่วนใหญ่มากมาย ส่วนพี่นั้นได้แต่อยู่ที่บ้าน นั่้งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆเท่านั้น มองดูความสำเร็จของครอบครัวที่ได้มาจากน้องสาวต่างสายเลือดของตัวเอง ที่ในตอนนี้คนในสายเลือดแท้ๆกลับภูมิใจดั่งกับเป็นลูกแท้ๆของตัวเอง
... แต่ว่า!! นี่คือผลตอบแทนเหรอ!! สิ่งที่แลกเปลี่ยนความปรารถนาของฉันก็คือ ความสุขของฉันเองอย่างนั้นเหรอ!! ฉันไม่เอาด้วยหรอก!! พอกันที ไปจากชีวิตและครอบครัวของฉันซักที!!!!!! ...
อยู่มาวันหนึ่งที่เด็กชายที่ชื่อเรย์กำลังเล่นของเล่นชิ้นโปรดอยู่ในห้องนอนของเขา โมเดลของเล่นที่เขาเก็บหอมรอมริบจากค่าขนมของตัวเองเพื่อที่จะได้มันมาอย่างยากลำบาก ในตอนนั้นเองที่อายูมิเดินถือตุ๊กตาหมีชุดสีน้ำเงินผ่านมาที่หน้าห้องของเขา เมื่อเธอเห็นว่าพี่ชายของตัวเองกำลังเล่นมันอย่างมีความสุขเธอเลยเดินเข้าไปหาอย่างไม่รีรอ
"เล่นอะไรอยู่เหรอ เค้าเล่นด้วยคนซิ!" เด็กสาวทิ้งตัวลงข้างพี่ชายที่กำลังนอนอยู่ตรงนั้น เด็กสาวยิ้มแฉ่งเมื่อคิดว่ากำลังจะได้เล่นอะไรสนุกๆกับพี่ชายของเธอ โดยที่เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าพี่ชายของเธอที่กำลังนอนอยู่นั้นตัวนิ่งไป เมื่อได้ยินเสียงของเธอเขาโสตประสาทหูของเขานั้น
"ไม่..." เสียงตอบแบบขอไปทีแผ่วเบาและเยือกเย็น แต่สาวน้อยผมยาวที่นั่งอยู่ข้างๆก็ยังดึงดันจะเล่นกับพี่ชายของเธอให้ได้
"ง่า พี่อ่า เล่นด้วยกันสิน๊านะๆ พี่เล่นคนเดียวไม่สนุกหรอก ต้องมีเค้าเล่นด้วยสิ" เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าที่ฝ่ามือของพี่ชายของเธอกำลังบีบโมเดลที่ตัวเองรักและหวงมากๆจนชินส่วนเริ่มแตกและเริ่มหลุดออกมา
"ไม่!....."
"น่าพี่น๊า เค้าไม่เคยเล่นตุ๊กตุ่นกับพี่เลย นี่เค้าพามิฮุโระของเค้ามาเล่นด้วยเห็นมั๊ยๆ" เด็กสาวเจ้าหยิบตุ๊กตาหมีตัวสีแดงกับชุดสีน้ำเงินขึ้นมาทำมือบ๊ายบายให้กับพี่ชายตรงหน้าของเธอ โดยที่เขาไม่ได้สังเกตุเลยว่าเธอแต่งชุดเดียวกันกับชุดตุ๊กตาหมีตัวโปรดของเธอเลย "ถ้ามิฮุโระมาเล่นกับพี่รับรองต้องสนุกแน่ๆเลยนะ เชื่อเค้าส...ะ...!..!"
- ผั๊ว!!!! ฟาววววว วววว แกร่ง!!!!!! -
และในที่สุดเกราะแห่งความรู้สึกที่เคยปิดกั้นความครางแคลงภายในจิตใจก็ได้พังทลายลงมา เด็กชายปัดตุ๊กตาตัวโปรดของน้องสาวตัวเองออกไปจากฝ่ามือน้องๆของเธอ และโมเดลหุ่นอันสุดรักสุดหวงก็ถูกเจ้าตัวปาใส่ผนังห้องอย่างแรงจนชิ้นส่วนของหุ่นนั้นประจัดกระจายไปทั่ว บางชิ้นส่วนก็กระเด็นผ่านใบหน้าของเด็กสาวนั้น
ดวงตาสีน้ำตาลอันไร้เดียงสาของเด็กสาวสั่นระริกจนมีน้ำตาคลอออกมา สายตาจ้องมองไปที่เศษซากของหุ่นยนต์ของพี่ชาย ที่ตอนนี้มันได้กลายเป็นแค่เศษซากโมเดลไปแล้ว แววตาที่โกรธเกรี้ยวหันควับมาที่น้องสาวของตัวเองที่กำลังนั่งตัวสั่นระรึกอยู่ตรงนั้น
"ให้มันน้อยๆหน่อยจะได้มั๊ย!!!!" เสียงตวาดจากพี่ชายดังลั่นห้องสี่เหลี่ยมห้องนั้น
"ทำไมแกจะต้อง!!!!!!"
- ตรึง!!! -
เสียงทุบกำแพงสุดแรงด้วยความโกรธเกรี้ยวดังขึ้น
"ขวางทางฉันอยู่เรื่อย!!!!!!"
- ตรึง!!!! -
"ทำไมต้องเป็นแก ที่ได้ความรักจากพ่อแม่ของฉันไป!!!!"
- ตรึง!!!! -
"ฉันก็แค่อยากทำให้ครอบครัวมีความสุขบ้างแล้วมันผิดตรงไหนเหรอ!!!!!"
- ตรึง!!!! -
"ฉันต่างหากล่ะที่เป็นคนของครอบครัวนี้!!!!!! แต่แกมันไม่ใช่!!!!!!!"
- ตรึง!!!! -
"แกมันก็แค่อีลูกที่เก็บมาเลี้ยงเท่านั้น!!!!!!!"
- ตรึง!!!! -
เด็กชายพูดด้วยความเกรี้ยวกราด ข้อความอันเลวร้ายภายในจิตใจไหลออกมาจากปากของเขาอย่างไม่ปิดกั้นอีกต่อไป ไม่สนใจในแววตาที่เต็มไปด้วยความกลัว หรือสภาพจิตใจของน้องสาวตัวเองที่อยู่ตรงหน้านั้นอีกต่อไปแล้ว
"ไอ้ลูกหมาจรจัดอย่างแกทำไมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปแทนที่จะเป็นฉัน!!!!!!"
- ตรึง!!!! -
"แกเอาไปหมด!!!!!!! แกขโมยมันไปหมด!!!!!! ทั้งครอบครัวและความสุขของฉัน!!!!!!! ถ้าแกหายไปซักคน!!!!!!"
- ตรึง!!!! ปุ๊!!! -
"ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ!!!!!! ออกไปจากชีวิตของฉันซะ!!!!!! ไอ้ตัวส่วนเกิน!!!!!!! ไอ้ตัวทำลายความสุข!!!!!! ตายๆไปซะ!!!!!! หายๆไปซะ!!!!!!"
"ไปให้พ้น!!!!!!!!"
- ตรึง!!!! ปุ๊บ!!!!!! แขว๊ก!!!!!! -
ผนังที่ใช้มือทุบลงด้วยความโกรธนั้นแสดงให้เห็นสัมพันธ์ของสองพี่น้องและครอบครัวในตอนนี้ได้อีกครั้ง เมื่อผนังห้องนอนของเรย์ในตอนนี้กลับบุบลงไปพร้อมกับรอยแตกขนาดกว้าง หมัดที่จมลงไปในซีเมนนั้นค่อยมีเลือดไหลออกมาเป็นสายยาวๆ แต่ทว่าสิ่งที่ถลำล้ำเส้นของความโกรธเกรี่ยวของเขานั้นกลับมาอยู่ที่ตรงปลายเท้าของเรย์นั้น
"ฮือๆๆ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ดดดดดดดดด"
เสียงกรีดร้องดังสนั่นไปทั่วบ้านหลังนั้นก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้อันน่าสงสารของน้องสาว เรย์นัย์ตาสั่นระรึกเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาในตอนนี้ ทั้งหวาดกลัวและเสียใจ เมื่อได้เห็นสิ่งที่กำลังกองอยู่ที่พื้นห้องตรงหน้านั้น
มิฮุโระ ตุ๊กตาหมีสุดรักของอายูมิน้องสาวของเขาขาดเป็นสองท่อน เขาจำไม่ได้แม้แต่น้อยไม่รู้ว่าตอนไหนหรือเมื่อไหร่ที่เรย์ไปเอาตุ๊กตาหมีของน้องมาฉีกทิ้งอย่างไม่ใยดี ผลการกระทำของเขานั้นยังคงมีให้เห็นล่องลอยตามอากาศและติดอยู่ที่ฝ่ามือของตัวเอง นุ่นสีขาวปลิวไปตามอากาศและกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นห้อง ร่าง
ของมิฮุโรที่ขาดเป็นสองท่อนยังคงนอนอยู่อย่างนั้นพร้อมกับนุ่นสีขาวกระจัดกระจายมากมาย เด็กชายค่อยๆเอามือที่สั่นระรึกและเต็มไปด้วยเลือดและนุ่นขึ้นมาดูอย่างไม่เชื่อสายตาของตัวเอง ว่าเขาจะทำเรื่องที่โหดร้ายปานนี้ได้
เด็กหญิงร้องไห้อย่างหนักและดิ้นไปดิ้นมากับพื้นห้องนั้น เสียงคร่ำครวญยังคงดังออกมาไม่ขาดสาย ส่วนพี่ชายของเธอทำได้เพียงยืนอึ้งกับเหตุการณ์ที่ตัวเองก่อนขึ้นมา จนกระทั่งผู้เป็นพ่อและแม่ได้รีบวิ่งเข้ามาในห้อง แต่ถึงอย่างนั้น คนที่พวกเขาทั้งสองรีบเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงเป็นใยก่อนกลับกลายเป็น อายูมิ ที่นั่งร้องไห้จนสุดเสียงของตัวเอง เพราะเสียใจมาก
สายเลือดยังคงไหลออกมาหยดลงไปที่พื้นห้องหยดแล้วหยดเล่า แต่ละหยดคอยย้ำเตือนว่ามันไม่มีความหมายอะไรเลยที่เขาทำแบบนี้ลงไป
- พลั๊ว!!!!! -
ในขณะนั้นเอง ฝ่ามือของผู้เป็นพ่อก็ได้หวดเข้ามาที่ใบหน้าของลูกชายในสายเลือดของตัวเองอย่างสุดแรง จนลูกชายแท้ๆของตัวเองล้มลงไปกับพื้น
"นี่แกทำบ้าอะไรของแกกันน่ะห๊า!!!" เสียงของผู้เป็นพ่อตวาดลั่น
"นี่แกเป็นบ้าไปแล้วรึไง!!! ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร!!! เรียกร้องความสนใจเหรอ!!! เรียกร้องความรักจากพ่อจากแม่แกเหรอ!!! แกมันมีหัวใจอยู่รึเปล่า ทำแบบนี้มันไม่ใช่คนแล้ว!!!"
เสียงต่อว่าของผู้เป็นพ่อดังสนั่นภายในจิตใจของเรย์
... ในตอนนั้นที่ฉันพึ่งรู้สึกว่าปีศาจร้ายในตัวของฉันมันเป็นยังไง ฉันไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย นี่มันไม่ใช่ตัวของฉันเลยซักนิด ถึงจะเกลียดยัยนี่แค่ไหนแต่ก็ไม่ได้อยากทำสิ่งที่โหดร้ายแบบนี้
และวันนั้นเองที่เหมือนสวรรค์จะรับฟังคำขอของฉันอีกครั้ง คำขอของปีศาจที่อยู่ในตัวของฉัน ...
อยู่มาวันหนึ่งในวันที่บ้านที่เคยครอบงำไปด้วยความอิดอัดและเงียบเหงา ในวันนี้เต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายจากผู้เป็นพ่อและแม่ สายตาของเด็กหนุ่มที่กำลังแอบผู้หลังผ้าม่านของบ้านกำลังเห็นผู้เป็นพ่อและแม่ กำลังรั้งแขนของน้องสาวต่างสายเลือดของตัวเองจากกลุ่มของพวกชายชุดดำ ที่มาด้วยรถลีมูซีนสีดำคันใหม่เงาวาววับ และคนที่กำลังสวมด้วยชุดผ้าคลุมยาวสีดำที่มีผ้าฮู้ทปกปิดใบหน้าอยู่นั้นกำลังเผยให้เห็นแค่รอยยิ้มอันน่าเกลียดน่ากลัวออกมา
เสียงขอผู้เป็นพ่ออ้อนวอนต่อชายผู้นั้นอย่างที่เรย์ไม่เคยได้เห็นสภาพของพ่ออย่างในตอนนี้มาก่อน เสียงร้องของน้องสาวที่เอาแต่เรียกขอความช่วยเหลือจากพ่อกับแม่ทั้งน้ำตา และพยายามเอื้อมมือให้ถึงผู้เป็นพ่อที่ถูกชายชุดดำสองคนรั้งตัวเขาเอาไว้ ชายในผ้าคลุมสีดำค่อยๆเดินเข้ามาหาผู้เป็นพ่ออย่างช้าๆ ก่อนที่จะยื่นกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งไปตรงหน้าของผู้เป็นพ่อ
"สิ่งนี้คงทำให้พวกแกเปลี่ยนใจได้สินะ ฮ่าๆ"
สิ่งนั้นคือเช็คที่ระบุจำนวนเงินเอาไว้มากมายลงในนั้น ซึ่งชายผ้าคลุมสีดำก็ทิ้งเช็คที่มีเงินอยู่มากมายมหาสารใบนั้นลงอย่างไม่ใยดี ราวกับมันเป็นเพียงแค่กระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น พร้อมกับลากตัวอายูมิที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดขัดขืนให้ขึ้นรถคันนั้นจนได้
... ในวันนั้นฉันได้แต่ยืนดูพวกเขาผ่านหน้าต่างบานนั้นอย่างเดียว แต่ทำไมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวฉันถึงได้ทำแบบนั้นลงไป ก็ตัวเราเองต้องการแบบนั้นไม่ใช่เหรอ อยากให้คนๆนี้หายไปจากบ้านรึไง แล้วทำไม? ความรู้สึกที่เหมือนกับว่ากำลังจะสูญเสียอะไรบางอย่างไปนี่มันคืออะไร!! ...
"อายูมิ!!!! อายูมิ!!!!!"
....
...
..
****
- ตี๊ดๆๆ ครื้นๆ -
เสียงโทรศัพท์ที่คุ้นเคยดังขึ้นมาภายในห้องสีเหลี่ยมอันแสนมืดมิดนั้น ชายหนุ่มค่อยๆสะลึมสะลือจากนิทราแล้วเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์มาอย่างงัวเงียแล้วกดรับสาย โดยที่เขาไม่ได้ดูเบอร์ที่ขึ้นโชว์หลาอยู่ที่หน้าจอนั่นเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าต้องการคุยกับคนที่อยู่ปลายสายให้จบๆไปโดยเร็วที่สุดแล้วจะกลับไปนอนต่อ
"ฮาาา โหลลล ลล " เสียงพูดที่แสนจะยืดยานของเรย์ส่งตรงไปที่คนที่กำลังอยู่ปลายสายนั่น
"ฮัลโหล!! เรย์เหรอ!! เกิดเรื่องแล้ว!!" เพราะน้ำเสียงของคนปลายสายที่คุ้นเคยกลับเปลี่ยนไป ดูร้อนรนจนเรย์ที่กำลังนอนอยู่ถึงกับตาสว่างขึ้นมาในทันที
"ว่าไงนะไอจัง!! ที่ไหนเหรอ!!" เรย์พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูร้อนรนไม่ต่างกัน
"รีบมาที่โรงเรียนตอนนี้ ด่วนเลย!!!!"
เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเรย์ก็รีบออกจากบ้านของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตรงไปที่โรงเรียนโดยการวิ่งไปด้วยความเร็วสูงที่เกินกว่ามนุษย์ปกติจะทำตามได้
ภายในโรงเรียนยามค่ำคืนท่ามกล่างความมืดมิดอันแสนเงียบสงบ เด็กหนุ่มที่ยังสวมชุดนักเรียนสีแดงเพลิงวิ่งถลามาที่โรงเรียนตรงไปที่สเตเดี้ยมขนาดใหญ่นั้น เมื่อน้ำเสียงที่แสนร้อนรนของประธานนักเรียนสาวที่โทรเข้ามาหาเขาเมื่อครู่นี้ยังคงวนเวียนอยู่ภาพในหัว เขาจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปข้างในนั้นในทันที แต่ทว่าเมื่อเข้าไปข้างในนั้น เขาก็ต้องพบเจอกับภาพตรงหน้าที่ทำในเขาประหลาดใจไปพักใหญ่
ภายใต้แสงสว่างที่สอดส่องลงมาจากเบื้องบน สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเรย์นั่นก็คือหญิงสาวในชุดราตรีสีขาวกำลังกุมมือกันประหนึ่งกำลังภาวนา ผมยาวสีน้ำตาลเป็นประกายกับผิวขาวที่เนียนใสประดุจหิมะของเธอทำให้เธอดูเจิดจรัสภายใต้แสงสว่างท่ามกลางความมืดมิดนั้น และหญิงสาวตรงหน้าคนนั้นก็เป็นคนที่ตัวเองรู้จักดี นั่นก็คือ มิซึกิ
"จะให้ฉันพาคุณไปได้ไหมค่ะ?"
เสียงที่ก้องกังวานใสราวกับเสียงจากนางฟ้าบนสวรรค์ดังขึ้นมา พร้อมกับดวงตาคู่นั้นที่กำลังจ้องมองมาทางเรย์ ราวกับว่าเธอกำลังสะกดจิตเขาให้หลงใหลและเทิศทูนในตัวเองเธอ เรย์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับคำพูดที่เหมือนกำลังจะส่งมาหาเขา
"ไปยังดินแดน ดินแดนที่เต็มไปด้วยความสุข"
มือเรียวขาวที่ดูน่าทะนุถนอมเอื้อมออกมาประหนึ่งกำลังเชื้อเชิญคนตรงหน้าของเธอ ประกายแสงเป็นดวงๆที่ค่อยๆลอยขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่างนั่น ราวกับว่าเธอกำลังจะพาเรย์ไปสู่อีกโลกหนึ่งแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ