KP Warriors : โรงเรียนนักรบ แหวนเทวะ

9.7

เขียนโดย nesugiso

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556 เวลา 12.35 น.

  20 ตอน
  12 วิจารณ์
  26.93K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557 11.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

20) นักรบฝึกหัดสาวกับตราสัญลักษณ์สีทอง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

         ลึกลงไปในใจกลางโรงเรียนไนท์เบลดอันเลื่องชื่อ ภายใต้พื้นดินอันหนาแน่นแห่งนั้น ได้มีสถานที่ลับที่ผู้คนภายในโรงเรียนนั้นน้อยคนนักจะรู้ถึงการมีอยู่ของที่แห่งนี้ นั่นก็คือ"ฐานบัญชาการลับ"ของเหล่าภาคีผู้พิทักษ์

 

         ในห้องสี่เหลี่ยมที่กว้างขวางนั้นปรากฏหน้าจอใสขนาดใหญ่ ที่กำลังฉายตำแหน่งอะไรบางอย่างในจอสีน้ำเงินตรงหน้าของเหล่าเจ้าหน้าทีนับสิบราย ที่กำลังจับจ้องไปยังหน้าจอสีน้ำเงินนั้นอย่างไม่กระพริบตา แสงสีแดงปริศนาชี้บอกตำแหน่งที่น่าสนใจขึ้นมาบนหน้าจอนั้น ก่อนที่แสงสีแดงนั้นจะหายวับไปจากจอสีน้ำเงินขนาดใหญ่

 

         สารวัตรนักเรียนหญิงของไนท์เบลดคนหนึ่งหลังจากที่ได้เห็นภาพตรงหน้านั้นแล้ว เธอต้องการจะบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น สารวัตรนักเรียนสาวเบี่ยงเตัวหันเก้าอี้ที่นั่งอยู่มาหาผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าของเธอ และที่นั้นเขายังเป็นอาจารย์ของพวกเธออีกด้วย

 

         "เอกลักษณ์ของพลังสิ้นสุดลงเมื่อไม่นานมานี้ค่ะ" คำพูดจากสารวัตรนักเรียนสุดสวยที่ชื่อคิคาวะเอ่ยขึ้นมาให้กับอาจารย์ของเธอ ที่ในตอนนี้อาจารย์ของเธอกำลังใช้มือสองข้างของเขาเท้าไปบนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เต็มไปด้วยปุ่มสั่งการมากมายตรงหน้านั้น แม้สีหน้าจะนิ่งเฉยเมื่อได้ยินประโยคที่คิคาวะพูดออกมาก็จริง แต่ลึกๆแล้วในใจของเขานั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ที่น้อยคนนักที่จะคาดเดาความคิดของคนๆนี้ได้

 

         เมื่อเห็นท่าทางทีที่นิ่งเฉยของอาจารย์ผู้เป็นหัวหน้าของเธอนั้น คิคาวะก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแสดงความไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองจะพูดออกไป ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกกล้าๆกลัวๆ

 

         "....อาจารย์คะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ลงรอยกับรามูเนสสักเท่าไร แต่ว่าเรื่องนี้ฉันอยากขอให้อาจารย์พิจารณาดูอีกทีนะคะ เรื่องที่จะรับผู้ต้องสงสัยของเราเข้ามาเป็น

หนึ่งในสมาชิกของ..."

 

         "ฉันรู้ตัวเองดีในทุกๆเรื่องนะคิคาวะ...." ประโยคของคิคาวะที่ยังไม่ทันจะจบดี ก็ถูกคำพูดจากอาจารย์ของเธอสวนขึ้นมาซะก่อน

 

         "ฉันเชื่อว่าทุกๆเรื่้องที่เขาทำย่อมต้องมีเหตุผลรองรับอยู่แน่ๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม รวมไปถึงเรื่องนี้ด้วย และฉันตัดสินใจไม่ผิดหรอกที่เลือกเขาเข้ามาเพราะว่าเขาก็คือหนึ่งในกำลังสำคัญในภาคีของเรา ในการรับมือกับคนที่เรากำลังต่อกรด้วยอยู่ในตอนนี้ไง...."

 

         คิคาวะอยากจะพูดในสิ่งที่คิดว่าความคิดของเธอกำลังขัดแย้งกับหัวหน้าของเธออยู่ในขณะนั้น แต่เมื่อนึกขึ้นได้อีกที่ เธอควรเก็บความคิดนี้ไว้ดีกว่า เพราะมันไม่คุ้มสักเท่าไรที่จะสร้างความครางแคลงใจระหว่างสมาชิกขึ้นมาภายในภาคีแห่งนี้ ใบหน้าของอาจารย์เอลวินดูครุ่นคิดมากขึ้นกว่าเดิมจนคิคาวะและสมาชิกภายในห้องนั้นคนอื่นๆสังเกตุเห็นได้

 

 

 

 

 

 

 

 

       ในรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันถัดมาจากเหตุการณ์ที่ผู้กล้าสีแดงปะทะกับกลุ่มไนติงเกล ในวันนี้นั้นก็ยังคงเป็นเช้าอีกวันหนึ่งที่ดูแสนจะธรรมดา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมภายรอบๆนอกรั้วบ้านสีขาวที่แสนเงียบเหงาหลังนั้น เพื่อนบ้านแต่ละคนก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติดั่งเช่นที่เคยทำอยู่ทุกๆวันเหมือนเดิมไม่มีอะไรผิดแปลกไปเลยแม้แต่น้อย ยกเว้นบ้านหลังนี้ที่เคยแสนเงียบเหงาเพราะมีแต่เพียงเจ้าบ้านซึ่งเป็นเด็กหนุ่มมอปลายอยู่เพียงลำพังเท่านั้น แต่ในวันนี้ภายในบ้านหลังนี้กลับมีสมาชิกเพิ่มเข้ามาใหม่เพียงชั่วข้ามคืน

 

 

 

         ".....ห๊ะ!!!!"

 

         นัยน์ตากลมๆสีดำเผยขึ้นมาหลังจากเด็กสาวตาตี่ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนิ่มๆรู้สึกตัว และสะดุ้งตื่นขึ้นมา ในครั้งแรกที่เธอเห็นห้องนั้น เธอก็ตกใจมากว่าตัวเธอเองได้มาอยู่ที่แห่งนี้ได้อย่างไร จนต้องรีบลุกขึ้นมาพร้อมกับชายตามองไปยัรอบๆตัวภายในห้องสี่เหลี่ยมนั้น เธอก้มลงมองไปยังผ้าห่มที่กำลังห่มร่างของเธออย่างมิดชิด ในขณะเดียวกันนั้นเธอเริ่มรู้สึกว่าเหมือนมีใครกำลังจ้องมองเธออยู่ ทำให้เธอค่อยๆหันไปยังคนที่กำลังส่งสายตามายังเธอนั้น

 

         เมื่อนั้นเธอก็ได้พบกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรของเรย์ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านหลังดังกล่าว คนที่เธอพยายามช่วยเหลือจากการพวกเหล่าไนติงเกลทั้งหลาย หรือจะพูดอีกอย่างในทางกลับกันคือ คนที่ช่วยเธอจากการถูกตามล่าจากไนติงเกลพวกนั้นนั่นเอง

 

         "ฟื้นแล้วเหรอ..." ชายหนุ่มเจ้าบ้านกล่าวทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตรกับเด็กสาวที่พึ่งฟื้นขึ้นมาจากเหตุการณ์ร้ายเมื่อคืน

 

         "เอ่อ....ค่ะ" เด็กสาวตอบอ้อมแอ้มๆจนชายหนุ่มฟังไม่ค่อยถนัดนัก ก่อนที่เธอจะหันมองไปรอบๆห้องนั้นด้วยท่าทีที่สงสัยใคร่รู้ ทำให้ชายหนุ่มพึ่งนึกได้ว่าเธอน่าจะยังไม่รู้เรื่องที่เขาพาเธอมาที่บ้านของตัวเองในขณะที่เธอกำลังหมดสติอยู่เพื่อมารักษาบาดแผล

 

         "เอ่อจริงสิ! นี่น่ะเป็นบ้านของฉันเองไม่ต้องกลัวไปหรอกนะ...." ชายหนุ่มส่งสายตาที่แสนใจดีมายังเด็กสาวที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงนอนสีแดงของชายหนุ่มนั้น เมื่อเห็นดั่งนั้นเด็กสาวก็ทำท่าหลบสายตาแสนใจดีที่กำลังจ้องมองมาที่เธออยู่นั้นอย่างเขินอาย ใบหน้าของเธอตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีเลือดจางๆโดยที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆไม่ทันได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย

 

         "คือว่า ฉัน..." เด็กสาวบีบแขนของตัวเองแน่นด้วยความเขิน และเธอก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเธอจะพูดอะไรต่อไปดี

 

         จนกระทั่งเธอก้มลงมาเห็นเสื้อที่เธอกำลังสวมใส่อยู่นั้นแปลกไปจากชุดที่สวมใส่อยู่เมื่อคืน เป็นเสื้อยืดตัวใหญ่ๆสีน้ำเงินลายการ์ตูนซึ่งที่เธอกำลังสวมใส่อยู่ตอนนี้มันหลวมเอามากๆ จนเธอรู้สึกเหมือนแค่เธอกำลังห่มมันอยู่เท่านั้น รวมไปถึงความรู้สึกที่เย็นวาบๆข้างในเสื้อของเธอที่เธอกำลังสวมใส่อยู่นั้น ทำให้เธอรู้ว่าอะไรบางอย่างของผู้หญิงที่มันควรจะมีอยู่มันหายไปจากเธอ จนเธอเงยหน้ามองเรย์ชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความสงสัย แล้วเอื้อมมือไปลูบๆบริเวณลำตัวของเธอ ก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่กำลังพันอยู่รอบๆตัวของเธออย่างแน่นหนา ซึ่งเธอก็เดาได้ว่ามันน่าจะเป็นผ้าพันแผลนั่นแหละ

 

         ทันทีที่เรย์เห็นปฏิกิริยาของเด็กสาวตรงหน้าก็เบิกตากว้างขึ้นมาในทันที เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนหลังจากที่เขาทำแผลให้เด็กสาวเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว เขาก็รู้สึกหนักใจเป็นอย่างมากเมื่อจะสวมชุดกลับเข้าไปใหม่ เพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเรื่องชุดชั้นในของผู้หญิงเลย เขาจึงเพียงแค่นำเสื้อที่อยู่ในตู้เสื้อผ้ามาสวมให้เธอ ซึ่งแน่นอนว่าไซส์ของเรย์และเด็กหญิงที่นอนอยู่บนเตียงนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมากๆ

 

         เมื่อนึกขึ้นได้เรย์ก็รีบยกมือไว้ปลกๆจนเด็กสาวตรงหน้าเกิดความมึนงงขึ้นมาเล็กน้อย

 

         "ขอโทษนะ! คือว่า!" ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาเริ่มอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ซ่อนใบหน้าของตัวเองเอาไว้หลังฝ่ามือที่กำลังพนมเอาไว้อยู่นั้น "ฉันคิดแค่ว่าต้องช่วยเธอให้ได้ก็เลยต้องรีบทำแผลให้เธอก่อน ขอโทษนะ คือ ไอ้ตอนถอดมันก็ง่ายอยู่หรอก แต่ไอ้ตอนจะใส่มันกลับเข้าไปนี่สิ..."

 

         เรย์ยังคงอธิบายไปรัวๆโดยที่ไม่กล้าเงยหน้ามาสบตากับเด็กสาวที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงตรงหน้าของเขานั้น แต่เด็กสาวเองก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่อย่างใด เธอเพียงแค่มองไปยังรอบๆก่อนที่สายตาของตัวเองจะไปสะดุดกับกองชุดชั้นในของเธอที่เต็มไปด้วยเลือด รวมไปถึงกล่องและเครื่องมือพยาบาลที่วางอยู่ข้างๆกัน ซึ่งข้างๆกล่องก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยการใช้งานเป็นรอยเปื้อนจากเลือดแสดงอยู่ข้างกล่องนั้นอยู่ กับกองสำลีและผ้าก็อชกองใหญ่

 

         ".....ขอบคุณนะค่ะ" น้ำเสียงอ่อนโยนของเด็กสาวเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหันมาหาชายหนุ่มตรงหน้าของเธอด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เมื่อชายหนุ่มได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกตกใจเล็กน้อยและรีบลดมือที่กำลังพนมอยู่ลงอย่างรวดเร็ว

 

         "หืม?! ไม่โกรธอะไรเลยเหรอ" คำถามเปิ่นๆจากเรย์ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เด็กสาวเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าไปมาช้าๆ

 

         "ก็คุณอุตส่าทำแผลให้กับฉัน ให้ที่นอนฉัน แล้วก็ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ทั้งๆที่ฉันเป็นคนลากคุณเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของฉันด้วยแท้ๆ ทำไมฉันจะต้องโกรธคุณด้วยล่ะคะ" น้ำเสียงอ่อนโยนถูกส่งมายังชายหนุ่มตรงหน้านั้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วชายหนุ่มเจ้าของบ้านหลังนั้นก็ฉีกยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

         "อย่างงี้เองหรอกเหรอเนี่ย แห๊ะๆ เขินเหมือนกันแหะ" เรย์ยกมือขึ้นมาเกาหัวตัวเองพร้อมกับใบหน้าที่แสดงความเขินออกมา เมื่อเด็กสาวเห็นท่าทีของชายหนุ่มตรงหน้าก็อดที่จะแสดงอมยิ้มเล็กๆออกมาบนใบหน้าของเธอไม่ได้

 

         "ว่าแต่เธอชื่ออะไรเหรอ... ฉันชื่อ เรย์ - เรย์ มิเลียร์ นะ" จู่ๆเรย์ก็ถามขึ้นมาพร้อมกับแนะนำตัวเองเสร็จสรรพโดยที่เด็กสาวไม่ทันได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรมากมายนักเมื่อเธอคิดว่าเขาเป็นคนทำอะไรหลายๆอย่างให้กับเธอขนาดนี้ เขาควรจะรู้อะไรจากเธอบ้าง โดยเฉพาะชื่อตัวเอง

 

         "ซายาชิค่ะ... ซายาชิ ริโฮะ" เด็กสาวพูดชื่อของตัวเองด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่ในความอ่อนโยนที่เรย์กำลังได้ยินอยู่นั้นมันแอบแฝงไปด้วยความแข็งแกร่งอย่างที่คนอย่างเขาเองรู้สึกได้

 

         "ซายาชิ ริโฮะ เหรอ?"

 

 

         เรย์จ้องใบหน้าจิ้มลิ้มของเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่าเขามากๆตรงหน้าอย่างไม่กระพริบตา เด็กสาวที่เขาคาดว่าน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับมิซึกินักเรียนสาวรุ่นน้องของตัวเองที่เขากำลังแอบหลงรักอยู่ ใบหน้ากลมคางแหลมของเธอเข้ากับรูปหน้าได้ดีมาก ผมยาวสยายสีดำมันขลับ ตาตี่เหมือนคนพึ่งตื่นนอนหรือง่วงอยู๋ตลอดเวลา รูปร่างสมส่วนไม่ผอมไปไม่อ้วนไป แม้จะเป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารักมากก็ตาม แต่เรย์ก็ยังคงจำภาพกล้ามเนื้อหน้าท้องที่สวยงามและหนาแน่นในระหว่างที่เขาได้ปฐมพยาบาลเธอได้เป็นอย่างดี ทำให้เรย์คิดว่าเด็กสาวคนนี้เป็นผู้หญิงที่แข็งแรงมากๆอย่างแน่นอน

 

         "....มีอะไรเหรอคะ?" จู่ๆริโฮะเด็กสาวที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงก็ถามชายร่างสูงขึ้นมา เมื่อได้เห็นใบหน้าเหม่อลอยของเรย์ซึ่งในตอนนั้นเขากำลังนึกภาพกล้ามเนื้อหน้าท้องของเธอ จนเรย์สะดุ้งขึ้นมาอีกครั้งหลังรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังถูกเรียกอยู่

 

         "อ๋อ เปล่าหรอกๆ แค่คิดว่าชื่อนี้ก็เหมาะกับเธอดีนะ แฮะๆ" แม้จะขำกลบเกลื่อนแต่เด็กสาวก็ไม่ได้หัวเราะไปกับเขาเลยแม้แต่น้อย จนเสียงหัวเราะกลบเกลื่อนของเรย์ค่อยๆจางหายไปเมื่อได้เห็นใบหน้าที่นิ่งเฉยของริโฮะนั้น

 

         "....เอ่อ ไม่ขำเหรอ" คำถามห้วนๆถูกส่งออกมาจากชายหนุ่ม

 

         "..." เด็กสาวเจ้าส่ายหน้ารัวๆ ใบหน้าของเธอยังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม ชายหนุ่มเมื่อรู้ว่าตัวเองเริ่มจะแป๊กแล้วก็ทำหน้าสลด แล้วก็พยายามหาเรื่องเปลี่ยนเรื่องคุยไป แต่จนแล้วจนเล่าเขาก็ไม่สามารถที่จะหาเรื่องคุยอะไรได้อีก จนตัวเองต้องลุกออกจากเก้าอี้ตัวนั้นไปในที่สุด

 

         "....เดี๋ยวฉันจะไปเอาอาหารเช้ามาให้นะ หิวแล้วหรือยังเนี่ย" เหมือนเป็นคันโยกที่ใช้สับสวิตช์ใบหน้าของเธอที่ให้เปลี่ยนโดยฉับพลัน เมื่อริโฮะที่ได้ยินประโยคของเรย์นั้นก็หูกระดิก รูปตาที่ตี่ๆของเธอเบิกกว้างขึ้นมา เธอพยักหน้ารัวๆไปพร้อมกับรอยยิ้มที่แสดงอาการดีใจของเธอ ซึ่งชายหนุ่มก็รู้ได้เลยทันทีว่าเด็กสาวตรงหน้าช่างแตกต่างจากเมื่อสักครู่นี้ซะเหลือเกิน

 

         ".....พอเป็นเรื่องกินแล้วเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยนะตัวเธอ....."

 

         และก่อนที่เขาจะลงไปนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ลืมที่จะเก็บกวาดห้องตัวเองให้เรียบร้อยซะก่อนที่จะลงไป

 

 

 

 

 

         ภายในห้องครัวที่แสนจะรกรุงรัง ข้าวของต่างๆนาๆถูกวางเอาไว้อย่างระเกะระกะ แต่ถึงกระนั้นเจ้าของบ้านก็ยังไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเขามีบางอย่างที่ต้องทำและมันสำคัญกว่า คือการนำอาหารเช้าเช้าไปให้ริโฮะเด็กสาวที่กำลังบาดเจ็บอยู่ซะก่อน ในขณะที่กำลังเตรียมอาหารเช้าไปนั้น เจ้าตัวก็คิดไปด้วยว่าคนที่กำลังบาดเจ็บจากการต่อสู้นั้นควรจะทานอะไรดี เพื่อเป็นการบำรุงร่างกายที่กำลังฟื้นตัวอยู่ เพียงแต่ของที่มีอยู่ในตู้กับข้าวและตู้เย็นของเขานั้นดันเอื้อมาแค่เพียงในสิ่งที่เขารับประทานได้เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นเรย์ก็พยายามหาอาหารเบาๆที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังได้รับบาดเจ็บมาจนได้

 

         ในขณะเดียวกันนั้นสายตาของเรย์ก็ได้ไปสะดุดเข้ากับชุดของริโฮะที่กองอยู่ใกล้กับเครื่องซักผ้า ชายหนุ่มมองไปยังชุดดีดำเงาจันทร์ที่เปื้อนไปด้วยเลือดเต็มไปหมด แต่ถึงกระนั้นเป้าหมายของสายจาของเขาก็คือเครื่องหมายที่อยู่บนหน้าอกเสื้อชุดหนังของริโฮะที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น จากเมื่อคืนที่เขาเห็นแค่เพียงลางๆ ในตอนนี้เขาสามารถมองเห็นสัญลักษณ์นั้นได้อย่างชัดเจน

 

         สัญลักษณ์ที่ดูคล้ายคลึงกับจักรราศีธนูสีทองเหลืองอร่าม สะท้อนกับแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างหลังบ้านของเขาระยิบระยับ เรย์เพ่งเล็งและค่อยๆนึกสิ่งที่อยู่ภายในหัวของเขา เพราะสัญลักษณ์อันนี้ดูคุณตาเขาเป็นอย่างมาก เรย์เก็บความสงสัยนี้เอาไว้แล้วขึ้นไปบนห้องของเขาไป

 

 

 

         ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเดินเข้ามาภายในห้องเขาอย่างเนิบๆแต่ก็มีความรู้สึกแปลกไปจากทุกๆครั้ง เพราะว่าในครั้งนี้นั้นเขาไม่ได้เข้าห้องไปแล้วต้องเจอกับเตียงนอนว่างเปล่า วันนี้เขาเปิดประตูเข้าไปก็พบกับเด็กสาวที่่ยึดที่นอนของเขาไป ซึ่งชายหนุ่มก็เต็มใจให้เธอด้วยความยินดี เมื่อเปิดประตูเข้ามา เด็กสาวจากที่กำลังหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างเพื่อจะมองวิวในรุ่งเช้านั้นก็หันขวับกลับมาเหมือนเป็นสัญญาณอะไรสักอย่าง

 

         "มาแล้ว!!....."

 

         เรย์เดินมาพร้อมกับถาดอาหารเช้าซึ่งในนั้นมีอาหารจำพวกต้มอุ่นๆอยู่ ในขณะที่เขากำลังมองหาที่เพื่อที่จะให้เด็กสาวที่กำลังนอนอยู่บนที่นอนของเขานั้นทานอาหารเช้าได้อย่างไม่ลำบาก ชายหนุ่มก็หันไปพบกับใบหน้าของริโฮะจากดวงตาของเธอที่ตี่ๆคล้ายกับคนที่พึ่งตื่นนอนอยู่ตลอดเวลา ในตอนนี้เบิกกว้างมากถึงมากที่สุด ปากที่อ้าค้างจนเป็นรูปตัวโอและร่างกายที่ดิ้นไปดิ้นมา บ่งบอกได้ว่าเธอรู้สึกดีใจกับอาหารมื้อนี้ที่จะได้ทานมันเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นเมื่อสักครู่ก่อนเรย์คงจะแปลกใจมากเมื่อได้เห็นใบหน้าแบบนั้น แต่ในตอนนี้คิดว่าเขาคงรู้สึกคุ้นเคยกับมันไปแล้ว

 

         "อดใจรอไม่ไหวเลยสินะเธอ"

 

         ในที่สุดเรย์ก็ตัดสินใจได้ว่าให้เธอทานอาหารบนที่นอนของเขาไปเลยนั่นแหละ โดยที่เขานำโต๊ะตัวเล็กๆมาตั้งไว้ตรงหน้าของเธอ ก่อนจะค่อยๆว่างถาดอาหารที่เขาถือมาลงไป เมื่อเรย์บอกว่าทานได้ตามสบาย คนที่กำลังมองที่ถาดอาหารตาเป็นมันก็ลงมือทานอาหารอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

 

         เรย์ค่อยๆลากเก้าอี้ที่เขาเอาไว้ใช้นั่งอ่านหนังสือเข้ามาใกล้ๆกับเตียงนอน ก่อนที่จะทิ้งร่างของเขาไปบนเก้าอี้ตัวนั้นอย่างสบายใจเฉิบและมองริโฮะที่กำลังทานอาหารเช้าที่เขาเตรียมเอาไว้ให้เธอนั้นอย่างเอร็ดอร่อย ได้เห็นเธอส่งรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าทุกครั้งหลังจากที่ลิ้นของเธอได้สัมผัสกับรสชาตของอาหารมื้อนั้น

 

         "เธอคงจะหิวมากเลยสินะ" ชายหนุ่มกล่าวขึ้นมาหลังจากเห็นปฏิกิริยาของคนตรงหน้านั้น เพียงไม่กี่อึดใจอาหารเช้าที่เขานำขึ้นมาให้เธอก็หมดลงไปอย่างรวดเร็ว ในจานชามสะอาดเอี่ยมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เด็กสาวไม่ได้ตอบอะไรเธอเพียงแต่เช็ดริมฝีปากของเท่านั้น

 

         "เมื่อคืนเธอไปทำอะไรมาเหรอ ทำไมเธอถึงถูกเจ้าพวกนั้นตามล่ามาได้ล่ะ" เพราะคำถามนี้ทำให้เด็กสาวที่กำลังค่อยๆพับผ้าเช็ดปากของตัวเองอยู่นั้นหันขวับมาที่ชายหนุ่มข้างๆ สายตาที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจของเธอ ทำให้เธอดูผิดแปลกไปจากเมื่อสักครู่นี้เป็นอย่างมากราวกับว่าเธอเปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคนจนชาวหนุ่มรู้สึกได้

 

         "ไม่เป็นไปหรอกน่า ฉันเองก็เป็นนักรบเหมือนกัน เธออยู่กับพวกเดียวกันแล้วนะ ไม่ต้องกลัวไปหรอก" เรย์พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนราวกับกำลังจะปัดเป่าเรื่องที่กำลังครอบงำเธออยู่ให้ออกไป เมื่อได้ยินแบบนั้นเด็กสาวก็ค่อยๆฉีกยิ้มออกมาบนใบหน้าเล็กน้อย

 

         "คุณน่ะไม่ใช่นักรบธรรมดา คุณคือนักรบสีแดง...." ริโฮะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เรย์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าแสดงความรู้สึกอึ้งออกมาบนใบหน้าของเขา

 

         "โอว รู้จักด้วยเหรอ.... เราเองก็ดังเหมือนกันแหะ" คำยอๆแบบหลงตัวเองของชายหนุ่มทำให้เรียกเสียงหัวเราะจากริโฮะออกมาได้

 

         "ฮ่าๆ อาจารย์ของฉันพูดถึงคุณบ่อยจะตายไปค่ะ" เรย์รู้สึกเอะใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคที่ออกมาจากเด็กสาวนั้น

 

         "อาจารย์ของเธองั้นเหรอ" ชายหนุ่มย้ำอีกครั้ง

 

         "ค่ะ เมื่อคืนที่ฉันไปอยู่ที่นั่นแล้วก็ได้พบกับคุณ เพราะว่าฉันกำลังทำภาระกิจอย่างหนึ่งที่อาจารย์ของฉันได้มอบหมายมาอยู่น่ะค่ะ" ริโฮะอธิบายให้เรย์ฟัง ซึ่งเขาเองก็ฟังเจ้าตัวพูดไปโดยที่ไม่คิดที่จะขัดจังหวะเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเขาต้องการให้เธอเป็นคนพูดออกมาเองแทนที่เขาจะเป็นฝ่ายเค้นความจริงมากกว่า แม้ว่าเขาเองจะมีคำถามมากมาย

 

         "อย่างนั้นเหรอ แต่ก็... เธอนี่โชคดีจริงๆเลยนะ ที่คนที่เธอเจอเมื่อคืนเป็นฉันไม่ใช่คนอื่นซะก่อน" ริโฮะเมื่อได้ยินประโยคก็เรย์ก็เปลี่ยนสีหน้าไป เธอเบนหน้าหนีคนที่กำลังสบตากับเธอไป เรย์รู้สึกว่าคำพูดของเขามันแทงใจดำของเธอไปรึเปล่า

 

         "ฉันทำพลาดไปน่ะค่ะ..." เรย์กำลังจะปริปากขอโทษแต่ริโฮะก็เอ่ยตัดหน้าออกมาซะก่อน "...ภารกิจขโมยของมีค่าบางอย่างจากกองทัพแห่งความมืด แต่ก็ไม่นึกมาก่อนเลยว่าที่ๆเก็บของนี้เอาไว้ จะเป็นฐานของพวกกลุ่มพวกจอมโจรไนติงเกล"

 

         เมื่อได้ยินชื่อนั้น เรย์ถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาในทันที

 

         "พวกไนติงเกลอย่างนั้นเหรอ! นี่เธอเข้าไปบุกฐานของพวกมันด้วยตัวคนเดียวเลยอย่างนั้นเหรอ!"

 

         "ใช่ค่ะ ก็มันเป็น.... ภารกิจนี่คะ"

 

 

         เรย์รู้สึกอึ้งทั้งคำพูดและก็เรื่องของเด็กคนนี้ เพราะการที่จะเขาไปในฐานที่มั่นของกลุ่มไนติงเกล กลุ่มโจรและนักฆ่าชื่อดังนั้น หากเป็นเพียงแค่คนธรรมดาเข้าไปในนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆที่จะกลับออกมาได้แบบยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเด็กสาวคนนี้ได้เข้าไปและกลับออกมาได้โดยที่เธอยังมีลมหายใจอยู่และมาพบกับเรย์โดยบังเอิญในเมื่อคืน ชายหนุ่มหลับตาพร้อมกับถอนหายใจออกมาราวกับหมดห่วงในเรื่องบางเรื่อง

 

         "...ถ้าอย่างงั้น สาเหตุที่เธอได้บาดแผลพวกนี้มาได้ ก็คงจะเป็นเรื่องนี้สินะ"

 

         "...ค่ะ..." เด็กสาวตอบสั้นๆห้วนๆแต่มือที่กำลังพันผ้าพันแผลของเธอนั้นกำลังกุมข้อศอกเอาไว้แน่น จนเรย์สังเกตุเห็นได้ ไม่นานนักมือที่แสนจะอบอุ่นก็ค่อยๆเอื้อมไปลูบหัวเธออย่างเอ็นดูจนเด็กสาวเงยหน้าขึ้นมามองคนที่กำลังลูบหัวเธออยู่ข้างๆนั้น

 

         "ดีแล้วล่ะนะที่คนที่เธอเจอในตอนนั้น เป็นฉัน...."

 

         เด็กหนุ่มส่งยิ้มแห่งความอ่อนโยนให้กับเด็กสาวอีกครั้ง แววตาที่กำลังมองมาเด็กสาวของเขาส่องประกาย เมื่อเด็กสาวได้เห็นก็ค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมามากกว่าเก่า ในสายตาที่ชายหนุ่มได้มองเธอ ลึกลงไปนั้น เขารู้สึกได้ถึงความกดดันและความกลัวจากอะไรหลายๆอย่างที่แสดงออกมาผ่านสายตาที่กำลังปิดกั้นคู่นี้ของเธอ แม้จะยากไปหน่อยแต่เรย์ก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของริโฮะอยู่ตอนนี้ไม่มากก็น้อย

 

         "เอาล่ะ! เดี๋ยวฉันจะต้องไปเปลี่ยนชุดก่อน วันนี้ต้องไปโรงเรียนน่ะ" จู่ๆเรย์ก็ลุกพรวดขึ้นมาจนริโฮะมองตาม สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป บ่งบอกว่าเธอไม่อยากให้เรย์จากไปไหน

 

         "เธอน่ะพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ไปก่อนดีกว่า ร่างกายแบบนั้นออกไปไหนตอนนี้ต้องแย่แน่ๆ" เรย์พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเป็นห่วงออกมา

 

         "แต่ว่า..." ถึงเจ้าของบ้านจะพูดออกมาแบบนั้น แต่ริโฮะเองก็รู้สึกเกรงใจไม่ใช่น้อยที่เธอต้องอาศัยบ้านคนอื่นแบบนี้

 

         "เอาเถอะน่า เธอน่ะต้องพักผ่อนเยอะๆนะ" เรย์พยายามประคองตัวของริโฮะให้นอนต่อ แม้ริโฮะจะรู้สึกเกรงใจเรย์ในตอนนี้ก็คงจะปฏิเสธร่างกายกับความหวังดีของชายร่างสูงคนนี้ไม่ไหวแน่ๆ

 

         "พักให้สบายนะ นึกซะว่าที่นี่เป็นบ้านของเธอเองไปเลยก็ได้... แล้วเดี๋ยวกลางวันฉันจะโดดรั้วโรงเรียนมาหาเธอนะ"

 

         ว่าแล้วชายหนุ่มก็ขยิบตาให้เด็กสาวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงหนึ่งครั้ง ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบเดินออกห้องนอนของตัวเองไป ทิ้งเอาไว้แต่สายตาของริโฮะที่มองแผ่นหนังนั้นออกไปกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ ที่ได้เห็นอีกมุมหนึ่งเล็กน้อยของชายคนนี้ เด็กสาวค่อยๆดึงผ้าห่มขึ้นมาให้สูงขึ้นอีกนิดพร้อมกับถอนหายใจอย่างโล่งอก พลางคิดว่าเธอโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เจอกับคนๆนี้ สายตาที่มองไปบนเพดานของเธอเริ่มจะพล่ามัวก่อนที่เธอจะเผลอหลับไปอีกรอบ

 

 

 

         ไม่นานนักเรย์เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้วก็ได้ออกมาจากบ้าน พร้อมกับล๊อคกุญแจบ้านของตัวเอง เมื่อเขากำลังจะเดินเพื่อออกจากรั้วบ้านไป เขาก็นึกถึงเรื่องของริโฮะเมื่อคืนขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มหยุดชะงักไปชั่วขณะ เรย์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปบนหน้าต่างห้องของตัวเองที่ในตอนนี้แสงแดดที่ กระทบกับกระจกบ้านนั้นเริ่มจะส่งความร้อนที่มากขึ้นจนรู้สึกได้ มือขวาที่กำลังสวมแหวนสีแดงแห่งไนท์เบลดอยู่นั้นค่อยๆลดลงไปยังกระเป๋ากางเกงสีแดงของตัวเอง พร้อมกับหยิบจับอะไรบางอย่างขึ้นมา

 

         มันคือบัตรนักเรียนของโรงเรียนไนท์เบลดที่ยังคงหลงเหลือคราบเลือดติดอยู่ ซึ่งในนั้นปรากฏทั้งเลขรหัสประจำตัวนักเรียน วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ รวมไปถึงกรุ๊ปเลือด และห้องที่ตัวเองได้ศึกษาอยู่ด้วย ซึ่งในมุมบนของบัตรนักเรียนนั้นได้แสดงห้องที่ 4/1 เอาไว้ที่หน้าบัตรนั้น และชื่อของเจ้าของบัตร นามว่า ซายาชิ ริโฮะ

 

 

         ... มันยังไงกันแน่ ทำไมถึงมีเด็กสาวที่อยู่ห้องเดียวกันกับพวกมิซึกิ แต่เรากลับไม่รู้สึกว่าคุ้นหน้าเลย มิหนำซ้ำเด็กคนนี้ยังเป็นนักรบฝึกหัดอีก ถ้าสัญลักษณ์อันนั้นที่เราเห็นไม่ผิดแล้วล่ะก็ อาจารย์ของเด็กคนนี้ต้องเป็นเขาคนนั้นอย่างแน่นอน แต่ทำไมล่ะ ทางภาคีน่าจะอะไรเราบ้างนี่นา ....

 

 

         แม้สายตาของเขาจะอยู่กับบัตรประจำตัวนักเรียนของเด็กสาวที่เต็มไปด้วยปริศนาคนนี้ ในขณะเดียวกันเรื่องบางอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจของเขานั้นก็ได้กลับเข้ามาในหัวของเขาอีกครั้งหนึ่ง ย้อนกลับไปในการต่อสู้ที่เขตชินตะคานะ ในวันนั้นการต่อสู้ระหว่างผู้กล้าทั้งห้าและกองทัพอันดูริลเต็มไปด้วยความดุเดือด แม้จะเกือบได้สังเวยเมืองเล็กๆไปแต่เหล่าผู้กล้าก็ได้ปกป้องเมืองๆนี้เอาไว้ได้

 

         ในการต่อสู้ในวันนั้นผู้กล้าสีแดง เรย์ ได้ต่อสู้กับไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ ซึ่งหมายเลขสิบสี่ก็สามารถสู้กับเขาได้อย่างสูสีอย่างที่ไม่มีใครเหนือไปกว่าใคร และยิ่งไปกว่านั้น เรย์รู้สึกได้ถึงพลังมหาสารที่ออกมาจากมีดคู่สีดำแดงที่ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ได้ใช้มันต่อสู้กับเขา มันมีพลังมากเกินไปกว่าที่มีดวิเศษทั่วไปบนโลกนี้จะมีได้

 

         เรย์เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า พลางนึกถึงที่แห่งหนึ่งที่เขาได้จากมาก หลังจากที่เขาฝึกวิชาและได้เป็น ฟินิกซ์วอริเออร์หรือผู้กล้าสีแดง ได้เต็มตัว คำถามมากมายที่เขาค้างคาใจอาจจะหาคำตอบได้ จากที่แห่งนี้ก็เป็นได้...

 

 

         "สงสัยเราต้องกลับไปที่ไฮฮ็อกก้าก่อนกำหนดซะแล้ว....."

 

 

 

 

 

 

 

 

         ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ที่แสงสว่างยากนักที่จะส่องลอดผ่านเข้ามาได้ นอกจากแสงไฟจากคบเพลิงที่อยู่ตามเสาหินเก่าๆที่ตั้งอยู่เรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบอยู่ตามพื้นที่ที่ชื้นแฉะ พื้นที่เต็มไปด้วยดินและกรวดมากมาย เช่นเดียวกันกับผนังที่อยู่ถัดไปจากตรงนั้น

 

         "ห่วยแตก!!!! ไม่ได้เรื่องเลย!!!!!"

 

         เสียงตวาดลั่นที่แสนจะก้องกังวานดังขึ้นมาภายในห้องๆหนึ่ง ไนติงเกลสองคนยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดในถ้ำแห่งนั้น ข้างหลังของพวกเขานั้นเป็นคือเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หลังผ้าม่านสีม่วงเข้มกับบันไดหลายชั้นขึ้นไป ไนติงเกลผู้ที่สวมหน้ากากที่คล้ายกับใบหน้าคนที่มีอักษรโบราณสลักอยู่ตรงกลางหน้าผาก กำลังจ้องมองไนติงเกลอีกคนที่สวมหน้ากากรูปยักษ์ตาเดียวที่ร่างกายของเขาสูงใหญ่กว่ามาก ดูเผินๆว่าเขาคนนีกำลังถูกไนติงเกลที่สวมหน้ากากใบหน้าคนที่มีอักษรโบราณคล้ายคลึกกับรู้ตัวคิวในภาษาอังกฤษต่อว่าอยู่

 

         "ปล่อยให้สปายของไนท์เบลดเข้ามาในที่นี่ง่ายๆได้ยังไงกันน่ะห๊ะ!!! แล้วเรายังเสียคนของเราไปอีกหลายคนเพราะความสะเพราของแกเพียงนิดเดียว" แม้จะถูกต่อว่าอย่างหนัก แต่ทว่าไนติงเกลอีกคนกลับนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย ปล่อยให้ไนติงเกลที่ตัวเล็กกว่าตัวเองบ่นไปอยู่คนเดียว โดยที่ทั้งสองคนไม่ได้สังเกตุคนที่กำลังเข้ามาใหม่พร้อมกับเสียงผ้าคลุมที่โบกสะบัดนั้นเป็นใคร

 

         "....ของข้าอย่างนั้นเหรอ อย่ามาโทษว่าเป็นความผิดของฉันเพียงคนเดียวสินาย ถ้าข้าไม่กำจัดเจ้าสามสิบสองไป ป่านนี้พวกเราคงไม่ได้มายืนด่ากันอยู่ตรงนี้หรอกนะ ใครจะไปรู้ว่าคนของเราที่ไล่ตามนางนั่นไปจะไปเจอกับนักรบสีแดงในเมืองโดยบังเอิญล่ะ"

 

         เมื่อได้ฟังคำพูดเหล่านั้นแล้ว ไนติงเกลที่ตัวเล็กกว่าก็พ่นลมหายใจออกมาฟอดใหญ่แสดงออกถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก

 

         "ถ้าข้าไม่ปิดปากเจ้าหมายเลขสามสิบสอง ป่านนี้มันคงรู้ที่อยู่ของเราไปแล้ว" ไนติงเกลที่ร่างสูงใหญ่กล่าว

 

         "ก็ถึงบอกไงว่ามันห่วยแตก!!!!!!!!!!"

 

 

 

 

         "จะวิวาทกันเองทำไม!!...."

 

         เสียงๆหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางเสียงตะหวาดที่พึ่งดังขึ้นมานั้น ท่ามกลางความมืดมิดและแสงไฟจากคบเพลิงที่สลัว ปรากฏร่างของชายในชุดผ้าคุมสีดำที่มาพร้อมกับไม้เท้าหัวกะโหลกบนที่นั่งสูงหลังผ้าม่านนั้น ชายชุดดำเดินมาอย่างช้าๆมาหยุดที่ข้างๆเก้าอี้สีดำหัวใหญ่ตัวนั้น

 

         "...ท่านเนโครมอนเซอร์" เมื่อพวกเขาทั้งสองได้เห็นคนที่อยู่ตรงหน้า ท่าที่ของพวกเขาก็ดูจะสงบเสงี่ยมเรียบร้อยไปในบัดดล ที่เคยหุนหันพลันแล่นกันในตอนนี้ไม่มีให้เห็นอีกต่อไปแล้ว

 

         "ถึงจะโทษว่าเป็นความผิดของพวกเจ้าเองมันก็แก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี หมายเลขสาม หมายเลขเจ็ด...." เสียงกล่าวอันเยือกเย็นถูกส่งออกมาจากผู้ที่เป็นเจ้านายของพวกเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองก็รีบคุกเข่าต่างความสำนึกในความผิดของตัวทันที

 

         "ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอีกแล้ว" ไนติงเกลหมายเลขสามกล่าวด้วยความสำนึกผิดออกมา

 

         แต่ทันใดนั้นเขากลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังบีบรัดเขาอย่างรุนแรง และเมื่อหมายเลขสามเงยหน้ามองขึ้นไปยังที่นังที่อยู่สูงนั้น เนโครมอนเซอร์กำลังใช้ไม้เท้าของตัวเองชี้ลงมายังไนติงเกลหมายเลขสามและกำลังสาปแช่งเขาอยู่ หมายเลขสามรู้สึกหายใจไม่ออกราวกับว่ากำลังมีใครบางคนบีบขอเขาอยู่ ไม่นานนักร่างกายของหมายเลขสามก็ค่อยๆลอยขึ้นไปบนอากาศอย่างช้าๆ เช่นเดียวกันกับหมายเลขเจ็ดที่มีท่าทีไม่ต่างกัน มือของทั้งคู่บีบคอตัวเองแน่นทั้งที่ร่างกายของเขาทั้งสองก็ไม่ได้สั่งให้ทำแบบนี้เลยแม้แต่น้อย ลมหายใจเริ่มติดขัดทีละนิดๆจนทั้งสองเริ่มรู้สึกเหมือนจะขาดใจไป

 

         "จงรับรู้ถึง... ความล้มเหลวของพวกเจ้าในครั้งนี้ซะ!!!"

 

 

 

- ฟ้าวววววววววว ตุ๊บ!!!!! -

 

         ทันทีที่เนโครมอนเซอร์ชักไม้เท้ากลับเข้ามาหาตัว ร่างของไนติงเกลทั้งสองที่ลอยอยู่บนอากาศก็ตกลงมาที่พื้นอย่างแรง สายตาภายใต้ผ้าคลุมสีดำที่กำลังปกปิดใบหน้าของเขานั้นกำลังมองร่างทั้งสองที่กำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างน่าสมเพส

 

         และไม่นานนักเสียงฝีเท้าอีกคู่หนึ่งที่ฟังดูแสนจะหนักอึ้งก็ค่อยๆย่างก้าวเข้ามาภายในที่แห่งนั้น

 

         "นี่เป็นการสั่งสอนลูกน้องของตัวเองอย่างนั้นเหรอ เนโครมอนเซอร์!" เสียงที่ทุ้มก้องกังวาลราวกับผู้มีอำนาจบาจใหญ่ดังขึ้นมา ทำให้เนโครมอนเซอร์หันไปยังที่มาของเสียงนั่น

 

 

         ชายในชุดสีดำร่างใหญ่โตค่อยๆย่างก้าวขึ้นมายังที่นั่งนั้น กล้ามเนื้อของเขาเป็นมัดๆดั่งนักกล้ามที่เล่นกล้ามเป็นอาชีพ ร่างกายของเขาสวมด้วยชุดเกราะสีดำทมิฬห่อหุ้มสองชั้นทั้งตัว มีผ้าหนังห้อยอยู่ที่เอวยาวไปจนระหว่างขา ลายของชุดเกราะเป็นเล็กเรียงกันอย่างเป็นระเบียบทำให้ดูมีความแกร่งกล้า ลวดสายสีแดงดั่งเลือดของมนุษย์นั้นลากผ่านกลางหน้าอกเป็นรูปตัวอักษรที่คล้ายกับมังกรสีแดง  ชุดเกราะคุมยาวไปทั้งแขนจนเหลือให้เห็นแต่เพียงมือทั้งสองที่แสดงสีผิวสีฟ้าอ่อนราวกับน้ำทะเลออกมา เช่นเดียวกันกับใบหน้าของเขา เพียงแต่ใบหน้านั้นทาด้วยน้ำสีดำโฉลมทั้งหน้าฝากและตาทั้งสองข้างลากยาวจนจากแก้ม จนไปถึงริมฝีปากล่างโฉลมจนไปทั่วทั้งคาง ศีรษะของเขาสวมด้วยผ้าคลุมหนังยาวไปจนปกปิดต้นคอได้

 

         ในมือทั้งสองข้างของเขานั้นกำลังถืออาวุธคู่กายที่เป็นตัวแทนแสดงความแข็งแกร่งและน่าเกรงขามของเขา มันคือค้อนปอนหรือค้อนสงครามสีดำแดง ที่หัวค้อนอีกด้านมีปลายแหลมด้านข้างราวกับเป็นเขี้ยวของอสูรร้าย แม้จะเป็นอาวุธขนาดใหญ่และแสนหนักเพียงใด แต่เขาคนนี้ก็ถือมันด้วยมือข้างเดียวได้อย่างสบายๆ

 

         ชายในชุดเกราะสีดำค่อยๆก้าวเท้าเข้ามาและทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆที่เนโครมอนเซอร์กำลังยืนอยู่นั้น และทันทีที่เขานั่งลงไป เนโครมอนเซอร์ก็โค้งให้กับชายผู้ที่พึ่งมาใหม่คนนั้น

 

         "....ขอรับ ท่านแม่ทัพ อากาธอร์" เนโครมอนเซอร์ตอบเจ้านายของตัวเองที่อยู่ข้างๆเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มได้ด้วยความหวาดเกรงอย่างเห็นได้ชัด

 

         "ถ้าอย่างนั้นก็ดี ในเมื่อมีการผิดพลาด ก็ต้องถูกลงโทษบ้างเป็นธรรมดา นี้คือกฏของเรา" อากาธอร์กล่าวพร้อมกับหันไปวางค้อนคู่ใจของตัวเองข้างๆเก้าอี้นั้น และเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่าเท้าคางกับที่พักมือของเก้าอี้ตัวนั้น และมองลงไปยังไนติงเกลทั้งสองคนที่กำลังนอนอยู่ และเมื่อทั้งสองได้เห็นคนที่กำลังจ้องมองพวกเขาอยู่ตรงหน้าก็รีบลุกขึ้นมานั่งคุกเข่าทำความเคารพในทันที

 

         "....มีฝีมือถึงขนาดล้มแม่ทัพแอลแกนดาลได้ ดูท่างานนี้กองทัพทมิฬคงจะเล่นกับพวกนี้ไม่ใช่ง่ายๆซะแล้วสิ" เขากล่าวก่อนที่จะมีเสียงฝีเท้าอีกคู่หนึ่งดังขึ้นมาอีกครั้งจากข้างหลังของไนติงเกลทั้งสองที่กำลังคุกเข่าอยู่นั้น เมื่อพวกเขาทั้งสองคนหันหลังไป ก็ได้พบกับคนที่พวกเขาคุ้นเคยกันดี ไนติงเกลผู้หญิงร่างเล็กเจ้าของผมยาวสีน้ำตาลเดินเข้ามาก่อนที่เธอจะทิ้งตัวลงและคุกเข่าต่อหน้าอากาธอร์ที่กำลังนั่งอยู่บนบังลังค์นั้น

 

         "แผนการต่อไปที่ข้าจะให้เจ้าทำ อย่าได้ล้มเหลวเด็ดขาด ไนติงเกลหมายเลขสิบสี่"

 

 

         เสียงออกคำสั่งที่แสดงความมีอำนาจกำชับให้ไนติงเกลหญิงนั้นได้รับรู้ เมื่อคนที่ได้รับคำสั่งได้ยินแล้วก็ก้มหัวน้อมรับในทันที

 

         ".....ถ้าเป็นเรื่องของไนท์เบลดแล้วล่ะก็ วางใจข้าคนนี้ได้เลยค่ะ..."

 

 

         รอยยิ้มที่แสนเย่อหยิ่งและน่ากลัวของอากาธอร์เผยออกมาจากใบหน้าของเขาในทันทีที่เขารู้สึกพึงพอใจในคำพูดของไนติงเกลหมายเลขสิบสี่ และทันทีที่สิ้นเสียงเธอก็รีบลุกขึ้นและหันหลังเดินจากตรงนั้นไปในทันที นัยน์ตาส่องประกายผ่านเลนกระจกของหน้ากากรูปนกสีดำนั้น แสดงให้เห็นถึงแผนการที่เธอกำลังวางเอาไว้อยู่ในใจ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.6 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา