[Saint Omega]For you or me ?
7.0
เขียนโดย MeiaR
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.59 น.
15 บท
2 วิจารณ์
22.25K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558 22.58 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
8) อ้อมกอดอันปวดร้าว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ภายในห้องนอนกว้างร่างหนึ่งบนบนเตียงเริ่มขยับเมื่อเริ่มรู้สึกตัวตื่น เรือนกายบอบบางของเหยียดออกเพื่อขับไล่ความปวดเมื่อยออกไป แพขนตาเลื่อนเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้าด้วยความรู้สึกที่ยังติดจะง่วงงุนอยู่เล็กน้อย
“ที่นี่...”นัยน์ตาสีน้ำตาลมองรอบห้องอันคุ้นตาอยู่ครู่หนึ่งถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง แม้สติจะยังไม่ตื่นดีแต่เขาก็จดจำได้ว่าเมื่อวานนี้หลังจากที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้กิกิฟังตนเองก็เผลอหลับไปในวิหารแอเรียส ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงได้กลับมานอนที่ห้องนี้ได้
โคกะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่ เขารู้ตัวว่ากำลังฝันร้ายและรู้สึกสิ้นหวังแต่ในตอนนั้นกลับมีมือของใครสักคนฉุดเขาให้หลุดพ้นจากความมืดมิดและมอบความอบอุ่นให้ราวกับถูกโอบอุ้มเอาไว้ด้วยวงแขนที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“กิกิพาเรามาส่งงั้นเหรอ”ความเป็นไปได้นั้นแม้จะไม่ต่ำแต่โคกะก็รู้สึกไม่แน่ใจในความคิดของตนเอง เพราะความรู้สึกราวกับถูกโอบกอดนั้นมันแทบจะเรียกว่าคุ้นเคยได้เลยซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกสนิทกับกิกิขนาดที่จะรู้สึกคุ้นเคยได้เช่นนั้น
แม้จะอยู่ในห้วงของความฝันแต่เขากลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่มาจากวงแขนของใครสักคนที่เขาน่าจะรู้จักแต่เขากลับจดจำไม่ได้ว่ารอบกายเขามีคนเช่นนั้นจริงหรือ ภายใต้ความรู้สึกทั้งมวลเขาสัมผัสได้ว่าตนเองได้รับความสำคัญมากจนเหมือนกับไม่ใช่ความเป็นจริง
“ใครกันนะ...”
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นดึงสติของเด็กหนุ่มให้หลุดจากภวังค์ โคกะสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากเชิญให้คนที่อยู่หน้าห้องเข้ามาซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นไลโอเน็ต โซมะเพื่อนสนิทของเขาเอง
“ว่าไงตื่นแล้วเหรอคุณเพกาซัสผู้แข็งแกร่ง”แค่ฟังก็รู้ว่าโซมะพูดประชดแดกดันเขา แต่ในน้ำเสียงกลับชวนให้รู้สึกขบขันระคนหมั่นไส้เสียมากกว่าโคกะจึงจัดการปาหมอนใส่คนพูดทันทีแต่โซมะก็รับไว้ได้อย่างสบายๆ
“เฮ้ๆ มาทำร้ายร่างกายกันแบบนี้ได้ยังไงล่ะ”โซมะเอ่ยประท้วงพร้อมยิ้มกว้างก่อนส่งหมอนคืนให้เจ้าของห้องแล้วนั่งลงที่ปลายเตียง
“อยากพูดมากเองทำไมล่ะ”แววตาพยศดื้อรั้นถูกส่งมาให้แต่สำหรับโซมะแล้วมันแลดูน่าขันเสียมากกว่า
“นายไม่ยอมฟังที่ฉันบอกเองไม่ใช่เหรอ แถมคราวนี้ยังไปเป็นลมลำบากให้คนอื่นอุ้มกลับมาส่งอีก”ได้ยินแล้วโคกะย่อมมีสีหน้าไม่พอใจแต่ก็เลือกจะเงียบไม่เถียงกลับไปเหมือนปกติเพราะเขายอมโดนบีบคอตายดีกว่าบอกให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองไปร้องไห้โวยวายจนหลับที่วิหารแอเรียส
“รู้แล้วน่า ไว้รอฉันหายดีก่อนแล้วค่อยไปช่วยงานก็ได้”สุดท้ายโคกะก็จำต้องยอมถอยให้เพราะดีไม่ดีเกิดโซมะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณซาโอริมีหวังเขาได้โดนทำเหมือนคนป่วยสาหัสใกล้ตายจริงๆเป็นแน่
“เข้าใจก็ดีแล้วอย่าทำให้คนอื่นเค้าเป็นห่วงมากนักเลย”พูดจบโซมะก็ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับไปพักผ่อนบ้างเพราะเขาก็แค่มาเยี่ยมให้เห็นกับตาว่าเพื่อนสนิทไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ
“โซมะนายรู้รึเปล่าว่าใครพาฉันกลับมาที่ห้องน่ะ”โคกะเอ่ยถามก่อนที่โซมะจะเดินออกไป เพื่อนสนิทเลิกคิ้วด้วยความงุนงงเหมือนจะสื่อความหมายว่า‘นายไม่รู้งั้นเหรอ’ก่อนตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“เอเดนไงล่ะ”ทันทีที่ได้ยินคำตอบสติของโคกะก็หยุดนิ่งไปในทันที เพราะว่าพูดจบโซมะก็เดินออกไปทำให้ไม่ทันได้มองว่าโคกะมีสีหน้าเช่นไร
“โกหกน่า......”เพกาซัสวัยเยาว์มองมือของตนเองที่ยังจดจำความอบอุ่นเอาไว้ได้ด้วยแววตาสับสน เขาไม่คิดว่าโซมะจะโกหกเพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น แต่เขาก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้เลยแม้แต่นิดเดียวว่าคนที่เกลียดชังเขาที่สุดจะเป็นคนพาเขากลับมานอนที่ทั้งยังไม่ได้ทำร้ายเขาแม้แต่นิดเดียว
มันยากเกินกว่าที่จะเชื่อแต่ตัวเขายังจดจำความอบอุ่นนั้นได้เป็นอย่างดี มันช่างชวนให้รู้สึกวางใจ อ่อนโยนจนเชื่อว่าสามารถปกป้องเขาจากทุกสิ่งทุกอย่างได้และตอนนั้นเองที่โคกะเพิ่งค้นพบว่ามันคือความรู้สึกแบบเดียวกับที่เอเดนกอดเขาไว้เพื่อปกป้องตัวเขาจากการโจมตีของเมเลี่ยนไม่มีผิด
อ้อมกอดที่รัดแน่นส่งผ่านความอบอุ่นมาให้จนคล้ายกับจะสลักลึกลงไปบนร่างกายนั้นมีเพื่อปกป้องเขาจากอันตรายงั้นเหรอทั้งที่ออกปากว่าต้องการให้เขาทรมาณแต่เอเดนกลับเป็นคนที่ยื่นมือมาช่วยเขาเอาไว้ มันช่างขัดแย้งกันจนน่าโมโหแต่ตัวเขาที่จดจำมันได้อย่างขึ้นใจกลับน่าโมโหยิ่งกว่าใคร
แอ๊ด....
ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้งโดยไร้ซึ่งเสียงเคาะหรือการขออนุญาตเพราะว่ามันไม่จำเป็นในเมื่อคนที่เข้ามาก็คือชายหนุ่มที่ถือว่าเป็นเจ้าของห้องคนหนึ่งเช่นกัน ใบหน้าหล่อเหลาส่อเค้าตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าโคกะตื่นอยู่และจ้องมองมาที่ตนเอง
“เอเดน...”โคกะเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกับเด็กหลงทาง
ซ่า......
เสียงของสายฝนดังขึ้นอีกครั้งในช่วงค่อนข้างดึก ทั้งที่ตลอดบ่ายก็ตกมาตลอดแต่ตอนนี้ตกหนักขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางความเงียบของทั้งสองคนมีเพียงเสียงของสายฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าราวกับจะกลบสิ้นทุกสุรเสียงให้จางหายไป โคกะได้แต่จับจ้องไปยังบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกอันมากมายจนไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองรู้สึกอย่างไรกันแน่
แรกเริ่มเขาสองคนอาจเป็นศัตรูกันแต่ช่วงเวลาที่ได้ต่อสู้ร่วมกันนั้นโคกะก็เชื่อมั่นในตัวเอเดนหมดใจในฐานะพวกพ้องซึ่งสามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้ ทว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นการคิดไปเองเมื่อชายหนุ่มกลับเป็นคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างที่สุด
เอเดนทำร้ายเขาเพราะเรื่องของอาเรีย ถ้าอย่างนั้นเอเดนปกป้องเขาเพราะอะไร เอเดนบอกว่าจะไม่ยอมสูญเสียเขาไปอย่างเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นมันหมายความว่ายังไง
“โซมะบอกว่านายเป็นคนพาฉันกลับมาที่นี่”โคกะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าตนเองคาดหวังให้เอเดนตอบรับหรือปฏิเสธกันแน่ หากแต่เอเดนก็ไม่ได้ตอบและนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอเดนไม่ตอบคำถามเขาเด็กหนุ่มจึงรู้สึกผิดหวังมากกว่าจะโกรธ
“นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”เขาได้แต่ถามต่อไปโดยหวังเพียงว่าเอเดนจะยอมตอบคำถามเขาสักครั้งหนึ่ง
“นายเคยบอกสินะว่าต้องการให้ฉันทรมาณ ถ้างั้นนายปกป้องฉันเพื่ออะไร”
เพราะต้องการให้เขาสับสน? ถ้าหากใช่ก็ถือว่าเอเดนประสบความสำเร็จแล้วล่ะเพราะตอนนี้เขาสับสนจนไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอะไรต่อไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าหากจัดการเอเดนได้เขาก็คงสามารถจบฝันร้ายนี้ลงได้แต่แล้วเขากลับเกิดความลังเลขึ้นมากับอ้อมกอดที่ได้รับ
“สภาพฉันในตอนนี้คงน่าสมเพชสาแก่ใจนายแล้วสินะ นายพอใจขึ้นมาบ้างรึยังล่ะ”เขาถามแบบเดียวกับที่เคยพูดไปเมื่อตอนบ่าย พลันนั้นสีหน้าของเอเดนก็ดูย่ำแย่ขึ้นมาทันทีราวกับว่าเขาสองคนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนบ่ายไม่มีผิด
“นายไม่เข้าใจหรอกว่าผมทำแบบนี้ด้วยความรู้สึกแบบไหน”น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูเจ็บปวดแต่มันก็ไม่มีความหมายสำหรับโคกะแม้แต่นิดเดียว
“นายบอกว่าฉันไม่เข้าใจแต่มันก็เพราะนายเลือกที่จะไม่ให้ฉันเข้าใจไม่ใช่รึไงกัน ถ้าอยากให้ฉันเข้าใจก็พูดมันออกมาสิ!”โคกะพูดเสียงดังจนแทบเรียกว่าตะคอกทั้งยังจับคอเสื้อชายหนุ่มแน่น
คำพูดของโคกะทำให้ก่อเกิดความเงียบของเขาทั้งสองคน คราวนี้โคกะเลือกที่จะเป็นฝ่ายอดทนรอกับคำตอบที่เอเดนจะต้องตอบ แววตาของเด็กหนุ่มพุ่งตรงเข้าไปในดวงตาของเอเดนประหนึ่งหอกอันแหลมคมที่แทงทะลุเข้าไปถึงหัวใจ ทว่าสุดท้ายแล้วเอเดนกลับเลือกที่จะตอบเพียงแค่ว่า....
“ไม่เกี่ยวกับนาย”วินาทีนั้นถ้อยคำอันไร้หัวใจของเอเดนก็ได้ทำลายความอดกลั้นของโคกะจนย่อยยับ มือที่จับคอเสื้อชายหนุ่มไว้รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ราวกับว่าทุกความรุ้สึกของเขาถูกบดขยี้เป็นผุยผง
“ไม่เกี่ยวกับฉันงั้นเหรอ ทั้งที่นายทำร้ายฉันถึงขนาดนี้!”ถ้อยคำที่บาดลึกลงไปในใจตอกย้ำถึงความอ่อนแอ ร่างกายที่ถูกย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความเจ็บปวดที่เหมือนกับจะไม่มีวันสิ้นสุดคือสิ่งที่เอเดนมอบให้กับเขาแล้วจะบอกว่าเขาไม่เกี่ยวได้อย่างไรกันในเมื่อทุกความเลวร้ายนั้นมันเกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจของเขา!
“นายต้องการอะไรกันแน่! ถ้าต้องการชีวิตก็ฆ่าฉันสิ!”เอเดนเคยบอกว่าเพราะอาเรียเลือกเขาเธอถึงตาย แต่จะให้เขาทำอย่างไรในเมื่อเขาไม่อาจทำให้อาเรียกลับมาได้ เขารู้ว่าสำหรับเอเดนแล้วอาเรียมีความสำคัญมากแค่ไหนแต่คนไร้ค่าแบบเขาในสายตาเอเดนล่ะจะให้ทำอย่างไร
“ฉันไม่มีอะไรให้นายแย่งชิงนอกจากชีวิตนี้อีกแล้ว...”กล่าวอย่างสิ้นหวังกับความเป็นจริงอันโหดร้าย เขาเป็นแค่เด็กกำพร้าแม้จะถูกอาเธน่าเลี้ยงดูมาแต่ตัวเขาก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเอง ศักดิ์ศรีของเขาถูกทำลายไปนานแล้วจวบจนกระทั่งตอนนี้จิตใจยังถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี เขาจึงไม่สามารถทำอะไรที่สามารถเป็นการชดเชยให้อีกฝ่ายได้เลย
ในเวลานี้โคกะทำได้แค่พยายามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ริมฝีปากถูกกัดจนช้ำเพื่อกล้ำกลืนเสียงสะอื้นเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกสมเพชเขาไปมากกว่านี้ แต่แล้วในวินาทีนั้นเองที่ร่างของเขากลับถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปในอ้อมกอด
“ปล่อย! อย่ามาจับฉัน!”เขาไม่ต้องการที่จะถูกสัมผัสมากไปกว่านี้ดังนั้นจึงได้ร้องปฏิเสธทั้งที่รู้ดีว่ามันไร้ความหมายเหมือนกับทุกครั้งเมื่อพบว่าร่างของเขาถูกวางลงบนพื้นโดยมีอีกฝ่ายมองจากเบื้องบน แต่แล้วพอมองขึ้นไปถึงได้พบว่าในคราวนี้สายตาที่เอเดนมองมากลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แววตาของเอเดนเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่โคกะเองก็ไม่เข้าใจซึ่งแววตานั้นก็ทำให้โคกะรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้หยุดนิ่ง เขาไม่รู้ว่าเอเดนมองเขาด้วยความรู้สึกเช่นไรแต่สิ่งหนึ่งที่โคกะมองเห็นคือความเจ็บปวดอันไร้ซึ่งความโกรธแค้นอย่างที่ควรจะมีและมันก็ได้ช่วงชิงเสียงของเขาไปอย่างสิ้นเชิง
“เพกาซัส....”ชื่อที่เอเดนมักจะเรียกเขาแต่ในคราวนี้มันกลับสั่นพร่าอย่างน่าใจหายจนเขาไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่กำลังทุกข์ทรมาณอยู่ มือของเอเดนวางลงบนแก้มของเขาพร้อมกับส่งมอบความอบอุ่นมาให้ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายแต่โคกะกลับรู้สึกเหมือนถูกตรึงเอาไว้จนไม่อาจขยับร่างกายได้เลย
“เพกาซัส”เสียงนั้นยังคงเรียกชื่อเขาพร้อมกับที่ใช้มือเลิกเสื้อเขาขึ้นเพื่อให้ริมฝีปากคู่นั้นทาบลงบนอกและกดจูบลงไปอย่างแผ่วเบา อ้อยอิ่งก่อนจะกดลงด้วยแรงที่ไม่มากนักแต่ก็มากพอจะทำให้เกิดร่องรอยบนผิวขาวสะอาด
“เอเดน..อย่า...”โคกะเอ่ยเสียงร้องห้ามออกมาอย่างยากเย็นเมื่อริมฝีปากของเอเดนแตะสัมผัสลงบนยอดอกและใช้ปลายลิ้นปลุกเร้าร่างกายอย่างใจเย็นคล้ายกำลังค่อยๆลิ้มชิมรสอาหารรสเลิศจนโคกะได้แต่บิดกายหนีพลางใช้สองมือพยายามผลักร่างที่ทาบทับอยู่ออกไป แต่ด้วยแรงของคนที่ยังไม่หายดีย่อมไม่อาจสู้แรงของเอเดนได้ทำให้กลายเป็นว่าสองมือที่ยกขึ้นมานั้นกลับยิ่งช่วยให้เอเดนดึงเสื้อแขนยาวของโคกะออกไปอย่างง่ายดาย เสื้อที่สวมใส่ถูกโยนออกไปข้างๆพร้อมกับที่แผ่นหลังสัมผัสกับพื้นหินเย็นเยียบยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับโคกะมากยิ่งไปกว่าเดิม
“ไม่!”เสียงปฏิเสธเด็ดขาดดังขึ้นในทันที กายบอบบางเริ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้กำลังซ้อนทับลงครั้งแรกของความเจ็บปวดที่ถูกสลักลงบนร่างกายนี้
ในคืนนั้นตัวเขาที่บาดเจ็บถูกกดลงบนพื้นหินเย็นเฉียบโดยมีร่างของเอเดนอยู่เบื้องบนและทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาถูกอีกฝ่ายข่มขืนอย่างโหดร้ายทารุณ เขาทั้งกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและอ้อนวอนขอให้หยุดแต่เอเดนก็ยังคงทำต่อไปโดยไม่สนใจความรู้สึกเขาแม้แต่นิดเดียว
“อย่ามาจับฉัน!”ระหว่างที่ร้องบอกเด็กหนุ่มก็พยายามที่จะดิ้นรนหนี เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของโคกะดังกึกก้องในห้องสี่เหลี่ยมเล็กที่มีเพียงสองคน มือของเด็กหนุ่มทั้งออกแรงผลักสลับกับกำหมัดเพื่อที่จะชกใส่ร่างเบื้องบน ทว่ามือข้างหนึ่งที่กำลังจะปล่อยหมัดออกไปกลับถูกจับเอาไว้แต่แล้วแทนที่มือข้างนั้นจะถูกกดลงกับพื้นเพื่อไม่ให้เกะกะเอเดนกลับเลือกที่จะก้มลงประทับริมฝีปากลงที่หลังมือแผ่วเบาคล้ายกับจะปลอบประโลมให้คลายจากความหวาดกลัว
โคกะตกใจจนชักมือกลับและก็ต้องแปลกใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงรั้งมันเอาไว้เลย การกระทำที่เกินความคาดหมายนี้ทำให้โคกะได้สติและจ้องมองกลับไปยังบุคคลตรงหน้าอีกครั้ง ใบหน้าของเอเดนยังคงนิ่งเฉยเหมือนกับทุกครั้งหากแต่ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นกลับจับจ้องมายังตัวเขาด้วยความรู้สึกที่เขาไม่เข้าใจ
“เพกาซัส”เอเดนยังคงเรียกเพียงชื่อของเขาอย่างเดียวราวกับว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มสามารถเอ่ยออกมาได้ ฝ่ามือกร้านหยาบข้างหนึ่งแตะสัมผัสลงบนข้างแก้มของเขาก่อนจะใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าเอ่อล้นออกมาเมื่อใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการสัมผัสที่แผ่วเบา นุ่มนวลและไม่สามารถทำความเข้าใจได้
เมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกอีกฝ่ายอุ้มขึ้นมาจากพื้นและวางลงบนเตียงแล้ว สัมผัสนุ่มนิ่มของเตียงไม่ได้ช่วยให้ความหวาดกลัวในใจลดหายไปเมื่อเบื้องหน้าของตนยังคงเป็นเจ้าของฝันร้ายคนเดิม แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรโคกะถึงไม่อาจขัดขืนเอเดนในตอนนี้ได้เลย
เด็กหนุ่มปล่อยให้มือคู่ที่ทำร้ายตนเสมอมาสัมผัสไปบนร่างกายตามใจชอบ ยินยอมให้ทิ้งร่องรอยบนลำคอและลาดไหล่อย่างไม่รู้ตัวแต่ก็ยังอดที่จะขยับตัวหนีไม่ได้เมื่อสัมผัสอุ่นร้อนของมือเคลื่อนไปยังเอวบางและเลื่อนดึงกางเกงที่เขาสวมอยู่ออกไป
“ไม่...”โคกะปฏิเสธอย่างน้อยก็เชื่อว่าตัวเองยังคงปฏิเสธอยู่ถึงแม้น้ำเสียงจะแผ่วเบาแค่ไหนก็ตาม เด็กหนุ่มหลับตาลงเพื่อหลีกหนีความเป็นจริงแต่เสียงของเสื้อผ้าทำให้เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อพบว่าคนตรงหน้ากำลังถอดเสื้อของตัวเองออก เสื้อแขนยาวเรียบง่ายที่เอเดนสวมใส่อยู่เสมอถูกถอดทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใยดีและตามด้วยเสื้อยืดตัวใน โคกะมองเห็นเพียงแผ่นอกกำยำที่เลือนรางภายใต้แสงจันทร์ซึ่งถูกสายฝนบดบังและวินาทีต่อมาร่างนั้นก็ทาบทับลงมาบนตัวของเขา
ความรู้สึกอบอุ่นของผิวเนื้อที่ได้สัมผัสเป็นครั้งแรกทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายถอดเสื้อออกในยามที่กอดเขาทั้งที่ทุกครั้งเอเดนจะใช้กำลังบังคับขืนใจกันไม่เคยมีครั้งใดที่อีกฝ่ายจะถอดเสื้อออกเลยจะมีแต่เพียงตัวเขาที่ถูกทำให้เปลือยเปล่าและโดนโลมเลียทั่วร่างกายไม่ต่างกับของเล่นชิ้นหนึ่ง
ทำไมเอเดนถึงทำแบบนี้ การกระทำนี้มีความหมายอะไรสำหรับชายหนุ่มรึเปล่าเพราะเขาไม่อาจเข้าใจการกระทำของคนที่เกลียดเขาได้เลย ทั้งที่เคยทำร้ายเขามามากมายแต่ตอนนี้กลับจะอ่อนโยนกับเขาไปเพื่ออะไรกัน
“เอเดน....”เขาเรียกชื่อออกไปและอยากถามหาเหตุผลที่ตัวเองสามารถยอมรับได้ นัยน์ตาสีมรกตจับจ้องมองเขาอยู่นานคล้ายลังเลใจจากนั้นคำถามหนึ่งจึงถูกเอ่ยออกมา
“จูบได้มั้ย...”คำถามที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินทำให้ดวงตาคู่โตเบิกโพลงอย่างตกใจเป็นที่สุด คำถามของเอเดนยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
เอเดนถามเขาเพราะอะไรถามเพราะเคยโดนเขาปฏิเสธงั้นเหรอ ทั้งที่ความจริงแล้วเอเดนจะใช้กำลังบังคับเอาก็ได้แท้ๆ แต่แล้วในวินาทีนั้นโคกะถึงได้รู้ตัวว่าแม้ชายหนุ่มอาจจะเคยลากจูบไปทั่วร่างกายของเขาไม่ว่าจะที่ต้นคอ อก แผ่นหลังหรือกระทั่งต้นขาแต่ก็มีเพียงริมฝีปากเท่านั้นที่เอเดนไม่เคยสัมผัส เขาไม่เคยคิดถึงสาเหตุเพราะไม่รู้ตัวมาก่อนทำให้ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไรที่โดนอีกฝ่ายถามเหมือนกับขออนุญาตแบบนี้
“ทำไมนายถึงถามฉันแบบนี้”เขาถามกลับไปแต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา เอเดนไม่ได้หลบสายตาหากแต่กำลังจ้องมองเขาอย่างรอคอยคำตอบทำให้โคกะถึงกับเดาะลิ้นด้วยความเจ็บใจ
“นายมันขี้โกง....ทั้งที่ทำมาตั้งขนาดนี้แล้วยังจะต้องถามอีกรึไง”อย่ามาถามเขาเหมือนกับกำลังขอคำอนุญาตเพราะเขาไม่ต้องการรู้ว่าตัวเองยินยอมรึเปล่า เขาไม่อยากจะเป็นคนตัดสินใจว่าตัวเองยอมรับการกระทำที่เหยียดหยามศักดิ์ศรีของตัวเอง
รับรู้ถึงความหนักหน่วงของการตัดสินใจราวกับว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากแต่โคกะกลับไม่สามารถสู้สายตาของเอเดนได้จึงเป็นฝ่ายหลับตาลงเพื่อหลีกหนีจากความเป็นจริงก่อนจะตอบออกไป
“ถ้าอยากจะจูบก็จูบไปสิ อย่ามาถามฉัน”
เขาเกลียดการถูกบังคับแต่ก็นึกเกลียดการต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากยินยอมด้วยตัวเองมากยิ่งกว่าเพราะถ้าหากถูกบังคับ เขาก็ยังมีเหตุผลที่สามารถเกลียดเอเดนต่อไปได้ ทว่าเขากลับตอบใจตัวเองไม่ได้ว่ายังคงนึกอยากเกลียดเอเดนต่อไปจริงหรือ
ไม่รู้ว่าเอเดนเข้าใจความรู้สึกของโคกะในตอนนี้ไหม หากแต่คำพูดที่ได้ยินนั้นก็เหมือนกับคำอนุญาตให้เขาทำตามใจชอบได้ดังนั้นเอเดนจึงประคองใบหน้าของโคกะขึ้นมาแล้วบรรจงกดจูบลงไปอย่างนุ่มนวล สัมผัสแรกสุดของริมฝีปากที่แตะลงมาทำให้โคกะตกใจจนแทบจะผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยความไม่คุ้นชินแต่ก็ไม่อาจทำได้เมื่อท้ายทอยถูกโอบเอาไว้เพื่อให้รับสัมผัสของรสจูบให้มากขึ้นกว่าเดิม
จูบของเอเดนเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ จูบที่ไม่มีการบังคับหรือช่วงชิงมีเพียงการส่งมอบความอ่อนหวานให้เท่านั้น จูบแรกนั้นสานแนนนานจนราวกับจะไม่มีวันจบสิ้นราวกับจะให้มันตราตรึงอยู่ในหัวใจจนไม่อาจลืมได้ เมื่อริมฝีปากคู่นั้นละออกไปและประกบลงมาใหม่ในคราวนี้นิ้วมือที่ประคองอยู่ข้างแก้มก็ขยับมาที่มุมปากของโคกะและออกแรงเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ริมฝีปากบางเผยอขึ้นแล้วจึงค่อยๆใช้ปลายลิ้นล่วงล้ำเข้าไปข้างในเพื่อรับรสชาตของความหอมหวานให้มากยิ่งกว่าเดิม
“อืม...”โคกะเผลอครางเครือออกมาอย่างอดไม่ได้ในขณะที่ถูกจูบ รสจูบของเอเดนกำลังทำให้เขามัวเมาและหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยให้ร่างกายถูกชักนำไปด้วยอารมณ์ความใคร่ที่รุนแรงขึ้นทุกขณะจนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเมื่อใดกันที่ร่างของเขากับเอเดนไม่มีอาภรณ์ใดหลงเหลืออยู่เลย
เมื่อสองร่างที่เปลือยเปล่าซ้อนทับกันก็ยิ่งเพิ่มอุณหภูมิของทั้งสองร่างให้สูงขึ้น กายเนื้อที่แนบชิดกันกำลังจะทำให้เขาละลายด้วยความร้อนที่แผ่ออกมาและยิ่งทวีความร้อนมากขึ้นทุกครั้งที่ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้สัมผัสไปจนทั่วอย่างถือสิทธิ์ประหนึ่งว่าเป็นเจ้าของร่างนั้นก็ไม่ปาน
“อะ..ตรงนั้น..ไม่...อย่าแตะ”เด็กหนุ่มได้แต่ร้องห้ามอย่างอ่อนแรงขณะที่ต้นขาขาวถูกฝังรอยจูบลงไปหลายรอยหลังจากที่ทำจนพอใจเอเดนจึงขยับตัวลุกขึ้นส่งผลให้โคกะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้วการกระทำต่อมาของเอเดนกลับทำให้เขาต้องหน้าร้อนวาบ
“เอเดน..นายทำอะไร...”เขาเผลอถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังเลียนิ้วของตัวเองจนชุ่มและต่อมาโคกะก็แทบจะถดกายหนีเมื่อเอเดนให้คำตอบเขาด้วยการกระทำ ร่างที่สูงใหญ่กว่าทิ้งกายลงมาทาบทับเขาเอาไว้อีกครั้งก่อนจะส่งนิ้วที่เปียกชุ่มนั้นเข้าไปยังเบื้องล่างทันที
“โอ๊ย!”เพียงนิ้วแรกที่สอดเข้าไปก็สร้างความเจ็บปวดให้ไม่น้อยส่งผลให้ภาพของความโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้นหวนกลับมาอีกครั้ง
“เอาออกไป! ไม่เอาแล้ว อย่า!”ความเจ็บปวดที่ฝังลึกลงไปจนถึงขั้วหัวใจทำให้โคกะออกอาการต่อต้านในทันที ร่างบางดิ้นรนพยายามผลักร่างที่ทาบทับอยู่ออกไปสุดกำลังทั้งยังออกแรงทุบลงไปไม่ยั้ง สีหน้าของเอเดนดูบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าแรงทุบของโคกะนั้นไม่ได้เบาเลยแต่เอเดนก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปนอกจากยอมให้โคกะทุบต่อไป
“ใจเย็นๆ อย่ากลัว”เอเดนเอ่ยปลอบก่อนกดจูบลงบนขมับเพื่อปลอบประโลมแม้ว่านิ้วที่อยู่ในร่างกายของโคกะนั้นกำลังขยับอยู่ก็ตาม
“อื้อ! อะ..ม..ไม่...อา..”ทุกครั้งที่นิ้วของเอเดนขยับก็ทำลายสติของโคกะไปทีละนิดและอารมณ์ความใคร่ที่ไม่ควรมีกลับเริ่มเข้าครอบงำร่างกายให้ยอมโอนอ่อนผ่อนตามไปกับการชักนำของผู้กระทำ
“พอแล้ว..อึก..อ...ไม่...เอเดน...”เสียงครางหวานสลับกับถ้อยคำที่เอ่ยออกมาด้วยเสียงอันสั่นพร่าซึ่งพยายามจะหยุดยั้งการกระทำนี้ด้วยสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
เรือนร่างบางบิดเกร็งเพราะสะกดกลั้นอารมณ์ความใคร่ของตัวเองเอาไว้ พอรู้สึกตัวว่าตนเองได้ส่งเสียงครางเครืออันน่าอายออกไปโคกะจึงยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปได้อีก แต่แล้วความพยายามของเขากลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดายเมื่อสิ่งที่อยู่ภายในกลับถูกถอนออกมา
เมื่อสิ่งที่รุกรานร่างกายถูกถอนออกไปเด็กหนุ่มถึงกับกับหอบสั่นด้วยความอ่อนล้า แม้จะรู้สึกโล่งอกที่อีกฝ่ายยอมถอนมันออกไปแต่ก็เป็นเพียงแค่เวลาสั้นๆเท่านั้นเมื่อขาของเขาถูกจับแยกออกกว้างซึ่งจากประสบการณ์ที่เคยพบมาทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น โคกะส่ายหน้าปฏิเสธตั้งใจจะถอยหนีแต่มันก็สายเกินไปเมื่อสะโพกของเขาถูกยกขึ้นและเอเดนก็สอดร่างเข้ามาในกายของเขา
“อ๊า!”ขณะที่กรีดร้องออกมากายบางก็สั่นสะท้านกับความเจ็บปวดจากการถูกรุกล้ำแม้ว่าอีกฝ่ายจะหยุดนิ่งไม่ได้ขยับแต่เพียงแค่เรือนกายที่แทรกสอดเข้ามาในร่างก็สร้างความเจ็บปวดให้กับโคกะเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มอยากที่จะผลักไสอีกฝ่ายออกไปแต่ก็ไม่อาจทำได้เมื่อมือข้างหนึ่งของเขาถูกกุมเอาไว้
นิ้วเรียวที่สอดประสานกันแนบแน่นไม่ต่างกับพันธนาการอันหนักหน่วงที่ตรึงเขาเอาไว้ทำให้มืออีกข้างที่เหลือได้แต่จิกไปบนไหล่แข็งของเอเดนเต็มแรง รู้สึกได้ว่าเล็บที่ปลายนิ้วของตัวเองแทงลงไปในเนื้อจนเลือดสีสดเปียกชุ่มนิ้วแต่เอเดนก็ไม่ได้ใช้มือที่เหลืออีกข้างดึงมือของเขาออกแต่กลับใช้มือข้างนั้นวางบนแก้มของเขาแล้วลูบเบาๆ
“อย่าเกร็งไม่งั้นมันจะยิ่งเจ็บ”เอเดนบอกเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ก็ติดจะแหบพร่าเพราะแรงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉย
“เจ็บ...”เขาพูดได้เพียงแค่นี้ รู้สึกว่ากระบอกตาร้อนผ่าวและได้รู้ตัวว่าตนเองกำลังร้องไห้เมื่อเอเดนก้มลงมาใช้ริมฝีปากจูบซับน้ำตาที่กลิ้งอยู่แถวหางตาออกไป
“ไม่เป็นไร โอบไหล่ผมไว้สิ”พูดจบเอเดนก็ปล่อยมือที่กุมเอาไว้ ความจริงแล้วเมื่อมือของเขาเป็นอิสระเขาควรจะใช้มันผลักร่างที่ทาบทับอยู่ออกเพื่อที่จะหนีไปให้ไกลหากแต่ความอบอุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่บนมือกลับไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น
ความรู้สึกของไออุ่นที่ได้รับมากจากอุ้งมือที่ประสานกันยังคงหลงเหลืออยู่บนมือข้างนี้อย่างชัดเจน น้ำเสียงที่กระซิบบอกอย่างนุ่มนวลจนชวนให้คล้อยตามกำลังทำให้เขาเสียดายความอบอุ่นของมือข้างนั้นที่ละออกไป....
ความจริงที่เขาไม่อยากจะยอมรับแต่ก็ปฏิเสธมันไม่ได้ มือคู่นี้อาจจะทำร้ายเขาแต่ก็เป็นมือคู่เดียวกับที่เคยปกป้องเขาและร่วมสู้ไปด้วยกันและตอนนี้ก็กำลังใช้โอบกอดตัวเขาเอาไว้อย่างทะนุถนอมเหมือนกับกลัวว่าตัวเขาจะแตกสลายหายไปที่ใดที่หนึ่งซึ่งมันก็ทำให้เขาสับสนเหลือเกิน
“เพกาซัส”ชื่อที่เหมือนเป็นอีกชื่อหนึ่งดังอยู่ข้างหูและเหมือนกับจะทะลุผ่านเข้าไปในหัวใจทำลายกำแพงที่เขาสร้างเอาไว้เพื่อปกป้องตัวเองจนพังทลาย
“ผมจะขยับแล้วนะ”คำพูดที่โคกะได้แต่ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองกลับไป เพราะเอเดนเลือกที่จะกระทำต่อไปมากกว่าที่จะหยุด ทว่าโคกะก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถต่อต้านอีกฝ่ายได้และทุกอย่างมันก็มาไกลจนเกินกว่าจะหยุดแล้วโคกะจึงได้แต่ยกสองมือโอบลงไปบนแผ่นหลังกว้างของเอเดนอย่างจำยอม
“เพกาซัส”เอเดนเรียกเขาอีกครั้งก่อนจะเริ่มขยับร่างของตัวเอง
“อะ....อึก....”ทันทีที่กายด้านบนเริ่มขยับความเจ็บที่มากกว่าเดิมก็ส่งผลให้โคกะจิกมือลงบนแผ่นหลังที่โอบอยู่อย่างรุนแรง สองขาเหยียดเกร็งและจิกลงบนผ้าปูที่นอนสีขาวจนยับย่นแต่กระนั้นโคกะก็ยังพยายามจะอดกลั้นไม่ให้ตนเองส่งเสียงครางออกมาหากแต่มันก็ช่างทำได้อย่างยากเย็นเหลือเกิน
ร่างกายของเขาสองคนกำลังร้อนขึ้นจนเหมือนกับจะละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ทุกครั้งที่ฝ่ายนั้นกระแทกกายเข้ามาอารมณ์ความต้องการของเขาก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้ไม่อยากยอมรับแต่ยิ่งถูกสัมผัสและครอบครองมากขึ้นเท่าไรร่างกายของเขาก็ยิ่งคุ้นชินเริ่มตอบสนองกลับไปมากเท่านั้น
“อา...”เสียงครางเบาๆที่หลุดลอดออกไปทำให้เอเดนลอบมองใบหน้าขึ้นสีด้วยความอายของโคกะและเผลอหลุดยิ้มด้วยความพอใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะกลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิมทำให้โคกะไม่ทันได้สังเกตเห็น
นิ้วมือทั้งสิบของโคกะจิกลงบนแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างแรงหวังให้ระบายความเจ็บปวดและความใคร่ที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในกายออกไป เรียวขาขาวที่ถูกแต่งแต้มด้วยรอยจูบสีกุหลาบเหยียดเกร็งสลับกับคลายออกเป็นระยะ ในตอนนี้เขาแทบจะคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ความรู้สึกสมเพชตัวเองที่กำลังยินยอมให้กอดนั้นไม่ได้มีมากไปกว่าความรู้สึกที่อยากถูกกอดรัดเอาไว้ในตอนนี้เลย
เอเดนจูบเขาอีกครั้งขณะที่ยังคงกอดเขาเอาไว้ โคกะหลับตาลงรับรสจูบอันหอมหวานพร้อมทั้งเพิ่มแรงที่โอบแผ่นหลังและขยับสะโพกรับกับการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัวและไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่ความเจ็บปวดหายไปเหลือแต่เพียงความสุขสมที่เข้ามาแทนที่และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
“ฮ้า! ตรงนั้น!”ได้ยินเสียงครางหวานเอเดนจึงถามด้วยสีหน้ากลั้นยิ้ม
“รู้สึกดีรึเปล่า”โคกะพยักหน้าแทนการส่งเสียงตอบเพราะรู้ดีว่าตอนนี้ตนเองคงไม่อาจตอบอะไรออกไปได้นอกจากเสียงครางเครือที่เต็มไปด้วยความสุขสม
“อยากให้ผมทำอะไรล่ะ”ชายหนุ่มกระซิบข้างหูพร้อมกัดเบาๆที่ใบหูทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยๆริมฝีปากบางคล้ายจะขยับแต่ความกระดากอายที่ยังคงเหลืออยู่กลับลบเสียงทั้งหมดออกไป ผิวแก้มแดงซ่านเหมือนลูกแอปเปิ้ลและร้อนผ่าวเหมือนโดนต้มสุก โคกะหันหน้าหนีหลบสายตาที่รอคำตอบของอีกฝ่ายแล้วตอบเสียงเบา
“ต้องการมากกว่านี้...”คำตอบคลุมเครือนั้นไม่ได้ทำให้เอเดนรู้สึกหงุดหงิดเลย ชายหนุ่มหยุดขยับกายแล้วประคองใบหน้าหวานให้หันกลับมามองเขาก่อนก้มลงจูบลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อของโคกะแล้วจึงเริ่มขยับกายกระแทกด้วยแรงที่มากกว่าเดิม
“อื้อ! อา..อ๊า”กายขาวแข็งเกร็งขึ้นมาในทันทีพร้อมกับที่ลำคอส่งเสียงครางหวานออกมาให้ได้ยิน จากนั้นไม่นานโคกะก็ขยับร่างกายไปตามจังหวะที่อีกฝ่ายมอบให้และยอมแพ้แก่ความใคร่ที่เข้าครอบครองสติกับร่างกายอย่างสมบูรณ์
ท่ามกลางความรู้สึกที่สับสนโคกะลอบสังเกตดวงตาของเอเดนที่มองเขาในตอนนี้ เขายังคงไม่เข้าใจว่าเอเดนกอดเขาขณะเดียวกันก็ทำร้ายเขาไปเพื่ออะไรและตอนนี้เอเดนกำลังกอดเขาด้วยความรู้สึกแบบไหน เขายังคงไม่รู้คำตอบจึงได้แต่พยายามมองลึกเข้าไปในดวงตาสีมรกตคู่นั้นแล้วเขาก็พบสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเมื่อคืนก่อนที่เขาจะถูกทำร้าย
สิ่งนั้นคือความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง...
ดวงตาคู่นั้นที่เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้มากมายพอๆกับใบหน้าเรียบเฉยที่เขานึกชิงชังและอยากให้อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้างโดยเฉพาะในเวลาที่กำลังกอดเขาอยู่เช่นนี้
เมื่อเห็นท่าทางที่แปลกไปของโคกะ เอเดนจึงมองไปยังดวงตาสีน้ำตาลคู่โตและพบว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องมายังตัวเขา ยามที่สองตาสบประสานกันโคกะก็ได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา มือที่แสนอ่อนแรงแตะลงบนแก้มของเอเดนแผ่วเบาตามด้วยเสียงเรียกที่เบายิ่งกว่า
“เอเดน....”สิ้นเสียงนั้นตัวเขาก็ถูกอ้อมแขนแกร่งรวบกอดเอาไว้ด้วยแรงอันมากมาย ริมฝีปากที่เคยกล่าวโทษตัวเขาตอนนี้กำลังเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่ติดจะสั่นเทา
“เพกาซัส ผม...”เอเดนคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายอีกฝ่ายกลับจูบเขาเพื่อกลืนกินคำพูดของตัวเองลงไปและไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถามเมื่อจังหวะการเร่งเร้ารุนแรงขึ้นทุกขณะคล้ายกับกำลังทำเพื่อปกปิดบางสิ่งที่เขาไม่ควรรู้
“อะ...อึก...อ๊า!!!!!!”โคกะกรีดร้องเสียงดังพร้อมกอดรัดอีกฝ่ายแน่นเมื่อร่างกายกำลังปลดปล่อยอารมณ์ความใคร่ทั้งหมดออกมาและรองรับทุกสิ่งทุกอย่างของอีกฝ่ายเอาไว้
ภายใต้อ้อมกอดที่ความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกเอเดนยังคงจูบเขาอีกหลายต่อหลายครั้งโดยที่เขาไม่อาจรู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อไม่ให้เขาได้ถามอะไรออกไปหรือว่าทำเพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอพูดบางอย่างออกมากันแน่
ในห้องนอนที่มีสองเตียงตอนนี้เตียงหนึ่งถูกปล่อยให้ว่างเปล่าแล้วใช้เตียงอีกหลังหนึ่งรองรับร่างของคนสองคนเอาไว้ โดยที่คนหนึ่งกำลังหลับใหลส่วนอีกคนที่นอนเคียงกันกำลังใช้มือเกลี่ยเส้นผมสีแดงออกให้พ้นใบหน้าหวานนั้นอย่างแผ่วเบา
“เพกาซัส...”เขาเอ่ยเรียกเหมือนกับทุกครั้งโดยไม่หวังให้คนที่ถูกเรียกเอ่ยตอบเพราะรู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าทั้งเหนื่อยและอ่อนล้าจนถึงขนาดหลับไปต่อหน้าคนที่ตนเองตราหน้าว่าเกลียดชังแบบเขาและเขาก็ยินดีเหลือเกินที่อีกฝ่ายจะไม่ตื่นขึ้นมาในตอนนี้
หลังจากที่ถูกกอดโคกะก็แทบจะหลับไปในทันทีทำให้เด็กหนุ่มไม่อาจมองเห็นสีหน้าของเอเดนในตอนนี้ได้เลย ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยอยู่เป็นประจำไม่มีอีกต่อไปเพราะถูกกลบทับไปด้วยความเศร้าและเจ็บปวดจนเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ ทุกครั้งที่แตะสัมผัสลงบนร่างอันเปลือยเปล่าด้วยความทะนุถนอมมากเพียงใดเอเดนก็มีแววตาทุกข์ตรมเหมือนกำลังทำร้ายอีกฝ่ายมากเท่านั้น
“อาเรีย....”เอ่ยถึงเด็กสาวที่เป็นความหวังของเขาเสมอมาแม้ว่ายามนี้เธอจะไม่อยู่อีกต่อไปแล้วก็ตามต่อให้ไม่อาจได้ยินเสียงของเธอแต่กระนั้นในเวลานี้เขาก็ยังอยากจะเรียกชื่อของเธออย่างน้อยก็เพื่อปลอบใจตัวเอง
“ผมทำถูกแล้วใช่ไหม”คำถามที่ไม่มีวันได้รับคำตอบใดๆกลับมานอกจากความเงียบ ชายหนุ่มทาบมือลงบนแก้มของเด็กหนุ่มเบาๆส่งผลให้โคกะขยับตัวซุกใบหน้าเข้าหามือที่อบอุ่นตามสัญชาตญาณ ในวินาทีนั้นแววตาของเอเดนยิ่งดูเจ็บปวดมากกว่าเดิมแต่เขาก็ยังดึงรั้งร่างที่บอบบางกว่าเข้ามาในอ้อมกอด แม้คนที่ถูกกอดจะขยับตัวหนีน้อยๆด้วยความอึดอัดแต่เขาก็ยังคงกอดร่างนั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ผมน่ะ....จะไม่ยอมเสียคนสำคัญไปอีกแล้ว”เอเดนกล่าวเช่นนั้นราวกับกำลังยืนยันในสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจเลือกไปแล้วในวันนั้นที่เขาได้พบกับอาเรียอีกครั้ง...
วันที่เป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายของเขาทั้งสองคน
“ที่นี่...”นัยน์ตาสีน้ำตาลมองรอบห้องอันคุ้นตาอยู่ครู่หนึ่งถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง แม้สติจะยังไม่ตื่นดีแต่เขาก็จดจำได้ว่าเมื่อวานนี้หลังจากที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้กิกิฟังตนเองก็เผลอหลับไปในวิหารแอเรียส ดังนั้นเขาจึงไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงได้กลับมานอนที่ห้องนี้ได้
โคกะไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่ เขารู้ตัวว่ากำลังฝันร้ายและรู้สึกสิ้นหวังแต่ในตอนนั้นกลับมีมือของใครสักคนฉุดเขาให้หลุดพ้นจากความมืดมิดและมอบความอบอุ่นให้ราวกับถูกโอบอุ้มเอาไว้ด้วยวงแขนที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“กิกิพาเรามาส่งงั้นเหรอ”ความเป็นไปได้นั้นแม้จะไม่ต่ำแต่โคกะก็รู้สึกไม่แน่ใจในความคิดของตนเอง เพราะความรู้สึกราวกับถูกโอบกอดนั้นมันแทบจะเรียกว่าคุ้นเคยได้เลยซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้สึกสนิทกับกิกิขนาดที่จะรู้สึกคุ้นเคยได้เช่นนั้น
แม้จะอยู่ในห้วงของความฝันแต่เขากลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่มาจากวงแขนของใครสักคนที่เขาน่าจะรู้จักแต่เขากลับจดจำไม่ได้ว่ารอบกายเขามีคนเช่นนั้นจริงหรือ ภายใต้ความรู้สึกทั้งมวลเขาสัมผัสได้ว่าตนเองได้รับความสำคัญมากจนเหมือนกับไม่ใช่ความเป็นจริง
“ใครกันนะ...”
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้นดึงสติของเด็กหนุ่มให้หลุดจากภวังค์ โคกะสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากเชิญให้คนที่อยู่หน้าห้องเข้ามาซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นไลโอเน็ต โซมะเพื่อนสนิทของเขาเอง
“ว่าไงตื่นแล้วเหรอคุณเพกาซัสผู้แข็งแกร่ง”แค่ฟังก็รู้ว่าโซมะพูดประชดแดกดันเขา แต่ในน้ำเสียงกลับชวนให้รู้สึกขบขันระคนหมั่นไส้เสียมากกว่าโคกะจึงจัดการปาหมอนใส่คนพูดทันทีแต่โซมะก็รับไว้ได้อย่างสบายๆ
“เฮ้ๆ มาทำร้ายร่างกายกันแบบนี้ได้ยังไงล่ะ”โซมะเอ่ยประท้วงพร้อมยิ้มกว้างก่อนส่งหมอนคืนให้เจ้าของห้องแล้วนั่งลงที่ปลายเตียง
“อยากพูดมากเองทำไมล่ะ”แววตาพยศดื้อรั้นถูกส่งมาให้แต่สำหรับโซมะแล้วมันแลดูน่าขันเสียมากกว่า
“นายไม่ยอมฟังที่ฉันบอกเองไม่ใช่เหรอ แถมคราวนี้ยังไปเป็นลมลำบากให้คนอื่นอุ้มกลับมาส่งอีก”ได้ยินแล้วโคกะย่อมมีสีหน้าไม่พอใจแต่ก็เลือกจะเงียบไม่เถียงกลับไปเหมือนปกติเพราะเขายอมโดนบีบคอตายดีกว่าบอกให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองไปร้องไห้โวยวายจนหลับที่วิหารแอเรียส
“รู้แล้วน่า ไว้รอฉันหายดีก่อนแล้วค่อยไปช่วยงานก็ได้”สุดท้ายโคกะก็จำต้องยอมถอยให้เพราะดีไม่ดีเกิดโซมะเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณซาโอริมีหวังเขาได้โดนทำเหมือนคนป่วยสาหัสใกล้ตายจริงๆเป็นแน่
“เข้าใจก็ดีแล้วอย่าทำให้คนอื่นเค้าเป็นห่วงมากนักเลย”พูดจบโซมะก็ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวกลับไปพักผ่อนบ้างเพราะเขาก็แค่มาเยี่ยมให้เห็นกับตาว่าเพื่อนสนิทไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ
“โซมะนายรู้รึเปล่าว่าใครพาฉันกลับมาที่ห้องน่ะ”โคกะเอ่ยถามก่อนที่โซมะจะเดินออกไป เพื่อนสนิทเลิกคิ้วด้วยความงุนงงเหมือนจะสื่อความหมายว่า‘นายไม่รู้งั้นเหรอ’ก่อนตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“เอเดนไงล่ะ”ทันทีที่ได้ยินคำตอบสติของโคกะก็หยุดนิ่งไปในทันที เพราะว่าพูดจบโซมะก็เดินออกไปทำให้ไม่ทันได้มองว่าโคกะมีสีหน้าเช่นไร
“โกหกน่า......”เพกาซัสวัยเยาว์มองมือของตนเองที่ยังจดจำความอบอุ่นเอาไว้ได้ด้วยแววตาสับสน เขาไม่คิดว่าโซมะจะโกหกเพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น แต่เขาก็ไม่อาจทำใจเชื่อได้เลยแม้แต่นิดเดียวว่าคนที่เกลียดชังเขาที่สุดจะเป็นคนพาเขากลับมานอนที่ทั้งยังไม่ได้ทำร้ายเขาแม้แต่นิดเดียว
มันยากเกินกว่าที่จะเชื่อแต่ตัวเขายังจดจำความอบอุ่นนั้นได้เป็นอย่างดี มันช่างชวนให้รู้สึกวางใจ อ่อนโยนจนเชื่อว่าสามารถปกป้องเขาจากทุกสิ่งทุกอย่างได้และตอนนั้นเองที่โคกะเพิ่งค้นพบว่ามันคือความรู้สึกแบบเดียวกับที่เอเดนกอดเขาไว้เพื่อปกป้องตัวเขาจากการโจมตีของเมเลี่ยนไม่มีผิด
อ้อมกอดที่รัดแน่นส่งผ่านความอบอุ่นมาให้จนคล้ายกับจะสลักลึกลงไปบนร่างกายนั้นมีเพื่อปกป้องเขาจากอันตรายงั้นเหรอทั้งที่ออกปากว่าต้องการให้เขาทรมาณแต่เอเดนกลับเป็นคนที่ยื่นมือมาช่วยเขาเอาไว้ มันช่างขัดแย้งกันจนน่าโมโหแต่ตัวเขาที่จดจำมันได้อย่างขึ้นใจกลับน่าโมโหยิ่งกว่าใคร
แอ๊ด....
ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้งโดยไร้ซึ่งเสียงเคาะหรือการขออนุญาตเพราะว่ามันไม่จำเป็นในเมื่อคนที่เข้ามาก็คือชายหนุ่มที่ถือว่าเป็นเจ้าของห้องคนหนึ่งเช่นกัน ใบหน้าหล่อเหลาส่อเค้าตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าโคกะตื่นอยู่และจ้องมองมาที่ตนเอง
“เอเดน...”โคกะเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกับเด็กหลงทาง
ซ่า......
เสียงของสายฝนดังขึ้นอีกครั้งในช่วงค่อนข้างดึก ทั้งที่ตลอดบ่ายก็ตกมาตลอดแต่ตอนนี้ตกหนักขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางความเงียบของทั้งสองคนมีเพียงเสียงของสายฝนที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าราวกับจะกลบสิ้นทุกสุรเสียงให้จางหายไป โคกะได้แต่จับจ้องไปยังบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกอันมากมายจนไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองรู้สึกอย่างไรกันแน่
แรกเริ่มเขาสองคนอาจเป็นศัตรูกันแต่ช่วงเวลาที่ได้ต่อสู้ร่วมกันนั้นโคกะก็เชื่อมั่นในตัวเอเดนหมดใจในฐานะพวกพ้องซึ่งสามารถฝากชีวิตเอาไว้ได้ ทว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นการคิดไปเองเมื่อชายหนุ่มกลับเป็นคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดอย่างที่สุด
เอเดนทำร้ายเขาเพราะเรื่องของอาเรีย ถ้าอย่างนั้นเอเดนปกป้องเขาเพราะอะไร เอเดนบอกว่าจะไม่ยอมสูญเสียเขาไปอย่างเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นมันหมายความว่ายังไง
“โซมะบอกว่านายเป็นคนพาฉันกลับมาที่นี่”โคกะพูดแต่ก็ไม่รู้ว่าตนเองคาดหวังให้เอเดนตอบรับหรือปฏิเสธกันแน่ หากแต่เอเดนก็ไม่ได้ตอบและนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอเดนไม่ตอบคำถามเขาเด็กหนุ่มจึงรู้สึกผิดหวังมากกว่าจะโกรธ
“นายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร”เขาได้แต่ถามต่อไปโดยหวังเพียงว่าเอเดนจะยอมตอบคำถามเขาสักครั้งหนึ่ง
“นายเคยบอกสินะว่าต้องการให้ฉันทรมาณ ถ้างั้นนายปกป้องฉันเพื่ออะไร”
เพราะต้องการให้เขาสับสน? ถ้าหากใช่ก็ถือว่าเอเดนประสบความสำเร็จแล้วล่ะเพราะตอนนี้เขาสับสนจนไม่รู้ว่าตนเองควรจะทำอะไรต่อไปแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าหากจัดการเอเดนได้เขาก็คงสามารถจบฝันร้ายนี้ลงได้แต่แล้วเขากลับเกิดความลังเลขึ้นมากับอ้อมกอดที่ได้รับ
“สภาพฉันในตอนนี้คงน่าสมเพชสาแก่ใจนายแล้วสินะ นายพอใจขึ้นมาบ้างรึยังล่ะ”เขาถามแบบเดียวกับที่เคยพูดไปเมื่อตอนบ่าย พลันนั้นสีหน้าของเอเดนก็ดูย่ำแย่ขึ้นมาทันทีราวกับว่าเขาสองคนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อตอนบ่ายไม่มีผิด
“นายไม่เข้าใจหรอกว่าผมทำแบบนี้ด้วยความรู้สึกแบบไหน”น้ำเสียงของชายหนุ่มฟังดูเจ็บปวดแต่มันก็ไม่มีความหมายสำหรับโคกะแม้แต่นิดเดียว
“นายบอกว่าฉันไม่เข้าใจแต่มันก็เพราะนายเลือกที่จะไม่ให้ฉันเข้าใจไม่ใช่รึไงกัน ถ้าอยากให้ฉันเข้าใจก็พูดมันออกมาสิ!”โคกะพูดเสียงดังจนแทบเรียกว่าตะคอกทั้งยังจับคอเสื้อชายหนุ่มแน่น
คำพูดของโคกะทำให้ก่อเกิดความเงียบของเขาทั้งสองคน คราวนี้โคกะเลือกที่จะเป็นฝ่ายอดทนรอกับคำตอบที่เอเดนจะต้องตอบ แววตาของเด็กหนุ่มพุ่งตรงเข้าไปในดวงตาของเอเดนประหนึ่งหอกอันแหลมคมที่แทงทะลุเข้าไปถึงหัวใจ ทว่าสุดท้ายแล้วเอเดนกลับเลือกที่จะตอบเพียงแค่ว่า....
“ไม่เกี่ยวกับนาย”วินาทีนั้นถ้อยคำอันไร้หัวใจของเอเดนก็ได้ทำลายความอดกลั้นของโคกะจนย่อยยับ มือที่จับคอเสื้อชายหนุ่มไว้รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ราวกับว่าทุกความรุ้สึกของเขาถูกบดขยี้เป็นผุยผง
“ไม่เกี่ยวกับฉันงั้นเหรอ ทั้งที่นายทำร้ายฉันถึงขนาดนี้!”ถ้อยคำที่บาดลึกลงไปในใจตอกย้ำถึงความอ่อนแอ ร่างกายที่ถูกย่ำยีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความเจ็บปวดที่เหมือนกับจะไม่มีวันสิ้นสุดคือสิ่งที่เอเดนมอบให้กับเขาแล้วจะบอกว่าเขาไม่เกี่ยวได้อย่างไรกันในเมื่อทุกความเลวร้ายนั้นมันเกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจของเขา!
“นายต้องการอะไรกันแน่! ถ้าต้องการชีวิตก็ฆ่าฉันสิ!”เอเดนเคยบอกว่าเพราะอาเรียเลือกเขาเธอถึงตาย แต่จะให้เขาทำอย่างไรในเมื่อเขาไม่อาจทำให้อาเรียกลับมาได้ เขารู้ว่าสำหรับเอเดนแล้วอาเรียมีความสำคัญมากแค่ไหนแต่คนไร้ค่าแบบเขาในสายตาเอเดนล่ะจะให้ทำอย่างไร
“ฉันไม่มีอะไรให้นายแย่งชิงนอกจากชีวิตนี้อีกแล้ว...”กล่าวอย่างสิ้นหวังกับความเป็นจริงอันโหดร้าย เขาเป็นแค่เด็กกำพร้าแม้จะถูกอาเธน่าเลี้ยงดูมาแต่ตัวเขาก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากตัวเอง ศักดิ์ศรีของเขาถูกทำลายไปนานแล้วจวบจนกระทั่งตอนนี้จิตใจยังถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี เขาจึงไม่สามารถทำอะไรที่สามารถเป็นการชดเชยให้อีกฝ่ายได้เลย
ในเวลานี้โคกะทำได้แค่พยายามสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา ริมฝีปากถูกกัดจนช้ำเพื่อกล้ำกลืนเสียงสะอื้นเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกสมเพชเขาไปมากกว่านี้ แต่แล้วในวินาทีนั้นเองที่ร่างของเขากลับถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปในอ้อมกอด
“ปล่อย! อย่ามาจับฉัน!”เขาไม่ต้องการที่จะถูกสัมผัสมากไปกว่านี้ดังนั้นจึงได้ร้องปฏิเสธทั้งที่รู้ดีว่ามันไร้ความหมายเหมือนกับทุกครั้งเมื่อพบว่าร่างของเขาถูกวางลงบนพื้นโดยมีอีกฝ่ายมองจากเบื้องบน แต่แล้วพอมองขึ้นไปถึงได้พบว่าในคราวนี้สายตาที่เอเดนมองมากลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แววตาของเอเดนเต็มไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่โคกะเองก็ไม่เข้าใจซึ่งแววตานั้นก็ทำให้โคกะรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้หยุดนิ่ง เขาไม่รู้ว่าเอเดนมองเขาด้วยความรู้สึกเช่นไรแต่สิ่งหนึ่งที่โคกะมองเห็นคือความเจ็บปวดอันไร้ซึ่งความโกรธแค้นอย่างที่ควรจะมีและมันก็ได้ช่วงชิงเสียงของเขาไปอย่างสิ้นเชิง
“เพกาซัส....”ชื่อที่เอเดนมักจะเรียกเขาแต่ในคราวนี้มันกลับสั่นพร่าอย่างน่าใจหายจนเขาไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่กำลังทุกข์ทรมาณอยู่ มือของเอเดนวางลงบนแก้มของเขาพร้อมกับส่งมอบความอบอุ่นมาให้ ทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายแต่โคกะกลับรู้สึกเหมือนถูกตรึงเอาไว้จนไม่อาจขยับร่างกายได้เลย
“เพกาซัส”เสียงนั้นยังคงเรียกชื่อเขาพร้อมกับที่ใช้มือเลิกเสื้อเขาขึ้นเพื่อให้ริมฝีปากคู่นั้นทาบลงบนอกและกดจูบลงไปอย่างแผ่วเบา อ้อยอิ่งก่อนจะกดลงด้วยแรงที่ไม่มากนักแต่ก็มากพอจะทำให้เกิดร่องรอยบนผิวขาวสะอาด
“เอเดน..อย่า...”โคกะเอ่ยเสียงร้องห้ามออกมาอย่างยากเย็นเมื่อริมฝีปากของเอเดนแตะสัมผัสลงบนยอดอกและใช้ปลายลิ้นปลุกเร้าร่างกายอย่างใจเย็นคล้ายกำลังค่อยๆลิ้มชิมรสอาหารรสเลิศจนโคกะได้แต่บิดกายหนีพลางใช้สองมือพยายามผลักร่างที่ทาบทับอยู่ออกไป แต่ด้วยแรงของคนที่ยังไม่หายดีย่อมไม่อาจสู้แรงของเอเดนได้ทำให้กลายเป็นว่าสองมือที่ยกขึ้นมานั้นกลับยิ่งช่วยให้เอเดนดึงเสื้อแขนยาวของโคกะออกไปอย่างง่ายดาย เสื้อที่สวมใส่ถูกโยนออกไปข้างๆพร้อมกับที่แผ่นหลังสัมผัสกับพื้นหินเย็นเยียบยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับโคกะมากยิ่งไปกว่าเดิม
“ไม่!”เสียงปฏิเสธเด็ดขาดดังขึ้นในทันที กายบอบบางเริ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้กำลังซ้อนทับลงครั้งแรกของความเจ็บปวดที่ถูกสลักลงบนร่างกายนี้
ในคืนนั้นตัวเขาที่บาดเจ็บถูกกดลงบนพื้นหินเย็นเฉียบโดยมีร่างของเอเดนอยู่เบื้องบนและทุกอย่างก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาถูกอีกฝ่ายข่มขืนอย่างโหดร้ายทารุณ เขาทั้งกรีดร้องอย่างเจ็บปวดและอ้อนวอนขอให้หยุดแต่เอเดนก็ยังคงทำต่อไปโดยไม่สนใจความรู้สึกเขาแม้แต่นิดเดียว
“อย่ามาจับฉัน!”ระหว่างที่ร้องบอกเด็กหนุ่มก็พยายามที่จะดิ้นรนหนี เสียงกรีดร้องด้วยความกลัวของโคกะดังกึกก้องในห้องสี่เหลี่ยมเล็กที่มีเพียงสองคน มือของเด็กหนุ่มทั้งออกแรงผลักสลับกับกำหมัดเพื่อที่จะชกใส่ร่างเบื้องบน ทว่ามือข้างหนึ่งที่กำลังจะปล่อยหมัดออกไปกลับถูกจับเอาไว้แต่แล้วแทนที่มือข้างนั้นจะถูกกดลงกับพื้นเพื่อไม่ให้เกะกะเอเดนกลับเลือกที่จะก้มลงประทับริมฝีปากลงที่หลังมือแผ่วเบาคล้ายกับจะปลอบประโลมให้คลายจากความหวาดกลัว
โคกะตกใจจนชักมือกลับและก็ต้องแปลกใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ออกแรงรั้งมันเอาไว้เลย การกระทำที่เกินความคาดหมายนี้ทำให้โคกะได้สติและจ้องมองกลับไปยังบุคคลตรงหน้าอีกครั้ง ใบหน้าของเอเดนยังคงนิ่งเฉยเหมือนกับทุกครั้งหากแต่ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นกลับจับจ้องมายังตัวเขาด้วยความรู้สึกที่เขาไม่เข้าใจ
“เพกาซัส”เอเดนยังคงเรียกเพียงชื่อของเขาอย่างเดียวราวกับว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มสามารถเอ่ยออกมาได้ ฝ่ามือกร้านหยาบข้างหนึ่งแตะสัมผัสลงบนข้างแก้มของเขาก่อนจะใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าเอ่อล้นออกมาเมื่อใด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการสัมผัสที่แผ่วเบา นุ่มนวลและไม่สามารถทำความเข้าใจได้
เมื่อรู้ตัวอีกทีเขาก็ถูกอีกฝ่ายอุ้มขึ้นมาจากพื้นและวางลงบนเตียงแล้ว สัมผัสนุ่มนิ่มของเตียงไม่ได้ช่วยให้ความหวาดกลัวในใจลดหายไปเมื่อเบื้องหน้าของตนยังคงเป็นเจ้าของฝันร้ายคนเดิม แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรโคกะถึงไม่อาจขัดขืนเอเดนในตอนนี้ได้เลย
เด็กหนุ่มปล่อยให้มือคู่ที่ทำร้ายตนเสมอมาสัมผัสไปบนร่างกายตามใจชอบ ยินยอมให้ทิ้งร่องรอยบนลำคอและลาดไหล่อย่างไม่รู้ตัวแต่ก็ยังอดที่จะขยับตัวหนีไม่ได้เมื่อสัมผัสอุ่นร้อนของมือเคลื่อนไปยังเอวบางและเลื่อนดึงกางเกงที่เขาสวมอยู่ออกไป
“ไม่...”โคกะปฏิเสธอย่างน้อยก็เชื่อว่าตัวเองยังคงปฏิเสธอยู่ถึงแม้น้ำเสียงจะแผ่วเบาแค่ไหนก็ตาม เด็กหนุ่มหลับตาลงเพื่อหลีกหนีความเป็นจริงแต่เสียงของเสื้อผ้าทำให้เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งเพื่อพบว่าคนตรงหน้ากำลังถอดเสื้อของตัวเองออก เสื้อแขนยาวเรียบง่ายที่เอเดนสวมใส่อยู่เสมอถูกถอดทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใยดีและตามด้วยเสื้อยืดตัวใน โคกะมองเห็นเพียงแผ่นอกกำยำที่เลือนรางภายใต้แสงจันทร์ซึ่งถูกสายฝนบดบังและวินาทีต่อมาร่างนั้นก็ทาบทับลงมาบนตัวของเขา
ความรู้สึกอบอุ่นของผิวเนื้อที่ได้สัมผัสเป็นครั้งแรกทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายถอดเสื้อออกในยามที่กอดเขาทั้งที่ทุกครั้งเอเดนจะใช้กำลังบังคับขืนใจกันไม่เคยมีครั้งใดที่อีกฝ่ายจะถอดเสื้อออกเลยจะมีแต่เพียงตัวเขาที่ถูกทำให้เปลือยเปล่าและโดนโลมเลียทั่วร่างกายไม่ต่างกับของเล่นชิ้นหนึ่ง
ทำไมเอเดนถึงทำแบบนี้ การกระทำนี้มีความหมายอะไรสำหรับชายหนุ่มรึเปล่าเพราะเขาไม่อาจเข้าใจการกระทำของคนที่เกลียดเขาได้เลย ทั้งที่เคยทำร้ายเขามามากมายแต่ตอนนี้กลับจะอ่อนโยนกับเขาไปเพื่ออะไรกัน
“เอเดน....”เขาเรียกชื่อออกไปและอยากถามหาเหตุผลที่ตัวเองสามารถยอมรับได้ นัยน์ตาสีมรกตจับจ้องมองเขาอยู่นานคล้ายลังเลใจจากนั้นคำถามหนึ่งจึงถูกเอ่ยออกมา
“จูบได้มั้ย...”คำถามที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินทำให้ดวงตาคู่โตเบิกโพลงอย่างตกใจเป็นที่สุด คำถามของเอเดนยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจมากยิ่งขึ้นไปอีก
เอเดนถามเขาเพราะอะไรถามเพราะเคยโดนเขาปฏิเสธงั้นเหรอ ทั้งที่ความจริงแล้วเอเดนจะใช้กำลังบังคับเอาก็ได้แท้ๆ แต่แล้วในวินาทีนั้นโคกะถึงได้รู้ตัวว่าแม้ชายหนุ่มอาจจะเคยลากจูบไปทั่วร่างกายของเขาไม่ว่าจะที่ต้นคอ อก แผ่นหลังหรือกระทั่งต้นขาแต่ก็มีเพียงริมฝีปากเท่านั้นที่เอเดนไม่เคยสัมผัส เขาไม่เคยคิดถึงสาเหตุเพราะไม่รู้ตัวมาก่อนทำให้ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไรที่โดนอีกฝ่ายถามเหมือนกับขออนุญาตแบบนี้
“ทำไมนายถึงถามฉันแบบนี้”เขาถามกลับไปแต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา เอเดนไม่ได้หลบสายตาหากแต่กำลังจ้องมองเขาอย่างรอคอยคำตอบทำให้โคกะถึงกับเดาะลิ้นด้วยความเจ็บใจ
“นายมันขี้โกง....ทั้งที่ทำมาตั้งขนาดนี้แล้วยังจะต้องถามอีกรึไง”อย่ามาถามเขาเหมือนกับกำลังขอคำอนุญาตเพราะเขาไม่ต้องการรู้ว่าตัวเองยินยอมรึเปล่า เขาไม่อยากจะเป็นคนตัดสินใจว่าตัวเองยอมรับการกระทำที่เหยียดหยามศักดิ์ศรีของตัวเอง
รับรู้ถึงความหนักหน่วงของการตัดสินใจราวกับว่ามันเป็นเรื่องสำคัญมากแต่โคกะกลับไม่สามารถสู้สายตาของเอเดนได้จึงเป็นฝ่ายหลับตาลงเพื่อหลีกหนีจากความเป็นจริงก่อนจะตอบออกไป
“ถ้าอยากจะจูบก็จูบไปสิ อย่ามาถามฉัน”
เขาเกลียดการถูกบังคับแต่ก็นึกเกลียดการต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากยินยอมด้วยตัวเองมากยิ่งกว่าเพราะถ้าหากถูกบังคับ เขาก็ยังมีเหตุผลที่สามารถเกลียดเอเดนต่อไปได้ ทว่าเขากลับตอบใจตัวเองไม่ได้ว่ายังคงนึกอยากเกลียดเอเดนต่อไปจริงหรือ
ไม่รู้ว่าเอเดนเข้าใจความรู้สึกของโคกะในตอนนี้ไหม หากแต่คำพูดที่ได้ยินนั้นก็เหมือนกับคำอนุญาตให้เขาทำตามใจชอบได้ดังนั้นเอเดนจึงประคองใบหน้าของโคกะขึ้นมาแล้วบรรจงกดจูบลงไปอย่างนุ่มนวล สัมผัสแรกสุดของริมฝีปากที่แตะลงมาทำให้โคกะตกใจจนแทบจะผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยความไม่คุ้นชินแต่ก็ไม่อาจทำได้เมื่อท้ายทอยถูกโอบเอาไว้เพื่อให้รับสัมผัสของรสจูบให้มากขึ้นกว่าเดิม
จูบของเอเดนเต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ จูบที่ไม่มีการบังคับหรือช่วงชิงมีเพียงการส่งมอบความอ่อนหวานให้เท่านั้น จูบแรกนั้นสานแนนนานจนราวกับจะไม่มีวันจบสิ้นราวกับจะให้มันตราตรึงอยู่ในหัวใจจนไม่อาจลืมได้ เมื่อริมฝีปากคู่นั้นละออกไปและประกบลงมาใหม่ในคราวนี้นิ้วมือที่ประคองอยู่ข้างแก้มก็ขยับมาที่มุมปากของโคกะและออกแรงเพียงเล็กน้อยเพื่อให้ริมฝีปากบางเผยอขึ้นแล้วจึงค่อยๆใช้ปลายลิ้นล่วงล้ำเข้าไปข้างในเพื่อรับรสชาตของความหอมหวานให้มากยิ่งกว่าเดิม
“อืม...”โคกะเผลอครางเครือออกมาอย่างอดไม่ได้ในขณะที่ถูกจูบ รสจูบของเอเดนกำลังทำให้เขามัวเมาและหลงลืมทุกสิ่งทุกอย่างปล่อยให้ร่างกายถูกชักนำไปด้วยอารมณ์ความใคร่ที่รุนแรงขึ้นทุกขณะจนไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเมื่อใดกันที่ร่างของเขากับเอเดนไม่มีอาภรณ์ใดหลงเหลืออยู่เลย
เมื่อสองร่างที่เปลือยเปล่าซ้อนทับกันก็ยิ่งเพิ่มอุณหภูมิของทั้งสองร่างให้สูงขึ้น กายเนื้อที่แนบชิดกันกำลังจะทำให้เขาละลายด้วยความร้อนที่แผ่ออกมาและยิ่งทวีความร้อนมากขึ้นทุกครั้งที่ฝ่ามือหยาบกร้านลูบไล้สัมผัสไปจนทั่วอย่างถือสิทธิ์ประหนึ่งว่าเป็นเจ้าของร่างนั้นก็ไม่ปาน
“อะ..ตรงนั้น..ไม่...อย่าแตะ”เด็กหนุ่มได้แต่ร้องห้ามอย่างอ่อนแรงขณะที่ต้นขาขาวถูกฝังรอยจูบลงไปหลายรอยหลังจากที่ทำจนพอใจเอเดนจึงขยับตัวลุกขึ้นส่งผลให้โคกะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่แล้วการกระทำต่อมาของเอเดนกลับทำให้เขาต้องหน้าร้อนวาบ
“เอเดน..นายทำอะไร...”เขาเผลอถามออกไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังเลียนิ้วของตัวเองจนชุ่มและต่อมาโคกะก็แทบจะถดกายหนีเมื่อเอเดนให้คำตอบเขาด้วยการกระทำ ร่างที่สูงใหญ่กว่าทิ้งกายลงมาทาบทับเขาเอาไว้อีกครั้งก่อนจะส่งนิ้วที่เปียกชุ่มนั้นเข้าไปยังเบื้องล่างทันที
“โอ๊ย!”เพียงนิ้วแรกที่สอดเข้าไปก็สร้างความเจ็บปวดให้ไม่น้อยส่งผลให้ภาพของความโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้นหวนกลับมาอีกครั้ง
“เอาออกไป! ไม่เอาแล้ว อย่า!”ความเจ็บปวดที่ฝังลึกลงไปจนถึงขั้วหัวใจทำให้โคกะออกอาการต่อต้านในทันที ร่างบางดิ้นรนพยายามผลักร่างที่ทาบทับอยู่ออกไปสุดกำลังทั้งยังออกแรงทุบลงไปไม่ยั้ง สีหน้าของเอเดนดูบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าแรงทุบของโคกะนั้นไม่ได้เบาเลยแต่เอเดนก็ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปนอกจากยอมให้โคกะทุบต่อไป
“ใจเย็นๆ อย่ากลัว”เอเดนเอ่ยปลอบก่อนกดจูบลงบนขมับเพื่อปลอบประโลมแม้ว่านิ้วที่อยู่ในร่างกายของโคกะนั้นกำลังขยับอยู่ก็ตาม
“อื้อ! อะ..ม..ไม่...อา..”ทุกครั้งที่นิ้วของเอเดนขยับก็ทำลายสติของโคกะไปทีละนิดและอารมณ์ความใคร่ที่ไม่ควรมีกลับเริ่มเข้าครอบงำร่างกายให้ยอมโอนอ่อนผ่อนตามไปกับการชักนำของผู้กระทำ
“พอแล้ว..อึก..อ...ไม่...เอเดน...”เสียงครางหวานสลับกับถ้อยคำที่เอ่ยออกมาด้วยเสียงอันสั่นพร่าซึ่งพยายามจะหยุดยั้งการกระทำนี้ด้วยสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด
เรือนร่างบางบิดเกร็งเพราะสะกดกลั้นอารมณ์ความใคร่ของตัวเองเอาไว้ พอรู้สึกตัวว่าตนเองได้ส่งเสียงครางเครืออันน่าอายออกไปโคกะจึงยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปได้อีก แต่แล้วความพยายามของเขากลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดายเมื่อสิ่งที่อยู่ภายในกลับถูกถอนออกมา
เมื่อสิ่งที่รุกรานร่างกายถูกถอนออกไปเด็กหนุ่มถึงกับกับหอบสั่นด้วยความอ่อนล้า แม้จะรู้สึกโล่งอกที่อีกฝ่ายยอมถอนมันออกไปแต่ก็เป็นเพียงแค่เวลาสั้นๆเท่านั้นเมื่อขาของเขาถูกจับแยกออกกว้างซึ่งจากประสบการณ์ที่เคยพบมาทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น โคกะส่ายหน้าปฏิเสธตั้งใจจะถอยหนีแต่มันก็สายเกินไปเมื่อสะโพกของเขาถูกยกขึ้นและเอเดนก็สอดร่างเข้ามาในกายของเขา
“อ๊า!”ขณะที่กรีดร้องออกมากายบางก็สั่นสะท้านกับความเจ็บปวดจากการถูกรุกล้ำแม้ว่าอีกฝ่ายจะหยุดนิ่งไม่ได้ขยับแต่เพียงแค่เรือนกายที่แทรกสอดเข้ามาในร่างก็สร้างความเจ็บปวดให้กับโคกะเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มอยากที่จะผลักไสอีกฝ่ายออกไปแต่ก็ไม่อาจทำได้เมื่อมือข้างหนึ่งของเขาถูกกุมเอาไว้
นิ้วเรียวที่สอดประสานกันแนบแน่นไม่ต่างกับพันธนาการอันหนักหน่วงที่ตรึงเขาเอาไว้ทำให้มืออีกข้างที่เหลือได้แต่จิกไปบนไหล่แข็งของเอเดนเต็มแรง รู้สึกได้ว่าเล็บที่ปลายนิ้วของตัวเองแทงลงไปในเนื้อจนเลือดสีสดเปียกชุ่มนิ้วแต่เอเดนก็ไม่ได้ใช้มือที่เหลืออีกข้างดึงมือของเขาออกแต่กลับใช้มือข้างนั้นวางบนแก้มของเขาแล้วลูบเบาๆ
“อย่าเกร็งไม่งั้นมันจะยิ่งเจ็บ”เอเดนบอกเช่นนั้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่ก็ติดจะแหบพร่าเพราะแรงอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าอันเรียบเฉย
“เจ็บ...”เขาพูดได้เพียงแค่นี้ รู้สึกว่ากระบอกตาร้อนผ่าวและได้รู้ตัวว่าตนเองกำลังร้องไห้เมื่อเอเดนก้มลงมาใช้ริมฝีปากจูบซับน้ำตาที่กลิ้งอยู่แถวหางตาออกไป
“ไม่เป็นไร โอบไหล่ผมไว้สิ”พูดจบเอเดนก็ปล่อยมือที่กุมเอาไว้ ความจริงแล้วเมื่อมือของเขาเป็นอิสระเขาควรจะใช้มันผลักร่างที่ทาบทับอยู่ออกเพื่อที่จะหนีไปให้ไกลหากแต่ความอบอุ่นที่ยังหลงเหลืออยู่บนมือกลับไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น
ความรู้สึกของไออุ่นที่ได้รับมากจากอุ้งมือที่ประสานกันยังคงหลงเหลืออยู่บนมือข้างนี้อย่างชัดเจน น้ำเสียงที่กระซิบบอกอย่างนุ่มนวลจนชวนให้คล้อยตามกำลังทำให้เขาเสียดายความอบอุ่นของมือข้างนั้นที่ละออกไป....
ความจริงที่เขาไม่อยากจะยอมรับแต่ก็ปฏิเสธมันไม่ได้ มือคู่นี้อาจจะทำร้ายเขาแต่ก็เป็นมือคู่เดียวกับที่เคยปกป้องเขาและร่วมสู้ไปด้วยกันและตอนนี้ก็กำลังใช้โอบกอดตัวเขาเอาไว้อย่างทะนุถนอมเหมือนกับกลัวว่าตัวเขาจะแตกสลายหายไปที่ใดที่หนึ่งซึ่งมันก็ทำให้เขาสับสนเหลือเกิน
“เพกาซัส”ชื่อที่เหมือนเป็นอีกชื่อหนึ่งดังอยู่ข้างหูและเหมือนกับจะทะลุผ่านเข้าไปในหัวใจทำลายกำแพงที่เขาสร้างเอาไว้เพื่อปกป้องตัวเองจนพังทลาย
“ผมจะขยับแล้วนะ”คำพูดที่โคกะได้แต่ส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองกลับไป เพราะเอเดนเลือกที่จะกระทำต่อไปมากกว่าที่จะหยุด ทว่าโคกะก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถต่อต้านอีกฝ่ายได้และทุกอย่างมันก็มาไกลจนเกินกว่าจะหยุดแล้วโคกะจึงได้แต่ยกสองมือโอบลงไปบนแผ่นหลังกว้างของเอเดนอย่างจำยอม
“เพกาซัส”เอเดนเรียกเขาอีกครั้งก่อนจะเริ่มขยับร่างของตัวเอง
“อะ....อึก....”ทันทีที่กายด้านบนเริ่มขยับความเจ็บที่มากกว่าเดิมก็ส่งผลให้โคกะจิกมือลงบนแผ่นหลังที่โอบอยู่อย่างรุนแรง สองขาเหยียดเกร็งและจิกลงบนผ้าปูที่นอนสีขาวจนยับย่นแต่กระนั้นโคกะก็ยังพยายามจะอดกลั้นไม่ให้ตนเองส่งเสียงครางออกมาหากแต่มันก็ช่างทำได้อย่างยากเย็นเหลือเกิน
ร่างกายของเขาสองคนกำลังร้อนขึ้นจนเหมือนกับจะละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ทุกครั้งที่ฝ่ายนั้นกระแทกกายเข้ามาอารมณ์ความต้องการของเขาก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้ไม่อยากยอมรับแต่ยิ่งถูกสัมผัสและครอบครองมากขึ้นเท่าไรร่างกายของเขาก็ยิ่งคุ้นชินเริ่มตอบสนองกลับไปมากเท่านั้น
“อา...”เสียงครางเบาๆที่หลุดลอดออกไปทำให้เอเดนลอบมองใบหน้าขึ้นสีด้วยความอายของโคกะและเผลอหลุดยิ้มด้วยความพอใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะกลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิมทำให้โคกะไม่ทันได้สังเกตเห็น
นิ้วมือทั้งสิบของโคกะจิกลงบนแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างแรงหวังให้ระบายความเจ็บปวดและความใคร่ที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในกายออกไป เรียวขาขาวที่ถูกแต่งแต้มด้วยรอยจูบสีกุหลาบเหยียดเกร็งสลับกับคลายออกเป็นระยะ ในตอนนี้เขาแทบจะคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว ความรู้สึกสมเพชตัวเองที่กำลังยินยอมให้กอดนั้นไม่ได้มีมากไปกว่าความรู้สึกที่อยากถูกกอดรัดเอาไว้ในตอนนี้เลย
เอเดนจูบเขาอีกครั้งขณะที่ยังคงกอดเขาเอาไว้ โคกะหลับตาลงรับรสจูบอันหอมหวานพร้อมทั้งเพิ่มแรงที่โอบแผ่นหลังและขยับสะโพกรับกับการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างไม่รู้ตัวและไม่รู้ว่าเมื่อใดกันที่ความเจ็บปวดหายไปเหลือแต่เพียงความสุขสมที่เข้ามาแทนที่และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
“ฮ้า! ตรงนั้น!”ได้ยินเสียงครางหวานเอเดนจึงถามด้วยสีหน้ากลั้นยิ้ม
“รู้สึกดีรึเปล่า”โคกะพยักหน้าแทนการส่งเสียงตอบเพราะรู้ดีว่าตอนนี้ตนเองคงไม่อาจตอบอะไรออกไปได้นอกจากเสียงครางเครือที่เต็มไปด้วยความสุขสม
“อยากให้ผมทำอะไรล่ะ”ชายหนุ่มกระซิบข้างหูพร้อมกัดเบาๆที่ใบหูทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อยๆริมฝีปากบางคล้ายจะขยับแต่ความกระดากอายที่ยังคงเหลืออยู่กลับลบเสียงทั้งหมดออกไป ผิวแก้มแดงซ่านเหมือนลูกแอปเปิ้ลและร้อนผ่าวเหมือนโดนต้มสุก โคกะหันหน้าหนีหลบสายตาที่รอคำตอบของอีกฝ่ายแล้วตอบเสียงเบา
“ต้องการมากกว่านี้...”คำตอบคลุมเครือนั้นไม่ได้ทำให้เอเดนรู้สึกหงุดหงิดเลย ชายหนุ่มหยุดขยับกายแล้วประคองใบหน้าหวานให้หันกลับมามองเขาก่อนก้มลงจูบลงบนหน้าผากชื้นเหงื่อของโคกะแล้วจึงเริ่มขยับกายกระแทกด้วยแรงที่มากกว่าเดิม
“อื้อ! อา..อ๊า”กายขาวแข็งเกร็งขึ้นมาในทันทีพร้อมกับที่ลำคอส่งเสียงครางหวานออกมาให้ได้ยิน จากนั้นไม่นานโคกะก็ขยับร่างกายไปตามจังหวะที่อีกฝ่ายมอบให้และยอมแพ้แก่ความใคร่ที่เข้าครอบครองสติกับร่างกายอย่างสมบูรณ์
ท่ามกลางความรู้สึกที่สับสนโคกะลอบสังเกตดวงตาของเอเดนที่มองเขาในตอนนี้ เขายังคงไม่เข้าใจว่าเอเดนกอดเขาขณะเดียวกันก็ทำร้ายเขาไปเพื่ออะไรและตอนนี้เอเดนกำลังกอดเขาด้วยความรู้สึกแบบไหน เขายังคงไม่รู้คำตอบจึงได้แต่พยายามมองลึกเข้าไปในดวงตาสีมรกตคู่นั้นแล้วเขาก็พบสิ่งหนึ่งที่ยังคงเหมือนเมื่อคืนก่อนที่เขาจะถูกทำร้าย
สิ่งนั้นคือความโดดเดี่ยวและอ้างว้าง...
ดวงตาคู่นั้นที่เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้มากมายพอๆกับใบหน้าเรียบเฉยที่เขานึกชิงชังและอยากให้อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้างโดยเฉพาะในเวลาที่กำลังกอดเขาอยู่เช่นนี้
เมื่อเห็นท่าทางที่แปลกไปของโคกะ เอเดนจึงมองไปยังดวงตาสีน้ำตาลคู่โตและพบว่าอีกฝ่ายกำลังจับจ้องมายังตัวเขา ยามที่สองตาสบประสานกันโคกะก็ได้ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา มือที่แสนอ่อนแรงแตะลงบนแก้มของเอเดนแผ่วเบาตามด้วยเสียงเรียกที่เบายิ่งกว่า
“เอเดน....”สิ้นเสียงนั้นตัวเขาก็ถูกอ้อมแขนแกร่งรวบกอดเอาไว้ด้วยแรงอันมากมาย ริมฝีปากที่เคยกล่าวโทษตัวเขาตอนนี้กำลังเรียกชื่อเขาด้วยเสียงที่ติดจะสั่นเทา
“เพกาซัส ผม...”เอเดนคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายอีกฝ่ายกลับจูบเขาเพื่อกลืนกินคำพูดของตัวเองลงไปและไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถามเมื่อจังหวะการเร่งเร้ารุนแรงขึ้นทุกขณะคล้ายกับกำลังทำเพื่อปกปิดบางสิ่งที่เขาไม่ควรรู้
“อะ...อึก...อ๊า!!!!!!”โคกะกรีดร้องเสียงดังพร้อมกอดรัดอีกฝ่ายแน่นเมื่อร่างกายกำลังปลดปล่อยอารมณ์ความใคร่ทั้งหมดออกมาและรองรับทุกสิ่งทุกอย่างของอีกฝ่ายเอาไว้
ภายใต้อ้อมกอดที่ความรู้สึกมากมายผสมปนเปกันจนแยกไม่ออกเอเดนยังคงจูบเขาอีกหลายต่อหลายครั้งโดยที่เขาไม่อาจรู้ว่าอีกฝ่ายทำเพื่อไม่ให้เขาได้ถามอะไรออกไปหรือว่าทำเพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอพูดบางอย่างออกมากันแน่
ในห้องนอนที่มีสองเตียงตอนนี้เตียงหนึ่งถูกปล่อยให้ว่างเปล่าแล้วใช้เตียงอีกหลังหนึ่งรองรับร่างของคนสองคนเอาไว้ โดยที่คนหนึ่งกำลังหลับใหลส่วนอีกคนที่นอนเคียงกันกำลังใช้มือเกลี่ยเส้นผมสีแดงออกให้พ้นใบหน้าหวานนั้นอย่างแผ่วเบา
“เพกาซัส...”เขาเอ่ยเรียกเหมือนกับทุกครั้งโดยไม่หวังให้คนที่ถูกเรียกเอ่ยตอบเพราะรู้ดีว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าทั้งเหนื่อยและอ่อนล้าจนถึงขนาดหลับไปต่อหน้าคนที่ตนเองตราหน้าว่าเกลียดชังแบบเขาและเขาก็ยินดีเหลือเกินที่อีกฝ่ายจะไม่ตื่นขึ้นมาในตอนนี้
หลังจากที่ถูกกอดโคกะก็แทบจะหลับไปในทันทีทำให้เด็กหนุ่มไม่อาจมองเห็นสีหน้าของเอเดนในตอนนี้ได้เลย ใบหน้าที่เคยนิ่งเฉยอยู่เป็นประจำไม่มีอีกต่อไปเพราะถูกกลบทับไปด้วยความเศร้าและเจ็บปวดจนเหมือนจะร้องไห้ออกมาได้ทุกเมื่อ ทุกครั้งที่แตะสัมผัสลงบนร่างอันเปลือยเปล่าด้วยความทะนุถนอมมากเพียงใดเอเดนก็มีแววตาทุกข์ตรมเหมือนกำลังทำร้ายอีกฝ่ายมากเท่านั้น
“อาเรีย....”เอ่ยถึงเด็กสาวที่เป็นความหวังของเขาเสมอมาแม้ว่ายามนี้เธอจะไม่อยู่อีกต่อไปแล้วก็ตามต่อให้ไม่อาจได้ยินเสียงของเธอแต่กระนั้นในเวลานี้เขาก็ยังอยากจะเรียกชื่อของเธออย่างน้อยก็เพื่อปลอบใจตัวเอง
“ผมทำถูกแล้วใช่ไหม”คำถามที่ไม่มีวันได้รับคำตอบใดๆกลับมานอกจากความเงียบ ชายหนุ่มทาบมือลงบนแก้มของเด็กหนุ่มเบาๆส่งผลให้โคกะขยับตัวซุกใบหน้าเข้าหามือที่อบอุ่นตามสัญชาตญาณ ในวินาทีนั้นแววตาของเอเดนยิ่งดูเจ็บปวดมากกว่าเดิมแต่เขาก็ยังดึงรั้งร่างที่บอบบางกว่าเข้ามาในอ้อมกอด แม้คนที่ถูกกอดจะขยับตัวหนีน้อยๆด้วยความอึดอัดแต่เขาก็ยังคงกอดร่างนั้นเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ผมน่ะ....จะไม่ยอมเสียคนสำคัญไปอีกแล้ว”เอเดนกล่าวเช่นนั้นราวกับกำลังยืนยันในสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจเลือกไปแล้วในวันนั้นที่เขาได้พบกับอาเรียอีกครั้ง...
วันที่เป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายของเขาทั้งสองคน
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ