[Saint Omega]For you or me ?

7.0

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 22.59 น.

  15 บท
  2 วิจารณ์
  22.57K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558 22.58 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

7) โอไรอ้อนกับเพกาซัส

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

            วันนี้อากาศไม่ดีเอาเสียเลย....

                โกลด์เซนต์แห่งราศีเมษ กิกิคิดเช่นนั้นขณะมองออกมาทางหน้าต่างวิหาร แม้จะเป็นช่วงกลางวันแต่ท้องฟ้ากลับหม่นหมองเพราะเมฆครึ้มที่เคลื่อนตัวเข้ามาปกคุลมทั่วแซงค์ทัวรี่แห่งนี้ กิกิอดเห็นใจคนที่ทำงานอยู่ด้านนอกไม่ได้เพราะดูท่าฝนคงจะตกหนักจนการซซ่อมแซมแซงค์ทัวรี่ต้องล่าช้าไปอีกอย่างแน่นอน

                “ถ้ารากิกลับถึงจามิลได้อย่างราบรื่นก็คงจะดี”เขาให้ลูกศิษย์ตัวเล็กกลับไปเตรียมการซ่อมแซมคล็อธก่อนเพราะตัวเองยังต้องอยู่จัดการธุระอีกนิดหน่อย เขาเชื่อว่ารากิมีฝีมือพอจะกลับไปได้อย่างปลอดภัยจึงไม่รู้สึกห่วงมากมาย จากนั้นกิกิจึงเอื้อมมือออกไปเพื่อจะปิดหน้าต่าง แต่แล้วมือที่ยื่นออกไปกลับต้องชะงักเมื่อเขาพบว่ามีพลังคอสโมของใครบางคนเข้ามายังบริเวณวิหารของเขา

                พลังคอสโมนี้กิกิรู้สึกคุ้นๆว่าเคยสัมผัสมาก่อนแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นของใคร แต่เรื่องนั้นมันไม่สำคัญเท่ากับที่ใครคนนั้นได้เข้ามาในเขตวิหารของโกลด์เซนต์โดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่ามีความผิด ดังนั้นด้วยหน้าที่เขาจึงเดินออกไปยังจุดที่สัมผัสพลังคอสโมได้

                เจ้าของพลังหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่ไกลจากวิหารแอเรียสมากทำให้กิกิไม่ต้องเปลืองแรงตามหามากเท่าไรนัก เนื่องด้วยเขาไม่คิดว่าจะเป็นศัตรูทั้งยังสัมผัสความมุ่งร้ายไม่ได้ กิกิจึงส่งเสียงออกไปก่อนเพื่อเตือนให้คนๆนั้นรู้ถึงการมาของเขา

                “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ”ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยจึงได้เดินออกไปหาและก็ได้พบกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้พบในตอนนี้

                ผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีเส้นผมสีแดงอันคุ้นตาอยู่ซึ่งเขาจำได้ทันทีว่านี่คือเซนต์เพกาซัส โคกะ  บรอนเซนต์ผู้สามารถโค่นล้มมาร์สกับเทพแห่งความมืดได้ หากแต่ที่แปลกไปกลับเป็นดวงตาคู่โตที่ไม่ได้แฝงไปด้วยแววดื้อรั้นเหมือนเคย กิกิเองก็ไม่แน่ใจว่าเขามองเห็นความรู้สึกใดในแววตาคู่นั้นกันแน่

                “แอเรียส กิกิ”เพกากัสเรียกชื่อเขาตรงๆซึ่งอาจฟังดูไร้มารยาทแต่กิกิก็ไม่ใช่คนเคร่งครัดอะไรขนาดนั้นจึงไม่ได้ว่าอะไร สิ่งที่เขานึกสนใจในตอนนี้คือเพกาซัส โคกะที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าเหมือนกับโลกนี้กำลังจะแตกสลายและนอกจากนั้นเขายังสังเกตเห็นว่าที่หางตาของเด็กหนุ่มมีหยดน้ำตาประดับอยู่เล็กน้อย

            กิกิแทบไม่อยากเชื่อว่าเด็กหนุ่มซึ่งกล้าเผชิญหน้ากับศัตรูมามากมายจะมีสีหน้าแบบนี้ทั้งยังร้องไห้ออกมาอีกด้วย เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่แต่มันคงเป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างมากจนทำให้โคกะถึงกับร้องไห้ออกมาได้

                “ร้องไห้อยู่งั้นเหรอเพกาซัส....”เขามองเด็กหนุ่มแล้วรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจจึงเดินเข้าไปหาเพื่อจะปลอบ แต่เขาไม่คิดเลยว่าเพียงแค่เขาวางมือลงบนศีรษะของเพกาซัส เด็กหนุ่มก็ถึงกับปล่อยโฮร้องไห้ออกมาเสียงดังทั้งยังโผเข้ามากอดเขาเอาไว้แน่นอีกด้วย

                แรกสุดเขารู้สึกตกใจไม่น้อยแต่ด้วยความที่เป็นผู้ใหญ่กว่าไม่นานเขาจึงตั้งสติได้และตบหลังเบาๆเหมือนกับที่อาจารย์เคยปลอบเขายามที่เขาร้องไห้ ทุกครั้งที่เขาลูบศีรษะที่วางซบบนไหล่เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กหนุ่มออกแรงกอดเขามากขึ้นกว่าเดิมจนคล้ายกับว่าเขาเป็นที่พึ่งสุดท้ายไปเสียแล้ว

                เพกาซัส โคกะร้องไห้อยู่แบบนั้นจนกระทั่งเสียงเริ่มแหบแห้ง ลำคอที่แห้งผากส่งผลให้เด็กหนุ่มไอออกมาไม่หยุดและคงรู้สึกแสบคอไม่น้อยเลย กิกิกำลังจะเอ่ยปลอบให้โคกะหยุดร้องไห้แต่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้นสายฝนกลับเริ่มโปรยปรายลงมาเสียก่อน

                แม้จะยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีแผงใบไม้หนาขวางกั้นอยู่แต่สายลมก็ยังซัดสาดหยดน้ำเข้าใส่จนเปียกไปหมด เสื้อผ้าของเด็กหนุ่มเปียกปอนด้วยน้ำฝนทำให้กายบางสั่นด้วยความหนาว ใบหน้าของเด็กหนุ่มแลดูซีดเซียวไม่เหลือเค้าของความสดใสแบบที่ควรมีทั้งยังแววตาที่แฝงไปด้วยความหม่นหมองทำให้เขาไม่อาจใจดำทิ้งเด็กหนุ่มที่น่าสงสารไว้ตรงนี้เพียงลำพังได้

                กิกิจัดการถอดผ้าคลุมที่ติดกับชุดคล็อธออกมาห่มให้กับโคกะพร้อมกับจูงมือเพื่อพาเด็กหนุ่มเดินไปด้วยกัน โคกะมองไปยังผู้ที่จับมือตนเอาไว้ด้วยสายตางุนงงสงสัย กิกิจึงยิ้มเพื่อให้เด็กหนุ่มสบายใจ

                “ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เธอก็เข้าไปพักที่วิหารแอเรียสก่อนเถอะนะ”โคกะไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไปนอกจากพยักหน้าน้อยๆแทนคำตอบปล่อยให้กิกิพาตนเองไปยังวิหารแอเรียส

 

            ภายในวิหารมีแต่ความเงียบเพราะนอกจากโกลด์เซน์แอเรียส กิกิแล้วที่แห่งนี้ก็มีคนอีกเพียงคนเดียวซึ่งเจ้าของวิหารเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าแขกดีไหม ระหว่างที่รอโคกะอาบน้ำอยู่กิกิก็ลองคิดถึงสาเหตุที่โคกะร้องไห้อยู่เงียบๆแต่ก็คิดไม่ออกเพราะโคกะเองก็ไม่ได้บอกอะไรเขาแม้แต่คำเดียว

                ตึก....ตึก....

                เสียงเดินที่ดังใกล้เข้ามาทำให้กิกิหันไปมองเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาพร้อมกับใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่เขาเตรียมไว้ให้ ใบหน้าหวานดูมีสีเลือดขึ้นมาเล็กน้อยซึ่งบางทีคงเป็นเพราะน้ำอุ่นที่เพิ่งใช้ชำระร่างกายมา

                “ขอโทษที่ทำให้ลำบากครับ”โคกะเอ่ยด้วยสีหน้าเกรงใจเพราะต้องรบกวนให้กิกิมาช่วยดูแลซ้ำยังไปกอดเขาแล้วร้องไห้อีก แค่คิดเด็กหนุ่มก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่

                “นั่งก่อนสิ”กิกิเป็นฝ่ายชวนให้นั่งซึ่งโคกะก็นั่งลงตามคำชวนแล้วจากนั้นชายหนุ่มถึงได้หันไปหยิบถ้วยกระเบื้องมารินน้ำชาสองใบและหนึ่งในนั้นก็ถูกส่งมาให้กับโคกะอย่างไม่ถือตัวแม้แต่นิดเดียว ร่างบางยื่นมือไปรับถ้วยน้ำชามาถือไว้โดยที่ยังไม่ดื่มเพราะไออุ่นที่ผ่านเข้ามาในมือทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย

                “ทำตัวตามสบายเถอะ”พอเห็นท่าทางเกรงๆของโคกะ กิกิจึงเอ่ยเช่นนั้นซึ่งพอได้ยินไหล่บางที่ติดจะเกร็งเล็กน้อยคลายลงมีแต่เพียงสีหน้าหม่นหมองซึ่งยังเหมือนเดิม โกลด์เซนต์หนุ่มยกถ้วยชาของต้นขึ้นมาจิบก่อนจะเริ่มต้นคำถาม

                “เธอมาทำอะไรที่วิหารแอเรียสงั้นเหรอ”แน่นอนว่าโคกะไมได้ตอบเขาจึงต้องอธิบายให้เด็กหนุ่มเข้าใจ

                “การเข้ามาในบริเวณวิหารของโกลด์เซนต์โดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่ามีโทษฐานบุกรุกเข้าใจใช่ไหม”อันที่จริงเขาก็ไม่ได้คิดจะถือโทษอะไรเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าโศกเศร้าอยู่หรอก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องเอ่ยถามสาเหตุตามกฏ โคกะจับแก้วในมือแน่นไหล่ทั้งสองข้างกลับมาสั่นเทาอีกครั้งจนทำให้กิกิรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ

                “ฉัน...ฉันไม่รู้ว่าที่นี่คือวิหารแอเรียส”คำตอบของคนตรงหน้าทำให้กิกิถึงกับงุนงงเพราะวิหารของเขาถือเป็นวิหารแรกในการผ่านไปเพื่อพบกับอาเธน่าซึ่งไม่มีใครที่ไม่รู้จัก แต่เขาก็ไม่ได้คิดคาดคั้นเอาคำตอบและเลือกจะเป็นฝ่ายรอให้โคกะพูดออกมาเองมากกว่า

                “ฉันก็เพียงแค่ออกวิ่งหนีมาเรื่อยๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่จนได้พบกับคุณ”แล้วโคกะก็ไม่ยอมพูดต่อ กิกิจึงต้องถามเพราะยังไม่เข้าใจสาเหตุแม้ว่าใจของเขาจะเริ่มรู้สึกสังหรณ์ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่นอน

                “เธอหนีอะไรมางั้นเหรอ”ทั้งที่กิกิถามด้วยน้ำเสียงธรรมดาแต่โคกะกลับสะดุ้งเฮือกประหนึ่งโดนตะคอก น้ำชาที่ยังไม่ได้กินไปแม้แต่อึกเดียวกระฉอกออกมาจากถ้วยชาที่โคกะถืออยู่เพราะมือที่กุมมันไว้กำลังสั่นอย่างไม่อาจห้ามได้ เห็นดังนั้นกิกิจึงรีบเข้าไปแย่งถ้วยมาจากมือของโคกะเพราะกลัวว่าน้ำชาร้อนๆจะหกใส่เด็กหนุ่ม

                “ฉัน..ฉัน...”กระทั่งน้ำเสียงก็ยังสั่นพร่าและแหบแห้งอย่างน่าสงสาร พอในมือของเด็กหนุ่มว่างเปล่าทั้งสองมือนั้นก็ถูกยกขึ้นกอดตัวเองเอาไว้แน่นด้วยท่าทางที่เหมือนกำลังปลอบใจตัวเอง

                “ใจเย็นๆ ไม่เป็นไร”กิกิเอ่ยปลอบและดึงร่างของโคกะเข้ามากอดไว้เหมือนก่อนหน้านี้

                “ที่นี่ไม่มีใครทำร้ายเธอหรอก”เขาล่าวเช่นนั้นและทำให้โคกะดูสบายใจขึ้นมานิดหน่อยโดยจะสังเกตได้ว่าร่างในอ้อมกอดของเขาหยุดสั่นแล้ว กิกิจึงลูบหัวโคกะคล้ายกับชมเชย

                ท่าทางของโคกะในตอนนี้เหมือนกับรากิ ลูกศิษย์ตัวเล็กของเขาที่ร้องไห้เพราะฝันร้ายไม่มีผิดเขาจึงรู้สึกว่าไม่สามารถปล่อยให้โคกะร้องไห้ต่อไปได้ หลังปลอบกันอยู่แบบนั้นพักหนึ่งโคกะจึงสามารถตั้งสติได้อีกครั้ง

                “ขอบคุณ...”พอเห็นว่าเด็กหนุ่มกลับมามีสติอีกครั้งเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วกลับไปนั่งที่เดิมเพื่อรอฟัง

                โคกะก้มหน้าลงด้วยท่าทางคล้ายกับสิ้นหวัง เรื่องที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งเลวร้ายและเจ็บปวดจนตัวเองยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึงซ้ำยังบอกใครไม่ได้ เขาคิดว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้นแต่มันก็ไม่เป็นดังหวัง ความทรมาณที่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นยังคงกัดกินหัวใจของเขาไม่ต่างกับพิษร้ายแล้วเอเดนยังมาทำให้เขาสับสนด้วยท่าทางครึ่งๆกลางๆแบบนั้น

            ชายหนุ่มทรมาณเขาอย่างเจ็บปวดที่สุดแต่ในเวลาเดียวกันกลับปกป้องเขา สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นขัดแย้งกันเองจนทำให้เขาสับสนไปหมด ในตอนนี้โคกะไม่รู้แล้วว่าตนเองชิงชังเอเดนหรือว่าต้องการอะไรจากเอเดนกันแน่ เขาที่เผลอรู้สึกดียามที่ได้รับการปกป้องนั้นชวนให้รู้สึกน่ารังเกียจจนทนไม่ไหว

                ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเพราะเขาไม่อยากจะพูดแต่การเก็บทุกอย่างไว้กับตัวเองก็ดูเหมือนจะถึงขีดสุดแล้ว ในเวลานี้เขาต้องการใครสักคนที่สามารถรับฟังเขาได้ เขาไม่อยากให้คนใกล้ชิดรู้จึงได้แต่เก็บเงียบมาตลอดแต่สำหรับคนตรงหน้านี้ต่างกัน

                แอเรียส กิกิชายหนุ่มที่แทบไม่เคยบมีอะไรเกี่ยวข้องกันแต่ก็ยังยื่นมือช่วยเขาในตอนนี้และอีกฝ่ายคงไม่มีทางหลอกความรู้สึกของเขาเหมือนกับเมเลี่ยน ยิ่งไปกว่านั้นกิกิก็แข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับเอเดนถ้าหากเอเดนคิดร้ายขึ้นมา เพราะงั้นเขาคงสามารถพูดได้ใช่ไหม...

            เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนอายุมากกว่าที่นั่งรอเขาพูดออกมาเงียบๆ สายตาของกิกิแฝงด้วยความเป็นห่วงที่แม้จะไม่มากนักแต่ก็สามารถทำให้น้ำตาที่เหือดแห้งไปแล้วไหลรื้นกลับมาอีกครั้ง ริมฝีปากบางจึงเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับจะร้องไห้

                “ฉัน...”แล้วจากนั้นโคกะก็ได้เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองจนหมดสิ้นภายใต้สายตาอันตกตะลึงของแอเรียส กิกิ

 

            เสียงฝนเงียบหายไปในยามหัวค่ำหลังจากที่ตกหนักมาตลอดช่วงบ่ายเหมือนกับน้ำตาของเพกาซัส โคกะที่หยุดลงเมื่อเข้าสู่ห้วงนิทรา กิกิมองร่างบอบบางที่นอนขดอยู่บนโซฟาแล้วก็อดนึกสงสารไม่ได้ ใบหน้าเยาว์วัยซึ่งควรจะมีรอยยิ้มสดใสสมวัยกลับดูอมทุกข์เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น

                กิกิไม่เคยคาดฝันว่าเรื่องที่โคกะเล่าจะสามารถเกิดขึ้นกับเด็กหนุ่มแสนกล้าหาญที่เป็นเหมือนวีรบุรษคนนี้ได้ ไม่ว่าจะการถูกทำลายชุดคล็อธที่แสนสำคัญหรือกระทั่งการถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจากผู้ชายด้วยกัน ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมโคกะถึงได้มองเขาเหมือนหาที่พึ่งพิง

            เรื่องที่เกิดขึ้นกับเพกาซัส โคกะนั้นทั้งเลวร้ายและน่าอับอายจนเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟังได้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับคนสำคัญหรือคนใกล้ตัวยิ่งต้องให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด ในจุดนี้กิกิอดรู้สึกทึ่งไม่ได้เมื่อโคกะสามารถอดทนเก็บเรื่องนี้ไว้ตัวคนเดียวได้จนไม่กลายเป็นบ้าไปเสียก่อน แต่บางทีอาจเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้คงสั่นคลอนจิตใจของเด็กหนุ่มมากจนเกินกว่าจะทนไหวโคกะถึงไม่อาจห้ามน้ำตาได้อีกต่อไป

                “หลับให้สบายเถอะนะ”แต่ว่าเขาทำได้แค่นี้กับเด็กหนุ่มที่นอนหลับอยู่และหวังให้ยามหลับได้เห็นฝันดีบ้างเท่านั้น หลายครั้งในระหว่างที่เล่าบางครั้งโคกะก็เงียบไปเหมือนกำลังอดกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอีก ต่อให้กล้าหาญหรือเข้มแข็งแค่ไหนแต่ในความเป็นจริงแล้วโคกะก็เป็นเพียงเด็กอายุ 13 ปีเท่านั้นถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจึงไม่ต่างกับคมมีดที่แทงซ้ำลงไปบนบาดแผลอย่างไร้ปรานี

                ชายหนุ่มก้มมองสีหน้ายามหลับของโคกะแล้วยิ่งรู้สึกปวดใจเมื่อพบว่ากระทั่งยามหลับเด็กหนุ่มก็ยังคงมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาณ ไม่ว่าจะคิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากัน เม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าหรือกระทั่งมือที่กำเข้าหากันแน่นก็ล้วนแต่เป็นหลักฐานยืนยันว่าโคกะยังคงติดอยู่ในฝันร้ายเช่นเดิม

                แน่นอนว่าคนใจดีอย่างกิกิย่อมไม่อยากเห็นท่าทางน่าสลดแบบนั้น เขาจึงตั้งใจจะเดินเข้าไปลูบหัวปลอบโยนเผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ขยับกายเดินเข้าไปหาประสาทสัมผัสของเขากลับรู้สึกได้ถึงขุมพลังที่เขารู้จักกำลังย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตของวิหารราศีเมษทั้งยังตรงมาทางวิหารของเขาอีกด้วย

                “วันนี้ช่างมีแขกมาเยอะเสียจริง”อันที่จริงโคกะกับอีกคนหนึ่งที่มานั้นรวมแล้วก็มีแค่สองคนเท่านั้นแต่สำหรับวิหารโกลด์เซนต์ที่แทบไม่มีใครผ่านไปมาแล้วภายในหนึ่งวันมีคนมาถึงสองคนก็ถือว่าเยอะแล้ว

                กิกิไม่ได้รีบเดินออกไปเพราะพลังคอสโมที่สัมผัสได้นั้นหยุดอยู่ตรงหน้าประตูวิหารพอดีเหมือนกำลังรอคำอนุญาตให้เข้าไปแสดงว่าย่อมไม่ใช่ผู้บุกรุกและไม่แน่ว่าคนที่มานั้นอาจจะเป็นคนที่เขาคิดอยู่ก็เป็นได้ คิดแล้วชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนเตรียมตัวออกไปดูผู้ที่มาในเวลานี้ แต่ก่อนจะไปเขาก็ยังไม่ลืมหันไปหยิบผ้ามาห่มให้กับโคกะที่นอนอยู่แล้วค่อยเดินออกไป

                ระยะทางจากห้องรับแขกไปถึงหน้าประตูนั้นไม่ได้ไกลเลยเขาจึงใช้เวลาเดินมาเพียงนิดเดียว ยิ่งใกล้ทางเข้าวิหารเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าคนที่มานั้นเป็นคนที่เขาคิดอยู่โดยสัมผัสจากพลังคอสโมซึ่งเขารู้สึกได้และเมื่อเขาเปิดประตูวิหารออกไปและพบกับเอเดนยืนรออยู่ข้างนอก

                “เป็นเธอจริงๆด้วยสินะ”สีหน้าเอเดนไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ต่อให้ความจริงแล้วเขาค่อนข้างแปลกใจที่กิกิทำท่าเหมือนกับรู้ว่าเขาต้องมาก็ตาม

                “เพกาซัสอยู่ที่นี่ใช่ไหม”คำถามของเอเดนไม่ได้ผิดไปจากที่กิกิคาดเอาไว้เท่าไรนักเขาจึงไม่ประหลาดใจเลยแต่ก็ไม่นึกอยากจะตอบไปทันทีจึงเลือกจะเงียบแล้วมองสำรวจคนที่อยู่ตรงหน้า

                โอไรอ้อน เอเดนคนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศัตรูของแซงค์ทัวรี่และยังเป็นถึงบุตรชายคนสำคัญของมารส์อีกด้วย ก่อนหน้านี้เขาย่อมเคยพบเอเดนมาก่อนจึงรู้ดีว่าเซนต์หนุ่มตรงหน้าเขานั้นเป็นผู้ที่หยิ่งทะนงมากแค่ไหนและอาจไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากนัก ดังนั้นการที่เอเดนยืนรอเขาเงียบๆแบบนี้ต่อให้เป็นคนมีมารยาทมากแค่ไหนก็ถือว่าค่อนข้างจะผิดวิสัยพอสมควร

                “เธอตั้งใจจะทำอะไรงั้นเหรอ”กิกิถามแต่เอเดนไม่ได้ตอบส่งผลให้ชายหนุ่มต้องนึกหนักใจ ต่อให้เอเดนอยู่ในวัยที่กำลังก้าวไปเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแต่สำหรับเขาแล้วเอเดนเองก็ไม่ต่างกับเด็กดื้อคนหนึ่งเลยการจะทำให้เอเดนยอมพูดออกมาคงมีแต่จะต้องเค้นถามเอาเท่านั้น

                “เพกาซัสบอกเรื่องที่เธอทำให้ฉันฟังทั้งหมดแล้ว”ทันใดนั้นสีหน้าของเอเดนก็เปลี่ยนไปทันที รังสีคุกคามแผ่ออกมาอย่างชัดเจนแบบไม่มีปิดบังแม้แต่น้อย แววตาที่เคยนิ่งเฉยส่อเค้าของความอันตรายออกมาด้วยความรู้สึกที่พร้อมกับจะฆ่าคนได้

                “เขาบอกคุณงั้นเหรอ”แม้คำพูดยังค่อนข้างจะสุภาพแต่กิกิกลับรู้สึกเหมือนเอเดนกำลังพูดไปพร้อมกับอดทนกับความรู้สึกภายใจในของตัวเอง

                “ใช่ เขาบอกฉันแถมยังร้องไห้ไม่หยุดด้วย”เขาจงใจพูดเพื่อรอดูท่าทีของเอเดน พริบตาหนึ่งดวงตาของเอเดนสะท้อนความรู้สึกบางอย่างออกมาแต่เพราะอีกฝ่ายก็เก็บซ่อนมันไปอย่างรวดเร็วเขาจึงไม่แน่ใจว่ามันคือความรู้สึกแบบไหน

                “เธอทำแบบนี้เพื่ออะไรงั้นเหรอ ฉันไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนสิ้นคิดหรือเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนั้นหรอกนะ”คราวนี้กิกิได้ถามคำถามเดียวกับที่โคกะเคยพูดกับเอเดนมาก่อนแต่โอไรอ้อนเซนต์ก็เลือกที่จะตอบแบบเดียวกับที่เคยตอบโคกะไป

                “ผมต้องการให้เพกาซัสทรมาณที่สุด”

                “เพื่อใครงั้นเหรอ”เอเดนถึงกับชะงักไปทันทีเมื่อโดนพูดสวนกลับอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันตั้งตัวแต่เพียงแค่ครู่เดียวเอเดนก็สามารถตอบกลับไปได้อย่างชัดเจน

                “เพื่อตัวผมเอง”พูดจบเอเดนก็ก้าวออกมาข้างหน้าเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับกิกิอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว สีหน้าของเอเดนดูเคร่งเครียดและจริงจังกว่าเดิมจนน่ากลัว

                “เพกาซัสเป็นของผมเพราะฉะนั้นผมจะไม่ยอมให้ใครเอาเขาไปจากผมเด็ดขาด”เอเดนพูดประโยคนี้ออกมาอย่างชัดเจน กิกิมองจ้องกลับไปและพบว่าดวงตาสีเขียวคู่นั้นก็จ้องกลับมาโดยไม่มีหลบแม้แต่นิดเดียวบ่งบอกว่าเอเดนจริงจังในคำพูดของตนเองมากแค่ไหน

                จากสายตาของกิกิแล้วเอเดนในตอนนี้ดูเหมือนคนที่พร้อมจะฆ่าทุกคนที่เข้ามาแตะต้องเพกาซัสประหนึ่งนายพรานผู้หวงแหนเหยื่ออันงดงามของตัวเอง เขาไม่แน่ใจว่าตนเองคิดถูกหรือผิดแต่เขาอยากจะลองเชื่อในความรู้สึกที่เอเดนมีให้กับโคกะดู นอกจากนั้นเอเดนที่เขารู้จักไม่ใช่คนทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล

                “ถ้าฉันถามถึงเหตุผลเธอจะตอบรึเปล่า”แน่นอนว่าเอเดนไม่ยอมที่จะตอบคำถามนี้ส่งผลให้กิกิถึงกับระบายลมหายใจออกมายาวๆก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าวิหารและยอมให้เอเดนเดินตามตนมาเงียบๆ

 

                โคกะกำลังฝันร้าย...

                ในความโคกะพบว่าตนเองกำลังลอยเคว้างคว้างอยู่ท่ามกลางความมืด น่าแปลกที่เขารู้ตัวว่ามันคือความฝันแต่ก็ช่างน่าเศร้าที่เขาไม่อาจลืมตาตื่นได้ด้วยตนเอง ร่างกายของเขาหนักอึ้งจนไม่อาจทำได้แม้แต่จะกระดิกนิ้ว ลำคอแห้งและแสบจนเกินกว่าจะเปล่งเสียง หัวใจก็เย็นเยียบราวกับถูกแช่แข็ง

            ยกโทษให้ไม่ได้.....ยกโทษให้ไม่ได้.....

                เสีนงในความมืดที่เคยหายไปนานกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความรู้สึกที่ร่างกายเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นจับต้อง ผิวเนื้อสัมผัสได้ถึงความร้อนที่คล้ายกับโดนเพลิงแผดเผาจังหวะหัวใจถูกบีบรัดด้วยบางสิ่งจนแทบจะหยุดเต้น กระนั้นลำคอกลับเจ็บแสบจนไม่สามารถเปล่งเสียงใดๆออกมาได้

                ช่วยด้วย....

                เขาอยากจะตะโกนออกไปแต่ก็ทำไม่ได้ ความเจ็บปวดที่รุมเร้ากำลังดึงเอาชีวิตของเขาไปแต่กลับไม่ยอมให้เขาตายประหนึ่งกำลังทรมาณให้เขาตายทั้งเป็น ท่ามกลางความมืดที่ชวนให้สิ้นหวังโคกะพยายามที่จะยื่นมือออกไปทั้งที่ไม่รู้ว่าเบื้องหน้าของตนจะมีความหวังอยู่หรือไม่ก็ตาม

                ใครก็ได้ช่วยด้วย.....

                เขาได้แต่ภาวนาอย่างไร้เสียงและยื่นมือออกไปในความว่างเปล่า เพราะเขาทำได้เพียงแค่นั้นและรอต่อไปโดยที่ไม่อาจรู้ว่าจะมีใครมาช่วยเขาเมื่อไรแต่แล้วในตอนนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

            เพกาซัส....

                เสียงใครสักคนที่เรียกเขาและเรียกซ้ำไปซ้ำมาไม่ยอมหยุด ทั้งที่รอบข้างยังมืดมิดเช่นเดิมแต่เขากลับสัมผัสได้ถึงแสงสว่างกับความอบอุ่นที่เหมือนกับมีใครสักคนกุมมือของเขาเอาไว้ โคกะไม่รู้ว่าเจ้าของความอบอุ่นนั้นเป็นใครแต่สิ่งหนึ่งที่เขาสัมผัสได้คือความอบอุ่นนี้ได้ช่วยขับไล่ความทรมาณทั้งหมดของเขาไปจนหมดแล้ว

                ดวงตาคู่โตรื้นไปด้วยน้ำตายามที่ดึงมือของตนเองเข้ามาแนบไว้กับอก เด็กหนุ่มถึงกับหลุดยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวขณะที่ความฝันอันดำมืดกำลังค่อยๆสลายหายไปเด็กหนุ่มก็สามารถหลับใหลได้อย่างแท้จริง

 

            เสียงลมหายใจของเพกาซัสหลับมาคงที่อีกครั้งราวกับได้หลุดพ้นจากฝันร้าย คิ้วที่ขมวดเข้าหากันคลายออกยามเมื่อมือข้างหนึ่งได้กอบกุมมือของใครอีกคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างโซฟาโดยมีสายตาของคนที่อายุมากที่สุดในนี้มองอยู่

                ตอนแรกที่เดินเข้ามาทั้งสองก็พบว่าโคกะมีท่าทางทุรนทุรายราวกับโดนพิษร้ายเล่นงาน ริมฝีปากอ้าออกแต่กลับไร้ซึ่งเสียงร้องใดๆแต่กระนั้นดวงตาคู่โตกลับไม่ยอมเปิดขึ้นเพื่อหนีจากฝันร้าย เมื่อมาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ทำให้คนเราต้องตกใจและทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่งซึ่งกิกิก็เป็นเช่นนั้นแต่เอเดนกลับไม่ใช่

                สิ่งที่เอเดนทำคือรีบเข้าไปกุมมือของโคกะเอาไว้แล้วร้องเรียกทันที ตอนแรกเด็กหนุ่มยังคงมีสีหน้าทรมาณอยู่แต่พอเอเดนส่งเสียงเรียกหลายครั้งเข้าทั้งยังกุมมือแน่นไม่ยอมปล่อยร่างบางก็เริ่มสงบลงทีละนิดจนกระทั่งลมหายใจเริ่มคงที่ ใบหน้าหวานนั้นถึงกับปรากฏรอยยิ้มน้อยๆออกมา

                เพราะว่ากิกิมองจากด้านหลังจึงไม่มีทางรู้ว่าเอเดนมีสีหน้าเช่นไรกันแน่ ถ้าหากเขาไม่ได้หูฝาดไปเองเขาได้ยินเสียงถอนหายใจที่เหมือนกับโล่งอกดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

                จากนั้นเอเดนก็ขยับแขนช้อนร่างของโคกะมาไว้ในอ้อมกอด ร่างสูงลุกขึ้นยืนพลางกระชับร่างบอบบางให้นอนอยู่ในท่าที่สบายที่สุด โดยที่โคกะเองก็ซุกศีรษะเข้ากับอกของเอเดนราวกับจะซึมซับความอบอุ่นของอ้อมกอดที่ได้รับ วินาทีที่เอเดนหันกลับมาเพื่อจะพาโคกะเดินจากไปกิกิถึงได้ค้นพบว่าในสายตาของเอเดนมีแต่เพียงโคกะเท่านั้น

            ทุกการกระทำของเอเดนดูจริงใจเกินกว่าจะเป็นการแสดงเพื่อตบตาเขา ท่าทางของเอเดนนั้นบ่งบอกว่าเอาใจใส่โคกะมากแค่ไหนจนดูราวกับเป็นคนละคนกับที่ทำเรื่องโหดร้ายตามที่โคกะเล่ามา กิกิไม่คิดว่าโคกะจะโกหกแต่ก็ไม่คิกว่าการกระทำของเอเดนในตอนนี้เป็นเพียงการตบตาเช่นกัน

                เอเดนไม่ได้สนใจกิกิสักนิดทั้งยังไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เขาทำเพียงแค่โอบอุ้มร่างอันบอบบางของโคกะเดินออกไปจากวิหารแอเรียสอย่างเงียบๆโดยมีสายตาของกิกิมองตามหลังสองร่างเดินไปจนลับสายตา

            ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมโคกะถึงได้มีสีหน้าที่สับสนเช่นนั้นเพราะการกระทำของเอเดนนั้นแตกต่างกันมากจนไม่ว่าใครก็คงต้องสับสน เขาไม่เคยเห็นใครที่สามารถโอบอุ้มคนที่ตัวเองเกลียดชังไว้ได้อย่างทะนุถนอมมากเท่านั้นมาก่อน ส่วนโคกะต่อให้หลับอยู่แต่ใบหน้าที่ฉายชัดว่ามีความสุขในอ้อมกอดของเอเดนนั้นก็ดูเปล่งประกายเกินไปจนน่าเศร้า

                กาลเวลาที่ขัดเกลาเขาจนเติบโตสอนให้รู้ว่าบางครั้งโลกเราก็ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจเหมือนกับความสัมพันธ์ของโอไรอ้อนกับเพกาซัสที่เขาได้พบบางทีสิ่งที่เอเดนมีให้กับโคกะคงไม่ใช่ความเกลียดชัง เขารู้ว่าอาจฟังดูบ้าๆแต่เขาก็คิดแบบนั้นจริงๆจึงไม่ได้รั้งตัวโคกะเอาไว้ทั้งที่ไม่แน่ว่ายามเมื่อลืมตาตื่นขึ้นเด็กหนุ่มก็คงต้องพบกับฝันร้ายเช่นเดิมก็เป็นได้ แต่เขาก็ยังปล่อยให้เอเดนพาโคกะกลับไป

                “เราคงไม่ได้ตัดสินใจผิดใช่ไหม”กิกิเอ่ยถามกับตนเองในเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขารู้แล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่มีวันเข้าไปแทรกได้อย่างเด็ดขาด สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการเชื่อมั่นในสายตาที่เอเดนมองโคกะเมื่อครู่นี้เท่านั้นเอง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา