[Fan Fiction Saint Seiya+LC]Once Again…
10.0
เขียนโดย MeiaR
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 12.40 น.
13 ตอน
8 วิจารณ์
29.81K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
8) อดีตของผู้จากไป
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ..............คุณเคยรู้สึกเกลียดใครมากจนทนไม่ไหวรึเปล่า....................
................เพราะตอนนี้คนที่ผมกำลังรู้สึกเกลียดที่สุดจนทนไม่ไหวก็คือ..................
ณ สนามบินแห่งหนึ่งชุนกำลังนั่งรออิคคิที่เดินไปเช็คอินกับโหลดกระเป๋าอยู่เงียบๆท่ามกลางฝูงชนจำนวนไม่น้อยรอบกาย ระหว่างที่รอชุนก็คิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น
เขาคิดถึงคืนแรกที่ได้พบกับคางาโฮะ...ชายหนุ่มผู้ที่เคยเป็นอดีตชาติของพี่ชายของเขา ชายหนุ่มผู้มีเปลวเพลิงอันเกรี้ยวกราดและดุดันแต่กลับมีแววตาเหงาหงอยอย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นชุนก็พลันนึกถึงใบหน้าเศร้าๆตอนที่เขาพูดถึงศึกเทพยุทธิ์ในยุคนี้
“ในตอนนั้นคุณกำลังคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ”เขาถามกับความว่างเปล่าเบื้องหน้าเพราะแม้จะอยากรู้คำตอบแต่กลับไม่อยากที่จะถามโดยตรง
ครั้นแล้วชุนก็ได้แต่ลองจินตนาการดูว่าหากตัวเขาต้องตายจากไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อพบว่าคนที่เขารักไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้วมันจะเป็นเช่นไรกัน คนแรกที่ชุนคิดถึงก็คือ อิคคิ พี่ชายที่อยู่กับเขามาชั่วชีวิตและจะอยู่กับเขาตลอดไป
“โลกที่ไม่มีพี่อิคคิงั้นเหรอ”หากว่าโลกนี้ไม่มีอิคคิ เขาจะเป็นอย่างไรกันนะ...จะยังสามารถยิ้มได้อยู่รึเปล่า
คำตอบที่ชัดเจนและแน่นอนก็คือ ไม่
โลกที่ไม่มีอิคคิสำหรับเขาแล้วมันก็แทบจะไร้ความหมายไปในทันที จริงอยู่ที่เขาอาจมีเพื่อนพ้องมากมายแต่ก็ไม่มีใครสำคัญไปมากกว่าอิคคิอีกแล้ว รู้สึกในอกหนักอึ้งและอึดอัดจนหายใจไม่ออกคล้ายน้ำตาจะไหลรื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้จนเหมือนกับมีใครสักคนกำลังร้องไห้อยู่ในตัวของเขา
วินาทีต่อมาเบื้องหน้าที่ควรจะเป็นฝูงชนมากมายกลับกลายเป็นทุ่งร้างที่แสนว่างเปล่า ท้องฟ้าสีดำสนิทไร้แสงตะวัน ผืนดินแห้งแล้งมีเพียงบ่อน้ำสีแดงดั่งเลือดกระจายอยู่ไปทั่ว ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาณตลอดเวลา
สถานที่ซึ่งไม่มีอยู่บนโลกแต่กลับเป็นสถานที่ที่เขารู้จักเป็นอย่างดีราวกับเป็นบ้านของตัวเองซึ่งคงเป็นเพราะความทรงจำของจ้าวนรกที่ยังติดค้างอยู่ในตัวของเขา ดินแดนแห่งจุดสิ้นสุดของผู้วายชนม์ซึ่งมีนามว่า ยมโลก
มือของเขากำลังถือบางสิ่งอยู่ทั้งที่เมื่อครู่ยังว่างเปล่าอยู่แท้ๆ สิ่งนั้นมีลักษณะเรียวยาวคล้ายกับดินสอ พอสิ่งนั้นขยับก็บังเกิดสีสันแต่งแต้มลงไปบนผืนผ้าใบที่อยู่ข้างกาย ภาพของเหล่าวิญญาณอันน่าเวทนาค่อยๆกลายเป็นเทวาสีขาวบริสุทธิ์บนผืนผ้าใบนั้น
ดินแดนยมโลกนี้มันแสนเศร้านักคางาโฮะ...
เสียงของใครคนหนึ่งที่รู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นเสียงของตนเองกำลังพูดกับใครคนหนึ่งที่เขารู้จัก น้ำเสียงเศร้าสร้อยเอ่ยถึงสถานที่อันรกร้างด้วยความสงสารจากใจจริง
ผมอยากช่วยเหลือทั้งคนเป็นและคนตาย คางาโฮะ...รวมไปถึงน้องชายของเธอที่น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในดินแดนยมโลกนี้ด้วย จำเป็นต้องทำให้ทุกสิ่งสูญสิ้นไป ผมจะแต่งแต้ม ผมจะสร้างความตายครั้งใหม่เพื่อการปลดปล่อย
ความปรารถนาที่แสนอ่อนโยนอย่างโหดร้ายถูกเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง โทนเสียงนั้นมีแต่ความจริงใจอันบริสุทธิ์หากแต่ถ้อยคำที่แสนสิ้นหวังนั้นกลับชวนให้รู้สึกเหมือนเทวาอันบริสุทธิ์ที่ร่วงหล่นสู่ความมืดไม่มีผิดและบางทีเจ้าของเสียงนั้นคงรู้ตัวในความจริงข้อนี้ดีจึงได้เอ่ยถามออกไป
คางาโฮะ ตัวผมเป็นผู้บาปหนาสาหัสหรือไม่?
พลันนั้นเองที่เขาได้มองเห็นใบหน้าของคางาโฮะที่คุกเข่าอยู่เบื้องหลังตนเอง ในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นสะท้อนภาพเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีดวงหน้าอ่อนเยาว์ซึ่งแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแสนเศร้าอยู่ ขณะที่คางาโฮะกำลังจะเอ่ยตอบภาพทุกอย่างกลับหายวับไปเหลือแต่เพียงเสียงที่คล้ายจะคุ้นเคยนั้นดังก้องอยู่
คางาโฮะ
ทั้งที่มีเพียงแค่เสียงแต่ชุนกลับรู้สึกเหมือนเจ้าของเสียงนั้นกำลังยื่นมือออกไปยังความมืดที่ว่างเปล่าเพื่อค้นหาใครคนหนึ่งและความรู้สึกโหยหาที่ซ่อนอยู่ในเสียงนั้นก็ส่งผลให้ชุนร้องเรียกออกไปอย่างไม่ตั้งใจ
“คางาโฮะ....”
หมับ...
มือที่ยื่นออกไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและหยาบกร้าน สัมผัสของฝ่ามืออันคุ้นเคยเรียกสติของชุนให้กลับมาอย่างรวดเร็วและพอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอิคคิกำลังจับมือเขาเอาไว้อย่างที่คิด
“พี่อิคคิ...”เสียงเรียกชื่อของชุนติดจะเลื่อนลอยเล็กน้อยส่งผลให้อิคคิต้องขมวดคิ้ว
“นายเป็นอะไร พอฉันมาถึงก็เห็นนายกำลังนั่งเหม่ออยู่ดีๆก็ยื่นมือออกไปข้างหน้าอีกด้วย”คำถามของอิคคิไม่ใช่คำถามที่ตอบยากแต่ชุนไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบไปอย่างไรดี เมื่อภาพนิมิตรที่เห็นนั้นคล้ายจะเป็นอดีตของร่างทรงคนหนึ่งที่มีนามว่า อาโรน
“คือผม....”ไม่ใช่ไม่อยากตอบแต่ชุนเรียบเรียงคำไม่ถูก สุดท้ายอิคคิจึงได้แต่ถอนหายใจน้อยๆแล้วออกแรงดึงให้ชุนลุกขึ้น
“ไปกันเถอะ ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”ทั้งที่ชุนยืนอย่างมั่นคงแล้วแต่อิคคิก็ยังไม่ยอมที่จะปล่อยมือ แน่นอนว่าชุนไม่ได้ว่าอะไรทั้งยังจับตอบและออกเดินไปด้วยกัน
บนเครื่องบินมีผู้โดยสารไม่มากนักเพราะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวหรือช่วงที่มีวันหยุดยาวซึ่งก็ทำให้อิคคิดูค่อนข้างพอใจที่ไม่ต้องมาเบียดเสียดแออัดกับฝูงชน หลังหาที่นั่งติดหน้าต่างเจอชุนก็เข้าไปนั่งโดยมีอิคคินั่งลงข้างกัน
“ถ้าง่วงก็นอนไปเลยก็ได้ถึงแล้วเดี๋ยวฉันจะปลุก”ชุนพยักหน้าพลางรับผ้าห่มที่อิคคิยื่นมาให้ เด็กหนุ่มจัดท่าให้นอนสบายที่สุดแล้วหลับตาลง ไม่นานเด็กหนุ่มก็หลับไปในขณะที่อีกคนยังตื่นอยู่และเฝ้ามองใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นยามหลับ
คงเพราะต้องรีบตื่นเช้ามากชุนถึงได้รู้สึกเพลียๆนิดหน่อยประกอบกับอยู่ข้างกายอิคคิชุนจึงสามารถหลับได้อย่างสบายใจ ชายหนุ่มยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่บดบังดวงหน้านั้นออกไปเบาๆด้วยกลัวว่าคนตัวเล็กข้างกายจะตื่นขึ้นมา
“ชุน...”เขาเอ่ยชื่อแต่ไม่ต้องการให้น้องชายตอบกลับ อิคคิเพรียกเพียงเพราะแค่อยากเรียก
หลังจากคืนนั้นคางาโฮะก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกซึ่งเขากับชุนคาดว่าคางาโฮะคงใช้พลังไปไม่น้อยกับการปรากฏตัวบนโลกใบนี้ทำให้ต้องหลับพักผ่อน ตอนแรกชุนก็ร้อนใจกลัวว่าคางาโฮะจะหายไป
ท่าทางร้อนใจของชุนที่เป็นห่วงคางาโฮะทำให้อิคคิหงุดหงิดขึ้นมาดังนั้นอิคคิจึงพยายามร้องเรียกในใจอีกครั้งและดูเหมือนคางาโฮะจะสัมผัสความเป็นห่วงของชุนได้จึงตอบกลับมาว่าไม่เป็นไรแค่ต้องการพักเท่านั้น ชุนถึงสบายใจ
เพียงแค่นึกเรื่องนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ เขาไม่ต้องการให้ชุนเป็นห่วงใครมากกว่าเขาหรือเห็นใครสำคัญกว่าเขา ชุนเป็นน้องชายและเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา จริงอยู่ที่เซนต์จะต้องอุทิศชีวิตเพื่ออาเธน่าแต่แท้จริงแล้วคนที่อิคคิจะอุทิศให้ทั้งหมดกลับเป็นชุน
ขอเพียงให้ชุนยังปลอดภัย มีความสุขและยังมีรอยยิ้มที่งดงามอยู่เพียงแค่นั้นเขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ทว่าทั้งที่เคยคิดเช่นนั้นมาตลอดแต่เพียงเพราะการมีอยู่ของคางาโฮะทำให้ความรู้สึกของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เขาไม่อยากให้ชุนยิ้มให้คนอื่นนอกจากเขา ขอแค่ชุนโดนคนอื่นที่ไม่ใช่เขาแตะต้องเขาก็ไม่อาจห้ามโทสะของตัวเองได้ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่อยากจะยอมรับและโกหกไปว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกของเขาทั้งที่ความจริงแล้วเขา....
“พี่อิคคิ...”เสียงเรียกแผ่วเบาของชุนทำให้อิคคิหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองและหันไปมอง ชุนยังคงหลับอยู่แต่กลับยกมือขึ้นจับชายเสื้อเขาเอาไว้เหมือนเด็กขี้เหงา อิคคิไม่อาจปฏิเสธความพอใจที่เกิดขึ้นนี้ได้เลย
รอยยิ้มจางๆเกิดขึ้นบนใบหน้าดุดันอยู่เสมอของอิคคิ ชายหนุ่มผู้พี่ลูบเส้นผมนุ่มๆของน้องหลายครั้งก่อนจะแกะมือที่จับชายเสื้อมากุมไว้และก้มลงจูบที่หน้าผากของชุนเบาๆ
ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกันหรือบางมันอาจถูกเก็บซ่อนเอาไว้โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวแต่อิคคิก็รู้จักตัวเองดีพอที่จะรู้ว่าตอนนี้เขามองชุนด้วยสายตาอย่างไรเพียงแต่อีกใจหนึ่งของเขากลับปฏิเสธ เพราะว่าชุนเป็นน้องชายของเขา มันเป็นเหตุผลง่ายๆที่เจ็บปวดที่สุดในเวลาเดียวกัน
อาจเป็นเพราะเหตุผลนั้นเพียงข้อเดียวก็ได้ที่ทำให้เขาไม่อาจยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ไม่แน่ว่าคนที่ควรจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองอย่างซื่อตรงจะไม่ใช่คางาโฮะแต่เป็นตัวของเขาเองใกกว่า แต่ว่าต่อให้เขายอมรับได้แล้วชุนล่ะ?
“ชุน..นายคงไม่รู้สินะว่าพี่น่ะ...”แล้วอิคคิก็เงียบไป คนที่เคยกล้าหาญเช่นเขาในเวลานี้กลับขี้ขลาดจนน่าขัน แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงเพียงเพื่อสูญเสียน้องชายของตัวเองไป
บางครั้งอิคคิก็รู้สึกเหมือนชุนเองก็รู้สึกเหมือนเขาแต่ก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะยืนยัน หลายครั้งที่ใกล้ชิดกันท่าทางของชุนคล้ายกับจะปฏิเสธเขาขณะเดียวกันก็เหมือนกับจะยินดีจนหลายครั้งที่เขาเกือบจะก้าวข้ามความเป็นพี่น้องกันไป
“ฉันเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าแกสินะ คางาโฮะ”อิคคิพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่นแต่แววตากลับเจือด้วยความสุขที่ตนเองยังสามารถกุมมือคนสำคัญเอาไว้ได้
หลายชั่วโมงผ่านไปชุนลืมตาตื่นขึ้นพลางขยับตัวเปลี่ยนท่าหลังจากที่นอนท่าเดิมมานานและพบว่ามือของเขาจับกุมมือของอิคคิไว้แน่น พอหันไปมองใบหน้าคมเข้มของพี่ชายก็อยู่ในระยะใกล้ที่มากพอจะทำให้รู้สึกหน้าแดงซ่านขึ้นมาได้
ชุนรู้สึกว่าใบหน้าร้อนขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ไม่อาจห้ามสายตาที่กำลังสำรวจใบหน้ายามหลับของพี่ชายเอาไว้ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นใบหน้าตอนหลับของอิคคิแม้จะไม่บ่อยนักแต่ก็เป็นใบหน้าที่ควรจะชินตา ยามหลับคิ้วที่เคยขมวดอยู่บ่อยครั้งก็คลายออก สีหน้าแลดูผ่อนคลายจนชวนให้มองอย่างไม่วางตา
ครั้นแล้วชุนก็หวนคิดถึงครั้งหนึ่งที่เคยได้สัมผัสใกล้ชิดกับอิคคิ ชุนกำลังนึกถึงรสจูบในวันนี้ที่พี่ชายมอบให้กับเขา แม้จะเป็นเพียงการป้อนยาแต่มันก็ทำให้ใจของชุนเต้นระรัวอย่างไม่อาจห้ามได้ เขาค้นพบว่าตัวเองไม่ได้รังเกียจรสสัมผัสอันหอมหวานนั้นแม้แต่นิดเดียว
ใบหน้าของพี่ชายที่ชิดใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆส่งผลให้ผิวหน้าร้อนจนแทบสุก ริมฝีปากแนบชิดถ่ายเทยารสขมมาให้แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกหวานล้ำยิ่งกว่าสิ่งใด ตอนนั้นชุนได้แต่ภาวนาให้อิคคิอย่าได้รับรู้เสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองเลย
ต่อให้เป็นพี่น้อง....ไม่สิ ทั้งที่เป็นพี่น้องและยังเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ชุนไม่รู้สึกรังเกียจที่โดนอิคคิจูบเลย บางทีอิคคิอาจทำไปโดยไม่คิดอะไรพอเป็นแบบนั้นชุนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าที่รู้สึกใจเต้นแรงอยู่เพียงคนเดียว ซ้ำยังบ้ายิ่งกว่าเดิมเมื่อเขายินยอมให้คางาโฮะสัมผัสตนเอง
ในคืนหนึ่งหลังจากนั้นไม่นานคางาโฮะก็ได้รั้งร่างเขาเข้าไปกอดพร้อมประทับจูบลงมาอย่างอ่อนโยน ความจริงเขาควรจะปฏิเสธตั้งแต่ต้นแต่ก็ม่ได้ทำ อีกฝ่ายจูบและสัมผัสเขาอย่างทะนุถนอมจนเผลอโอนอ่อนผ่อนตามไปอย่างไม่อาจห้ามใจได้
“น่ารังเกียจจริงๆ”สิ่งที่ชุนนึกรังเกียจไม่ใช่อิคคิหรือคางาโฮะแต่เป็นตัวเขาเองที่รู้สึกยินดีในอ้อมกอดของทั้งสองคน
ชุนไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นความสงสารเห็นใจจึงยอมให้คางาโฮะสัมผัสและยิ่งละอายใจเกินกว่าจะบอกว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหนกับการถูกคางาโฮะจูบ เขาที่รู้สึกใจเต้นแรงยามถูกอิคคิจูบกับความพอใจที่ได้รับความรักจากคางาโฮะทำให้ชุนรู้สึกรังเกียจและสมเพชตัวเองจนทนไม่ไหว
อิคคิกับคางาโฮะคงไม่รู้แต่หลังจากนั้นยามที่เขาอยู่เพียงคนเดียวในห้องนอนของตัวเอง ตัวเขาถึงกับต้องซุกหน้าลงกับหมอนเพื่อร้องไห้ระบายความรู้สึกสมเพชตัวเองออกมาอยู่เป็นเวลานาน
ชุนปฏิเสธคางาโฮะไปโดยบอกว่าไม่ได้รักแต่กลับเสียใจที่ตัวเองบอกออกไปแบบนั้น สุดท้ายชุนได้แต่หันหน้าไปหาอิคคิแล้วชวนให้พี่ชายออกไปเที่ยวด้วยกันเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองแต่แล้วเรื่องมันกลับย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อชุนพบว่าเขากลับมีความสุขกับการได้อยู่กับอิคคิมากจนลืมความเศร้าไปหมดอย่างที่ต้องการ
เขาควรจะพอใจแต่ส่วนหนึ่งในหัวใจกลับรู้สึกว่างเปล่าคล้ายกับว่ามีบางสิ่งที่สำคัญขาดหายไป ท่ามกลางความสับสนมากมายชุนรู้อยู่เพียงอย่างเดียวว่าเขาไม่อยากเสียคางาโฮะไป ทั้งที่เขาทำร้ายและเป็นฝ่ายผลักไสคางาโฮะออกไปแต่พอกลายเป็นแบบนั้นจริงตัวเขากลับเรียกร้องหาคางาโฮะ
“ทำไมผมถึงต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย”เด็กหนุ่มยังคงไม่เข้าใจในความรู้สึกของตัวเองและตอนนี้ยิ่งไม่แน่ใจว่าทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นของตัวเขาหรือจะเป็นของใครคนหนึ่งที่อยู่ในตัวของเขากันแน่
“อาโรน นี่เป็นความรู้สึกของคุณรึเปล่า”เสียงหวานถามอย่างเลื่อนลอยเพราะไม่อาจคาดหวังให้เจ้าของชื่อที่ไร้ตัวตนนั้นตอบกลับมาได้
ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงของแอร์โฮสเตสสาวก็ประกาศว่าเครื่องกำลังจะลงจอดที่สนามบินประเทศกรีซ อิคคิลืมตาตื่นขึ้นหันไปทางน้องชายที่นั่งอยู่ข้างกัน ชุนส่งยิ้มที่ดูฝืดฝืนเล็กน้อยกลับไปให้ แน่นอนว่าอิคคิก็สังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากกระชับมือที่จับกุมกันเอาไว้แน่นเท่านั้น
หลังลงจากเครื่องอิคคิกับชุนก็ได้คนของตระกูลคิโดะมารับเพื่อตรงไปยังแซงค์ทัวรี่โดยตรงซึ่งทำให้เขาทั้งสองคนประหยัดเวลาไปได้มากพอสมควร เมื่อมาถึงสิ่งแรกที่สองพี่น้องต้องทำก็คือไปเข้าเฝ้าอาธีน่าตามมารยาทที่พึงกระทำและผู้ที่มายืนต้อนรับอยู่ที่วิหารแรกก็คือ.....
“ชุน อิคคิ ยินดีต้อนรับ”อดีตเพกาซัสหนุ่มหรือตอนนี้ก็คือโกลด์เซนต์ ซาจิทาเรียสเซย์ย่ากล่าวทักทายด้วยท่าทางเป็นกันเอง แน่นอนว่าชุนก็ยิ้มและทักทายกลับส่วนอิคคิเพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อยเท่านั้นแต่เซย์ย่าก็เคยชินกับท่าทางของสหายร่วมศึกเกินกว่าจะใส่ใจ
“ไม่ได้เจอกันนาน นายสองคนสบายดีสินะ”ชุนหัวเราะเบาๆกลบเกลื่อนคำถามง่ายๆที่ตอบยากก่อนถามถึงใครคนหนึ่งที่เป็นจุดประสงค์หลักในการมาแซงค์ทัวรี่
“ท่านผู้เฒ่าโดโกยังอยู่ที่นี่ใช่มั้ย”แม้ตอนแรกที่แจ้งว่าจะมาแซงค์ทัวรี่เพื่อพบกับโดโกและได้รับการยืนยันแล้วว่าโดโกยังอยู่ที่นี่แต่ชุนก็ยังอยากถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ หลังจบศึกกับฮาเดสท่านผู้เฒ่าก็บอกว่าจะอยู่ที่นี่สักพักเพื่อช่วยฟื้นฟูแซงค์ทัวรี่แล้วค่อยกลับเขาโกโรโฮน่ะ”ได้ฟังเซย์ย่ายืนยันแล้วชุนก็รู้สึกโล่งอกที่ตนมาไม่เสียเที่ยวแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกโหวงๆในอกอย่างกังวลใจคล้ายเด็กที่ลุ้นคำตอบของข้อสอบ
“ไปกันเถอะ อาธีน่ากำลังรออยู่”แล้วเซย์ย่าก็เดินนำออกไปโดยมีอิคคิกับชุนเดินตามหลัง ตอนนั้นเองที่ชุนรู้สึกว่าภายในอกของเขารู้สึกแปลกๆเมื่อได้ยินเซย์ย่าเรียกอาธีน่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ชุนไม่เคยรู้สึกอะไรไม่เหมือนกับความรู้สึกที่คล้ายกับจะเจ็บปวดอยู่ลึกๆในอกนี้
เด็กหนุ่มทอดมองคนที่เดินอยู่เบื้องหน้าพลางคิดถึงคำพูดของท่านผู้เฒ่าโดโกที่เคยบอกว่าเพกาซัสคนก่อนเป็นเพื่อนสนิทกับร่างทรงจ้าวนรกฮาเดสและเมื่อประกอบกับคำพูดของคางาโฮะก่อนหน้านี้ทำให้ชุนค่อนข้างแน่ใจว่า ความสัมพันธ์ของเพกาซัสคนก่อนกับอาโรนจะต้องลึกซึ้งมากอย่างแน่นอนและมันคงมากพอที่จะทำให้เจ็บปวดได้เมื่อคนๆนั้นกำลังพูดถึงคนอื่นอย่างมีความสุข
ความเจ็บปวดนี้ก็เป็นความรู้สึกของคุณสินะ อาโรน....แล้วความรู้สึกที่มีต่อคางาโฮะล่ะ คือของผมหรือว่าของคุณ....
การเข้าเฝ้าอาธีน่าใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้นเพราะว่าตอนนี้ทุกคนในแซงค์ทัวรี่ต่างก็ยุ่งกับการคัดเลือกคนขึ้นมาทำหน้าที่โกลด์เซนต์คนใหม่แทนเหล่าบุคคลที่เสียชีวิตไปทั้งยังต้องคอยระแวดระวังพลังความมืดที่สัมผัสได้อีกทำให้ชุนรู้สึกผิดไม่น้อยที่มารบกวนด้วยเรื่องส่วนตัวแม้อาธีน่าจะไม่ว่าอะไรก็ตาม
“ท่านผู้เฒ่าอยู่ที่สุสานน่ะ”เซย์ย่าว่าพลางชี้ยังไปอีกทิศหนึ่งซึ่งพอมองออกไปก็พบกับเนินเขาสีเขียวซึ่งมีป้ายหลุมศพวางประดับอยู่มากมาย
“ขอโทษที่มารบกวนนะ”ชุนกล่าวขอโทษในขณะที่อิคคิยังคงเงียบเหมือนเดิม เซย์ย่ายิ้มพลางโบกมือคล้ายบอกว่าอย่าใส่ใจแล้วจึงขอตัวไปช่วยคัดเลือกว่าที่เซนต์รุ่นใหม่ทำให้สองพี่น้องต้องไปหาโดโกเพียงลำพัง
สุสานของสหายร่วมศึกอยู่ไม่ไกลจากวิหารโกล์เซนต์มากนักมันจึงใช้เวลาไม่นานเลยในการเดินไป ผ่านไปสิบนาทีสองพี่น้องก็มาถึงเขตสุสานที่ว่า ป้ายหลุมศพสีขาวจำนวนไม่น้อยตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าจนชวนให้รู้สึกสลดใจไม่น้อย ดอกไม้นานาชนิดถูกจัดวางลงบนหน้าป้ายหลุมศพคล้ายจะเพื่อปลอบใจทั้งผู้ตายและผู้ที่มีชีวิตอยู่
เมื่อเดินลึกเข้าไปชุนก็พบกับป้ายหลุมศพของโกลด์เซนต์ทีละคน...ซาจิทาเรียส...แคปริคอร์น....อคอเรียส...สกอร์เปี้ยน...เจมินี่ทั้งสอง...และยังของคนอื่นอีกหลายคนจนกระทั่งไปถึงหลุมศพของเคียวโกองค์ก่อน อดีตโกล์เซนต์แอเรียส ชิออน...
หน้าหลุมศพของโกลด์เซนต์ทุกคนถูกประดับด้วยดอกไม้ชนิดเดียวกันบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นฝีมือของคนเดียวกันและคนที่ว่านั้นคือชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังวางมือทาบลงบนป้ายหลุมศพเย็นชืดพลางวางดอกไม้ในมือลงอย่างนุ่มนวล
“ไม่นึกเลยนะว่าข้าจะเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่จากยุคสมัยนั้น”ใบหน้าของชายหนุ่มที่ก้าวข้ามกาลเวลาแลดูเศร้าสร้อยและเหงาหงอยไม่ต่างกับน้ำเสียงที่กำลังเอ่ยออกมา ท่าทางของโดโกทำให้ชุนกับอิคคิได้แต่ยืนดูอยู่เงียบๆไม่กล้าเข้าไปแทรกแม้แต่นิดเดียว
“ท่านเคียวโกเซจกับท่านผู้เฒ่าฮาคุเรย์จะรู้สึกเหมือนกับข้าในตอนนี้ไหมนะ”กับการต้องมากลบฝังร่างของเหล่าสหายร่วมอุดมการณ์ทีละคนแล้วมีชีวิตต่อไปเพื่อสืบทอดปณิธานอันแรงกล้าเอาไว้ โกลด์เซนต์ไลบร้าลุกขึ้นยืนกระชับหมวกสานที่ใส่อยู่ประจำแล้วจึงยิ้ม
“ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสืบทอดตำนานทั้งหมดของพวกเจ้า ดังนั้นจงคอยดูวิถีชีวิตของข้าจากเบื้องบนพร้อมกับทุกคนเถอะนะ ชิออน”พูดจบโดโกก็เดินห่างออกจากหน้าหลุมศพด้วยท่าทางคล้ายกับอาลัยอาวรณ์ก่อนหันมากล่าวทักทายทั้งสองคนด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“ขอโทษที่ทำให้รอ พอดีข้ากำลังกล่าวลากับสหายเก่าน่ะ”
“พวกผมต่างหากที่มารบกวนเวลาท่านผู้เฒ่า”ชุนกล่าวด้วยความนอบน้อมพลางโค้งตัวน้อยๆเพื่อขออภัยส่งผลให้โดโกหัวเราะเบาๆ
“ฮะๆๆ อย่าเกรงใจเลยข้ามันก็แค่ตาเฒ่าที่ชอบคิดถึงความหลังเท่านั้นแหละ ว่าแต่พวกเจ้ามีธุระอะไรงั้นเหรอ”พอโดนถามถึงจุดประสงค์ชุนก็ดูมีท่าทางหนักใจเล็กน้อยอิคคิจึงเป็นฝ่ายพูดแทน
“พวกเราต้องการรู้เรื่องของศึกเทพยุทธ์เมื่อครั้งก่อน”โดโกไม่ถือสาคำพูดสั้นห้วนของอิคคิแม้แต่นิดเดียวทั้งยังยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางตอบ
“ได้สิข้าจะเล่าให้ฟัง ถ้าไงก็ไปที่วิหารไลบร้าดีกว่า”ว่าแล้วโดโกก็พาชุนกับอิคคิไปยังวิหารที่ตนเองถือเป็นเจ้าของมาตลอดร่วมสองหลายสิบขวบปี
“ว่าแต่ทำไมอยู่ๆถึงอยากรู้เรื่องเก่าเก็บแบบนั้นขึ้นมาล่ะ”เมื่อมาถึงวิหารโดโกก็เอ่ยปากถามพลางเชิญให้รุ่นน้องอายุคราวหลานทั้งสองนั่งลง ชุนเผยสีหน้าลำบากใจออกมาทันทีเมื่อถูกถามทางด้านอิคคิก็เงียบด้วยท่าทางที่คาดว่าคงหาคำอธิบายมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากลำบากพอกัน
“คือว่า...บอกไปก็คงฟังดูเหลือเชื่อน่ะครับ”ชุนไม่ได้คิดจะไม่ตอบแต่เรื่องน่าเหลือเชื่อพอๆกับจะเป็นปาฏิหาริย์นี่มันก็อธิบายยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆเสียอีกโดโกมองสองพี่น้องสลับไปมาก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้าเข้าใจ
“อืม....ถ้างั้นข้าจะเล่าให้ฟังก่อนก็แล้วกันไม่แน่ว่าเรื่องที่ข้าเล่ามาอาจฟังดูน่าเหลือเชื่อกว่าเรื่องของเจ้ามากเลยก็เป็นได้”ผู้เฒ่าโดโกพูดติดตลกเล็กน้อยก่อนจะเอนหลังผิงลงบนโซฟาพลางมองไปยังนอกหน้าต่างคล้ายกับจะรำลึกความหลังที่แสนห่างไกล
“เมื่อประมาณสองร้อยหลายสิบขวบปีก่อนหลังจากที่ข้าได้รับตำแหน่งโกลด์เซนต์มาไม่นานข้าก็ได้พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อิตาลีขณะปฏิบัติภารกิจ เด็กหนุ่มคนนั้นทั้งใจกล้าและบ้าบิ่นจนน่าโมโหระคนน่าหัวเราะเลยล่ะ เพราะครั้งแรกที่ได้พบกันนั้นคือในคืนที่พายุพัดโหมกระหน่ำเจ้าเด็กบ้านั่นกลับพยายามจะชกกองหินยักษ์ที่ปิดกั้นทางน้ำออกเพื่อไม่ให้น้ำท่วมหมู่บ้านด้วยตัวคนเดียว”พูดไปโดโกก็หัวเราะไปกับความบ้าบิ่นเกินตัวของคนที่เห็นแต่เมื่อลองสังเกตดูก็จะพบถึงความคิดถึงในน้ำเสียงนั้นด้วย
“ฟังดูบ้าใช่มั้ยล่ะแต่เด็กหนุ่มคนนั้นก็ทำได้จริงๆแม้จะทุลักทุเลแต่สุดท้ายมันก็ทำสำเร็จจนได้ นั่นคือการพบกันครั้งแรกของข้ากับเพกาซัส เท็นมะ”วินาทีนั้นชุนคล้ายกับได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรงขึ้นและคาดว่ามันคงเป็นความรู้สึกของอาโรนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในวิญญาณของเขาเป็นแน่
ต่อมาโดโกก็เล่าเรื่องของเพกาซัสเท็นมะต่ออีกเล็กน้อยโดยส่วนมากจะเป็นช่วงที่เท็นมะเป็นว่าที่เซนต์ เรื่องที่ได้พบว่าซาช่าเพื่อนสมัยเด็กคือเทพธิดาการศึก อาเธน่าจนกระทั่งได้กลายเป็นเซนต์และกลับไปยังบ้านเกิดซึ่งถูกพลังคอสโมสีดำปกคลุม
“ข้าเคยคิดมาตลอดว่าคนที่บอกว่าโชคชะตาช่างโหดร้ายนั้นคือคนอ่อนแอ แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตนเองแล้วข้าถึงรู้ว่าบางครั้งโชคชะตาก็ช่างโหดร้ายกับพวกเราจริงๆ เมื่อชะตาได้กำหนดให้อาโรนเพื่อนสนิทคนสำคัญของเท็นมะทั้งยังเป็นพี่ชายแท้ๆของท่านอาธีน่ากลับกลายเป็นร่างทรงของจ้าวนรกฮาเดส”พูดแล้วโดโกก็หลับตาด้วยท่าทางสลดใจแต่เมื่อลืมตาขึ้นใบหน้าที่ยังคงหนุ่มแน่นนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“แต่เท็นมะก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อให้ถูกฆ่าหรือถูกทำร้ายมากแค่ไหนมันก็ยังเชื่อมั่นในตัวของอาโรนจนถึงที่สุดทำให้สุดท้ายมันก็สามารถช่วยเหลืออาโรนได้สำเร็จ”รอยยิ้มของโดโกเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ น้ำเสียงของไลบร้าเซนต์แฝงความเอ็นดูเหมือนกับพี่ชายกล่าวชมน้องซึ่งความรู้สึกนี้อิคคิเองก็เข้าใจดี
“จริงสิข้ายังไม่เคยบอกพวกเจ้าสินะว่าศึกเทพยุทธ์ที่เกิดขึ้นครั้งก่อนนั้น แท้จริงแล้วผู้ที่บงการกองทัพยมโลกไม่ใช่ฮาเดสแต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอาโรน ร่างทรงของเทพซึ่งมีพลังความมุ่งมั่นมากถึงขนาดสะกดฮาเดสเอาไว้ได้”โดโกปรับสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมา ความจริงข้อนี้ชุนได้รับรู้เรียบร้อยแล้วจึงไม่ได้ตกใจอะไรมาก ส่วนอิคคิก็ไม่ใช่คนที่สนใจอดีตมากขนาดนั้นนอกจากเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจแล้วชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกไปอีก
“กองทัพยมโลกแทบทั้งหมดถูกอาโรนสังหารเพื่อการปลดปล่อยโดยไม่เว้น ตัวข้าไม่อาจเข้าใจความความปรารถนาดีที่แสนสิ้นหวังนั้นได้เลยแต่แล้วก็มีคนหนึ่งที่เข้าใจ สเป็คเตอร์หนุ่มที่มีแววตาแข็งกร้าวดุดันนามว่าเบนู คางาโฮะ”พูดจบโดโกก็มองไปยังอิคคิผู้มีเค้าหน้าคล้ายคลึงกับบุคคลในความทรงจำไม่มากก็น้อย แม้จะผ่านมานานแล้วแต่โดโกก็ยังพอจะจดจำใบหน้าของคางาโฮะได้พอสมควร
ทันทีที่ชื่อของคางาโฮะปรากฏขึ้นในบทสนทนาชุนก็รู้สึกเครียดเกร็งขึ้นมากะทันหัน มือเรียวบางเผลอจิกลงบนขาอย่างแรงจนน่ากลัวว่าจะเป็นรอยช้ำ การกระทำนี้ทำให้อิคคิที่นั่งอยู่ข้างกันยื่นมือมาดึงมือข้างนั้นมากุมเอาไว้ทันที ท่าทางที่แปลกไปของสองพี่น้องทำให้โดโกขมวดคิ้วด้วยความสงสัยนิดหน่อยก่อนจะเล่าต่อ
“คางาโฮะเข้าต่อสู้กับข้าจนตัวตายเพื่อปกป้องอาโรน ปิดฉากชีวิตบุรุษผู้น่าเศร้าลง จากนั้นเท็นมะก็เข้าต่อสู้กับอาโรนและคว้าชัยชนะมาได้ ทว่าวิญญาณฮาเดสที่อยู่ในร่างอาโรนมาตลอดกลับตื่นขึ้นเพื่อพิพากษาโลกใบนี้ ข้ากับชิออนจึงได้รวมพลังของโกลด์คล็อธขับไล่วิญญาณฮาเดสออกจากร่างของอาโรน แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้จบลง”เมื่อเรื่องราวกำลังจะถึงบทสรุปที่รอคอยใจของชุนกับอิคคิกลับเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่คล้ายกับความหวาดหวั่นในคำตอบที่กำลังจะได้รับ เซนต์สองพี่น้องต่างกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านอาธีน่า เท็นมะแล้วก็อาโรนได้เดินทางไปยังปราสาทมารหลังสุดท้ายเพื่อผนึกวิญญาณของฮาเดสแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย...”พริบตานั้นชุนถึงกับตกใจกระชับมือของอิคคิแน่นจนเล็บแทบจิกลงไปในเนื้อขณะเดียวกันหัวใจของอิคคิก็กระตุกวูบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกทรมาณที่เหมือนกับหัวใจถูกคว้านออกจนกลายเป็นแผลเหวอะ ลมหายใจติดขัดคล้ายคนขาดอากาศหายใจ
ความรู้สึกโศกเศร้าทุกข์ทรมาณคล้ายกับจะสิ้นใจตายลงไปเสียเดี๋ยวนี้ย่อมไม่ใช่ความรู้สึกของตัวเขาเอง อิคคิรู้ดีว่ามันเป็นความรู้สึกของคางาโฮะในตอนนี้ ความเจ็บปวดอันรุนแรงที่ถาโถมออกมากำลังครอบงำสติของเขาอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเองที่อิคคิคล้ายกับเห็นเปลวเพลิงสีทองลุกไหม้อยู่เบื้องหน้าของตนเอง
“พี่อิคคิ!”เสียงของน้องชายตะโกนเรียกแต่เขาก็ไม่อาจตอบออกไปได้ด้วยลำคอที่แห้งผากประหนึ่งถูกเปลวไฟแผดเผา ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจเจ็บปวดราวกับโดนมีดที่มองไม่เห็นแทงไปจนถึงแก่นของวิญญาณซึ่งแม้จะพยายามฝืนมากเท่าไรแต่สุดท้ายอิคคิก็ไม่อาจจะฝืนครองสติเอาไว้ได้อีกต่อไป
โดโกมองท่าทางที่แปลกไปของอิคคิด้วยความตกตะลึงเมื่อจู่ๆเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาก็มีท่าทางเหมือนกำลังทรมาณ พลังคอสโมที่พลุ่งพล่านก่อเกิดเปลวเพลิงขึ้นรอบกายของอิคคิแต่เปลวเพลิงเหล่านั้นกลับไม่ได้เผาไหม้สิ่งใดเลยจนเหมือนเป็นเพียงภาพลวงตาหากแต่ความร้อนที่ส่งมากลับเป็นของจริงอย่างแน่นอน
“ท่านอาโรน......”วินาทีนั้นชื่อที่ไม่เคยได้ยินคนอื่นพูดมาแสนนานได้ออกมาจากปากของเซนต์ฟินิกซ์ที่ยื่นอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับเปลวเพลิงสีทองที่เข้าครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณไม่ต่างกับดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง
อุณหภูมิของความร้อนที่อยู่ตรงหน้ากำลังดึงสติของโดโกให้ย้อนเวลากลับไปเมื่อสองร้อยหลายสิบขวบปีก่อน ภาพความทรงจำเริ่มแจ่มชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ไลบร้าเซนต์หวนนึกถึงยามที่ตนได้ประมือกับเจ้าของเปลวเพลิงร้อนแรงนี้ที่ปราสาทของฮาเดส ร่างสีดำทมิฬที่พุ่งเข้ามาปะทะกับเขาด้วยแววตาเกรี้ยวกราดแต่กลับเก็บซ่อนความเหงาหงอยเอาไว้ไม่ต่างกับลูกนกหลงทาง
แววตาที่เหมือนกับแววตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า แววตานี้ที่เขายังจำได้ดีรวมถึงใบหน้าในความทรงจำอันแสนยาวนานที่เริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แม้มันจะน่าเหลือเชื่อมากจนไม่คาดคิดว่าจะเป็นความจริงแต่โดโกก็ไม่อาจปฏิเสธคำตอบที่ตนเองค้นพบได้เลย
“ไม่จริงน่า....เจ้าคือคางาโฮะงั้นเหรอ”
................เพราะตอนนี้คนที่ผมกำลังรู้สึกเกลียดที่สุดจนทนไม่ไหวก็คือ..................
ณ สนามบินแห่งหนึ่งชุนกำลังนั่งรออิคคิที่เดินไปเช็คอินกับโหลดกระเป๋าอยู่เงียบๆท่ามกลางฝูงชนจำนวนไม่น้อยรอบกาย ระหว่างที่รอชุนก็คิดทบทวนถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้น
เขาคิดถึงคืนแรกที่ได้พบกับคางาโฮะ...ชายหนุ่มผู้ที่เคยเป็นอดีตชาติของพี่ชายของเขา ชายหนุ่มผู้มีเปลวเพลิงอันเกรี้ยวกราดและดุดันแต่กลับมีแววตาเหงาหงอยอย่างไม่น่าเชื่อ จากนั้นชุนก็พลันนึกถึงใบหน้าเศร้าๆตอนที่เขาพูดถึงศึกเทพยุทธิ์ในยุคนี้
“ในตอนนั้นคุณกำลังคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ”เขาถามกับความว่างเปล่าเบื้องหน้าเพราะแม้จะอยากรู้คำตอบแต่กลับไม่อยากที่จะถามโดยตรง
ครั้นแล้วชุนก็ได้แต่ลองจินตนาการดูว่าหากตัวเขาต้องตายจากไปและตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อพบว่าคนที่เขารักไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้วมันจะเป็นเช่นไรกัน คนแรกที่ชุนคิดถึงก็คือ อิคคิ พี่ชายที่อยู่กับเขามาชั่วชีวิตและจะอยู่กับเขาตลอดไป
“โลกที่ไม่มีพี่อิคคิงั้นเหรอ”หากว่าโลกนี้ไม่มีอิคคิ เขาจะเป็นอย่างไรกันนะ...จะยังสามารถยิ้มได้อยู่รึเปล่า
คำตอบที่ชัดเจนและแน่นอนก็คือ ไม่
โลกที่ไม่มีอิคคิสำหรับเขาแล้วมันก็แทบจะไร้ความหมายไปในทันที จริงอยู่ที่เขาอาจมีเพื่อนพ้องมากมายแต่ก็ไม่มีใครสำคัญไปมากกว่าอิคคิอีกแล้ว รู้สึกในอกหนักอึ้งและอึดอัดจนหายใจไม่ออกคล้ายน้ำตาจะไหลรื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้จนเหมือนกับมีใครสักคนกำลังร้องไห้อยู่ในตัวของเขา
วินาทีต่อมาเบื้องหน้าที่ควรจะเป็นฝูงชนมากมายกลับกลายเป็นทุ่งร้างที่แสนว่างเปล่า ท้องฟ้าสีดำสนิทไร้แสงตะวัน ผืนดินแห้งแล้งมีเพียงบ่อน้ำสีแดงดั่งเลือดกระจายอยู่ไปทั่ว ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ทรมาณตลอดเวลา
สถานที่ซึ่งไม่มีอยู่บนโลกแต่กลับเป็นสถานที่ที่เขารู้จักเป็นอย่างดีราวกับเป็นบ้านของตัวเองซึ่งคงเป็นเพราะความทรงจำของจ้าวนรกที่ยังติดค้างอยู่ในตัวของเขา ดินแดนแห่งจุดสิ้นสุดของผู้วายชนม์ซึ่งมีนามว่า ยมโลก
มือของเขากำลังถือบางสิ่งอยู่ทั้งที่เมื่อครู่ยังว่างเปล่าอยู่แท้ๆ สิ่งนั้นมีลักษณะเรียวยาวคล้ายกับดินสอ พอสิ่งนั้นขยับก็บังเกิดสีสันแต่งแต้มลงไปบนผืนผ้าใบที่อยู่ข้างกาย ภาพของเหล่าวิญญาณอันน่าเวทนาค่อยๆกลายเป็นเทวาสีขาวบริสุทธิ์บนผืนผ้าใบนั้น
ดินแดนยมโลกนี้มันแสนเศร้านักคางาโฮะ...
เสียงของใครคนหนึ่งที่รู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นเสียงของตนเองกำลังพูดกับใครคนหนึ่งที่เขารู้จัก น้ำเสียงเศร้าสร้อยเอ่ยถึงสถานที่อันรกร้างด้วยความสงสารจากใจจริง
ผมอยากช่วยเหลือทั้งคนเป็นและคนตาย คางาโฮะ...รวมไปถึงน้องชายของเธอที่น่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในดินแดนยมโลกนี้ด้วย จำเป็นต้องทำให้ทุกสิ่งสูญสิ้นไป ผมจะแต่งแต้ม ผมจะสร้างความตายครั้งใหม่เพื่อการปลดปล่อย
ความปรารถนาที่แสนอ่อนโยนอย่างโหดร้ายถูกเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง โทนเสียงนั้นมีแต่ความจริงใจอันบริสุทธิ์หากแต่ถ้อยคำที่แสนสิ้นหวังนั้นกลับชวนให้รู้สึกเหมือนเทวาอันบริสุทธิ์ที่ร่วงหล่นสู่ความมืดไม่มีผิดและบางทีเจ้าของเสียงนั้นคงรู้ตัวในความจริงข้อนี้ดีจึงได้เอ่ยถามออกไป
คางาโฮะ ตัวผมเป็นผู้บาปหนาสาหัสหรือไม่?
พลันนั้นเองที่เขาได้มองเห็นใบหน้าของคางาโฮะที่คุกเข่าอยู่เบื้องหลังตนเอง ในดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นสะท้อนภาพเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีดวงหน้าอ่อนเยาว์ซึ่งแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแสนเศร้าอยู่ ขณะที่คางาโฮะกำลังจะเอ่ยตอบภาพทุกอย่างกลับหายวับไปเหลือแต่เพียงเสียงที่คล้ายจะคุ้นเคยนั้นดังก้องอยู่
คางาโฮะ
ทั้งที่มีเพียงแค่เสียงแต่ชุนกลับรู้สึกเหมือนเจ้าของเสียงนั้นกำลังยื่นมือออกไปยังความมืดที่ว่างเปล่าเพื่อค้นหาใครคนหนึ่งและความรู้สึกโหยหาที่ซ่อนอยู่ในเสียงนั้นก็ส่งผลให้ชุนร้องเรียกออกไปอย่างไม่ตั้งใจ
“คางาโฮะ....”
หมับ...
มือที่ยื่นออกไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ตัวสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและหยาบกร้าน สัมผัสของฝ่ามืออันคุ้นเคยเรียกสติของชุนให้กลับมาอย่างรวดเร็วและพอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าอิคคิกำลังจับมือเขาเอาไว้อย่างที่คิด
“พี่อิคคิ...”เสียงเรียกชื่อของชุนติดจะเลื่อนลอยเล็กน้อยส่งผลให้อิคคิต้องขมวดคิ้ว
“นายเป็นอะไร พอฉันมาถึงก็เห็นนายกำลังนั่งเหม่ออยู่ดีๆก็ยื่นมือออกไปข้างหน้าอีกด้วย”คำถามของอิคคิไม่ใช่คำถามที่ตอบยากแต่ชุนไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบไปอย่างไรดี เมื่อภาพนิมิตรที่เห็นนั้นคล้ายจะเป็นอดีตของร่างทรงคนหนึ่งที่มีนามว่า อาโรน
“คือผม....”ไม่ใช่ไม่อยากตอบแต่ชุนเรียบเรียงคำไม่ถูก สุดท้ายอิคคิจึงได้แต่ถอนหายใจน้อยๆแล้วออกแรงดึงให้ชุนลุกขึ้น
“ไปกันเถอะ ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”ทั้งที่ชุนยืนอย่างมั่นคงแล้วแต่อิคคิก็ยังไม่ยอมที่จะปล่อยมือ แน่นอนว่าชุนไม่ได้ว่าอะไรทั้งยังจับตอบและออกเดินไปด้วยกัน
บนเครื่องบินมีผู้โดยสารไม่มากนักเพราะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวหรือช่วงที่มีวันหยุดยาวซึ่งก็ทำให้อิคคิดูค่อนข้างพอใจที่ไม่ต้องมาเบียดเสียดแออัดกับฝูงชน หลังหาที่นั่งติดหน้าต่างเจอชุนก็เข้าไปนั่งโดยมีอิคคินั่งลงข้างกัน
“ถ้าง่วงก็นอนไปเลยก็ได้ถึงแล้วเดี๋ยวฉันจะปลุก”ชุนพยักหน้าพลางรับผ้าห่มที่อิคคิยื่นมาให้ เด็กหนุ่มจัดท่าให้นอนสบายที่สุดแล้วหลับตาลง ไม่นานเด็กหนุ่มก็หลับไปในขณะที่อีกคนยังตื่นอยู่และเฝ้ามองใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นยามหลับ
คงเพราะต้องรีบตื่นเช้ามากชุนถึงได้รู้สึกเพลียๆนิดหน่อยประกอบกับอยู่ข้างกายอิคคิชุนจึงสามารถหลับได้อย่างสบายใจ ชายหนุ่มยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่บดบังดวงหน้านั้นออกไปเบาๆด้วยกลัวว่าคนตัวเล็กข้างกายจะตื่นขึ้นมา
“ชุน...”เขาเอ่ยชื่อแต่ไม่ต้องการให้น้องชายตอบกลับ อิคคิเพรียกเพียงเพราะแค่อยากเรียก
หลังจากคืนนั้นคางาโฮะก็ไม่ปรากฏตัวออกมาอีกซึ่งเขากับชุนคาดว่าคางาโฮะคงใช้พลังไปไม่น้อยกับการปรากฏตัวบนโลกใบนี้ทำให้ต้องหลับพักผ่อน ตอนแรกชุนก็ร้อนใจกลัวว่าคางาโฮะจะหายไป
ท่าทางร้อนใจของชุนที่เป็นห่วงคางาโฮะทำให้อิคคิหงุดหงิดขึ้นมาดังนั้นอิคคิจึงพยายามร้องเรียกในใจอีกครั้งและดูเหมือนคางาโฮะจะสัมผัสความเป็นห่วงของชุนได้จึงตอบกลับมาว่าไม่เป็นไรแค่ต้องการพักเท่านั้น ชุนถึงสบายใจ
เพียงแค่นึกเรื่องนั้นเขาก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ เขาไม่ต้องการให้ชุนเป็นห่วงใครมากกว่าเขาหรือเห็นใครสำคัญกว่าเขา ชุนเป็นน้องชายและเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา จริงอยู่ที่เซนต์จะต้องอุทิศชีวิตเพื่ออาเธน่าแต่แท้จริงแล้วคนที่อิคคิจะอุทิศให้ทั้งหมดกลับเป็นชุน
ขอเพียงให้ชุนยังปลอดภัย มีความสุขและยังมีรอยยิ้มที่งดงามอยู่เพียงแค่นั้นเขาก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ทว่าทั้งที่เคยคิดเช่นนั้นมาตลอดแต่เพียงเพราะการมีอยู่ของคางาโฮะทำให้ความรู้สึกของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เขาไม่อยากให้ชุนยิ้มให้คนอื่นนอกจากเขา ขอแค่ชุนโดนคนอื่นที่ไม่ใช่เขาแตะต้องเขาก็ไม่อาจห้ามโทสะของตัวเองได้ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่อยากจะยอมรับและโกหกไปว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกของเขาทั้งที่ความจริงแล้วเขา....
“พี่อิคคิ...”เสียงเรียกแผ่วเบาของชุนทำให้อิคคิหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองและหันไปมอง ชุนยังคงหลับอยู่แต่กลับยกมือขึ้นจับชายเสื้อเขาเอาไว้เหมือนเด็กขี้เหงา อิคคิไม่อาจปฏิเสธความพอใจที่เกิดขึ้นนี้ได้เลย
รอยยิ้มจางๆเกิดขึ้นบนใบหน้าดุดันอยู่เสมอของอิคคิ ชายหนุ่มผู้พี่ลูบเส้นผมนุ่มๆของน้องหลายครั้งก่อนจะแกะมือที่จับชายเสื้อมากุมไว้และก้มลงจูบที่หน้าผากของชุนเบาๆ
ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรกันหรือบางมันอาจถูกเก็บซ่อนเอาไว้โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัวแต่อิคคิก็รู้จักตัวเองดีพอที่จะรู้ว่าตอนนี้เขามองชุนด้วยสายตาอย่างไรเพียงแต่อีกใจหนึ่งของเขากลับปฏิเสธ เพราะว่าชุนเป็นน้องชายของเขา มันเป็นเหตุผลง่ายๆที่เจ็บปวดที่สุดในเวลาเดียวกัน
อาจเป็นเพราะเหตุผลนั้นเพียงข้อเดียวก็ได้ที่ทำให้เขาไม่อาจยอมรับความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ไม่แน่ว่าคนที่ควรจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกของตัวเองอย่างซื่อตรงจะไม่ใช่คางาโฮะแต่เป็นตัวของเขาเองใกกว่า แต่ว่าต่อให้เขายอมรับได้แล้วชุนล่ะ?
“ชุน..นายคงไม่รู้สินะว่าพี่น่ะ...”แล้วอิคคิก็เงียบไป คนที่เคยกล้าหาญเช่นเขาในเวลานี้กลับขี้ขลาดจนน่าขัน แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงเพียงเพื่อสูญเสียน้องชายของตัวเองไป
บางครั้งอิคคิก็รู้สึกเหมือนชุนเองก็รู้สึกเหมือนเขาแต่ก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะยืนยัน หลายครั้งที่ใกล้ชิดกันท่าทางของชุนคล้ายกับจะปฏิเสธเขาขณะเดียวกันก็เหมือนกับจะยินดีจนหลายครั้งที่เขาเกือบจะก้าวข้ามความเป็นพี่น้องกันไป
“ฉันเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปว่าแกสินะ คางาโฮะ”อิคคิพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่นแต่แววตากลับเจือด้วยความสุขที่ตนเองยังสามารถกุมมือคนสำคัญเอาไว้ได้
หลายชั่วโมงผ่านไปชุนลืมตาตื่นขึ้นพลางขยับตัวเปลี่ยนท่าหลังจากที่นอนท่าเดิมมานานและพบว่ามือของเขาจับกุมมือของอิคคิไว้แน่น พอหันไปมองใบหน้าคมเข้มของพี่ชายก็อยู่ในระยะใกล้ที่มากพอจะทำให้รู้สึกหน้าแดงซ่านขึ้นมาได้
ชุนรู้สึกว่าใบหน้าร้อนขึ้นมานิดหน่อยแต่ก็ไม่อาจห้ามสายตาที่กำลังสำรวจใบหน้ายามหลับของพี่ชายเอาไว้ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นใบหน้าตอนหลับของอิคคิแม้จะไม่บ่อยนักแต่ก็เป็นใบหน้าที่ควรจะชินตา ยามหลับคิ้วที่เคยขมวดอยู่บ่อยครั้งก็คลายออก สีหน้าแลดูผ่อนคลายจนชวนให้มองอย่างไม่วางตา
ครั้นแล้วชุนก็หวนคิดถึงครั้งหนึ่งที่เคยได้สัมผัสใกล้ชิดกับอิคคิ ชุนกำลังนึกถึงรสจูบในวันนี้ที่พี่ชายมอบให้กับเขา แม้จะเป็นเพียงการป้อนยาแต่มันก็ทำให้ใจของชุนเต้นระรัวอย่างไม่อาจห้ามได้ เขาค้นพบว่าตัวเองไม่ได้รังเกียจรสสัมผัสอันหอมหวานนั้นแม้แต่นิดเดียว
ใบหน้าของพี่ชายที่ชิดใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆส่งผลให้ผิวหน้าร้อนจนแทบสุก ริมฝีปากแนบชิดถ่ายเทยารสขมมาให้แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกหวานล้ำยิ่งกว่าสิ่งใด ตอนนั้นชุนได้แต่ภาวนาให้อิคคิอย่าได้รับรู้เสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองเลย
ต่อให้เป็นพี่น้อง....ไม่สิ ทั้งที่เป็นพี่น้องและยังเป็นผู้ชายเหมือนกันแต่ชุนไม่รู้สึกรังเกียจที่โดนอิคคิจูบเลย บางทีอิคคิอาจทำไปโดยไม่คิดอะไรพอเป็นแบบนั้นชุนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าที่รู้สึกใจเต้นแรงอยู่เพียงคนเดียว ซ้ำยังบ้ายิ่งกว่าเดิมเมื่อเขายินยอมให้คางาโฮะสัมผัสตนเอง
ในคืนหนึ่งหลังจากนั้นไม่นานคางาโฮะก็ได้รั้งร่างเขาเข้าไปกอดพร้อมประทับจูบลงมาอย่างอ่อนโยน ความจริงเขาควรจะปฏิเสธตั้งแต่ต้นแต่ก็ม่ได้ทำ อีกฝ่ายจูบและสัมผัสเขาอย่างทะนุถนอมจนเผลอโอนอ่อนผ่อนตามไปอย่างไม่อาจห้ามใจได้
“น่ารังเกียจจริงๆ”สิ่งที่ชุนนึกรังเกียจไม่ใช่อิคคิหรือคางาโฮะแต่เป็นตัวเขาเองที่รู้สึกยินดีในอ้อมกอดของทั้งสองคน
ชุนไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นความสงสารเห็นใจจึงยอมให้คางาโฮะสัมผัสและยิ่งละอายใจเกินกว่าจะบอกว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหนกับการถูกคางาโฮะจูบ เขาที่รู้สึกใจเต้นแรงยามถูกอิคคิจูบกับความพอใจที่ได้รับความรักจากคางาโฮะทำให้ชุนรู้สึกรังเกียจและสมเพชตัวเองจนทนไม่ไหว
อิคคิกับคางาโฮะคงไม่รู้แต่หลังจากนั้นยามที่เขาอยู่เพียงคนเดียวในห้องนอนของตัวเอง ตัวเขาถึงกับต้องซุกหน้าลงกับหมอนเพื่อร้องไห้ระบายความรู้สึกสมเพชตัวเองออกมาอยู่เป็นเวลานาน
ชุนปฏิเสธคางาโฮะไปโดยบอกว่าไม่ได้รักแต่กลับเสียใจที่ตัวเองบอกออกไปแบบนั้น สุดท้ายชุนได้แต่หันหน้าไปหาอิคคิแล้วชวนให้พี่ชายออกไปเที่ยวด้วยกันเพื่อที่จะกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองแต่แล้วเรื่องมันกลับย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมเมื่อชุนพบว่าเขากลับมีความสุขกับการได้อยู่กับอิคคิมากจนลืมความเศร้าไปหมดอย่างที่ต้องการ
เขาควรจะพอใจแต่ส่วนหนึ่งในหัวใจกลับรู้สึกว่างเปล่าคล้ายกับว่ามีบางสิ่งที่สำคัญขาดหายไป ท่ามกลางความสับสนมากมายชุนรู้อยู่เพียงอย่างเดียวว่าเขาไม่อยากเสียคางาโฮะไป ทั้งที่เขาทำร้ายและเป็นฝ่ายผลักไสคางาโฮะออกไปแต่พอกลายเป็นแบบนั้นจริงตัวเขากลับเรียกร้องหาคางาโฮะ
“ทำไมผมถึงต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย”เด็กหนุ่มยังคงไม่เข้าใจในความรู้สึกของตัวเองและตอนนี้ยิ่งไม่แน่ใจว่าทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นของตัวเขาหรือจะเป็นของใครคนหนึ่งที่อยู่ในตัวของเขากันแน่
“อาโรน นี่เป็นความรู้สึกของคุณรึเปล่า”เสียงหวานถามอย่างเลื่อนลอยเพราะไม่อาจคาดหวังให้เจ้าของชื่อที่ไร้ตัวตนนั้นตอบกลับมาได้
ผ่านไปครู่หนึ่งเสียงของแอร์โฮสเตสสาวก็ประกาศว่าเครื่องกำลังจะลงจอดที่สนามบินประเทศกรีซ อิคคิลืมตาตื่นขึ้นหันไปทางน้องชายที่นั่งอยู่ข้างกัน ชุนส่งยิ้มที่ดูฝืดฝืนเล็กน้อยกลับไปให้ แน่นอนว่าอิคคิก็สังเกตเห็นแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากกระชับมือที่จับกุมกันเอาไว้แน่นเท่านั้น
หลังลงจากเครื่องอิคคิกับชุนก็ได้คนของตระกูลคิโดะมารับเพื่อตรงไปยังแซงค์ทัวรี่โดยตรงซึ่งทำให้เขาทั้งสองคนประหยัดเวลาไปได้มากพอสมควร เมื่อมาถึงสิ่งแรกที่สองพี่น้องต้องทำก็คือไปเข้าเฝ้าอาธีน่าตามมารยาทที่พึงกระทำและผู้ที่มายืนต้อนรับอยู่ที่วิหารแรกก็คือ.....
“ชุน อิคคิ ยินดีต้อนรับ”อดีตเพกาซัสหนุ่มหรือตอนนี้ก็คือโกลด์เซนต์ ซาจิทาเรียสเซย์ย่ากล่าวทักทายด้วยท่าทางเป็นกันเอง แน่นอนว่าชุนก็ยิ้มและทักทายกลับส่วนอิคคิเพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อยเท่านั้นแต่เซย์ย่าก็เคยชินกับท่าทางของสหายร่วมศึกเกินกว่าจะใส่ใจ
“ไม่ได้เจอกันนาน นายสองคนสบายดีสินะ”ชุนหัวเราะเบาๆกลบเกลื่อนคำถามง่ายๆที่ตอบยากก่อนถามถึงใครคนหนึ่งที่เป็นจุดประสงค์หลักในการมาแซงค์ทัวรี่
“ท่านผู้เฒ่าโดโกยังอยู่ที่นี่ใช่มั้ย”แม้ตอนแรกที่แจ้งว่าจะมาแซงค์ทัวรี่เพื่อพบกับโดโกและได้รับการยืนยันแล้วว่าโดโกยังอยู่ที่นี่แต่ชุนก็ยังอยากถามอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ หลังจบศึกกับฮาเดสท่านผู้เฒ่าก็บอกว่าจะอยู่ที่นี่สักพักเพื่อช่วยฟื้นฟูแซงค์ทัวรี่แล้วค่อยกลับเขาโกโรโฮน่ะ”ได้ฟังเซย์ย่ายืนยันแล้วชุนก็รู้สึกโล่งอกที่ตนมาไม่เสียเที่ยวแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกโหวงๆในอกอย่างกังวลใจคล้ายเด็กที่ลุ้นคำตอบของข้อสอบ
“ไปกันเถอะ อาธีน่ากำลังรออยู่”แล้วเซย์ย่าก็เดินนำออกไปโดยมีอิคคิกับชุนเดินตามหลัง ตอนนั้นเองที่ชุนรู้สึกว่าภายในอกของเขารู้สึกแปลกๆเมื่อได้ยินเซย์ย่าเรียกอาธีน่าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนหน้านี้ชุนไม่เคยรู้สึกอะไรไม่เหมือนกับความรู้สึกที่คล้ายกับจะเจ็บปวดอยู่ลึกๆในอกนี้
เด็กหนุ่มทอดมองคนที่เดินอยู่เบื้องหน้าพลางคิดถึงคำพูดของท่านผู้เฒ่าโดโกที่เคยบอกว่าเพกาซัสคนก่อนเป็นเพื่อนสนิทกับร่างทรงจ้าวนรกฮาเดสและเมื่อประกอบกับคำพูดของคางาโฮะก่อนหน้านี้ทำให้ชุนค่อนข้างแน่ใจว่า ความสัมพันธ์ของเพกาซัสคนก่อนกับอาโรนจะต้องลึกซึ้งมากอย่างแน่นอนและมันคงมากพอที่จะทำให้เจ็บปวดได้เมื่อคนๆนั้นกำลังพูดถึงคนอื่นอย่างมีความสุข
ความเจ็บปวดนี้ก็เป็นความรู้สึกของคุณสินะ อาโรน....แล้วความรู้สึกที่มีต่อคางาโฮะล่ะ คือของผมหรือว่าของคุณ....
การเข้าเฝ้าอาธีน่าใช้เวลาเพียงไม่นานเท่านั้นเพราะว่าตอนนี้ทุกคนในแซงค์ทัวรี่ต่างก็ยุ่งกับการคัดเลือกคนขึ้นมาทำหน้าที่โกลด์เซนต์คนใหม่แทนเหล่าบุคคลที่เสียชีวิตไปทั้งยังต้องคอยระแวดระวังพลังความมืดที่สัมผัสได้อีกทำให้ชุนรู้สึกผิดไม่น้อยที่มารบกวนด้วยเรื่องส่วนตัวแม้อาธีน่าจะไม่ว่าอะไรก็ตาม
“ท่านผู้เฒ่าอยู่ที่สุสานน่ะ”เซย์ย่าว่าพลางชี้ยังไปอีกทิศหนึ่งซึ่งพอมองออกไปก็พบกับเนินเขาสีเขียวซึ่งมีป้ายหลุมศพวางประดับอยู่มากมาย
“ขอโทษที่มารบกวนนะ”ชุนกล่าวขอโทษในขณะที่อิคคิยังคงเงียบเหมือนเดิม เซย์ย่ายิ้มพลางโบกมือคล้ายบอกว่าอย่าใส่ใจแล้วจึงขอตัวไปช่วยคัดเลือกว่าที่เซนต์รุ่นใหม่ทำให้สองพี่น้องต้องไปหาโดโกเพียงลำพัง
สุสานของสหายร่วมศึกอยู่ไม่ไกลจากวิหารโกล์เซนต์มากนักมันจึงใช้เวลาไม่นานเลยในการเดินไป ผ่านไปสิบนาทีสองพี่น้องก็มาถึงเขตสุสานที่ว่า ป้ายหลุมศพสีขาวจำนวนไม่น้อยตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าจนชวนให้รู้สึกสลดใจไม่น้อย ดอกไม้นานาชนิดถูกจัดวางลงบนหน้าป้ายหลุมศพคล้ายจะเพื่อปลอบใจทั้งผู้ตายและผู้ที่มีชีวิตอยู่
เมื่อเดินลึกเข้าไปชุนก็พบกับป้ายหลุมศพของโกลด์เซนต์ทีละคน...ซาจิทาเรียส...แคปริคอร์น....อคอเรียส...สกอร์เปี้ยน...เจมินี่ทั้งสอง...และยังของคนอื่นอีกหลายคนจนกระทั่งไปถึงหลุมศพของเคียวโกองค์ก่อน อดีตโกล์เซนต์แอเรียส ชิออน...
หน้าหลุมศพของโกลด์เซนต์ทุกคนถูกประดับด้วยดอกไม้ชนิดเดียวกันบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นฝีมือของคนเดียวกันและคนที่ว่านั้นคือชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังวางมือทาบลงบนป้ายหลุมศพเย็นชืดพลางวางดอกไม้ในมือลงอย่างนุ่มนวล
“ไม่นึกเลยนะว่าข้าจะเป็นคนสุดท้ายที่เหลืออยู่จากยุคสมัยนั้น”ใบหน้าของชายหนุ่มที่ก้าวข้ามกาลเวลาแลดูเศร้าสร้อยและเหงาหงอยไม่ต่างกับน้ำเสียงที่กำลังเอ่ยออกมา ท่าทางของโดโกทำให้ชุนกับอิคคิได้แต่ยืนดูอยู่เงียบๆไม่กล้าเข้าไปแทรกแม้แต่นิดเดียว
“ท่านเคียวโกเซจกับท่านผู้เฒ่าฮาคุเรย์จะรู้สึกเหมือนกับข้าในตอนนี้ไหมนะ”กับการต้องมากลบฝังร่างของเหล่าสหายร่วมอุดมการณ์ทีละคนแล้วมีชีวิตต่อไปเพื่อสืบทอดปณิธานอันแรงกล้าเอาไว้ โกลด์เซนต์ไลบร้าลุกขึ้นยืนกระชับหมวกสานที่ใส่อยู่ประจำแล้วจึงยิ้ม
“ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสืบทอดตำนานทั้งหมดของพวกเจ้า ดังนั้นจงคอยดูวิถีชีวิตของข้าจากเบื้องบนพร้อมกับทุกคนเถอะนะ ชิออน”พูดจบโดโกก็เดินห่างออกจากหน้าหลุมศพด้วยท่าทางคล้ายกับอาลัยอาวรณ์ก่อนหันมากล่าวทักทายทั้งสองคนด้วยท่าทางเป็นกันเอง
“ขอโทษที่ทำให้รอ พอดีข้ากำลังกล่าวลากับสหายเก่าน่ะ”
“พวกผมต่างหากที่มารบกวนเวลาท่านผู้เฒ่า”ชุนกล่าวด้วยความนอบน้อมพลางโค้งตัวน้อยๆเพื่อขออภัยส่งผลให้โดโกหัวเราะเบาๆ
“ฮะๆๆ อย่าเกรงใจเลยข้ามันก็แค่ตาเฒ่าที่ชอบคิดถึงความหลังเท่านั้นแหละ ว่าแต่พวกเจ้ามีธุระอะไรงั้นเหรอ”พอโดนถามถึงจุดประสงค์ชุนก็ดูมีท่าทางหนักใจเล็กน้อยอิคคิจึงเป็นฝ่ายพูดแทน
“พวกเราต้องการรู้เรื่องของศึกเทพยุทธ์เมื่อครั้งก่อน”โดโกไม่ถือสาคำพูดสั้นห้วนของอิคคิแม้แต่นิดเดียวทั้งยังยิ้มออกมาเล็กน้อยพลางตอบ
“ได้สิข้าจะเล่าให้ฟัง ถ้าไงก็ไปที่วิหารไลบร้าดีกว่า”ว่าแล้วโดโกก็พาชุนกับอิคคิไปยังวิหารที่ตนเองถือเป็นเจ้าของมาตลอดร่วมสองหลายสิบขวบปี
“ว่าแต่ทำไมอยู่ๆถึงอยากรู้เรื่องเก่าเก็บแบบนั้นขึ้นมาล่ะ”เมื่อมาถึงวิหารโดโกก็เอ่ยปากถามพลางเชิญให้รุ่นน้องอายุคราวหลานทั้งสองนั่งลง ชุนเผยสีหน้าลำบากใจออกมาทันทีเมื่อถูกถามทางด้านอิคคิก็เงียบด้วยท่าทางที่คาดว่าคงหาคำอธิบายมาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากลำบากพอกัน
“คือว่า...บอกไปก็คงฟังดูเหลือเชื่อน่ะครับ”ชุนไม่ได้คิดจะไม่ตอบแต่เรื่องน่าเหลือเชื่อพอๆกับจะเป็นปาฏิหาริย์นี่มันก็อธิบายยากเกินกว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆเสียอีกโดโกมองสองพี่น้องสลับไปมาก่อนจะพยักหน้าด้วยสีหน้าเข้าใจ
“อืม....ถ้างั้นข้าจะเล่าให้ฟังก่อนก็แล้วกันไม่แน่ว่าเรื่องที่ข้าเล่ามาอาจฟังดูน่าเหลือเชื่อกว่าเรื่องของเจ้ามากเลยก็เป็นได้”ผู้เฒ่าโดโกพูดติดตลกเล็กน้อยก่อนจะเอนหลังผิงลงบนโซฟาพลางมองไปยังนอกหน้าต่างคล้ายกับจะรำลึกความหลังที่แสนห่างไกล
“เมื่อประมาณสองร้อยหลายสิบขวบปีก่อนหลังจากที่ข้าได้รับตำแหน่งโกลด์เซนต์มาไม่นานข้าก็ได้พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อิตาลีขณะปฏิบัติภารกิจ เด็กหนุ่มคนนั้นทั้งใจกล้าและบ้าบิ่นจนน่าโมโหระคนน่าหัวเราะเลยล่ะ เพราะครั้งแรกที่ได้พบกันนั้นคือในคืนที่พายุพัดโหมกระหน่ำเจ้าเด็กบ้านั่นกลับพยายามจะชกกองหินยักษ์ที่ปิดกั้นทางน้ำออกเพื่อไม่ให้น้ำท่วมหมู่บ้านด้วยตัวคนเดียว”พูดไปโดโกก็หัวเราะไปกับความบ้าบิ่นเกินตัวของคนที่เห็นแต่เมื่อลองสังเกตดูก็จะพบถึงความคิดถึงในน้ำเสียงนั้นด้วย
“ฟังดูบ้าใช่มั้ยล่ะแต่เด็กหนุ่มคนนั้นก็ทำได้จริงๆแม้จะทุลักทุเลแต่สุดท้ายมันก็ทำสำเร็จจนได้ นั่นคือการพบกันครั้งแรกของข้ากับเพกาซัส เท็นมะ”วินาทีนั้นชุนคล้ายกับได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรงขึ้นและคาดว่ามันคงเป็นความรู้สึกของอาโรนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในวิญญาณของเขาเป็นแน่
ต่อมาโดโกก็เล่าเรื่องของเพกาซัสเท็นมะต่ออีกเล็กน้อยโดยส่วนมากจะเป็นช่วงที่เท็นมะเป็นว่าที่เซนต์ เรื่องที่ได้พบว่าซาช่าเพื่อนสมัยเด็กคือเทพธิดาการศึก อาเธน่าจนกระทั่งได้กลายเป็นเซนต์และกลับไปยังบ้านเกิดซึ่งถูกพลังคอสโมสีดำปกคลุม
“ข้าเคยคิดมาตลอดว่าคนที่บอกว่าโชคชะตาช่างโหดร้ายนั้นคือคนอ่อนแอ แต่พอได้มาเห็นด้วยตาตนเองแล้วข้าถึงรู้ว่าบางครั้งโชคชะตาก็ช่างโหดร้ายกับพวกเราจริงๆ เมื่อชะตาได้กำหนดให้อาโรนเพื่อนสนิทคนสำคัญของเท็นมะทั้งยังเป็นพี่ชายแท้ๆของท่านอาธีน่ากลับกลายเป็นร่างทรงของจ้าวนรกฮาเดส”พูดแล้วโดโกก็หลับตาด้วยท่าทางสลดใจแต่เมื่อลืมตาขึ้นใบหน้าที่ยังคงหนุ่มแน่นนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
“แต่เท็นมะก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อให้ถูกฆ่าหรือถูกทำร้ายมากแค่ไหนมันก็ยังเชื่อมั่นในตัวของอาโรนจนถึงที่สุดทำให้สุดท้ายมันก็สามารถช่วยเหลืออาโรนได้สำเร็จ”รอยยิ้มของโดโกเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ น้ำเสียงของไลบร้าเซนต์แฝงความเอ็นดูเหมือนกับพี่ชายกล่าวชมน้องซึ่งความรู้สึกนี้อิคคิเองก็เข้าใจดี
“จริงสิข้ายังไม่เคยบอกพวกเจ้าสินะว่าศึกเทพยุทธ์ที่เกิดขึ้นครั้งก่อนนั้น แท้จริงแล้วผู้ที่บงการกองทัพยมโลกไม่ใช่ฮาเดสแต่แท้จริงแล้วกลับเป็นอาโรน ร่างทรงของเทพซึ่งมีพลังความมุ่งมั่นมากถึงขนาดสะกดฮาเดสเอาไว้ได้”โดโกปรับสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมา ความจริงข้อนี้ชุนได้รับรู้เรียบร้อยแล้วจึงไม่ได้ตกใจอะไรมาก ส่วนอิคคิก็ไม่ใช่คนที่สนใจอดีตมากขนาดนั้นนอกจากเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจแล้วชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกไปอีก
“กองทัพยมโลกแทบทั้งหมดถูกอาโรนสังหารเพื่อการปลดปล่อยโดยไม่เว้น ตัวข้าไม่อาจเข้าใจความความปรารถนาดีที่แสนสิ้นหวังนั้นได้เลยแต่แล้วก็มีคนหนึ่งที่เข้าใจ สเป็คเตอร์หนุ่มที่มีแววตาแข็งกร้าวดุดันนามว่าเบนู คางาโฮะ”พูดจบโดโกก็มองไปยังอิคคิผู้มีเค้าหน้าคล้ายคลึงกับบุคคลในความทรงจำไม่มากก็น้อย แม้จะผ่านมานานแล้วแต่โดโกก็ยังพอจะจดจำใบหน้าของคางาโฮะได้พอสมควร
ทันทีที่ชื่อของคางาโฮะปรากฏขึ้นในบทสนทนาชุนก็รู้สึกเครียดเกร็งขึ้นมากะทันหัน มือเรียวบางเผลอจิกลงบนขาอย่างแรงจนน่ากลัวว่าจะเป็นรอยช้ำ การกระทำนี้ทำให้อิคคิที่นั่งอยู่ข้างกันยื่นมือมาดึงมือข้างนั้นมากุมเอาไว้ทันที ท่าทางที่แปลกไปของสองพี่น้องทำให้โดโกขมวดคิ้วด้วยความสงสัยนิดหน่อยก่อนจะเล่าต่อ
“คางาโฮะเข้าต่อสู้กับข้าจนตัวตายเพื่อปกป้องอาโรน ปิดฉากชีวิตบุรุษผู้น่าเศร้าลง จากนั้นเท็นมะก็เข้าต่อสู้กับอาโรนและคว้าชัยชนะมาได้ ทว่าวิญญาณฮาเดสที่อยู่ในร่างอาโรนมาตลอดกลับตื่นขึ้นเพื่อพิพากษาโลกใบนี้ ข้ากับชิออนจึงได้รวมพลังของโกลด์คล็อธขับไล่วิญญาณฮาเดสออกจากร่างของอาโรน แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้จบลง”เมื่อเรื่องราวกำลังจะถึงบทสรุปที่รอคอยใจของชุนกับอิคคิกลับเต้นแรงด้วยความรู้สึกที่คล้ายกับความหวาดหวั่นในคำตอบที่กำลังจะได้รับ เซนต์สองพี่น้องต่างกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว
“ท่านอาธีน่า เท็นมะแล้วก็อาโรนได้เดินทางไปยังปราสาทมารหลังสุดท้ายเพื่อผนึกวิญญาณของฮาเดสแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย...”พริบตานั้นชุนถึงกับตกใจกระชับมือของอิคคิแน่นจนเล็บแทบจิกลงไปในเนื้อขณะเดียวกันหัวใจของอิคคิก็กระตุกวูบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความรู้สึกทรมาณที่เหมือนกับหัวใจถูกคว้านออกจนกลายเป็นแผลเหวอะ ลมหายใจติดขัดคล้ายคนขาดอากาศหายใจ
ความรู้สึกโศกเศร้าทุกข์ทรมาณคล้ายกับจะสิ้นใจตายลงไปเสียเดี๋ยวนี้ย่อมไม่ใช่ความรู้สึกของตัวเขาเอง อิคคิรู้ดีว่ามันเป็นความรู้สึกของคางาโฮะในตอนนี้ ความเจ็บปวดอันรุนแรงที่ถาโถมออกมากำลังครอบงำสติของเขาอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเองที่อิคคิคล้ายกับเห็นเปลวเพลิงสีทองลุกไหม้อยู่เบื้องหน้าของตนเอง
“พี่อิคคิ!”เสียงของน้องชายตะโกนเรียกแต่เขาก็ไม่อาจตอบออกไปได้ด้วยลำคอที่แห้งผากประหนึ่งถูกเปลวไฟแผดเผา ทุกจังหวะการเต้นของหัวใจเจ็บปวดราวกับโดนมีดที่มองไม่เห็นแทงไปจนถึงแก่นของวิญญาณซึ่งแม้จะพยายามฝืนมากเท่าไรแต่สุดท้ายอิคคิก็ไม่อาจจะฝืนครองสติเอาไว้ได้อีกต่อไป
โดโกมองท่าทางที่แปลกไปของอิคคิด้วยความตกตะลึงเมื่อจู่ๆเด็กหนุ่มตรงหน้าเขาก็มีท่าทางเหมือนกำลังทรมาณ พลังคอสโมที่พลุ่งพล่านก่อเกิดเปลวเพลิงขึ้นรอบกายของอิคคิแต่เปลวเพลิงเหล่านั้นกลับไม่ได้เผาไหม้สิ่งใดเลยจนเหมือนเป็นเพียงภาพลวงตาหากแต่ความร้อนที่ส่งมากลับเป็นของจริงอย่างแน่นอน
“ท่านอาโรน......”วินาทีนั้นชื่อที่ไม่เคยได้ยินคนอื่นพูดมาแสนนานได้ออกมาจากปากของเซนต์ฟินิกซ์ที่ยื่นอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับเปลวเพลิงสีทองที่เข้าครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณไม่ต่างกับดวงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง
อุณหภูมิของความร้อนที่อยู่ตรงหน้ากำลังดึงสติของโดโกให้ย้อนเวลากลับไปเมื่อสองร้อยหลายสิบขวบปีก่อน ภาพความทรงจำเริ่มแจ่มชัดขึ้นมาเรื่อยๆ ไลบร้าเซนต์หวนนึกถึงยามที่ตนได้ประมือกับเจ้าของเปลวเพลิงร้อนแรงนี้ที่ปราสาทของฮาเดส ร่างสีดำทมิฬที่พุ่งเข้ามาปะทะกับเขาด้วยแววตาเกรี้ยวกราดแต่กลับเก็บซ่อนความเหงาหงอยเอาไว้ไม่ต่างกับลูกนกหลงทาง
แววตาที่เหมือนกับแววตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า แววตานี้ที่เขายังจำได้ดีรวมถึงใบหน้าในความทรงจำอันแสนยาวนานที่เริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แม้มันจะน่าเหลือเชื่อมากจนไม่คาดคิดว่าจะเป็นความจริงแต่โดโกก็ไม่อาจปฏิเสธคำตอบที่ตนเองค้นพบได้เลย
“ไม่จริงน่า....เจ้าคือคางาโฮะงั้นเหรอ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ