[Fan Fiction Saint Seiya+LC]Once Again…
เขียนโดย MeiaR
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 12.40 น.
แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
7) ก้าวข้ามหรือหลีกหนี
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ...คุณเคยบอกว่าอยากให้ผมมีความสุข.....
....แล้วคุณล่ะเคยถามตัวเองไหมว่ามีความสุขรึเปล่า....
ภาพสะท้อนของเมืองในยามดึกสะท้อนลงบนกระจกของรถไฟฟ้าที่แล่นไปตามทางด้วยความเร็วที่สม่ำเสมอ แม้จะไม่ใช่รถไฟเที่ยวสุดท้ายของวันแต่ก็มีผู้คนขึ้นอย่างบางตาผิดกับตอนมาทำให้มีที่นั่งเหลือเฟือไม่จำเป็นต้องยืน สองพี่น้องจึงนั่งลงข้างกันในตู้รถไฟที่มีเพียงสองคน
อาจเพราะว่าไม่มีใครเลยนอกจากอิคคิกับชุนซึ่งไม่ได้คุยกันทำให้ทั้งตู้เงียบสงัดจนได้ยินเสียงของล้อรถที่แล่นไปตามราง ความเงียบนั้นไม่ว่าเมื่อไรก็ชวนให้รู้สึกอึดอัดใจได้เสมอและดูเหมือนในช่วงนี้ชุนก็มักจะต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้บ่อยเหลือเกิน
‘จะทำยังไงดี’ชุนคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีถึงจะออกจากสถานการณ์นี้ได้แล้วด้วยเพราะอิคคิก็มีท่าทางปกติไม่ได้โกรธหรือกำลังหงุดหงิดกลับกันยังดูนิ่งเสียจนชุนไม่รู้ว่าพี่ชายคิดอะไรอยู่กันแน่ โดยเฉพาะหลังจากที่ชุนได้เอ่ยถามคำถามนั้นออกไป
ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น.....
“พี่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดมากแค่ไหน”คำถามที่ชวนให้คนรับฟังขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนจะตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“เรื่องไร้สาระ”และเป็นคำตอบที่ทำให้ชุนหัวเราะแม้ใบหน้าจะแลดูเศร้าหมองก็ตาม
“งั้นเหรอครับ แต่ว่าผมกลับเชื่อนะครับ”ความจริงแล้วชุนไม่เคยเชื่อแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่คิดจะเชื่อ เรื่องราวเหนือธรรมชาตินี้มีการเล่าขานอยู่ทุกยุคสมัยโดยเฉพาะการกลับชาติมาเกิดที่มีให้ได้ยินมาตั้งแต่สมัยโบราณและในวันนั้นเมื่อสองเดือนก่อนเรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นกับตัวเขา
“ก็ขนาดท่านอาธีน่ายังกลับมาเกิดใหม่เหมือนกันนี่ครับ”เอ่ยอ้างถึงเธอผู้สูงส่งกว่าใคร เธอที่ได้หวนกลับมาในโลกนี้หลายต่อหลายครั้งเฉกเช่นเดียวกับเหล่าวิญญาณแห่งเซนต์
“.....”เพราะคำพูดนี้ของชุนทำให้อิคคิยอมนิ่งฟังแม้โดยส่วนตัวเขาจะไม่เคยคิดสนใจมันก็ตาม เพราะไม่ว่าเมื่อชาติก่อนที่ผ่านมาเขาจะเป็นใครมันก็ไม่เกี่ยวกันเพราะตอนนี้เขาคืออิคคิแห่งกลุ่มดาวฟินิกส์และเป็นพี่ชายของชุนไม่มีวันเป็นอื่นไปได้
“สำหรับผมที่เป็นร่างทรงของฮาเดสในบางครั้งผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าในชาติที่แล้วผมจะเคยเป็นร่างทรงเหมือนกันรึเปล่า”ฮาเดสเองก็เป็นเทพแม้จะไม่ได้จุติมาเป็นมนุษย์เฉกเช่นอาธีน่าแต่ทุกชาติก็จะมีเด็กหนุ่มผู้มีดวงวิญญาณบริสุทธิ์ที่สุดบนผืนพิภพเป็นร่างทรง จริงอยู่ที่ชุนไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้มีดวงวิญญาณบริสุทธิ์ขนาดนั้นแต่ก็อดคิดไม่ได้จริงๆว่าดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์ขนาดนั้นจะมีสักกี่ดวงบนผืนพิภพกัน
“บางครั้งคนเราก็อาจจะเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าโชคชะตาสินะครับ”ราวกับตลกร้ายของสวรรค์ที่ชอบกลั่นแกล้งผู้คนให้หมุนไปตามโชคชะตาแห่งดวงวิญญาณที่ตนไม่เคยได้เป็นคนเลือก เหมือนกับที่ชุนไม่เคยได้เลือกเลยว่าจะต้องเป็นร่างทรง
คิดแล้วก็เหลือบมองพี่ชายที่ยืนอยู่เคียงข้างกันก่อนจะเท้าแขนลงบนขอบปูนที่ก่อไว้สูงถึงระดับอกของตัวเอง ทอดสายตามองไปไกลยังดวงดาวที่ส่องประกายบนท้องนภาดุจจะบ่งบอกตัวตนที่ยังคงอยู่บนโลกนี้
“มีแต่คนอ่อนแอเท่านั้นแหละที่โทษว่าทุกสิ่งเป็นเรื่องของโชคชะตา”แม้คำพูดจะฟังดูเหมือนตำหนิแต่น้ำเสียงราบเรียบคล้ายกับจะปลอบโยนทำให้ชุนรู้สึกดีใจ ดวงตาคู่โตทอดมองไปยังบนท้องฟ้าอีกครั้งก่อนจะหลับตาลงคล้ายตัดสินใจในบางสิ่งบางอย่าง
“พี่ครับกลับบ้านไปแล้ว...ผมมีบางอย่างอยากจะให้พี่ดู”
“มันคืออะไรงั้นเหรอ”อิคคิถามแต่ชุนไม่ได้ตอบ เมื่อไม่ได้ตอบบทสนทนาจึงได้จบลงเพียงแค่นั้นจวบจนกระทั่งทั้งสองเดินทางกลับบ้านทุกสิ่งก็ยังคงตกอยู่ในความเงียบจนน่ากลัว
แว่วเสียงของล้อรถที่เสียดสีกับรางสลับกับเสียงบอกสถานีเป็นระยะที่เหมือนกับจะกลายเป็นเสียงเพียงไม่กี่เสียงที่สามารถบรรเลงออกมาได้ในเวลานี้ ไม่ว่าจะด้วยเพราะอารมณ์ที่คาดเดาไม่ได้ของผู้ที่เอาแต่นั่งนิ่งเงียบหรือความหวาดกลัวของน้องชายที่ไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงออกมาเพียงครึ่งคำ
ชุนลอบมองใบหน้าของพี่ชายที่นิ่งเงียบแต่แล้วดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะมีความคิดเหมือนกันเพราะเมื่อชุนลองหันไปมองกับพบว่าพี่ชายกำลังจ้องมองตนเองอยู่เช่นกัน ต่างคนก็มองจ้องกัน ไม่มีใครหลบสายตาใครและก็เป็นเหมือนกับหลายครั้งที่ชุนจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน
“พี่อิคคิ...ถ้าเกิดว่าผม...ไม่ใช่ผมขึ้นมาล่ะ พี่จะทำยังไง”สิ่งที่พูดออกมาหลังจากนิ่งเงียบมานานคือคำถามและเป็นคำถามที่อิคคิไม่สามารถทำความเข้าใจได้
“นายหมายความว่ายังไง”ชายหนุ่มไม่รู้ว่าน้องชายถามเพื่ออะไรแต่หัวใจเขากลับเต้นไม่เป็นส่ำ ลางสังหรณ์บางอย่างกำลังบอกว่าเขาไม่อยากจะฟัง โดยเฉพาะในขณะที่ร่างของเขายังมีใครอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย
“ผม....”ยังไม่ทันที่ชุนจะได้ตอบรถไฟที่โดยสารอยู่ก็หยุดลงพร้อมกับส่งเสียงสัญญาณหยุดรถ พอเงยหน้าขึ้นชุนกับอิคคิถึงได้พบว่าทั้งสองได้มาถึงสถานีที่ต้องการแล้ว สองพี่น้องจึงเลิกพูดกันและเดินลงจากรถมุ่งตรงกลับบ้านไปในทันที
ระหว่างทางทั้งที่ชุนทำท่าเหมือนอยากจะถอยห่างแต่มือที่เล็กกว่าของชุนกลับยื่นมาจับมือของเขาแน่นทำให้อิคคิพลันคิดถึงอดีตขึ้นมา ตอนที่เป็นเด็กเวลาที่ชุนกำลังกลัวหรือมีเรื่องกังวลใจอะไรชุนมักจะชอบเดินมาจับมือของเขาเอาไว้แน่นแล้วมองเขาด้วยสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้
“ชุน”พอชุนเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกอิคคิก็เห็นว่าดวงตาคู่โตของชุนกำลังสั่นคลอน ริมฝีปากเม้มแน่นจนเหมือนกับจะสะกดกลั้นความรู้สึกเอาไว้
“พี่อิคคิ...”ริมฝีปากบางเอ่ยเรียกชื่อแล้วก็เงียบไป ร่างบางทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็เงียบไปและปล่อยมือของอิคคิในทันที
เมื่อมือถูกปล่อยด้วยกิริยาที่แทบจะเรียกว่าสะบัดทิ้งอิคคิก็ตั้งใจจะคว้าชุนเอาไว้แต่ชุนกลับรีบเดินจนมือของชายหนุ่มคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ร่างบางหยิบกุญแจมาเปิดประตูและเดินเข้าบ้านไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองพี่ชายตัวเอง
ท่าทางของชุนแปลกไปจนอิคคินึกกลัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของตัวเองกันแน่ แต่ไม่ว่าจะถามหรือเรียกเท่าไรชุนก็ไม่ได้หันกลับมาหรือส่งเสียงตอบเลยราวกับไม่ได้ยิน ชุนทำเหมือนกับว่าการเดินไปข้างหน้าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด ดังนั้นอิคคิจึงได้แต่เดินตามหลังน้องชายไปเรื่อยๆเท่านั้น
ในขณะที่อิคคิได้แต่เดินตามหลังชุน ทางด้านชุนก็ได้แต่เดินไปเรื่อยๆเท่านั้น ทุกคำพูดที่อิคคิพูดมาชุนได้ยินทั้งหมดแต่ก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ชุนรู้สึกว่าถ้าเขาหันกลับไปในตอนนี้เรื่องที่เตรียมใจจะพูดนั้นจะต้องถูกลืมไปอย่างแน่นอน
บางทีถ้าหากไม่ได้พูดออกไปก็คงจะดีกว่านี้แต่ชุนกลับรู้สึกว่าตนเองอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตก็เป็นได้ ที่สำคัญเขาอยากจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองให้แน่ชัดเหลือเกิน เขาไม่อยากจะจมอยู่กับความสับสนตลอดไป
ไม่รู้ว่ามันเร็วเกินไปหรือช้าเกินไปกันแน่กับการเดินมาที่ห้องนอนของตัวเอง เด็กหนุ่มเปิดมันออกอย่างช้าๆ ภายในห้องยังเหมือนเมื่อตอนเช้าก่อนจะออกไปรวมถึงบางสิ่งที่ถูกซ่อนอยู่ ชุนลังเลนิดหน่อยก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบสิ่งหนึ่งออกมา
สิ่งที่ชุนหยิบออกมามีรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ค่อนข้างจะหนาแต่กลับดูน้ำหนักเบาไม่สมกับรูปร่างของมัน แต่แล้วสิ่งที่หนึ่งที่ทำให้อิคคิต้องขมวดคิ้วก็คือขุมพลังอันดำมืดที่แฝงอยู่ในสิ่งที่ชุนถืออยู่ มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย สิ่งที่อิคคิรู้สึกได้นั้นเป็นพลังด้านมืดแต่เขากลับไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆกลับกันหัวใจเขากลับเต้นแรงอย่างน่าประหลาด
“นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะให้พี่ดู”ชุนประกาศออกมาเช่นนั้นแล้วจัดการยกมันตั้งขึ้นดึงผ้าคลุมออกทันที
พริบตาแรกที่ผ้าคลุมถูกเปิดออกทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ ภาพสีน้ำมันของร่างหนึ่งในชุดเกราะสีดำทมิฬไม่ต่างกับราตรีกาลล้อมกรอบด้วยเปลวเพลิงสีดุจเดียวกัน ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกใจมากที่สุดคือใบหน้าคมเข้มที่มีดวงตาดุดันราวกับจะใช้เปลวเพลิงสีทมิฬเหล่านั้นผลาญโลกนี้ให้ดับสิ้น
ในเวลาเดียวกันนั้นเองที่อิคคิก็จำเรื่องเมื่อสองเดือนก่อนได้ ในคืนนั้นที่เขากลับมาบ้านแล้วพบว่าชุนเอาแต่เหม่อมองบางสิ่งอยู่และสิ่งที่ว่าก็คือห่อผ้าที่มีขนาดเท่ากับภาพสีน้ำมันผืนนี้และเป็นคืนเดียวกันที่เขาได้ยินเสียงร้องของชุนทำให้เขารีบเข้าไปในห้องของชุน แล้วหลังจากนั้น...
เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่ขุมพลังอันดำมืดจะเข้าครอบงำเขาก็เห็นภาพของชายผู้มีใบหน้าเหมือนกับตนเองในชุดเซอร์พริสสีดำสนิทแล้วหลังจากนั้นเขาก็รู้สึกตัวอีกครั้งบนเตียงของตนเองพร้อมกับชุนที่มาหาแล้วบอกว่านอนไม่หลับ
วันนั้นไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจให้เขาดึงชุนลงมากอดและนอนหลับไปด้วยกันหรือว่าทุกอย่างมันจะเป็นเพราะ....
“ชุนนายรู้อะไรกันแน่”อิคคิถามเสียงขุ่นแต่ติดจะสั่น ไม่ใช่เพราะความเศร้าหรือความโกรธแต่มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายออกมา ได้ยินดังนั้นชุนก็เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขมขื่นออกมาในทันที
“ผมรู้ว่าคนในภาพนี้คือใครและผมยังรู้จักคนที่อยู่ในร่างของพี่ด้วย.....”เด็กหนุ่มหลับตาลงเพื่อสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ในขณะที่อิคคิมองหน้าน้องชายตัวเองด้วยความตื่นตะลึงและยิ่งตกใจหนักขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินคำพูดต่อมา
“คุณอยู่ที่นั่นใช่ไหม คางาโฮะ”สุดท้ายน้ำตาก็ยังคงไหลออกมาจากดวงตาคู่งามพร้อมกับคอสโมสีดำที่พุ่งออกมาจากภาพสีน้ำมัน
ขุมพลังอันดำมืดรวมตัวกันก่อร่างเป็นร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งขึ้นมา ร่างที่ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ชายและไม่นานเค้าโครงร่างนั้นก็แจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นชุดเซอร์พริสสีดำทมิฬ ใบหน้าดุดันควบคู่กับดวงตาสีดำสนิทไม่ต่างกับราตรี
นี่เป็นครั้งแรกที่อิคคิกับชุนได้พบกับคางาโฮะในสภาพนี้ เค้าหน้าที่ได้เห็นนั้นช่างคล้ายกับอิคคิจนแทบจะเป็นฝาแฝดกัน หากแต่แววตาของคางาโฮะที่มองมายังชุนนั้นกลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าอย่างที่ไม่จำเป็นต้องสังเกตให้มากเลยแม้แต่นิดเดียว
“คางาโฮะ...”เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกแต่ผู้ที่ถูกเรียกก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมานอกจากเบือนสายตาหนีไปเท่านั้น ท่าทางของคางาโฮะเป็นการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่คิดจะตอบคำถามทำให้ชุนตัดสินใจเดินเข้าไปหาและรั้งใบหน้านั้นให้กลับมาหาตนเอง
“คางาโฮะ”เอ่ยเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกับการขอร้องทำให้ในที่สุดคางาโฮะก็ใจอ่อนยอมสบตากับชุนตรงๆ
“ชุน”เสียงเรียกอันแสนเบาทำให้ชุนยิ้มออกมา
“ในที่สุดก็ยอมเรียกชื่อผมแล้วสินะ”เพราะว่าหลังจากวันนั้นที่ทั้งสองเกือบจะมีสัมพันธ์เกินเลยกันคางาโฮะก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาอีกเลย ชุนไม่แน่ใจว่าเขารู้สึกอย่างไรกับคางาโฮะกันแน่ เขาไม่แน่ใจว่ามันคือความรักแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความเสียใจยามเมื่อไม่ได้พบกันทำให้พอได้ยินคางาโฮะเรียกชื่อเขาถึงได้รู้สึกดีใจ
“ข้า...”คางาโฮะคิดว่าเขาควรจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ท่าทางอึกอักนี้ทำให้อิคคิรู้สึกรำคาญจนแทบอยากเข้าไปกระชากคอคางาโฮะโดยเฉพาะเมื่อคางาโฮะใกล้ชิดชุนถึงเพียงนี้ หากแต่สีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของชุนกลับทำให้อิคคิจำต้องล้มเลิกความคิดนี้ไป
“แกต้องพูด”คำสั่งนี้ทำให้ทั้งสองหันไปมองอิคคิที่ยืนกอดอกด้วยสีหน้าที่ดูก็รู้ว่าพยายามระงับอารมณ์โกรธไว้มากแค่ไหน
“ฉันไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ฉันไม่มีวันยกโทษให้กับคนที่ทำให้ชุนเจ็บปวด”ไม่ว่าจะฐานะของคนเป็นพี่หรือฐานะอื่นที่ไม่อยากยอมรับอิคคิก็ไม่มีทางยกโทษให้คางาโฮะที่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ชุนต้องร้องไห้และยิ่งยกโทษให้ไม่ได้ถ้าหากชุนทำถึงขนาดนี้แต่คางาโฮะก็ยังเลี่ยงที่จะพูดอะไรสักอย่างเพื่อคลี่คลายปัญหา
“แกจะกลัวอะไรฉันไม่สนใจ แต่ถ้าการไม่พูดทำให้ชุนเสียใจต่อให้ต้องตายแกก็ต้องพูด”แม้นั่นจะเป็นคำที่ทำให้เขาต้องเดือดดาลหรือเจ็บปวดแค่ไหนเขาก็ไม่สนใจ
คางาโฮะมองสบกับนัยน์ตาสีดุจเดียวกับตนของอิคคิก่อนจะหันไปมองชุนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน สุดท้ายคางาโฮะก็หลุบตาลงคล้ายกับตัดใจยอมที่จะพูดออกมา
“ในอดีตข้าสูญเสียสิ่งต่างๆไปมากมาย สิ่งสำคัญที่ไม่มีวันเป็นของข้าพรากจากไปในที่ซึ่งข้าเอื้อมไม่ถึง ทั้งที่ข้ารักและให้ความสำคัญมากที่สุดแต่ข้าก็ไม่เคยอาจเอื้อมไปแตะต้องจนกระทั่งต้องมานั่งเสียใจภายหลังที่ปล่อยให้ท่านอาโรนต้องอยู่เพียงลำพัง”คนที่รักอยู่สูงเกินกว่าจะกล้าอาจเอื้อม เขาจึงได้แต่ออกไปยืนอยู่เบื้องหน้าและอ้าแขนออกปกป้อง
“ท่านอาโรนไม่เคยเป็นของข้าเลย”เขารู้ดีมาตลอดว่าอาโรนเฝ้ามองแต่เพียงเพกาซัสเท่านั้น ความรู้สึกที่เขามอบให้อาโรนไปก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับการตอบสนองเสียทั้งหมด เขารับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเห็นเขาสำคัญมากเพียงแต่เหมือนมีกำแพงขวางกั้นเขาทั้งสองคนไว้และไม่มีฝ่ายใดคิดอยากทำลายกำแพงนั้นลงเลย
“เมื่อได้พบกับเจ้าผู้มีดวงวิญญาณเดียวกับท่านอาโรนข้าก็ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำเช่นไรดี ถ้าหากว่าการไม่ยอมอยู่เคียงข้างในชาติก่อนคือความผิดพลาด ชาตินี้ข้าก็จะขออยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป”เขาอิจฉาเพกาซัสที่สามารถเข้าถึงหัวใจของอาโรนได้และปรารถนาให้ตัวเองสามารถไปยืนอยู่ในจุดนั้นได้ แม้ไม่รู้ว่าจุดจบของทั้งสองคนจะเป็นเช่นไรแต่ลึกๆในใจคางาโฮะก็มั่นใจว่าทั้งสองคนจะต้องอยู่ด้วยกันจนวาระสุดท้ายอย่างแน่นอน
“แต่ทว่าสิ่งที่ข้าทำกลับทำให้เจ้าต้องร้องไห้”ในค่ำคืนนั้นที่เขาคิดจะครอบครองอีกฝ่ายอย่างบริสุทธิ์ใจตัวเขากลับถูกปฏิเสธ ใจจองเขาเจ็บแปลบแต่พอเห็นน้ำตาของชุนใจเขากลับเจ็บยิ่งกว่าเดิม คางาโฮะเผยรอยยิ้มเศร้าๆก่อนยื่นมือออกมาวางลงบนแก้มของชุนที่เต็มไปด้วยน้ำตา
“ไม่ว่าข้าจะเลือกทางใดคนที่ข้ารักก็ไม่เคยมีความสุขเลย”มันคือความเป็นจริงที่เจ็บปวดที่สุด
อดีตกาลที่ยังคงจดจำได้ดีเสมอมา เขาต่อสู้เพื่อน้องชายเพียงคนเดียวของเขาแต่นั่นก็กลับเป็นการผลักไสให้น้องชายของเขาเลือกความตายเพียงเพราะคิดว่านั่นเป็นหนทางที่จะทำให้เขาเป็นอิสระ
เมื่อได้พบอาโรนเขาสนใจแต่เพียงว่าจะอยู่เพื่อทำให้ความปรารถนาของอีกฝ่ายเป็นจริงให้ได้ทั้งที่ความจริงแล้วเขาควรจะทำเช่นเดียวกับเพกาซัส เขาควรจะช่วยเหลืออีกฝ่ายออกจากความโดดเดี่ยวไม่ใช่เอาแต่พูดว่าจะอยู่เคียงข้างทั้งที่เขาไม่เคยทำได้เลย
จวบจนกระทั่งปัจจุบันเขาตั้งใจว่าจะปกป้องชุนจากความโดดเดี่ยว เขาอยากจะอยู่เคียงข้างชุนทดแทนในส่วนที่ไม่ได้ทำเมื่ออยู่กับอาโรน เขาแค่อยากจะรักชุนเท่านั้นเองแต่ความรู้สึกของเขากลับทำให้ชุนต้องร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาณ
“ข้าไม่ควรตื่นขึ้นมาเลย ในเมื่อข้ากลับไปแก้ไขเรื่องนั้นไม่ได้สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือไม่ออกมาพบกับเจ้าอีกเท่านั้น” บางทีเขาคงไม่ควรเลือกทางใดตั้งแต่ต้น เขาควรจะขังตัวเองเอาไว้ในร่างของอิคคิไม่ออกมาพบชุนอีกแล้วรอให้กาลเวลาในยุคนี้จบลงโดยที่ไม่ต้องทำร้ายชุน
ชุนจ้องมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทุกข์ของคางาโฮะด้วยความปวดร้าว เขาไม่เคยรู้เลยว่าคางาโฮะรู้สึกอย่างไรตลอดเวลาที่หลบหน้ากัน เขาคิดว่าตัวเองเจ็บปวดแต่ก็ไม่ใช่เลย อีกฝ่ายเจ็บปวดมากกว่าเขามากมายนักแต่ก็ยังเป็นห่วงเขาจนถึงที่สุด
ทำไมค่าตอบแทนของความรู้สึกดีๆที่มีให้ถึงมีแต่ความทุกข์ทรมาณ...
“แล้วคุณคิดเหรอว่าผมจะมีความสุข”น้ำตาหยุดไหลไปแล้วเหลือแต่เพียงความรู้สึกที่คุกรุ่นอยู่ในอก แววตาที่จดจ้องอีกฝ่ายเปลี่ยนไปแล้วมันเต็มไปด้วยความโกรธ
“ผมไม่ใช่คนไร้หัวใจที่จะดีใจเมื่อคุณหายตัวไป คุณก็แค่หนีเท่านั้น! คุณทำให้ผมเกิดความรู้สึกมากมายแล้วก็จะทิ้งผมไปแบบดื้อๆงั้นเหรอ!”ต่อให้ความรู้สึกนั้นไม่ใช่ความรักแต่ก็เป็นความรู้สึกดีๆที่มีให้ มันเป็นความรู้สึกที่ก่อเกิดขึ้นเพราะการพบกันอย่างไม่คาดฝัน แต่พอเกิดปัญหาขึ้นมาก็จะทิ้งเขาไปง่ายๆด้วยการบอกเพียงว่าให้เขามีความสุขงั้นเหรอ
ดวงตาคู่คมเบิกกว้างด้วยความตกใจที่ถูกขึ้นเสียงจากคนที่ตัวเองคิดว่าอ่อนโยนยิ่งกว่าใครและยิ่งตกใจหนักขึ้นมื่อค้นพบว่าความโกรธนั้นชุนไม่ได้โกรธเพื่อตัวเองแต่กลับโกรธเขาเพื่อตัวของเขาเอง คำพูดของชุนเหมือนกำลังบอกว่าอยากให้เขาอยู่ด้วย
“ใช่แล้ว ตั้งแต่แกมาก็ทำให้ทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด แกเอาแต่บอกว่าความรู้สึกทุกอย่างของฉันเกิดขึ้นเพราะตัวของฉันเองทั้งที่ความจริงแล้วแกก็แค่ยัดเยียดสิ่งที่ตัวเองรู้สึกมาให้ฉันเท่านั้น”อิคคิที่ยืนฟังอยู่นานพูดออกมาบ้าง
“แกบอกให้ฉันยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ถ้างั้นแกก็ยอมรับความรู้สึกของตัวเองออกมาก่อนซะ!”เสียงสั่งที่เหมือนกับเป็นประกาศิต ต่อให้อิคคิไม่ชอบการมีอยู่ของคางาโฮะมากเท่าไรแต่ในเมื่อน้องชายของเขารู้สึกพิเศษกับคางาโฮะมากขนาดนี้เขาก็ได้แต่ยอมรับมันด้วยความโกรธเกรี้ยวเท่านั้น
“ข้า...”ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน เขาคิดว่าตนจะสามารถหลบอยู่ในร่างกายของอิคคิได้ตลอดไป แต่แล้วเพราะคำพูดของชุนกลับทำให้เขาปรากฏตัวออกมาเพื่อพูดความรู้สึกที่ของตัวเองออกมาแล้วมาในเวลานี้เขายังถูกบังคับให้พูดถึงความต้องการของตัวเองออกมาอีก
ในขณะที่กำลังสับสนอยู่นั้นชุนก็ยื่นมือมาจับมือของเขาทั้งสองข้างเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าเขาจะหนีหายไปและในตอนนั้นเองที่ชุนได้พูดประโยคหนึ่งออกมา
“คุณบอกว่าอยากให้คนที่คุณรักมีความสุขแล้วคุณรู้เหรอว่าความสุขของคนๆนั้นคืออะไร”คำถามนี้เขาตอบไม่ได้เพราะไม่เคยคิดถึงคำตอบของมันจึงเป็นชุนเองที่หลับตาลงแล้วเอ่ยออกมา
“ผมอาจจะไม่รู้จักน้องชายของคุณกับอาโรนแต่ผมมั่นใจว่าเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาสองคน ในฐานะที่เป็นน้องชายเหมือนกันถ้าหากตัวผมทำให้พี่ชายต้องบาดเจ็บเสมอผมก็คงไม่อยากให้ตัวเองอยู่ต่อไปเพียงเพื่อเป็นภาระที่บังคับให้พี่ชายต้องแบกรับ”พูดจบอิคคิก็หันมาจ้องชุนด้วยสายตาไม่พอใจแต่เพราะชุนหลับตาอยู่จึงมองไม่เห็น ท่าทางของอิคคิบ่งบอกอย่างโจ่งแจ้งว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่ยอมทอดทิ้งน้องชาย....เหมือนกับคางาโฮะที่ไม่ยอมละทิ้งน้องชายของตัวเอง
“ในฐานะร่างทรงเหมือนกับอาโรนผมกล่าวได้เพียงว่าทุกความรู้สึกของอาโรนที่มีต่อคุณได้ถูกบันทึกลงบนภาพวาดสีน้ำมันผืนนั้นแล้ว”คราวนี้ชุนลืมตาขึ้นแล้วเลื่อนสายตาไปยังภาพของชายหนุ่มที่อยู่ในห้วงของเปลวเพลิงสีทมิฬ สีหน้าเย็นชาที่แท้จริงแล้วกลับแลดูโดดเดี่ยวกับคำพูดเพียงประโยคเดียวที่ถูกสลักลงไปข้ามกาลเวลามาจนถึงบัดนี้
...แด่คางาโฮะ บุรุษผู้ปกป้องข้าไว้ด้วยชีวิตของตนเองข้าจะไม่ขอให้เจ้าสมปรารถนาแต่ขอเพียงให้ชาติต่อไปเจ้าจะมีความสุข จาก อาโรน...
คำพูดประโยคนี้ที่ถูกเขียนลงบนภาพเขาจดจำมันได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องหันกลับไปดูซ้ำ อาโรนยังคงเป็นผู้ที่อ่อนโยนและใจดีเสมอมา ความรู้สึกที่มีให้กันได้ถูกตอบแทนมาด้วยประโยคนี้จนหมดสิ้น เขาควรจะรู้ตัวมานานแล้วมิใช่เหรอกับความหมายของคำพูดง่ายๆประโยคนี้
“อาโรนน่ะหวังให้คุณมีความสุขนะครับ”ขอให้มีความสุข ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น บางคนต่อให้สมปรารถนาแล้วแต่ใจกลับไม่เคยเป็นสุข เหมือนกับที่อาโรนคิดจะทำลายโลกต่อให้โลกนั้นพ่ายพังลงมาจริงแต่อาโรนก็จะไม่มีวันมีความสุขเลย
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องสมปรารถนาก็ได้ขอเพียงแค่คางาโฮะได้ยิ้มออกมาจากใจก็พอแล้ว...
“ข้าอยู่ที่นี่...อยู่กับเจ้าต่อไปได้งั้นเหรอ...”คงเป็นครั้งแรกที่ชุนรู้สึกว่าน้ำเสียงของคางาโฮะไม่ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจเหมือนกับทุกครั้ง เสียงของคางาโฮะฟังดูแหบพร่าเหมือนกับยังลังเลที่จะตัดสินใจ ชุนส่งยิ้มให้แล้วจึงค่อยตอบ
“ถ้ามันทำให้คุณมีความสุขนะครับ”สิ้นคำนั้นชุนก็ถูกคางาโฮะรวบเข้าไปสวมกอดทันที เป็นอ้อมกอดที่แน่นจนอึดอัดทั้งที่อีกฝ่ายไม่มีร่างจริงให้สัมผัส แต่ความรู้สึกที่อัดแน่นบนตัวของคางาโฮะทำให้ชุนได้รู้ว่ามันคือความเป็นจริงทั้งหมดของคางาโฮะ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกอดตอบด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ชุน...ข้ามีที่หนึ่งที่อยากจะไป”คางาโฮะเอ่ยขึ้นขณะที่นั่งอยู่ข้างๆชุนบนเตียง หลังจากที่อิคคิยอมให้คางาโฮะใช้ร่างคางาโฮะก็นั่งลงบนเตียงในห้องของชุนแล้วก็เงียบไปนานจนกระทั่งเอ่ยประโยคนี้ออกมา
“ที่ไหนเหรอครับ”คำถามนี้คางาโฮะไม่ได้ตอบออกไปในทันที ชายหนุ่มเงียบไปเล็กน้อยก่อนตอบ
“กรีซ ที่แซงค์ทัวรี่ ข้าอยากจะไปเพื่อยืนยันความเป็นจริงที่ผ่านมาทั้งหมด”แม้จะได้ยินเรื่องเล่าทั้งหมดจากชุนแล้วแต่คางาโฮะก็ยังอยากจะเห็นด้วยตาว่าโลกหลังจากที่ตนจากไปเมื่อสองร้อยกว่าปีก่อนนั้นเป็นเช่นไร ที่สำคัญคือเขามีเรื่องที่อยากจะถามกับใครคนหนึ่ง
บุรุษเพียงผู้เดียงที่ยังคงมีชีวิตอยู่หลังจากจบศึกเทพยุทธ์เมื่อครั้งนั้นไลบร้า โดโก
“หากข้าจะก้าวต่อไปข้าก็จำต้องก้าวข้ามอดีตไปให้ได้”ที่ผ่านมาเขาเอาแต่ยึดติดกับอดีต ทั้งที่ชุนยังคงอยู่ตรงนี้เขากลับเอาแต่นึกถึงอาโรน คนที่เขารักที่สุด
แม้จะรู้ดีว่าตนเองมองชุนว่าเป็นคนสำคัญเช่นไรแต่นั่นก็เพราะว่าเขามองเห็นอาโรนในตัวของชุนมาตลอดซึ่งนั่นอาจจะเป็นความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเขาและยังเป็นความทุกข์แสนสาหัสอีกด้วย เพราะทุกครั้งที่เขามองชุนเขาก็จะนึกถึงอาโรน เขานึกออกแต่เพียงภาพของเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มประดับใบหน้าทั้งที่ดวงตานั้นหลั่งน้ำตาสีชาดออกมา
เขานึกภาพอาโรนที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขไม่ได้เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นทุกครั้งที่นึกถึงต่อให้ใจเป็นสุขแค่ไหนแต่ความทุกข์ตรมของอาโรนก็ยิ่งตอกย้ำและทำร้ายจิตใจเขามากมายนัก เขาได้แต่คิดว่าทำไมในวินาทีสุดท้ายเขาถึงไม่ได้ไปอยู่เคียงข้างอาโรน ทำไมเขาถึงได้ดับสิ้นโดยทิ้งให้คนที่เขารักที่สุดต้องโดดเดี่ยว
ดังนั้นเขาถึงอยากจะรู้ว่าในวินาทีสุดท้ายนั้นอาโรนเป็นอย่างไร จะยังเจ็บปวดทรมาณรึเปล่า จะยังร้องไห้อยู่ไหม ผู้ที่รู้เรื่องนี้ตอนนี้ก็คงมีเพียงไลบร้าเท่านั้น
“ถ้าหากท่านอาโรนหวังให้ข้ามีความสุข ข้าก็จะต้องทำให้ตัวเองมีความสุข”เขาจึงอยากจะคลายปมความเจ็บปวดที่พันธนาการเขามาเนิ่นนานเสียทีด้วยการยอมรับความเป็นจริงทุกอย่างที่เกิดขึ้น
“ครับ”แม้จะไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคางาโฮะแต่ชุนก็ยังคงดีใจที่คางาโฮะตัดสินใจได้แล้ว มือเรียวบางขยับเข้ากุมมือที่ใหญ่กว่าเอาไว้แนบแน่น
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะอยู่ข้างคุณนะครับ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ