[Fan Fiction Saint Seiya+LC]Once Again…

10.0

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 12.40 น.

  13 ตอน
  8 วิจารณ์
  30.19K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

9) การตัดสินใจของชุน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

..............คุณคิดว่าอดีตคือสิ่งใดงั้นเหรอ....................

................คือสิ่งที่ต้องข้ามผ่านหรือเป็นสิ่งที่จะติดตามเราไปตลอดกาล..................

 

            ตลอดเวลาด้วยอายุขัยที่ผ่านมาร่วมสองร้อยหลายสิบขวบปีนี้โดโกค่อนข้างมั่นใจว่าตนเองได้เผชิญเรื่องน่าเหลือเชื่อมามากมายจนเขาไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถตื่นตระหนกกับเรื่องมหัศจรรย์ได้ง่ายๆอีกแล้วซึ่งโดโกก็เพิ่งรู้สึกตัวเองคิดผิดมาตลอดเมื่อได้มาพบกับบุคคลตรงหน้าอีกครั้ง

                เซนต์หนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือเซนต์ฟินิกซ์ อิคคิไม่ผิดแน่นอนหากแต่ทั้งเปลวเพลิงอันร้อนแรงที่เคยแผดเผาตัวเขามาก่อนกับแววตาอ้างว้างที่อิคคิไม่มีนั้นกำลังบ่งบอกถึงตัวตนของบุรุษที่ควรจะตายไปแล้วเมื่อครั้งอดีต

                “เป็นเจ้าจริงๆงั้นหรือคางาโฮะ”กระทั่งตอนนี้ชายหนุ่มก็ยังไม่อยากจะเชื่อความคิดของตนเองเลย

                “ใช่”คำตอบสั้นง่ายที่เป็นการยืนยันทำให้โดโกยิ่งตกตะลึงหนักขึ้นเมื่อน้ำเสียงของอิคคิเปลี่ยนไป แม้โทนเสียงจะยังไม่ค่อยต่างจากเดิมแต่จากความทรงจำที่หลงเหลืออยู่ทำให้ไลบร้าเซนต์แน่ใจแล้วว่าคนตรงหน้าคือ อดีตสเป็คเตอร์แห่งดาวพยศนภา เบนู คางาโฮะ

                “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”โดโกเอ่ยถามแต่คางาโฮะไม่คิดจะตอบและพูดไปเรื่องอื่นทันที

                “นั่นมันไม่สำคัญ จงบอกมาเรื่องของท่านอาโรนเป็นเรื่องจริงหรือไม่”น้ำเสียงเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความรวดร้าวอย่างยิ่งยวด แววตาที่ยังคงเต็มไปด้วยความดุดันนั้นผสมเข้ากับความสิ้นหวังที่ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกได้ โดโกเองก็รู้สึกได้ถึงความโศกเศร้านั้นแต่เขาก็ไม่อาจบอกว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องโกหก

                “ใช่แล้ว มันเป็นความจริง”พริบตานั้นดวงตาของคางาโฮะก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังจริงๆ สีสันในดวงตาคู่นั้นแลดูหม่นหมองจนไม่อาจเชื่อว่าเป็นสายตาของคางาโฮะผู้ทั้งดุดันและแข็งกร้าวเลย

                “คางาโฮะ...”ชุนลองร้องเรียกดูแต่คางาโฮะในตอนนี้ไม่ได้ยินอะไรอีกต่อไปแล้ว

                ทำไมกัน....

                คำเพียงคำเดียวที่ถูกใจของตัวเองเอ่ยถามสะท้อนไปมาอยู่ในโสตประสาทจนไม่อาจรู้สึกได้ถึงเรื่องอื่นใดอีก ชายหนุ่มเชื่อมั่น...ไม่สิ คาดหวังมาตลอดว่าหลังจากที่ตนเองสิ้นใจแล้วเพกาซัสหรือใครสักคนจะสามารถช่วยเหลืออาโรนผู้เป็นที่รักของเขาได้ ทว่าความจริงกลับยังคงโหดร้ายต่อเขาเสมอ

                “ท่านอาโรน...”เอ่ยเรียกอย่างเจ็บปวดคล้ายกับเมื่อเอ่ยนามนี้ออกไปหัวใจก็จะถูกแทงด้วยหนามอันแหลมคงสร้างบาดแผลลึกที่ไม่มีวันจางหาย ใบหน้ายิ้มแย้มเจือด้วยความเศร้ากับน้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งแฝงไปด้วยความทุกข์ตรมของอาโรนที่อยู่ในความทรงจำกำลังกลายเป็นประหนึ่งยาพิษที่กัดกินวิญญาณให้ดับสูญ

                “ทำไม...ทำไมพวกเจ้าถึงช่วยท่านอาโรนไม่ได้!”เสียงคำรามที่เจ็บปวดแสนสาหัสนั้นช่วงชิงทุกสรรพเสียงของสถานที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้น

                มือแกร่งกำแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่นขณะที่ดวงตาจับจ้องไปยังบุคคลเพียงผู้เดียวที่ยังมีชีวิตอยู่หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ความเป็นจริงที่เขาไม่อยากเชื่อแต่ก็ปฏิเสธมันไม่ได้ คางาโฮะอดคิดไม่ได้ว่าหากในวันนั้นตัวเขายังมีชีวิตอยู่ก็คงสามารถออกไปอยู่เบื้องหน้าเพื่อปกป้องอาโรนได้

                “ข้าช่างโง่เขลานักที่หลงคิดว่าพวกเจ้าจะสามารถช่วยเหลือท่านอาโรนได้”ชายหนุ่มรู้สึกโกรธแค้นเหล่าเซนต์ที่ไม่อาจช่วยเหลืออาโรนแต่ในทางกลับกันคนที่เขาเคียดแค้นที่สุดก็คือตัวเอง ต่อให้ช่วยเหลืออาโรนไม่ได้แต่อย่างน้อยเขาก็ควรจะไปอยู่ข้างกายคนสำคัญที่สุดของเขามิใช่เหรอ

                “ทำไมหนทางที่ข้าเลือกถึงไม่อาจทำให้ท่านอาโรนยิ้มได้เลย”เขาก็แค่อยากช่วยเหลือในความปรารถนาของอาโรนเป็นจริงทดแทนที่เขาไม่อาจทำให้ซุย น้องชายของเขาสมหวังแค่นั้นเอง

                พริบตานั้นน้ำตาหยดหนึ่งก็เอ่อล้นออกมา แม้จะเป็นน้ำตาเพียงหยดเดียวก็เป็นน้ำตาจากผู้ที่ไม่เคยหลั่งน้ำตาให้ใครเห็นมาก่อนทำให้รับรู้ได้เลยว่าตัวตนของอาโรนนั้นมีความสำคัญกับตัวเขามากแค่ไหน

                “ข้า...ข้า.....”ดวงตาที่เคยเข้มแข็งดุดันเสมอมาเลื่อนลอยเคว้งคว้างไม่ต่างกับลูกนกหลงทางที่ไม่รู้ว่าตนเองควรไปที่ไหนดี สุดท้ายคางาโฮะก็ได้แต่จับจ้องไปยังชุนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มยื่นมือออกไปราวกับจะไขว่คว้าบางสิ่งที่มองไม่เห็นส่งผลให้ชุนรีบคว้ามือข้างนั้นเอาไว้ทันที

                “คางาโฮะ!”ชุนร้องเรียกอีกครั้งหวังให้ชายหนุ่มได้สติ แต่แล้วดวงตาคู่นั้นก็ยังปิดลงทิ้งไว้เพียงนามหนึ่งที่ถูกเอ่ยออกมา

                “ท่านอาโรน...”

 

                หลังจากที่คางาโฮะหรืออาจรวมถึงอิคคิหมดสติไป โดโกก็ได้ให้หญฺงรับใช้จัดห้องให้ชุนพาร่างสูงใหญ่นั้นไปพักผ่อนและเอ่ยชวนให้ชุนพักที่นี่ด้วยเช่นกันซึ่งชุนก็ตกลง เมื่อเรื่องที่ต้องทำเสร็จหมดแล้วชุนก็มานั่งคุยกับโดโกอีกครั้งโดยคราวนี้เด็กหนุ่มได้นำบางสิ่งมาด้วย

                “นี่สินะเรื่องน่าเหลือเชื่อที่เจ้าว่า ข้ายอมรับว่ามันน่าเหลือเชื่อจริงๆถ้าข้าไม่ได้มาเห็นเองกับตาแบบนี้ก็คงยากจะเชื่อ”ไลบร้าเซนต์กล่าวด้วยสีหน้าค่อนข้างเครียดเมื่อเรื่องที่ได้พบดูจะเหลือเชื่อจนเขาเองก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไรดีเมื่อคนที่ไม่สมควรรู้เรื่องนี้ที่สุดกลับมาได้ยินจากปากเขาโดยตรงแบบนี้

                “ตอนแรกผมเองก็ตกใจมากครับ”ชุนกล่าวสนับสนุนขณะที่ประคองถ้วยชาเอาไว้แต่ไม่คิดจะดื่มเพราะเด็กหนุ่มแค่อยากได้ความอุ่นของน้ำชามาเพิ่มอุณหภูมิให้กับมือที่เย็นเฉียบของตนเอง

                “ว่าแต่ทำไมคางาโฮะถึงมาอยู่ที่นี่ได้แถมยังอยู่ในร่างของอิคคิด้วย”เซนต์วัยเยาว์คิดไว้อยู่แล้วว่าโดโกจะต้องถามชุนจึงวางแก้วลงบนจานรองแล้วหันไปหยิบห่อของที่นำมาด้วย

                “ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดคือนี่ครับ”พูดจบชุนก็แกะผ้าที่ห่อเอาไว้ออกทันทีและเมื่อภาพของคางาโฮะในชุดเซอร์พริสปรากฏออกมาโดโกก็ถึงกับสูดลมหายใจลึกด้วยความตกใจ พอได้เห็นรูปโดโกก็มั่นใจได้เลยว่าบุคคลในรูปคือคางาโฮะเมื่อสองร้อยปีก่อนอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัย

                “เป็นคางาโฮะจริงๆด้วย”แม้ปากจะบอกเช่นนั้นแต่โดโกก็ยังไม่ยอมละสายตาจากภาพวาดสีน้ำมันตรงหน้าแม้แต่นิดเดียว

                ชุนถอนหายใจเล็กน้อยเพื่อปรับลมหายใจของตัวเองให้คงที่แล้วเริ่มเล่าเรื่องที่เขาได้พบมาตั้งแต่ที่ชุนได้พบกับชายปริศนาที่มอบภาพนี้ให้กับเขา เรื่องที่คางาโฮะบอกว่าตนคืออดีตชาติของอิคคิรวมถึงสาเหตุที่คางาโฮะต้องการมาที่นี่เพื่อรับรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น

                “เป็นเช่นนี้นี่เอง”ได้ฟังเรื่องทั้งหมดโดโกก็พอจะเดาได้ว่าต้นเหตุของเรื่องเป็นใครและไม่ว่าฝ่ายนั้นจะได้ประโยชน์อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับสภาพของคางาโฮะกับอิคคิในตอนนี้เลย อันที่จริงโดโกก็เคยคิดเหมือนกันว่าอิคคิมีใบหน้าคล้ายกับคางาโฮะมากเลยทีเดียวแต่ใครจะไปคิดล่ะว่าอิคคิคือคางาโฮะที่กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง

                “ท่านผู้เฒ่าครับ เรื่องของอาโรนที่ท่านเล่ามาเป็นความจริงงั้นเหรอครับ”แม้ชุนจะไม่ได้รู้สึกเศร้าใจกับเรื่องของอาโรนมากนักแต่เขาก็รู้สึกสงสารคางาโฮะที่อยู่ในสภาพสิ้นหวังจับใจ หากเป็นไปได้เขาก็อยากให้เรื่องของอาโรนจบลงอย่างมีความสุขเพื่อคลายความเจ็บปวดของคางาโฮะ

                คำถามนั้นโดโกไม่ได้ตอบไปในทันที ชายแก่ในร่างชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆด้วยท่าทางหนักใจก่อนจะตอบไปตามความจริง

                “เป็นความจริง แต่ก็อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด”พอได้ยินโดโกพูดดังนั้นชุนก็ถึงกับรู้สึกมีความหวังขึ้นมาเมื่อบางทีเรื่องราวอาจไม่ได้แย่อย่างที่คิด

                “ก่อนที่พวกท่านอาธีน่าจะเดินทางไปปราสาทมารหลังสุดท้ายพวกข้าทุกคนต่างก็ถูกส่งกลับที่ผืนดินจนหมด ไม่มีใครสักคนรู้เลยว่าแท้จริงแล้วจุดจบนั้นเป็นเช่นไร แต่ว่าข้าเองก็เชื่อมั่นว่ามันไม่มีทางจบลงด้วยความสิ้นหวังอย่างแน่นอน”คำพูดนี้ไม่มีอะไรมายืนยันว่าเป็นความจริงหรือไม่หากแต่แววตาของโดโกก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวของผู้ที่เปรียบเสมือนน้องชาย

                “เท็นมะไม่เคยผิดคำสัญญาและยิ่งไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง ดังนั้นข้าจึงเชื่ออย่างหมดใจว่าพวกเขาทั้งสามคนจะต้องมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งอย่างมีความสุข”สิ้นคำนั้นชุนก็อดที่จะรู้สึกนับถือไลบร้าเซนต์ไม่ได้ ชุนไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถเชื่ออย่างมีความหวังแบบที่โดโกทำได้หรือไม่

                “แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคางาโฮะจะสามารถเชื่อมั่นแบบข้าได้หรือไม่ คางาโฮะน่ะต้องสูญเสียสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจไปถึงสองครั้งแบบนี้ข้าว่าคงยากที่จะทำใจให้เชื่อได้”คำพูดของโดโกแฝงไปด้วยความสงสารและเห็นใจแก่บุรุษที่เรียกได้ว่าถูกโชคชะตาทำร้ายอย่างแสนสาหัส

                ชุนได้ฟังแล้วก็ยิ่งรู้สึกสะเทือนใจแทนคางาโฮะมากยิ่งกว่าเดิม ทว่าแม้โดโกจะเชื่อมั่นเช่นนั้นได้แต่สำหรับคางาโฮะแค่ความหวังคงไม่เพียงพอเพราะสำหรับคางาโฮะแล้วชายหนุ่มต้องการความจริงเพียงหนึ่งเดียวคือ ความสุขของอาโรน

                ในเวลานี้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน ทั้งที่เขาเริ่มรับรู้ได้บ้างแล้วว่าอาโรนคงเป็นอดีตชาติของเขาแต่ชุนก็ยังคงเป็นชุน เขาไม่ใช่อาโรนและเมื่อเขาไม่ใช่อาโรนเขาจึงไม่อาจช่วยเหลือคางาโฮะได้เลย

                กระทั่งผู้เฒ่าโดโกที่เป็นคนจากยุคสมัยนั้นยังไม่อาจรู้ว่าความจริงเป็นเช่นไรชุนก็ไม่อาจคาดหวังให้ใครคนอื่นสามารถบอกเขาได้อีกแล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกมืดแปดด้านและสิ้นหวังจนไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อไป

                “คืนนี้เจ้ากับอิคคิก็พักที่นี่เถอะนะ”โดโกว่าพลางตบบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ ชุนกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินไปที่ห้องนอน ลับหลังร่างของชุนไปแล้วโดโกก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นไปอีกเมื่อจับจ้องภาพสีน้ำมันที่ชุนลืมวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ข้อความบนภาพเปล่งประกายสีทองออกมาราวกับจะสะท้อนความรู้สึกของผู้เขียนออกมา

                “ขอให้มีความสุขงั้นหรือ สำหรับคางาโฮะแล้วคำพูดนี้คงเป็นได้แค่คำปลอบใจเท่านั้นเอง......”เพราะไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนสุดท้ายคางาโฮะก็ยังคงเป็นนกที่โบยบินเพียงลำพังเช่นเดิม

 

                ตึก...ตึก...ตึก....

            เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นยามก้าวจาเดินดำเนินไปอย่างเชื่องช้าคล้ายกับผู้ที่เดินอยู่นั้นไร้เรี่ยวแรงจะก้าวต่อไปซึ่งบางทีก็คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ ความจริงห้องนอนของชุนกับอิคคิอยู่ไม่ไกลเลยแต่เด็กหนุ่มกลับใช้เวลาในการเดินมากอย่างไม่น่าเชื่อ

                ทางเดินของวิหารไลบร้านั่นยังคงใช้เชิงเทียนจำนวนไม่น้อยเพื่อให้ความสว่างแต่ชุนกลับรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างมืดมิดเสียเหลือเกิน ทุกย่างก้าวของเขาทำให้เปลวไฟไหววูบจนคล้ายกับจะแตกดับหายไปเพียงเพื่อดึงให้เขาเข้าสู่ความมืด

                ชุนรู้ตัวว่ามันก็แค่ความฟุ้งซ่านต่ำหรับเด็กหนุ่มที่เคยตกสู่ห้วงแห่งความมืดของยมเทพแล้วความมืดย่อมเป็นสิ่งที่น่ากลัวจนทำให้รู้สึกถึงความสิ้นหวัง

                “นี่เราทำอะไรไม่ได้เลยงั้นเหรอ”กล่าวกับตัวเองอย่างรู้สึกสมเพชจนอยากหัวเราะออกมาดังๆสักครั้ง ตอนนี้ชุนเริ่มเข้าใจแล้วว่าในอดีตคางาโฮะจะรู้สึกอย่างไรกันเมื่อไม่อาจทำอะไรเพื่อคนที่ตัวเองรักและให้ความสำคัญได้เลย

                ตอนนี้ชุนไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าตนเองรู้สึกอย่างไรกับคางาโฮะ เขาขอเพียงแค่ให้คางาโฮะมีความสุขก็พอแล้ว ถ้าหากเพื่อการนั้นแล้วสิ่งที่เขาควรทำคืออะไร

                “โถๆ ตัวละครเอกกำลังร้องไห้อยู่งั้นเหรอเนี่ย”ยินเสียงหนึ่งที่คล้ายกับเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งดังขึ้น พริบตานั้นเองเทียนทุกเล่มก็ดับจนหมดเว้นไว้แต่เพียงจุดที่ชุนยืนอยู่ เสียงก้าวเท้าดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆคละเคล้ากับเสียงปรบมือเบาๆ

                ชายคนหนึ่งก้าวออกมาจากความมืด ใบหน้าของชายคนนั้นแลดูคล้ายกับใครสักคนแต่ชุนก็คิดไม่ออกเพราะชุนไม่เคยเห็นใครที่ยิ้มด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่เหมือนกับปีศาจกำลังยิ้มเยาะเช่นนี้มาก่อน วินาทีต่อมาชุนถึงจดจำได้ว่าชายคนนี้คือผู้ที่มอบภาพคางาโฮะให้กับเขา

                “คุณคือคนเมื่อตอนนั้น”ชายปริศนามีสีหน้ายินดีเมื่อพบว่าชุนจำตัวเขาได้ด้วย

                “ขออภัยที่ยังไม่ได้แนะนำตัว ข้ามีนามว่าโยมะ”แล้วโยมะก็หยิบหมวกทรงสูงมาไว้ในมือแล้วโค้งตัวลงเพื่อแสดงการทักทายแบบผู้ดีอังกฤษที่ดูแล้วชวนขัดตากับใบหน้าแบบคนเอเชีย

                สัญชาตญาณสั่งให้ชุนไม่ไว้ใจชายนามว่าโยมะทันที ไม่ว่าจะด้วยท่าทางที่เหมือนกำลังมองเรื่องลำบากของคนอื่นด้วยใบหน้าสนุกสนานหรือจะเป็นพลังคอสโมอันดำมืดที่แฝงอยู่ในตัวก็ตาม ร่างบางถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างส่งผลให้โยมะหัวเราะออกมาราวกับว่าการกระทำของชุนเป็นเรื่องน่าบันเทิงใจ

                “ฮ่าๆๆ พอผ่านมาอีกภพชาติหนึ่งท่านเปลี่ยนไปเยอะเลยนะทั้งที่เมื่อสองร้อยหลายสิบขวบปีก่อนท่านยังถึงขนาดข่มขู่ข้าด้วยใบหน้าหวานๆแบบนั้นได้แท้ๆ”แม้ไม่ต้องเดาชุนก็รู้ได้ทันทีว่าโยมะหมายถึงใครซึ่งนั่นก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความสงสัยในตัวของชายปริศนาตรงหน้าเป็นอย่างยิ่ง

                “คุณไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้”ขณะที่พูดชุนก็เริ่มรวบรวมพลังคอสโมไว้เผื่อว่าชายตรงหน้าจะทำอะไรขึ้นมาแต่โยมะกลับแต่ปรบมือให้กับคำพูดของชุน

                “เก่งมากที่รู้แต่ข้าจะเป็นของยุคสมัยใดก็หาใช่เรื่องสำคัญ ไม่สิ...สำหรับท่านคงเป็นเรื่องสำคัญใช่หรือไม่”พลันนั้นแผ่นหลังของชุนก็เย็นวาบขึ้นมาทันที หัวใจของเด็กหนุ่มถึงกับสั่นกระตุกเมื่อโดนพูดแทงใจดำ

                โยมะพูดถูกเพราะชุนย่อมคิดได้อยู่แล้วว่าโยมะจะต้องรู้เรื่องของคางาโฮะกับอาโรนในอดีตแน่นอนเมื่อชายหนุ่มเป็นคนนำภาพสีน้ำมันผืนนั้นมาให้กับเขา  แต่ชุนก็ไม่คิดว่าคนที่มีท่าทางไม่น่าไว้ใจแบบนี้จะยอมช่วยเหลือเขาโดยไม่หวังอะไรตอบแทน

            “คุณต้องการอะไร”แอนโดเมด้าเซนต์ถามเสียงเฉียบด้วยท่าทีไม่คลายความระมัดระวังลง

                ดูท่าสายตาหวาดระแวงสุดขีดแต่กระหายไปด้วยความอยากรู้ของชุนจะเป็นที่ถูกใจโยมะพอสมควรเมื่อชายหนุ่มถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างอารมณ์ดีสุดๆจนทำให้ชุนรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนปั่นหัวไม่มีผิด

                “ตัวข้านั้นเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น สิ่งที่ผู้ชมต้องการย่อมเป็นความรื่นเริงบันเทิงใจอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อบนเวทีนี้ล้วนมีแต่ตัวหมากที่น่าสนใจ โดยเฉพาะตัวเจ้าไงล่ะ”ขณะที่พูดโยมะก็ขยับเข้ามาใกล้ ชุนจับจิตสังการหรือความคิดมุ่งร้ายจากคนตรงหน้าไม่ได้เลยหากแต่ดวงตาสีแดงเหมือนเลือดคู่นั้นก็มากพอจะทำให้ชุนต้องกลัวจนถอยหลังไปจนแผ่นหลังชิดกำแพงได้แล้ว

                “อดีตร่างทรงซึ่งเมื่อชาติก่อนเป็นถึงผู้ช่วงชิงอำนาจยมเทพ....ตัวเจ้าน่ะมีคุณค่ามากกว่าที่ตนเองคิดเอาไว้หลายเท่านัก”

                “อย่า..อย่าเข้ามา...”ชุนไม่ว่าเปล่ายังรวบรวมพลังคอสโมไว้ที่หมัดเพื่อเตรียมจะปล่อยหมัดออกไป หากแต่ร่างกายเขากลับขยับไม่ได้ชุนทำได้เพียงตวัดสายตาไปยังโยมะที่ยืนอยู่ใกล้ๆพร้อมกับชี้นิ้วมาทางเขา

                “ตัวเจ้านั้นงามนักยามเมื่อเวลาหยุดลง....ระหว่างรอชมของจริงโหมโรงแบบพวกเจ้าก็น่าสนใจไม่เบาทีเดียว ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนข้าจะบอกใบ้ให้เจ้าได้รู้”ร่างในชุดสูทสีดำก้าวเข้ามาช้าๆและหยุดลงเมื่อระยะห่างเหลือเพียงหนึ่งช่วงแขน โยมะวาดปลายนิ้วลงไปบนหน้าผากของชุนแล้วพูดออกมาด้วยท่าทางสนุกสนานราวกับรอชมละครฉากใหญ่

                “หากอยากรู้ความจริงของเรื่องที่เจ้าต้องการก็มีแต่ต้องถามจากผู้ที่อยู่ในห้วงเวลานั้นจริงหรือไม่ อาโรน”พริบตานั้นชุนก็รู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าวิ่งผ่านสมองไป ภาพตรงหน้าดับวูบไปในทันที สิ่งที่สติสุดท้ายจดจำได้คือภาพปีกสีดำที่ปรากฏขึ้นกลางหลังของโยมะเท่านั้น

 

                ซ่า...

                เสียงของสายฝนหลงฤดูปลุกให้ชุนลืมตาตื่นขึ้นมาเพื่อมาพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องรับรองของวิหารไลบร้า แม้จะนึกแปลกใจแต่ชุนก็ไม่สนว่าใครเป็นคนพาตัวเขามาที่นี่ สิ่งที่เด็กหนุ่มสนใจในตอนนี้มีเพียงร่างสูงใหญ่ของพี่ชายซึ่งนอนอยู่เตียงข้างๆ

                “พี่อิคคิ”น้องชายลองเรียกดูซึ่งก็ได้ผลเมื่ออิคคิเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเสียงเรียกของคนสำคัญ เปลือกของชายหนุ่มผู้พี่สั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะขยับเปิดขึ้นช้าๆ

                “ชุน”อิคคิยื่นมือออกเพื่อที่จะสัมผัสใบหน้าหวานของน้องชายซึ่งชุนก็กุมมือที่แนบลงมาบนแก้มเอาไว้พร้อมกับยิ้ม

                “ค่อยยังชั่วหน่อยที่พี่อิคคิรู้สึกตัวแล้ว”รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความโล่งใจของชุนปรากฏขึ้นบนดวงหน้าหวานทำให้อิคคิรู้สึกผิดขึ้นมาที่ทำให้น้องต้องมาคอยเป็นห่วง ชายหนุ่มขยับตัวลุกขึ้นนั่งพลางกุมศีรษะที่รู้สึกเวียนหัว พอเห็นอิคคิมีท่าทางไม่ดีชุนก็เผยสีหน้าเป็นห่วงออกมาทันที

                “พี่ไม่เป็นไรอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”ว่าแล้วอิคคิก็วางมือลงบนเส้นผมนุ่มนิ่มแล้วลูบเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มไปให้ รอยยิ้มอ่อนโยนที่มาจากคนดุดันและเงียบขรึมของอิคคิคือรอยยิ้มที่มีให้กับชุนเพียงคนเดียวเท่านั้น

                อันโดรเมด้า ชุน น้องชายที่เขารักและห่วงใยเป็นที่สุด...คนที่เขาให้ความสำคัญโดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรมากไปกว่านี้และเขาก็ไม่ต้องการให้มันมีเหตุผลมากไปกว่านั้น ทว่าในความเป็นจริงแล้วเขา....

                “พี่อิคคิ”เสียงเรียกจากน้องชายที่เงยหน้าสบตาเขาด้วยแววตาสงสัย ดวงตากลมโตที่สะท้อนเพียงภาพของเขาและเขาก็ไม่อยากให้ภาพในนั้นมีใครอื่นนอกจากเขาเช่นกัน

                “ชุน...”สิ้นคำนั้นร่างบอบบางก็ถูกดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว วงแขนแกร่งโอบกอดร่างของน้องชายเอาไว้อย่างแนบแน่นราวกับโหยหามาตลอด บางทีมันคงจะเป็นเช่นนั้นเมื่อชายหนุ่มเลือกที่จะหลอกตนเองมาตลอดว่าความจริงแล้วเขาอยากกอดชุนเอาไว้มากแค่ไหน

                ปรารถนาอยากให้ชุนกลายเป็นของเขาเพียงคนเดียว ความคิดอันดำมืดที่เฝ้าปฏิเสธเรื่อยมาและเก็บซ่อนมันไว้จวบจนกระทั่งวันที่คางาโฮะปรากฏตัวขึ้น ตัวตนที่เป็นหนึ่งเดียวกับเขาแต่ขณะเดียวกันก็แปลกแยกกำลังเริ่มครอบงำหัวใจของชุนซึ่งเขาไม่มีวันยอม ดังนั้นอิคคิจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปตลอดกาล

                “พี่...!”ยังไม่ทันที่ชื่อของอิคคิจะหลุดออกจากปากเจ้าของนามนั้นก็บดจูบลงครอบครองริมฝีปากบางเอาไว้ เด็กหนุ่มตกใจจนเผลอออกแรงผลักแต่ก็ไม่อาจหลุดจากอ้อมแขนคู่นี้ได้เลย  ลิ้นอุ่นที่เข้ามารุกรานอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ชุนทำอะไรไม่ถูก สองมือที่ว่างอยู่ได้แต่วางยึดไหล่ของอิคคิเอาไว้เท่านั้น

                จูบอันยาวนานที่นับเป็นจูบแรกของสองพี่น้องในยามที่สติยังอยู่ครบถ้วนและเกิดจากความต้องการของอิคคิจริงๆ รสจูบที่ออกจะรุนแรงไปบ้างตามนิสัยคนแข็งกร้าวขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความอ่อนโยนอยู่ในทีเพราะไม่อยากให้น้องชายรู้สึกไม่ดี

                “พี่อิคคิ...”เสียงของชุนยามเอ่ยเรียกหลังจากจูบนั้นสิ้นสุดลงติดจะอ่อนแรงเหมือนถูกสูบพลังไปจนหมด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสับสนระคนตกตะลึงแต่นั่นก็ยังไม่เท่ากับความตกใจเมื่อวินาทีต่อมาร่างบอบบางของตนเองจะถูกกดลงบนเตียง

                ภาพของพี่ชายที่กางแขนคร่อมตนเองอยู่นั้นดูน่าเหลือเชื่อจนเกินกว่าจะเป็นความจริงยิ่งเมื่อรวมกับจูบร้อนแรงเมื่อครู่แล้วชุนยิ่งไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองกำลังตื่นอยู่ หากแต่ความอบอุ่นที่ยังติดค้างอยู่บนริมฝีปากก็ช่วยยืนยันถึงความเป็นจริงให้

                “ชุน...”อิคคิเอ่ยเรียกน้องด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นเสียงของผู้ที่ห้าวหาญกว่าใคร

                “ถ้าจะปฏิเสธก็รีบทำซะแล้วฉันจะยอมหยุดมือแล้วจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”ขณะที่พูดประโยคนี้ออกมาชุนไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยว่าอิคคิรู้สึกอย่างไร หากแต่แววตาที่เฝ้ารอคำตอบของอิคคินั้นกำลังทำให้ชุนหวั่นไหว

                แววตาของพี่ชายในมุมมองที่ชุนไม่เคยเห็นมาก่อนหรือบางทีอาจเป็นตัวเขาที่แสร้งมองไม่เห็น แววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาในตัวเขาจนแทบจะเรียกว่าเห็นแก่ตัว

                นี่คือความรู้สึกของพี่ชายที่มองเขาอยู่งั้นเหรอ....

                คำถามที่เกิดขึ้นในใจพร้อมกับคำตอบที่เขาจำเป็นต้องตอบว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธอ้อมกอดของพี่ชาย ในเวลานี้ทุกอย่างยังคงเป็นเหมือนเดิม อิคคิยังคงเป็นพี่ชายของเขา ศีลธรรมที่อยู่ในใจบอกว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้ บางทีอิคคิเองก็คงรู้ดีถึงได้พูดกับเขาด้วยท่าทางเจ็บปวดขนาดนี้

                ทว่าในเวลานี้ทุกเหตุผลก็ดูจะไร้ค่าไปหมดเมื่อชุนหลับตาลงคล้ายกับได้ตัดสินใจลงไปแล้ว เรียวแขนอันบอบบางถูกยกขึ้นโอบรอบคอของพี่ชายให้เลื่อนลงมา ดวงตาคู่โตหรี่ลงแล้วเป็นฝ่ายเริ่มต้นประทับจูบบนริมฝีปากคู่นั้นด้วยตนเอง

                วินาทีที่ชุนดึงให้อิคคิโน้มตัวลงมาจูบชายหนุ่มผู้พี่เองกลับเป็นฝ่ายที่ตกตะลึงจนทำอะไรม่ถูก ความจริงเขาเตรียมใจที่จะถูกน้องชายรังเกียจหรือหวาดกลัวด้วยซ้ำแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับน่าเหลือเชื่อจนเขาเองยังไม่กล้าที่จะฝันถึงด้วยซ้ำไป

                “พี่อิคคิ....ผมรักพี่...”ชุนเป็นฝ่ายเอ่ยถ้อยคำสารภาพรักอันแสนหวานออกมาก่อน เพราะรู้ดีว่าพี่ชายคงไม่มีวันพูดออกมาก่อนเป็นแน่แม้การกระทำที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันความรู้สึกนั้นก็ตามที เด็กหนุ่มส่งยิ้มอ่อนหวานไปให้เพื่อจะสื่อว่าตัวเขานั้นไม่ได้ฝืนใจพูดออกมาเลย

                “เพราะงั้นพี่จะกอดผมก็ได้นะครับ”ราวกับเป็นคำพูดที่อิคคิรอมานานแสนนาน เมื่อได้ยินน้องพูดเช่นนั้นอิคคิก็ไม่อาจหักห้ามใจตัวเองไม่ให้สัมผัสน้องชายอีกต่อไป

                ชายหนุ่มผู้พี่ก้มลงประทับจูบลงไปอีกครั้งพร้อมกับส่งลิ้นเข้าไปเพื่อลิ้มรสหอมหวานที่คล้ายกับเฝ้ารอมาตลอด ขณะที่ถูกจูบก็มีเสียงครางเครือเล็ดรอดออกมาเป็นระยะ มือเรียวบางยกขึ้นโอบไหล่พี่ชายเอาไว้พลางเอียงคอเล็กน้อยเพื่อที่จะตอบรับความรู้สึกของพี่ชายให้ได้อย่างเต็มที่

                “ชุน ฉันรักนาย....เป็นของฉันเถอะนะ...”ทั้งที่คนอย่างอิคคิไม่เคยจะอ้อนวอนใครมาก่อนแต่ในเวลานี้คำพูดของพี่ชายกลับฟังดูไม่ต่างจากคำอ้อนวอนเลยแม้แต่น้อย ชุนยังคงยิ้มให้อิคคิ พี่ชายที่เขารักมากที่สุดบนโลกใบนี้

                “ผมเป็นของพี่มาตั้งแต่แรกแล้วล่ะครับ”คำพูดนี้ชุนไม่ได้โกหกเพราะเพียงแค่ชีวิตนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมา โชคชะตาก็เหมือนกับจะกำหนดให้เขาเป็นของพี่ชายมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ดังนั้นชุนจึงไม่มีความจำเป็นต้องลังเลอีกต่อไป

                ดวงตาคู่สวยหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อฝ่ามือหยาบกร้านของพี่ชายล้วงลึกเข้าไปใต้เสื้อผ้า ความร้อนของอุ้งมือทำให้ร่างบางบิดกายหนีด้วยความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยแต่กระนั้นชุนก็ยังยินยอมให้มือข้างเดียวกันนั้นปลดเสื้อผ้าของตนออกไป

                เมื่อผิวกายขาวสะอาดของน้องชายปรากฏสู่สายตาชายหนุ่มผู้พี่ก็ถึงกับนิ่งค้างไปครู่หนึ่งกับภาพที่ตนไม่เคยกล้าฝันถึง ผิวของชุนขาวมากผิดกับตัวเขาที่มักจะออกเดินทางเสมอ พอลองแตะสัมผัสดูก็พบว่ามันเนียนมือจนอดไม่ได้ที่จะลากไล้ไปทั่วอย่างติดจะลุ่มหลง

                “พี่อิคคิ”เด็กหนุ่มเรียกอย่างรู้สึกกระดากอายเมื่อมือของอิคคิลากสัมผัสไปยังทุกสัดส่วนอย่างช้าๆและเนิ่นนาน  ดวงหน้าขาวเริ่มขึ้นสีเมื่อพบว่าดวงตาของพี่ชายกำลังไล่มองไปยังเรือนกายของตนที่เปลือยเปล่าอย่างละเอียดราวกับจะเก็บทุกภาพไว้ในความทรงจำมิรู้ลืม

                “พี่....อ้ะ!”ชุนตั้งใจจะเอ่ยเรียกอีกครั้งเผื่อว่าจะสามารถดึงสายตาของอิคคิไปยังที่อื่นได้แต่ยังไม่ทันจะได้เรียกอิคคิก็ก้มลงประทับบนอกซ้ายของชุน แม้อิคคิจะไม่ได้ออกแรงมากนักแต่รสสัมผัสที่เพิ่งเคยได้รับเป็นครั้งแรกก็ทำให้ชุนตกใจจนร้องเสียงน่ารักๆออกมาอย่างไม่ตั้งใจ อิคคิยังคงจุมพิตลงไปยังบริเวณนั้นอีกหลายต่อหลายครั้งทำให้ชุนต้องหลุดเสียงร้องน่ารักๆออกมาอีกหลายครั้งเช่นกัน

                “ชุน”น้ำเสียงของพี่ชายคนเดิมเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเอ่ยเรียกในคราวนี้ เพราะชุนไม่เคยได้ยินพี่ชายเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่ทั้งลุ่มหลงและปรารถนาในตัวเขาถึงเพียงนี้ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกดีใจพูดไม่ออก

                จากนั้นอิคคิก็ลุกขึ้นเพื่อถอดเสื้อของตัวเองออก แสงจันทร์ที่มีเพียงบางเบาลอดผ่านเข้ามาเพียงเผื่ออวดโฉมแผ่นอกแกร่งที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเข้ารูปสวยงามแบบคนที่มีสุขภาพดีเยี่ยมจนชุนเผลอยื่นมือออกไปสัมผัสอย่างไม่รู้ตัว

                อิคคิดูจะตกใจไม่น้อยที่น้องชายเริ่มสัมผัสตัวเขาแต่นั่นก็เป็นเพียงไม่กี่วินาทีก่อนที่อิคคิจะทิ้งตัวลงมาทาบทับกายบอบบางเอาไว้ อุณหภูมิของผิวกายทั้งสองที่เริ่มอุ่นร้อนไม่ต่างกันกำลังเบียดชิดแนบแน่นคล้ายกำลังช่วยโหมกระพือเพลิงแห่งตัณหาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

                ขณะที่อิคคิก้มลงเพื่อสร้างรอยตีตราลงบนลำคอขาวชุนกลับใช้สองแขนยันไหล่พี่ชายเอาไว้ ชายหนุ่มมองร่างข้างใต้ด้วยสายตาติดจะงุนงงเล็กน้อยเพราะการกระทำของชุนมันคล้ายการปฏิเสธแต่ดวงตาเยิ้มฉ่ำของน้องกลับไม่ได้บอกแบบนั้น

                “รู้สึกไม่ดีงั้นเหรอ”อิคคิลองถามดู ชุนส่ายหัวก่อนตอบด้วยคำพูดที่ทำให้เขาต้องถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย

                “ขอผมสัมผัสพี่อิคคิบ้างได้มั้ยครับ”คงมีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าชุนต้องใช้ความกล้ามากแค่ไหนในการพูดประโยคนี้ออกไป แต่ไม่แน่ว่าอิคคิอาจจะรู้ก็ได้เมื่อหน้าของชุนแดงด้วยความเขินขนาดนี้ ใบหน้าแดงๆของชุนในสายตาอิคคิช่างน่ารักเสียจนอดไม่ได้ที่จะฝังรอยจูบลงไปที่หน้าผากก่อนจะพลิกตัวให้ร่างบางมาอยู่ด้านบนแทน

                “สัมผัสไปตามที่นายต้องการสิ”เพราะอยู่ๆก็ถูกพลิกตัวให้มาอยู่ด้านบนแทน ชุนที่เป็นฝ่ายขอกลับเริ่มทำอะไรไม่ถูกแทน เด็กหนุ่มมีสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆยื่นมือออกไปวางบนใบหน้าหล่อเหลาของพี่ชายและลากไปยังลำคอและลาดไหล่แข็งช้าๆ

                ท่าทางชุนจะใช้ความกล้าทั้งหมดในการพูดประโยคเมื่อครู่ไปแล้วทำให้ท่าทางของชุนในตอนนี้เหมือนกับเด็กตัวเล็กๆที่อยากจะทดลองสิ่งใหม่ๆแต่ก็มีท่าทางกล้าๆกลัวๆที่ชวนให้รู้สึกเอ็นดู เพราะว่าเมื่อครู่อิคคิกดจูบลงบนอกของเขาชุนจึงลองทำดูบ้าง

                ริมฝีปากนุ่มๆแตะลงบนอกแกร่งเพียงผิวเผินและด้วยความเขินอายชุนจึงรีบขยับตัวลุกขึ้นทันทีก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างลองแตะลงไปแทน กล้ามอกที่แน่นจนสัมผัสได้แค่เพียงแว่บแรกก็ชวนให้หลงใหลและยิ่งได้สัมผัสไปถึงกล้ามท้องแน่นตึงก็ยิ่งทำให้เขาหลงใหลจนถอนตัวไม่ขึ้น

                ระหว่างที่มือบางกำลังไล่สำรวจไปยังแผ่นอกและกล้ามท้องของอิคคิ ตัวอิคคิเองไม่ได้ปล่อยให้มือทั้งสองข้างว่างเว้น ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นนั่งส่งผลให้ชุนต้องขยับตัวมานั่งบนตักของเขาแทน เส้นผมสีเขียวที่เริ่มยาวขึ้นเล็กน้อยตกลงมาปกปิดไหล่ขาวมนจนทำให้อิคคิต้องเกลี่ยมันออกไปเพื่อที่จะได้จุมพิตลงบนหัวไหล่ข้างนั้นได้ถนัดแล้วจึงค่อยลากมือไปยังแผ่นหลังบอบบางด้วยท่าทางคล้ายกำลังโอบกอดเอาไว้

                ยามที่ปลายนิ้วลากตั้งแต่แนวกระดูกสันหลังส่วนบนไปยังส่วนล่างร่างกายก็เกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมาจนต้องรีบคว้าร่างพี่ชายเอาไว้พร้อมส่งเสียงครางเครือออกมาให้ได้ยิน หลังได้ยินเสียงครางหวานอิคคิก็กดร่างบางนั้นให้ลงนอนกับเตียงอีกครั้งแล้วจึงค่อยเลื่อนฝ่ามือลงไปยังเบื้องล่างเพื่อปลุกเร้า

                “พี่อิคคิ!”ชุนร้องด้วยความตกใจเมื่อจุดไวสัมผัสถูกแตะต้อง ใบหน้าขาวที่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงยิ่งทวีความแดงขึ้นไปอีกขณะที่ถูกปลุกอารมณ์ด้วยมือของพี่ชายจนเผลอผลักไหล่หน้านั้นออกอย่างไม่ตั้ง

                “ต้องกอดไว้ต่างหากล่ะ ชุน”คำแนะนำของพี่ที่ถูกกระซิบข้างใบหูในเวลานี้ไม่ต่างกับคำสั่งที่ชุนไม่อาจปฏิเสธ มือเรียวบางจึงถูกยกขึ้นกอดบ่าแกร่งเอาไว้แน่นและยิ่งจิกแน่นขึ้นเมื่อถูกเร่งเร้าด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม

                “พี่อิคคิ...ผมจะ....”ประโยคนี้ชุนเขินอายจนกว่าจะพูดได้จนจบแต่อิคคิกลับรู้ดีว่าน้องจะพูดอะไร ชายหนุ่มก้มลงขบที่ใบหูของเด็กหนุ่มเบาๆก่อนกระซิบด้วยเสียงทุ้มนุ่ม

                “ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลั้นเอาไว้หรอก”

                “แต่ว่า....อ๊า!”แม้อยากจะแย้งคำพูดของพี่ชายแต่ชุนก็ไม่อาจทำได้เมื่อร่างกายกลับซื่อสัตย์กว่าที่คิดเมื่อในที่สุดกายขาวก็ถึงกับกระตุกสั่นเมื่อร่างกายได้ปลดปล่อยออกมาเมื่ออารมณ์ถูกปลุกเร้าจนถึงจุดสูงสุดจนทำให้หยาดน้ำสีขาวเปรอะเปื้อนทั้งตนเองและมือของพี่ชาย

                อิคคิกดจูบลงบนขมับชื้นเหงื่อของชุนที่กำลังหอบ ดวงตาสีเขียวคู่โตตวัดมองพี่ชายที่อยู่เหนือร่างของตนก่อนจะดึงรั้งให้พี่เปลี่ยนมาประกบจูบบนริมฝีปากถัดจากที่ขมับ ทั้งสองต่างแลกจูบอันดูดดื่มและร้อนแรงอีกครั้งเพราะต่างฝ่ายก็รู้ดีว่าเพียงแค่การกระทำเมื่อครู่ไม่มีทางดับอารมณ์ของทั้งสองในตอนนี้ได้เป็นแน่

                “ชุน...”ยินเสียงพี่ชายเอ่ยเรียก แม้อิคคิจะไม่ได้พูดอะไรแต่ชุนก็รู้ดีว่ามันคือการขออนุญาตแบบอ้อมๆ เด็กหนุ่มหลุบตาลงต่ำเล็กน้อยด้วยความเขินแต่กระนั้นสองขาเรียวกลับเริ่มขยับแยกออกกว้างเพื่อที่จะรับร่างของพี่ชายให้เข้ามา

                “รักนะ ชุน”ถ้อยคำหวานถูกเอ่ยซ้ำอีกครั้งก่อนที่อิคคิจะแทรกกายเข้าไป

                “อื้อ!”ชุนถึงกับต้องกัดปากตัวเองเอาไว้เพื่อสะกดเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเอาไว้เมื่อแก่นกายของอิคคิรุกล้ำเข้ามาในร่างกาย ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นมากพอที่จะเรียกน้ำตาจากเด็กหนุ่มให้รินไหลออกมา

                “ไหวรึเปล่า”พอเห็นน้ำตากับสีหน้าเจ็บปวดของคนเบื้องล่างแล้วต่อให้ตอนที่ตนเองจะต้องการแค่ไหนแต่เขาก็ไม่อยากเห็นคนสำคัญของตัวเองมีสีหน้าเจ็บปวดแบบนี้เลย ชุนส่ายหัวเป็นเชิงว่าไม่เป็นไรก่อนจะเพิ่มแรงกอดให้มากขึ้นเป็นการยืนยัน

                “ผมไม่เป็นไรครับ”เมื่อได้รับคำยืนยันเช่นนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มขยับกายเพื่อที่จะสานต่อบทรักในครั้งนี้ พออิคคิเริ่มขยับความเจ็บปวดก็เริ่มกลับมาอีกครั้งและดูจะทวีมากขึ้นแม้จะรู้ดีว่าคนที่กอดอยู่นั้นพยายามจะถนอมเขามากแค่ไหนก็ตาม

                แต่กระนั้นชุนก็ไม่ยอมหลุดเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บออกไปแม้แต่ครั้งเดียวเพราะความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นนั้นมีมากกว่าความหวาดกลัวที่จะบาดเจ็บส่งผลให้ชุนแยกขาออกกว้างกว่าเดิมและจิกเล็บเท้าทั้งสิบลงบนผ้าปูเตียงเพื่อคลายความเจ็บและอึดอัดแทน

                ภายในห้องของทั้งคู่ไร้ซึ่งสรรพเสียงอันใดนอกจากเสียงของผิวเนื้อที่บดเบียดเข้าหากันยามเมื่อร่างอันรุ่มร้อนของทั้งคู่กำลังจะผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน บางครั้งก็มีเสียงครวญครางหลุดออกมาจากร่างที่ถูกแทรกสอด หลังจากที่ความเจ็บปวดเมื่อเริ่มต้นผ่านพ้นไปสิ่งที่ตามมาคือความสุขสมและความต้องการที่เพิ่มขึ้นจนยากจะหยุดยั้ง

                มือของชุนปัดป่ายไปตามแผ่นหลังกว้างและบางครั้งก็ทิ้งรอยข่วนเอาไว้จนน่ากลัวว่าจะเกิดบาดแผลแต่อิคคิก็ไม่ได้ว่าอะไรแม้แต่คำเดียวกลับกันชายหนุ่มดูจะมีความสุขมากกว่าที่ชุนจะสามารถระบายความเจ็บปวดออกไปได้บ้าง

                “พี่อิคคิ”ชุนเรียกชื่อของพี่ชายซ้ำเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้เพราะนอกจากชื่อของอิคคิชุนก็ไม่อาจเอ่ยคำอื่นออกมาได้อีก อิคคิกำลังกอดเขาอยู่ด้วยความรู้สึกเดียวกับเขา ความสุขสมที่พี่ชายมอบให้มันมากล้นจนชุนไม่อาจจะระงับเสียงหรือสิ่งใดไว้ได้อีก ยามเมื่ออารมณ์ของทั้งคู่พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดต่างฝ่ายก็กระชับร่างของกันและกันในอ้อมแขนแน่นเพื่อปลดปล่อยทุกอารมณ์ความรู้สึกออกมา

                “อ๊า!”เสียงครางหวานดังขึ้นอีกครั้งและเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อเด็กหนุ่มได้ปลดปล่อยความใคร่ทั้งมวลออกไปพร้อมกับที่รับเข้ามาในเวลาเดียวกัน ร่างบางหอบด้วยความเหนื่อยอ่อนระหว่างนั้นเองเด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่ติดจะหอบนิดๆของพี่ชายที่ตระกองกอดเขาเอาไว้อยู่

                “พี่...”ชุนตั้งใจจะเรียกแต่อิคคิก็ไม่ได้รอให้ชุนเอ่ยเรียกชื่อเขาจนจบ ริมฝีปากของอิคคิประกบจูบลงมาอีกครั้งเหมือนจะแทนทุกคำพูดที่ตัวเองและชุนอยากจะพูดออกมา ชุนหลับตาลงแล้วกอดอิคคิเอาไว้แนบแน่นเพื่อแทนคำตอบที่เขาไม่จำเป็นต้องตอบอีกต่อไป

                รักนะ...คำสั้นๆที่ถูกแทนด้วยจูบและอ้อมกอดของทั้งสองคน

 

                กลางดึกของค่ำคืนอันแสนหวานที่เพิ่งผ่านพ้นไปชุนลืมตาขึ้นภายใต้อ้อมกอดของพี่ชายที่กอดรัดตัวเองเอาไว้แน่น เด็กหนุ่มหลับตาลงอีกครู่หนึ่งเพื่อซึมซับความอบอุ่นของวงแขนแกร่งนี้เอาไว้ เสี้ยวหน้าคมยามหลับของพี่ชายชวนให้ชุนอยากจะอยู่แบบนี้อีกสักพักแต่กาลเวลากลับไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้นเมื่อชุนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง

                รอบข้างและทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดจนน่ากลัวรวมถึงเสียงลมหายใจของคนข้างตัวที่หยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้มีท่าทีตื่นตระหนกเลยแม้แต่นิดเดียว ดวงตาคู่โตที่หรี่ลงเล็กน้อยฉายแววสงบอย่างน่าประหลาดราวกับรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนี้

                “ได้เวลาแล้วงั้นเหรอ”ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความเสียดายที่ไม่อาจอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของอิคคิได้นานกว่านี้ ร่างบางลุกขึ้นสวมเสื้อซึ่งถูกถอดทิ้งเอาไว้เพื่อเตรียมตัวไปยังที่แห่งหนึ่ง เมื่อสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยชุนจึงค่อยเดินกลับมาที่เตียงและนั่งลงไปเบาๆคล้ายกับกลัวว่าจะปลุกพี่ชายให้ตื่นขึ้นมา แม้ความจริงแล้วตอนนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ชายก็ไม่มีทางรู้สึกตัวก็ตาม

                “ตัวเจ้านั้นงามนักยามเมื่อเวลาหยุดลงงั้นเหรอ”คำพูดของใครบางคนที่ยิ้มเยาะประดุจปีศาจร้าย ในตอนนี้มันช่างเป็นคำพูดที่ทำให้ชุนรู้สึกอยากให้มันเป็นจริงเหลือเกิน เพราะใบหน้าของพี่ชายที่ถูกหยุดเวลาโดยฝีมือของบุรุษผู้นั้นกำลังทำให้ชุนรู้สึกอยากให้เวลาหยุดลงจริงๆ

                แต่ชุนก็ไม่อาจทำแบบนั้นได้เมื่อเขาได้ตัดสินใจทำบางสิ่งที่อิคคิไม่มีวันยินดีและไม่แน่ว่าใครอีกคนก็อาจจะไม่ปรารถนาเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ทว่านี่เป็นเรื่องที่ชุนตัดสินใจลงไปแล้วดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ใครมาขัดขวางได้

                “พี่อิคคิ ผมรักพี่นะครับ”สิ้นคำรักเด็กหนุ่มก็ก้มลงจูบลงบนริมฝีปากที่ไม่มีทางตอบสนองเขาได้แต่กระนั้นก็ยังเป็นจูบที่ยาวนานราวกับว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นร่างบอบบางจึงลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไปเพียงลำพัง

                ตามระเบียงวิหารไลบร้าอันไม่คุ้นชินเปลวไฟจากเทียนทุกเล่มต่างนิ่งสนิททำให้ไม่อาจส่องแสงออกมาได้จึงมีเพียงแสงจันทร์ที่อยู่ห่างไกลออกไปนำทางแต่ชุนกลับรู้ดีว่าตนเองควรจะต้องเดินไปที่ไหนต่อให้ไม่มีแม้แสงส่องทางก็ตาม เพราะว่าที่ซึ่งเด็กหนุ่มจะต้องก้าวเข้าไปคือ ความมืด...

                ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มเดินมานานแค่ไหนและตรงไปยังที่แห่งใดกันแน่แต่เมื่อรู้ตัวอีกทีร่างบางก็มาหยุดลงตรงหน้าของบุรุษในชุดสูทผู้ดีตะวันตกที่ยืนรออยู่ด้วยแววตาที่บ่งบอกอย่างไม่ปิดบังว่ากำลังรอชมเรื่องสนุกบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่

                “ร่ำลากับพี่ชายสุดที่รักเสร็จแล้วงั้นเหรอ”โยมะกล่าวด้วยรอยยิ้มที่บอกชัดว่ารู้ถึงความสัมพันธ์ที่เกินเลยของสองพี่น้องแต่ชุนก็ไม่นึกสนใจแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นเองที่แววตาของชุนแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

                แววตาที่เต็มไปด้วยความมืดอันลึกล้ำแต่แฝงไปด้วยความปรารถนาอันบริสุทธิ์ทำให้โยมะถึงกับหัวเราะด้วยความชอบใจเป็นที่สุดเมื่อลางสังหรณ์กำลังบ่งบอกว่าเรื่องนี้คงน่าสนุกกว่านี้เขาคิดเอาไว้มากนัก

                “ในเมื่อพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเถอะ”โยมะดีดนิ้วเพียงหนึ่งครั้งทั่วอาณาบริเวณก็สว่างขึ้นมาในทันที เบื้องหน้าของชุนปรากฏภาพสีน้ำมันของคางาโฮะที่ควรจะอยู่ในห้องของโดโกลอยอยู่ เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหามันทีละก้าวพร้อมกับยื่นมือออกไป

                วินาที่ปลายนิ้วสัมผัสลงบนผืนผ้าใบคอสโมอันดำมืดซึ่งอัดแน่นอยู่ในภาพก็พลันพวยพุ่งออกมาห้อมล้อมเด็กหนุ่มเอาไว้ หากเป็นก่อนหน้านี้ชุนคงร้องด้วยความตกใจกลัวไปแล้วแต่ในเวลานี้ขุมพลังที่รู้สึกได้นั้นทำให้เขารับรู้ได้ว่ามันคือพลังของเขาเองที่ซ่อนอยู่ในวิญญาณของร่างทรง

 

                วิญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยช่วงชิงพลังของยมเทพ....

 

                ชุนหลับตาลงเพื่อดูดซับพลังความมืดอันเข้มข้นเข้าไปในร่างกายโดยไร้ซึ่งการต่อต้าน หัวใจของเขาเหมือนกับจะเต้นช้าลงจนรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบแต่กระนั้นความมุ่งมั่นต่อผลลัพธ์ที่รอคอยกลับมีมากกว่าความหวาดกลัวทั้งมวลและเมื่อเด็กหนุ่มลืมตาขึ้นอีกครั้งดวงตาคู่นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำดุจเดียวกับพลังคอสโมสีดำของฮาเดส

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา