เอล คนทะลุมิติ chapter 1
-
เขียนโดย pong43
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.34 น.
48 ตอน
0 วิจารณ์
56.26K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 20.29 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
26) เอล คนทะลุมิติ ตอนที่ 26 อะโพโล ไจท์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความอะโพโล ไจท์
เย็นวันนั้น
เอลขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านไปยังถนนสายสี่สิบสี่ที่ผ่านหน้าหอสมุดเฮเว่นวิงค์ เขาหันหน้าไปมองนาฬิกาเรือนโตที่อยู่บนจั่วตึกหอสมุดนั้น มีคนกำลังปีนนั่งร้านซ่อมแซมนาฬิกาอยู่
แต่เมื่อเขาหันกลับมามองทางก็เห็นชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่บนทางเท้ากำลังเสียหลักเซถลาตกลงมายังพื้นถนน พริบตานั้นชายร่างท้วมคนหนึ่งกลับยื่นมือมาจับแขนของชายคนนั้นไว้ได้ทันก่อนที่จะตกถนน แต่มอเตอร์ไซด์ของเขากลับเสียหลัก
“ปริ้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน”
เสียงบีบแตรลั่นจากรถตู้คันหนึ่งวิ่งมาในทาง มอเตอร์ไซด์ของเอลจึงหักกลับเข้ามาในทางเท้าจนเกือบล้มแต่ไม่ล้ม เมื่อจอดมอเตอร์ไซด์สนิท
เอลโมโหมากหันกลับไปมองชายสองคนนั้น
บ้าที่สุดเกือบตายแล้ว...
แต่เสียงขอโทษที่ดังมาก็ทำให้เขาคลายโมโหลงได้
“ขอโทษครับ ผมขอโทษแทนเขาด้วย เป็นเพราะผมเองที่ไปเดินเบียดเขาตกมาจากทางเท้า” เสียงชายร่างท้วมตะโกนขอโทษขอโพยมาทำให้เขาคลายอารมณ์โกรธลงได้บ้าง แต่เขากลับสะดุดกับทรงผมและการแต่งตัวประหลาดแบบพั๊งค์ของชายร่างท้วมผู้นั้นเป็นที่สุด
เขารู้สึกคุ้นหน้าชายคนที่เกือบตกทางเท้าคนนั้นมาก เหมือนกับเคยเจอที่ไหนมาก่อน
ชายคนนั้นคือชายผู้สูญเสียความทรงจำนั่นเอง แต่เอลกลับจำหน้าชายร่างท้วมซึ่งแต่งตัวประหลาดได้
ใช่ไจท์หรือเปล่านะ...
เอลจำหน้าชายร่างท้วมได้ว่าเป็นช่างศิลป์ชื่อดังที่ชื่อว่าอะโพโลไจท์ซึ่งกำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ แต่เขากลับรู้สึกแปลก ๆ กับคนทั้งสองยังไงบอกไม่ถูก เขามองทั้งสองคนซึ่งเดินไปยังทางม้าลายที่จะข้ามไปยังหน้าหอสมุดเฮเว่นวิงค์
ไปดีกว่า....
เอลตัดใจขับมอเตอร์ไซด์จากไป
.....................................................................................................................................
ชายทั้งสองเดินไปคุยไป ชายผู้หลงลืมขอบอกขอบใจชายแต่งตัวประหลาดนั้นมาตลอดทาง
“ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ผมอาจจะโดนรถชนไปแล้วก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณบรรณารักษ์”
“คุณรู้จักผมหรือครับ” ชายผู้หลงลืมแปลกใจที่มีคนรู้จักเขาอีกคนแล้ว
“ไม่เพียงรู้จักคุณ ผมยังรู้จักลุงคุณด้วยนะครับ”
“ลุงของผม?”
“ใช่ครับ คุณแซม ลุงของคุณผมรู้จักเขาดีครับเรามักแวะไปดื่มกาแฟที่แยกรอมเลทนั่น”
“อ๋อ คุณรู้จักกับแซมด้วยหรือครับ” ชายผู้หลงลืมต้องแกล้งเออออไปด้วย แซมคนที่ว่าคือชายแก่ในรูปคนนั้นเป็นแน่
“น่าเสียดายที่งานศพคุณลุงคุณผมไม่ได้ไป น่าเสียดายคนดีๆอย่างเขานะครับ ไม่น่าจากไปเร็วขนาดนั้นเลย” ชายแต่งตัวประหลาดมองไปที่ตึกหอสมุดที่มีสถาปัตยกรรมสมัยโกธิคแล้วพูดต่อ
“ได้ยินมาว่าเขาทำงานที่หอสมุดนี่มาเกือบสี่สิบปี เป็นมือหนึ่งของที่นี่เลยทีเดียวเชียว หนังสือเล่มไหนอยู่ที่ไหนเขาจำได้หมด แม้กระทั่งใครยืมไปเขายังจำได้เลย”
“หรือครับคุณ...” ชายผู้หลงลืมเออออตาม เพื่อไม่ให้เสียมารยาทเขาจึงอยากรู้จักชื่อของชายแต่งตัวประหลาดเพราะอาจจะมีประโยชน์ในสืบหาตัวตนที่แท้จริงของเขาเองได้
“คุณชื่อ....”
“ผมอะโพโล ไจท์ครับ”
“ไม่เพียงแต่งตัวแปลก คุณยังชื่อแปลกอีกตะหาก” ชายผู้หลงลืมพูดไปแล้วเพิ่งรู้สึกตัว “ขอโทษครับที่ผมเสียมารยาท”
“ไม่เป็นไรหรอก แซมก็มักจะว่าผมเป็นคนแปลกเสมอ เออนี่วันนี้คุณไม่ได้มาทำงานหรือครับแต่งตัวแบบนี้” อะโพโล ไจท์มองชายผู้หลงลืมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ผมลาป่วยมาหลายวันแล้วครับ...”
“เป็นอะไรหรือครับ ใช่สิ ดูท่าคุณไม่ค่อยสบาย” ชายที่ชื่ออะโพโล ไจท์ถามด้วยความสงสัย
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”
ชายผู้หลงลืมและชายผู้แต่งตัวประหลาด อะโพโล ไจท์คุยกันอย่างถูกคอและชักชวนกันไปคุยต่อกันที่ร้านกาแฟโฟตี้ไนท์ที่แยกรอมเลทใกล้ๆ หอสมุดไปไม่ถึงร้อยเมตร
ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรส ด้วยวาทะศิลป์ของไจท์ทำให้ชายผู้หลงลืมซึ่งรู้เพียงว่าตนเองชื่อนาห์มก็เริ่มรู้สึกไว้ใจ ก่อนจะจากกันไจท์ได้ทิ้งนามบัตรไว้ให้เขา
ชายคนนี้ไว้ใจได้ รู้สึกถูกชะตาเขายังไงบอกไม่ถูก ดูเขาเป็นคนมีน้ำใจดี เขาอาจจะช่วยเราฟื้นความทรงจำได้บ้างนะ...
แล้วชายผู้หลงลืมก็ตัดสินใจได้แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องดำเนินชีวิตในตัวตนนี้ให้ได้ เขาควรกลับไปทำงานที่หอสมุดให้เหมือนปรกติ เพื่อที่เขาจะได้มีเงินใช้ในการประทังชีวิตต่อไป เขาคิดดีแล้วที่ตัดสินใจเช่นนี้ เขาต้องอยู่ในบ้านของแซมต่อไปจนกว่าใครจะมาไล่ และทำงานที่หอสมุด ใช้ชีวิตเท่าที่ได้ข้อมูลมา วันหนึ่งความทรงจำคงกลับคืนมา ความหวังเริ่มเกิดขึ้นในใจของชายหนุ่มผู้นี้แล้ว
เขาจะเป็นนาห์ม ไรม์วาให้ได้ ทั้งที่ส่วนลึกในใจเขาก็รู้ว่า เขาไม่ใช่คนชื่อนี้
เขาจะเป็นใครก็ตาม วันหนึ่งก็คงต้องรู้ จะมัวอ่อนแอต่อไปไม่ได้แล้ว
เขามองนามบัตรของไจท์ก็พบว่า
ไจท์คนนี้คือศิลปินนักเขียนรูปสีน้ำมันคนหนึ่ง เป็นเจ้าของแกลอรี่แห่งหนึ่งที่ถนนเวสต์วู้ด ดูท่าเป็นคนมีฐานะดี แต่งตัวดี ใส่เครื่องประดับราคาแพงทั้งตัว น้ำเสียงออกไปทางผู้หญิง เขาอาจจะเป็นเกย์ก็ได้
......................................................................................................................................................
ขณะที่เอลเดินทางกลับขึ้นบ้าน จู่ๆ บางสิ่งบางอย่างแว่บเข้าในสมองของเขา เขาเห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง กำลังจ้องมองมาที่เขา เด็กหญิงคนนั้น... และผู้ชายตัวสูงผมกระเซิงคนหนึ่ง
เขามองหาจากระเบียงห้องที่ชั้นสองก็หาไม่พบ
มีใครสักคนแอบมองเรา...
สัมผัสเหนือมนุษย์บอกกับเขา ทำให้เขาตัดสินใจวิ่งเข้าสู่โลกต่างมิติ เขาออกวิ่งเพื่อตามหาคนทั้งสอง เด็กสาววัยเดียวกับเขาแต่ตัวเล็กผูกผมสองข้าง หน้าตกกระ เขาไม่รู้ว่าเขาเห็นหรือว่าเป็นภาพนิมิต ฝ่ายชายสูงราว 180 เซนติเมตร หน้าตากวนๆ
ต้องหาให้เจอ... ต้องเป็นเจ้าพวกนั้นแน่ ว่าแต่ว่าอยู่ไหนกันนะ
เขาวิ่งไปทั่วรอบๆ บริเวณหอพักแต่ไม่พบใครสักคนที่มีหน้าตาเช่นนั้น เขาตัดสินวิ่งไปไกลกว่านั้น
แล้วก็พบกับคนสองคนซึ่งรูปพรรณสัณฐานคล้ายคนที่เขาเห็นในนิมิต เด็กหญิงตัวเตี้ยและชายร่างสูงโปร่งคนนั้นอยู่ตรงหน้านี่นา
เอลวิ่งเข้าไปหาและอ้อมขึ้นไปดักหน้า
แก....
ทันใดนั้นร่างของทั้งคู่ก็หายไปจากสายตาของเขา
เป็นไปไม่ได้....เมื่อกี้เราเห็น...
หรือว่าเรากำลังอยู่ที่ขอบเขตของโลกต่างมิติ และภาพพวกนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ มันอยู่ที่อีกฝากโลกหนึ่ง...
มันจะใช่คนที่เล่นงานเราหรือเปล่านี่..
“ออกมาสิวะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
เขาตะโกนร้องเรียกมันลั่น
“ไอ้ชั่ว เก่งจริงก็ออกมาสิ แกสร้างเรื่องไว้เยอะเลยนะ ฉันเจอแกเมื่อไหร่จะกระทืบให้จมดินเลยเชียว”
พวกเหนือมนุษย์ทั้งหลายจะมาที่นี่เพื่อแย่งชิงพลัง พลังจะดึงดูดพลังเข้าหากัน.....
เขานึกถึงคำพูดของวายร้ายขึ้นมา
หรือว่าสองคนที่เห็นไม่ใช่เจ้านั่น แต่เป็นพวกเดียวกันคนอื่น....
.....................................................................................................................................................
เย็นวันนั้น
เอลขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านไปยังถนนสายสี่สิบสี่ที่ผ่านหน้าหอสมุดเฮเว่นวิงค์ เขาหันหน้าไปมองนาฬิกาเรือนโตที่อยู่บนจั่วตึกหอสมุดนั้น มีคนกำลังปีนนั่งร้านซ่อมแซมนาฬิกาอยู่
แต่เมื่อเขาหันกลับมามองทางก็เห็นชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่บนทางเท้ากำลังเสียหลักเซถลาตกลงมายังพื้นถนน พริบตานั้นชายร่างท้วมคนหนึ่งกลับยื่นมือมาจับแขนของชายคนนั้นไว้ได้ทันก่อนที่จะตกถนน แต่มอเตอร์ไซด์ของเขากลับเสียหลัก
“ปริ้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน”
เสียงบีบแตรลั่นจากรถตู้คันหนึ่งวิ่งมาในทาง มอเตอร์ไซด์ของเอลจึงหักกลับเข้ามาในทางเท้าจนเกือบล้มแต่ไม่ล้ม เมื่อจอดมอเตอร์ไซด์สนิท
เอลโมโหมากหันกลับไปมองชายสองคนนั้น
บ้าที่สุดเกือบตายแล้ว...
แต่เสียงขอโทษที่ดังมาก็ทำให้เขาคลายโมโหลงได้
“ขอโทษครับ ผมขอโทษแทนเขาด้วย เป็นเพราะผมเองที่ไปเดินเบียดเขาตกมาจากทางเท้า” เสียงชายร่างท้วมตะโกนขอโทษขอโพยมาทำให้เขาคลายอารมณ์โกรธลงได้บ้าง แต่เขากลับสะดุดกับทรงผมและการแต่งตัวประหลาดแบบพั๊งค์ของชายร่างท้วมผู้นั้นเป็นที่สุด
เขารู้สึกคุ้นหน้าชายคนที่เกือบตกทางเท้าคนนั้นมาก เหมือนกับเคยเจอที่ไหนมาก่อน
ชายคนนั้นคือชายผู้สูญเสียความทรงจำนั่นเอง แต่เอลกลับจำหน้าชายร่างท้วมซึ่งแต่งตัวประหลาดได้
ใช่ไจท์หรือเปล่านะ...
เอลจำหน้าชายร่างท้วมได้ว่าเป็นช่างศิลป์ชื่อดังที่ชื่อว่าอะโพโลไจท์ซึ่งกำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ แต่เขากลับรู้สึกแปลก ๆ กับคนทั้งสองยังไงบอกไม่ถูก เขามองทั้งสองคนซึ่งเดินไปยังทางม้าลายที่จะข้ามไปยังหน้าหอสมุดเฮเว่นวิงค์
ไปดีกว่า....
เอลตัดใจขับมอเตอร์ไซด์จากไป
.....................................................................................................................................
ชายทั้งสองเดินไปคุยไป ชายผู้หลงลืมขอบอกขอบใจชายแต่งตัวประหลาดนั้นมาตลอดทาง
“ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ผมอาจจะโดนรถชนไปแล้วก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณบรรณารักษ์”
“คุณรู้จักผมหรือครับ” ชายผู้หลงลืมแปลกใจที่มีคนรู้จักเขาอีกคนแล้ว
“ไม่เพียงรู้จักคุณ ผมยังรู้จักลุงคุณด้วยนะครับ”
“ลุงของผม?”
“ใช่ครับ คุณแซม ลุงของคุณผมรู้จักเขาดีครับเรามักแวะไปดื่มกาแฟที่แยกรอมเลทนั่น”
“อ๋อ คุณรู้จักกับแซมด้วยหรือครับ” ชายผู้หลงลืมต้องแกล้งเออออไปด้วย แซมคนที่ว่าคือชายแก่ในรูปคนนั้นเป็นแน่
“น่าเสียดายที่งานศพคุณลุงคุณผมไม่ได้ไป น่าเสียดายคนดีๆอย่างเขานะครับ ไม่น่าจากไปเร็วขนาดนั้นเลย” ชายแต่งตัวประหลาดมองไปที่ตึกหอสมุดที่มีสถาปัตยกรรมสมัยโกธิคแล้วพูดต่อ
“ได้ยินมาว่าเขาทำงานที่หอสมุดนี่มาเกือบสี่สิบปี เป็นมือหนึ่งของที่นี่เลยทีเดียวเชียว หนังสือเล่มไหนอยู่ที่ไหนเขาจำได้หมด แม้กระทั่งใครยืมไปเขายังจำได้เลย”
“หรือครับคุณ...” ชายผู้หลงลืมเออออตาม เพื่อไม่ให้เสียมารยาทเขาจึงอยากรู้จักชื่อของชายแต่งตัวประหลาดเพราะอาจจะมีประโยชน์ในสืบหาตัวตนที่แท้จริงของเขาเองได้
“คุณชื่อ....”
“ผมอะโพโล ไจท์ครับ”
“ไม่เพียงแต่งตัวแปลก คุณยังชื่อแปลกอีกตะหาก” ชายผู้หลงลืมพูดไปแล้วเพิ่งรู้สึกตัว “ขอโทษครับที่ผมเสียมารยาท”
“ไม่เป็นไรหรอก แซมก็มักจะว่าผมเป็นคนแปลกเสมอ เออนี่วันนี้คุณไม่ได้มาทำงานหรือครับแต่งตัวแบบนี้” อะโพโล ไจท์มองชายผู้หลงลืมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ผมลาป่วยมาหลายวันแล้วครับ...”
“เป็นอะไรหรือครับ ใช่สิ ดูท่าคุณไม่ค่อยสบาย” ชายที่ชื่ออะโพโล ไจท์ถามด้วยความสงสัย
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”
ชายผู้หลงลืมและชายผู้แต่งตัวประหลาด อะโพโล ไจท์คุยกันอย่างถูกคอและชักชวนกันไปคุยต่อกันที่ร้านกาแฟโฟตี้ไนท์ที่แยกรอมเลทใกล้ๆ หอสมุดไปไม่ถึงร้อยเมตร
ทั้งคู่คุยกันอย่างออกรส ด้วยวาทะศิลป์ของไจท์ทำให้ชายผู้หลงลืมซึ่งรู้เพียงว่าตนเองชื่อนาห์มก็เริ่มรู้สึกไว้ใจ ก่อนจะจากกันไจท์ได้ทิ้งนามบัตรไว้ให้เขา
ชายคนนี้ไว้ใจได้ รู้สึกถูกชะตาเขายังไงบอกไม่ถูก ดูเขาเป็นคนมีน้ำใจดี เขาอาจจะช่วยเราฟื้นความทรงจำได้บ้างนะ...
แล้วชายผู้หลงลืมก็ตัดสินใจได้แล้วว่ายังไงเขาก็ต้องดำเนินชีวิตในตัวตนนี้ให้ได้ เขาควรกลับไปทำงานที่หอสมุดให้เหมือนปรกติ เพื่อที่เขาจะได้มีเงินใช้ในการประทังชีวิตต่อไป เขาคิดดีแล้วที่ตัดสินใจเช่นนี้ เขาต้องอยู่ในบ้านของแซมต่อไปจนกว่าใครจะมาไล่ และทำงานที่หอสมุด ใช้ชีวิตเท่าที่ได้ข้อมูลมา วันหนึ่งความทรงจำคงกลับคืนมา ความหวังเริ่มเกิดขึ้นในใจของชายหนุ่มผู้นี้แล้ว
เขาจะเป็นนาห์ม ไรม์วาให้ได้ ทั้งที่ส่วนลึกในใจเขาก็รู้ว่า เขาไม่ใช่คนชื่อนี้
เขาจะเป็นใครก็ตาม วันหนึ่งก็คงต้องรู้ จะมัวอ่อนแอต่อไปไม่ได้แล้ว
เขามองนามบัตรของไจท์ก็พบว่า
ไจท์คนนี้คือศิลปินนักเขียนรูปสีน้ำมันคนหนึ่ง เป็นเจ้าของแกลอรี่แห่งหนึ่งที่ถนนเวสต์วู้ด ดูท่าเป็นคนมีฐานะดี แต่งตัวดี ใส่เครื่องประดับราคาแพงทั้งตัว น้ำเสียงออกไปทางผู้หญิง เขาอาจจะเป็นเกย์ก็ได้
......................................................................................................................................................
ขณะที่เอลเดินทางกลับขึ้นบ้าน จู่ๆ บางสิ่งบางอย่างแว่บเข้าในสมองของเขา เขาเห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง กำลังจ้องมองมาที่เขา เด็กหญิงคนนั้น... และผู้ชายตัวสูงผมกระเซิงคนหนึ่ง
เขามองหาจากระเบียงห้องที่ชั้นสองก็หาไม่พบ
มีใครสักคนแอบมองเรา...
สัมผัสเหนือมนุษย์บอกกับเขา ทำให้เขาตัดสินใจวิ่งเข้าสู่โลกต่างมิติ เขาออกวิ่งเพื่อตามหาคนทั้งสอง เด็กสาววัยเดียวกับเขาแต่ตัวเล็กผูกผมสองข้าง หน้าตกกระ เขาไม่รู้ว่าเขาเห็นหรือว่าเป็นภาพนิมิต ฝ่ายชายสูงราว 180 เซนติเมตร หน้าตากวนๆ
ต้องหาให้เจอ... ต้องเป็นเจ้าพวกนั้นแน่ ว่าแต่ว่าอยู่ไหนกันนะ
เขาวิ่งไปทั่วรอบๆ บริเวณหอพักแต่ไม่พบใครสักคนที่มีหน้าตาเช่นนั้น เขาตัดสินวิ่งไปไกลกว่านั้น
แล้วก็พบกับคนสองคนซึ่งรูปพรรณสัณฐานคล้ายคนที่เขาเห็นในนิมิต เด็กหญิงตัวเตี้ยและชายร่างสูงโปร่งคนนั้นอยู่ตรงหน้านี่นา
เอลวิ่งเข้าไปหาและอ้อมขึ้นไปดักหน้า
แก....
ทันใดนั้นร่างของทั้งคู่ก็หายไปจากสายตาของเขา
เป็นไปไม่ได้....เมื่อกี้เราเห็น...
หรือว่าเรากำลังอยู่ที่ขอบเขตของโลกต่างมิติ และภาพพวกนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ มันอยู่ที่อีกฝากโลกหนึ่ง...
มันจะใช่คนที่เล่นงานเราหรือเปล่านี่..
“ออกมาสิวะ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ”
เขาตะโกนร้องเรียกมันลั่น
“ไอ้ชั่ว เก่งจริงก็ออกมาสิ แกสร้างเรื่องไว้เยอะเลยนะ ฉันเจอแกเมื่อไหร่จะกระทืบให้จมดินเลยเชียว”
พวกเหนือมนุษย์ทั้งหลายจะมาที่นี่เพื่อแย่งชิงพลัง พลังจะดึงดูดพลังเข้าหากัน.....
เขานึกถึงคำพูดของวายร้ายขึ้นมา
หรือว่าสองคนที่เห็นไม่ใช่เจ้านั่น แต่เป็นพวกเดียวกันคนอื่น....
.....................................................................................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ