i'm not&you don't [Yaoi NC18+] END หนังสือถามได้คะ
9.2
เขียนโดย Pierre
วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 02.28 น.
49 chapter
69 วิจารณ์
259.98K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559 22.56 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
40) 31 - Voluntary Spirit and Service Mind (1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ31 - Voluntary Spirit and Service Mind (1)
หลังจากที่ผ่านพ้นการสอบอันหฤหรรษ์ไปได้ กลางเทอมว่ายากแล้ว แต่ปลายภาคแม่งเป็นขั้นสุดยอดของคำว่ายากกว่า เป็น เดอะ ยากเกสท์ (อะไรของมึงคะแกรนด์?) เอ่อ...ช่างเถอะ
เอาใหม่นะ...หลังจากที่ผ่านพ้นการสอบอันหฤหรรษ์ไปได้ ผมก็แทบอยากจะยกเลิกการไปค่ายพรุ่งนี้ เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า...ค่ายอาสา ที่คณะวิศวะเป็นแกนนำหลัก พ่วงด้วยข่าวลือที่ได้ยินว่าใครบางคนที่ผมหลีกหนีมาตลอดนั้นบ้าค่ายจนไปสมัครมันซะทุกอย่าง ดังนั้นไม่มีทางที่คนคนนั้นจะไม่ไป...
ทำไมไม่ฉุกคิดให้เร็วกว่านี้วะ
เพราะไอ้พี่วอร์มนั่นแหละ ที่บังคับให้ผมไปค่ายโดยที่ไม่ฟังความเห็นของผมซักคำ
ผมจัดของแบบงงๆ มันแบบว่าเบลอๆ คิดว่าพรุ่งนี้จะทำยังไงถ้าต้องเจอกับคนคนนั้น
แต่บางทีมันอาจจะไปค่ายอื่นก็ได้ ผมคงคิดมากไปเอง ปิดเทอมนี้มีค่ายที่ชนกันเยอะ มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น...คิดแบบเข้าข่างตัวเองสุดๆอะนะ
ไม่อย่างนั้นการไปค่ายครั้งนี้ผมคง...
ไอ้ทัชโทรมาถามว่าจัดของเสร็จรึยัง เตรียมของไปครบมั้ย? ขาดอะไรรึเปล่า? ผมว่ามันน่าจะถามตัวเองมากกว่านะ เหลือบมองไปดูกระเป๋าเดินทางที่ไม่ใหญ่มาก แม้จะไปถึง2สัปดาห์ แต่ผมกะว่าจะไปซักเสื้อผ้าที่โน่นเอา (รุ่นพี่แนะนำมาแบบนี้)
คงไม่ลืมอะไรแล้วมั้ง...
วันนี้เป็นวันออกเดินทาง รุ่นพี่นัดให้มาเจอกันเวลาบ่าย3โมง ขู่ว่าล้อหมุนตอน4โมง ใครมาไม่ทันก็เรื่องของคุณ แต่เอาเข้าจริงๆ...ผมว่าทุ่ม2ทุ่มโน่นแหละ กว่าจะได้ขึ้นรถเดินทางกันจริงๆ
นักศึกษาปี1ที่สมัครมาออกค่ายครั้งนี้มีจำนวนเกือบ80คน รุ่นพี่ปี2อีกประมาณ30คน ส่วนรุ่นพี่ปี3อีก30คน พี่ๆปี4ประมาณ10คนกับฝ่ายสโมสรนักศึกษาคณะวิศวะฯอีก10คนนั้นเป็นฝ่ายจัดงาน จัดกิจกรรม และแบ่งหน้าที่ รวมๆแล้วค่ายครั้งนี้ถือว่าคนไปเยอะ มีจำนวนถึง160คน แต่นี่ยังไม่ได้นับพวกที่ขอสละสิทธิ์ ไม่สามารถมาได้อีกหลายคน ไม่อย่างนั้นคงได้เกิน200
อันที่จริงมันมีการมีตติ้งค่าย เหมือนกับว่าให้มาทำความรู้จักกันก่อน สิ่งที่ควรนำไปปฏิบัติในค่าย หากมีอะไรสงสัยก็สามารถถามได้เลย แต่พวกผมเพิ่งไปสมัครค่ายตอนที่เค้าปิดรับไปแล้ว เลยไม่ได้เข้าร่วมการมีตติ้ง
พวกผมกำลังนั่งอยู่หน้าตึกคณะ มีเสียงพูดคุย ตื่นเต้นบ้าง เบื่อหน่ายบ้าง ไม่เห็นว่าจะมีรุ่นพี่คนไหนออกมาดุด่าหรือให้ทำกิจกรรมอะไร เพราะดูเหมือนพวกพี่เค้าก็จะยุ่งๆวุ่นวายอยู่เหมือนกันหลังจากที่แจกข้าวกล่องพร้อมน้ำเปล่าตรามหาวิทยาลัยผลิตเองและเครื่องดื่มชูพลัง1ขวดให้พวกผมแล้ว
ครับ...เครื่องดื่มชูพลังที่พวกผมดื่มกันมากกว่าวันละ2ขวดในช่วงฤดูกาลสอบเป็นสปอนเซอร์ค่ายนี้
แต่เอ่อ...แจกกันตั้งแต่เย็นแบบนี้...จะให้พวกผมคึกไปไหนครับพี่?
เห็นพี่วอร์มแล้ว จับกลุ่มอยู่กับพี่รอย พี่โกเม่ และรุ่นพี่ที่คาดว่าน่าจะอยู่ปี2แต่ภาคอื่น
ส่วนอีกคน...โดดเด่นซะขนาดนั้น ไม่เห็นก็ไปตัดแว่นใหม่เถอะ ยกเว้นแต่ว่าจะทำเป็นไม่เห็น...เหมือนอย่างผม
รีบก้มหน้า ทำเป็นสนใจลวดลายบนพื้นปูนราวกับว่ามันเป็นประติมากรรมเอก ในอกด้านซ้ายมันบีบเค้นไม่เป็นจังหวะ
“เห้ย! ไอ้พอส มึงมาช่วยกูยกของหน่อย”
ตามด้วยเสียงกรี๊ดเบาๆของกลุ่มผู้หญิงที่มีไม่ถึง30คน
ใช่...ใช่จริงๆด้วย มันมาค่ายด้วย...ไม่รู้ว่ามันเห็นผมรึยัง ได้แต่ขอให้มันออกไปไกลๆ ไปช่วยงานตามที่โดนเรียกหรืออะไรก็แล้วแต่ ในเวลานี้ ยังไม่อยากให้เห็น...
ถึงแม้จะรู้ตัวว่าหลบหน้าตลอดค่ายไม่ได้แน่
จนเมื่อมั่นใจแล้วว่าแถวนี้ไม่มีมันอยู่ ผมถึงได้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง
ข้างหน้ามีรุ่นพี่ผู้หญิงกับผู้ชายมาพูดถึงการไปค่ายครั้งนี้ ผมไม่ค่อยได้ฟังหรอก ใจมันหลุดลอยไปที่ไหนก็ไม่รู้
“สวัสดีครับ พี่ชื่อหมู อยู่ปี4 ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า เป็นประธานค่ายครั้งนี้ครับ” รุ่นพี่ท่าทางทะมัดทแมง ใส่เสื้อยืดสีดำสกรีนสีแดงเลือดหมูโดดเด่นอยู่กลางหน้าอกว่า ‘วิศวะฯอาสา พัฒนาชนบท’ ออกมาพูด แล้วผลัดให้พี่ผู้หญิงที่ใส่เสื้อยืดค่ายเหมือนกันได้แนะนำตัวเองบ้าง
“สวัสดีค่ะน้องๆ พี่ชื่อออยนะจ๊ะ อยู่ปี4ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าเหมือนกัน เป็นรองประธานค่ายครั้งนี้จ้า” พี่ออยเป็นคนที่ผมซอยสั้น ผิวสีแทนเนียน แต่ยังไม่ทันที่พวกพี่เค้าจะได้พูดอะไรต่อ ก็มีเสียงตะโกนแซวมาจากพี่ๆที่ทำหน้าที่ควบคุมค่ายครั้งนี้ว่า
“น้องๆๆ ไอ้2คนเนี้ย มันเป็นแฟนกัน ให้เรียก ‘หมูหนอยออยแต่เซา’ แบบแพ๊คคู่เลยจะดีกว่า เพราะยังไงๆแม่งก็ตัวติดกันอยู่แล้วเนอะพวกเรา”
“ใช่ๆๆๆ ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงรับลูกคู่ดังมาเป็นระลอกๆ สร้างเสียงหัวเราะก่อนการเดินทาง
หลายๆคนที่นั่งอยู่ถึงกับขำออกมา ยกเว้นผม
อะไรวะ?
อดสงสัยไม่ได้ จึงหันไปถามเพื่อนซี้ที่กำลังเป็นไปกับเขาด้วย
“หัวเราะไรว่ะ?”
“หมูหนอยออยแต่เซา”
“เออ แล้วมันคืออะไร กูงง”
“โธ่ ไม่หล่อแล้วเสือกโง่ เงี้ยแหละ แดกข้าวน้อย จนไม่มีเลือดไปเลี้ยงสมองอะดิ” ปากหมาๆของไอ้แทนแทรกขึ้นมา “พี่ประธานค่ายเค้าชื่อหมูใช่มะ? ก็เป็น หมูหนอย...มึงลองผวน”
หมูหนอย .. ผวนเป็น ....หนู
อ้อออออออออออออออออออออ
“ส่วนพี่ออย รองประธานค่าย แต่เป็นแฟนกับพี่หมู ก็ได้ชื่อว่า ออยแต่เซา”
“เออ กูเก็ทล่ะ”
เป็นคำผวนที่...เอ่อ...เสื่อมมาก
“ห่า สมองช้าจริงมึง” ด่ากูอีก
“ว่าแต่แกรนด์ แทนก็รู้สึกจะสมองไวเรื่องนี้จังนะครับ”
ขอบคุณว่ะเมฆที่ด่าแทนกู
“แน่น๊อนนนน เรื่องสัปดนๆขอให้บอกนายแทน รายนี่เค้าช่ำชอง หึหึ” เสียงของผู้หญิงที่กล้าต่อปากต่อคำกับไอ้แทนดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“นั่งอยู่ตรงนั้นยังเสือกได้ยินอีกนะ” ไอ้แทนมันขมุบขมิบปากบ่นเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ตะโกนด่ากลับไป เพราะตอนนี้พวกพี่ๆปี4และพี่สโมทั้งหมดกำลังออกมาแนะนำตัว
ผมก็ตั้งใจฟังไปงั้นแหละครับ จำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใคร แต่พอถึงตอนที่พี่ๆปี3เดินเข้าแถวเรียงหน้ากระดานมาแนะนำตัวบ้างเท่านั้นแหละ...
“กรี๊ดดดดดดดดดด พี่พอสสสสสสสสสสสสสส”
“พี่โอเชี่ยนนนนนนนนนนนนนน”
“พี่แซคขา!!!!”
ออร่าความหล่อของใครบางคนกระทบเข้าอย่างจังจนต้องก้มหน้าลงอีกครั้ง
ถ้าถอนตัวตอนนี้ทันไหม?...
“แกรนด์” เสียงเรียกจากข้างตัวทำให้ผมหันไปมอง ทั้งๆที่ก้มหน้าอยู่แบบนั้นแหละ พ่วงด้วยแรงกดที่บ่า...
พวกมันรู้ว่าผมกำลังจะลุกหนี
“มึงหนีปัญหาไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”
“เงยหน้า เผชิญกับปัญหาอย่างที่มึงเคยเป็นสิวะ”
“เอาแต่หลบแบบนี้มาเป็นเดือนแล้วนะครับ”
พวกมึงก็พูดได้สิวะ
ไม่ลองมาเป็นกูบ้าง...
แต่...กูยังไม่พร้อมจริงๆวะ ยิ่งมาเจอกันโดยที่คาดไม่ถึงแล้วด้วย...
คงแนะนำตัวเสร็จแล้ว เสียงกรี๊ดถึงได้เบาลง อันที่จริงคงไม่ต้องแนะนำก็ได้มั้ง รู้จักกันไปทั่วทั้งมหาลัยนิ พี่หมูกับพี่ออยมาแทนที่พวกปี3 บอกว่าจะพาน้องๆปี1และปี2ไปกราบไว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัย เพื่อขอให้การเดินทางและกิจกรรมในค่ายอาสาครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่น
และจะผิดมั้ยถ้าผมจะขอให้การใช้ชีวิตในค่ายครั้งนี้...อย่าได้มีสิ่งใดมารบกวนจิตใจผมเลย...
จากนั้นเป็นการแบ่งฝ่าย โดยมี3ฝ่ายคือฝ่ายโครงงาน เรียกง่ายๆว่าฝ่ายก่อสร้างนั่นแหละ แน่นอนว่าพวกผมเข้าร่วมฝ่ายนี้อย่างไม่ต้องสงสัย มีจำนวนมากที่สุด และเป็นชายล้วน(หญิงแกร่งก็มีนะ)
ฝ่ายที่สองคือฝ่ายประชาสัมพันธ์ ทำหน้าที่ศึกษาชีวิตและสร้างความสัมพันธ์กับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อเรียนรู้ถึงคุณค่า ความเรียบง่าย และความงามในวิถีชีวิตของชาวบ้าน
ฝ่ายสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยก็คือฝ่ายสวัสดิการ ประกอบอาหาร ดูแลความสะอาด และทำหน้าที่เบ็ดเตล็ด ส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้หญิง
ทุกฝ่ายมีรุ่นพี่ปี3 ปี4และพี่สโมคอยดูแล ให้ความช่วยเหลือ ผมมองไปยังหน้าแถว พี่รหัสผมก็อยู่ฝ่ายนี้ด้วย
“เอาละครับน้องๆทุกคนทุกฝ่ายนะครับ ให้นับจำนวน40คน เพื่อแบ่งขึ้นรถ หากเหลือเศษนิดๆหน่อยก็ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าอยากให้แต่ละฝ่ายอยู่ด้วยกัน จะได้ทำความรู้จักกันไปพลางๆนะระหว่างอยู่บนรถ” พี่ออยตะโกนใส่โทรโข่ง แต่ผมมองดูแล้ว ไอ้ฝ่ายผมเนี่ยแหละที่เยอะสุด อย่างฝ่ายสัมพันธ์จะมีไม่ถึง10คนหรือฝ่ายสวัสดิการที่มีประมาณ20คน
ยิ่งคนมาก เรื่องก็ยิ่งเยอะ เลขจำนวนคนหารไม่ลงตัว มากันเป็นกลุ่ม มาคนเดียว มากับเพื่อน2คน คนเหล่านี้ย่อมต้องการที่จะนั่งกับเพื่อนของตนเองอย่างแน่นอน
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา พวกเราโตๆกันแล้ว การมาค่ายอาสา ทุกคนรู้ว่าต้องเสียสละ หากจะมีปัญหาตั้งแต่ยังไม่ได้ออกเดินทาง คงไม่ใช่วิสัยของผู้ที่เสียสละเพื่อค่ายสักเท่าไหร่
ผมเดินขึ้นรถคันที่1ไปกับไอ้ทัช ไอ้แทนและเมฆอย่างเนือยๆ วางสัมภาระที่ใต้ท้องรถซึ่งเป็นที่เก็บ จับจองที่นั่ง2เบาะคู่ท้ายรถ ตอนแรกกะจะนั่งแถวหลังยาวสุด แต่ดันมีข้าวของมากมายเหมือนวางจองอยู่ก่อนแล้ว
ไม่ใช่รถทัวร์ปรับอากาศหรอกครับ แหม...ไปค่ายอาสา จะนั่งรถสบายก็ใช่เรื่อง
ผมนั่งริมหน้าต่าง ที่เสาคั่นมีเชือกสีเขียวผูกห้อยอะไรบางอย่างที่ข้างตัวรถ คงจะเป็นผ้าดิบที่เขียนเป็นชื่อค่ายครั้งนี้ เพื่อให้รู้ว่าคณะรถทัวร์จำนวน4คันมีจุดมุ่งหมายจะไปทำอะไรที่ไหนอย่างไร
“แดกมะ?” ไอ้ทัชมันยื่นขวดน้ำเปล่ามาให้ ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ล้มตัวลงพิงเบาะเบาๆ
ไอโฟน ไม่มี หูฟัง ไม่ได้เอามา ... อื้มมมม ไปค่ายอาสานี่เนอะ ของพวกนี้มันไม่จำเป็น เมื่อไม่มีอะไรทำ สิ่งเดียวที่ผมสามารถได้ในตอนนี้ก็คือ...
หลับตานอนตลอด4ชั่วโมงการเดินทาง
แต่เสียงเอะอะโวยวายมันทำให้ผมข่มตาหลับไม่ลง รถโยกเล็กน้อยจากแรงผลักเล่นกันของผู้ที่กำลังไต่ขึ้นบันไดมาใหม่ ยากจะหันไปด่าแต่...
ไอ้เหี้ยพอส....
เหมือนเสียงรอบกายดับสนิท เวลานาฬิกาหยุดหมุน มีเพียงแค่ตาคมๆที่จ้องมองมาสบกับตาผมแบบตรงๆเท่านั้น แต่ก่อนที่หัวใจผมจะหยุดเต้น ใบหน้าของผมก็รีบหันออกนอกหน้าต่างทันที
ไม่ต้องอาศัยการเหล่หรือหางตาก็รู้ได้ว่ามันกำลังเดินมาท้ายรถ ที่ที่พวกผมนั่งอยู่ แต่มันก็เดินเลยไปพร้อมกับเพื่อนอีก4-5คน
เบาะหลังสุด ยาวสุด ที่มีของวางจองก่อนนั่นเอง
ให้ตายเถอะ!!
ใจผมเต้นรัวอีกครั้ง ภาวนาขอให้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่มันนั่งริมหน้าต่างฝั่งเดียวกับผม...
“เห้ยยยย มานั่งหลังพอดีเลยว่ะไอ้น้องงงงง”
“โหย พวกพี่เองเหรอที่มาจอง ก็นึกว่าใคร” ไอ้แทนตอบรับใครไม่รู้ มันนั่งคู่กับเมฆอีกฝั่ง
“อะไรๆ ต้องให้พวกพี่จองก่อนโว๊ยยยยยยยย”
“เถิบดิว่ะไอ้เหี้ยพอส ยืนขวางทำเชี่ยเหรอ?”
ผมพยายามข่มตัวเองไม่ให้สนใจกับแรงขลุกขลักที่กระทบเบาะด้านหลัง
“เอ้าๆๆๆๆๆ ด้านหลังน่ะ ไอ้พวกปี3ทำตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่น้องๆหน่อย” ประธานค่ายกับรองประธานก็ขึ้นรถคันนี้มาด้วย ทั้ง2ยืนอยู่ด้านหน้า ผมมองไม่เห็นหรอก ได้ยินแต่เสียงที่ออกมาจากลำโพง รู้สึกยินดีที่ด้านหลังผมสงบลงได้ แม้ไอ้เพื่อนข้างๆมันจะหันหลังให้ผมไปคุยด้วยก็เถอะ
“คร้าบบบบบบพี่หมูหนอยกับพี่ออยแต่เซา ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงพี่โอแซวลั่นรถ ทำให้แต่ละคนขำไม่เว้นแม้แต่เจ้าตัว
“เออไอ้โอจนเตา!!” พี่หมูตะโกนใส่ไมค์กลับมา
“เอาจนโต!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
คราวนี้ล่ะขำหนักกันทั้งรถ หากใครไม่รู้ว่าไอ้ที่นั่งอยู่ในรถเบอร์1นี่มันขำอะไรคงคิดว่ารถคันนี้บรรทุกคนบ้าแหละครับ
“อะ เงียบๆๆๆ พี่คงไม่ต้องแนะนำตัวแล้วเนอะ..แต่พวกน้องๆอะสิ คงยังไม่รู้จักกันใช่มั้ย? งั้นให้แนะนำตัวเองเสียงดังๆแล้วยิ้มให้กับคนตรงข้ามด้วยนะคะ”
“เริ่มจากคนแรกเลย ชื่อเล่นแล้วตามด้วยปีและภาควิชาครับ”
รถเริ่มเคลื่อนตัวแล้ว ผมกลอกตาอย่างเบื่อหน่าย จะแนะนำตัวเองให้กับคนข้างๆทำไม? ในเมื่อยังไงไอ้คนที่นั่งคู่กันส่วนใหญ่มันก็รู้จักกันอยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่โง่มานั่งด้วยกันหรอก นอกซะจากว่าจะไม่มีเพื่อนหรือมันเหลือที่จริงๆ
แต่...มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิครับ
ไอ้คนที่นั่งริมหน้าต่างดันต้องหันหลังกลับมาแนะนำตัว(บวกรอยยิ้ม)ให้กับคนหลังเบาะด้วย อย่างที่คนนั่งแถวหน้าๆกำลังทำ
“สวัสดีครับผมชื่อนัท ปี2 วิศวะคอมฯ คุณสมบัติหน้าตาคล้ายคน รถยนต์ไม่มีขับ โทรศัพท์กล้องชอบเสีย ข้อดีคือไม่มีเมีย ข้อเสียคือไม่มีตังค์ครับ” ไอ้นี่มันชันเข่าบนเบาะ(คิดว่างั้น)หันตัวกลับหันมาทางผู้หญิงที่นั่งข้างหลัง
จากการแนะนำตัวของนัทเรียกเสียงโฮ่ฮิ้วได้ทั้งรถ ยิ่งไอ้แทนอย่างกับเจอเพื่อนแท้ที่ตามหากันมานาน ยกนิ้วโป้งชูขึ้นทั้ง2ข้างเป็นการกดไลค์ให้อย่างออกหน้าออกตา
แต่ทีเด็ดมันไม่ได้มีแต่ผู้ชายฝ่ายเดียวนะครับ
“ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะนัท เราชื่อฟ้าชันชัน ปี2 วิศวะฯเคมี คุณสมบัติอย่างหนูต้องรถหรูดูดีมีระดับ ไอโฟนบีบีกล้องไม่เสีย ข้อดีต้องไม่มีเมีย ข้อเสียคือชอบเปลืองตังค์ค่ะ” แล้วเธอก็ยิ้มกว้าง ประดุจเจอเนื้อคู่ที่อยากร่วมชีวิตด้วย
“เอ...น้องฟ้า...เมื่อกี้แนะนำตัวว่าชื่ออะไรนะ ชัน...อะไรนะคะ?” พี่ออยถาม
“อ๋อ...ฟ้า-ชัน-ชัน ค่ะพี่ออยแต่เซา”
“แหม น้องฟ้า พี่ชอบชื่อของน้องจังค่ะ ออยแต่เซาของพี่ดูด้อยไปเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”
เอ่อ...ค่ายนี้มันพูดเป็นแต่คำผวนรึไงวะ?
ฟ้าชันชัน ฟันช้าช้า.. เสื่อมทั้งคณะไม่มีแบ่งเพศ กร๊ากกกกกก
เสียดายที่ส้มโอมันไม่ได้ขึ้นรถคันนี้ ไม่งั้นได้ฮากว่านี้แน่ เจอเจ้าแม่อย่างนังส้มโอเข้าไป ฮ่าๆๆๆ
ขณะที่คนอื่นเค้ากำลังแนะนำตัวไปเรื่อย ซึ่งแต่ละคนก็งัดทีเด็ดออกมาซะ...ยอมกันไม่ได้จริงๆ ผมก็ยิ้มๆ เพราะสีสันเหล่านี้มันช่วยลดความเครียดกับลืมบางอย่างด้านหลังไปชั่วขณะ
ลืมไปว่า...ผมต้องหันหลังไปแนะนำตัวกับมัน...
จากด้านหน้ารถ จนตอนนี้มาถึงท้ายรถ แล้วสายไมค์ของพี่หมูกับพี่ออยก็ช่างยาวได้ใจ มันสามารถลากเดินมาถึงท้ายรถได้อย่างน่าทึ่ง ตอนนี้เป็นทีของนายแทนกันบ้างล่ะครับ
ถึงมันจะต้องแนะนำตัว(บวกยิ้มกว้างๆ)ให้กับไอ้ทัช แต่มันก็หาได้สนใจไม่ เพราะตอนนี้มันคว้าไมค์ของพี่หมูมาจ่อปากตัวเอง ยืดตัวขึ้นสูง คงกะเอาให้เห็นได้ทั้งคันรถ
“สวัสดีคร้าบบบบบ ผมชื่อแทน ปี1 วิศวะเครื่องกล..เอ่อ...คือผม...เป็นคนไม่มีอะไรหรอกครับ มีดีแค่หน้าตากับตำแหน่งขวัญใจมหาชน...อ้อ...แล้วผมก็รวยด้วยนะครับ...รวยแค่เขือครับ...ขอบคุณ”
ห๊ะ...อะไรของมันวะครับ???
ท่าทางของมันตอนแนะนำตัวดูอายๆ (ได้น่าถีบมาก) เมื่อพูดคำว่าขอบคุณเสร็จมันก็นั่งลง ท่ามกลางความเงียบอึ้งทั้งรถ
อะ...ให้เวลาประมวลผล 5 วินาที
5 4 3 2 1 ..
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“กร๊ากกกกกกกกกกกก”
“รวยแค่เขือ...เหลือแค่คว-!!!!”
“เชี่ยแม้งงงง สมกับที่ได้ตำแหน่งขวัญใจมหาชนว่ะ คราวนั้นที่มึงตอบกรรมการเล่นเอาหน้าหงายไปเลย ฮ่าๆๆๆๆๆ”
และอีกหลายๆเสียงที่โห่ร้องก้องรถ
อืม...มึงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้จริงๆว่ะ ไม่มีใครเหมาะไปกว่ามึงอีกแล้วครับคุณแทน
“สวัสดีครับ ผมชื่อทัช ปี1 วิศวะเครื่องกลครับ...แหะๆ แค่นี้แหละครับ ผมคงไม่มั่นใจในหน้าตาเหมือนคนเมื่อกี้พอ”
เออ ขอบคุณไอ้ทัช ที่มึงยังแนะนำตัวดีๆ กูจะได้ไม่ต้องสรรหาคำพูดเด็ดๆมาประชัน
“น้องคนต่อไปเลยจ้ะ หันหลังด้วยนะคะ แนะนำตัวเองพร้อมยิ้มกว้างๆเลยยยย”
ผมนิ่งไปเล็กน้อย....ขอให้คนข้างหลังไม่ใช่ใครบางคนที่ผมหลบเลี่ยงมาตลอดทั้งเดือนด้วยเถิด...
ค่อยๆชันเข่ากับเบาะ ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย สายตาไล่จากสีเบาะแดงแปร๊ด ไล่มาถึงบ่าของคนที่จองที่ด้านหลังแต่ตอนนี้กำลังยืนเหมือนรอคอยผมอยู่ จากนั้นเงยหน้าช้าๆ...
ใบหน้าที่ผมหันหนีตลอดเวลาบัดนี้ได้มาอยู่ตรงหน้า ห่างกันไม่ถึง1ฟุต
มัน...ยิ้มให้ผม
ไม่ใช่สิ...มันก็ยิ้มของมันแบบนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะสาวคนไหนหรือกับใคร
ผมเลี่ยงสายตา จดจ้องที่เสื้อยืดสีดำ อันเป็นที่รู้กันว่านี่คือเสื้อค่าย
รีบๆพูด แนะนำตัวเองให้เสร็จๆไปซะ...สูดลมหายใจเข้าลึกๆ บังคับเสียงที่เปล่งออกมาไม่ให้สั่นและถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจด้วย...
“สวัสดีครับ ผมชื่อแกรนด์ ปี1 วิศวะภาคเครื่อง”
จบแล้ว...แค่นี้เอง
“ยิ้มกว้างๆด้วยสิจ้ะน้องแกรนด์” เสียงพี่ออยเตือน
แค่ยิ้ม...
กล้ามเนื้อบนใบหน้าขยับตามคำสั่งกริยา ‘ยิ้ม’ แต่ไม่รู้ว่าผมยิ้มออกไปแบบไหน อาการแบบนี้มันเรียกว่า ‘ฝืนยิ้ม’ ได้รึเปล่า?
ช่างสิ...
ผมหันตัวกลับและนั่งลงอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจคนที่อยู่อีกฝากเบาะ
ทำไมต้องสนใจ ในเมื่อ ‘เพิ่งรู้จักกัน’ เหมือนกับคนอื่นๆในค่ายนี้
ไม่จำเป็นต้องรับรู้อดีต ไม่ต้องรู้ว่าอุปนิสัยลักษณะว่าเป็นยังไง มีแฟนรึเปล่า หรือแม้กระทั่งมีคู่หมั้นมั้ย??
ไม่จำเป็นต้องรู้เลยสักนิด
ตลอดการเดินทาง ความตั้งใจที่จะหลับกลับไม่เป็นอย่างที่หวังไว้ เพราะเสียงโหวกเหวกโวยวายทั้งรถ โดยเฉพาะ...ท้ายรถ...ที่วุ่นวายจนน่ารำคาญ
ไอ้ทัช ไอ้แทน เมฆ ก็ร่วมด้วยช่วยกันส่งเสียง เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับไอ้พวกปี3ท้ายรถ
เสียงจากใครบางคนที่นั่งหลังเบาะผมทำเอาผมอยากย้ายที่ แต่ติดที่ไอ้ทัชมันไม่ยอมเปิดทางให้ผมได้ลุกไปไหน คิดแล้วก็แค้น ใครเสือกใช้ให้มันแนะนำตัวเองแบบนั้น ทำไมต้องมาล้อเล่นกับความรู้สึกของผมแบบนี้ด้วย?
‘สวัสดีครับ ผมชื่อพอส ปี3 วิศวะเครื่องกล วันนี้ผมอยากจะบอกว่าดีใจมากๆที่ได้มาค่ายนี้’
‘หล่อแล้วยังใจบุญนะคะน้องพอส’ พี่ออยแซว
‘นั่นก็ส่วนหนึ่งครับ...แต่จริงๆแล้วผมดีใจเพราะรู้ว่าคนที่ผมกำลังตามหา...มาค่ายนี้ด้วยต่างหาก’
‘กรี๊ดดดดดดดดดดดด ไม่ทราบว่าใครเหรอจ๊ะ? เชื่อว่าสาวๆหลายคนคงอยากรู้’
‘เค้านั่งหน้าผมครับ’
ผมเบิกตากว้างหลังจากที่ได้ยิน
มันพูดอะไรออกมา? ต้องการจะสื่ออะไร? คนที่มันต้องตามหาอยู่สวิตเซอร์แลนด์นะ...
หลังจากที่มันพูดจบ เหล่านักศึกษาเพศหญิงที่อยู่บนรถคันนี้ก็ต่างย้ายก้นตัวเองมานั่งอีกฝั่ง ซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับผม
‘เอ้าๆๆ ไม่ต้องลุก ไม่ต้องย้ายที่จ้ะ แต่ขอให้รู้ว่าใครบางคนที่นั่งฝั่งเดียวกับพอส....เค้ากำลังตามหานะจ๊ะ’
คนที่นั่งหน้ามัน...ไม่จำเป็นต้องเป็นผมนี่....คนนั่งหน้ามัน มีเป็นสิบ ทั้งแถวเลยเหอะ
ผมปฏิเสธตัวเอง...ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ
ไม่อยากเข้าข้างตัวเองไปมากกว่านี้
หยุดสักทีเถอะ ไอ้อาการใจเต้นแรงเวลาที่ได้รับรู้สิ่งที่เกี่ยวข้องกับมัน...
มันมีคู่หมั้นอยู่แล้ว...มันเคยหลอกมึงมาแล้วนะไอ้แกรนด์...หยุด พอ เลิกคิด!
“เห้ยยย ทำไมหลายรหัสกูเงียบจังวะ? ลืมเอาปากมาเหรอไง” พี่แซคตะโกนถามลอยๆ
“ให้มันเงียบอะดีแล้วพี่ ดีกว่าปล่อยหมาออกมาเพ่นพ่าน” เชี่ยแทน ด่ากูไม่ดูตัวเองเลยนะสัด
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ผมก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรออกไป
ข้างนอกมืดแล้ว ตอนนี้เวลา2ทุ่มกว่าๆ 2ข้างทางเต็มไปด้วยทุ่งหญ้า ท้องนา ถนนสายหลักที่นำไปสู่อีกจังหวัดมีรถแล่นน้อย ลมแรงพัดเข้ามาในรถ มันพัดแรงจนเจ็บ หน้าชาไปหมด เส้นผมลู่ลงมาปรกใบหน้าจนผมรำคาญต้องใช้มือเสยขึ้นไปบ่อยครั้ง
กลับจากค่ายสงสัยต้องไปตัด...
“ไอ้ทัช” ผมเรียกคนข้างๆที่นั่งหันหลังให้ มันหันกลับมา
“มีไรวะ?”
“กูปิดหน้าต่างนะ”
“เออ กูรำคาญลมพัด แม่ง กูก็นึกว่ามึงติส ชอบลมแรงๆ เลยไม่ได้บอกให้ปิด”
อ้อ...มึงเลยนั่งหันหลังสินะ -*-
ผมขยับตัว เอื้อมมือไปตรงมุมหน้าต่าง ซึ่งมันต้องออกแรงบีบทั้ง2ข้าง ข้างหนึ่งไม่มีปัญหา ผมสามารถใช้มือบีบได้ แต่อีกข้างเนี่ยสิ...มันเลยเบาะผมไปหน่อย และมือผมก็ไม่สามารถแทรกเบาะไปได้ด้วย
เกลียดความเหลื่อมล้ำของเบาะกับหน้าต่างจริงๆ ทำไมแม่งไม่สร้างให้มันตรงๆกันวะ กูจะได้ปิดง่ายๆ
เอาไงดี?....หรือไม่ต้องปิด...
ขณะที่ผมกำลังคิดหาคำตอบนั้น ก็เหลือบไปเห็นช่องว่างของเบาะว่ามีคนบางคนช่วยบีบที่ปิดกระจกให้แล้ว
มือที่คุ้นเคย...ถึงแม้จะคล้ำลง แต่ผมก็จำได้...
จำได้ไม่เคยลืม...
ผมเอื้อมมือไปบีบที่ปิดกระจกข้างที่สามารถบีบได้อีกครั้ง
“ปิดสุดเลยมั้ย?”
เสียงมันถาม แต่ผมไม่ตอบ
กระจกเลื่อนลงมาพร้อมๆกันทั้ง2ฝั่ง จนปิดสนิท ไม่รู้ว่าคนที่ช่วยปล่อยมือไปรึยัง...แต่ผมค้างมือไว้แบบนั้น ด้วยความรู้สึกที่อธิบายยาก...
เนิ่นนาน...กว่าที่จะปล่อยมือ พิงตัวลงกับเบาะ แรงกระแทกเล็กน้อยที่ด้านหลังทำให้ผมรู้สึก มันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างชนเบาะบริเวณที่วางศีรษะ
ผมมือไปยังหน้าต่างที่ปิดลงแล้ว ไม่มีลมพัดแรง มีแต่เสียงลมกับเสียงพูดคุยให้ได้ยิน ความมืดข้างนอกตัวรถมันกำลังสะท้อนสายตา2คู่ที่คั่นไว้ด้วยเบาะหนา
มันโน้มตัวลงมา ขมับและหน้าผากส่วนหนึ่งชนกับเบาะ สายตาคู่นั้นกำลังมองผมในกระจก
เหมือนกับที่ผมกำลังมอง...จนอดหวั่นไหวไม่ได้
เป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่ผมกับมันใกล้ชิดกันขนาดนี้ ถึงแม้จะมีเบาะขวางกั้นและเงาบนหน้าต่างที่สะท้อนภาพของเรา2คนเท่านั้น...
“แกรนด์..ไอ้แกนน...ตื่นโว๊ยยตื่นนนนน” แรงปลุกพลังช้างสารจากเพื่อนสนิททำให้ผมลืมตาขึ้นมามอง
“อะไร? ถึงแล้ว?”
“ยัง แต่ใกล้ละ”
แรงโยกของตัวรถเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าหวาดเสียว คาดว่าตอนนี้รถทัวร์กำลังเข้าสู่เส้นทางที่เต็มไปด้วยดินลูกรัง ขรุขระ ผมมองออกไปด้านนอกก็เห็นต้นไม้ต้นใหญ่ คล้ายกับว่าเรากำลังบุกเข้าป่า ยิ่งความมืดที่รายล้อแบบนี้มันยิ่งทำให้ดูน่ากลัว ผมได้ยินเสียงลมและกิ่งไม้ที่ปะทะกับตัวรถ คนอื่นๆเริ่มทำแบบผมบ้างแล้ว คือนำกระจกลง เพื่อที่กิ่งไม้จะได้ไม่ฟาดเข้าหน้า
นี่พากูมาที่ไหนวะเนี่ย??
เสียงเอะอะที่ได้ยินก่อนจะเผลอหลับเงียบลงแล้ว ผมมองหน้าต่างที่สะท้อนภาพด้านหลังเล็กน้อย
หืม? ไม่อยู่?
ถึงจะสงสัย แต่ก็ไม่ออกปากถาม เพราะยังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับผม
“เอาละจ้า ขอให้น้องๆลงจากรถแล้วเดินตามรุ่นพี่ไป อย่าให้คลาดสายตานะจ๊ะ เพราะทางที่นี่มันมืดมาก หากพลัดหลงกันไปคงตามตัวเจอยาก บลาๆๆๆๆๆๆ” เสียงพี่ออยประกาศออกไมค์ รถจอดนิ่งแล้ว ผมลุกขึ้นยืน บิดขี้เกียจเล็กน้อย นั่งมาหลายชั่วโมงแถมไม่ได้ลุกไปไหน มันก็ต้องมีอาการกันบ้าง
กลุ่มผมเป็นกลุ่มที่ลงจากรถกลุ่มสุดท้าย เดินไปหยิบสัมภาระมาแบกไว้กับตัวและเริ่มออกเดินทางด้วยเท้า
ส่วนคนที่หายตัวไปกลับมาปรากฏกายอีกครั้งที่ข้างไอ้แทน ในมือมีไฟฉายส่องที่พื้น คนอื่นๆที่เป็นรุ่นพี่ปี3และปี4ก็มีไฟฉายในมือกันทุกคน คอยเดินข้างน้องๆปี1และปี2 เพื่อที่จะได้ดูแลได้ง่าย
“พวกพี่จะพาผมไปไหนเนี่ย?” ไอ้แทนถาม
“ไปที่หมู่บ้าน รถมันเข้าไปไม่ได้ เลยต้องเดินเอา”
นี่แค่เข้าสู่ตัวหมู่บ้านยังลำบากขนาดนี้ นึกไม่ออกเลยว่าภายในหมู่บ้านจะลำบากกันขนาดไหน และคงเพราะสาเหตุนี้ทำให้หลายสิ่งหลายอย่างที่คนในตัวเมืองมีแต่คนในหมู่บ้านนี้ไม่มีไม่สามารถเข้าถึงได้
หนาว...
อากาศเย็นๆสัมผัสผิวหนังจนผมต้องห่อตัวเล็กน้อย
ระหว่างที่เดินนั้นเงียบ การพูดคุยกันก็เบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ เมื่อกี้พี่หมูเตือนบนรถแล้วว่าอย่าส่งเสียงโวยวายหรืออึกทึกครึกโครม เรามาต่างที่ต่างถิ่น ควรให้เกียรติเจ้าป่าเจ้าเขา
นักศึกษาที่มาค่ายครั้งนี้นับชีวิตแล้วมากกว่า150คน มาครบ ก็ต้องกลับให้ครบ
เรามาดี ไม่ได้มาร้าย เรามาช่วยเหลือ ไม่ได้มาทำลาย
จนในที่สุดก็ถึงตัวหมู่บ้าน ระยะทางที่พวกผมเดินมานั้นกะคร่าวๆคงมากกว่า1.5กิโลเมตร
เราหยุดอยู่ที่ลานกว้างของหมู่บ้าน ซึ่งกว้างพอที่จะจุพวกเราทุกคน ถึงจะเรียกว่าลานกว้าง...แต่พื้นก็ยังเป็นพื้นดิน มีหญ้าขึ้นแทรกประปราย พวกผมนั่งลงกันเป็นกลุ่มๆ แยกตามชั้นปี ความเย็นชื้นของพื้นดินทำให้กางเกงเปียก คบเพลิงที่ปักไว้โดยรอบช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ
ตอนนี้เป็นเวลา5ทุ่ม ชาวบ้านคงหลับกันไปหมดแล้ว แต่ละบ้านไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมา เรานั่งกันอยู่สักพักก็มีชายวัย50ปีออกมา
พี่หมูและพี่ออยแนะนำว่านี่คือหัวหน้าหมู่บ้าน พวกเราทุกคนยกมือไหว้ หัวหน้าหมู่บ้านบอกให้เรียกแกว่า ‘ลุงหมาย’ และเนื่องจากตอนนี้มันดึกมากแล้ว แกบอกว่าพวกเราเดินทางมาเหนื่อยๆก็ขอให้ไปพักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้มาประชุมกันทั้งหมู่บ้าน นัดพบเวลา8โมงตรง
จากที่แบ่งเป็น3ฝ่าย ฝ่ายโครงงานต้องไปนอนที่โรงเรียน ฝ่ายสวัสดิการและประชาสัมพันธ์ต้องไปนอนกับคนในหมู่บ้านตลอดค่ายนี้
เราทุกคนแยกกันนอนตามหน้าที่อีกครั้ง ผมเห็นส้มโอกับกิ๊งแว๊บๆ คงได้เพื่อนใหม่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงอะไร
รุ่นพี่เดินนำลึกเข้าไปในตัวหมู่บ้าน มีบ้านเรือนประปราย ซึ่งล้วนแต่ปลูกสร้างด้วยไม้และฟาง จำพวกอิฐ ปูนยังไม่มีให้เห็น จนมาถึงโรงเรียน ป้ายชื่อโรงเรียนคงเป็นสิ่งเดียวที่ทำจากปูน..และมันก็มีสภาพทรุดโทรมมาก
เดินตัดผ่านสนามของโรงเรียน เสาธงตั้งอยู่ตรงนั้นทำให้ผมรู้ว่านี่คือสนามไว้สำหรับเข้าแถวของเด็กๆ และตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าอาคารเรียนแล้ว เป็นอาคารเรียนหนึ่งเดียวของโรงเรียนแห่งนี้
อาคารเรียน2ชั้น ทำจากไม้ทั้งหมด ประตู หน้าต่าง โต๊ะเรียน เก้าอี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง รุ่นพี่เดินนำเข้าไปที่ห้องเรียนแรก บนหัวประตูเขียนว่า ‘ป.1’
“นับ30คน เข้าไปนอน ไม่ต้องโวยวายว่าจะไม่ได้นอนกับเพื่อน คืนนี้นอนไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาจัดกันใหม่อีกที” พี่แซคในโหมดรุ่นพี่ที่ต้องคอยควบคุมดูแลทำหน้าโหด
เรานับแบบนี้กันไปเรื่อยๆ โชคดีที่ผม ไอ้แทน ไอ้ทัช เมฆ ได้นอนด้วยกันที่ห้องเรียนของน้องป.3 เลื่อนโต๊ะและเก้าอี้ไว้ที่มุมห้อง เหลือพื้นที่กว้างๆพอที่จะนอน จากนั้นก็หามุมของตัวเอง ตัวใครตัวมัน
“นอน! ห้ามลุกไปไหน แต่ถ้าอยากลองของก็เชิญ!” เสียงพี่แซคดังได้ยินกันทั่ว
“เอ่อ...พี่แซคครับ ถ้าเกิดอยากเข้าห้องน้ำ...”
“นายเป็นผู้ชาย ไม่ใช่ผู้หญิง...แล้วก่อนจะทำอะไร ให้ไหว้ขอขมาหรือขออนุญาตก่อนด้วย เข้าใจมั้ย?”
“ครับ”
“ใครมีอะไรจะถามมั้ย?...ถ้าไม่มี พรุ่งนี้พี่จะมาปลุกตอนตี5 ฝันดีครับน้องๆทุกคน”
พี่แซคเดินออกไปแล้ว ผมเลือกนอนตรงกลางระหว่างทัชกับแทน แม้จะอึดอัด พื้นแข็ง แต่ก็ต้องทน ผมไม่ได้ใช้อะไรทำเป็นที่นอนทั้งนั้น แค่ใช้กระเป๋าเป้ใบโตเป็นหมอนรองก็พอ
มองไปรอบๆห้อง เพื่อนๆหลายคนนั่งพับเพียบหรือบางคนก็ท่าเทพบุตร พนมมือไว้ที่อก ก่อนจะก้มกราบสิ่งที่เปรียบเป็นหมอน
ผมเห็นดังนั้นจึงทำตาม และนอนราบไปกับพื้น
ต่อให้ไม่ง่วงก็ต้องนอน
11วันต่อจากนี้มีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ
Talk
หมดสต๊อกแล้วนะคะ
ต่อจากนี้คือต้องรอแพรพิมให้เสร็จถึงจะลงได้เท่านั้น แหะๆ
ขอคอมเม้นต์เป็นกำลังใจหน่อยค่า ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ