THE RED EYE

5.8

เขียนโดย RATH

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 16.37 น.

  8 chapter
  16 วิจารณ์
  15.10K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) บทที่ 4 ครอบครัว ที่หายไป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่  4

  

ครอบครัว ที่หายไป

  

 

“ที่นี้สวยมาก ราชีฟ    แสงอาทิตย์ยามเย็น  สวยจังเลย ราชีฟ”   

 

                สาวน้อยของผม มองท้องฟ้าจากดอยสูง ท้องฟ้ายามเย็น  สลับ เฉดสีเข้ม ไปสีอ่อน  ผสมกันระหว่างสีน้ำเงินเข้ม และสีส้มอ่อน  ครั้งหนึ่งเมื่อยี่สิบปีก่อนท้องฟ้าที่นี้ มีสีเดียวที่ผมจำได้  มันคือสีแดง ของเลือด และความตาย  ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเพลิง เผาชีวิต และวิญญาณ  มันเผาชีวิตผม วิญญาณผม เมื่อผมหลับตา  ความร้อนเผาดวงตาผม  ทั้งยามหลับ ตลอดจนยามตื่น  ในความฝัน  วิญญาณผมเต็มไปด้วยเลือด  และน้ำตา   ยี่สิบปีผ่านมา ท้องฟ้าบนดอยสูง  เปลี่ยน เฉดสี สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ยามอัสดง มันชั่งสวยงาม   กาลเวลาเปลี่ยนท้องฟ้า  แต่มันไม่เปลี่ยนความทรงจำผม  กาลเวลาเปลี่ยนชีวิต และครอบครัว ใหม่ ให้ผม แต่กาลเวลาไม่ยอมเปลี่ยนความความรู้สึกเศร้า  เหงา ในใจผม มันชั่งเจ็บปวดนัก  อยากให้กาลเวลาหมุนกลับ เปลี่ยนท้องฟ้า เปลี่ยนชีวิต ผมใหม่  ผมอยากได้ครอบครัวเก่าที่ผมทำมันหายไปกับคืน  ผมขอร้อง 

 

“ราชีฟ มีคนเขียนข้อความไว้ มันมีความหมายดีมาก ฉันจะอ่านให้ฟัง”

  

"ไม่มีดอยใดสูงเกินเข่า ไม่มีเขาใดสูงเกินใจ"

  

 “หน้าจะแปลว่า ดอยสูงแค่ไหนก็ไม่เกินความสามารถที่จะไปไม่ถึง ด้วยพลังของขาทั้งสองข้างคนเรา และ ใจที่สู้และอดทน เราก็สามารถ ฝ่าฟันอุปสรรคที่ยาก ลำบากไปได้” 

  

“คุณว่าฉันแปลความหมาย ได้ใกล้เคียงมั้ย ราชีฟ”

  

ผมยิ้ม แสดงว่า ผมเห็นด้วย

 

  

“ราชีฟ มีต่ออีก ฉันจะอ่านให้ฟัง”

 

  

“ไม่มีน้ำตกไหนที่ไปไม่ถึง” 

 

  

“ข้อความนี้ไม่ต้องแปล น้ำตกอยู่บนดอย และ บนเขา ถ้าจะไปน้ำตกเราก็ต้องเดินขึ้นดอย และเดินขึ้นเขา”

 

  

“ถูกต้องใช่มั้ย ราชีฟ”

 

  

ผมยิ้ม และหัวเราะ ในความน่ารักของเธอ ซึ่งความหมายของรอยยิ้มและเสียงหัวเราะคือ การแสดงความเห็นด้วยในความคิดเธอ

 

  

“คุณยิ้ม ตลอดเลย ราชีฟ  และคุณก็หัวเราะเยอะความคิดฉันด้วย”

 

 

  

ผมยิ้ม และสายหน้า ซึ่งหมายความว่า ผมเปล่าดูถูกความคิดเธอ 

 

          “ผมเปล่าดูถูกความคิดคุณนัด ผมเห็นด้วยต่างหาก พวกนักท่องเที่ยวคงเขียนไว้ เพื่อให้พวกเราคนมาใหม่ ได้ยึดเป็นคำขวัญ ในการใช้ชีวิตต่อไปอย่างอดทน ชีวิตคนเราต่างมีอุปสรรค หากเราอดทนและสู่ต่อไป เราก็จะไปถึงสิ่งที่เราหวังไว้ อย่าได้ยอมแพ้มัน”

 

 

“เราต้องขอบใจ คนเขียนข้อความนี้ไว้ อย่างน้อยมันก็ ทำให้คุณนัด และผม ได้อ่านข้อความที่มีความหมายดี ดี จริงมั้ย ครับ คุณนัด”

 

  

เธอยิ้ม และพยักหน้าแสดงความเห็นด้วย  ผมคิด

 

 

“ราชีฟ คุณรู้จักที่นี้หรือเปล่า”  

 

             ผมพยักหน้า คนที่ชื่อ มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ ตายที่นี้  ผมอยากตอบคำถามเธอด้วยคำตอบนี้  แต่คำถามเธอคงต้องการคำตอบแบบอื่น  ที่นี้เคยเป็นบ้าน  ที่ผมเคยใช้ชีวิต  ช่วงหนึ่ง พักอาศัยอยู่  ที่นี้ผมเคยอาศัยอยู่กับครอบครัวผม  ที่นี้ผมเคยมีความสุขกับพี่ชายผม พ่อผม แม่ผม  มีคำตอบให้เลือกตอบมากมาย แต่ผมเลือกตอบเธอ ไม่ได้เลยแม้แต่คำตอบเดียว ผมยังไม่พร้อม กับคำถามเธอที่จะตามมาอีก และผมไม่อยากโกหกเธอ ผมตอบรับคำถามเธอได้เพียงการพยักหน้าเท่านั้น มันมีความหมายว่า ผมรู้จักที่นี้มาก่อน

 

 

“ราชีฟ  เราต้องหาที่พักสำหรับคืนนี้”

 

 

          ผมชี้นิ้วไปยังบ้านบนดอย มันไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก แต่ก็สามารถรับคนได้ประมาณยี่สิบคนอย่างสบาย มันสร้างด้วยไม้ทั้งหลัง  ระบบการประปา  ใช้กังหัน วิดน้ำ จากลำธาร มาใช้  ระบบไฟ ใช้เครื่องปันไฟ และหม้อแปลงไฟ  บ้านถูกดูแลอย่างดีจากคนงานที่พ่อ จ้างไว้  มันเป็นของขวัญในวันครบรอบยี่สิบเจ็บปีของผม  ที่พ่อมอบให้ผม แต่ของขวัญชิ้นนี้ถูก  เปิดจากกล่อง ของขวัญในปีที่ยี่สิบแปดของผม  ของขวัญในปีที่ยี่สิบแปดก็คือ การเดินทางกลับมาเผชิญความกลัว  อีกครั้ง ผมต้องเลือก ชีวิต ที่ถูกต้องให้กับตัวเอง มันเจ็บปวดมากจริง ผมคิด

 

 

“ราชีฟ นั้นบ้านใคร”

 

  

“บ้านผม เอง”

 

  

“ฉันคิดว่าคุณไม่มีบ้าน เป็นแค่นักท่องเที่ยว  เสียอีก แต่ผิดคาด คุณมีบ้านอยู่บนดอยที่สวยมาก” 

 

            บ้านหลังนี้จำลองมาจากรูปภาพ ที่พ่อผมหามาได้ก่อนที่บ้านหลังเก่าจะถูกไฟเผา ไปแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อน  พ่อผมทำได้ทุกอย่าง ที่ท่านต้องการ ด้วยอำนาจเงิน ที่สามารถขับเคลื่อนระบบการเงินของโลกใบนี้   ถ้ามีคนบอกว่า

 

“โลกใบนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวคุณหรอกนะ” คำพูดนี้ก็ไม่สามารถนำมาใช้กับพ่อผมได้ เพราะโลกใบนี้หมุนและเคลื่อนไปพร้อมกับพลังอำนาจของพ่อผม หากพ่อผมหยุดเดิน ทุกคนต้องหยุดเดิน หากพ่อผมวิ่ง ทุกคนต้องวิ่งตามพ่อผม  บ้านหลังใหม่ แต่ความทรงจำ เก่า  ผมคิด

 

“ใช่   มันเป็นบ้านที่สวยมาก”

  

“ราชีฟ  ข้างล่างเขาทำอะไรกัน  มันเป็นสวนผลไม้ใช่มั้ย” 

 

              ผมพยักหน้า ความหมายของมันก็คือ ครับพวกเขาทำสวนผลไม้กัน  ธุรกิจของพ่อผม มีหลายอย่าง แต่ไม่รวมถึงการส่งออก พืชผลทางการเกษตร  แต่พ่อผม  คงต้องการให้บ้านหลังนี้ยังคงความเป็นธรรมชาติ เหมือนเมื่อยี่สิบปีก่อนเอาไว้  ถ้านี้คือของขวัญวันเกิดของผมอีกชิ้น มันก็คือ ของขวัญชิ้นที่ดีที่สุดของผมข้างล่าง มีการปลูกพืชผักเพื่อนำ  ออกไปขายในตลาด  ทั่วไป  และตลาดใกล้เคียง  สวนผลไม้บนดอย นำส่งพ่อค้า รับไปขายต่อ  และบางส่วนนำส่งโรงงาน แปรรูปเพื่อส่งออก  ธุรกิจทางการเกษตรในประเทศไทยของพ่อผม มันไม่ได้กำไร  มากมายอะไร  รายได้ส่วนใหญ่ก็พอแค่ดูแล ชาวไร่ ชาวสวน เท่านั้น ผมดีใจที่พ่อผมไม่ได้คิดที่จะหากำไร จากของขวัญที่ท่านได้มอบไว้ให้  การที่ผมต้องเลือก ระหว่าง พ่อผู้ให้กำเนิด และพ่อ ผู้ที่ให้ชีวิตใหม่แก่ผม  มันเจ็บปวดจริง ผมคิด

 

“ราชีฟ มี แอปเปิล ด้วย” ผมพยักหน้า และยิ้ม

  

“อยากกิน มั้ย” ผมถาม  เธอพยักหน้า

 

 

“มันสูง” เธอบอก  ผมยิ้ม

 

  

“ผมมีปืน กระสุนเหลืออีก สามนัด”

 

  

“ราชีฟ” เธอตะโกนด้วยความตกใจ ผมยิ้ม

 

  

“คุณคงไม่ยิงมันจริงๆ หรอกใช่ มั้ย” ผมพยักหน้า  ความหมายของมันก็คือ ผมจะยิงมันแน่นอน

 

 

 

“ฉันไม่อยากกินแล้ว ราชีฟ  คุณบ้าแน่ถ้าจะยิงแอปเปิล ด้วยปืน  มาให้ฉันกิน และฉันก็คงกิน  แอปเปิลมันไม่ลงแน่ หากคุณยิงโดน  มันจริง” 

 

           ผมยิ้ม ในความใสซื่อของเธอ ผมไม่คิดจะยิงแอปเปิล  แน่ คนแถวนี้คงได้ วิ่งกันป่าราบ   และผมก็อยากจะอยู่ที่บ้านหลังนี้  อย่างเงียบๆ  การหนีตำรวจ   การหนีมือปืน  ที่นี้แหละเหมาะสุด ในป่าและบนเขาบนดอย ถ้าเก่งจริงก็ปีนกันขึ้นมาแล้วกัน ผมคิด   ผมมองลูกแอปเปิล  และกะระยะการวิ่ง การกระโดด อย่างนักกระโดดสูง ก่อนจะกระโดดผมวางกระเป๋าเอกสาร แล้ววิ่งอย่างเร็ว ได้ระยะ และ กระโดด เหมือนนกกางปีกบิน  ผมได้แล้วแอปเปิล หนึ่งลูก มันมีสีแดง และมันจะกรอบมากด้วย   ผมยื่นส่งมันให้สาวน้อยของผม เธอดีใจมากจากสีหน้าของเธอ

 

  

“คุณเก่งมาก ราชีฟ คุณกระโดดได้สูง เหมือนนกเลย”

 

  

เธอดีใจจนลืม ขอบคุณผม ผมยิ้ม ไม่ได้ตอบรับอะไร ผมเดินไปหยิบกระเป๋าเอกสารที่วางทิ้งไว้ แล้วออกเดินทางต่อ ไปยังบ้านบนดอย

  

“ราชีฟ ที่นี้มี โบสถ์ สำหรับ ผู้นับถือศาสนาคริสต์ ด้วย”

  

                    ผมพยักหน้า และมองไปตามนิ้วที่เธอชี้ไป โบสถ์ สำหรับ ผู้นับถือศาสนาคริสต์ ไม่ได้อยู่บนดอย แต่อยู่ข้างล่าง มองจากจุดที่ผมยืนอยู่ จะเห็นยอดแหลม  เมื่อยี่สิบปีก่อนจากเหตุไฟไหม้  สิ่งที่รอดพ้นจากเพลิงก็คือโบสถ์ ข้างล่างนั้น  ผมและครอบครัวเราไป โบสถ์ ทุกอาทิตย์ ขอพรต่อไม้กางเขน ให้ครอบครัวเราอยู่อย่างสงบ และมีความสุข  พวกเราอาจจะขอพรไม่พอ บ้านถูกเผา ชีวิตมากมายต้องตายไปในกองไฟ ชีวิตของผม วิญญาณ ของผม ก็ตายไปในกองไฟ  หลังจากเหตุการณ์นั้น ผมไม่ได้เขาโบสถ์ อีกเลย  พ่อผมคิดอยู่นานสุดท้ายท่านเปลี่ยนชื่อผม นำผมเข้าสู่โลกของ  มุสลิม คือผู้นับถือศาสนาอิสลาม ท่านบอกทุกคนต้องมีสิ่งยึดเหนียว ผมไม่จำเป็นต้องมีความศรัทธา  แค่เป็นคนดี ก็พอ ผมทำตามที่ท่านบอก ทำตัวเป็นคนดี 

 

“ราชีฟ คุณเคยไปที่ โบสถ์ นั้นมั้ย” ผมพยักหน้า ความหมายก็คือ ครับผมเคยไป

 

  

“ราชีฟ พาฉันไปได้มั้ย” ผมพยักหน้า

 

  

“ขอบคุณ ราชีฟ”

 

  

           ผมมองหน้าเธอหาความหมาย  จากคำขอบคุณของเธอ ผมรู้เธอต้องมีเรื่อง  คิดมากมาย และอย่างน้อยเรื่องคิดมากมายของเธอก็คงต้องมี  เรื่องของผมอยู่ด้วยแน่นอน ผมอยาก  เล่าเรื่องของผมมากกว่านี้   แต่ อนาคตข้างหน้าระหว่างผมกับเธอ ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก เรื่องส่วนตัวผม ผมอยากให้มันตายไปพร้อมกับคนที่ตายไปแล้ว  ผมยังต้องเลือก  และยังไม่ได้ตัดสินใจจะเลือก เส้นทางที่ถูกต้อง  ดังนั้นเมื่อผมตัดสินใจเลือกเส้นทางของผมแล้ว ผมก็พร้อมจะเล่าสิ่งที่เธออยากรู้เกี่ยวกับผมแน่นอน 

 

“คุณนัด ขอบคุณผมบ่อยมากนะครับวันนี้”

 

  

  “ผมกระโดดสูงเอาแอปเปิล ให้คุณนัด  แต่คุณนัดไม่ได้ ขอบคุณผม   แต่ผมโกหกคุณนัด  ว่าจะพาไป โบสถ์ คุณนัด กับเชื่อ และ ขอบคุณผม”

 

 

“คุณราชีฟ ตอนคุณเอาแอปเปิล ให้ฉัน  ถึงฉันไม่ได้ขอบคุณ แต่ฉันก็ชม  ว่าคุณเก่งมาก   มันมีความหมายมากกว่าคำขอบคุณทั้งหมดของฉันทั้งวันเลย คุณราชีฟ”  ผมยิ้มในความแถ  ข้างๆ คูๆ ของเธอ

 

  

              “ส่วนเรื่อง โบสถ์ ฉันไม่ได้โง่  คุณราชีฟ   คุณรู้มั้ย  วันนี้คุณพูดน้อยมาก ฉันไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ ฉันคิดว่า  ความคิดกับร่างกายคุณมัน  ไม่ได้ไปด้วยกัน  คุณพยักหน้า คุณยิ้ม  แต่บางคำถามของฉัน คุณควรจะส่ายหน้า  ปฏิเสธ แต่ คุณกับพยักหน้าแทน  หากฉันพูดว่า “คุณอยากตายมั้ย” คุณก็คงพยักหน้า เหมือนกับฉันถามคุณว่า “คุณจะพาฉันไปโบสถ์ ได้มั้ย” คุณก็พยักหน้า  โดยทั้งสองคำถามคุณควรจะส่ายหน้าปฏิเสธ  ความจริงแล้วคุณควรเดินทางมาบ้านนี้  คนเดียว โดยไม่ต้องมีฉัน มาด้วย หากแต่ชะตากรรมไม่ได้นำเรา มาผูกติดกันไว้  คุณมีบ้านหลังใหญ่  แต่ไม่มีแสงไฟ ในบ้านเลย แสดงว่าคุณอยู่คนเดียว คุณไม่มี พ่อ แม่ หรือญาติ ที่นี้เลย  ไม่มีใครออกมารับคุณเข้าบ้าน ไม่มีใครทำอาหารให้คุณทาน ไม่มีใครคอยปลุกคุณ ไปทำงาน  ฉันมองตาคุณ เวลาคุณยิ้ม  หัวใจฉันอยากจะร้องไห้ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ คุณดูเศร้า  ดูเหงา มาก ฉันจะไม่ถามคุณในคำถาม  ที่ตอบยาก ตลอดทาง ที่ฉันกับคุณเดินทางมาด้วยกัน แต่บางคำถามของฉันทุกคำถาม คุณ  เลี่ยงคำตอบโดยการพยักหน้า ตลอด  ฉันต้องขอโทษคุณด้วย   ฉันจะบอกคุณว่า ที่ฉัน ขอบคุณ   ฉัน   ขอบคุณ ที่คุณพา ฉันมาด้วย และขอบคุณ ที่คุณไม่ทิ้งฉัน  สักวันฉันจะตอบแทนคุณ   คุณจำไว้  ฉันจะไม่มีวันทิ้งคุณ  เหมือนกับที่คุณไม่ทิ้งฉัน  ฉันสัญญา คุณราชีฟ” 

 

                ผมมองเห็นพลังในตา  เด็กสาวคนนี้ เธอแตกต่างจากครั้งแรกที่พบกันมาก เธอฉลาด เธอดูไม่ใช้คนต้องคิดอะไร แต่สมองเธอตามเก็บรายละเอียด เหมือนจิกซอ มาประกอบเป็นภาพเดียวกันอย่างลงตัว  แม้เธอจะไม่พูดมันออกมาแต่หากได้พูดเธอก็คือหน่วยประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์   หากพ่อผมได้มาเจอเด็กสาวคนนี้ท่านต้องชอบเธอแน่  อย่างน้อยผมควรพูด  ขอบคุณสาวน้อยด้วยเหมือนกัน ที่เธอแสดงความขอบคุณผม และที่บอกว่าจะไม่ทิ้งผมด้วย  แต่ผมไม่ชอบแสดงออก เมื่อมีใครมาทำดีด้วย การแสดงความดีใจ การแสดงความเสียใจ ผมชอบเก็บมันไว้ในใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมทำได้เพื่อแสดงความขอบคุณโดย พาเธอไปยังที่เธออยากไป ผมคิด

 

  

“อาทิตย์ นี้ผมจะพาคุณนัด  ไปโบสถ์ ผมสัญญา”

 

  

ดูเธอจะปรับอารมณ์ของผมไม่ทัน ผมจึงยิ้มให้เธอ แบบจริงจัง จนเธอเชื่อในคำพูดผม ผมคิด

 

  

“ถ้าคุณไม่ต้องการ ก็ไม่เป็นไร คุณราชีฟ”ผมส่วยหน้า แล้วยิ้ม 

 

 

“ผมต้องการ จะไปครับ”

  

 

“ขอบคุณ ราชีฟ” ผมยิ้ม เธอจองผม

  

 

“คุณคงไม่โกหก อีกนะ” ผมยิ้ม เธอจ้องผมอีก

  

 

“คุณโกหกแน่”

 

  

              ผมยิ้ม ส่ายหน้า   ที่หมายถึงไม่ได้โกหก พาไปจริง เธอจ้องผม คงเริ่มสับสน ระหว่างการพยักหน้าของผม และการส่ายหน้าของผม มันมีความหมายว่าอย่างไรกันแน่

 

  

OK  ฉันเชื่อคุณ”

 

            แล้วเธอก็เดินยิ้มไปยังบ้าน    ที่ผมชี้บอกเธอว่ามันคือบ้านผม ผมเดินตามเธอไปไม่ห่าง เวลาตอนนี้ 18.00 น ครบสิบสองชั่วโมงพอดี  จากที่ได้ออกมาจากนรกเมื่อเช้า และจบลงที่หน้าบ้านที่เคยเป็นนรกในวัยเด็ก ตอนนี้คือ บ้าน ที่ผมต้องอยู่ เพื่อค้นหาตัวเอง  เพื่อหนีตำรวจ และมือปืน  สุดยอดจริง ชีวิตผม  ผมคิด 

 

             ในมือผมถือลูกกุญแจ  แต่มือผมสั่น ไม่สามารถเสียบเข้าไปในรู เพื่อเปิดประตูได้ ผมยังอยากหวังบางอย่างแต่ความหวังของผมมันเบาเท่ากับขนนก  เมื่อผมเปิดประตู ผมอยากพบ พ่อ แม่ พี่ชาย นั่งรอผมอยู่ในบ้าน แม่ผมทำอาหาร  รออยู่ที่โต๊ะ พ่อผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ อยู่ที่โซฟา พี่ชายผมเล่นกับแมวน้อยอยู่หน้าทีวี  เมื่อทุกคนเห็นหน้าผม   แล้ววิ่งมากอดผมด้วยความดีใจ  มันคือความหวังใช่มั้ย แล้วโลกของความจริง หลังประตู มันคือความมืด ไม่มีเสียงอะไรเลย ใช่มั้ย  มือผมหยุดสั่น เสียบกุญแจแล้วหมุน เสียงดังคลิก มันเข้าไปถึงสมอง จับลูกบิด เปิดประตู  เปิดไฟ ดวงแรก  เปิดไฟดวงที่สอง  ดวงที่สาม ดวงที่สี่  ห้า หก เจ็บ แปด เก้า สิบ ฯลฯ ไฟทุกดวงในบ้านสว่าง ทั้งข้างบนบ้าน และข้างล่าง สามารถมองเห็นทุกอย่าง ห้องนั่งเล่น  ระเบียง ห้องน้ำ ห้องนอน  ห้องครัว ทุกทีถูกออกแบบมาอย่างดี ผมเดินสำรวจ คาดหวังว่าหน้าจะเจออะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช้ของเก่า และถูกทำขึ้นใหม่  แต่ ทุกอย่างเหมือนเดิม  เหมือน ก๊อปปี้ กันออกมา การเก็บรายละเอียดมันสุดยอดจริง ผมคิด

 

 

 

“ในตู้เย็นมี เนื้อ มีไข่ มีผลไม้ มีผัก มีเครื่องดื่ม มันมีของเตรียมไว้ครบเลย”

 

  

เสียงสาวน้อยของผม  สำรวจตู้เย็นเป็นที่แรก

 

 

“คุณอยากทานอะไร ราชีฟ” เสียงของเธอคล้ายเสียงแม่ผมมาก ผมคงคิดไปเอง

  

“คุณต้มมาม่า เป็นมั้ย” ผมตะโกนบอกเธอ

  

“เป็น”

 

  

“ดี อย่างนั้น ผมเอามาม่า สองห่อใหญ่ ผมหิ้วมาก” เธอเงียบ

 

  

“คุณนัดได้ยินมั้ย”

 

  

“ได้ยิน แต่ไม่อยากตอบ ฉันบอกฉันต้มมาม่าเป็น  แต่ฉันไม่ได้บอกว่าฉันจะต้มให้คุณทาน ในตู้มีของกินตั้งมาก  ฉันจะหุงข้าว ทำกับข้าว ถ้าคุณหิวกินผลไม้รอก่อน รับรองไม่เกิน 30 นาที เราได้ทานข้าวกันแน่” 

 

             เป็นอย่างที่เธอพูด เธอหุงข้าว พอข้าวสุก กับข้าวก็เสร็จพอดี  เธอทำกับข้าวอร่อย ผมทานจนอิ่ม เธอก็ทานกับข้าวที่เธอทำ จนอิ่มเช่นกัน การให้กำลังใจคนทำให้ทานคือคำชม ผมควรจะชมเธอสักหน่อย เผื่อพรุ่งนี้จะได้มีของอร่อยทานอีก ผมคิด

 

 

“คุณนัดทำกับข้าวอร่อยมากครับ คุณคงไม่ได้เรียนทำอาหารมานะครับ” เธอส่ายหน้า และยิ้มน่ารัก

 

 

“เปล่า  แม่สอน   พี่สาว ก็สอน เลยทำเป็น” ผมเงียบ เมื่อได้ฟังคำตอบจากเธอ แต่พอเธอมองหน้าผม ผมจึง

  

“เหรอครับ ดีมากเลยนะครับ ที่คุณมีครอบครัวที่ดีและมีความสุข ไม่เหมือน....” ผมเงียบอีก เธอจ้องหน้าผมอีก ผมจึง

 

  

“ผม” เธอจ้องหน้าผม เธอรู้ว่าผมจะไม่อธิบายเพิ่มอีก

 

  

“คุณไม่จำเป็นต้องพูด  ในสิ่งที่คุณไม่อยากพูดหรอกนะ  คุณ ราชีฟ บางครั้งฉันอาจจะหลุด ปากถามคุณ แต่หากคุณไม่อยากตอบ ฉันอนุญาต ให้คุณโกหกฉันได้”

 

  

“คุณฉลาดพูดมาก คุณนัด” เธอยิ้ม น่ารัก

 

 

“ผมพูดจริง” เธอยังยิ้มอยู่

  

OK ผมจะพยายามโกหกคุณให้น้อยที่สุด”

 

 

“คะ ราชีฟ” 

 

           “บ้านนี้มีห้องอยู่ทั้งหมดสิบห้อง ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว ทั้งข้างบนและข้างล่าง บังเอิญว่าวันนี้ บ้านนี้ไม่มีใครอยู่   บ้านเลยว่าง ห้องทุกห้องก็ว่างเหมือนกัน ผมอนุญาตให้คุณเลือกห้องนอนได้ตามสบาย คุณอยากได้ห้องไหนเลือกได้เลย หรือคุณจะตั้งนาฬิกาปลุก ไว้เปลี่ยนห้องนอนทุกชั่วโมง ก็ไม่เป็นไร ผมอนุญาต”

 

  

“ฉันไม่บ้า ตื่นมาเปลี่ยนห้องนอนทุกชั่วโมงหรอก คุณราชีฟ” ผมยิ้ม

 

 

“แล้วไฟที่เปิด คุณไม่ปิดมันบางหรือไง”  

 

              ผมเงียบ ผมส่ายหน้า ซึ่งหมายถึงไม่ต้องปิดมัน ผมยังอยากมีความหวังอยู่ ขอแค่วันนี้เท่านั้น วันนี้วันเดียว ผมอยากให้บ้านนี้สว่างอยู่แบบนี้ เมื่อ พ่อ แม่ พี่ชาย ผมแวะมา จะได้เจอผม ลูกชายอีกคนกลับมาบ้านแล้วและได้รอพวกเขาอยู่  วันนี้ไม่อยากให้บ้านนี้มืด อยากให้สว่างแบบนี้จริง ผมคิด

 

 

“คุณจะไปนอน ไปอาบน้ำ ดูทีวี ก็ตามสบายนะ ผมอยากอยู่คนเดียวสักพัก”

 

 

“ตกลง ราชีฟ” 

 

            เธอลุกเดินออกไปพร้อมห่อผ้าที่ซื้อมาจากในเมือง  ตอนลงจากรถ ผมเดินไปที่ระเบียงบ้าน มันกว้าง มองเห็นดาวเต็มทองฟ้า  มีดวงจันทร์ดวงใหญ่ สีขาว รอบข้างเงียบ แต่ได้ยินเสียงลมพัด ใบไม้รอบ  ข้างขยับ เหมือนกำลังเต้นรำ  ที่นี้มีความทรงจำของผมกับพี่ชาย พี่ชายเลี้ยงแมวและตั้งชื่อมันว่า RED EYE  และพี่ผมชอบ เกรงแมวตัวนั้นเล่น  ให้ผมดู ส่วนผมก็ต้องคอยช่วยเหลือ มันไม่ให้พี่ชายคอย เกรง ตอนนี้ยี่สิบปี เจ้าแมวนั้นคงตายไปแล้ว มันคงมีลูกเล็ก เหลือไว้แถวนี้บาง เขาคิด

 

              เมื่อพ่อ กับแม่ ไม่อยู่บ้าน ผมกับพี่ชายก็จะออกมานั่งรอพ่อ กับแม่ที่ระเบียง  ตรงระเบียงจะมีกล้องดูดาว พี่ชายผมเป็นนักดาราศาสตร์ มักจะเล่านิทานเกี่ยวกับเทพเจ้า ที่มีความเกี่ยวพันกับดวงดาว ให้ฟัง สำหรับผมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ การที่จะได้ออกไปเที่ยวอย่างเด็กคนอื่นก็ไม่มี   พี่ชายก็จะคอยอยู่เป็นเพื่อนคอยเล่นเป็นเพื่อน  คอยหาน้ำ  คอยทำกับข้าว  จนวันเวลาเปลี่ยนทุกอย่าง วันที่ผมไม่มีใครคอยห่วงอีกต่อไป มันอาจจะดีก็ได้ พี่ชายผมจะได้มีเพื่อนใหม่ ที่ไม่ใช่คอยดูแลผม  พ่อ กับแม่ ก็จะได้มีเวลาทำงานมากขึ้น  ไม่ต้องคอยพาผมไปหาหมอ  ผมหวังว่าตอนนี้ชีวิตของพวกเขาคงสบายดี  อยากเจอพวกเขามากเลย 

 

                  ผมเอนหลังลงนอน มองท้องฟ้า น้ำตาผมจะได้ไม่ต้องไหล   ตอนนี้ผมมองไม่เห็นดวงดาวเลยสักดวง แม้แต่ดวงจันทร์สีขาวดวงใหญ่ ผมก็มองไม่เห็น ถ้าผมกระพริบตา น้ำตามันก็จะไหลลงมา  ตามล่องแก้มทั้งสองข้าง  สุดท้ายผมก็ต้องกระพริบตา ผมเอาแขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้แห้ง แล้วพลิกตัวนอน ให้น้ำตาไหลผ่านสันจมูก ให้น้ำตาไหลออกมาเป็นสายเดียว  

 

                     บ้านหลังนี้มันคือบ้านของผู้ชายชื่อ ราชีฟ จริง อย่างนั้นหรือ  ราชีฟ เป็นเด็กกำพร้า พ่อ แม่ หรือเปล่า เท่าที่เห็น  ราชีฟ เป็นผู้ชายตัวคนเดียว  บ้านหลังใหญ่ ไม่มีรูปภาพเลยสักใบ   ในห้องนั่งเล่นอย่างน้อยก็หน้าจะมีรูปของราชีฟ สักใบแต่ก็ไม่มี   รูปพ่อ แม่ ก็ไม่มี   ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นอยู่คนเดียว ที่ระเบียง วันนี้ ราชีฟ ดูอ่อนแอมากกว่า ครั้งแรกที่เจอ สถานทีทำให้ราชีฟ ปลดปล่อยความอ่อนแอ ออกมา และบ้านหลังนี้ก็คือสถานที แห่งนั้น  ต้องมีอะไรเกิดขึ้น ณ บ้านหลังนี้  และผู้ชายคนที่อยู่ที่ระเบียงนั้น  เธอคิด 

 

                วันนี้เธอนั่งรถขึ้นเหนือ ด้วยรถประจำทาง และเดินขึ้นดอยด้วยเท้า  ทั้งสองข้าง แทนที่จะหารถขับขึ้นมา ราชีฟ  คงอยากเดินสำรวจ ธรรมชาติ   แต่เธอไม่ แน่ใจนัก  เหมือน ราชีฟ กำลังเดินละเมอ ขึ้นมาบนดอยนี้มากกว่า มันคือความเคยชิน ในสถานที่ แม้ยามหลับ ราชีฟ ก็จะเดินไม่หลงทาง  เธอคิด 

 

                 เธออยากออกไปหาราชีฟ ที่ระเบียงบ้าน แต่ ราชีฟคงอยากจะอยู่คนเดียว  ราชีฟคงไม่อยากให้เธอเห็นความอ่อนแอ  ของเขา เธอคิดว่าหากปล่อย ราชีฟไว้คนเดียวในคืนนี้  พรุ่งนี้เช้า ราชีฟ ก็จะกลับมาเหมือนเดิม อีกครั้ง เป็นคนที่เข้มแข็ง เป็นคนที่ใช้ปีนยิง คนร้าย เหมือนกับเมื่อเช้านี้ ราตรีนี้ของเธอก็คงต้องจบลงตรงนี้ ส่วนราตรีนี้ของ ราชีฟ เธออยากให้เขานอนหลับฝันดี  เธอขอร้อง 

 

                 ผมไม่กล้าหลับตาลงนอน ผมกลัวความฝัน  ผมกลัวบ้านหลังนี้จะเกิดไฟไหม้ เหมือนครั้งที่แล้ว คืนนี้ผมจะไม่นอน ผมจะคอยเป็นยามเหมือนคนโง่ หนึ่งคืน  ผมนั่งมองความมืดรอบข้าง และดวงดาวเปลี่ยนตำแหน่ง  การนั่งนับดาว แล้วฟังเพลงของธรรมชาติ  ใบไม้พัดเป็นจังหวะดนตรี  นกน้อยกระพือปีกตอบรับเสียงใบไม้  เสียงไก่ป่าร้องเพลงพร้อมคู่รักของมัน เป็นทำนองร้องคู่ ผสานเสียง ตอบรับกับเสียงนกน้อยที่กำลังกระพือปีก  ความรู้สึกนี้กับความรู้สึกเมื่อยี่สิบปีก่อนของผม มันยังคงเหมือนเดิม ผมยังคงผูกผันกับสถานที่แห่งนี้ ผมอยากจะลืมมันและเดินหน้าต่อไป ผมจะทำได้หรือเปล่านะ ผมคิด 

 

                 ราตรีนี้ของผม มันคงต้องจบลงที่ระเบียงแห่งนี้  ไม่ต้องมีคืนที่ฝันร้าย  เพราะผมจะไม่นอน ผมจะนั่งดูสิ่งที่ หายจากชีวิตผม ยี่สิบปี  ให้ได้ทั้งหมด  ในครั้งเดียวในคืนนี้  และในวันพรุ่งนี้ผมจะกลับมาเป็นคนเดิม ที่จะไม่ร้องไห้  และเสียใจอีกต่อไป ผมจะ ต้องเดินต่อไปให้ได้ อย่างเข้มแข็ง ด้วยตัวคนเดียว อีกครั้ง ผมคิด  วันที่สอง  ของคนที่ชื่อ ราชีฟ  ก็สิ้นสุดลง แล้ว วันพรุ่งนี้ ของราชีฟ ก็จะเริ่มต้นขึ้น ใหม่  มันคือเสียงจากวิญญาณที่มองไม่เห็น 

 

              บ้านบนดอย  ปลูกสร้างขึ้นมาเมื่อสิบปีที่แล้ว  บ้านหลังเก่าถูกเพลิงเผาจน ไม่เหลือ สภาพ ระบุได้ว่ามันเคยมีสิ่งปลูกสร้างเคยตั้งสูงสง่าอยู่บนดอนนั้นมาก่อน  หลังสร้างเสร็จ มันถูกปิด ไม่เคย  มีใครเข้าไปข้างในได้ นอกจากคนดูแล ทำความสะอาดบ้านเท่านั้น ทุกคนบอกว่ามันคือบ้านผีสิง ไม่มีใคร กล้าเข้าใกล้เมื่อยามราตรี มืดค่ำมาเยือน  ยี่สิบปีที่แล้วมีเหตุการณ์ที่ทุกคนใน ละแวกต่างลืมไม่ลง  คนงานจำนวนมากตายจากเพลิงเผาไหม้   ไม่สามารถ  ระบุ  สภาพชื่อศพได้ จากโครงกระดูก  ศพเด็ก ลูกชาย ลูกสาว คนงาน กลายเป็น เถา ผงธุลี   สิบปีต่อมาบ้านหลังเก่าถูกสร้างขึ้นใหม่  มันเหมือนหลังเก่ามาก มันเหมือน แอปเปิล สองผล ที่ต่าง เวลากัน ผลแรกถูกทาน ไปยี่สิบปี  ผลที่สองเกิดใหม่ ไม่ต่างจากผลแอปเปิล เมื่อยี่สิบปีที่แล้วบ้านหลังนี้ก็เช่นกัน มันคือผลแอปเปิล สองผล ที่ต่างเวลากัน   คืน นี้ ทุกคนมองไปที่ดอยสูง พวกเขาไม่เคยเห็นบ้านบนดอยในสภาพนี้  มาก่อนเลย มันสว่างด้วยแสงไฟ รอบตัวบ้าน สิบปีที่บ้าน สร้างเสร็จ มีแค่วันนี้ที่ทุกคนไม่ได้รู้สึกกลัว บ้านผีสิง  บนดอย    นิทานผีแห่งขุนเขาคงถึงเวลาต้องจบลง  นิทานที่เล่าขาน มายี่สิบปีของชาวบ้านเพื่อ ใช่หลอกเด็กให้กลัว ได้เวลาสิ้นสุดลง พร้อมเจ้าของบ้านคนใหม่ ที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อน  บางคนเล่าว่าบ้านบนดอย  เป็นของชายแก่ ผู้ร่ำรวย ต้องการสร้างบ้านทิ้งไว้ เพื่อเป็นสุสาน ให้แก่คนตาย ได้อาศัยอยู่  หรือ รอให้วิญญาณไปเกิด ณ ชาติ ภพใหม่  ชายแก่ท่านเป็นคนใจดี กับคนตาย และพวกเขาเองที่ยังมีชีวิตอยู่  ได้มีอยู่ มี กิน   ก็เพราะความ เมตตา ของชายแก่ใจดีคนนี้  พรุ่งนี้เช้าพวกเขาคงได้พบชายแก่ใจดี  หลังจาก รอเจ้าของบ้านผีสิงมาสิบปี  การรอเจ้าของบ้าน สิบปี  มันนานมากสำหรับ พวกเขา ชายแก่ใจดีจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร  พวกเขาจะตั้งตารอ ให้ถึงเช้าของวันใหม่เร็ว พวกเขาคิด 

 

บ้านบนดอย   เช้าวันใหม่

 

  

              ผมได้สัมผัสความรู้สึกทั้งหมดของบ้านใหม่หลังนี้แล้ว ทั้ง เวลากลางวัน และเวลากลางคืน  มันทำให้ผมมีความสุข  ในตอนนี้  เช้าแล้วผมออกจากบ้านเดินสำรวจ สภาพภายนอก ดูสภาพชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รอบนอก บ้านบนดอย   ไม่ห่างจากตัวบ้านมาก มีกระท่อมสำหรับคนงาน  ถัดจากกระท่อมคนงานก็คือโรงอาหาร ผมเดินไปยังเสียงที่ได้ยิน จากแม่ครัว หุงข้าว ทำกับข้าวให้คนงานทาน  ยี่สิบปี ยังจะมีใครที่ผมพอจะจำได้บางหรือเปล่า ผมคิด ที่นี้คือหมู่บ้านบนดอย มีเด็กเล็ก แต่งตัวพร้อมไปโรงเรียน  พวกเด็กเล็กท่าทางจะกลัวคนแปลกหน้า อย่างผมพอสมควร  เด็กมองผมแล้วก็วิ่ง ไปหาแม่ ส่วนเด็กโต มองผม เหมือนผมเป็นสัตว์ประหลาด ผมอาจจะตัวสูง แต่ผมก็หน้าตาดีคนหนึ่งเหมือนกัน  ผมคิด ผมเดินเข้าไปในโรงอาหาร ยืนห่างจากแม่ครัวไม่มาก  แม่ครัวทำหน้าตกใจเล็กน้อย เหมือนจะถามผมว่าต้องการอะไร แต่ไม่กล้าจะพูด ผมยิ้มให้ แล้วพูดขอกาแฟ และขนมปังปิ้ง สักแผ่น

 

  

“ผมขอกาแฟ  กับขนมปัง หน่อยคับ” ผมพูดด้วยภาษาไทย

 

  

“มีแต่ กาแฟ  ขะ-นม ปัง หมด คะ - คุณ”ผมพยัก หน้า แล้วยิ้มเป็นมิตร 

  

“ไม่เป็นไรครับ  เอากาแฟ อย่างเดียวก็ได้” ครั้งแรกแม่ครัวคง ตกใจเล็กน้อยที่คนแปลกหน้ามาขอกาแฟ เสียงเลยสั่น

 

 

  

“คะคุณ รอหน่อยนะคะ” ผมยิ้ม และพยักหน้า

 

 

  

“คุณคะ ใส่น้ำตาลเยอะ มั้ย คะ” ผมยิ้มและ ส่ายหน้า

 

 

“ไม่ครับ ไม่ต้องใส่น้ำตาล  ผมอยากได้กาแฟ กับน้ำร้อน  ขอเข้มหน่อยนะ ครับ” เธอวางช้อนน้ำตาล และหยิบช้อนตักกาแฟ เพิ่ม

 

  

“กาแฟ คะ คุณ” เธอวางถ้วยกาแฟ ลงที่โต๊ะ เธอจ้องหน้าผม  ผมยิ้ม

 

  

“ขอบคุณคับ”

 

 

             ผมยกกาแฟดื่มช้าๆ เพราะมันร้อน ผมมองไปรอบๆๆ โรงอาหาร มันมีโต๊ะวางเป็นแถว มันจุคนได้ประมาณ 100 คน ผมรู้สึกอยากชวนแม่ครัวคุย เพื่อหาข้อมูลที่หายไปยี่สิบปีของผม

  

“ป้า อยู่ที่นี้มากี่ปีแล้วครับ” ผมยิ้มเมื่อพูด จบ ป้าแม่ครัว มองสำรวจผม อย่างอยากรู้

 

  

“คุณ มาจากบ้าน บนดอย หรือคะ” ผมพยักหน้า  เธอไม่ตอบคำถามผม แต่ถามผมแทน อย่างนั้นก็แลกเปลี่ยนคำถามกัน ก่อนแล้วกัน ผมคิด

 

  

“คุณเป็นเจ้าของบ้านหรือ คะ” ผมพยักหน้า

 

 

“คุณไม่ใช้ คนแก่ใจดี”

  

           ผมส่วยหน้า เธออาจจะหมายถึงพ่อผม พ่อผมไม่เคย มาที่นี้ ส่งแต่ตัวแทนมาเท่านั้น เธอคงหมายถึงตัวแทนพ่อผมแน่  ผมคิด

 

 

“ผมเป็นคนหนุ่ม  ใจดีครับ”  ผมยิ้มให้เธออย่างมิตรที่ดี

 

 

“คุณพูดภาษาไทย เก่งมากเลยนะคะ” ผมไม่ตอบรับอะไร แค่ยิ้ม

 

 

“คุณจะให้ป้า  ส่งคนไปดูแล คุณ ที่บ้านบนดอยมั้ยคะ” ผมส่ายหน้า

  

“ไม่ต้องครับ ทุกอย่างให้เป็นเหมือน  ก่อนที่ผมจะมา ก็แล้วกัน ครับ”

  

“ป้าอยู่ ที่นี้สบายดีมั้ยครับ” ผมถามป้าแม่ครัวไปสองคำถามเหมือนเธอจะลืมตอบคำถามแรกไปแล้วไม่เป็นไร ผมคิด

  

“ป้าอยู่ ที่นี้สบายดี  คุณใจดีมาก ดูแลป้า และลูกชาย ลูกสาวป้าอย่างดี  ป้าอยู่ที่นี้มาก่อนที่บ้านหลังใหญ่บนดอยจะสร้าง เมื่อก่อนลำบากมาก แต่พอคุณสร้างบ้าน ปลูกพัก ผลไม้ ให้พวกป้า  มาอยู่ทำงานให้  พวกเราทุกคนก็มีอยู่มีกิน ไม่ลำบากอีกเลย ลูกชายลูกสาวป้าได้เรียนหนังสือได้รับปริญญา ก็เพราะความใจดีของคุณ แหละคะ”

 

  

 เธอบอกผมใจดี แต่คนใจดี คงเป็นพ่อผมมากกว่า ผมคิด  ผมยิ้มให้เธอแล้วลุกขึ้นพร้อมจะเดินไปสำรวจที่อื่นต่อ

 

 

“คุณจะไปแล้วหรือ คะ” ผมพยักหน้า

  

“คุณจะไปไหน คะ” ผมยิ้ม  ผมชี้นิ้วไปที่ลำธาร

  

“คุณจะกลับมาที่นี้อีกมั้ย คะ ป้าจะเตรียมอาหารไว้ให้” ผมส่ายหน้า

 

  

“ไม่ครับ มีคนทำรอผม อยู่ที่บ้าน”

 

  

             แล้วผมก็เดินจากมา ป้าแม่ครัว ถามคำถามผมตั้งมากมายแต่ ไม่ได้ถามชื่อผม  ผมเดินผ่านพืชผักที่ปลูกไว้จนมาถึงลำธาร แล้วผมก็เดินอ้อมต่อไปจนถึงที่พักคนงาน ผมตรวจดูสภาพความเก่าใกล้พัง และผมคิดว่ามันควรได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น ผมเดินออกกำลังจนรู้สึกเหนื่อย จึงเดินทางกลับเข้าบ้าน ผมคิดว่าสาวน้อยของผมคงทำกับข้าวรอผมกลับไปทานแล้วแน่นอน ผมคิด 

 

 โรงอาหาร บนดอย

 

 

“ยายทอง  คนรูปหล่อ หน้าฝรั่ง นั้นใคร-วะ”

 

  

“ก็คนแก่ใจดี ที่แก่เคย เล่าให้ข้า ฟังยังไงละ-วะ –อี้ นัง ขาว”

 

 

“เจ้าของบ้านผีสิง นั้น-หรอ-วะ”

 

 

“เ-อ-อ  คนนั้น แหละ”

  

“แก พูดกับ ไอ้ฝรั่ง นั้นรู้เรื่องด้วย –หรอ-วะ”

 

  

“นี้ –อี้ –ขาว แก่พูดถึง  คุณ เขาให้ดีหน่อย –ซิ-วะ”

 

 

“คำว่า –ไอ้- แก่เก็บไว้ เรียก ลูกชายแก่ ส่วน คนที่แก่พูดถึง คุณ เขา เป็นนาย เป็นคนให้ ข้าว ให้น้ำ  แก่กิน เป็นผู้มีพระคุณ  จะพูดถึง คุณ เขาก็พูดให้มันดีหน่อย-ซิ-วะ”

  

“เ-อ-อ ก็ได้  แก่ ตอบข้ามาซิวะ ข้าถาม –เอ่ง- ยังไม่ตอบเลย”

  

“คุณ ฝรั่ง รูปหล่อ พูดไทยได้ ไม่เหมือนไอ้พวกคนงานไร่ฝั่งโน้น –ที่พูดไทยไม่รู้เรื่องสักคน”

 

  

“เห-อร –วะ  พูดไทยได้  ฝรั่งแบบไหนกัน-วะ  แล้วคุณฝรั่ง ชื่ออะไร ยายทอง”

 

 

“ไม่รู้ ข้าลืมถาม “ 

 

                        การสนทนาแบบ สาวบ้านป่า เมืองเถื่อน ระหว่างสองสาวเป็นที่สนใจของคนงาน จำนวนมากที่นั่งฟัง  ไปด้วยทานข้าวกันไปด้วย ในจำนวนคนมากมายมี  หัวหน้าคนงานชื่อนายเม่น  แก่เป็นคนไทย รายละเอียดประวัติของแก่ไม่มีใครรู้แน่ชัด แก่เป็นคนเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แก่มีอายุประมาณ 50 ปี เมื่อแก่อายุประมาณ 30 ปี แก่เป็นคนขี้เมา ลูก เมีย ทนอารมณ์  แก่ไม่ได้เลยหนีไป เหลือแก่ไว้คนเดียว  ด้วยอารมณ์ของคนเมา แก่จุดไฟเผาบ้านพัก   ตัวเอง จนไฟเริ่มไหม้จากบ้านพักของแก่ กระจายไปยังบ้านคนงานอีกสามสิบหลัง และบ้านหลังใหญ่บนดอย ก็รวมอยู่ด้วย หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น  แก่ถูกจับได้ และถูกนำตัวเขาคุก  เวลาผ่านมาสิบปี แก่ถูกปล่อยตัว อย่างไม่ทราบสาเหตุ  ว่าใครเป็นคนช่วยแก่ออกมา แก่ได้แต่ขอบคุณคนใจดี คนนั้น  แก่รู้อยู่ตลอดเวลา ว่าถึงแก่จะ  เมาแค่ไหนแก่ก็ไม่มีทางเผาบ้านตัวเองแน่  เมื่อออกจากคุกแก่เดินทางกลับมา บนดอยอีกครั้ง มันไม่เหมือนเดิม เจ้านายคนเก่าหายไป  เจ้านายคนใหม่เริ่มสร้างบ้าน เหมือนแบบเดิม ที่ถูกเผาไป  แก่อยากรู้ว่าเจ้านายคนใหม่เป็นใคร ทำไม  ถึงจำลองบ้านบนดอยได้ เหมือนเดิม แบบนี้ แก่ รอมาสิบปี หลังจากออกจากคุก สุดท้ายการรอคอยของแก่ก็ถึงจุดสิ้นสุดลงเสียที เจ้านายปริศนา ของแก่มาถึงแล้ว แก่ต้องหาทางไปพบให้ได้  แก่คิด 

 

บ้านบนดอย ช่วงสาย

 

  

          ผมได้รับพัสดุ ระบุชื่อผู้รับ คุณราชีฟ ที่หน้ากล่อง มีนามบัตร แนบมาด้วย ลงชื่อผู้ส่งตัวแทนพ่อผม รายละเอียดในนามบัตรบอกให้ผมรักษาสุขภาพ และบอกให้ผมหาโทรศัพท์มาใช้  ด้วย แต่ผมคิดว่าไม่มีก็ดีเหมือนกัน อยู่แบบเถื่อนๆๆ แบบนี้ดีกว่า ผมคิด ผมเปิดกล่องพัสดุ อยากจะรู้อะไรอยู่ข้างใน  ผมพบรูปภาพครอบครัว ประกอบด้วย พ่อ แม่ ลูกชายสองคน   ในจำนวนสมาชิกสี่คน สองคนแรกผมจำได้ต่อให้เวลาเปลี่ยนไปอีก 20 ปี ผมก็ยังจำได้ พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พ่อ กับแม่ ของผม พี่ชายผมเปลี่ยนไปมาก ในวัยอายุ 30  พี่ชายผมดูหล่อ แบบ ผม หรือผมดูหล่อ แบบ พี่ชาย กันแน่ ผมคิด  ส่วนอีกคนเป็นน้องชายผมหรือเปล่านะ ระยะเวลายี่สิบปี ผมก็ควรจะมีน้องชายโตเท่านี้เหมือนกัน ผมคิด

 

 

             ผมวางรูปภาพลง  แล้วหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมาจาก ในซอง มันมีรูปน้องชายผม ติดกับ คลิป มีกระดาษสีขาวหลายใบอยู่ข้างล่าง  ในกระดาษสีขาว แต่ละใบ มีชื่อ มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ วันเกิด อายุ เหมือนกับผมทุกอย่าง ใบแจ้งเกิด  ใบประกาศสำเร็จการศึกษา  หนังสือเดินทาง   ผมมีตัวแทน  ชีวิตผมตลอดยี่สิบปี  ถูกแทนที่โดย  มาติน อีกคน  ผมเป็นตัวปลอมสำหรับพวกเขา  ผมคือลูกและน้องชาย อายุแปดปีสำหรับพวกเขา  ส่วนอีกคนเป็น ลูก และน้องชาย อยู่กับพวกเขา 20 ปี   ชีวิตพวกเขาผมคือเศษซากความทรงจำเท่านั้น  พวกเขายังคงมีความทรงจำเกี่ยวกับผมอยู่อีกบางหรือเปล่า  ผมอยากรู้  ผมสามารถเข้าไปสู่ชีวิตพวกเขาได้อีกหรือเปล่า  หากผมต้องเข้าไปสู่วิถีชีวิตพวกเขาอีกครั้ง ผมจะทำร้าย พวกเขาทางอ้อมหรือเปล่า หรือผมเดินจากไป   ปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  มีคำถามเกิดขึ้น ในใจผมมากเหลือเกิน

 

 

                ผมวางกระดาษสีขาวลงพร้อมรูปภาพตัวแทนยี่สิบปีของผม แล้วหยิบซองสีน้ำตาลขึ้นมา  มีจดหมายเขียนไว้ยาวพออ่านได้ใจความว่า

 

  

                 “พ่อผมสัญญาว่าจะ ขายบ้านและที่ดินทั้งหมดคืนแก่เจ้าของเดิมภายในระยะเวลา 10 ปี  หากเจ้าของเดิมสามารถซื้อคืนได้ หากพ้นกำหนด 10 ปี สัญญาที่พ่อผมทำไว้กับเจ้าของเดิม ถือเป็นโมฆะ”

 

 

                   สัญญาฉบับนี้ผ่านมา 12 ปีแล้ว ไม่มีใครติดต่อขอซื้อคืน มันจึงเป็นโมฆะ  พ่อผมซื้อที่ดินไว้สองปี จึงได้สร้างบ้านบนดอยขึ้นมา ผมได้รับของขวัญวันเกิดปีที่ 27 ก็คือเมื่อสองปีที่แล้ว  ที่สัญญาฉบับนี้เป็นโมฆะ    ในวันเกิดปีที่ยี่สิบแปด ผมเดินทางมาเพราะ พวกเขาอยากได้บ้านและที่ดินคืน   ผมวางจดหมายสัญญาลงแล้วหยิบอีกซองขึ้นมาดู   มันคือหนังสือคำร้องขอซื้อ บ้านและที่ดินคืน ผมควรจะขายคืนให้พวกเขาดีหรือเปล่า  พ่อผมวางแผนการให้ผมมา 12 ปี เพื่อให้ผมได้มีสิทธิเลือกอีกครั้ง  ผมอยากพบพวกเขาอีกสักครั้ง เพื่อจะได้ตัดสินใจ ให้เด็ดขาด ผมคิด   

 

บ้านบนดอย เที่ยงวัน

  

“ราชีฟ  ฉันเจอลูกแมว คุณดูสิ มันน่ารัก” ผมยิ้ม

 

  

“ราชีฟ คุณตั้งชื่อให้มันหน่อยได้มั้ย”

 

 

 ผมนึกถึงแมวของพี่ชาย แมวตัวนี้ก็เหมือนกับผลแอปเปิล สองผลต่างกันที่เวลาเท่านั้น

  

“ให้มันชื่อ RED EYE”

 

 

เธอมองหน้าผม  ผมยิ้ม และส่ายหน้า ที่แสดงว่าไม่อยากโกหก  เธอจึงอุ้มแมวเดินเล่นอยู่ข้าง ผม และเรียกชื่อแมว ในชื่อที่ผมตั้งให้

 

  

“แก่ชื่อว่า RED EYE แก่มัน ตาก็ไม่แดง แต่คนตั้งชื่อ ให้แก่ ตาแดง เลยตั้งชื่อแก่ เหมือนตา ของคนชื่อราชีฟ” ผมยิ้ม เมื่อเธอพยาม หาที่มาของชื่อแมว เธอคงเคยเห็นตาผมแดงตอนที่อยู่ด้วยกัน ที่ใดที่หนึ่ง

 

 

RED EYE แก่อยู่ที่นี้ เดียวฉันจะไปหานม มาให้แก่กิน”

 

               เธอวางลูกแมวไว้ที่ตักผมแล้วเดินไปเอานม  ในตู้เย็น ผมวางแมวไว้ที่ขอบระเบียงที่ทำด้วยต้นไม้ต้นใหญ่ ที่ผมสามารถขึ้นไปยืนได้ แมวน้อยก็สามารถเดินเล่นได้โดยไม่ตกลงมา ไม่นานผมได้ยินเสียง สาวน้อยของผมเดินกลับมา แต่แมวจอมซนเดินขึ้น  ต้นไม้จนไม่สามารถจับตัวได้ แย่แน่มันเป็นเพื่อนเล่นของสาวน้อยของผมในวันนี้ หากมันหนีไปแบบนี้   วันนี้ทั้งวัน สาวน้อยของผมคง ได้เดินวน เวียนไม่ห่างจากผมแน่ เมื่อมีเพื่อนเธอก็เลิกสนใจผมไปในช่วงเวลาหนึ่ง    แต่ตอนนี้ไอ้แมวซนนั้นมันหนีไปไกลแล้ว เขาคงต้องร้องเรียกมัน เหมือนกับตอนผมกับพี่ชายเคยเล่นด้วยกัน

 

 

“เจ้า RED EYE ไอ้แมวซน กลับมานี้”

 

“วันนี้ฉันฆ่าแก่แน่ ถ้าแก่ไม่กลับมา ไอ้เจ้า RED EYE น้อย  มาหาพ่อเร็ว มาเร็ว RED EYE”

 

 เสียงสาวน้อยอยู่ข้างหลังผมแล้วทำอย่างไรดี

  

“คุณนัด เพื่อนคุณไปอยู่ตรงโน้นแล้ว”

  

              ผมชี้นิ้วให้ดู  แต่ยังไม่ได้หันหน้า กลับมองเธอ  ไม่มีเสียงตอบรับจากเธอ ผมจึงหันหลังกลับ  แต่คนที่พบไม่ใช้สาวน้อยของผม  แต่เป็นผู้ชายอีกคน แม้เวลาจะผ่านมา 20 ปีพี่ชายผมก็ยังคงความหล่อไว้เหมือนเดิม ผมคิด ผู้ชายตรงหน้าผมกำลังมองสำรวจผมเหมือนเครื่องเอ็กซเรย์ ความสูง ใบหน้า ลักษณะท่าทาง  ผมคาดไว้แล้วไม่ นาน พวกเราต้องได้พบกันอีก แต่ไม่คิดว่าจะเร็วแบบนี้ ตัวแทนของพ่อผมคงติดต่อไปหาพวกเขาก่อนแล้วว่าผมอยู่ที่นี้ พวกเขาจึงได้รีบมา ผมเป็นคนเริ่มพูดขึ้นก่อน เพื่อทำลายสมาธิ ของพี่ชายผม

 

 

“สวัสดีครับ  คุณคงเป็นคุณปีเตอร์ ผมราชีฟ ครับ” ผมทักทายเป็นภาษาไทย

  

“สวัสดีเช่นกัน ผมปีเตอร์  อย่างแรกผมต้องขอโทษด้วยที่ขึ้นมาบนนี้ โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน” ผมส่ายหน้า

  

“ไม่เป็นไร ครับ  เชิญนั่ง ” ผมชี้ไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ ผมนั่งอยู่ พี่ชายผมนั่งลง แต่สายตายังคงจ้องที่หน้าผมอยู่

 

  

“คุณคงมีเรื่องจะพูด” ผมบังคับให้พี่ชายผมพูดธุระสำคัญออกมาทันที เพราะผมรู้สึกกลัวสายตาพี่ชายผม เวลาผ่านไปนานแต่ ดวงตาดุ ไม่เคยเปลี่ยนเลย ผมคิด

 

 

               “คุณคงพอทราบธุระ ของผมบ้างแล้ว ผมมีหนังสือแจ้งผ่านตัวแทนของคุณ ในการที่จะขอซื้อ บ้าน และที่ดินคืน  แต่ไม่มีการตอบกลับจาก ตัวแทนของคุณ แต่ตัวแทนของคุณบอกให้ผมมาพบคุณ โดยตรง เพื่อเจรจา ขอซื้อคืน”

  

                 “คุณคงทราบระยะเวลา ของสัญญา มันระบุไว้ 10 ปี หากคุณติดต่อตัวแทนของผมภายใน 10 ปี คุณก็จะสามารถซื้อมันคืนได้ทันทีโดยไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับผมเลย   สัญญาระหว่างคุณกับผม มันเป็นโมฆะแล้วคุณก็รู้  ทำไมคุณยังส่งหนังสือแจ้งไปยังตัวแทนของผมอีก คุณมีเหตุผลอะไร ทางเราให้เวลาคุณมา 10 ปีแต่คุณไม่แม้แต่จะส่งหนังสือแม้แต่ฉบับเดียว ขอยืดระยะเวลา  หรือแจ้งความจำนง ต้องการขอซื้อคืน แล้วทำไม  ตอนนี้คุณถึงต้องการได้มันคืน ครับ คุณปีเตอร์” 

 

                 “มันจะต่างกันตรงไหน 10 ปี หรือ 20 ปี ที่นี้มันเคยเป็นของครอบครัวผมมาก่อน มันอยู่ที่คุณต้องการจะขายมันคืนให้ผมหรือเปล่าเท่านั้น”

 

  

                    นิสัยอยากได้อะไรแล้วต้องได้ของพี่ชายผมไม่เคยเปลี่ยนไปเลย  เหตุผลที่ควรจะตอบก็ไม่ตอบ แต่อย่างน้อยก็ตอบข้อ  สุดท้ายเหตุผลที่อยากได้บ้านและที่ดินคืน 

 

                “ถ้าคุณบอกว่ามัน เคยเป็นของ  ครอบครัวคุณมาก่อนแล้วคุณอยากได้มันคืน ผมก็จะยอม ขายมันคืนให้คุณ แต่ไม่ใช้ในราคาเดิม ผมจะขายคืนให้คุณในราคาตลาด ที่มีการประเมินราคาอยู่ในปัจจุบัน ถ้าคุณหวังว่าจะซื้อมันคืนจากผมในราคาเดิม  แล้วนำไปขายต่อในราคาใหม่   ราคาต่างจากราคาเดิม  เมื่อสิบปี ผมก็เสียใจด้วย ผมขายให้คุณไม่ได้” 

 

                 “แก่ทำอย่างนี้  ไม่ได้” ผมรอ คำนี้ของพี่ชายผมอยู่พอดี มันมาเร็วกว่าที่คิด ถ้าไม่พอใจอะไร ก็พร้อมที่จะใช้กำลัง  ผมไม่ตอบรับอะไร  ผมยิ้มมุมปาก แสดงความดูถูก

 

 

 

“ผมคิดว่า ผมทำได้ และครั้งต่อไป ก็ติดต่อตัวแทนผมโดยตรง ผมจะไม่ขอเจรจากับคุณอีก”

 

  

“ผมไม่ส่งนะครับ” 

 

           พี่ชายผมลุกขึ้นและเดินจากไป ผมนั่งมองจนพี่ชายผมเดินจากไปอีกครั้ง ผมรู้ว่าพี่ชายผมจะต้องมาอีก ไม่ช้าก็เร็ว 

 

                       การสนทนาระหว่าง ผู้ชายที่ชื่อราชีฟ กับ ผู้ชายที่มีชื่อว่าปีเตอร์ ได้ถูกจ้องมองจากคนสองคน คนแรกคือ เด็กสาวน่ารักนามว่า คุณนัด และอีกหนึ่งเป็นหัวหน้าคนงาน นามว่า นายเม่น  หลังออกจากคุกนายเม่น  เปลี่ยนเป็นคนใหม่ ขยันทำงาน และมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ความจำไม่เสียหายหรือ เลอะเลือน จำอะไรไม่ได้  เหมือนแต่ก่อน แต่วันนี้ นายเม่น พบ ผู้ชายสองคน ที่นายเม่นคิดว่าพวกเขาคือนายเก่าของนายเม่นเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว  นายเม่นหมั่นใจว่าต้องเป็นนายมาร์ติน กับนายปีเตอร์ ลูกชายของนายเก่า นายเม่นเอง    จากการแอบฟังทั้งสองคนพูดกัน มันกับไม่ใช่อย่างที่นายเม่น คิดเลย ทั้งสองคนไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ใน ฐานะญาติ แต่ในฐานะคู่สัญญา ในการซื้อขายบ้าน และที่ดิน  นายเม่นคิดถึง   การจดจำของสมอง ตัวเองต้องมี ปัญหา แน่ ความกลุ่มใจเข้ามาเยือนอีกครั้ง  แต่อย่างไรไอ้เม่นคนนี้จะต้องหาคำตอบให้ได้  นายเม่นคิด 

 

ในรถสำหรับขับขึ้น เขา ประกอบด้วยผู้ชายสองคน คนแรกพูดขึ้นมาก่อน

 

 

  

“ขับช้าๆ ฉันจะใช้ความคิดหน่อย”  “ครับนาย”

 

 

 

“งานที่ฉัน ให้แก่ ไปทำถึงไหนแล้ว” 

  

             วันนี้เจ้านายผมอารมณ์ไม่ดี เจ้านายผมพูดคำไม่สุภาพเลย เจ้านายผมเรียกผมว่า” แก่” คำพูดนี้ของเจ้านายไม่จำเป็นต้องระบุ คำไม่สุภาพ ลงไปก็ได้ เช่น “งานที่ฉันให้ ไปทำถึงไหนแล้ว” เห็นมั้ย แค่นี้ก็เป็นประโยคที่ เพาะจะตาย  ผมคิด

  

             “เรามีปัญหา ครับนาย  ผมทำงานใกล้จะเสร็จอยู่แล้ว แต่ไอ้พวกโรคจิต  ขอโทษครับ นาย ..แต่ไอ้พวกสมาคมมันส่งมือปืน ไม่มีสมองไปทำงาน ไอ้บ้าพวกนั้น มันยิ่ง ตำรวจ กับสถานีตำรวจ พังยับเยิน ไม่เหลือซากเลยครับ  ผมเลยหนีออกมาก่อน  แต่ผมก็ยิงตำรวจไปคนหนึ่ง ตอนนี้ไม่รู้เป็นหรือ ตาย ครับนาย”

 

  

“แล้วเป้าหมายของเรา”

 

 

“ข่าวจากสายเรา แจ้งมา  พวกมันหนีไปแล้วครับ  ทางตำรวจกำลังตามหาพวกมันทั่วเมืองเลย ครับ”

  

“แล้วแก่ระบุ ตัวเป้าหมายได้มั้ย”

 

  

“ไม่ได้ครับ เจ้านาย หลังเกิดเรื่องข้อมูลของพวกมัน  สองคนถูกเก็บไว้  เป็นความลับสุดยอดครับ สายของเราเข้าไปไม่ถึงข้อมูลเลยครับ”

 

 

“ทำไม การเป็นคนเลว มันถึงได้ ยากเย็นอย่างนี้นะ”

  

“จริงด้วยครับนาย  มันยากจริงๆ ครับ”

 

  

“แล้ววันนี้นายมาทำอะไรที่นี้ครับ”

 

  

“ฉันกำลังใช้ความคิด  เดียวฉันจะเล่าให้ฟังที่หลัง แก่ขับรถช้าๆ แล้วกัน”

 

 

“ออ  ช่วงนี้แก่ต้อง หาที่กบด่าน ใช่มั้ย”

 

  

“ครับ นาย  ตำรวจมันกำลังตามตัวผมครับ ไอ้พวกสมาคมนั้น มันคงอยากให้ผมเป็นแพะ ครับนาย”

 

 

“ฉันหาที่กบด่านให้แก่ได้แล้ว” “ที่ไหนครับนาย” “ที่นี้เป็นไง” เจ้านายหันหน้ามองออกไปทางหน้าต่างรถ มันคือบ้านบนดอยสูง มันหลังใหญ่หน้าอยู่มาก

 

 

“ครับ นาย  ผมชอบที่นี้ครับ”

 

จบบทที่ 4 ติดตาม   บทที่ 5 การเผชิญหน้า ครอบครัว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา