THE RED EYE

5.8

เขียนโดย RATH

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 16.37 น.

  8 chapter
  16 วิจารณ์
  15.10K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) บทที่ 5 การเผชิญหน้า ครอบครัว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 5 

 

การเผชิญหน้า ครอบครัว 

 

ภาคเหนือของประเทศไทย 

 

                รถคันหรูราคาแพง ไม่สามารถระบุ  รายละเอียดได้ ทั้งสีรถ ลักษณะ และทะเบียนรถ   ในรถคันหรูราคาแพง ประกอบด้วยชายหนึ่ง  และผู้หญิงหนึ่งคน ผู้ชายนั่งอยู่หน้า พวงมาลัยรถ ส่วนผู้หญิง นั่งอยู่เบาะหน้าคู่กัน รถคันหรูราคาแพง ไม่ได้จอดอยู่คันเดียว มีอีกคันจอดอยู่ไม่ห่าง คาดว่าเป็นคันที่ผู้หญิงเป็นคนขับมา รอบนอกรถ  ไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใด เข้าใกล้ได้เลย แม้แต่แสงไฟทางถนนก็ไม่มี  แสงจาก เสี่ยวดวงจันทร์ ไม่เต็มดวง ที่มีเมฆสีดำก้อนใหญ่  ปิดไว้จนมิด   แสงจากดวงดาวบนท้องฟ้าก็มีน้อยดวง  มองหาดวงดาวที่สว่างก็ไม่มี  เมฆสีดำกลืนกินไปทั้งโลก เหมือนหลงอยู่ในถ่ำที่มืดมิด หาทางออกไม่ได้

 

“คุณรอฉันนานมั้ย ปีเตอร์” 

 

“ผมเพิ่งสูบบุหรี่ ไป มวนเดียว คุณก็มา” 

 

“คุณดูมีเรื่องคิดมากนะ ปีเตอร์  คุณดูผอมลงมาก  บุหรี่  เลิกสูบได้มั้ย ฉันเป็นห่วงสุขภาพคุณ” 

 

“ผมไม่ได้สูบ มาหลายเดือนแล้ว วันนี้มีเรื่องต้องคิด พรุ่งนี้ผมก็จะเลิกสูบ ผมสัญญา” 

 

“ครอบครัวคุณสบายดีมั้ย ทุกคนคงสบายดี” 

 

“พวกท่านอยากเจอคุณ   ถามผมบ่อยมาก  น้องชายผมถามผมเมื่อไหร่จะแต่งงาน   มาร์ติน  มันอยากแต่งบาง  มันคบ  อยู่กับนางเอกละคร  ที่ผมไม่เคยดู   มันว่าคนรักมันเล่นละครได้เป็นธรรมชาติมาก  แต่คนรับใช้บ้านผมบอกว่า เป็นนางเอกใหม่  ถอดด้าม เล่นได้เป็นธรรมชาติแบบ ท่อนไม้ ท่อนซุง    ผมละหัวเราะไม่หยุด เมื่อได้ฟัง  แต่มาร์ตินมันก็ รักของมัน ผมไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิต น้องชาย  จนเกินไป ผมบอกว่าถ้ามันอยากแต่ง ผมจะเป็นเจ้าภาพ จัดงานแต่งให้  ไม่ต้องรอผม รู้สึกมันจะดีใจมาก แต่มันก็ยังเกรงๆ  ผมอยู่ จนวันนี้ผมยังไม่ได้รับคำตอบ  จากมันเลย  มันคงต้องผ่านด่าน พ่อ กับแม่  ผมก่อน  ตอนนี้พ่อกับแม่ผมก็รอเจอคุณ ผมก็บอกคุณไม่ว่าง ให้รออีกสักปี ถึงจะให้คำตอบได้  ตอนนี้มาร์ติน  เลยเงียบๆ  ไป แต่ไม่รู้จะนานแค่ไหน”

  

“วันนี้ คุณมีงานอะไร  ถึงขึ้นมา  ถึงนี้   ทำไมอยากพบผมด่วน อย่างนี้ ”

  

“เป้าหมายของเราอยู่ที่นี้ ฉันระบุไม่ได้ว่าที่ไหน ผู้ชายระบุที่อยู่ ไม่ได้   เพราะเป็นชาวต่างชาติ ฉลาดและโกหก เก่งมาก   ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิง เป็นลูกสาว รัฐมนตรี  ทั้งสองคนหนีขึ้นมาที่จังหวัดนี้  หรือใกล้เคียง ท่านรัฐมนตรี ได้รับจดหมายจากลูกสาว โดยจดหมายระบุต้นทาง ที่นี้  ท่านเป็นห่วงลูกสาวมาก ทั้งโกรธ ทั้งโมโห  ที่ทางเราดูแลลูกสาวท่านไม่ดี   เป็นใครก็ต้องโกรธ ที่ลูกสาวหายไปจากสถานีตำรวจ  ฉันเองยังโมโหตัวเองไม่หายเลย”

 

“และฉันยังมีปัญหาคาใจ เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับน้องชายคุณ มาร์ติน  ฉันคบ กับคุณ  ตั้งแต่เราเรียนหนังสือด้วยกัน  ฉันรู้แต่ว่าครอบครัวคุณมี พ่อ แม่ และน้องชาย  และอย่างอื่นฉันก็ไม่ได้สนใจ  จนวันนี้  ฉันมีบางอย่างต้องให้คุณดู” 

  

“ฉันบันทึกมันไว้ในโทรศัพท์ เสียงอาจจะไม่ชัด  แต่ภาพมัน OK  สองคนนี้คือเป้าหมายของเรา ต้องหาให้พบ  ฉันจะเปิดลำโพงให้ดังสุด คุณฟังการสนทนาของสองคนนี้แล้วถึงตอบคำถามฉัน”

 


สวัสดีคับ ผมชื่อนาย มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์   แล้วคุณสุภาพสตรี ชื่ออะไรครับ”

สวัสดีค่ะ ฉันชื่อนางสาว ณฐพร พันเลิศวงศ์   เรียกฉัน นัด นะค่ะ

สวัสดีคับ ผมชื่อนาย นายแวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา แล้วคุณสุภาพสตรี ชื่ออะไรครับ

สวัสดีค่ะ ฉันชื่อนางสาว ณฐพร พันเลิศวงศ์   เรียกฉันว่า นัด นะค่ะ

สวัสดีครับ ผมชื่อนายแวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา เรียกผมว่า ราชีฟ คับ  ชื่อแรกที่คุณรู้จักเป็นชื่อคนตายครับ และเขาไม่มีวันฟื้นจากความตายได้อีก ผมไม่สามารถ   บอกรายละเอียดให้คุณเข้าใจได้ตอนนี้ ผมคิดว่าคุณคงจะเข้าใจ

เราจะต้องทำอย่างไรต่อไปคะ คุณราชีฟ

“สำหรับผมเอง ก็ต้องออกเดินทางเหมือนกัน คุณรู้ใช่ไหม   ว่าผมต้องกลับบ้าน  ของผมและมันไกลจากที่นี้มาก หากผมออกจากประเทศนี้  ปัญหาของผมก็จบลง  ที่เหลือก็แต่ปัญหาของคุณ  ดังนั้นคุณต้องหนีไปให้ไกล ไปไกลได้เท่าไรยิ่งดี

 

“ฉันบันทึกผ่านจอมอนิเตอร์ ในห้องประชุม มีคนรู้เห็นการสนทนานี้ทั้งหมด สิบคน เมื่อดูจบต้นฉบับถูกทำลายทิ้งทันที  หากข้อมูลนี้หลุดออกไปภายนอก ทุกคนในห้องนั้นจะต้องถูกตรวจสอบทันที รวมถึงฉันด้วย ดังนั้น ฉันจะต้องลบคลิป นี้ทิ้งทันที เมื่อคุณตอบคำถามฉัน” 

 

“เรื่องที่ผมต้องคิดวันนี้  ผมได้คำตอบเร็วกว่าที่ผมคิดไว้  วันนี้ผมเจอผี ตอนกลางวัน คุณก็รู้ผมเป็นคนควบคุมตัวเองได้ดีมาก  และผมเป็นนักแสดง ที่ดีคนหนึ่งเหมือนกัน ผมแสดงเป็นคนดีได้อย่างยอดเยี่ยม และแสดงเป็นตัวร้ายได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่วันนี้ ผมเจอคนที่ผมคิดว่าได้ตายไปแล้วยี่สิบปี  ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย” 

 

“เมื่อยี่สิบปีก่อน บ้านผมอยู่บนดอย  มันไม่ใช้บ้านหลังใหญ่มาก มันมีห้องทั้งหมด สิบห้อง แต่ละห้องถูกออกแบบโดยสถาปนิกฝีมือดี เป็นชาวต่างชาติ  ครอบครัวผมได้รับมรดกตกทอดมา เป็นที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ มีลำธารไหลผ่านจากยอดเขา ลงมาสู่ พื้นดินด้านล่าง พ่อผมท่านไม่ใช้นักธุรกิจ ท่านเป็นพ่อของลูก เป็นสามีของภรรยา เป็นพ่อบ้านที่ดี  ครอบครัวเราประกอบด้วย ตัวผม น้องชาย พ่อ และแม่ เราแค่สี่คนส่วนญาติ เราไม่มีเหลือใครอีก  น้องชายผมเป็นเด็กสุขภาพอ่อนแอ มีปัญหาที่หัวใจ ต้องหาหมอบ่อย หรือเป็นประจำ การรักษาที่ได้ผลที่สุดคือ ต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ เมื่อยี่สิบปีที่แล้วมันเป็นไปไม่ได้สำหรับประเทศนี้ที่จะทำอย่างนั้นได้  ต้องส่งน้องชายผมไปผ่า ที่ต่างประเทศเท่านั้น แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ แต่มันอยู่ที่ ผู้บริจาคหัวใจต่างหาก  พวกเราเริ่มหมดหวัง สุขภาพน้องชายผมเริ่มแย่ลงทุกวัน  แต่ปัญหาน้องชายผมยังไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาอย่างอื่นก็เข้ามา บ้านผมถูกไฟเผา พืชผล พืชผัก บ้านพักคนงานถูกไฟเผา ทุกสิ่งทุกอย่างของเราไม่มีเหลืออยู่เลย ทรัพย์สินของเราก็ยังคงเหลือแต่ที่ดิน ที่เป็นมรดกตกทอดมาเท่านั้น  ในเหตุการณ์ตอนนั้น มีคนงานตายกันไปหลายคน  รวมถึง ลูกชาย ลูกสาว คนงาน ที่ ทำไร่ ทำสวนด้วย  เรียกว่าเราหมดตัวเลยก็ได้ ไม่มีเงินจ่าย ค่าแรงคนงาน ไม่มีเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว และในเหตุการณ์ตอนนั้น น้องชายผมก็อยู่ในกองไฟนั้นด้วย  เราหาเขาไม่เจอ เราจึงสรุปว่าเขา ได้ตายไปแล้ว  สาเหตุเรื่องน้องชายผมตาย มันทำให้แม่ผม  รับกับสภาพการตายของลูกชาย  ไม่ได้  ต้องเขารับการพยาบาล ความทรงจำของแม่ผมตอนนั้น   มันเหมือนอยู่ในห้องปิดตาย ไม่รับรู้อะไรเลย  พ่อผมจึงตัดสินใจรับเด็กกำพร้า มาเป็นน้องชายผม  และเป็นลูกชายที่ยังมีชีวิตอยู่ของแม่ผม  และเป็นเด็กสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ต้องเข้า  โรงบาล หาหมอ บ่อยเหมือนแต่ก่อน อีกต่อไป” 

 

“แล้วสาเหตุ ของไฟไหม้  มาจากอะไรคะ” 

 

“เมื่อยี่สิบปีก่อน ชาวบ้านมีอาชีพทางการเกษตร ทำไร่ ปลูกพืชผัก  แต่ก็มีแค่ พอกิน พอใช้  แต่อาชีพอย่างใหม่ก็เข้ามาเปลี่ยนพวกชาวบ้าน คือ ยาเสพติด ชาวบ้านจะรับ มาจาก เขตแดนประเทศเพื่อนบ้าน  เมื่อรับเข้ามาแล้วก็จะหา จุดหยุดพักยา   บางคนขุดหลุมฝัง  แล้วแต่ความสามารถจะหาที่ซ่อนกัน   มันคือสาเหตุของเรื่องทั้งหมด  คนงานในไร่พ่อผม  ร่วมมือกับคนภายนอกขน  ยาเข้ามา แล้วทำการซ่อนไว้ในที่พักคนงาน  ตำรวจสืบทราบเบาะแส  เพื่อที่จะทำลายหลักฐานทิ้ง  ไม่คิดว่ามันจะเกิดเป็นเรื่องเผาบ้าน  เผาเพื่อน เผาคนรู้จัก จนตายไปหลายคน ในวันเกิดเหตุ มาร์ติน นอนหลับอยู่ที่บ้าน ตัวผมเอง พ่อ แม่ เราไม่ได้อยู่บ้านจึงรอดจากไฟไหม้ ส่วนมือเพลิง และคนร่วมมือ หายตัวไป จนวันนี้  ยังคงหาตัวไม่พบ จากการสืบหามาหลายปี ผมได้รู้ว่า พวกเขาเป็นสมาชิกของสมาคม เป็นนักก่อการร้าย และผมจะตามหาตัวพวกเขาให้พบ จนได้” 

 

“ตอนนี้ คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น แล้วก็ได้  ปีเตอร์  คุณได้ครอบครัวคุณคืนมา คุณได้น้องชาย เพิ่มมาอีกคนหนึ่ง  คุณหน้าจะมีความสุข ด้วยซ้ำ” 

 

“ความสุขจากอะไร  จากน้องชาย ที่ไม่คิดว่าผมเป็นพี่ อีกแล้วอย่างนั้นหรือไง  คลิป นั้นมันก็บอกอะไรได้ตั้งมากมาย  น้องชายผมบอก บ้านของเขาไม่ได้อยู่ที่นี้ อีกแล้ว  เขาแค่ผ่านมา แล้วก็จะจากไปอีก เขาไม่เหลือความผูกผัน กับครอบครัวผมอีกแล้ว  สายตาเขาวันนี้  การพูดจา เขาไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรต่อผม เลย เขาเรียกชื่อผม อย่างคนไม่เคยรู้จักกัน  จนเดี่ยวนี้ผมยังไม่อยากคิดเลยว่าคนที่ผมเจอวันนี้คือน้องชายผม” 

 

“คุณเจอน้องชาย แล้วหรือ ปีเตอร์ น้องชายคุณอยู่นี้เด็กลูกสาวท่านรัฐมนตรีก็ ต้องอยู่ด้วย” 

 

                    “ใช่ผมเจอน้องชายผมแล้ว แต่ผมไม่ได้พบเด็กผู้หญิงนั้น   ผมไม่เคยเล่าปัญหาของครอบครัว ให้คุณฟังมาก่อน เพราะ มันไม่ใช้ปัญหาอะไรที่ต้องรีบแก้ไข  เรื่องมันมีอยู่ว่า แปดปีแรกหลัง จากไฟไหม้ครอบครัวผมเกิดปัญหาเรื่องเงิน จึงเอาทีมรดก เข้าไปเป็นหลักทรัพย์ หมุนเงินจากธนาคารมาใช้ จนในที่สุด เราก็ทนรับดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นไม่ได้  จึงจำเป็นต้องสละทีดิน บางส่วนทิ้งไปโดยการขาย ให้กับนายธนาคาร  ในตอนนั้นทีดินแถวนั้นราคาไม่แพง เหมือนตอนนี้  จากการประเมินตอนนั้น มันราคาถูกมาก แต่เจ้าของธนาคารกับให้ราคาถึงห้าเท่า  ของราคาที่ดิน  และได้เขียนหนังสือตกลงกับครอบครัวผมว่าภายในระยะเวลา สิบปี หากต้องการซื้อคืน ให้แจ้งความ จำนง เป็นหนังสือ ไป แล้วนายธนาคาร ยินยอมจะขายคืนให้  จนเมื่อสองปีที่แล้วสัญญาในข้อตกลง  เป็นโมฆะ ลง  พวกเราก็ไม่ได้เสียดายอะไร พ่อผมอาจจะเสียดายบาง แต่ก็ไม่ได้แสดงออก   ส่วนแม่ผมท่านไม่พูดถึง   บ้านบนดอยอีกเลย  และไม่ได้อยากกลับไปด้วยซ้ำ จนเดี่ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ คุณรู้ไหมเรื่องที่ตลก ก็คือสองปีถัดจากสัญญาเป็นโมฆะ ทีดินอันเป็นมรดกของ พ่อผมจากการประเมิน ปัจจุบัน ราคามันเพิ่มเป็นยี่สิบเท่า  มันเพิ่มขึ้น สิบหกเท่า  จากเมื่อสองปี ที่แล้ว  ผมรู้ดังนั้นเมื่อเดือนที่แล้วผมแจ้งความจำนงขอ ซื้อคืนในราคาที่ตกลงกันไว้ คือห้าเท่า  ของราคาทีดินเมื่อสิบปีก่อน  แต่ไม่ได้รับการตอบรับ   จากตัวแทนนายธนาคาร  แต่พวกเขาแจ้งให้ผมไปพบ ทายาท ของนายธนาคารแทน และคนที่ผมไปพบก็คือ น้องชายของผม  และเขาปฏิเสธ  ที่จะขายคืนให้ผม ผมโมโหมาก เลย” 

 

“คุณเลย ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เลยพูดกับน้องชายไม่ดี  น้องชายคุณก็เลยไล่คุณ  กลับ ถ้าฉันเดาไม่ผิด” 

 

“ใช่ น้องชายผมไล่ผม และบอกว่า  จะไม่ขอพูดกับผมอีก  ถ้าผมจะติดต่อ  ซื้อคืนให้ผมไป ติดต่อกับตัวแทนน้องชายผมแทน” 

 

                    “ผมอยากรู้ ยี่สิบปี  ที่ผ่านมาน้องชายผม  ใช่ชีวิตแบบไหน  ทำไมน้องชายผมถึง  เปลี่ยนแปลงตัวเอง ไปได้มากมายขนาดนี้  เมื่อน้องชายผมยังเด็ก เขาอยากได้อะไร  ต้องร้องหาผมตลอด  แต่ตอนนี้ น้องชายของผม  ไม่ใช่คนที่ผมรู้จักอีกต่อไปอีกแล้ว  เขาดูฉลาด และเข้มแข็ง ทั้งร่ายกายและจิตใจ  ผมคงเข้าไปไม่ถึง  หัวใจของน้องชายอีกแล้ว  คุณพอบอกผมได้มั้ย ถึงความเป็นมาของน้องชายผม” 

 

“ทางเราได้ทำการตรวจสอบประวัติของน้องชายคุณในชื่อนาย แวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา   พ่อเขาคือนายมูหะหมัดบาเกร  แวดามิยาห์อสลา  เขาทำธุรกิจธนาคาร มีหุ้นอยู่ในธุรกิจมากมาย โดยธุรกิจทำเงินให้กับเขามากที่สุดก็  คือธุรกิจน้ำมัน  ตอนนี้เขามีอายุประมาณ 53 ปี ไม่มีทายาทอื่นอีกน้องจาก  นาย แวมาฮาดี  แวดามิยาห์อสลา น้องชายของคุณ   เมื่อเขาอายุประมาณ 32 เขาต้องเสียเมียและลูกชายในอุบัติเหตุทางรถยนต์  และเมื่อยี่สิบเอ็ดปีที่แล้วเขาได้รับเด็กมา เลี้ยงเป็นลูกชาย ก็คือน้องชายของคุณ  พ่อของน้องชาย  คุณ มีน้องชายหนึ่งคนเป็นเจ้าชายรัฐอิสระ  ดำรงตำแหน่งเป็น เป็น “ชีค มุสซาฟาร์  แวดามิยาห์อสลา” อายุประมาณ 50 ปี มีลูกชาย3 คน มีลูกสาว 1 คน  มีภรรยาคนเดียว”

 

“แล้วน้องชายผม  แต่งงาน  มีครอบครัว หรือยัง”

 

                “เรื่องนี้ฉันไม่ได้มั่นใจมากนัก  ถ้าสถานะภาพปัจจุบัน เขาคือ หนุ่มโสด เนื้อหอม ทายาท คนเดียวของมหาเศรษฐี ระดับโลก แต่จากประวัติ ที่ได้มาน้องชายคุณ มีความเกี่ยวข้อง กับ ลูกสาวของน้องชายพ่อ  และเท่าที่ฉันตรวจสอบจากข่าวต่างๆ ฝ่ายหญิงประกาศจะแต่งงานกับน้องชายคุณ แต่ข่าวนี้ฉันค้นเจอมันผ่านมาประมาณ  หนึ่งเดือนแล้ว เรื่องจริงหรือแค่ข่าวลือ ในอินเตอร์เน็ต ฉันก็ไม่รู้  แต่เท่าที่รู้ไม่มีการตอบรับจากฝ่ายชาย  หรือทางฝ่ายพ่อของน้องชายคุณ  แต่เท่าที่รู้ครอบครัวฝ่ายหญิงคงเดือดร้อนไม่น้อย  และฝ่ายหญิงคงรักน้องชายคุณมาก ถึงขนาดประกาศต่อหน้าสื่อขนาดนั้น”

 

“คุณคง  มองเห็น   น้องชายผมหล่อ มาก ถึงจะน้อยกว่า ผมก็ตาม คุณว่ามั้ย”

 

“ฉันว่าน้องชาย  คุณหล่อกว่าคุณมาก คุณปีเตอร์”

 

“ปัญหาของ น้องชายคุณ จะทำอย่างไรต่อไป”

 

“น้องชายผมเล่นเกมส์ จำพี่ชายตัวเองไม่ได้  ผมก็จะเล่นเกมส์ จำน้องชายตัวเองไม่ได้เหมือนกัน ผมคิดว่าผมจะแก้ปัญหาได้  และผมจะทำให้น้องชายผมจำพี่ชายได้อีกครั้ง”

 

“ส่วนเรื่อง งานของสมาคม ผมก็ยังจะทำต่อไป ทุกอย่างใกล้จะสำเร็จอยู่แล้ว และการประชุม ครั้งหน้าผมมีแผนการ ที่จะจัดการกับสมาคมโรคจิต พวกนั้น  อยู่แล้ว  ทางคุณเตรียมตัวพร้อมแล้วนะ”

 

“ฉันไม่มีปัญหาอะไร  แต่ฉันคิดว่าฉันกำลัง  ถูกติดตาม  ไม่แน่ใจว่าเป็นใคร  ฉันคงมาพบคุณบ่อยๆ ไม่ได้  อย่างที่คุณพูดเราต้องเล่นเกมส์ จำกันไม่ได้ต่อไป”

 

“เมื่อฉันได้ข่าวอะไร จะติดต่อมาอีก  และถ้าหากเราพบกัน อีก  ก็ทำเป็นจำฉันไม่ได้ด้วยแล้วกัน  วันนี้ฉันออกมานานแล้ว มันจะทำให้คนอื่น  สงสัย ฉันต้องไปแล้ว  ดูแลตัวเองด้วย  และฉันรักคุณ”

 

               ผู้หญิงเปิดประตูรถคันหรูราคาแพง แล้วเดินไปขึ้นรถ  ที่จอดอยู่ใกล้กัน ขับหายไปจากความมืดรอบข้าง และรถคันหรู อีกคันก็ขับหายไปอีกทางเช่นกัน  ส่วนรถที่เฝ้ามองอยู่ไม่ห่างก็ขับหายไปอีกคัน

 

วันที่สอง ณ บ้านบนดอย

 

“ราชีฟ  วันนี้วันอาทิตย์  คุณยังคงจำคำสัญญาได้” ผมนั่งกินแอปเปิล อยู่ที่ระเบียง ที่ประจำของผม และมีแมวน้อยเดินวนเวียนอยู่รอบๆ เท้าผม ผมทำเป็นไม่ได้ยิน

 

“ราชีฟ  คุณเกรง ไม่ได้ยินฉันพูดบ่อยมากนะ ช่วงนี้  แต่วันนี้คุณต้องทำตามคำสัญญา ลุกขึ้นเดียวนี้เลย” ผมยิ้มและทำตามที่เธอบอก ผมเริ่มบิดเอว  ซ้าย  ขวา เพื่อคลายก้ามเนื้อ แล้วก้มลงเอานิ้วจับหูแมวน้อยขึ้นส่งให้สาวน้อยของผม แมวน้อย มันทั้งเจ็บ  ทั้งร้อง ทั้งดิ้น มันใช่เล็บน้อยๆ ของมันต่อสู่นิ้วมือของผม แต่ผม ก็อยากเกรงมันให้สาวน้อยของผมดู

 

“ราชีฟ   แมวมันเจ็บ มันเป็นแมว ไม่ใช่กระต่าย คุณจะจับหูมันไม่ได้  วันนี้คุณต้องไปโบสถ์ และขอพร ต่อพระเจ้า ต่อบาปที่คุณทำไว้  ต่อแมวน้อยตัวนี้  ไม่อย่างนั้นชาติหน้า คุณจะต้องถูกแมวน้อยจับหู ยกขึ้น แบบนั้นบาง” 

 

 โอ้  อัลลอหฺ  เธอคิดอย่างที่พูดจริง หรือเปล่านะ ผมคิด เธอจะให้ผมไถ่บาป เพราะผมจับหูลูกแมว เนี่ย นะ  วันก่อน ผมคิดว่าผมยิงคนตายไปสองคน ผมยังไม่คิดจะไถ่บาปเลย แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องไถ่บาปให้ไอ้ลูกแมวนี้ด้วย ผมคิด  แต่เช้านี้ผมไม่อยากทำให้เธอต้องรู้สึกไม่สบายใจ และเพื่อเอาใจเธอบาง

 

“ตกลง  ผมจะขอพรต่อพระเจ้า  ไม่ให้ ลงโทษผมต่อบาปที่จับ  หู ลูกแมวน้อยตัวนี้” เธอยิ้มน่ารัก เมื่อผมพูดจบ

 

“คุณตลกดี ราชีฟ  คุณไม่ได้จับหูแมว แต่คุณจงใจดึงหูแมว ทำให้มันเจ็บ  และคุณพยายามบิดเบือนบาปที่คุณก่อขึ้น”

 

“ตกลง ผมจะไถ่ บาป  จากการดึงหูลูกแมว  ทำให้มันเจ็บ   คุณอยากเดินไป  หรือ นั่งรถไป”  เธอยิ้มน่ารักอีกเมื่อผมพูดจบ

 

“ฉันไม่อยากนั่งรถ  ฉันอยากเดินไป ฉันอยากดู ธรรมชาติของถนนฝั่งโน้น” 

 

               บ้านบนดอยสามารถขึ้นและลงได้สองเส้นทาง ทางเส้นแรกคือทางที่พวกผม เดินขึ้นมา อีกทางคือเดินตรงไปจนสุดถนน มันเหมือน สายรุ้งเจ็ดสีในยามฝนตกใหม่  สายรุ้งจะโค้งเป็นครึ่งวงกลม  ถนนเส้นนี้ก็เช่นกัน  บ้านบนดอยจะตั้งอยู่ จุดบนสุดของสายรุ้ง แล้วโบสถ์ ก็จะอยู่ยังจุดปลายรุ้งอีกข้างหนึ่ง ถ้าเดินลงไปก็จะผ่านสวนผลไม้ พวก ส้ม องุ่น  แอปเปิล  และจะได้เห็นคนงานทำการเจ็บผลผลิตนำออกขาย  สาวน้อยของผมเธอรู้สึกจะพอใจวิถีชีวิตบนป่า บนเขา มากเป็นพิเศษ ผมคิด

 

“ตกลงเราจะเดินกันลงไป  ตอนเราขึ้นมา ก็ให้คนงานไปรับเราขึ้นมาแล้วกัน ตกลงมั้ย”

 

              เธอยิ้ม และพยักหน้า  วันนี้สาวน้อยของผมแต่งตัวสวย อย่างสุภาพสตรี เธอจัดผมสวยและยาวของเธอไว้อย่างดีและเธอใส่หมวกอันเล็ก ดูกลมกลืนอย่างสาวบ้านป่า  ถ้าไม่มีใครสังเกต จะไม่มีใครรู้ว่านี้คือสาวเมืองกรุงผู้อยู่ในความศิวิไลซ์  และหนีออกจากบ้านมา อยู่ในป่า  ในเขา  ผมคิด

 

“ราชีฟ คุณต้องเปลี่ยนเสื้อ กับกางเกงใหม่ คุณเล่นกับแมวจนมันยับ หมดแล้ว”

 

“ตกลง ขอผมห้านาที”

 

           ผมใส่เสื้อสูทอย่างที่   ผมเคยเห็นพ่อผมใส่ เมื่อยังเป็นเด็ก และเสื้อตัวใน  เป็นเสื้อยืดสีขาว ผมใส่หมวกสีดำอย่างที่นักมายากลเอานก ใส่ลงไป  แต่หมวกของผมมันไม่ได้ยาว มันสั้นกว่าของนักมายากลมาก ผมเจอไม้เท้าวางอยู่ข้างประตู เมื่อผมหยิบมันขึ้นมา ผมก็เหมือนชายในวัยอายุสี่สิบปี แต่พอผมเอากระดุมเสื้อสูทออก ผมก็เหมือนราชาเพลงป๊อป ดูเท่ไปอีกแบบ ตกลงผม ใส่แบบสบาย ไปดีกว่า ดังนั้นผมก็ได้หมวกเหมือนกับสาวน้อยของผม และได้ไม้เท้า อย่างคนมีอายุสี่สิบ ตอนนี้ผมก็เหมือนหนุ่มบ้านป่า  เดินคู่กับสาวบ้านป่าแล้ว จึงเดินออกไปหาสาวน้อยของผม  เธอยิ้มน่ารัก แล้วเอามือจับข้อศอกผมเดินลงจากดอยมาด้วยกัน  มันทำให้เป็นจุดสนใจของคนงานที่อยู่ใกล้ๆ  และผมตะโกนบอกคนงานที่อยู่ใกล้ ให้ไปรับผมและสาวน้อยกลับขึ้นมาด้วย  ก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบ  หรือไม่เงียบ ผมคิด

 

“ราชีฟ คุณหล่อมาก”

 

“คุณก็สวยมาก สาวน้อย”

 

“ราชีฟ คุณต้องชมฉันว่า สวยมากคุณนัด ฉันไม่อยากให้คุณเรียกฉันสาวน้อย”

 

“ตกลง สวยมากคุณนัด”

 

“ขอบคุณ ราชีฟ”

 

 

 ณ โบสถ์ที่ปลายสายรุ้ง

 

“เรามาสายหรือเปล่า ราชีฟ “ ผมพยักหน้า แล้วยิ้ม

 

“ถ้าเราเข้าไปแล้วไม่มีที่นั่งละ ราชีฟ”

 

                 ผมยิ้มและชี้นิ้วไปที่เก้าอี้พับ   ที่วางซ้อนกันอยู่ข้างนอก เธอยิ้มตอบ พวกเราเดินไปหยิบเก้าอี้พับแล้ว  เปิดประตูเข้าไปในโบสถ์  ภายในโบสถ์ ที่นั่งเต็ม ฝูงคนภายใน  นั่งกันอย่างสงบ มีหลวงพ่อ อายุประมาณ 50 เป็น   ชาวต่างชาติ  เป็นผู้บรรยายคำสอน จนเวลาผ่านไป  ในชีวิตผมมันนานมาก   ยี่สิบปี  ที่  ไม่ได้อยู่ใน โบสถ์ แห่งนี้  ยี่สิบปีก่อน หลวงพ่อ นักเทศก์ เป็นหลวงพ่อคนเดิม     ครั้งหนึ่งผมเคยถามท่านว่า   “ชีวิตหลังความตาย หน้ากลัวมั้ย”   ท่านบอกผม   “ท่านก็อยากถาม พระเจ้าแบบเดียวกับผม”    ท่านบอกว่า  “ให้ผมเชื่อในการตัดสินใจ ของพระเจ้า”  ผมรู้สึกว่าพระเจ้าตัดสินใจ ไม่ให้ผมตาย   และท่านได้มอบชีวิตใหม่ให้ผม  อย่างที่ท่านไม่เคยให้ใครมาก่อน  ผมคิด เวลาผ่านไป ทุกคนที่มา โบสถ์ วันนี้เริ่มเดินออก  ที่ละคน ผมจะลุก  เดินออกไปบ้าง แต่สาวน้อยของผมจับมือไว้ ผมจึงไม่สามารถ   ลุกจากเก้าอี้ได้

 

            “คุณต้องขอพร ให้พระเจ้ายกโทษให้ สำหรับการดึงหูแมวน้อยนั้น” เธอกระซิบข้างหูผม โอ้เธอพูดจริงหรือนี้ ผมส่ายหน้า เธอไม่ยอมปล่อยมือ

 

“ก็ได้”

 

                  ผมแค่ต้องการให้เธอ  สบายใจ เดินไปเอานิ้วแตะน้ำมน  เอามือแตะหน้าผาก อย่างรวดเร็ว  ไม่ได้ขออะไรต่อพระเจ้าเลย  แค่ขออย่าให้เธอให้ผม  ทำมันอีกครั้งเท่านั้น เธอยิ้ม เมื่อผมลุกขึ้นเธอเอามือจับข้อศอกผมอีกครั้ง   เรากำลังจะเดินออกจากโบสถ์ ผมได้ยินเสียง จากด้านหลังเป็น  ชื่อของผมเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว และผมก็จำ  เสียงนั้นได้  เช่นกัน

 

“ลูกคือมาร์ติน ใช่ไหม” ผมหันหลังกลับ   ผมไม่เคยโกหกต่อพระเจ้ามาก่อนเลย ผมคิด

 

“ครับ หลวงพ่อ ลูกเอง ครับ”

 

หลวงพ่อมองผม สำรวจผม มันคือสายตาของพระเจ้า ที่กำลังมองลูก  ที่ท่านให้ชีวิตใหม่ และลูกคนนี้  ก็ยังคงโกรธ และยังไม่ให้ อภัยพระเจ้าอยู่  ผมคิด

 

“พ่อคิดว่าลูกตายไปแล้ว มันนาน  ยี่สิบปีแล้วนะ มาร์ติน พระเจ้าท่านตัดสินใจ  ส่งลูกท่านไปอยู่ที่ไหนนานอย่างนี้”

 

“ท่านส่งลูกไปไกลมาก  ครับ หลวงพ่อ”

“แล้วชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไรบ้าง มาร์ติน”

 

“ผมใช้ชีวิต ตามการตัดสินใจ  ของพระเจ้า อย่างมีคุณค่า ตลอดยี่สิบปีครับ คุณพ่อ”

 

“แล้วเธอกลับมา  ได้เจอกับครอบครับหรือยัง มาร์ติน”

 

“พระเจ้าท่านเป็นฝ่ายเลือกให้ผมครับ หลวงพ่อ  ผมไม่สามารถเลือกเองได้    ผมไม่อยาก ทำให้ครอบครัวต้องเจ็บปวดและเป็นทุกข์ ครับ หลวงพ่อ”

 

“มาร์ติน   เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นลูกที่ดี  ของพระเจ้าก็ได้  เจ้าจงเลือกทางที่ถูกต้อง  ด้วยตัวลูกเอง”

 

“ผมจะลองคิดดูครับหลวงพ่อ”

 

“แล้วตอนนี้ลูกพักอยู่ที่ไหน มาร์ติน”

 

“ผมอยู่ที่ๆ หลวงพ่อ  ไปหาผมเมื่อผมยังเด็กครับ หลวงพ่อ”

 

“เธอคงไม่ได้หมายถึงบ้านบนดอย นั้นหรอกนะ มาร์ติน”

 

“ใช่ครับ ลูก อยู่ที่นั้น และลูกยินดีหาก หลวงพ่อจะขึ้นไปหาลูกเหมือนเมื่อ  ตอนลูก ยังเด็กครับ หลวงพ่อ”

 

“มาร์ติน ครอบครัวของลูก รู้หรือเปล่าว่าลูกยังไม่ตาย” ผมส่ายหน้า

 

“ลูกไม่สามารถเป็นมาร์ติน สำหรับพวกเขาได้อีกแล้ว  ครับหลวงพ่อ”

 

“พ่อเข้าใจ  มาร์ติน แต่ทุกอย่างแก้ไข ได้นะ มาร์ติน”

“หลวงพ่อ คิดว่าแก้ไข แบบไหนละครับ หลวงพ่อคิดว่าผมควรจะทำแบบไหน หลวงพ่อให้คำตอบผม ได้ไหมครับ”

 

“เมื่อผมยังเด็ก ผมเคยถามหลวงพ่อว่า...   ชีวิตหลังความตายหน้ากลัวมั้ย... ท่านตอบผมว่า... ท่านก็อยากถามคำถามเดียวกันนี้กับพระเจ้าเหมือนกัน... และให้ผมเชื่อในการตัดสินใจของพระเจ้า...   ยี่สิบปีต่อมา หลวงพ่อ ถามผมว่าชีวิตหลังความตายของผมเป็นอย่างไรบ้าง...  ผมก็ได้ตอบหลวงพ่อ   ผมใช้มันอย่างมีคุณค่า...   หลวงพ่ออยาก  ให้ผมเสียใจ จากการใช้ชีวิตที่ผ่านมา  ของผม  หรือครับ      ตอนนี้ผมไม่ได้ต้องการ  แก้ไขทั้งอดีต และอนาคต ครับหลวงพ่อ ผมจะใช้ชีวิตของผมให้ดี  เท่าที่ผมทำได้ มันคือสิ่ง  ตอบแทนที่พระเจ้าให้ชีวิตใหม่แก่ผม และผมต้องจ่ายมันด้วย ครอบครัว ของผม ครับ    หลวงพ่อ    หลวงพ่อคิดว่าพระเจ้าท่านได้กำหนด   ทุกอย่างนี้ ไว้หรือเปล่าครับ”

 

“พระเจ้าท่านกำหนด  ให้ผมเลือกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ครับหลวงพ่อ  มาร์ติน ไม่สามารถมี ด้วยกันถึงสองคนได้  เมื่อผมต้องการ  จะฝืนสิ่งที่พระเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว  หลวงพ่อ คิดว่าผม  ควรต้องจ่ายมันด้วยอะไรครับ เป็นชีวิตของคน  ในครอบครัวผม หรือครับ  ผมไม่สามารถเดินเข้าไปหาพวกเขาแล้วบอกว่า  ผมเป็นลูกชายของเขา ผมคือมาร์ติน ส่วนลูกชายอีกคนของพวกเขาคือ ตัวปลอมอย่างนั้น หรือครับ  หลวงพ่อ ผมทำร้ายคนอื่น เพื่อให้ผมมีความสุขไม่ได้หรอกครับหลวงพ่อ  และตอนนี้  พวกเขาต่างก็มีความสุขกันดี พวกเขาต่างใช้ชีวิต  กันอย่างมีคุณค่า  ของพวกเขาเอง ผมก็ต้องเลือกเดินทางที่พระเจ้ากำหนดไว้จนกว่าผมจะจ่ายหนี้ ต่อชีวิตที่พระเจ้าได้มอบให้ผม  ผมไม่รู้ว่ามัน  จะอีกนานแค่ไหน  และผมคิดว่า  คงไม่มีใครรอผมใช้หนี้  ชีวิตครั้งนี้ได้แน่ครับ หลวงพ่อ”

 

“ใครคือคนที่พระเจ้า  กำหนด ให้ลูกต้องจ่ายหนี้ ชีวิตให้ มาร์ติน”

 

“เป็นพ่ออีกคนของผมครับ  คนที่พระเจ้ากำหนดให้ผม   ต้องจ่ายหนี้ให้ ครับ คุณพ่อ”

 

“แล้วลูกคิดว่า ลูกจะต้อง จ่ายหนี้ ให้กับเขาอีกนานแค่ไหนมาร์ติน”

 

“คำถามของหลวงพ่อ  ผมตอบไม่ได้ เช่นเดียวกับที่  ผมเคยถาม   คำถามหลวงพ่อ  และหลวงพ่อตอบคำถามผมไม่ได้   นั้นแหละครับ  ผมถามหลวงพ่อว่าชีวิตหลังความตายหน้ากลัวมั้ย  หลวงพ่อก็บอกว่า อยากถามคำถามนี้ กับพระเจ้าเหมือนกัน  ผมก็ อยากถาม  คำถาม  นี้ กับพระเจ้าเช่นกัน ครับ หลวงพ่อ”

 

“มาร์ติน  ลูกมีความสุข หรือเปล่า”

 

“ครับ หลวงพ่อ ผมมีความสุขดีครับ”

 

“ดีมาก มาร์ติน พ่ออยากได้ยินคำนี้ ของลูกจริงๆ”

 

“แม้อดีตจะแก้ไขไม่ได้แล้ว ลูกก็จงอยู่อย่างมีความสุข  มาร์ติน  และพ่อจะขอพรให้กับเธอ วันหนึ่ง พระเจ้าอาจจะให้เธอเลือกได้ทั้งสองอย่าง ไม่ใช่อย่างเดียว  ที่เธอคิดอยู่มาร์ติน”

 

“ครับ หลวงพ่อ เมื่อถึงวันที่ผมสามารถเลือกได้สองอย่าง  ไม่ใช่อย่างเดียว  อย่างที่ผมคิด แล้วผมจะกลับมาบอกหลวงพ่อครับ”

 

“เธอจะไม่มา  ที่นี้อีกแล้วหรือ มาร์ติน”

 

“หลวงพ่อ คงไม่ลืมนะครับ ผมมีหนี้   ที่ต้องจ่ายให้แก่พระเจ้า  ค้างอยู่อีก  วันไหนผม  จะไปจากที่นี้  ผมจะมาลา หลวงพ่อครับ”

 

“พ่อก็จะรอเธอ  มาร์ติน”

 

“ผมจะอยู่ที่บ้านบนดอยอีกหลายวัน ถ้าหลวงพ่ออยากเจอ  ผมอีก ก็ขึ้นไปหาผมได้ วันนี้ผมคงต้องกลับแล้ว ครับ หลวงพ่อ”

 

“พ่อจะขึ้นไปหา เธอพรุ่งนี้  มาร์ติน”

 

“ผมจะรอตอนรับ หลวงพ่อ ครับ”

 

                    ผมเดินจับมือสาวน้องของผมแล้วเดินจากมา  สาวน้อยของผม  นั่งฟังผมพูดกับหลวงพ่ออย่างตั้งใจ แต่เธอก็ไม่ได้ถามอะไรผมเลย  แต่สมองเธอกำลังต่อจิกซอ อยู่อย่างตั้งใจแน่ ผมคิด  ผมกับสาวน้อยของผมเดินมาขึ้นรถ  ที่จอดรออยู่ คนขับ  ก็ขับขึ้นดอยไปอย่างรวดเร็ว การสนทนาระหว่างหลวงพ่อกับ มาร์ติน มีคนแอบฟังอยู่คนหนึ่งนั้นก็คือ

 

“ปีเตอร์ นั้นเธอใช่มั้ย ครับ หลวงพ่อ”

 

“เธอคงได้ยินหมดแล้ว”

 

“ครับ หลวงพ่อ”

 

“เธอมันเป็นเด็กเลว ปีเตอร์  พระเจ้าจะต้องลงโทษเธอ”

 

“ครับ หลวงพ่อ”

 

“เธอรู้เรื่องน้องชายเธอ มานานแค่ไหนแล้ว”

 

“เมื่อวานนี้ครับ หลวงพ่อ”

 

“เธอคิดอย่างไร เกี่ยวกับ มาร์ติน”

 

“มาร์ติน คนไหนครับ หลวงพ่อ   ถ้ามาร์ติน  น้องชายผมตอนนี้อยู่ที่บ้าน กับ พ่อ และ แม่ของผม”

 

“ถ้าหาก หลวงพ่อถาม มาร์ติน  คนที่คุณพ่อพูดด้วย  เมื่อกี่ ผมไม่มีคำตอบครับ หลวงพ่อ”

 

“ทำไม นั้นน้องชายเธอนะ  ปีเตอร์”

 

“หลวงพ่อจะให้ผมทำอย่างไร  มาร์ตินก็รู้ว่าผมเป็นพี่ชายของเขา  แต่เขาทำเหมือนผมเป็นคนอื่น   เขาทำเหมือนไม่เคยมีความผูกผันกับผมอยู่อีกแล้ว  ผมต้องไปขอร้องให้มาร์ตินกลับมาเป็นน้องชายผมด้วยหรือเปล่าครับ หลวงพ่อ แล้วพ่อแม่ ผมต้องไป  ขอร้องให้เขากลับมาเป็นลูกด้วยหรือเปล่าครับ หลวงพ่อ”

 

“เธอต้องถามตัวเธอเอง ปีเตอร์ ว่าตอนนี้เธอมี  ความสุขหรือเปล่า และหากน้องชายเธอต้องหายไปอีกครั้ง  เธอยังจะสามารถ อยู่อย่างมีความสุข  อีกหรือเปล่า ถ้าเธอคิดว่าเธอสามารถอยู่ได้ เธอก็ควรปล่อยน้องชายเธอไป”

 

“มันเป็นความผิดของพวกเราครับ  คุณพ่อ  ถ้าครอบครัวของเรารอมาร์ติน  แต่พวกเราก็ไม่ได้รอเขาเลย   เราหาคนมาแทนเขา   เรามอบความรักให้กับ  ตัวแทนของเขา  หลวงพ่อคิดว่า มันคือความผิด  ของพวกเราหรือเปล่าครับ ที่เราไม่ได้รอเขา แล้วหาคนมาแทนที่  ของเขา เป็นหลวงพ่อ จะโกรธ คนที่ทำ  อย่างนั้นหรือเปล่าครับ แล้วหลวงพ่อจะให้อภัย คนที่ทำอย่างนั้น  หรือเปล่าครับ แล้วหลวงพ่อคิดว่ามาร์ติน จะให้อภัยพวกเราหรือครับ ”

 

“หลวงพ่อก็เห็นมาร์ติน   เปลี่ยนไปมาก เขาสามารถเป็นคนดีได้มากพอ  กับเป็นคนเลว  ได้เหมือนกัน ตอนนี้มาร์ติน   มีทั้งเงิน และอำนาจ และอีกไม่นานมาร์ติน อาจจะได้เป็นลูกเขยของชีค   พระเจ้าเปลี่ยนเด็กอ่อนแอ ให้กลายเป็นสิงโต ที่หน้ากลัว คุณพ่อคิดว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่าครับ”

 

“มาร์ติน ที่พ่อรู้จักไม่ทำลายใคร ปีเตอร์”

 

“มาร์ติน คนไหนครับ หลวงพ่อ มาร์ติน เด็กเมื่อยี่สิบปี ที่แล้ว หรือมาร์ติน คนที่เพิ่งเดินออกไปเมื่อกี่นี้ หลวงพ่อมองเห็นความเหมือนกัน  หรือความต่างกัน  อย่างไรบ้างครับ  ความจริงผมอยากทำให้มาร์ติน เรียกผมว่าพี่ชายอีกครั้ง แต่ หลวงพ่อคิดว่ามันยังมีหวังอยู่จริงหรือครับ”

 

“มาร์ติน ก็คือมาร์ติน  ทั้งอดีต ปัจจุบัน  มาร์ตินอ่อนแอ แค่ร่างกาย ปีเตอร์  แต่จิตวิญญาณ มาร์ติน เข้มแข็งกว่าเธอมาก ปีเตอร์   พ่ออยู่กับมาร์ตินมากพอกับที่ครอบครัวเธออยู่กับมาร์ติน   ปีเตอร์   พ่อสอนมาร์ตินอ่านหนังสือ  พ่อสอนมาร์ตินใช้ชีวิต พ่อสอนให้มาร์ติน ยอมรับในการตัดสินใจของพระเจ้า พ่อรักเขามากเท่ากับครอบครัวเธอรักเขาปีเตอร์ และพ่อหวังว่ามาร์ตินจะทำในสิ่งที่ดี และถูกต้อง  ปีเตอร์”

 

“ หลวงพ่อ สอนมาร์ติน ให้ลืมครอบครัว ลืมพี่ชาย ลืม พ่อ แม่ ด้วยใช่ไหม ครับ หลวงพ่อ”

 

“พ่อสอนให้มาร์ติน  ใช่เหตุ ผล ปีเตอร์”

 

“การเชื่อในการตัดสินใจของพระเจ้า มันไม่ใช่เหตุผล ครับ หลวงพ่อ  มาร์ตินไม่จำเป็นต้องใช้หนี้ ให้ใคร แม้แต่พระเจ้าเอง”

 

“เธอจะให้น้องชายเธอเป็นคน เห็นแก่ตัว หรือ ปีเตอร์  แล้วเธอจะมีความสุข จากสิ่งที่น้องชายเธอทำอย่างนั้น หรือ ปีเตอร์  แล้วมาร์ตินจะมีความสุขด้วยหรือเปล่า เธอคิดดูเอง ปีเตอร์”

 

“ผมแค่ต้องการน้องชาย ผมคืนเท่านั้น ครับหลวงพ่อ  ทำไมมันถึงได้ ยาก อย่างนี้ครับ  น้องชายผมอยู่ไม่ไกลจากผมเลย  แต่ทำไม ผมรู้สึกว่า มันช่างห่างไกลกันได้ มากขนาดนี้ ครับ หลวงพ่อ”

 

“มาร์ติน อยู่ กับเธอเสมอ ปีเตอร์ แต่ต้องให้เวลามาร์ติน ด้วย ตอนนี้ มาร์ตินใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผล  แล้ววันหนึ่งเธอก็จะได้ มาร์ติน ที่ใช้ชีวิต ด้วยหัวใจ สำหรับครอบครัวเธอคืนมา พ่อรับประกันได้ ปีเตอร์”

 

 “ผมจะไม่รออีกแล้วครับ หลวงพ่อ ผมจะต้องได้น้องชายผม คืน ไม่ว่าจะต้องทำให้ใครต้องเจ็บปวด”

 

“รวมถึง มาร์ติน อีกคนด้วยหรือเปล่า ปีเตอร์”

 

“มาร์ติน ไม่จำเป็นต้องมีคนเดียวก็ได้ครับ หลวงพ่อ มาร์ตินคนไหน ก็คือน้องชายผม  แต่ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความสุข ตลอดเวลาไม่ใช่หรือครับ หลวงพ่อ”

 

“พวกเขาต้องยอมรับในการเปลี่ยนแปลง ที่จะตามมา เมื่อมีความทุกข์ ได้ สักวันก็จะต้องมี ความสุขได้เช่นกัน ใช่ไหมครับ หลวงพ่อ”

 

“ความสูญเสียมันไม่ได้จำกัด อยู่ที่ความทุกข์ เพียงอย่างเดียวนะปีเตอร์ เธอเตรียมพร้อม ที่จะสูญเสีย อย่างอื่นแล้วหรือยัง ปีเตอร์ อย่างเช่น ความตาย  ”

 

“มันไม่มีทางเกิด ขึ้นหลวงพ่อ”

 

“พ่อก็หวัง อย่างนั้น และพ่อก็จะขอพรให้เธอ ทำมันสำเร็จ ปีเตอร์”

 

“ขอบคุณครับ หลวงพ่อ”

 

“วันนี้เธอมาหาพ่อมีธุระอะไร ปีเตอร์”

 

“ผมต้องการของที่  ฝาก หลวงพ่อไว้”

 

“ปีเตอร์ ที่มีเป็นโบสถ์ เป็นที่อยู่ของพระเจ้า ไม่ใช่ธนาคาร เธอจะเอาของมาฝาก พระเจ้า ไว้ไม่ได้ เธอมันบาปนักปีเตอร์..   พ่อเก็บมันไว้ที่เดิม  เจ้ารู้อยู่แล้ว  เจ้าควรไถ่บาปบ้างนะ ปีเตอร์”

 

“ครับหลวงพ่อ”

 

                     ระหว่างทางขึ้นดอย คนขับรถมารับคือ  หัวหน้าคนงานนามว่า นายเม่น   นายเม่นเฝ้าดู เจ้านายคนใหม่นามว่าราชีฟ  ตั้งแต่ออกจากบ้าน  นายเม่นได้ยินเสียงนายคนใหม่ ตะโกนบอกให้คนงานลงไปรับกลับจากโบสถ์ นายเม่นจึงคือโอกาส  รับอาสาเป็นคนขับรถมารับเอง ทำให้คนงานหลายคนรู้สึก แปลกใจ เพราะทุกคนต่างรู้ว่าหัวหน้าคนงานเป็นคนเงียบ ทำงานตามหน้าที่เท่านั้น และไม่ชอบอาสาทำอะไรเป็นพิเศษ  ดังนั้นทุกคนลงความเห็นว่านายเม่น อยากทำงานขับรถเพราะต้องการประจบ  นายคนใหม่ แต่ทุกคนหารู้ไม่ ว่านายเม่นมีแผนการมากกว่าการประจบเท่านั้น   นายเม่นกำลังสวมบทนักสืบ การไขคดีแรก คือพิสูจน์ว่าความทรงจำของแก่  ไม่ได้เลอะเลือน แก่ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่านายคนใหม่ คือ นายมาร์ติน ซึ่งเคยเป็นลูกชายของนายเก่า ของไอ้เม่นคนนี้มาก่อน  นายเม่นคิด

 

“นายครับ  นายมีแขกมาที่บ้านบนดอย  หลังจากนาย  ลงมาไม่นานครับ  ผมจัดการความสะดวกให้เรียบร้อยแล้วครับ “

 

“ฉันไม่ได้เชิญใครขึ้นมา แล้วมากี่คน”

 

“พวกเขามีจดหมายเชิญ ลงชื่อนายราชีฟ ครับ นาย  มีผู้ชายสองคน ผู้หญิงสองคน ครับนาย”

 

                   ผมนึกถึงตัวแทนของพ่อผม คนที่สามารถทำอย่างนั้นได้ ก็คือ ตัวแทนของพ่อผม เท่านั้น และถ้าผมไม่เกรงโง่ก็คงต้องเดาถูก แต่เมื่อต้องการคุยกับคนขับรถเล่น จึงชวนคนขับรถคุยต่อ

 

“นายรู้จักกับพวกเขาหรือเปล่า  นายเป็นหัวหน้าคนงานใช่ไหม ชื่ออะไรละ”

 

“ผมชื่อ เม่นครับ นาย  ผมรู้จักครับนาย  ผมอยู่กับพวกท่าน  ตั้งแต่บ้านบนดอยหลังเก่ายังไม่ถูกไฟเผาครับนาย” 

 

                       ผมจำนายเม่นตอนนี้ ไม่ได้ แต่เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ผมรู้กับแก่ในนาม นายเม่นขี้เมา แก่เปลี่ยนไปมาก แต่ในทางที่ดีขึ้น   เมื่อสมัยเมียแก่และลูกทิ้งแก่ไป ผมเป็นคนส่งข้าวส่งน้ำให้แก่ แม้จะยามแก่เมา แก่ก็ขอบคุณผม แต่ตอนนี้แก่จำผมไม่ได้แล้ว

 

“นายเม่น สบายดีไหม” ผมหลุดปากถามออกไป

 

“สบายดี ครับนาย”

 

                นายเม่นมีรอยยิ้มขึ้นที่ใบหน้า เหมือนกับมีความสุขมากกว่า คำว่าสบายที่แก่เพิ่งพูดออกไป

 

“นายเม่น มีลูก เมียมั้ย”

 

                  ผมลองถามดู เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เมีย และลูกทิ้งแก่ไป หากลูกแก่ยังอยู่คงอายุ อ่อนกว่า หรือแก่กว่าผมไม่กี่ปี  นายเม่นส่ายหน้า ผมเดาความหมายไม่ออก

 

“ผมติดต่อ กับลูกสาวอยู่ครับ แต่เมียผม มีผัวใหม่ ตั้งแต่ผมอยู่ในคุก ครับนาย”

 

                 นายเม่นไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อนเรื่องที่ตัวเองเคยติดคุกแม้แต่  คนงานด้วยกัน แต่วันนี้แก่อยากบอกเรื่องนี้กับนายคนใหม่ได้รู้ไว้

 

“นายเม่นเล่าให้ฟังได้มั้ย ทำไมถึง ติดคุก”  นายเม่นพยักหน้าตกลง

 

                  “ผมถูกตั้งข้อหาวางเพลิง ครับนาย  แต่ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ทำ แต่ตำรวจไม่เชื่อผม ผมถูกจำคุกตลอดชีวิต แต่ผมติดอยู่แค่สิบปี ก็ถูกปล่อยตัว มีคนใจบุญช่วยผมออกมา หลังจากออกจากคุก ผมก็มาทำงานที่ไร่นี้ จนบ้านบนดอยเริ่มสร้างขึ้นใหม่  ผมก็ทำงานอยู่ที่นี้มาตลอด ครับนาย”

 

“นายเม่นคิดว่าใครเป็นคนวางเพลิง” นายเม่นส่ายหน้า

 

“ไม่รู้ครับ นาย” 

 

“แล้วนายคนเก่า จำนายเม่นได้มั้ย”

 

“ไม่ได้ครับนาย แต่ผมจำนายได้ทุกคนแม้เวลาจะผ่านมาหลายปี แล้วครับ”

 

 นายเม่นยิ้ม เมื่อทิ้งคำอัน เป็น ปริศนาไว้ให้ผมได้คิด  จนนายเม่นขับรถมาจอด ถึงทางเข้าบ้านบนดอย สาวน้อยของผมนั่งฟัง   ผมคุยกับนายเม่นมาตลอดทางโดยไม่ได้ถามอะไรผม แต่สมองของเธอกำลังต่อจิกซอแต่ละชิ้น อย่างรวดเร็ว เธอยังคงใส่หมวกใบเล็กอยู่เหมือนเดิม ผมมองดูน่ารักดี ผมจึงหยิบหมวกของผมมาใส่บ้าง แล้วก็ถือไม้เท้าอีกอัน  อย่างตัวตลก ผมทำลายสมาธิของสาวน้อยของผม

 

“คุณนัด เราถึงบ้านแล้ว” เธอหันหน้า มองข้างนอกแล้วเปิดประตู  ผมมองไปทางคนขับรถคือนายเม่น

 

              “นายเม่น วันนี้ให้คนอื่น ทำงานแทน นายเม่นมาค่อย  ดูแลแขกที่มาวันนี้ ว่าพวกเขา ขาดเหลืออะไร ส่วนอาหารไม่ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ นายเม่นทานอย่างไร แขกก็ทานอย่างนั้น  บอกโรงอาหารจัดการด้วย”

 

“ครับ นาย” สาวน้อยของผม  มองหน้าผม อย่างคนไม่รู้จักกัน

 

“เมื่อกี่ ใช่ ราชีฟ  ที่ฉันรู้จักมั้ย นะ”

 

                      เธอพูดน้ำเสียงไม่จริงจัง แล้วเดินจากไปผมเดินตาม เธอตะโกน เรียกเพื่อนแมวของเธอ ผมจับมือเธอแล้วส่ายหน้า ความหมายก็คือ อย่าตะโกนเรียกแมวนั้น เธอพยักหน้า แล้วเดินร้องเสียงแมวแทน ผมส่ายหน้าแล้วเดินตามเธอต่อไป

 

“คุณนัดหมายความว่าอย่างไร กับคำพูดเมื่อ กี่นี้”

 

“คำไหน หรือราชีฟ”  เธอเกรงจำมันไม่ได้

 

“ก็ไอ้คำที่ว่า  เมื่อกี่ใช้ ราชีฟ  ที่ฉันรู้จักมั้ย นั้น” เธอทำหน้าจำได้

 

“ออ ฉันเพิ่งเคยเห็นคุณ  ออกคำสั่งที่ไม่มีเหตุผลเป็นครั้งแรกนะ ราชีฟ เมื่อก่อนคุณจะออกคำสั่งอะไร กับฉัน เช่น ให้ฉันวิ่ง  ให้ฉันหมอบ และอีกหลายอย่าง คุณจะมีเหตุผลตลอดเลย  แต่วันนี้คุณให้แขกที่มาบ้านคุณ ทานข้าวโรงอาหาร”

 

“มันผิดตรงไหนข้าวโรงอาหาร มันก็กินได้เหมือนกัน” เธอยิ้ม

 

“อย่างนั้น คุณกับฉัน ก็จะทานข้าวโรงอาหาร พร้อมกับแขก ของคุณด้วย ดีมั้ย ราชีฟ”

 

                   ผมเงียบหยุดคิด  ผมจะทานได้จริงๆ หรือ ถ้าอยู่ในช่วงภาวะสงคราม หรือ อดยากไม่มีจะกิน ต่อให้ต้องแย่ง ข้าวหมากินผมก็ทำได้ แต่นี้ของกินมีตั้งมากมาย เรื่องอะไร ผมจะต้องกินข้าวโรงอาหาร ในเมื่อสาวน้อยของผมก็ทำกับข้าวอร่อย ให้ทานอยู่แล้ว ผมส่ายหน้า   ไม่ตอบคำถามเธอ เธอยิ้มและเดินตามผมมา

 

                     ที่ระเบียงบ้าน ประกอบด้วยชายสองคน หญิงสองคน  เมื่อจับแยกผู้หญิง  คู่กับผู้ชาย  ก็จะได้  คู่คนมีอายุหนึ่งคู่ และ คู่หนุ่มสาวอีกหนึ่งคู่  ที่โต๊ะจะมีแก้วน้ำ สี่ ใบ และจานผลไม้จานใหญ่ แน่นอนทุกคนกำลังทานผลไม้กัน อย่างอร่อย ไม่นานพวกเขาก็มองเห็นรถ   มาจอดที่ลานหน้าบ้าน พวกเขารอเจ้าของบ้านอยู่หลายชั่วโมง คนงานบอกกับพวกเขาว่า เจ้านายไปโบสถ์ อีกไม่นานจะกลับ ให้ทำตัวตามสบาย

 

                    “มาร์ติน คะ นั้นรถเจ้าของบ้านนี้  หรือเปล่าคะ มาร์ติน   คุณว่าพวกเขาเป็นคนแบบไหนคะมาร์ติน  เมล์ว่า..พวกเขาต้องเป็นคนแก่...ที่หน้าเบื่อ...แน่เลย  มาร์ติน  คิดเหมือน เมล์  มั้ย..”

 

                    หญิงสาวเป็นนักแสดง สวมบท นางเอกทั้งชีวิตจริง และในละคร เธอจะรักษาระดับเสียงให้ไพเราะอยู่ตลอดเวลา เธอจะออกท่าทางไม่ มาก  ทำแต่พองาม แต่สิ่งที่เธอพยายามจะแก้ไข และลืมตัวตลอดคือเธอจะห้ามมือตัวเองไม่ได้ มันมักจะ  ชี้ไปตามคำสั่ง หรือคำพูดของเธอ เช่น ประโยคว่า”มาร์ตินคะ นั้นรถเจ้าของบ้านนี้ หรือเปล่าคะ มาร์ติน” เธอก็จะชี้นิ้วตามด้วย

 

                 “เมล์ คุณเป็นนักแสดง คุณต้องรักษาภาพพจน์ นะ คนดี  อย่าง คำว่า “คนแก่” ..เมล์ หน้าจะใช้ว่า  “คนสูงอายุ”  ดีกว่านะเมล์ หรือ คำว่า  “หน้าเบื่อ”  เมล์ก็ เปลี่ยนมาใช้ทำว่า  “ไม่มีความสุข”  แทนดีกว่านะ เมล์”

 

“ขอบคุณคะ มาร์ติน ที่เตือนเมล์  เมล์จะจำไว้คะ”

 

                 “อุ๊ย นั้น ชายสูงอายุ ที่ดูไม่มีความสุข ลงจาก รถแล้ว คะ มาร์ติน  ดูนั้น สิคะมาติน  พวกเขาใส่หมวกเฉย.. จังเลยคะ มาร์ติน คนแก่พวกนี้..อุ๊ย คนสูงอายุ พวกนี้  คงหลุดมาจาก   ก่อน การปฏิวัติประชาธิปไตย แน่เลยคะมาร์ติน  ใส่หมวก   ถือไม้เท้า เหมือนดูตลกในงานวัดเลย นะคะมาร์ติน”

 

“คุณเคยไปงานวัดด้วยหรือ เมล์”

 

“ตอนเด็ก นะ มาร์ติน”

 

“ครับ ผมก็เคยไป เหมือนกัน  แต่ผมไม่เห็น คนแก่ถือไม้เท้า  เป็นตัวตลกในงานวัด อย่างเมล์เลย”

 

                  “มาร์ตินคะ เมล์ก็ไม่  เคยเห็นเหมือนกันละคะ  เมล์พูดไปอย่างนั้นเอง  มันติดมาจากบท ละครนะคะ  มาร์ติน เมล์อ่านบท ละครมากๆ มันก็ไหลเข้าสมองเมล์  พอเมล์แสดงเสร็จ มันก็ไม่ยอมไหลออก มา นะคะ  มาร์ติน อย่างคำที่ไม่เหมาะสม คำไม่สุภาพ  เมล์พยายามห้ามตัวเองแล้ว แต่บท ละครมันพาไป นะคะ มาร์ติน มันไม่ใช้นิสัยจริงๆ ของเมล์เลยนะคะ มาร์ติน”

 

“ผมเข้าใจเมล์ ครับ เมล์เป็นศิลปิน เมล์ต้องเข้าถึงจิตวิญญาณ  ของตัวละคร”

 

“ขอบคุณคะ มาร์ติน ที่เข้าใจเมล์”

 

                “ที่นี้สวยดีมาก  เลยนะคะ มาร์ติน  มาร์ตินต้องขอซื้อคืนจากคนแก่...ขอโทษคะ คนสูงอายุ ที่ดูไม่มีความสุขสองคนนั้นให้ได้เลย นะคะมาร์ติน  เมล์  อยากจัดงานแต่งงานของเราที่นี้   เมล์จะเชิญนักข่าวมา   แล้วเราก็จะจัดปาร์ตี้  สวมหน้ากากกัน   มี ฟลอร์  สำหรับเต้นรำ   มาร์ตินกับเมล์เราจะอยู่ที่กลาง  ฟลอร์  เราเต้นรำกัน ทุกคนจะดูเราด้วยความอิจฉา  นะคะมาร์ติน”

 

“ครับเมล์  ที่นี้สวยจริงๆ ผมจะซื้อมันเพื่อเป็นเรือนหอ  ของเรา ให้ได้ครับ เมล์”

 

“จริงหรือคะมาร์ติน   เมล์   ละ ดีใจมากเลย  เมล์ไม่ได้ฝันไปใช่มั้ยคะ”

 

“คุณฝันไปนะ คุณผู้หญิง”

 

“อุ๊ย มาร์ตินอย่า ล้อ เมล์เล่นสิคะ”

 

“เมล์ ผมไม่ได้พูด”

 

“ใครพูด คะมาร์ติน”

 

“คนสุงอายุ ที่ดูไม่ค่อยมีความสุข พูดเองครับ คุณผู้หญิง”

 

               ผม กับ สาวน้อยของผม เดินขึ้นมา คิดว่ากำลังมี  การถ่ายทำละครอยู่ เลยยืนฟังอยู่เงียบๆ แต่ดูไปดูมา มันคือชีวิตจริง สาวน้อยของผมเธอ ยืนยิ้มเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะ ผมมันเป็นคนเส้นไม่ตื้น เลยไม่เห็นเป็นเรื่องตลกตรงไหน  ผมยังคงใส่หมวก ถือไม้เท้าเหมือนเดิม ส่วนสาวน้อยของผมก็ยังแต่งตัวเหมือนสาวบ้านป่า  และใส่หมวกน่ารักเหมือนเดิมเช่นกัน  แขกทั้งสี่คนมอง  สำรวจผมกับสาวน้อยของผม อย่างวิเคราะห์ หาความลงตัว ของอะไรสักอย่าง แต่รู้สึกพวกเขาจะยังคิดไม่ออก ทั้งสีหน้าและแววตา   วันนี้ผมได้เจอ พ่อกับแม่ผม ดูพวกท่านยังไม่แก่มาก สุขภาพยังแข็งแรงอยู่เหมือนเดิม ส่วนอีกสองคนดูอย่างไร  ก็ คงตายยากกันทั้งคู่ ผมคิด

 

“ยินดีตอนรับ สู่บ้านบนดอยครับ  ผมราชีฟ  ส่วนนี้” ผมชี้มือไปที่สาวน้อยของผม

 

“ยินดีตอนรับ เช่นกันคะ เรียกฉันว่านัด นะคะ”

 

“นัดต้องขอตัวสักครู่นะคะ  ให้ราชีฟ อยู่เป็นเพื่อนคุยไปก่อน”

 

                  เธอเดินหนีมา เธอปล่อยให้ราชีฟ  รับหน้าแขกของเขาคนเดียว เพราะจริงๆ แล้ว มันก็เป็นแขกของราชีฟ คนเดียวอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอเลย เธอเดินเข้า  ครัวเตรียมอาหารสำหรับ คน  หกคน เธอคิด

 

                   “เชิญพวกคุณนั่งเถอะครับ  หรือจะยืนก็แล้วแต่นะครับ  ผมเอง ก็ลุกยืน ลุกนั่งตลอด เหมือนกัน อย่างไรก็ถือซะว่าที่นี้เป็นบ้าน   พวกคุณแล้วกัน  อย่างไร  ผมขอนั่งก่อนนะครับ วันนี้ผมไปโบสถ์ มาเหนื่อยมากนะครับ”

 

                    ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้ คนทั้งสี่คนยังคงยืนตัวแข็ง ผมหายใจเข้า และปล่อยลมออกจากปาก แรงๆ  แล้วมองทั้งสี่คนอีกครั้ง

 

“นั่งเถอะครับ มีเรื่องอะไรเราจะได้คุยกัน   ออ... ไม่ต้องแนะนำตัวก็ได้ครับ  ผมอ่านประวัติพวกคุณ มาเยอะแล้ว ยกเว้น    คุณผู้หญิงสวยคนนั้น” 

 

                      ผมชี้นิ้วไปที่นักแสดงสาว   เจ้าของบทบาทเจ้าสาวในอนาคตของมาร์ติน  เธอเริ่มขยับ ร่างกายแล้วเมื่อผมชี้นิ้ว  ไปที่เธอ เหมือนเล่นเกมส์ ตัวแข็ง ตัวอ่อน เลย ผมคิด

 

“เอาชื่อในการแสดง หรือชื่อจริงคะ”

 

“ถ้าชื่อในการแสดงฉันชื่อ รถเมล์  แต่มาร์ตินเรียกฉันว่า  เมล์  ฉันก็ อนุญาตให้คุณเรียกฉันว่า  เมล์เช่นเดียวกัน  กับที่มาร์ติน เรียก ส่วน...” ผมยกมือขึ้นห้ามเธอไม่ให้พูดต่อ ใครอยากจะฟังชื่อเธอมากมายขนาดนั้น ผมคิด เธอหยุดพูดเมื่อ  ผมยกมือขึ้นห้ามเมื่อเธอพยายามจะบอกชื่อจริงของเธอกับผม

 

“ไม่ต้องก็ได้ครับ คุณรถเมล์ หรือ คุณเมล์ ผมคิดว่า เอาแค่สองชื่อนี้ก็พอครับ ผมความจำไม่ดี” ผมหันหน้าไปทางมาร์ติน  เขาดูผ่อนคลายลงมาก

 

“ผมได้ยินคนรักคุณ เรียกว่า  มาร์ติน ตั้งแต่ผมเดินเข้ามาแล้ว   คุณก็ต้องชื่อว่า  มาร์ติน  แน่นอน  ใช่ไหมครับ”

 

“ครับ    ผม มาร์ติน แล้วนั้น ก็คุณพ่อกับคุณแม่ ผม”

 

              ผมไม่ได้ยกมือไหว้ใครมานานมากแล้ว คุณแม่ผมเป็นลูกครึ่งไทย  จึงยังรักษาธรรมเนียมไทยไว้คือ ไปลา มาไหว้อยู่   เวลาผ่านมายี่สิบปี ผมไม่คิดว่าจะได้กลับมาไหว้พวกท่าน  อีก ผมลุกยืนขึ้น ถอดหมวกออก แล้วยกมือไหว้ พวกท่านรับไหว้ แบบตกใจ หรือแบบแปลกใจผมไม่สามารถ แยกแยะได้  ผมคิด

 

“สวัสดีครับ คุณพ่อ คุณแม่”

 

“สวัสดีจะ พ่อหนุ่ม”

 

                      เสียงแม่ผมไม่ดังมาก และจะสั่นๆ ด้วย แต่พ่อผมท่านไม่พูดตอบรับ  อะไร ยังคงยืนจ้องหน้าผมอยู่  ผมจึงพูดเพื่อทำลายบรรยากาศ และให้พวกท่านได้  ตั้งตัวกันก่อน เพราะอย่างน้อย ผมก็อยากให้พวกท่านพักอยู่ด้วยนานๆ 

 

“ทำตัวกัน    ตามสบายนะครับ   ผมขอไปอาบน้ำ   เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ก่อน   แล้วเราจะได้ท่านข้าวเที่ยงกัน”

 

 ผมลุกขึ้นเดินออกไปหาสาวน้อยของผมในครัว  แล้วเลยไปอาบน้ำเหมือนที่ได้บอกแขกไว้

 

“มาร์ติน ตอนอยู่ในรถ คุณบอกเมล์ ว่าที่นี้    เป็นบ้านชายแก่...อุ๊ย  ชายสูงอายุ เมล์ก็จินตนาการ  ตามที่ มาร์ตินพูด  แต่ที่เราพบไม่มีคนแก่  เลยสักคน ยกเว้นคนงาน กับคนขับรถ   เจ้าของบ้านหล่อ หน้าตาดี อย่างพระเอกหนัง ถ้าเมล์ต้องการพระเอก  สักคนในหนังเรื่องใหม่ เมล์ว่า เขาละเหมาะสุด  ส่วนผู้หญิงชื่อนัดนั้นก็หน้าตาจืด ไปหน่อย  เมล์ว่า เมล์ดูดีกว่าตั้งเยอะ  จริงไหมคะ มาร์ติน” ผมพยักหน้า

“มาร์ตินอย่าพยักหน้าสิคะ  พูดออกมาดังๆ คะ จริงไหมคะ มาร์ติน”

“ครับ สวย ครับ”

“ขอบคุณ คะมาร์ติน”

 

 

                        ในวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน  แต่สถานที่ต่างกัน  การสนทนาของสมาชิก  สมาคมผู้ก่อการร้าย

 

“แก่บอกว่า ลูกน้องแก่พบโทรศัพท์ แล้วมันก็ ก๊อปปี้  ข้อมูลในโทรศัพท์   เข้าเครื่องของมันไว้ แล้วทำการยิงโทรศัพท์เครื่องนั้น ทิ้ง ใช่ไหม”

 

“ครับ มันบอกอย่างนั้น  ผมก็ถามมันว่า ทำไม มันไม่เอาโทรศัพท์เครื่องนั้นมาด้วย มันบอกว่า กลัวมีเครื่องติดตาม   มันเลย ยิงทิ้ง”

 

“พวกโง่ กูเลี้ยงพวกมึง  เสียข้าวสุกจริงๆ  ถ้าพวกมึงกลัวมีเครื่องติดตามก็ปิดเครื่องสิวะ  ถ้าพวกมึงทำ ไม่เป็นก็ไปร้าน รับซ่อมโทรศัพท์ให้มันปิดเครื่องให้  นี้พวกมึงยิงโทรศัพท์ทิ้ง กูละนับถือ ความสามารถพวกมึงจริงๆ”

 

“ขอบคุณครับที่ชม”

 

“กูไม่ได้ชม กูประชด  แล้วข้อมูลที่พวกมึงได้มามันมีข้อมูลอะไรบ้าง วะ”  “มันถูกใส่รหัสครับ ดูไม่ได้”

 

“แล้วลูกน้องคนที่  ยิงโทรศัพท์ทิ้ง ตอนนี้มันอยู่ ไหน”

 

                 “วันที่  ยิงกันที่สถานีตำรวจ  มันโดน รอบยิง เกือบตาย ถูกนำส่งโรงพยาบาล ครับ  ตอนนี้ ได้ข่าวมันรอดตายแล้ว  และมันก็  หนีออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว  ไม่มีใครตามมันพบ หรอกครับ มันมีฉายาว่า จอมโจรคิด มันชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องยอดนักสืบจิ๋วโคนัน นะครับ พวกเราเลยตั้งฉายาให้มันว่า จอมโจรคิด  จอมโจรอัจฉริยะ  เมื่อก่อน มันเป็นช่างแต่งหน้าระดับหนัง Hollywood เลยครับ  มันเล่าให้ฟังว่ามันไปถอน ขนตา  ดาราดังคนหนึ่ง  ทำให้ขนตาไม่เท่ากัน มันเลยถูกไล่ออก  มันเลยสมัครเข้าเป็นตำรวจ และเป็นสายให้เรา มาตลอด  เวลามันจะทำงาน  แต่ละครั้งมันจะแปลงโฉมตัวเอง เหมือนงานที่สนามบิน มันบอกไม่มีใครจำมันได้เลยสักคน  จนเมื่อยิงกันที่สถานีตำรวจ  พวกเราก็ไม่ได้ข่าวจากมัน อีกเลย เราไม่รู้ว่ามันหนีไปไหนแล้วครับ”

 

“พวกมึงก็เชื่อที่มันเล่า ทั้งหมดเลยใช่ไหม”

 

“ครับ นาย”

 

“ใครเขาถอนขนตา ดาราไม่เท่ากันแล้วโดนไล่ออกบ้าง มันไม่มีอยู่แล้ว พวกโง่”

 

“มีครับ ก็ไอ้จอมโจรคิด นั้นงั้ย  คับ”

 

“เอ้อ.. พวกมึงอยากจะเชื่อ ก็เชื่อไปกูไม่ห้าม แต่พวกมึงต้องตามหามันให้พบ  กูอยากรู้ ไอ้จอมโจรคิด ของพวกมึง มันใส่รหัสในโทรศัพท์ ทำสวรรค์ วิมานอะไร”

 

“มันคงตามแก้แค้น คนที่รอบยิงมันละครับ”

 

“แล้วใครที่รอบยิง มัน”

 

“จากเหตุการณ์วันนั้น คนที่ยิงมันหน้าจะเป็นไอ้  RED EYE  ไอ้ตาแดง นะครับ  นิสัยอย่างนี้ ก็มีแต่ไอ้ RED EYE  นั้นแหละที่ชอบทำ จนไม่มีใครอยากทำงานกับมัน มันยิงไม่เลือก  ไม่ว่าจะเป็นใคร ตอนนี้มันหายตัวไปเหมือนกัน ไอ้จอมโจรคิด ก็หายไปอีกคน  ผมว่าพวกมันคง ไปฆ่ากันตายที่ไหนสักที่ครับ นาย”

 

“พอ !  เรื่องแบบนี้ มึงรู้  ดีนัก”

 

“ขอบคุณคับ นาย”

 

“หา ไอ้คิดให้เจอ ถ้าไม่เจอมึงก็ไม่ต้องกลับมา  ถ้าไอ้คิด มันมาไม่ได้ ก็ให้มันส่ง รหัส มาก็พอ พวกมัน อยากฆ่ากันก็ปล่อยมันไป”

 

“ครับ นาย”

จบบที่5  ต่อบที่ 6  การแก้แค้น ของจอมโจรคิด

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา