[B2ST/Beast] Dream Story รักนี้ให้นาย...เจ้าชายอสูร

8.9

เขียนโดย Kreota

วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 00.14 น.

  87 ตอน
  86 วิจารณ์
  97.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557 22.21 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

79) [Episode 6 :: Lie Lover] # Chapter 11

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

Episode 6 Lie Lover

:: Chapter 11 ::

 

            “กรี๊ด นั่นกีกวังนี่นา >///<”

            “วงบีสท์น่ะหรอ”

            “ใช่ๆๆๆ”

            “ไม่จริงใช่ไหม...เขามาที่นี่ได้ไงอ่ะ!”

            “เข้าไปขอถ่ายรูปได้ไหมนะ แต่ดูท่าทางเขารีบนะ ไม่กล้าอ่ะ...”  เสียงพูดคุยของคนที่ผมเดินผ่านมาดังขึ้นตลอดทาง ผมลืมไปเลยว่าผมเดินลงมาจากรถโดยไม่มีอะไรปิดบังใบหน้าเลย! ผมลืมได้ไงเนี่ย!

            ผมเดินเลี้ยวเข้ามาในมุมหนึ่งของตึกเพื่อหลบผู้คนที่เริ่มชี้ให้กลุ่มเพื่อนดูว่ามีดาราเข้ามาในบริษัท ระหว่างที่กำลังหาทางหนีทีไล่อยู่นั้น ไม่รู้เพราะความโชคดีหรือความบังเอิญที่ทำให้คนของคุณอธิสเดินผ่านมาทางที่ผมกำลังหลบอยู่พอดี

            ผมแอบตามไปเงียบๆ ก็เจอคุณอธิสกำลังคุยกับซังมิซึ่งเป็นเพื่อนของปลายฝนอยู่หน้าห้องห้องหนึ่ง เธอกำลังร้องไห้ฟูมฟายจนจับใจความไม่ได้ แต่เท่าที่ดูจากท่าทางของเธอทำให้รู้ว่าปลายฝนอยู่ในห้องนั้นและกำลังอยู่ในอันตราย!

            “ไม่นะ...”  ผมเผลอพูดออกมาคนเดียว แต่ผมยังมีสติพอที่จะไม่เดินออกไปเพราะผมไม่มีอาวุธติดตัวเลย ถ้าเกิดผมผลีผลามเข้าไปอาจจะกลายเป็นตัวถ่วงพวกเขาเปล่าๆ ผมเลยเลือกที่จะตั้งสติอยู่ตรงมุมทางเดินต่อไป

            บางทีมันก็เจ็บใจเหมือนกันนะที่ไม่เท่ห์ ไม่แมน (?) ไม่มีอาวุธครบมือเหมือนคนอื่นเขา มีแต่มือเปล่าๆ ที่มีหน้าที่ถือไมค์ร้องเพลงเท่านั้น แบบนี้จะปกป้องใครเขาได้ล่ะ!

            คุณอธิสและลูกน้องชักปืนออกมาคนละกระบอก ก่อนจะทุบที่ประตูถี่ๆ แต่ก็ไร้วี่แววของคนในห้อง พวกเขามองหน้ากันนิดหน่อยก็ผลัดกันพังประตูแต่รู้สึกว่าประตูบานนี้จะพังยากมาก พวกเขาจึงตัดสินใจเล็งปืนไปที่กลอนประตูบานนั้น

            ปัง!! ปัง!! ปัง!!

            ประตูถูกยิงไป 3 นัด ก่อนที่พวกเขาจะใช้เท้าถีบประตูเข้าไปในห้อง แล้วความโกลาหลก็ตามมาในทันทีเพราะอีกฝ่ายที่อยู่ในห้องยิงสวนออกมา เมื่อเสียงปืนดังขึ้นคนที่อยู่ในตึกต่างวิ่งหนีออกนอกตัวอาคารเพื่อเอาตัวรอดกันอย่างวุ่นวาย

            ระหว่างที่ความโกลาหลยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใจผมก็ต้องกระตุกวูบลงเพราะปลายฝนกำลังถูกหญิงคนหนึ่งใช้ปืนจี้ขมับอยู่ ด้วยท่าทางเหมือนคนขาดสติของเธอทำให้ต่างคนต่างไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร คุณอธิสและลูกน้องกำลังพยายามเกลี้ยกล่อมเธอคนนั้นอยู่

            “พี่! พี่กำลังทำให้เรื่องมันยิ่งยุ่งนะ ปล่อยปลายฝนเถอะ”  ผู้ชายคนหนึ่งที่ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอที่ไหนแต่จำไม่ได้ ตอนนี้เขาเดินตามปลายฝนกับผู้หญิงคนนั้นออกมาติดๆ

           “ไม่!!! ฉันไม่ยอมให้นังนี่มันลอยหน้าลอยตาอยู่บนโลกนี้หรอก! มันดูถูกฉันมากเกินไป!!”  ผู้หญิงคนนั้นร้องขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับถอยหลังมาเรื่อยๆ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าทางที่เธอกำลังเดินมามีผมยืนอยู่ตรงนี้

           “ผมว่า เราค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก่อนดีกว่า”  คุณอธิสพูดพร้อมกับค่อยๆ เดินตามผู้หญิงคนนั้นมาทีละก้าวๆ และดูเหมือนว่าเขาจะเห็นผมแล้ว

            “ปล่อยฉันเถอะ ถึงเธอจะยื้อต่อไปยังไงมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”  เสียงปลายฝนลอยขึ้นมาเบาๆ แบบไม่เต็มเสียงนัก เพราะเธอกำลังถูกล็อกคออยู่

            “หุบปากเลย!!”  ผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับจี้ปากกระบอกปืนลงไปที่ขมับของปลายฝนแรงขึ้น ทำเอาใจผมกระตุกวูบไปอีกครั้ง

            “อย่าตามมานะ ไม่งั้นหัวนังนี่กระจุยแน่!”

            วี๊หว่อ! วี๊หว่อ! วี๊หว่อ!

            ระหว่างนั้นเองเสียงไซเลนของรถตำรวจก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผู้หญิงคนนั้นชะงักไปชั่วขณะ แต่มันคือโอกาสทองของพวกเราที่จะเข้าไปแยกปลายฝนออกมา

            “ปล่อยนะ!! ปล่อยฉัน!!!!”  เสียงผู้หญิงคนนั้นกรี๊ดร้องหลังจากยื้อแย่งปืนกับคุณอธิสอยู่สักพัก และในที่สุดเธอก็ถูกแย่งปืนไปได้สำเร็จ ส่วนปลายฝนเธอล้มลงมาตรงหน้าผมพอดีตอนที่พวกนั้นเข้ามาช่วยเธอ

            “ปลายฝน เธอไม่เป็นไรนะ”  ผมรีบเข้าไปช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืน แต่ดูเหมือนขาเธอจะไม่มีเรี่ยวแรงอะไรแล้ว เธอจึงทรุดลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง

            “ไหวไหม?”  ผมลงไปนั่งตรงหน้าเธออีกครั้ง

            “ฉัน...กลัว”  ปลายฝนพูดคำสุดท้ายออกมาเบาๆ และสั่นเครือจนแทบจะไม่ได้ยิน มือที่ยันพื้นไว้สั่นเทาจนแทบจะพยุงร่างเอาไว้ไม่อยู่ นาทีชีวิตที่แสนอันตรายแบบนี้ถ้าเกิดเป็นผม ผมก็คงไม่ต่างจากเธอเหมือนกัน

            “คุณเข้ามาได้ยังไง รู้ไหมว่าในนี้มันอันตรายขนาดไหน ถ้าเกิดคุณนาบีหรือทาง KB Ent. รู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ ทั้งคุณทั้งผมเดือดร้อนแน่!”  คุณอธิสเดินเข้ามาต่อว่าผมด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกอารมณ์อย่างชัดเจนว่าโกรธมาก

            “ผมขอโทษ ผมแค่ห่วง...ปลายฝน”  ผมพูดออกมาเบาๆ เพื่อไม่ให้อีกคนที่นั่งสติแตกอยู่ใกล้ๆ ได้ยิน เพราะผมยังไม่มั่นใจตัวเองมากนักว่าที่จริงแล้วแค่เป็นห่วงเธอในฐานะเพื่อน หรือว่าเพราะเหตุผลอื่นกันแน่

            “งั้นคุณรีบออกไปก่อนดีกว่า ก่อนที่นักข่าวจะแห่มา” 

            “แล้วปลายฝนล่ะ”

            “ผมจะดูแลคุณปลายฝนเอง”

            พอได้ยินคุณอธิสพูดแบบนั้น รู้ไหมครับผมเจ็บจี๊ดไปถึงขั้วหัวใจเลย ผมรู้แล้วว่าตอนที่คุณอธิสมาจีบณัช ฮยอนซึงมันรู้สึกยังไง!

            “ผมจะพาปลายฝนออกไปด้วย นักข่าวคงยังไม่มาหรอก”  ผมบอกแล้วอุ้มปลายฝนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

            “คุณ! อย่าเพิ่งพาคุณหนูออกไป!!”

            เสียงของคุณอธิสยังคงดังตามมาแต่ผมไม่สนใจ ผมรีบก้าวเท้าถี่ยิ่งขึ้นเพื่อให้ไปถึงรถที่ฮยอนซึงจอดรออยู่เร็วๆ เพราะตอนนี้ปลายฝนหมดสติไปแล้วหลังจากที่ผมอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น

            “คุณ!! อย่าเพิ่ง!”  เสียงคุณอธิสยังคงดังตามมาจนถึงประตูเข้าออกอาคาร

             ปัง!!

            ทันทีที่ผมก้าวเท้าออกนอกประตูเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ใครกันถึงกล้ายิงปืนทั้งๆ ที่มีตำรวจอยู่หน้าตึกแบบนี้

            ความรู้สึกอุ่นๆ ที่แขนทั้ง 2 ข้างทำให้ฉันก้มลงมองคนที่ผมกำลังอุ้มอยู่ เธอยังคงหลับตาพริ้มเหมือนเดิม แต่ที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโลกจะแตกก็ตรงที่ท้องน้อยของเธอมีเลือดไหลออกมาไม่ขาดสาย มันอาบแขน ขาและตัวของผมเต็มไปหมด...

            ปลายฝนถูกยิง!!

            หมอ พยาบาล บุรุษพยาบาล พร้อมทั้งตำรวจอีกหลายนายวิ่งกรูเข้ามารุมผมกับปลายฝนทันที พยาบาลทำการปฐมพยายาลเพื่อห้ามเลือดขณะที่รอเปลมารับ ส่วนตำรวจก็เข้ามาคุ้มกันพวกเราอย่างแน่นหนา ขณะที่คนของคุณอธิสก็ออกมาคุ้มกันช่วยอีกแรง

            ผมมองบรรยากาศรอบข้างด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หัวสมองมันแน่นและทื่อไปหมด...ทั้งหมดเป็นเพราะผม! ผมมีส่วนทำให้เธอต้องมาที่นี่!! แล้วที่สำคัญผมเป็นคนอุ้มเธอออกมาเพื่อให้ใครก็ไม่รู้มาทำร้ายเธอได้อย่างง่ายดาย! ทั้งหมดมันเป็นเพราะผมเอง!!

            “เฮ้ย! เป็นไรไหมเนี่ย”  ฮยอนซึงเข้ามาตบไหล่ผมแรงๆ เพื่อเรียกสติ ผมหันไปมองหน้าเพื่อนพร้อมกับตาทั้ง 2 ข้างที่เริ่มพร่ามัว

            “เขาพาปลายฝนไปโรงพยาบาลแล้วนะ ไปกันเถอะ!”  ณัชบอกพร้อมกับชี้ไปที่รถพยาบาลที่ออกตัวไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเปิดเสียงไซเรนลั่นถนนเพื่อขอทาง

            “ทั้งหมดมันเป็นเพราะฉัน...”  ผมพูดพร้อมกับน้ำตาที่อดกลั้นมานานไหลรินออกมาเป็นทาง

            “...มันเป็นเพราะฉัน”  ผมร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใครเพราะความรู้สึกผิดที่มันแน่นอยู่ในอก...ถ้าหากเธอเป็นอะไรไป ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่! ผมจะไม่ยกโทษให้ตัวเองจนวันตาย!!

            “เฮ้ย! ตั้งสติหน่อยสิวะ หายใจเข้าลึกๆ”  ฮยอนซึงบอกพร้อมกับตบหลังผมเบาๆ

            “ใช่...มันไม่ใช่ความผิดของนายหรอกกีกวัง ตอนนี้ที่เราทำได้คือรีบตามปลายฝนไปก่อน บางทีอาจจะไม่โดนจุดสำคัญก็ได้”  ณัชบอก

            เราออกมาจากหน้าบริษัทสวนกับนักข่าวเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้จะเป็นข่าวหรือไม่ผมไม่สนใจแล้ว ผมสนแค่ว่าขอให้ปลายฝนปลอดภัยเท่านั้นก็พอ ระหว่างทางผมได้แต่มองเลือดที่อาบทั่วตัวของผมด้วยใจหวิวๆ นี่เป็นเลือดผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างปลายฝนจริงหรอ...เลือดของเธอออกเยอะขนาดนี้ได้ยังไง ป่านนี้ไม่ใช่เลือดของเธอหมดตัวไปแล้วหรอ...แล้วเธอจะเจ็บมากรึเปล่า ผมนึกภาวนาในใจว่าอย่างน้อยตอนที่เธอถูกยิงขอให้เธอไม่ได้สติ เธอจะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวด

            พวกเรา 3 คนไปถึงโรงพยาบาลก็เจอกับคนอื่นๆ ที่มาถึงก่อนหน้านี้แล้ว ทุกคนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องผ่าตัดด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกันคือกังวลและเป็นห่วงคนที่อยู่ข้างในนั้น

            “เป็นไงบ้าง”  ณัชเข้าไปถามเภตรา

            “ไม่รู้เหมือนกันเข้าไปครึ่งชั่วโมงแล้วยังไม่มีใครออกมาเลย”

            “ถ้าเกิดอะไรขึ้น ป่านนี้คงมีใครออกมาบอกเราแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นแสดงว่าตอนนี้ปลายฝนยังปลอดภัยอยู่”  เฝ้าฝันบอก...ผมก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นนะเฝ้าฝัน

            “อ้าว! เฮ้ยๆ นั่นมันนโกรธใครมาน่ะ”  อยู่ๆ จุนฮยองก็ร้องทักขึ้นมาขณะที่มีผู้มาใหม่เพิ่มขึ้น นั่นคือคุณอธิสและลูกน้องอีก 5 คนที่กำลังเดินอาดๆ เข้ามาหน้าห้องผ่าตัดและ...

            ผั๊วะ!!!

            ผมรู้สึกถึงแรงกระแทกที่กรามอย่างแรงพร้อมกับร่างที่ปลิวลงไปกองกับพื้น สมองรู้สึกมึนๆ สักพักก่อนที่จะประมวลผมออกมาได้ว่า ผมเพิ่งโดนชกไปหมาดๆ

            “เฮ้ย! อยู่ดีๆ มาชกกันแบบนี้ได้ไง!!”  เสียงของจุนฮยองดังขึ้นมาอย่างเอาเรื่อง และดูเหมือนจุนฮยองจะพยายามเข้ามาหาคุณอธิส แต่ก็ถูกลูกน้องของเขากันเอาไว้

            “ผมบอกคุณแล้วว่าอย่าเพิ่งพาคุณปลายฝนออกมานอกตึก! แต่คุณก็ไม่เชื่อ!! แล้วเป็นไง!!! เห็นไหมว่าสิ่งที่คุณทำมันส่งผลยังไงกับปลายฝน ห๊ะ!!!”  เขาเข้ามากระชากคอเสื้อผมให้ยืนขึ้น คำพูดและการกระทำของเขาทำให้ความรู้สึกผิดที่ผมพยายามเก็บกดมันเอาไว้แล่นเข้ามากระหน่ำจิตสำนึกอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น ภาพร่างน้อยๆ ที่โชกไปด้วยเลือดขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของผมลอยเข้ามาทิ่มแทงหัวใจอีกครั้ง

            “ผมรู้มาจากไอ้ซอลทังว่าอุนเซมันจะส่งคนซุ่มยิงรอเก็บปลายฝนอยู่หน้าตึก แต่ผมคิดว่าคงไม่เป็นไรถ้าเกิดผมเป็นคนพาเธอออกไปเพราะว่าเราคิดแผนกันไว้แล้วว่าจะพาเธอออกไปยังไง แต่คุณก็ทำให้เสียแผนหมด!!!”

            “เฮ้ย! มาพูดจาแบบนี้ได้ยังไง ก็กีกวังไม่รู้นี่!”  ณัชตะคอกขึ้นมาบ้าง

            “ถึงไม่รู้ แต่ก็น่าจะฟังกันบ้าง ผมบอกเขาแล้วนะณัชว่าอย่าเพิ่งพาปลายฝนออกมาเขาก็ไม่เชื่อ!!!”

            “คุณทำไมไม่บอกผมล่ะ คุณปล่อยให้ผมพอปลายฝนออกมารับกระสุนแบบนี้ได้ยังไง!!”  ผมกระชากคอเสื้อของคุณอธิสกลับบ้าง ถ้าเกิดตอนนั้นเปลี่ยนจากคำว่า ‘อย่าเพิ่งพาปลายฝนออกไป’ เป็นคำว่า ‘มีคนซุ่มยิงอยู่ข้างนอก อย่าพาเธอออกไป’ มันจะดีกว่าไหม? เพราะระยะทางจากที่เกิดเหตุกับประตูมันก็ไม่ได้ใกล้จนพูดประโยคสั้นๆ แค่นั้นไม่จบสักหน่อย!!

            “แล้วคุณฟังผมไหมล่ะ มัวแต่รีบเดินอยู่นั่น!!!”

            “แล้วทำไมไม่บอกให้มันเร็วๆ กว่านั้นล่ะ ถ้าผมรู้ผมคงไม่พาปลายฝนออกมาหรอก!!” 

            “เอ่อ...ขอโทษนะคะ”  ระหว่างที่อารมณ์ของทั้งฝ่ายกำลังคุกรุ่นได้ที่ เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น

            “ที่นี่เป็นโรงพยาบาลนะคะ คนไข้ต้องการพักผ่อน กรุณาอย่าส่งเสียงดังนะคะ”  พยาบาลบอกพวกเราอย่างสุภาพ

            “อ๋อ ขอโทษนะคะ”  วิลล่าพูดพร้อมรอยยิ้มแหยๆ คุณพยาบาลพยักหน้านิดหน่อยแล้วเดินไป

            ผมกับคุณอธิสมองหน้ากันสักพักก่อนจะปล่อยคอเสื้อของฝ่ายตรงข้ามออกโดยดี แต่ถึงผมจะพยายามเถียงยังไง ความผิดทั้งหมดมันก็เป็นของผมคนเดียวอยู่ดี ผมมันโง่เองที่คิดน้อยเกินไป ผมลืมไปเลยว่าปลายฝนไม่ได้เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา แต่เป็นลูกสาวมาเฟียที่ต้องคอยหลบหลีกคนที่กำลังตามล่าเธอด้วย

            “ขอโทษนะคะ ที่นี่มีญาติคุณปณิดาไหม”  อยู่ๆ พยาบาลในชุดสีเขียวก็เปิดประตูห้องผ่าตัดออกมา

            “ผมเป็น...ผู้ปกครองครับ”  คุณอธิสเดินเข้าไปแสดงตัวเป็นคนแรก

            “มีอะไรรึเปล่าคะ”  เฝ้าฝันถาม

            “คือตอนนี้คนไข้เสียเลือดมาก เราต้องการเลือดกรุ๊ปเอ ไม่ทราบว่ามีท่านไหนมีเลือดกรุ๊ปนี้บ้างไหมคะ”

            “ผมครับ / ผมครับ”  ผมกับคุณอธิสพูดขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ผมเหลือบไปมองหน้าคุณอธิสนิดหน่อยก่อนจะหันกลับไปมองพยาบาล

            “ผมด้วยครับ”  ดงอุนพูดขึ้นมาอีกคน

            “เอาล่ะค่ะ เดี๋ยวจะขออนุญาตเจาะเลือดตรวจก่อนนะคะว่าเลือดจะเข้ากันได้ไหม”

            “ได้ครับ / ได้ครับ”

            อย่างน้อย...ผมขอใช้เลือดของผมทดแทนความผิดที่ผมได้ทำไว้กับเธอ ถึงมันจะไม่ได้ทำให้ความผิดของผมลดน้อยลงไปเลยก็เถอะ...

           

            [Plaifon : Talk]

            ฉันค่อยๆ ดันเปลือกตาที่หนักอึ้งของตัวเองขึ้นมองเพดานสีขาว ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ฉันต้องกระชับผ้าห่มเข้ามาหาตัวมากขึ้น ทำไมอยู่เกาหลีต้องเปิดแอร์เย็นขนาดนี้ด้วยนะ มันไม่ใช่หน้าร้อนซะหน่อย ปกติเห็นเปิดแต่ฮีทเตอร์นี่นา...

            “ตื่นแล้วหรอคะ เป็นยังไงบ้างปวดแผลไหม”  น้ำเสียงหวานๆ ของพยาบาลชุดขาวดังขึ้นมา ฉันหันไปมองเจ้าของเสียงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างงงๆ เพราะว่าภาษาที่เขาใช้พูดกับฉันมันเป็นภาษาไทย รวมทั้งเครื่องแบบ ป้ายชื่อพยาบาลก็ยังเป็นภาษาไทย...อย่าบอกนะว่า O_O!!

 

 

 

 

*****************************

มิน่าไรท์รู้สึกร้อนรนยังไงบอกไม่ถูก มีคนพูดถึงนี่เอง ฮ่าๆๆๆ

มาอัพแล้วนะคะ

ฝากติดตามด้วยนะ เข้าช่วงสุกท้ายของ Ep. แล้วจ้า

******************************

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา