[B2ST/Beast] Dream Story รักนี้ให้นาย...เจ้าชายอสูร

8.9

เขียนโดย Kreota

วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 00.14 น.

  87 ตอน
  86 วิจารณ์
  97.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557 22.21 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

78) [Episode 6 :: Lie Lover] # Chapter 10

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

Episode 6 Lie Lover

:: Chapter 10 ::

 

            “คือ...เรื่องการ์ดกับรูปของแก ฉันก็เพิ่งรู้วันนี้นี่เอง ฉันกะว่าถ้าแว็บออกมาจากห้องประชุมได้เมื่อไหร่ฉันจะรีบโทรบอกแกเลย >_<!!”  ซังมิอธิบายรวดเดียวจบ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกว่าใจเย็นลงเลยสักนิดมันกลับเพิ่มความโกรธ งุนงงสงสัยขึ้นมาอีกว่าทำไมการ์ดกับรูปถึงอยู่กับนังเจ๊นั่นได้!!

            “ถ้าอยากรู้อะไรก็เข้ามาถามฉันตรงๆ เลยดีกว่านะปลายฝน”  เสียงเจ๊ยอซูดังออกมาจากห้องประชุม ซังมิจึงหลีกทางให้ฉันกับเจ๊ยอซูได้สบตากันตรงๆ นังเจ๊นั่นยังคงนั่งด้วยท่าทางสบายๆ บนเก้าอี้ตัวใหญ่ประจำตำแหน่ง

            “อ้าว...คนนี้เองหรอช่างภาพคนนั้น”  ผู้หญิงที่คุยกับเจ๊ยอซูทักทายฉันด้วยรอยยิ้ม ฉันเหลือบไปมองเขานิดหน่อยก่อนจะกลับไปโฟกัสที่นังเจ๊ยอซูต่อ

            “ใช่ค่ะ คนนี้แหละ”  นังเจ๊ยอซูพูด แต่ก็ยังไม่ละสายตาไปจากฉัน  “ซังมิ ช่วยส่งแขกหน่อยสิ สงสัยปลายฝนมีอะไรจะคุยกับฉันเยอะแยะเลย”

            ซังมิยืนเก้ๆ กังๆ อยู่สักพักก็เข้าไปเชิญแขกตามที่เจ๊ยอซูบอก ตอนนี้ก็เหลือแค่ฉันกับนังเจ๊ตามลำพัง...

            “ว่าไงปลายฝน ตั้งแต่ส่งมาเฟียบุกมาที่นี่ก็หายหน้าหายตาไปเลยนะ ยอมไปขัดดอกให้เขาแล้วรึไงถึงได้มีมาฟียมาคอยเคลียร์ให้แบบนี้”  เจ๊ยอซูเริ่มต้นบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ไดๆ

            “ไม่ต้องมานอกเรื่อง! บอกมาว่าเรื่องมันเป็นยังไง!!”  ฉันทุบโต๊ะห้องประชุมด้วยแรงทั้งหมดที่มี เพราะฉันคิดว่ามันจะช่วยระบายความโกรธของฉันได้บ้าง แต่เปล่าเลย...นอกจากจะเจ็บมือแล้ว มันยิ่งตอกย้ำความโกรธของฉันให้มากขึ้นกว่าเดิมซะอีก

            “เอาเรื่องไหนก่อนล่ะ...เอาเรื่องการ์ดก่อนดีไหม เพราะรู้สึกว่าจะเป็นเรื่องที่เธอช็อกที่สุดแล้ว”  นังเจ๊ยอซูพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะเปิดรูปฉายบนโปรเจ๊กเตอร์ให้ฉันดู...มันเป็นรูปที่มาจากเมมโมรี่การ์ดที่โดนฉกไปจริงๆ

            “แก!!”

            “ฉันแค่ใช้เทคนิคนิดหน่อยเท่านั้นเอง...”

            ฉันนิ่งไปเพราะไม่เข้าใจว่าไอ้ ‘เทคนิค’ ที่นังเจ๊นั่นกำลังพูดถึงคืออะไร

            “เฮ้อ...พูดง่ายๆ ก็คือ แค่ให้ค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ พวกเด็กๆ Dream Fairy ก็ยินดีแสดงละครฉากใหญ่ให้ฉันแล้ว มันสมจริงมากใช่ไหมล่ะ ^_^”

            “อะไรนะ!” 

            “ทีแรก ฉันกะว่าจะได้ทั้งค่ากล้องแล้วก็ค่ารูปซะอีก แต่มันพลิกล็อกตรงที่เธอให้มาเฟียมาเอากล้องเธอไปนี่สิ ฉันเลยขาดทุนนิดหน่อยแต่ก็ยังถือว่าไม่ขาดทุนมาก เพราะในเมมของเธอมีรูปเยอะดีทีเดียว ฮ่าๆๆ”

            “นังยอซู!!!”  ฉันขบกรามแน่น ใจจริงอยากจะกระโดดข้ามโต๊ะนี่ไปกระทืบนังหน้าเลือดนี่ให้จมดินซะเลย แต่ฉันก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้เพราะที่นี่เป็นถิ่นของมัน ฉันไม่รู้ว่าถ้าฉันทำอะไรบุ่มบ่ามไปจะมีผลอะไรตามมาบ้าง

            “อ๊ะๆ ยังไม่จบนะเรื่องกล้องของเธออีก เธอกล้ามากนะที่ส่งมาเฟียมาถล่มที่นี่ ฉันจำเป็นต้องคืนให้เพราะไม่มีทางเลือก แต่อย่าให้ฉันมีโอกาสนะ ฉันไม่ปล่อยไปง่ายๆ แบบนั้นแน่”

            “โอกาส!! โอกาสอะไรอีก ก็แกให้ซังมิขโมยมันมาแล้วไม่ใช่หรอ”

            “จะบ้าหรอ! ฉันเนี่ยนะจะขโมยกล้องเธอมา”  เสียงซังมิดังจากด้านหลัง คงกลับจากส่งแขกเรียบร้อยแล้วและได้ยินที่ฉันพูดเข้าพอดี

            “ก็ในบรรดาของที่หายไป มีเดโม่เพลงของจุนฮยองกับกล้องของฉันด้วยน่ะสิ”  ฉันหันไปเหวี่ยงใส่ซังมิบ้าง

            “เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว ฉันเข้าไปขโมย!...เอ่อ ฉันเข้าไปเอาของที่เป็นลิมิเต็ทอิดิชั่นที่หายากๆ เท่านั้นเอง ไม่มีทางเอาเดโม่เพลงอะไรนั่นมาหรอก...แล้วอีกอย่าง กล้องของเธอฉันก็เคยเห็น ฉันจะเอากล้องเพื่อนของตัวเองมาขายได้ยังไงกัน! กว่าแกจะได้คืนมันยากขนาดไหนฉันก็รู้ดี”

            “แล้วแกเอากุญแจห้องพักของบีสท์มาได้ยังไง!”

            “ฉันเอามาจากเจ๊”  ซังมิบอกพร้อมกับพยักพเยิดไปที่นังเจ๊ยอซูที่เพิ่งวางหูโทรศัพท์เข้าที่เดิม ขนาดกำลังมีคนมายืนด่าชียังมีอารมณ์โทรศัพท์อีกนะ เชื่อเขาเลย -*-!

            “มีผู้หญิงคนหนึ่งมาขายให้ฉัน ที่แรกฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไขเข้าไปได้จริงๆ รึเปล่า เพราะว่าแม่นั่นขายให้ฉันถูกมาก แต่พอลองให้ซังมิไปไขดูมันกลับเปิดได้จริงๆ”

            “ใคร? รู้จักไหม” 

            “คุ้นๆ นะ แต่ฉันจำไม่ได้ว่าเป็นใคร”  ยัยเจ๊ตอบกลับมาแบบขอไปที

            แอ๊ด...กึก!...แกร็ก!!

            ระหว่างนั้นเอง เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงปิดและลงกลอนในคราวเดียวกัน ฉันจึงหันกลับมองผู้มาใหม่...มันเป็นชายชุดดำประมาณ 5 คน หนึ่งในนั้นคือคนที่ฉันพยายามหนีมาตลอดและไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้ว

            “ซอลทัง!!”

            “ดีใจจังที่เธอยังจำฉันได้ นึกว่าจะจำได้แต่ไอ้อธิสซะแล้ว ^_^” 

            “แก!”  ฉันหันกลับไปมองนังเจ๊หน้าเลือดอีกครั้ง ไม่นึกว่าจะทำกับฉันแบบนี้

            แล้วนังเจ๊นี่ให้ไอ้ซอลทังเข้ามาในนี้ได้ยังไง!!

            “ขอบคุณนะครับพี่ นึกว่าจะต้องเล่นไล่จับกันนานกว่านี้ซะแล้ว”  ซอลทังพูดกับนังเจ๊ยอซูอย่างสนิทสนม

            อะไรนะ ‘พี่’ งั้นหรอ?

            “เฮ้อ...ดูทำหน้าเข้าสิ สงสัยหรอว่าทำไมซอลทังถึงเข้ามาในนี้ได้...สงสัยวันนี้ฉันคงต้องบอกเธอทุกอย่างแล้วล่ะจะได้หายโง่สักที”  นังเจ๊ยอซูพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา

            “เธอรู้รึเปล่าว่าทำไมฉันถึงรับเธอเข้าทำงานง่ายๆ ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นฝีมือการถ่ายภาพของเธอเลย...นั่นก็เพราะว่าน้องชายของฉันต้องการจับตาดูเธอไงล่ะ ตราบใดที่เธอยังทำงานอยู่กับฉันการจะบุกมาจับเธอมันก็เป็นเรื่องง่ายและทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ที่น้องฉันไม่ทำเพราะฉันเห็นว่าเธอเป็นตัวทำเงินให้ฉันได้ ฉันเลยขอยืดเวลาไปก่อน...”

            ทันทีที่เจ๊ยอซูพูดจบ...เรี่ยวแรงของฉันก็หดหายจนไม่สามารถทรงตัวยืนอยู่ได้อีก...ฉันทรุดตัวลงนั่งบนพื้นพร้อมกับร่างกายที่ชาวาบขึ้นมาเป็นระยะ มิน่า...ทุกครั้งที่ฉันออกไปถ่ายรูปตามงานต่างๆ ไอ้ซอลทังถึงได้รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนและตามไปได้ทุกที่...และที่ฉันไม่สามารถส่งข่าวกลับบ้านได้เลยเพราะถูกจับตามองตลอดเวลาทั้งที่ทำงานและที่ต่างๆ โดยนังเจ๊ยอซูคนนี้!!!

            “เฮ้อ...หนูน้อยผู้น่าสงสาร เธอโง่เองนะที่กลับมาหาฉันที่นี่ ฉันอุตส่าห์ถอดใจไปแล้วว่าคงไม่มีทางเข้าใกล้เธอได้อีกเพราะเธอมีไอ้อธิสเป็นบอร์ดี้การ์ดประจำตัว แต่แล้ววันนี้สวรรค์ก็เข้าข้างฉัน จะได้คิดบัญชีสักที!!”  นังเจ๊ยอซูพูด พร้อมกับเดินมาหาฉันที่นั่งอยู่บนพื้นซึ่งอีกฟากของโต๊ะ

            “ไอ้อธิสมันไปไหนซะแล้วล่ะ ทำไมถึงปล่อยให้เธอมาหาฉันที่นี่ได้...แต่ก็ดี ฉันจะได้เอาคืนกับสิ่งที่ขาดทุนไปให้สาสม!!”  เจ๊ยอซูบีบคางของฉันอย่างแรงก่อนจะทิ้งมันลงในตอนท้ายของประโยค

            “เจ๊...อย่าทำอะไรปลายฝนเลยนะคะ ฉันจะยอมไปขโมยของของบีสท์มาให้อีก ไม่สิ!....ฉันยอมทำทุกอย่างเลย ได้โปรดเถอะ”  ซังมิพูดพร้อมกับคุกเข่าลงข้างๆ ฉัน ส่วนฉันได้แต่กำหมับแน่นมองนังเจ๊ยอซูทั้งน้ำตา...ฉันแค้นที่โดนหลอกและแค้นที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้มากไปกว่าการปล่อยความโกรธไปกับน้ำตา!

            “เธอน่ะ เป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ของฉันเสมอนะซังมิ เพราะงั้นฉันจะไม่ทำอะไรเธอ...แต่คำขอของเธอฉันคงทำให้ไม่ได้...เอาตัวออกไป!!”  ประโยคสุดท้าย เจ๊ยอซูสั่งผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังให้ลากตัวซังมิออกไปนอกห้องประชุม

            “ไม่นะ...ปล่อย!! ปลายฝน!!...ฝน!!!”  เสียงซังมิเงียบไปพร้อมกับประตูห้องประชุมที่ปิดลง ยัยเจ๊ยอซูนั่งยองๆ ลงตรงหน้าฉันแล้วมองฉันด้วยสายตาอาฆาต

            “ฉันจะทำยังไงกับแกดีถึงจะสาสมที่แกทำไว้กับฉัน!!”

            “พี่ครับ พี่จะทำอะไรก็ระวังด้วยนะ ท่านอุนเซต้องการตัวเธอไปเจรจา...”

            “ฉันรู้แล้ว!!!”  นังเจ๊ยอซูตวาดน้องชายตาขวาง มาถึงตอนนี้ฉันรู้สึกว่านังเจ๊คนนี้เหมือนคนเสียสติเข้าไปทุกที

            “ถ้าฉันได้ตบเธอสักทีคงจะสะใจนะ!” 

            เพี๊ยะ!

            มันไม่พูดเปล่าแต่ออกแรงฟาดเข้าที่หน้าของฉัน 1 ฉาด ความรู้สึกเฝือนๆ คาวๆ ที่มุมปากด้านซ้ายทให้ฉันรู้ว่าตัวเองปากแตกเพราะโดนตบไปแล้ว

            “ฮ่าๆๆ เป็นไงล่ะ เธอเจ็บไหมห๊ะ!!! แต่ที่ฉันเจ็บมันมากกว่านี้เยอะ”  นังยอซูพูดพร้อมกับทึ้งผมฉันเล่น เสียงหัวเราะอย่างสะใจของมันก้องกังวานไปทั่วทั้งห้องประชุม

            ฉันทนไม่ไหวแล้ว!!!!

            ฉันปัดมือของนังยอซูออกแล้วขึ้นไปคร่อมตัวมันไว้ก่อนจะลงมือตบมันบ้าง ลองดูสิว่าใครจะมือหนักมากกว่ากัน! +_+!

            เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!

            “อ๊าย!!! นังฝน!! มาจับมันออกไปสิ!! ยืนดูอยู่ได้!!!”

            “ครับ!”

            ฉันตบนังยอซูได้ 2 ครั้ง ก็ถูกลูกน้องของซอลทังจับแยกออกมาแล้วล็อกแขนไว้ทั้ง 2 ข้าง

            “ฮึ! ฤทธิ์เยอะนักใช่ไหม!!!” 

            เพี๊ยะ!

            ฉันโดนตบที่แก้มซ้ายอีกครั้ง ทำให้ความรู้สึกชาๆ เมื่อครู่เริ่มรู้สึกปวดตุบๆ ขึ้นมาแล้ว -_-#

            “ฉัน...ฉันต้องทำให้เธอเจ็บมากๆ จะได้หลาบจำกว่านี้...ฉันจะ...ฉันจะทำยังไงดี!”  นังยอซูเดินพล่านไปมาทั่วห้องพร้อมกับกุมขมับตัวเองไปด้วย ฉันเหลือบไปมองซอลทังนิดหน่อย แต่แว็บแรกที่ฉันหันไปกลับพบว่าเขากำลังมองฉันอยู่ด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความสงสารอย่างเห็นได้ชัด...ใช่! ฉันมองไม่ผิดแน่มันเป็นสายตาแบบนั้นจริงๆ  

            “ฮึๆๆ”  ตอนนั้นเองเสียงหัวเราะในลำคอของนังยอซูก็ดังขึ้นมาอย่างน่าสยดสยอง ทำให้ฉันกับซอลทังละสายตาไปมองต้นเสียง ตอนนี้มันถือที่ทับกระดาษรูปมังกรขนาดเท่าฝ่ามือย่างสามขุมเข้ามาหาฉัน

            “แก!!”  นังยอซูเงื้อมือที่ถือที่ทับกระดาษขึ้นสูง หัวใจฉันหล่นวูบลงไปกองบนพื้นทันทีที่คิดว่าหลังจากนี้สภาพของตัวเองจะเป็นยังไง!

            หมับ!

            ซอลทังจับข้อมือพี่สาวตัวเองเอาไว้ก่อนที่ที่ทับกระดาษลายมังกรจะลงมาฝังที่หัวของฉัน

            “พี่! จะทำอะไร” 

            “ฉันก็จะสั่งสอนมันน่ะสิ!”

            “ผมบอกพี่แล้วไงว่าท่านอุนเซต้องการเธอไปต่อรอง...”

            “แล้วไง!!”

            “ก็ถ้าปลายฝนเกิดเป็นอะไรขึ้นมา การต่อรองก็จะลำบากมากขึ้นน่ะสิ”

            “แล้วไง ฉันไม่สนหรอก! หลีกไป!!”

            “ไม่ครับ ผมจะไม่ยอมให้พี่ทำอย่างนั้นแน่!”

            “อะไร...อะไรของแก!! นี่อย่าบอกนะว่าหลงเสน่ห์แม่นี่เข้าแล้ว!!”

            “...เปล่า!...ผมแค่...แค่พูดให้พี่ได้คิดเท่านั้นเอง ที่ธุรกิจของพี่ยิ่งใหญ่และกว้างขวางได้ขนาดนี้ไม่ใช่เพราะท่านอุนเซหรอกหรอ...ถ้าเกิดพี่ทำอะไรลงไปแล้วไปกระทบกับการต่อรองครั้งนี้ล่ะก็ ท่านอุนเซคงไม่พอใจแน่...และถ้าเป็นอย่างนั้นธุรกิจของพี่ก็จะเดือดร้อน แล้วผมก็ต้องพลอยโดนไล่ออกด้วย ผมไม่ยอมให้อารมณ์ชั่ววูบของพี่มาทำลายอนาคตของเราสองคนหรอกนะ”

            นังยอซูนิ่งไปพักใหญ่เหมือนพยายามคิดตามที่น้องชายพูดและสงบสติอารมณ์ แต่แล้ว!!

            “ย๊ากกก!!!”  นังยอซูแหกปากลั่นพร้อมกับเงื้อที่ทับกระดาษขึ้นอีกครั้ง ฉันพยายามดิ้นสุดแรงเพื่อให้หลุดจากการถูกล็อกแขนเอาไว้ แต่มันไม่สำเร็จ...ฉันคงต้องถูกทุบหัวจนตายจริงๆ ใช่ไหม? ฉันไม่ต้องการตายอย่างเจ็บปวดทรมานแบบนั้นนะ!! >_<!

            ฟึบ!

            อยู่ๆ ร่างของฉันก็ถูกดึงออกจากวิถีของที่ทับกระดาษ แล้วมาชนกับอะไรนุ่มๆ แทน...ฉันลืมตาที่เผลอหลับไปตอนที่กำลังจะโดนทุบหัวขึ้นมองสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ก็เห็นเพียงแผงอกกว้างของใครบางคนและอ้อมแขนที่โอบตัวฉันไว้แน่น O_O!

 

            [Gikwang : Talk]

            ผมนิ่งมองปลายฝนวิ่งไปที่ลิฟต์อย่างงงๆ เมื่อกี๊ผมเพิ่งจะรับปากเธอไปว่าจะไม่บอกใครเรื่องที่เพื่อนของเธอเป็นคนมาขโมยของที่ห้องของผม สรุปผมคิดถูกหรือผิดนะ...แล้วเธอจะจัดการยังไง...ผมปล่อยเธอไปทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าเธอมีแผนยังไง แต่ถึงเธอจะใช้วิธีไหนเธอก็มีผู้ช่วยเก่งๆ อย่างคุณอธิสอยู่แล้วแค่นี้ผมก็เบาใจไปได้เปราะหนึ่ง

            ผมยืนทำใจอยู่หน้าห้องสักพัก ก่อนจะผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องของลัสตี้ ผมเป็นคนโกหกไม่เก่งซะด้วยสิ ถ้าเกิดผมทำตัวมีพิรุธแล้วพวกนั้นเกิดสงสัยขึ้นมา ผมคงปิดเรื่องที่ปลายฝนขอร้องไม่มิดแน่

            “อ้าว ไหนว่าจะไปเอาน้ำที่ห้องไง ทำไมกลับมาตัวเปล่าล่ะ”  ดูจุนทักทันทีที่ผมเปิดประตูเข้าไป

            เออว่ะ...ลืมไปเลยว่าออกไปเอาน้ำมาเพิ่ม =_=

            “อ้าว...ฉันเข้าห้องน้ำแล้วลืมไปเลยว่าไปทำอะไร ฮ่าๆๆ”  ผมหัวเราะกลบเกลื่อน

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            เสียงเคาะประตูดังต่อกัน 3 ครั้ง ผมซึ่งอยู่ใกล้กับประตูมากที่สุดเลยได้เป็นคนเปิด พอผมเห็นคนที่อยู่อีกฝั่งของบานประตูเท่านั้นแหละ ผมถึงกับช็อก!

            คุณอธิส!! เขาอยู่ที่นี่ได้ไง ตอนนี้เขาควรไปเคลียร์เรื่องขโมยกับปลายฝนไม่ใช่หรอ!

            “มีอะไรหรอครับ -?-”  คุณอธิสมองผมงงๆ

            “คุณไม่ได้ไปกับปลายฝนหรอครับ”

            “ไปไหน?”

            “ก็ไป...”

            “มารับปลายฝนหรอคะ เขาลงไปรอคุณข้างล่างได้สักพักแล้วค่ะ ไม่ได้เจอกันหรอ”  เภตราออกมารับแขกอีกคน

            “ว่าไงครับ ตกลงคุณปลายฝนไปไหน”  คุณอธิสถามย้ำกับผมอีกครั้ง เพราะเมื่อกี๊เภตราพูดแทรกขึ้นมาจนผมพูดไม่จบประโยค

            “ไป...บริษัท เธอบอกว่าอยากจะเคลียร์เรื่องขโมยเงียบๆ เพราะว่า...”  ผมบอก

            “เพราะอะไรวะ”  เสียงของจุนฮยองดังเข้ามาอีกคน สรุปคือตอนนี้ทุกคนกำลังล้อมวงจ้องผมอยู่...

            “เพื่อนของปลายฝนถูกเจ้านายเก่าสั่งมาขโมยของของพวกเรา”  ผมกลั้นใจบอกออกไป ขอโทษนะปลายฝน ฉันจำเป็นต้องบอกเพื่อความปลอดภัยของเธอเอง

            “อะไรนะ!”  คุณอธิสร้องเสียงหลงเมื่อผมเล่าจบ  “แย่แล้ว! ผมยังไม่ได้บอกคุณหนูเลยว่าที่นั่นมีคนของอุนเซคุมอยู่ ไม่ได้การล่ะ..”

            พูดจบคุณอธิสก็รีบวิ่งไปทันที ผมเลยอาสาจะไปช่วยอีกแรงเพราะมันก็เป็นความผิดของผมเหมือนกันที่ซื่อสัตย์เกินไปจนต้องทำให้ปลายฝนตกอยู่ในอันตราย ที่จริงผมไม่น่าปล่อยเธอไปคนเดียวตั้งแต่แรก อย่างน้อยๆ ผมก็น่าจะตามไปดูเธอหน่อยว่าเธอไปที่นั่นกับใคร

            เพราะอีกฝ่ายเป็นมาเฟีย คุณอธิสจึงให้พวกผมจอดรถอยู่หน้าบริษัท คอยช่วยอยู่ห่างๆ เพราะพวกผมจะเป็นอันตรายไปด้วยถ้าเกิดมีการยิงกันขึ้นมา แต่มาช่วยแบบหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้รู้สึกไร้ประโยชน์ยังไงไม่รู้!

            “แกจะไปไหน”  ฮยอนซึงทักเมื่อผมเปิดประตูรถออกไป

            “จะเข้าไปดูในนั้นหน่อยว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง” 

            “ไม่ได้นะกีกวัง ในนั้นมันอันตราย”  ณัชซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ฮยอนซึงค้านขึ้นมา

            “นั่นสิ คอยอยู่ตรงนี้ดีกว่านะ อย่าใจร้อนเลย”  ฮยอนซึงคล้อยตามความเห็นของณัช

            “ไม่ ฉันรอไม่ไหว ฉันเป็นห่วง!...เอ่อ ฉันรู้สึกผิดมากที่ปล่อยปลายฝนมาที่แบบนี้คนเดียว ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง...”

            ผมพูดกับฮยอนซึงและณัชก่อนจะวิ่งเข้าไปในบริษัท ถึงผมจะไม่รู้ว่าควรวิ่งไปที่ไหนต่อ แต่ผมก็ขอแค่ได้เข้ามามีส่วนช่วยปลายฝนบ้าง...ผมยอมรับว่าผมเป็นห่วงเธอมากจริงๆ อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผิดก็ได้ที่ทำให้ผมห่วงเธอมากขนาดนี้

            ผมเพิ่งรู้ว่าปลายฝนมีอิทธิพลกับผมก็ตอนที่เห็นคุณอธิสอยู่หน้าประตูแทนที่จะอยู่กับปลายฝนนี่แหละ ผมรู้สึกเหมือนโลกมันลอยคว้างอย่างไร้จุดศูนย์ถ่วงเมื่อรู้ว่าเธอต้องไปเผชิญอันตรายคนเดียวด้วยการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผม

            ฉันขอโทษปลายฝน...

            ผมพูดประโยคเดิมซ้ำๆ ในใจขณะที่ขาก็เดินเข้ามาในบริษัทเรื่อยๆ แม้จะไร้จุดหมายแต่หัวใจของผมมันสั่งให้เดินต่อไป...ห้ามหยุด!!!

 

 

 

 

********************************

Ch.10 ตามมาแบบดึกๆ (02.03 น.)

ยังไงก็ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ

กำลังเข้าสู่ช่วงท้ายๆ ของเรื่องแล้ว

อยู่ด้วยกันจนจบโปรเจ็กเลยนะคะรีดเดอร์ทุกคน ^O^

********************************

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา