Redirect คืออะไร แก้ปัญหาเว็บไซต์เกิด 404 ที่คนทำ SEO ต้องรู้

GUEST1649747579

สุดยอดขีดเีขียน (541)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:970
เมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2567 20.43 น.

redirect คือ

 

ปัญหาที่นักทำ SEO ทุกคนต้องเจอในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเว็บไซต์ หรือย้ายโดเมนแต่ละครั้ง อาจส่งผลทำให้เกิดปัญหา Error 404 ขึ้นได้ ซึ่งการเกิดปัญหาเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่ออันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาบน Google ได้ โดยวิธีแก้ปัญหาเหล่านี้อยู่ที่ การทำ Redirect นั่นเอง แล้ว Redirect คืออะไร? และทำไมมันถึงมีความสำคัญต่อ SEO มากขนาดนี้? มาหาคำตอบได้ในบทความนี้!

  

Redirect คืออะไร สำคัญต่อ SEO อย่างไร

Redirect คือกระบวนการที่เว็บไซต์หรือเซิร์ฟเวอร์นำผู้เข้าชมที่พยายามเข้าถึง URL หนึ่งไปยัง URL อื่นแทน โดยไม่ต้องมีการกระทำใดๆ เพิ่มเติมจากผู้ใช้งาน ซึ่งการ Redirect มีประโยชน์ในกรณีที่ต้องการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์, ย้ายหน้าเว็บ, รวมเนื้อหา หรือแก้ไขปัญหา URL ที่ไม่สามารถใช้งานได้

การทำ Redirect เพื่อเปลี่ยนเส้นทางของ URL ปลายทาง สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด 404 Not Found ซึ่งส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) และ SEO อีกทั้งยังช่วยในเรื่องความน่าเชื่อถือของลิงก์ (Link Equity) และอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาได้อีกด้วย โดยเฉพาะในยุคที่ Search Engine คือ เครื่องมือหลักในการเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานออนไลน์ การวางโครงสร้างลิงก์ให้สอดคล้องกับหลัก SEO จึงมีบทบาทสำคัญในการรักษาความน่าเชื่อถือและการมองเห็นของเว็บไซต์ในสายตา Search Engine

 

Redirect มีกี่รูปแบบ

redirect 301 seo

การทำ Redirect มีหลายรูปแบบ โดยแต่ละแบบมีวัตถุประสงค์และผลกระทบที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) และการจัดอันดับในผลการค้นหา (SEO) ซึ่ง SEO คือ กระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับการทำงานของ Search Engine เพื่อเพิ่มโอกาสในการแสดงผล และหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของ SEO คือการทำ On page SEO ที่รวมถึงการจัดการ Redirect อย่างถูกต้อง เพื่อไม่ให้สูญเสียคะแนนจากลิงก์เดิมและรักษาคุณภาพของหน้าเว็บ

301 Redirect

301 redirect คือการเปลี่ยนเส้นทางแบบถาวร แสดงให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าเนื้อหาได้ย้ายไปอยู่ที่ใหม่แล้ว และจะโอนค่า SEO จาก URL เก่าไปยัง URL ใหม่ทั้งหมด การทำ 301 Redirect ใช้เมื่อมีการเปลี่ยนโดเมนหรือโครงสร้างเว็บไซต์, แก้ไข URL ที่ผิดพลาด, รวมหลายหน้าให้เป็นหน้าเดียว ข้อดีของ redirect 301 คือช่วยรักษาอันดับในหน้าผลการค้นหา และป้องกันปัญหาหน้าเว็บซ้ำซ้อน

302 Redirect

302 redirect คือเป็นการเปลี่ยนเส้นทางแบบชั่วคราว แสดงให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว และอาจกลับมาใช้ URL เดิมได้ การทำ 302 Redirect ใช้เมื่อ URL เดิมยังคงใช้งานได้ในอนาคต, ใช้ในกรณีทดสอบหน้าเว็บใหม่, เว็บไซต์กำลังมีการปรับปรุง หรือมีปัญหาทางเทคนิคชั่วคราว redirect 302 เหมาะสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ถาวรเท่านั้น เพราะอาจทำให้อันดับ SEO ลดลง เนื่องจาก Link Equity อาจไม่ถูกส่งต่อทั้งหมด (Search Engines อาจไม่ส่งค่าความน่าเชื่อถือไปยัง URL ใหม่)

307 Redirect

ใช้ในกรณีเดียวกับ 302 Redirect แต่แตกต่างกันตรงที่ 307 จะเปลี่ยนเส้นทางเฉพาะ HTTP เท่านั้น จึงเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่รองรับมาตรฐาน HTTP/1.1 และใช้ในระบบที่ไม่ต้องการให้ข้อมูลการส่งคำขอ (Request Method) เปลี่ยนระหว่าง Redirect เช่น การส่งฟอร์ม POST เป็นต้น การทำ 307 Redirect ใช้ได้ในกรณีที่มีความต้องการเปลี่ยนเส้นทางชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากผลต่อ SEO คล้ายกับ 302 Redirect (ไม่ส่งต่อ Link Equity เต็มจำนวน)

Meta Refresh

เป็นการเปลี่ยนเส้นทางโดยใช้โค้ด HTML เพื่อกำหนดเวลาที่หน้าเว็บจะโหลดใหม่ไปยัง URL อื่น นิยมใช้เพื่อเปลี่ยนเส้นทางแบบล่าช้า (Delay) พร้อมข้อความแจ้งผู้ใช้ เช่น “กำลังนำคุณไปยังหน้าใหม่ใน 5 วินาที”

มักใช้ในหน้าเว็บที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโค้ดฝั่งเซิร์ฟเวอร์ได้ ไม่แนะนำให้ทำ Meta Refresh ในเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO เพราะ Search Engines อาจมองว่าเป็น Spam หรือไม่มอบ Link Equity ให้ และอาจสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไม่ดี หาก Redirect ใช้เวลานานเกินไป หากต้องการทำอันดับ SEO ให้หน้านี้ แนะนำให้ใช้ Redirect 301 หรือ Redirect 302 แทนจะดีกว่า

 

301 Redirect และ 302 Redirect ต่างกันอย่างไร?

ทั้ง 301 Redirect และ 302 Redirect เป็นเทคนิคที่ใช้ในการเปลี่ยนเส้นทางผู้เข้าชมจาก URL หนึ่งไปยังอีก URL หนึ่ง แต่ทั้งสองมีจุดประสงค์และผลกระทบที่แตกต่างกัน แบ่งออกเป็นดังนี้

 

 

301 Redirect

302 Redirect

ความหมายและจุดประสงค์

  • หมายถึง URL เดิมถูกย้ายไปยัง URL ใหม่อย่างถาวร 
  • มักใช้เมื่อมั่นใจว่า URL เก่าจะไม่ถูกใช้งานอีก
  • หมายถึง URL เดิมยังไม่ได้ถูกย้ายถาวร และอาจกลับมาใช้งานได้ในอนาคต 
  • มักใช้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง URL แบบชั่วคราว เช่น ระหว่างการปรับปรุงเว็บไซต์

ส่งผลต่อ SEO

  • ส่งต่อ Link Equity (หรือค่าความน่าเชื่อถือของลิงก์) ไปยัง URL ใหม่เกือบทั้งหมด (ประมาณ 90-99%)
  • ช่วยรักษาอันดับในหน้าผลการค้นหา (SERP) ของ URL เดิม
  • เหมาะสำหรับการเปลี่ยนเส้นทางที่ต้องการผลกระทบเชิงบวกต่อ SEO
  • ไม่ส่งต่อ Link Equity เต็มที่ เนื่องจาก Search Engine จะถือว่า URL เก่ายังคงใช้งานอยู่
  • อาจส่งผลเสียต่ออันดับ SEO หากใช้อย่างไม่เหมาะสม
  • เหมาะสำหรับการเปลี่ยนเส้นทางชั่วคราว โดยไม่ต้องการปรับโครงสร้าง SEO

การแจ้งสถานะ (HTTP Status Code)

  • ส่งกลับสถานะ “301 Moved Permanently” ไปยังเบราว์เซอร์และ Search Engine
  • ส่งกลับสถานะ “302 Found” หรือ “302 Moved Temporarily”

ตัวอย่างการใช้งาน

  • ย้ายเว็บไซต์ไปยังโดเมนใหม่ (เช่น เปลี่ยนจาก www.oldsite.com ไป www.newsite.com)
  • การเปลี่ยนโครงสร้าง URL ถาวร (เช่น เปลี่ยน /old-page เป็น /new-page)
  • รวมหน้าเว็บที่ซ้ำซ้อนเพื่อป้องกันปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อน (Duplicate Content)
  • แสดงหน้าชั่วคราวระหว่างการอัปเดตหรือแก้ไขหน้าเว็บ
  • ใช้สำหรับโปรโมชั่นหรือแคมเปญชั่วคราวที่ต้องเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยังหน้าเฉพาะ


 

ถ้าลบหน้าเก่า แต่ไม่ทำ Redirect จะส่งผลกระทบอะไรบ้าง?

การลบหน้าเว็บโดยไม่ทำ Redirect เปรียบเสมือนการปิดป้ายบอกทางบนถนนโดยไม่มีป้ายใหม่มาแทนที่ ผู้ที่ตามป้ายเก่าจะหลงทางและไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ใช้งานและ SEO ของเว็บไซต์ ดังนี้

  • หน้า Error 404: เมื่อผู้ใช้คลิกลิงก์เก่าหรือเครื่องมือค้นหาเข้ามาที่หน้าที่ถูกลบ จะพบกับหน้า Error 404 (Page Not Found) ซึ่งทำให้ผู้ใช้รู้สึกผิดหวังและอาจไม่กลับมาใช้เว็บไซต์อีก
  • ประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) แย่ลง : การเจอหน้า Error 404 บ่อยครั้งทำให้ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์แย่ลง และอาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์
  • อันดับ SEO ตกลง: เครื่องมือค้นหาจะพบว่ามีลิงก์เสียจำนวนมากบนเว็บไซต์ ซึ่งส่งสัญญาณว่าเว็บไซต์ไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ทำให้อันดับในการค้นหาลดลง
  • สูญเสีย Traffic: ผู้ที่เคยเข้ามาที่หน้าเว็บนั้นจะไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้อีกต่อไป ทำให้เสียปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ได้
  • สูญเสีย Backlink: หากมีเว็บไซต์อื่นลิงก์มาที่หน้าที่ถูกลบ Backlink เหล่านั้นจะกลายเป็น Broken Link ซึ่งส่งผลเสียต่อ SEO ของทั้งเว็บไซต์เราและเว็บไซต์ที่ลิงก์มา
  • ส่งผลต่อการทำงานของ Search Engine Crawlers: Crawlers จะเสียเวลาในการพยายามเข้าถึงหน้าเก่า ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพในการจัดทำดัชนี (Indexing) หน้าอื่นๆ ภายในเว็บไซต์ได้

 

การทำ Redirect กุญแจสำคัญที่ส่งผลต่อ SEO

การทำ Redirect เป็นกระบวนการเปลี่ยนเส้นทาง URL ที่ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งานและส่งผลดีต่อ SEO หากใช้อย่างเหมาะสม เช่น รักษาอันดับในหน้าผลลัพธ์การค้นหา (SERP) และลดการสูญเสียทราฟฟิก อย่างไรก็ตาม การทำ Redirect ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เว็บไซต์สูญเสียอันดับและความน่าเชื่อถือได้

โดยประเภทของ Redirect สามารถแบ่งออกเป็น

  • Redirect 301: เหมาะสำหรับการเปลี่ยนแปลงถาวร ช่วยรักษา SEO ได้ดีที่สุด
  • Redirect 302 และ Redirect 307: เหมาะสำหรับการเปลี่ยนแปลงชั่วคราว ควรใช้ 301 หากเป็นการเปลี่ยนแปลงถาวร
  • Meta Refresh: ไม่แนะนำให้ใช้เนื่องจากมีข้อเสียหลายประการ

ดังนั้น เลือกใช้ Redirect ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของเว็บไซต์ เพื่อรักษาประสิทธิภาพการใช้งานและผลลัพธ์ SEO ในระยะยาวนั่นเอง แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความชำนาญด้านเทคนิค การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทรับทำ SEO หรือเลือกเรียนรู้เพิ่มเติมผ่านคอร์สสอน SEO ก็เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยให้การจัดการ Redirect เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรองรับการเติบโตของเว็บไซต์ในอนาคต

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย GUEST1649747579 เมื่อ10 เมษายน พ.ศ. 2568 15.52 น.

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา