รวมเรื่องสั้น Amore Perso ความรักที่หายไป
เขียนโดย zusuran
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 10.41 น.
แก้ไขเมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 17.35 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
4) พู่กัน (เฮย์ Xเคน)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
เธอ ร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์และหาทางกลับบ้านไม่เจอ ต้องการปีกสักคู่ที่พอจะพาเธอนั้นทะยานกลับขึ้นไปสู่ฟากฟ้าอันเป็นนิรันดร์
ส่วนตัวผมนั้นเป็นเพียงมนุษย์ที่ไร้พลังและไม่เอาไหน สิ่งที่พอทำได้ก็คือจับพู่กันจุ่มสีและวาดปีกขึ้นมาสักคู่บนกระดาษแต่งแต้มสีสันที่เหลืออยู่เพียงสีเดียว นั่นก็คือสีดำ มันคงไม่เหมาะกับนางฟ้าสีขาวเช่นเธอ ทว่า เธอกลับบอกผมว่าเธอชอบและต้องการปีกสีดำคู่นั้น
ผมวาดปีกสีดำให้นางฟ้าคู่หนึ่ง จินตนาการของผมทำให้ปีกสีดำที่อยู่บนแผ่นกระดาษกลายเป็นปีกขนาดใหญ่และติดบนหลังของนางฟ้า เธอจากผมไปโดยทิ้งไว้เพียงขนสีขาวจากปีกสีขาวของเธอที่เหลืออยู่เพียงเส้นเดียว และยังบอกกับผมอีกว่าเมื่อถึงเวลาเธอจะเป็นคนลงมารับผมด้วยปีกสีดำคู่นั้น
ผมดีใจแต่ก็เศร้าใจเหลือเกินที่รับรู้ว่าชีวิตของตัวเองแสนสั้นและเปราะบาง เพียงแค่รอยถลอกก็อาจจะทำให้ผมได้ลาโลกและเดินทางไกลสู่วัตสงสาร นางฟ้าได้บอกว่าผมยังมีเวลาอีกเยอะสำหรับโลกใบนี้ ทว่าคนรอบกายผมนั้นได้เดินทางไกลไปพร้อมกับใครกันล่ะ ผมอยากถามนางฟ้า อยากพบกับเธอทั้งที่ยังเดินดิน หากว่าปีกสีดำคู่นั้นนำพาเธอกลับมาหาผมอีกครั้งก็คงจะดี…………
ชื่อของผมคือเฮย์ อายุสิบเจ็ดอยู่มัธยมปลายปีสองของโรงเรียนแห่งหนึ่งในเกาะชู บ้านของผมทำอาชีพเกษตรกรรมซึ่งมีน้อยมากที่จะหาคนทำเกษตรบนเกาะแห่งนี้ ทั้งครอบครัวมีแค่ผมเท่านั้นที่ยังเรียนหนังสือ ทุกคนในครอบครัวหวังพึ่งผมมากเพราะผมเป็นลูกหลานคนเดียวที่ยังเหลืออยู่บนโลก
ใช่ ผมพูดไม่ผิดหรอก เพราะพี่น้องของผมต่างก็จากโลกใบนี้ไปหมดแล้ว ที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้ครอบครัวของผมเหลือแค่พ่อและคุณย่า ถึงพวกเราจะมีที่ดินมหาศาล แต่ก็เทียบไม่ได้กับสิ่งที่ต้องสูญเสียไป เราสูญเสียคนในครอบครัวไปทีละคนอย่างไม่ทราบสาเหตุ พวกเขาตายทั้งที่ร่างกายยังแข็งแรง ทั้งพี่สาวฝาแฝดที่ตอนนี้น่าจะอายุยี่สิบห้า แล้วยังพี่ชายอีกสามคนที่ตอนนี้คงจะเข้ามัธยมปลายพร้อมกับผม และแม่ที่เป็นเสากลางยึดเหนี่ยวจิตใจของพวกเราทุกคน ผมสูญเสียพวกเขาไปโดยไม่รู้ว่าเพราะอะไร พวกเขาแข็งแรง เก่งและฉลาดไม่เหมือนกับผมที่ขี้โรคไม่เอาไหน ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง สิ่งที่พอจะทำได้ก็มีเพียงวาดรูปเท่านั้น มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมไม่ต้องคิดถึงเรื่องเจ็บปวดในอดีตได้ ผมไม่ชอบใจที่พ่อเอาแต่ทำงาน และไม่ชอบใจที่คุณย่าทำเหมือนทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มันเหมือนกับว่าตัวผมจมปรักอยู่ในโลกที่มืดมิดเพียงลำพัง
ผมต้องทำตัวให้เป็นปกติเพื่อที่คนรอบข้างจะได้ไม่ต้องมาเป็นห่วง อย่างวันนี้ผมก็อยากจะรู้นักว่าทุกคนจะทำหน้ายังไงเมื่อเจอผม พวกเขาจะยังทักทายผมอีกไหม ยังแกล้งผมเล่นอยู่อีกรึเปล่า
“อรุณสวัสดิ์ เฮย์”
คนแรกที่เข้ามาทักในวันนี้คือเคนเพื่อนร่วมห้องของผม เขาเป็นคนดีมาก…อย่างน้อยก็ดีกว่าพวกที่ชอบแกล้งผมล่ะนะ เราอยู่ชมรมศิลปะกันทั้งคู่และอีกอย่างบ้านของเคนก็อยู่ใกล้กับบ้านของผม เราก็เลยรู้จักกันมากกว่าคนอื่นๆ
“อรุณสวัสดิ์ เคน เมื่อวานนี้ขอบใจนะที่ให้ยืมพู่กัน”
“ไม่เป็นไร ว่าแต่นายวาดรูปอะไรมาเหรอ กระดาษม้วนซะใหญ่เลยนี่”
เคนพูดพร้อมกับชี้มาที่ม้วนกระดาษที่ผมแบกไว้บนบ่า มันคือภาพที่ผมต้องยืมพู่กันของเขาไปเมื่อวาน แถมยังใช้เวลาเกือบทั้งคืนในการวาดรูปนี้ขึ้นมาด้วย พอมาถึงห้องเรียนเคนก็คว้ากระดาษไปคลี่บนโต๊ะเพื่อจะดูว่าเป็นรูปอะไร ตอนนี้ในห้องไม่มีใครอยู่เพราะยังเช้ามาก เราก็เลยได้ดูภาพกันสองคน
“สุดยอดเลย ฝีมือพัฒนาขึ้นอีกแล้ว นี่ขนาดไม่มีใครสอนนะเนี่ย”
ชมหรือด่านะ แต่ก็เอาเถอะ ที่เคนพูดมาก็จริงทุกอย่าง ผมชอบวาดรูปแต่ไม่มีใครสอนให้ผมวาด ผมพยายามด้วยตัวเองมาตั้งแต่สมัยที่อยู่ชั้นประถมพอขึ้นมัธยมต้นก็ได้วาดภาพเข้าประกวดเรื่อยมา ผมมองเห็นจุดบกพร่องของภาพทุกภาพที่คนอื่นเป็นคนวาด แต่ว่าผมกลับมองไม่เห็นจุดบกพร่องของภาพที่ผมวาดเลยสักครั้ง เพราะอย่างนี้ผมถึงได้นึกขอบคุณเคนที่กล้าวิจารณ์ภาพที่ผมวาดและคอยแนะนำทำให้ผมอยากทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม
“ว่าแต่นายวาดภาพนางฟ้าได้ในเวลาแค่คืนเดียวนี่ ถือว่าเยี่ยมเลย ปีนี้จะประกวดไหมล่ะ”
“ไม่รู้สิ”
“แต่ว่านะเฮย์ ทำไมนางฟ้าของนายถึงได้มีปีกสีดำล่ะ”
ที่เคนพูดมาก็ถูก เพราะนางฟ้าที่ผมวาดเป็นสีขาวกระทั่งเส้นผมก็ยังเป็นสีเงินกระจ่าง ทุกอย่างล้วนมาจากจินตนาการที่ทุกคนต่างก็นึกออกถึงตัวตนของเทพธิดาบนสวรรค์ แต่ว่าปีกของนางฟ้าที่ผมวาดนั้นกลับไม่ใช่สีขาว….แต่เป็นสีดำ
“อา…อุบัติเหตุนิดหน่อย”
ที่จริงนั่นก็ไม่ใช่ความตั้งใจของผมหรอก แต่เพราะความสะเพร่าของผมที่นานๆจะเกิดขึ้นทีดันทำให้ผมคว้าพู่กันที่แต้มสีดำเอาไว้มาระบายเป็นปีกของนางฟ้าซะได้ กว่าจะรู้ตัวก็ระบายแถมยังตบแต่งภาพซะเสร็จสรรพแล้ว ก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
“แปลกดีนะ นางฟ้าที่มีปีกสีดำแบบนี้ ถ้าได้เจอก็คงจะดี”
นี่ล่ะนิสัยของเคน เขาไม่ค่อยจะเคร่งครัดกับเรื่องอะไรมากมายและมักจะทำตัวตามสบายไหลไปกับน้ำแก้ส่วนเสียให้กลายเป็นส่วนดีอยู่เรื่อยๆ เพราะแบบนี้แหละผมถึงได้ชอบเขา
แต่ว่า…ถ้าเป็นนางฟ้าที่ไม่มีปีกล่ะ
“ยารุมิ เฮย์สินะ”
เสียงแบบนี้ไม่คุ้นหูเอาซะเลย ผมหันกลับไปมองที่มาของเสียงซึ่งก็คือผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังผม เธอสูงเกือบเท่ากันกับผม มีเส้นผมสีดำยาวถึงเอว ผิวขาวเหมือนเจ้าหญิงหิมะ ตาของเธอ…ผมตาฝาดไปรึเปล่านะ ตาของเธอเป็นสีเงิน!
“คุณคือใครครับ”
“ฉันชื่อไอริส เป็นนางฟ้า”
บอกผมหน่อยว่านี่คือละครเร่ หรือว่าผมกำลังถูกอำเล่น ชุดที่เธอคนนี้สวมอยู่ก็ยังดูลุ่มล่ามคล้ายพวกคอสเพลย์ที่วัยรุ่นในเมืองชอบแต่งกันในวันหยุดซะมากกว่า นางฟ้าที่ไหนจะมีเส้นผมสีดำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าออกแนวแฟชั่นคอสเพลย์แถมยังมายืนอยู่บนโลกมนุษย์พูดปาวๆว่าตัวเองเป็นใครซะอีก ทางที่ดีอยู่ห่างๆเอาไว้ดีที่สุด
“ขอโทษนะครับ คือผมกำลังรีบ”
“ฉันทำปีกหาย รบกวนช่วยวาดปีกให้ฉันสักคู่ได้ไหม”
กึก!
ถ้าผมไม่หยุดเดินซะก่อนมีหวังได้ล้มหน้าทิ่มคอนกรีตแน่ๆ ผู้หญิงคนนี้ชักจะบ้าจริงๆแล้วล่ะสิ
“เธอคิดว่าฉันบ้าเหรอ”
อ่านใจผมเหรอ คงไม่มั้ง น่าจะบังเอิญหรือไม่ก็อ่านเอาจากสีหน้าท่าทางผมซะมากกว่า หรือไม่ก็คงจะรู้ตัวเองดี
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แล้วฉันก็ไม่ได้อ่านจากสีหน้าท่าทางของเธอด้วย ที่สำคัญ…ฉันไม่ได้บ้า!”
“ที่นี่เป็นเกาะมีแต่ทะเล ถ้าคุณจะบอกว่าเป็นนางเงือกก็ยังดูน่าเชื่อกว่าอีก”
“เจ้าเด็กน้อยเอ๊ย”
แล้วผู้หญิงที่บอกว่าตัวเองเป็นนางฟ้าก็หายไปเหลือแค่ละอองสีขาว
“เฮย์…พูดกับใครอยู่น่ะ”
“เฮือก! เคน”
“เป็นอะไร หน้าซีดๆ”
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แล้วนี่นายจะไปไหน”
“ฉันจะข้ามไปที่เกาะหลัก ไปซื้อของหน่อยน่ะ ไปด้วยกันไหม”
“เอ๊ะ?”
“เอ่อ…จริงๆแล้ว อยากมาชวนนายไปด้วยกันน่ะ”
ผมมองเคนทำท่าทางเก้ๆกังๆไม่เป็นตัวของตัวเองเลย เขาเขินอะไร หรือว่าเขากำลังจะนัดเดตสาวก็เลยจะไปหาซื้อเสื้อผ้าใหม่กันนะ
ช่างเถอะ ยังไงก็ไม่เกี่ยวกับผมอยู่แล้ว
“เอาสิ ฉันเองก็อยากไปซื้อกระดาษกับน้ำหมึกอยู่เหมือนกัน”
จู่ๆผมก็นึกถึงนางฟ้าตกสวรรค์ขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เจ้าเด็กคนนั้น ชอบนาย”
“เฮือก!”
เสียงไอริสดังเข้ามาในโสตประสาทของผมจนผมชะงักเกือบหน้าทิ่ม
“เป็นอะไรไปเหรอ เฮย์”
“ปะ เปล่า ไม่มีอะไร”
“ดูท่าทางนายเหนื่อยๆนะ”
เคนใส่ใจผมเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าตอนนี้ทำไมผมรู้สึกประหม่าชอบกล
หมับ!
“จับมือฉันไว้ เดี๋ยวหลงทางเอา”
“ผู้ชายสองคนเดินจูงมือกัน ขนลุกว่ะ”
“ทำไม ตอนเด็กฉันกับนายก็จูงมือกันเดินไปทั่วเกาะ ไม่เห็นแปลกตรงไหน”
“มันแปลกที่ตอนนี้เราโตๆกันแล้วน่ะสิ”
“…….”
“อ่า….ไม่พูดแล้ว”
ผมเดินเข้าไปกอดคอเคนแทนการจับมือกันเดิน แบบนี้น่าจะปลอบใจคนตรงหน้าได้ ถึงผมจะปฏิเสธเคนแต่ผมก็ไม่อยากทำร้ายให้เขาเสียหน้าหรอกนะ
“แบบนี้โอเคกว่าไหม”
“ก็ดี”
เคนยิ้มออกมาและกอดเอวผมกลับ แถมดึงให้เขาไปใกล้กว่าเดิมด้วย
ไอ้นี่ แทนที่จะกอดคอกัน มากอดเอวรู้สึกจักจี้ชะมัด
ไอรีสไม่ได้ตามผมมาจากเกาะชู เหมือนเธอจะออกจากเกาะนั้นไม่ได้จริงๆด้วย ถึงจะไม่รู้เรื่องอะไรแต่ผมจะวาดปีกให้เธอก็แล้วกัน
ผมซื้อพู่กันกับกระดาษแล้วก็สีในร้านเครื่องเขียน แต่ผมยังไม่เห็นว่าเคนจะซื้ออะไรเลยนอกจากเดินไปกับผม
“ว่าแต่นายจะซื้ออะไรบ้าง”
“เดินดูก่อนถ้าถูกใจจะซื้อ”
“เดี๋ยวก็ไม่ทันเรือขากลับหรอก”
“ช่างเถอะ”
……
และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เราตกเรือเที่ยวสุดท้ายที่ออกจากฝั่งก่อนที่เราจะมาเพียงไม่ถึงห้านาที
“เอาไงล่ะทีนี้”
ผมมองเรือที่แล่นออกจากฝั่งไปไกลหลายสิบเมตรพร้อมๆกับถามเคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
“หาที่พักกันเถอะ”
แล้วเราก็ต้องพักโรงแรมที่ราคาถูกที่สุด ห้องเตียงคู่พอรับได้ แต่ถึงจะมีที่นอนเราก็ยังนอนไม่หลับกันอยู่ดีนั่นแหละ
“เคน”
“หืม”
“นายตั้งใจใช่ไหม”
“อะไร”
“ที่เราตกเรือ”
“………….”
“ไม่พูดแสดงว่าจริงสินะ”
“ถ้าใช่……..แล้วจะทำไม”
ก็ไม่ทำไมหรอก แต่ผมนอนไม่หลับเพราะมันแปลกที่น่ะสิ ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกก็เถอะ
“ช่างเถอะ”
ผมพยายามข่มตาให้หลับ นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มขนาดไหนผมก็ยังสั่นเหมือนคนจับไข้
พรึ่บ!
ผมรู้สึกถึงเตียงด้านหลังยุบตัวก่อนที่จะมีผ้าห่มอีกผืนเข้ามาคลุมตัวผมอีกชั้นพร้อมกับวงแขนของคนที่ล้มตัวลงมานอนซ้อนทับข้างหลัง
“ดีขึ้นไหม”
เคนกระซิบถามผมเบาๆ ทำให้ผมพลิกตัวหันกลับไปเผชิญหน้า ใบหน้าของเราห่างกันแค่คืบเพราะเคนเข้ามานอนตะแคงบนเตียงแคบๆของผม
“อืม…”
ผมตอบสั้นๆและหลับตาลง รู้สึกเหมือนแรงกอดที่กระชับแน่นกว่าเดิมจนใบหน้าผมซบกับอกของคนตรงหน้า
ถึงแม้ว่าเราจะนอนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล แต่ตอนนี้มันกลับทำให้ผมรู้สึกต่างออกไป มันทำให้ผมนอนไม่หลับหนักเข้าไปอีก
“นอนไม่หลับเหรอ”
“แค่รู้สึกแปลกๆน่ะ”
“กอดฉันสิ”
“หา?”
“กอดฉัน เฮย์”
ผมสอดมือเข้าไปกอดเคนเอาไว้ และมันก็ทำให้เราชิดกันมากกว่าเดิมจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย ผมรู้สึกร้อนวูบวาบแปลกๆ ถามร่างกายของผมก็เต้นเร่าๆเหมือนถูกกระตุ้น
“รู้สึกเป็นไง”
“ปะ แปลกๆ”
“ฉันก็เหมือนกัน”
เคนพูดจบก็คลายอ้อมกอดและดันตัวผมออกเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาเกลี่ยแก้มผมเล่น
การกระทำทั้งหมดดึงดูดเราเข้าหากัน รู้ตัวอีกทีเราก็จูบกันไปแล้ว
เราแลกน้ำลายกันไม่รู้เบื่อ หัวใจผมเต้นแรง ลมหายใจติดขัด แต่ผมชอบความรู้สึกนี้จริงๆ
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าอีกวันและเราก็เดินทางกลับเกาะชูด้วยเรือเที่ยวแรก ทั้งผมและเคนไม่มีใครพูดอะไรออกมาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเรา
ผมหอบอุปกรณ์กลับบ้านและเจอพ่อที่นั่งรินกาแฟใส่ถ้วยขึ้นมาจิบ พ่อมองผมด้วยสายตาเรียบเฉยเหมือนเดิมก่อนจะทักทายผมเหมือนกับว่าไมมีอะไรเกิดขึ้น
“กลับมาแล้วเหรอ”
“ครับ”
ผมเดินเข้าห้องตัวเองและปิดประตู วางถุงอุปกรณ์ลงบนโต๊ะริมหน้าต่างที่มีรูปครอบครัวตั้งอยู่ ก่อนความคิดของผมจะหลุดลอยออกไปไกล เสียงไอรีสก็แทรกเข้ามาในหัวผม
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน หนุ่มน้อย”
“เฮือก! คุณเข้ามาในห้องผมได้ยังไง”
“ข้าอยู่ในนี้ตลอด”
“โกหก”
“จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า ไหนล่ะ ปีกของข้า”
ไอรีสยื่นมือมาเหมือนเด็กกำลังขอขนม ทำให้อารมณ์เหม่อลอยของผมหายวับไปทันที
“รู้แล้วน่า เดี๋ยวผมวาดให้ แต่วันนี้ผมเหนื่อย ขอพักก่อนละกัน”
แล้วผมก็คว้าผ้าขนหนูเดินเข้าไปห้องอาบน้ำ ผมนอนเหยียดกายอยู่บนพื้ในห้องตัวเอง มองเพดานไม้กับหลอดไฟที่ดูจะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย แต่มโนภาพในหัวของผมกลับเป็นเรื่องของผมกับเคนที่เกิดขึ้นในโรงแรมเมื่อคืน ถึงจะแค่จูบแต่มันกลับทำให้ผมใจเต้นแรงจนเผลอเอามือขึ้นมาวางทาบอกตัวเอง
“คิดอะไรของเจ้า”
“เฮือก! อย่าโผล่หน้ามาแบบนี้ได้ไหม คุณจะทำให้ผมหัวใจวายนะ ไอรีส”
“โอ๋ พ่อเด็กขวัญอ่อน”
ไอรีสนอนคว่ำอยู่ข้างๆผม มือสองข้างเท้าคาง สองขายกเตะสลับกันไปมา ดูแล้วก็น่าเอ็นดูเหมือนเด็กถ้าไม่ติดว่าเอไม่ใช่มนุษย์
“จะวาดปีกให้ข้าได้หรือยัง”
จุดประสงค์เดียวที่เธอมาหาผมก็เพื่อปีกที่เธออยากได้ ผมถอนหายใจและลุกขึ้นไปคว้าม้วนกระดาษมาขึงไว้บนไม้ก่อนจะหยิบอุปกรณ์ที่เพิ่งซื้อเมื่อวานออกมาจัดเรียง
และเมื่อเงยหน้ามองกระดาษแผ่นเดิมผมกลับคิดอะไรไม่ออก
“เป็นอะไร”
ไอรีสถามผมเมื่อเห็นว่ามือข้างที่จับพู่กับของผมยังค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ลงมือวาดสักที
“ไอรีส”
“ว่าไง”
“ช่วยมายืนอยุ่ตรงหน้าผมหน่อยสิ”
“หืม”
“……ผมนึกภาพของคุณไม่ออกเลย นงฟ้าอย่างคุณต้องการปีกแบบไหนกันนะ”
“……..”
ไอรีสไม่พูดอะไร เธอเดินเข้ามาลูบศีรษะของผมแทนก่อนจะเดินไปนั่งที่ขอบหน้าต่าง และหันมายิ้มให้ผม
“เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่า ทำไมตัวเจ้าถึงได้มองเห็นข้า”
“ทำไมเหรอครับ”
“……เฮย์ เจ้าเป็นเด็กดีจริงๆนะ”
มันเกี่ยวกับที่ผมนึกภาพของเอไม่ออกตรงไหนกันนะ
สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้แม้แต่จะร่างภาพขึ้นมา
“ไงเฮย์ อรุณสวัสดิ์”
“ฮืม….”
“เป็นอะไร ไม่สดใสเลย”
“เปล่า แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”
“ว่าแต่ปิดเทอมนี้นายจะไปไหน”
“ไม่รู้สิ อาจจะอยู่บ้าน….มั้ง”
ปกติเฮย์ไม่เคยไปไหนถ้าพ่อไม่อนุญาต และไปยากเพราะเฮย์เป็นคนติดบ้าน นอกจากไปกับเคน
จะว่าไปแล้วตั้งแต่วันนั้นเฮย์ก็ไม่เจอเคนอีกเลย
“รู้ไหมว่าเคนไปไหน”
“ออ เคนน่ะเหรอ พ่อของเคนป่วยหนักก็เลยย้ายไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลแผ่นดินใหญ่โน่นแน่ะ หมอนั่นคงไม่มาโรงเรียนจนกว่าจะเปิดเทอมหน้า”
ผมมองไปที่โต๊ะของเคน เสียงเพื่อนๆไม่ได้เข้าหัวผมอีกเลย
ผมกลับมาบ้านและโทรศัพท์หาเคน เสียงของเคนยังเรียบสนิทแต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันไม่ได้ปกติเหมือนทุกครั้ง
“ฉันอยากเจอนาย” ผมพูดออกไปสั้นๆก่อนที่จะวางสาย
(ฉันก็เหมือนกัน)
จากนั้นผมก็วางสายและหันมามองไอรีสที่โผล่เข้ามาทางหน้าต่าง
“เจ้าอยากไปหาเจ้านั่นเหรอ ข้าพาเจ้าไปไหมล่ะ”
“อย่าเรียกเขาว่าเจ้านั่นนะ อีกอย่างคุณไม่มีปีกจะพาผมดำน้ำไปหรือไง คุณนางฟ้า”
ผมได้ทีสวนกลับไปดอกหนึ่ง แต่ไอรีสก็ดูจะไม่ยี่หระต่อคำพูดของผมเลย เธอยังนั่งไขว่ห้างกอดอกใช้นิ้วเกี่ยวเส้นผมตัวเองเล่น ผมมองไอรีส พยายามจดจำรายละเอียดบนร่างกายของเธอให้ได้มากที่สุด ก่อนจะเดินไปที่กระดาษที่ขึงไว้และใช้ดินสอร่างภาพขึ้นมาคร่าวๆ
ผมใช้เวลาหลายชั่วโมงวาดภาพของไอรีสออกมาจนเสร็จ ผมยืนมองภาพหญิงสาวผมยาวหน้าตาหมดจดบนกระดาษสักพัก ก่อนจะหันไปคลี่กระดาษอีกม้วนที่ผมเคยวาดปีกสีดำเอาไว้ก่อนหน้านั้นและเอามาวัดเทียบกับภาพหญิงสาว และความคิดแปลๆของผมก็ผุดขึ้นมาในหัว
“ไอรีส”
“หืม”
“ถ้าผม….วาดปีกให้คุณได้ คุณจะให้อะไรผมงั้นเหรอ”
“เจ้าอยากได้อะไรล่ะ”
ผมกำกระดาษในมือแน่น ก่อนจะบอกสิ่งที่อยากได้ออกไป
“ผมอยากให้พ่อของเคนหายป่วย คุณให้ผมได้ไหม”
“ได้สิ”
ไอรีสับปากง่ายๆเหมือนไม่มีอะไรที่ยากเกินไปสำหรับเธอเลย ผมยิ้มพอใจและม้วนกระดาษเก็บไว้ที่เดิม
ผมใช้เวลาวาดลายละเอียดของไอรีสหลายวันของช่วงปิดเทอมและกำลังเริ่มร่างโครงของปีกขึ้นมา ทุกวันที่หมดไปผมอยู่กับไอรีส บางครั้งเธอก็กวนผมด้วยการหายตัวออกไปข้างนอกและโผล่หน้ามาให้ผมตกใจ จนบางทีผมก็ต้องเอ็ดตะโรเธอไป
“ฝีมือเจ้าเนี่ยดีจริงๆเลยน้า ไม่เสียแรงที่ข้าไหว้วานเจ้า”
“แน่นอนว่าผมไม่ทำให้คุณฟรีๆ”
“รู้แล้วล่ะน่า ตอนนี้คนที่เจ้าขอให้ข้าช่วยเขาหายดีแล้ว”
“จริงเหรอ”
“ข้าเคยโกหกเจ้ารึ ทางที่ดีตอนนี้เจ้ารีบวาดปีกให้ข้าจะดีกว่า”
“รู้แล้ว อึก! แค่กๆๆ….”
จู่ๆผมก็ไอออกมาอย่างหนัก หรือว่าอากาศที่เย็นลงทำให้ผมเริ่มจะเป็นหวัดอีกแล้วนะ
ผมลุกเดินไปจะปิดหน้าต่าง แต่ก็หยุดชะงักเมื่อมองเห็นคนที่ยืนอยู่หน้าบ้านและเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมพอดี
เคนกลับมาแล้วเหรอเนี่ย
ผมเดินออกมาหน้าบ้านเจอเคนที่ยืนรออยู่
“กลับมา….ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”
“เพิ่งมาถึง”
“อืม….พ่อของนายเป็นไงบ้าง”
หวังว่าไอรีสจะไม่โกหกผมนะ
“หายดีแล้วล่ะ”
ผมเผลอยิ้มออกอย่างโล่งใจ ไอรีสไม่ได้โกหก แต่ผมคงยิ้มกว้างไปหน่อย เคนถึงยิ้มตาม
“นาย…ไม่เป็นไรนะ”
“หืม?....ไม่เป็นไร ฉันสบายดี แค่กๆๆ…”
ปึก!
เคนซบหน้าลงบนไหล่ผม ก่อนจะพูดเสียงอู้อี้
“ฉันคิดถึงนาย”
แค่ไม่กี่คำแต่มันกลับทำให้ผมใจเต้นแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“หืม ความรักทำให้โลกสวยงามขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
จู่ๆไอรีสก็โผล่มาจนผมสะดุ้งทำถาดสีในมืดกระฉอกลงบนกระดาษ
แผละ!
“แย่แล้ว!”
ผมลุกขึ้นอย่างไว มองภาพนางฟ้าไอรีสที่เปื้อนสีดำไปมากกว่าครึ่ง
“โธ่….”
ทำยังไงดี นี่ผมต้องเริ่มวาดใหม่ตั้งแต่ต้นเลยเหรอ
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ออกไป”
“เฮย์….”
“ออกไป ผมขอร้อง”
ผมหมดแรง ทรุดลงบนพื้น ถาดสีกับพู่กันหลุดมือไปคนละทาง ผมมองกระดาษภาพของไอรีสถูกสีเลอะไปมากกว่าครึ่ง โดยเฉพาะปีกที่ตอนนี้แทบไม่เหลือพื้นที่สีขาวให้เห็นเลย
ผมนั่งมองภาพที่เปื้อนสีนั้นอยู่นานจนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน ผมไม่รับรู้อะไรอีกนอกจากความหนักที่โถมเข้ามาจนทำให้ผมนั่งต่อไปไม่ไหว
ตุ้บ…..
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนห่มผ้าอยู่บนเตียง ผมมองเพดานกับหลอดไฟกะพริบตาหลายรอบเพื่อปรับภาพให้ชัดก่อนจะหันไปมองกระดาษวาดภาพที่ขึงไว้มุมห้อง และผมก็ต้องสะดุ้งดีดตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลเมื่อเห็นว่าเคนกำลังนั่งมองภาพของนางฟ้าที่เลอะสีของผมอยู่
“เคน”
“….ตื่นแล้วเหรอ”
“นายเข้ามาได้ยังไง”
ผมถามในขณะที่ยันตัวลุกนั่ง ความหนักกดทับร่างกายผมจนขยับไม่ได้ดั่งใจจนเคนต้องเข้ามาช่วยประคองผมให้นั่งพิงหัวเตียง
“เป็นยังไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นไร แค่เพลียๆ ว่าแต่….มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“สักพัก”
เคนตอบสั้นๆ จานสีกับพู่กันถูกเก็บขึ้นวางบนโต๊ะ สีบนพื้นห้องก็ถูกเช็ดออกจนหมด จะเหลือก็แต่ กระดาษที่ขึงไว้บนไม้ฉาก
ผมมองภาพไอรีสที่ตอนนี้สีแห้งเขลอะจนแก้ไขไม่ได้แล้ว
“ข้ารอได้ หากเจ้าจะวาดให้ข้าใหม่”
“เฮือก!”
“ไม่เป็นไร เขามองไม่เห็นข้าหรอก”
ไอรีสนั่งอยู่ปลายเตียงผมพูดออกมา สีหน้าตกอกตกใจของผมคงตลกมากจนเคนถึงกับถามขึ้นมา
“นายโอเคไหม”
“หืม อืม ฉันไม่เป็นไร”
“เฮย์…ถ้านายไม่สบายใจเรื่องอะไรบอกฉันได้นะ”
“ฉันสบายดีเคน ไม่เป็นไรหรอก นายกลับไปก่อนเถอะนะ”
ผมฝืนยิ้มให้เคน สีหน้าของเคนเหมือนจะแย้งผมในตอนแรก แต่สุดท้ายก็เงียบไปและตอบรับเบาๆ
“ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนเถอะ”
เคนทำท่าจะเดินออกไปจากห้องแต่ก็วกกลับมาและโถมตัวเข้ามากอดผมเอาไว้
ฟึ่บ!
“อะ! เคน เป็นอะไร”
“สัญญากับฉันว่าจะไม่หนีไปไหน”
“ฉะ ฉันจะไปทำแบนั้นทำไมกัน นายคิดมากไปแล้ว”
ผมตบไหล่เคนเบาๆ เขาเป็นอะไรของเขากันนะ ผ่อนแรงกอดและปล่อยผมเป็นอิสระและก้มลงฉกริมฝีปากผมไปทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไปจากห้องโดยไม่รอดูสีหน้าตกใจของผม
“คิก….เจ้าเด็กนั่นน่าสนใจทีเดียวว่าไหม”
ไอรีสไม่วายจะหัวเราะเยาะผมจนผมต้องส่งสายตาดุๆไปให้เธอ
“ถ้ายังอยากให้วาดรูปให้อย่ายุ่งกับเขา”
“ฮะๆๆๆ ข้าไม่ยุ่งกับใครนอกจากเจ้าอยู่แล้ว แต่ข้าจะบอกอะไรดีๆเจ้าสักเรื่องเอาไหม”
“อะไร”
“เจ้านั่นชอบเจ้ายังไง”
ตึกตักๆๆๆๆ
คำพูดของไอรีสทำเอาหัวใจผมเต้นแรงขึ้นทุกที
แล้วตลอดปิดเทอมผมก็หมกตัวอยู่ในห้องตัวเองเพื่อวาดรูปไอรีสขึ้นมาใหม่
ผมละเลงพู่กันแต่งลายละเอียดบนภาพวาดทีละน้อย บางครั้งไอรีสก็จะมาปรากฏตัวต่อหน้าผมและนั่งหลับอยู่ริมหน้าต่าง เป็นแบบให้ผมเก็บลายละเอียดได้อย่างดี
ชีวิตประจำวันของผมมีไอรีสคอยอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ผมเองก็ไม่ได้นับตั้งแต่ต้น ทุกทีที่ผมไปจะมีเธอคอยติดตามไปตลอด ยกเว้นแต่ตอนที่ผมนั่งเรือออกไปจากเกาะ เหมือนกับว่าไอรีสจะจากเกาะนี้ไปไม่ได้ถ้าเธอไม่มีปีก
ครืด ครืด….
โทรศัพท์สั่นเป็นครั้งที่สิบของวันจนผมต้องวางมือจากพู่กันและหยิบมันขึ้นมากดอ่านข้อความ
(ฉันอยากเจอนาย ออกมาเจอกันหน่อยสิ ที่เดิม….)
ข้อความประโยคเดิมนับสิบฉบับจากเคนที่ผมไม่ได้เปิดอ่านตั้งแต่เมื่อวาน ผมโยนโทรศัพท์ลงบนเตียง่อนจะหันไปมองภาพวาดบนกระดาษ นางฟ้าไอรีสของผมเกือบจะสมบูรณ์แบบแล้ว เหลือแค่ขั้นตอนลงสีและเก็บลายละเอียดบนปีกคู่นั้น ผมถอนหายใจทีหนึ่งก่อนจะใช้ผ้าสีขาวมาคลุมรูปเอาไว้ หลายวันมานี้ผมตั้งใจกบภาพวาดของไอรีสมาก ผมไม่อยากเริ่มต้นใหม่อีกแล้ว
ไปเจอเคนหน่อยแล้วค่อยกลับมาวาดต่อให้เสร็จก็ไม่มีอะไรเสียหายหรอก……..มั้ง
“ออกมาสูดอากาศแบบนี้ค่อยดีขึ้นหน่อย”
ผมพึมพำกับตัวเอง ขณะที่กำลังนอนเล่นบนเนินหญ้าที่มีลมจากยอดเขาพัดลงมาเอื่อยๆ ผมนอนมองลงไปข้างล่าง เห็นคนในหมู่บ้านกำลังดำเนินชีวิตกันไปตามปกติ ก่อนที่เมฆก้อนใหญ่จะมาบังแสงอาทิตย์ยามเย็น ทำให้ทะเลมืดลงกว่าปกติเพราะไม่มีแสงอาทิตย์สะท้อน
“มาจริงๆด้วยสินะ”
ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงที่ทักทายเข้ามา เคนเข้ามานั่งลงข้างๆผมและมองไปทิศทางเดียวกัน
“พ่อของนายเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดี”
“งั้นเหรอ ดีแล้วล่ะ”
“แล้วนายล่ะ”
“ฉันสบายดี”
มันเหมือนการพูดคุยตามปกติแต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกอึดอัดแปลกๆ
ไม่สิ….ผมรู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่วันทีเราจูบกันที่โรงแรมแล้ว ถึงเคนจะไม่พูดอะไรแต่การกระทำของเขามันชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดซะอีก
ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ต่อไปดีไหม หรือว่าผมควรจะหยุดมัน แล้วผลของมันจะเป้นยังไงกันนะ
“เคน…”
“….ฉันชอบนาย”
ตึกตักๆๆๆ…..
เสียงหัวใจของผมดังพอที่จะกลบเสียงหลีดของสายลมข้างหู ผมมองเคนที่ยังมองทิวทัศน์เบื้องล่าง ช่างเป็นการสารภาพที่ไร้พิธีเสียเหลือเกิน
ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปและเคนก็ไม่ได้ถามด้วยว่าผมชอบเขาไหม เหมือนกับว่าเขาต้องการให้ผมรับรู้เอาไว้ฝ่ายเดียวเท่านั้น เราใช้เวลาอยู่บนเนินเขาจนค่ำ ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ถูกเคนแบกลงมาจนเกือบจะถึงบ้าน
“อืม…”
“ตื่นแล้วเหรอ”
“ฉันเผลอหลับไปเหรอ วางฉันลงเถอะเคน”
ผมบอกเคนแต่ดูเหมือนเคนจะไม่ได้ฟังผมเลย เขายังกระชับตัวผมเอาไว้และเดินไปบนเส้นทางเข้าหมู่บ้าน
“เคน…”
“เรื่องที่ฉันพูด….”
“…..!”
“ฉันจริงจังนะ”
ผมรู้ว่าเรื่องอะไร และมันยิ่งทำให้ผมใจเต้นแรงกว่าเดิมอีก หัวใจของผมเต้นแรงจนผมกลัวว่าเคนก็รู้สึกถึงมันเหมือนกัน
“เรายังเด็ก ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก”
ผมดีใจที่เคนบอกว่าชอบผมแต่ว่า…ตอนนี้ผมยังมีชีวิตอยู่ก็จริง แต่ว่าในอนาคตล่ะ ถ้าผมเป็นอะไรไปเหมือนคนในครอบครัว ถ้าผมต้องจากไปแล้ว คนที่ทรมานอาจจะเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้
เคนไม่พูดอะไรอีกและเดินมาส่งผมจนถึงบ้านและกลับไปทันที
“อาการไม่ดีหรือเปล่านะ พาไปหาหมอดีไหม”
“รอดูอาการต่อไปอีกสักพักเถอะครับแม่”
เสียงซุบซิบของพ่อกับย่าดังมาแว่วๆ หลายวันมานี้พ่ออยู่บ้านมากขึ้นส่วนย่าก็คอยมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆผม
“ข้าอยากได้ปีกสีดำ”
จู่ๆไอลิสก็พูดขึ้นมาในระหว่างที่ผมกำลังใช้พู่กันตกแต่งปีกบนภาพวาด
“ทำไม”
“ข้าชอบปีกคู่นั้นที่เจ้าวาด เฮย์”
เธอชี้ไปที่ม้วนกระดาษที่ตั้งอยู่มุมห้อง กระดาษที่ผมวาดปีกสีดำเอาไว้
“นั่นมันเป็นความผิดพลาดฉันลงสีผิด อีกอย่างนางฟ้าก็ต้องเหมาะกับปีกสีขาวไม่ใช่รึไง”
“ข้าไม่ต้องการปีกสีขาว”
“………”
“วาดปีกสีดำให้ข้านะ เฮย์”
ไอรีสหยิบม้วนกระดาษอันนั้นของผมขึ้นมาและส่งยิ้มจางๆมาให้ผม ผมไม่รู้หรอกว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่ในเมื่อเธอขอผมก็คงต้องทำให้
ผมค่อยๆลงสีและเก็บลายละเอียด
มือของผมเริ่มหนัก ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจฝืดๆของตัวเอง แต่ผมก็ปล่อยผ่านไปและลงสีต่อไปจนเสร็จสมบูรณ์
“แฮ่กๆๆๆ….สะ เสร็จแล้ว”
ผมยกมือปาดเหงื่อพอลวกๆและมองภาพวาดเท่าตัวจริงของไอรีส
นางฟ้าชุดขาวผมยาวสลวยกำลังกางปีกสีดำอันยิ่งใหญ่และงดามดั่งขนกาของเธอ
ไอรีสเดินผ่านผมเข้าไปในภาพวาด จากภาพวาดบนกระดาษกลายเป็นปีกสีดำขนาดใหญ่ที่กางออกมาบนหลังของไอรีส
“ขอบใจนะ เฮย์….”
ผมมองไอรีสที่หันมายิ้มให้ผม เธอดูมีความสุขดีนะ
ดีแล้วล่ะ อย่างน้อยผมก็ทำสำเร็จ
พลั่ก!
ร่างกายผมหนักจนยืนต่อไปไม่ไหว ผมล้มลงนอนแผ่บนพื้น เสียงหายใจฝืดๆกับเสียงเต้นของหัวใจดังก้องจนผมเวียนหัว
นี่คือความรู้สึกของคนที่กำลังจะตายหรือเปล่านะ
“เจ้ายังไม่ตายตอนนี้หรอก…”
เสียงไอรีสกระซิบข้างหูผม ตอนนี้ผมมองเห็นแค่เงาเคลื่อนไหวลางๆเท่านั้น
“พักผ่อนเถอะเด็กน้อย เมื่อถึงเวลาของเจ้าข้าจะมารับเจ้าไปเอง ด้วยปีกคู่นี้ที่เจ้ามอบให้ข้า ลาก่อน เฮย์”
เสียงไอรีสหายไปพร้อมกับลมแผ่วๆที่พักผ่านหน้าผมไป ก่อนที่มันจะถูกแทนที่ด้วยเสียงโวยวายของพ่อและเสียงฝีเท้าของคนที่วิ่งเข้ามาให้ห้อง
“แม่! เรียกรถพยาบาลเร็วเข้า!”
ผมไม่รับรู้อะไรอีกนอกจากความมืดที่ทั้งหนาวทั้งเงียบสงัดเหมือนกับว่าผมกำลังถูกกดลงไปในทะเล
ติ๊ด…..ติ๊ด.....ติ๊ด.....
ผมลืมตาขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องพักของโรงพยาบาล สิ่งแรกที่มองเห็นคือถุงน้ำเกลือและสายของมันที่กำลังส่งสารน้ำเข้าสู่ร่างกายผมทีละหยด
“ฟื้นแล้วเหรอ”
“เคน….”
ใบหน้ากังวลของเคนอยู่ในระดับสายตาของผม เขาดูกังวลและผ่อนคลายลงเมื่อผมพยักหน้าน้อยๆ
“นี่มัน….เกิดอะไรขึ้น”
“นายหมดสติไปเมื่อสามวันก่อนน่ะ”
“สามวันเหรอ!”
สามวันเหรอ ผมเนี่ยนะ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายผมวาดรูปนางฟ้าไอรีสเสร็จแล้ว หลังจากที่เธอคุยกับผมไม่กี่ประโยคสติก็ดับวูบลงไป
“นายจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“อะไร”
“ตั้งแต่ปิดเทอมนายเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง แล้วก็เอาแต่เพ้อพูดอยู่คนเดียว”
“ฉันเนี่ยนะ”
“ใช่….แล้วก็เอาแต่วาดรูปผู้หญฺงคนนี้ไม่หลับไม่นอน จนเกิดภาวะช็อคเพราะหัวใจทำงานหนัก”
ผมพยายามนึกภาพตามที่เคนพูด ภาพในอดีตไหลเข้ามาในห้วงความคิด และมันก็เป็นแค่ภาพของผมที่คุยอยู่คนเดียว ไม่มีไอรีส มันเกิดอะไรขึ้น นี่ผมเพ้ออยุ่คนเดียวจริงๆเหรอ
เคนยกม้วนกระดาษมาให้ผม ผมคลี่ม้วนกระดาษดูและพบว่าเป็นรูปของไอรีสที่ผมวาดจริงๆ ผมไม่ได้บ้า แต่ว่า ปีกสีดำบนหลังของเธอหายไปเหลือไว้แค่รูปของหญิงสาวธรรมดาๆ
“เธอชื่ออะไรเหรอ”
“...........ไอรีส”
“….เธอสวยดีนะ”
“อืม…..”
“คราวหน้าวาดฉันบ้างสิ”
“ฮะๆๆ ถ้าจะให้วาดนายฉันคงต้องใช้เวลาอีกหลายปีแน่”
“กี่ปีฉันก็จะรอ”
“………..”
“ฉันจะรอ ขอแค่นายยังอยู่ฉันรอได้เสมอ….ก็แค่รอเอง”
“ขอบใจนะ…”
(จบ)
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ