Skip ความจนทะลุมิติ (Poor boy & Dogs)
9.0
เขียนโดย January13
วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.37 น.
7 บท
1 วิจารณ์
10.05K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2563 20.45 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น
2) ทองและเรือยอร์ชของเขา
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ผมรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเหมือนกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ผมสัมผัสมันทั้งที่ยังไม่ลืมตา โดยขยับกายวาดแขนวาดขา พลิกตัวไปมาซ้ายทีขวาที มันกว้างมากๆ ขนาดผมกลิ้งไปหลายตลบยังไม่ตกขอบเตียงเลย แถมยังมีกลิ่นหอมละมุนอีกด้วย ผมคิดว่าควรจะหยุดเพลิดเพลินกับการนอนแล้วลุกขึ้นมาหาคำตอบว่าตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนดีกว่า
ผมลืมตาช้าๆ ภาพที่เห็นเบลอและโคลงเคลงจนดูไม่รู้เรื่อง จึงคลำหาทางลงจากเตียง แต่มือดันกวาดไปโดนข้าวของบนโต๊ะเล็กๆ ข้างหัวเตียง จากการสัมผัสดูมีอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นแว่นตา ผมจึงหยิบขึ้นมาใส่แล้วทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้นทันที!
“โอ้โห้!!! นี่มันอะไรกันเนี่ย???” ผมเปล่งเสียงอุทานออกมาจากเซลล์ปอดด้วยความตกตะลึง ความอึ้ง ความทึ่ง หรือจะเรียกว่าอะไรก็ได้ที่เป็นขั้นสุงสุดของคำว่าตกใจ ผมพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนสุดหรูหรา หรูมากจนอยากจะเพิ่มกอไก่อีกหลายๆ ตัวตรงคำว่ามาก ผนังห้องเป็นวอลเปเปอร์สีครีมแบบผู้ดีมีลวดลายเป็นลายไทยสีทอง เตียงนอนกว้างขวางสีครีมขาวตัดลายทองเช่นกัน ปลายเตียงมีโซฟาเล็กๆ โต๊ะข้างหัวเตียงทั้งสองฝั่งมีโคมไฟสไตล์เรียบหรูประดับอยู่ ไม่เท่านั้นที่เพดานยังมีแชงเดอเรียสีทองห้อยระย้าลงมาอีกด้วย
“โห ไม่เปลืองค่าไฟแย่หรอวะ” ผมพูดอยู่คนเดียว มันดูเยอะเกินความจำเป็นนะผมว่า ใกล้กันนั้นเป็นห้องทำงานมีโต๊ะไม้สีแดงเข้มขัดเงาวาววับกับเก้าอี้เข้าชุด มีโซฟาหนังชุดใหญ่สีคุมโทนแบบเดียวกัน และตกแต่งด้วยแจกันหินอ่อนทรงสูงแต่กลับไม่มีดอกไม้ประดับอยู่
“เอามาวางไว้เฉยๆ เนี่ยนะ?” ผมบ่นตามประสา นี่อาจเป็นวิถีชีวิตของคนรวยที่ผมยังไม่เข้าใจก็ได้ หลังโซฟามีตู้หนังสือบิวท์อินขนาดใหญ่ หนังสือเรียงเป็นตับ ถัดกันนั้นคือเตาผิงสไตล์ตะวันตก ผมกำลังชื่นชมความสวยงามของสิ่งต่างๆที่ไม่คุ้นตา อยู่ดีๆ ก็รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาจึงเดินหาห้องน้ำ ซึ่งพบว่าอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น เมื่อเข้าไปด้านในก็ต้องตกตะลึงกับห้องน้ำที่กว้างขวางเอามากๆ มีการแบ่งพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน โซนอ่างอาบน้ำจากุซซี่อยู่ด้านในสุด และห้องอาบน้ำฝักบัวอยู่ถัดออกมา ผมหยุดชื่นชมความงามของห้องน้ำสักครู่ รีบตรงมาที่ชักโครกทำกิจธุระของตัวเองให้เรียบร้อย ที่อ่างล้างหน้าก๊อกน้ำระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติเป็นแท่งสีทองยาวโค้งลงมา มีสบู่รูปทองคำแท่งวางอยู่ใกล้ๆ ผมจึงหยิบมาใช้อย่างหรรษา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาหวังจะเช็คความหล่อของตัวเองแต่กลับต้องตกใจสุดขีด
“เห้ย!!! นี่ใครวะเนี่ย???” ผมร้องลั่นเมื่อเห็นเงาสะท้อนในกระจกเป็นชายอายุ 50 ปลายๆ สวมแว่นสายตาแทนที่จะเป็นผมที่หลอเหลาคนเดิม ผมลองขยับแขนขยับตัวเพื่อเช็คดูว่านั่นเป็นผมจริงๆ หรือผีแก่ตัวนึงกันแน่
“นั่นใคร? ใช่ข้าหรอ?” ผมถาม เงานั่นไม่ตอบเอาแต่ทำหน้างง เมื่อลองส่องกระจกดูใกล้ๆ สำรวจใบหน้าพบว่ามีเค้าเดิมของผมอยู่ เพียงแต่แก่กว่ามาก ผมลูบใบหน้าที่เหี่ยวย่น ไม่ใช่แค่ใบหน้ามือก็เช่นกัน เส้นผมขาวเกือบทั่วทั้งหัว ขณะใช้มือสางผมก็พบรอยเนื้อนูนๆ คล้ายตะเข็บรอยเย็บซ่อนอยู่ภายใต้ผมดก
“เอ็งดึงหน้ามาด้วยหรอทอง นี่ขนาดดึงแล้วนะเนี่ย ยังเหี่ยวได้ขนาดนี้” ผมคุยกับตัวเอง นี่อาจเป็นผมในอนาคตที่รวยแล้ว หลังจากถูกลอตเตอรี่รางวัลแจ็คพอตที่ซื้อมาจากลุงตาบอดก็ได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึง Skip มาไกลขนาดนี้ มาซะตอนแก่จวนจะลงโลงอยู่แล้ว ยังดีนะที่หัวไม่ล้าน ผมคิดเล่นๆ
ผมออกจากห้องน้ำมาอย่างคิดอะไรไม่ออกเพราะตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมหันมาสนใจผ้าม่านสีครีมหรูหราผืนใหญ่ที่ปิดไว้มิดชิดกีดกันผมออกจากโลกภายนอก นึกสงสัยว่าภาพหลังม่านนั้นจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนกันแน่ ผมเอื้อมมือเหี่ยวๆ ไปสัมผัสม่านนั่นก่อนจะรูดเปิดอย่างรวดเร็ว
“เห้ย!!! นี่มันที่ไหนวะเนี่ย!!!???” ผมช็อคมากเมื่อเห็นผืนทะเลกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา จนมองไม่เห็นฝั่ง ผมรีบหาทางออกจากห้องนี้ พอออกมาได้ก็วิ่งเข้าหาแสงสว่างที่เห็นอยู่ไม่ไกลนัก ประตูกระจกเลื่อนเปิดอัตโนมัติเมื่อผมเข้ามาใกล้
“เห้ย!!! นี่มัน...อะไรกันเนี่ย???” ผมเดินเซเหมือนคนเสียสติออกมายังบริเวณลานกลางแจ้งชั้นบนสุดของเรือยอร์ชลำใหญ่ มองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำทะเลสีคราม ไม่ไกลนั้นมีชุดโต๊ะเก้าอี้สไตล์โมเดิร์นวางอยู่ คงมีไว้สำหรับนั่งชมวิว เมื่อมองลงมาชั้นถัดไปมีสระว่ายน้ำใหญ่มุมขอบมนโค้ง รอบๆมีที่นั่งและร่มกันแดดจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ และลานชั้นล่างกว้างที่สุดมีเฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ 1 ลำ ผมยืนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นานมากนานพอที่จะอิ่มลมเลยทีเดียว
สายตาของผมเหลือเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ จึงรีบเดินไปหยิบขึ้นมาเพื่อดูวันที่
"15 เมษายน พ.ศ.2600! สะสะสองพันหกร้อย!"
“อ้าวทองอยู่นี่เองหรอ หาตั้งนาน” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง ผมหันไปหาต้นเสียงเห็นชายรูปร่างอ้วน ผิวขาวเหลือง ศีรษะล้าน หน้าตาดูเจ็กๆ เดินเข้ามา
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หละ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” เขาพูดพรางโอบไหล่ผมอย่างสนิทสนม
“เอ่อ ที่นี่ที่ไหนหรอก” ผมเลียบถาม
“ถามอะไรอย่างนั้น ก็มหาสมุทรแปซิฟิกยังไงหละ นายเป็นคนชวนฉันมาเองจำไม่ได้หรอ” เขาตอบ ระหว่างที่เดินไปห้องอาหาร ตาคนนี้ก็เอาแต่พูดพล่ามไม่หยุด จนผมได้ข้อมูลว่าเขาชื่อเล้งเป็นเพื่อนสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ เขาเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสมาคมอุตสาหกรรม ส่วนผมไอ้ทองเด็กสลัมจนๆ หลังจากถูกลอตเตอรี่รางวัลแจ็คพ็อตก็ส่งตัวเองไปชุบตัวที่เมืองนอกเมืองนา เรียนจบกลับมาก็มาทำธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตเครื่องจักรเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว และผมยังได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมอุตสาหกรรมอีกด้วย ที่สำคัญเรือยอร์ชสุดหรูลำนี้เป็นของผมเอง ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ คิดแล้วก็ลำพองใจอยู่ไม่น้อย
ห้องอาหารอยู่ชั้นสองเป็นห้องกระจกทำให้มองเห็นสระว่ายน้ำด้านนอก มีสาวสวยหุ่นนางแบบใส่ชุดบิกินี่เล่นน้ำหยอกล้อกันอยู่สี่ห้าคน ทำเอาผมตาค้างในความน่ารักเซ็กซี่ของพวกหล่อน
“เป็นยังไงหละ เด็กๆ ที่ฉันจัดหามาให้ ถูกใจไหม” เล้งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถามขึ้น
“เอ่อ...อืม” ผมไม่รู้จะตอบยังไง ผู้หญิงพวกนั้นสวยมากจริงๆ มะลินี่เทียบไม่ติด ผมนั่งชื่นชมอย่างเพลิดเพลินระหว่างรออาหาร ไม่นานบริกรก็มาพร้อมอาหารเช้าที่ส่งกลิ่นหอมหวลชวนรับประทาน จานใบใหญ่มีไข่ดาว 2 ฟองไข่แดงตรงกลางไม่สุกดี มีแฮม เบคอน มันบด ไส้กรอก ขนมปังกระเทียม และผักออแกนิกจัดวางอย่างสวยงาม มีซุปข้าวโพดสีสันน่ารับประทานวางอยู่ใกล้ๆ เครื่องดื่มเป็นไวน์แดงและน้ำเปล่า ผมกลืนน้ำลายเอือกอย่างหิวโหย ก่อนจะจัดการซัดทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า จุดนี้ทำผมลืมอาหารฝีมือแม่ไปเลย ขณะที่ผมกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน เล้งกลับนั่งนิ่งมองแต่หน้าผม
“ไม่กินหรอ” ผมถาม
“ไม่ค่อยหิวน่ะ” เขาตอบด้วยสีหน้าอ่านยาก ผมจึงหยิบผ้ามาเช็ดปากแล้วค่อยๆ กินอย่างมีมารยาท
“ทอง จำเรื่องที่ฉันขอนายไว้ได้ไหม” เล้งเปรยถาม ผมทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“เรื่องที่ตรวจพบสิ่งปนเปื้อนในอาหารของโรงงานของฉันน่ะ ในฐานะที่นายเป็นประธานสมาคมและเป็นเพื่อนฉัน นายจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ได้ไหม” เขาขอร้อง
“แต่โรงงานนายผลิตอาหาร ถ้ามีสิ่งปนเปื้อนคนซื้อไปกินอาจเป็นอันตรายก็ได้นะ จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ยังไง” ผมตอบซื่อๆ ตามประสา แค่คิดว่าคนเราควรกินอาหารที่สะอาดไม่อย่างนั้นอาจทำให้ท้องเสียดีไม่ดีเข้าห้องน้ำไม่ทันขี้แตกอีก พอได้ยินดังนั้นเล้งก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ผมเริ่มคิดว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะ” อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะดัง ผมตกใจเล็กน้อย ปรับอารมณ์ตามเขาไม่ทันจึงได้แต่ยิ้มแห้ง และทานอาหารตรงหน้าต่อ เมื่ออิ่มแล้วผมกับเล้งก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่ายน้ำ ไปนอนดูสาวๆ เล่นน้ำที่ริมสระ จิบไวน์ดีๆ ไปด้วยช่างเพลิดเพลินจริงๆ ชีวิตคนรวยมันดีอย่างนี้นี่เอง สักพักสาวๆ หุ่นนางแบบพวกนั้นก็ขึ้นจากสระมานั่งประกบผมซ้ายขวา บีบนวดแขนขาให้อย่างออเซาะ ผมชอบนะ รู้สึกมีความสุขมากๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองดื่มไวน์ไปกี่แก้วหรือกี่ขวดแล้วเพราะตอนนี้มึนหัวไปหมด รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนกับผู้หญิง 3 คน ผมไม่คิดว่าคนแก่อย่างผมจะสามารถรับมือกับผู้หญิง 3 คนไหวหรอกนะ จริงๆ แล้วอายุปูนนี้น่าจะเข้าวัดเข้าวามากกว่ามาทำเรื่องอะไรแบบนี้ แต่เมื่อสถานการณ์พามา ผมก็คงต้องไหลไปตามน้ำ
ผมบิดกายอย่างเมื่อยล้าตื่นขึ้นมาท่ามกลางผู้หญิงที่นอนแก้ผ้าล่อนจ้อนหลับไหลอยู่รอบกาย ผมลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวใหม่ ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่มีเสื้อผ้าราคาแพงอยู่เป็นร้อยๆ ตัว ใส่ทั้งปีก็ไม่มีทางซ้ำ เสร็จแล้วก็ออกมาเดินสำรวจเรือยอร์ชลำหรูของตัวเอง ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ภายในเป็นผับขนาดย่อม มีเสียงเพลงสากลเปิดคลอเบาๆ เวทีเล็กๆ ตั้งอยู่กลางห้องมีเสาอะลูมิเนียมตั้งอยู่ 2 ต้น บาร์เครื่องดื่มทางซ้ายมือมีบาร์เทนเดอร์ประจำอยู่ ส่วนทางขวามีโต๊ะพูล เล้งกำลังก้มๆ เงยๆ เล็งลูกพูลโดยมีสองสาวยืนเชียร์อยู่อย่างดี๊ด๊า
“อ้าว เสร็จกิจแล้วหรอเพื่อน” เล้งแซวเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอผม ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ส่งยิ้มให้อย่างพอใจ
“มาดวลกันสักเกมส์ดีกว่า นึกถึงสมัยตอนอยู่ฮาร์วาร์ด” เขาท้าก่อนจะไล่สาวๆ ขึ้นไปเต้นบนเวที เสียงดนตรีถูกเปลี่ยนเป็นจังหวะเร้าใจ พวกหล่อนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชะเวิบชะวาบร่อนกายตามจังหวะเพลงกับเสาที่ตั้งอยู่บนเวทีคนละต้น ดูแล้วก็บันเทิงตาดีเหมือนกัน ผมกับเล้งดวลเกมส์กันอยู่พักใหญ่ แทงพูลไปจิบวิสกี้ไปในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายชนะ
“ฉันแพ้นายตลอดเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไร” เล้งพูดขึ้น ไม่แน่ใจว่าในน้ำเสียงมีความเจ็บแค้นเจือปนอยู่ด้วยหรือไม่ ผมฟังไม่ทันแต่ใบหน้าเขาก็ยังยิ้มแย้มดี
“ไปหละ” ผมบอก
“จะไปไหนหละ” เขาถามตามหลัง
“เดินเล่น” ผมตอบสั้นๆ ขณะเดินออกจากผับ ถัดกันนั้นไม่ไกลมีโรงภาพยนต์ขนาดย่อม ผมจึงลองเข้าไปสำรวจ ภายในถึงจะไม่ได้โอ่โถงเท่าโรงภาพยนต์ในห้างสรรพสินค้า แต่ก็หรูหราและสะดวกสบายไม่น้อย ผมนั่งลงบนโซฟากำมะหยี่สีแดงเข้มขนาดใหญ่ก่อนที่จอภาพจะฉายหนังขึ้นอัตโนมัติ ผมเอนกายนอนดูสบายใจเฉิบจนจบเรื่อง ขณะที่จอฉายหนังเปลี่ยนเป็นสีดำและมีตัวหนังสือวิ่งขึ้นนั้นเองผมเห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ข้างหลังในมือถือมีดครัวเล่มใหญ่
“เล้ง!!!” ผมอุทานอย่างตกใจ เมื่อหันมาพบว่าคนนั้นคือเพื่อนสนิทของตัวเอง เขามองมาด้วยแววตามาดร้ายสุดๆ
“ไอ้ทอง กูจะฆ่ามึง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“เล้งใจเย็นๆ นายโกรธฉันเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องสารปนเปื้อนในอาหารของโรงงานนาย ฉันขอโทษนะ เรามาค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันดีกว่า” ผมพยายามเกลี้ยกล่อม
“ทุกเรื่องนั้นแหละไม่ใช่แค่เรื่องนั้นหรอก ตั้งแต่เรื่องเรียน เรื่องวิภาดา เรื่องธุรกิจ เรื่องสมาคม ทำไม ทำไมมึงถึงได้ทุกอย่าง ทำไมกูต้องเป็นลูกกะจ๊อกของมึงตลอด” เขาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ผมก็ถอยหลังจนจะติดจอฉายหนังอยู่แล้ว ที่เขาพูดเมื่อกี้นี้ผมสะดุดอยู่คำหนึ่ง เรื่องวิภาดา วิภาดาคือใคร???
“เล้งฉันว่านายอาจจะเมา ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่านะเพื่อน อย่าทำอย่างนี้เลย”
“หึหึ ไม่ให้ทำอย่างนี้แล้วจะให้ทำยังไงวะ กูทนไม่ไหวแล้ว” เขาตวาด
“คนเราแค่คิดดี ทำดี พูดดี ทุกอย่างก็จะดีเอง” ผมไม่รู้จะงัดอะไรมาพูดเพื่อให้สถานการณ์นี้ดีขึ้น จึงหยิบคำสอนของพ่อที่กรอกหูอยู่เป็นประจำมาใช้ ทั้งๆ ที่ผมเองก็ไม่ยักกะอินเท่าไหร่
“ฮ่าๆๆๆ อยากจะหัวเราะให้ฟันหัก คิดดี ทำดี พูดดี อย่างกับมึงเป็นคนดีมากอย่างนั้นแหละ ทุกวันนี้ที่มีทุกอย่างได้ไม่ใช่เพราะมึงทำแต่เรื่องชั่วๆ หรอวะ”
“นายพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“หึหึ ใช่มึงอาจจะหัวดีที่เรียนจบได้เกียรตินิยมมาอย่างใสสะอาด แต่ธุรกิจที่มึงไปเทคโอเวอร์คนอื่นมาได้ในราคาถูกก็เพราะจ้างคนไปเป็นหนอนบ่อนไส้ทำโรงงานเขาเกือบเจ๊ง ไหนจะชอบปั่นหุ้นอีก วิภาดาเห็นมึงรวยกว่าเลยทิ้งกูไปแต่งงานกับมึง แล้วที่ได้เป็นประธานสมาคมอุตสาหกรรมก็เพราะยัดเงินใต้โต๊คณะกรรมการทุกคน พอได้เป็นประธานสมใจมึงก็ทำงานเอื้อผลประโยชน์ให้แต่ธุรกิจตัวเอง เรื่องหาเงินมึงนี่หัวหมอจริงๆ กูยอมรับว่าสู้ไม่ได้เพราะเลวไม่เท่ามึง คนอย่างมึงนี่มันเลวบริสุทธิ์ ไม่มีความดีเจือปนเลย” เขาเล่าเป็นฉากๆ ผมตกใจมาก ไม่คิดว่าเรื่องที่เขาพูดจะเป็นความจริง ทองที่ผมรู้จักไม่ใช่คนอย่างนั้น
“อย่าอยู่เลยมึง ไอ้ทอง!!!” พูดจบก็เดินตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดีที่ผมเบี่ยงตัวหนีได้ทัน จึงรีบวิ่งออกมาจากโรงภาพยนต์ ข้างนอกมีบอดีการ์ดรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูตสีดำ สวมแว่นตาดำ ยืนมือไพล่หลังหน้านิ่งอยู่เกือบ 10 คน
“เล้งจะฆ่าฉัน ถ้าเขาออกมารีบจับตัวไว้เลยนะ” ผมสั่ง พวกนั้นไม่หือไม่อืออะไร พูดไม่ทันขาดคำเล้งก็เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าที่สงบกว่าเมื่อครู่นี้ เขายื่นมีดให้บอดีการ์ดคนหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“จัดการมัน” พูดจบก็เดินจากไปอย่างเย็นชา กลุ่มบอดีการ์ดมองผมเป็นตาเดียว พวกนั้นเป็นคนของเล้ง ผมก้าวเท้าถอยช้าๆ ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยความร้อนรน แต่มือปืนพวกนั้นดูไม่รีบร้อนที่จะตามมาเท่าไหร่นัก คงคิดว่ายังไงผมก็ไม่มีทางรอดอยู่แล้ว ผมวิ่งออกมาหยุดอยู่บริเวณสระว่ายน้ำ เห็นพวกบอดีการ์ดเดินเรียงหน้ากระดานเข้ามาชักปืนออกจากซองที่เน็บอยู่กับเข็มขัด ผมกลายเป็นเป้านิ่ง!
“ใครก็ได้ ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!” ผมแหกปากร้องอย่างสิ้นคิด อยู่กลางมหาสมุทรแบบนี้ใครที่ไหนจะมาช่วยได้ ทันใดนั้นเองเสียงเจ็ทแพ็คก็ดังมาแต่ไกลและบินใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ใครหรืออะไรบางอย่างจะทิ้งตัวลงมาตรงหน้าผม
“ทองไม่ต้องกลัวนะ พวกเราจะปกป้องคุณเอง” หมาสีดำตัวใหญ่ยืนสองขาความสูงเกือบเท่าผมพูดขึ้นขณะถอดเจ็ทแพ็คออก หมาพูดได้เนี่ยนะ!!!??? แถมยังยืนสองขาอีก!!!??? ผมอาจจะกลัวตายจนขี้ขึ้นสมองเลยเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
“ทองหนีไปหาที่ซ่อนตัว ตรงนี้พวกเราจัดการเอง” หมาอีกตัวบอก ตัวนี้สีขาวมีลายด่างๆ สีดำทั่วตัว ไม่เท่านั้นในมือพวกมันยังถือปืนเอ็ม 16 ไว้ด้วย โว๊ะ!!! บ้าไปกันใหญ่แล้ว
“ไปสิทอง เร็วเข้า!!!” หมาสีดำสั่งเสียงเข้ม ผมจึงรีบวิ่งมาหลบหลังอ่างน้ำวนที่อยู่ใกล้กันนั้น เสียงปืนดังขึ้นเปรี้ยงปร้าง ผมแอบดูการต่อสู้ที่แสนดุเดือดระหว่างหมาพูดได้กับบอดีการ์ดสมุนของเล้ง เจ้าหมาสองตัวนั้นหลบกระสุนอย่างคล่องแคล่ว แถมท่ายิงปืนเท่ห์อย่างกับเอฟบีไอ พวกบอดีการ์ดโดนกระสุนล้มไปสองสามคนจึงมีที่ว่างพอให้ผมวิ่งหลบเข้าไปในตัวเรือได้ ผมลงมาที่ชั้นล่างจึงรู้ว่ามีห้องใต้ท้องเรือที่อยู่ลึกลงไปในทะเลด้วย ผมเดินไปตามป้ายบอกทางคิดว่าที่นั่นน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว
ผมหยุดอยู่หน้าประตูทรงกลมมีที่เปิดลักษณะเหมือนพวงมาลัยเรือสีดำอยู่ตรงกลาง ผมหมุนๆ จนประตูเปิดออกและเมื่อก้าวเข้ามาก็ต้องตกใจมากเมื่อเห็นภาพโลกใต้ท้องทะเลอยู่ภายในนั้น ปลาตัวเล็กแหวกว่ายเป็นฝูงใหญ่ ปะการังสีสดหลากหลายสีพริ้วไหวไปตามกกระแสน้ำ ห้องนี้ผนัง เพดานและพื้นทำจากกระจกหนาเหมือนตู้กระจกที่ยื่นออกไปจากตัวเรือ ทำให้เห็นความสวยงามใต้ท้องทะเลได้ทุกทิศทุกทาง ปลาฉลามตัวหนึ่งว่ายผ่านหัวผมไป ผมยืนมองตาค้างโดยลืมไปแล้วว่ากำลังหนีตายอยู่
“อ้าวทองมาทำอะไรอยู่ตรงนี้” เสียงที่ดังขึ้นทำผมขนลุกขนชัน พึ่งนึกได้ว่ายังไม่ปิดประตู ผมค่อยๆ เอี้ยวคอหันมามองต้นเสียงอย่างช้าๆ เล้งยืนยิ้มให้อย่างน่ากลัว น่าสยดสยอง หรือจะเรียกอะไรก็ได้ที่ทำให้หัวใจผมหล่นวูบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“อ้าวเล้ง ดูปลาไหม” ผมถามกลับอย่างบ้าบอ นึกอะไรถึงไปถามมันอย่างนั้น ดูเหมือนว่าเล้งจะไม่ตลกด้วย เขาเดินตรงเข้ามาชกผมอย่างแรงจนล้มลงไปกอง
“มึงคิดหรอว่าจะรอด” เล้งถามอย่างเลือดเย็น
“อย่าทำอย่างนี้เลยนะเล้ง ต่อให้นายฆ่าฉันได้ ยังไงนายก็หนีไม่พ้นตารางอยู่ดี”
“ฮ่าๆๆๆ มันก็ไม่ได้ยากหนิ แค่โยนศพมึงให้ฉลามกินพอกลับไปก็บอกทุกคนว่ามึงเมาแล้วผลัดตกลงไปเอง แค่นี้ก็ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องได้แล้ว” เขาบรรยายถึงแผนการที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี เล้งจับผมยืนขึ้น ผมอาศัยจังหวะนั้นพุ่งตัววิ่งหนีออกมาจากห้องชมวิวใต้ทะเล เพื่อจะกลับขึ้นไปข้างบน แต่ดันมีบอดี้การ์ดลูกสมุนของเล้ง 2 คนยืนขวางบันไดอยู่
“จับมัน!!!” เล้งที่ตามออกมาทีหลังสั่งเสียงดัง สมุนของเขาเดินตรงเข้ามาหาผม ยังไงคราวนี้ผมคงไม่รอดแน่ ผมสิ้นหวังแล้ว ผมจะไม่หนีและไม่กรี๊ด ขณะที่ผมหลับตาเพื่อนึกถึงหน้าพ่อกับแม่เป็นครั้งสุดท้าย ทันใดนั้นเองเจ้าหมาตัวสีดำก็กระโจนเข้ามายืนขวางผมเอาไว้
“อย่าแตะต้องนายข้า” เจ้าหมาตัวนั้นบอกเสียงเข้ม หน้าตาดุดัน
“นี่มันเรื่องของคนหมาไม่เกี่ยว จับมัน!!!” เล้งตะโกนสั่ง ผมแปลกใจที่เล้งและลูกสมุนดูไม่ตกใจเลยที่เห็นหมาพูดได้และยืนสองขาเหมือนคน
“ทองหนีไป!!!” เจ้าหมาหันมาบอกผมก่อนจะแลกหมัดกับบอดีการ์ดสองคนนั้น ท่วงท่าอย่างกับคนที่ถูกฝึกการต่อสู้มา ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูกคืออย่างกับหมาที่ถูกฝึกการต่อสู้มาต่างหาก
“ไปสิทอง!!!” มันสั่งเสียงดัง เลยนึกขึ้นได้ว่าต้องหนี ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
“เห้ย!!! จะหนีไปไหนไอ้ทอง” เล้งตะโกนตามหลัง เขาคงตามมาทันในอีกไม่ช้า ผมวิ่งออกมายังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ด้านนอก คิดว่านี่เป็นทางเดียวที่จะพาตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้ ถ้าหากว่าผมขับเจ้าแมงปอยักษ์นั่นเป็นนะ ยังไม่ทันที่ผมจะไปถึง ลูกสมุนของเล้งก็โผล่มาอีกเกือบ 10 คน
“ฮ่าๆๆๆ มึงคิดหรอว่าจะหนีพ้น” เล้งพูดแล้วหัวเราะเสียงดังอย่างเหี้ยมเกรียม เจ้าหมา 2 ตัวอาวุธครบมือเข้ามาป้องกันผม พวกมันพาผมวิ่งหลบกระสุนของฝ่ายตรงข้ามที่สาดเข้ามาอย่างกับห่าฝน ก่อนจะยิงโต้ตอบจนสมุนของเล้งร่วงไปหลายคน พวกมันพาผมวิ่งมาจนถึงขอบเรือ
“โดด!!!” ตัวสีดำสั่งเสียงดัง
“จะบ้าหรอ” ผมแย้ง ใครจะบ้ากระโดดลงไป ถึงจะรอดจากสมุนของเล้งได้ แต่ก็ต้องกลายเป็นอาหารฉลามอยู่ดี
“ด่างนายพาทองโดดลงไปก่อน”
“รับทราบ” เจ้าด่างคว้าตัวผมแล้วกระโจนลงจากเรืออย่างรวดเร็ว ผมหลับตาปี๋กลั้นหายใจไว้ก่อน เตรียมตัวดำดิ่งสู่ท้องทะเล แต่ว่า... ตุ๊บ!!! ร่างกายของผมกระแทกกับพื้นแข็งๆ แทนที่จะเป็นน้ำทะเลเย็นสดชื่น ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นพบว่าตัวเองอยู่บนสปีดโบ๊ทกับหมา 3 ตัว เจ้าตัวสีดำและตัวลายด่างยืนยิงป้องกันอยู่ท้ายเรือ ส่วนตัวสีขาวขับเรือ โว๊ะ!!! หมาขับเรือเนี่ยนะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ผมชักจะประสาทกินแล้ว
“นวลเร่งความเร็วเต็มกำลัง พวกมันกำลังจะใช้จรวด!!!” เจ้าด่างตะโกนบอก
“รับทราบ” ตัวที่ถูกเรียกว่านวลตอบรับพร้อมเร่งเครื่องเต็มที่ ผมมองไปยังเรือยอร์ชที่อยู่ไกลออกไปพอสมควรแล้ว เห็นมีลำแสงสว่างวาบขึ้นที่ข้างๆ ลำเรือ
“มันไม่ใช่จรวดธรรมดา มันคือมิสซายด์จับพิกัด!!!” เจ้าด่างว่าหลังจากใช้กล้องส่องทางไกลดูอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง
“ทุกคนใช้แผนบี” เจ้าตัวสีดำสั่ง
“รับทราบ” หมาอีกสองตัวขานรับอย่างพร้อมเพรียง เจ้านวลหักพวกมาลัยเลี้ยวกลับไปยังเรือยอร์ช ส่วนเจ้าด่างรื้ออาวุธยุทโธปกรณ์บางอย่างออกมาประกอบอย่างรีบเร่ง และเจ้าตัวสีดำยังยืนรั้งอยู่ท้ายเรือท่าทางเตรียมพร้อมลุยทุกสถานการณ์ ไม่นานจรวดก็พุ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา ทันใดนั้นเจ้าด่างก็ลุกขึ้นยิงบางสิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้จรวดนั้นเปลี่ยนวิถีจากสปีดโบ๊ทไปหาสิ่งนั้นแทน ตู้ม!!! เสียงระเบิดดังตูมใหญ่แสงสีส้มสว่างวาบบนท้องฟ้าเป็นวงกว้าง
“นั่นอะไรน่ะ???” ผมสงสัยว่ามันยิงอะไรออกไป ถึงได้ทำให้จรวจเปลี่ยนเป้าหมาย
“แฟลร์น่ะ ลูกไฟชนิดหนึ่งที่มีความร้อนสูง จรวดมันล็อคเป้าหมายจากความร้อน เราก็แค่ล่อให้มันไปอีกทาง” เจ้าด่างอธิบายในมือก็ยังง้วนอยู่กับเจ้าลูกแฟลร์หรือลูกไฟอะไรนั่น ไม่ทันไรจรวดอีกลูกก็พุ่งตรงเข้ามา เจ้านวลขับตีโค้งอ้อมเรือยอร์ชไปทางด้านหลังในระยะที่ไม่ห่างมากนัก ทำให้เจ้าตัวสีดำต้องคอยยิงโต้กับสมุนของเล้งที่สาดกระสุนเข้ามา จังหวะนั้นเองเจ้าด่างยิงแฟลร์ใส่เรือยอร์ช จรวดเปลี่ยนเป้าหมายตามลูกแฟลร์นั้นไปทันที ตูม!!! เรือยอร์ชของผมโดนจรวดเข้าไปเต็มๆ จนพังเป็นแถบใหญ่ ที่เสียหายที่สุดน่าจะเป็นห้องเครื่องยนต์ เล้งและสมุนคงไม่สามารถตามมาฆ่าผมได้อีกแล้วอย่างน้อยๆ ก็ตอนนี้
ผมคิดว่ามันจะจบแล้วแต่ไม่เป็นเช่นนั้น มีสปีดโบ๊ท 3 ลำขับมาจากเรือยอร์ชตรงเข้ามาหาพวกเรา บนเรือยอร์ชนั่นเก็บสปีดโบ๊ทไว้ด้วยหรอเนี่ย
“กัดไม่ปล่อยจริงๆ” เจ้านวลพรึมพรำพรางเร่งเครื่องหนีเต็มกำลัง แต่สมุนของเล้งก็ยังตามมาได้ เรือของเราโดนประกบซ้ายขวาเรียกได้ว่ากำลังเข้าตาจน
“ไม่ได้การแล้วด่าง เอาบาซูกาออกมา” เจ้าตัวสีดำสั่งการ ห๊ะ!? อะไรนะ!? บาซูกาหรอ!? หมามีบาซูกา!!! โว๊ะ!!! ผมอยากจะเป็นบ้า
“รับทราบ” ว่าแล้วเจ้าด่างก็เปิดกระเป๋าอลูมิเนียมใบใหญ่ หยิบปืนบาซูกามาบรรจุกระสุนอย่างรีบเร่งแล้วส่งให้เจ้าตัวสีดำ
“ทักทายคุณแม่พวกแกหน่อยสิ” มันตั้งลำปืนพร้อมยิง พวกบอดีการ์ดเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีดกลับเรือแทบไม่ทัน คงคิดไม่ถึงว่าหมาจะมีบาซูกา เจ้าตัวสีดำสอยเรือสมุนของเล้งร่วงไป 2 ลำ ส่วนอีกลำที่รอดไปได้ก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังเรือยอร์ชของผม
“นั่นมันเรือของฉัน ทำไมมีแต่คนของเล้งเต็มไปหมด” ผมถามอย่างสงสัย
“เล้งทำการเปลี่ยนชุดบอดีการ์ดที่ฝั่งก่อนจะออกเรือมา บอดีการ์ดของคุณถูกวางยา” เจ้านวลเล่า
“เล้งฆ่าบอดีการ์ดของฉันหมดเลยหรอ ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น”
“เขาวางแผนจะฆ่าคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้วน่ะสิ” เจ้าตัวสีดำบอก
“ฉันไปทำอะไรให้เขาเกลียดนักหนา ฉันไม่เข้าใจ”
“ใครที่รู้จักคุณก็เกลียดคุณทั้งนั้นแหละทอง” เจ้าด่างตอบข้อสงสัยของผม
“ทำไมหละ ฉันทำอะไรไม่ดีอย่างนั้นหรอ”
“ก็ทุกอย่างที่คุณทำนั้นแหละทั้งฉ้อโกง เห็นแก่ตัว เผด็จการ เหลี่ยมจัด เลือดเย็น อำมหิต ไร้มนุษยธรรม และก็อื่นๆ อีกมากมายเล่าวันเดียวก็ไม่จบ” เจ้าตัวสีดำบรรยายยาวเหยียด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมในอนาคตหลังจากถูกลอตเตอรี่รางวัลแจ็คพ็อตจะเป็นคนแบบนั้น เงินเปลี่ยนผมกลายเป็นอีกคนอย่างนั้นหรือ
“แล้วพวกนายเป็นใคร ถ้าฉันเลวขนาดนั้นจะมาช่วยเหลือฉันทำไม ไม่ปล่อยให้ฉันตายๆ ไปซะ” ผมถามอย่างหงุดหงิดเพราะรู้สึกเหมือนถูกหมารุมด่า
“พวกเราคือผู้พิทักษ์คุณยังไงหละ ฉันนวล นั่นพี่ดำและพี่ด่าง” เจ้านวลแนะนำตัว
“เราไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดีหรือคนเลว เมื่อใดที่คุณตกอยู่ในอันตราย พวกเรามีหน้าที่ปกป้องคุณ” เจ้าด่างพูดขึ้นบ้าง
“ทำไม???”
“คุณจำได้ไหมตอนที่คุณเป็นเด็กเข็นผักอยู่ในตลาดสด คุณเคยแบ่งลูกชิ้นเอ็นหมูให้พวกเรากิน” เจ้าดำท้าวความ ผมจำได้แน่นอนเพราะเหตุการณ์พึ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ผมจะกดปุ่ม Skip และพาตัวเองมาอยู่ที่นี่
“อ๋อ ไอ้ดำ ไอ้ด่าง นังนวล”
“ใช่แล้ว” เจ้าดำย้ำความเข้าใจของผมให้ชัดเจนขึ้น
“แล้วนี่เราจะไปไหนกัน” ผมถามต่อ
“พาคุณกลับคฤหาสน์ยังไงหละ” เจ้านวลตอบ
“คฤหาสน์หรอ!?” ผมเผลอทำเสียงตื่นเต้นออกไป
“ใช่สิ มันใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าบ้านแล้วหละ” เจ้าด่างบอก พวกมันพาผมมุ่งหน้าไปยังฝั่งที่ใกล้ที่สุด แล้วเปลี่ยนมาขึ้นเครื่องบินส่วนตัว ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองมีเครื่องบินส่วนตัวด้วย ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยขึ้นเครื่องบินเลยสักครั้ง ผมมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างตื่นเต้นตลอดการเดินทาง แต่ตื่นเต้นที่กำลังจะกลับไปคฤหาสน์มากว่า เมื่อไหร่จะถึงนะ
ผมลืมตาช้าๆ ภาพที่เห็นเบลอและโคลงเคลงจนดูไม่รู้เรื่อง จึงคลำหาทางลงจากเตียง แต่มือดันกวาดไปโดนข้าวของบนโต๊ะเล็กๆ ข้างหัวเตียง จากการสัมผัสดูมีอยู่ชิ้นหนึ่งเป็นแว่นตา ผมจึงหยิบขึ้นมาใส่แล้วทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้นทันที!
“โอ้โห้!!! นี่มันอะไรกันเนี่ย???” ผมเปล่งเสียงอุทานออกมาจากเซลล์ปอดด้วยความตกตะลึง ความอึ้ง ความทึ่ง หรือจะเรียกว่าอะไรก็ได้ที่เป็นขั้นสุงสุดของคำว่าตกใจ ผมพบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนสุดหรูหรา หรูมากจนอยากจะเพิ่มกอไก่อีกหลายๆ ตัวตรงคำว่ามาก ผนังห้องเป็นวอลเปเปอร์สีครีมแบบผู้ดีมีลวดลายเป็นลายไทยสีทอง เตียงนอนกว้างขวางสีครีมขาวตัดลายทองเช่นกัน ปลายเตียงมีโซฟาเล็กๆ โต๊ะข้างหัวเตียงทั้งสองฝั่งมีโคมไฟสไตล์เรียบหรูประดับอยู่ ไม่เท่านั้นที่เพดานยังมีแชงเดอเรียสีทองห้อยระย้าลงมาอีกด้วย
“โห ไม่เปลืองค่าไฟแย่หรอวะ” ผมพูดอยู่คนเดียว มันดูเยอะเกินความจำเป็นนะผมว่า ใกล้กันนั้นเป็นห้องทำงานมีโต๊ะไม้สีแดงเข้มขัดเงาวาววับกับเก้าอี้เข้าชุด มีโซฟาหนังชุดใหญ่สีคุมโทนแบบเดียวกัน และตกแต่งด้วยแจกันหินอ่อนทรงสูงแต่กลับไม่มีดอกไม้ประดับอยู่
“เอามาวางไว้เฉยๆ เนี่ยนะ?” ผมบ่นตามประสา นี่อาจเป็นวิถีชีวิตของคนรวยที่ผมยังไม่เข้าใจก็ได้ หลังโซฟามีตู้หนังสือบิวท์อินขนาดใหญ่ หนังสือเรียงเป็นตับ ถัดกันนั้นคือเตาผิงสไตล์ตะวันตก ผมกำลังชื่นชมความสวยงามของสิ่งต่างๆที่ไม่คุ้นตา อยู่ดีๆ ก็รู้สึกปวดฉี่ขึ้นมาจึงเดินหาห้องน้ำ ซึ่งพบว่าอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น เมื่อเข้าไปด้านในก็ต้องตกตะลึงกับห้องน้ำที่กว้างขวางเอามากๆ มีการแบ่งพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน โซนอ่างอาบน้ำจากุซซี่อยู่ด้านในสุด และห้องอาบน้ำฝักบัวอยู่ถัดออกมา ผมหยุดชื่นชมความงามของห้องน้ำสักครู่ รีบตรงมาที่ชักโครกทำกิจธุระของตัวเองให้เรียบร้อย ที่อ่างล้างหน้าก๊อกน้ำระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติเป็นแท่งสีทองยาวโค้งลงมา มีสบู่รูปทองคำแท่งวางอยู่ใกล้ๆ ผมจึงหยิบมาใช้อย่างหรรษา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาหวังจะเช็คความหล่อของตัวเองแต่กลับต้องตกใจสุดขีด
“เห้ย!!! นี่ใครวะเนี่ย???” ผมร้องลั่นเมื่อเห็นเงาสะท้อนในกระจกเป็นชายอายุ 50 ปลายๆ สวมแว่นสายตาแทนที่จะเป็นผมที่หลอเหลาคนเดิม ผมลองขยับแขนขยับตัวเพื่อเช็คดูว่านั่นเป็นผมจริงๆ หรือผีแก่ตัวนึงกันแน่
“นั่นใคร? ใช่ข้าหรอ?” ผมถาม เงานั่นไม่ตอบเอาแต่ทำหน้างง เมื่อลองส่องกระจกดูใกล้ๆ สำรวจใบหน้าพบว่ามีเค้าเดิมของผมอยู่ เพียงแต่แก่กว่ามาก ผมลูบใบหน้าที่เหี่ยวย่น ไม่ใช่แค่ใบหน้ามือก็เช่นกัน เส้นผมขาวเกือบทั่วทั้งหัว ขณะใช้มือสางผมก็พบรอยเนื้อนูนๆ คล้ายตะเข็บรอยเย็บซ่อนอยู่ภายใต้ผมดก
“เอ็งดึงหน้ามาด้วยหรอทอง นี่ขนาดดึงแล้วนะเนี่ย ยังเหี่ยวได้ขนาดนี้” ผมคุยกับตัวเอง นี่อาจเป็นผมในอนาคตที่รวยแล้ว หลังจากถูกลอตเตอรี่รางวัลแจ็คพอตที่ซื้อมาจากลุงตาบอดก็ได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึง Skip มาไกลขนาดนี้ มาซะตอนแก่จวนจะลงโลงอยู่แล้ว ยังดีนะที่หัวไม่ล้าน ผมคิดเล่นๆ
ผมออกจากห้องน้ำมาอย่างคิดอะไรไม่ออกเพราะตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมหันมาสนใจผ้าม่านสีครีมหรูหราผืนใหญ่ที่ปิดไว้มิดชิดกีดกันผมออกจากโลกภายนอก นึกสงสัยว่าภาพหลังม่านนั้นจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหนกันแน่ ผมเอื้อมมือเหี่ยวๆ ไปสัมผัสม่านนั่นก่อนจะรูดเปิดอย่างรวดเร็ว
“เห้ย!!! นี่มันที่ไหนวะเนี่ย!!!???” ผมช็อคมากเมื่อเห็นผืนทะเลกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา จนมองไม่เห็นฝั่ง ผมรีบหาทางออกจากห้องนี้ พอออกมาได้ก็วิ่งเข้าหาแสงสว่างที่เห็นอยู่ไม่ไกลนัก ประตูกระจกเลื่อนเปิดอัตโนมัติเมื่อผมเข้ามาใกล้
“เห้ย!!! นี่มัน...อะไรกันเนี่ย???” ผมเดินเซเหมือนคนเสียสติออกมายังบริเวณลานกลางแจ้งชั้นบนสุดของเรือยอร์ชลำใหญ่ มองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำทะเลสีคราม ไม่ไกลนั้นมีชุดโต๊ะเก้าอี้สไตล์โมเดิร์นวางอยู่ คงมีไว้สำหรับนั่งชมวิว เมื่อมองลงมาชั้นถัดไปมีสระว่ายน้ำใหญ่มุมขอบมนโค้ง รอบๆมีที่นั่งและร่มกันแดดจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ และลานชั้นล่างกว้างที่สุดมีเฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ 1 ลำ ผมยืนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นานมากนานพอที่จะอิ่มลมเลยทีเดียว
สายตาของผมเหลือเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ จึงรีบเดินไปหยิบขึ้นมาเพื่อดูวันที่
"15 เมษายน พ.ศ.2600! สะสะสองพันหกร้อย!"
“อ้าวทองอยู่นี่เองหรอ หาตั้งนาน” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง ผมหันไปหาต้นเสียงเห็นชายรูปร่างอ้วน ผิวขาวเหลือง ศีรษะล้าน หน้าตาดูเจ็กๆ เดินเข้ามา
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้หละ ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” เขาพูดพรางโอบไหล่ผมอย่างสนิทสนม
“เอ่อ ที่นี่ที่ไหนหรอก” ผมเลียบถาม
“ถามอะไรอย่างนั้น ก็มหาสมุทรแปซิฟิกยังไงหละ นายเป็นคนชวนฉันมาเองจำไม่ได้หรอ” เขาตอบ ระหว่างที่เดินไปห้องอาหาร ตาคนนี้ก็เอาแต่พูดพล่ามไม่หยุด จนผมได้ข้อมูลว่าเขาชื่อเล้งเป็นเพื่อนสมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ เขาเป็นนักธุรกิจรายใหญ่ในอุตสาหกรรมผลิตอาหาร และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการสมาคมอุตสาหกรรม ส่วนผมไอ้ทองเด็กสลัมจนๆ หลังจากถูกลอตเตอรี่รางวัลแจ็คพ็อตก็ส่งตัวเองไปชุบตัวที่เมืองนอกเมืองนา เรียนจบกลับมาก็มาทำธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตเครื่องจักรเป็นเวลา 20 กว่าปีแล้ว และผมยังได้รับเลือกให้เป็นประธานสมาคมอุตสาหกรรมอีกด้วย ที่สำคัญเรือยอร์ชสุดหรูลำนี้เป็นของผมเอง ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้ คิดแล้วก็ลำพองใจอยู่ไม่น้อย
ห้องอาหารอยู่ชั้นสองเป็นห้องกระจกทำให้มองเห็นสระว่ายน้ำด้านนอก มีสาวสวยหุ่นนางแบบใส่ชุดบิกินี่เล่นน้ำหยอกล้อกันอยู่สี่ห้าคน ทำเอาผมตาค้างในความน่ารักเซ็กซี่ของพวกหล่อน
“เป็นยังไงหละ เด็กๆ ที่ฉันจัดหามาให้ ถูกใจไหม” เล้งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถามขึ้น
“เอ่อ...อืม” ผมไม่รู้จะตอบยังไง ผู้หญิงพวกนั้นสวยมากจริงๆ มะลินี่เทียบไม่ติด ผมนั่งชื่นชมอย่างเพลิดเพลินระหว่างรออาหาร ไม่นานบริกรก็มาพร้อมอาหารเช้าที่ส่งกลิ่นหอมหวลชวนรับประทาน จานใบใหญ่มีไข่ดาว 2 ฟองไข่แดงตรงกลางไม่สุกดี มีแฮม เบคอน มันบด ไส้กรอก ขนมปังกระเทียม และผักออแกนิกจัดวางอย่างสวยงาม มีซุปข้าวโพดสีสันน่ารับประทานวางอยู่ใกล้ๆ เครื่องดื่มเป็นไวน์แดงและน้ำเปล่า ผมกลืนน้ำลายเอือกอย่างหิวโหย ก่อนจะจัดการซัดทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า จุดนี้ทำผมลืมอาหารฝีมือแม่ไปเลย ขณะที่ผมกำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารที่ไม่เคยกินมาก่อน เล้งกลับนั่งนิ่งมองแต่หน้าผม
“ไม่กินหรอ” ผมถาม
“ไม่ค่อยหิวน่ะ” เขาตอบด้วยสีหน้าอ่านยาก ผมจึงหยิบผ้ามาเช็ดปากแล้วค่อยๆ กินอย่างมีมารยาท
“ทอง จำเรื่องที่ฉันขอนายไว้ได้ไหม” เล้งเปรยถาม ผมทำหน้างงเพราะไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“เรื่องที่ตรวจพบสิ่งปนเปื้อนในอาหารของโรงงานของฉันน่ะ ในฐานะที่นายเป็นประธานสมาคมและเป็นเพื่อนฉัน นายจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ได้ไหม” เขาขอร้อง
“แต่โรงงานนายผลิตอาหาร ถ้ามีสิ่งปนเปื้อนคนซื้อไปกินอาจเป็นอันตรายก็ได้นะ จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ยังไง” ผมตอบซื่อๆ ตามประสา แค่คิดว่าคนเราควรกินอาหารที่สะอาดไม่อย่างนั้นอาจทำให้ท้องเสียดีไม่ดีเข้าห้องน้ำไม่ทันขี้แตกอีก พอได้ยินดังนั้นเล้งก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที ผมเริ่มคิดว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“ฮ่าๆๆ นั่นสินะ” อยู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเป็นหัวเราะดัง ผมตกใจเล็กน้อย ปรับอารมณ์ตามเขาไม่ทันจึงได้แต่ยิ้มแห้ง และทานอาหารตรงหน้าต่อ เมื่ออิ่มแล้วผมกับเล้งก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดว่ายน้ำ ไปนอนดูสาวๆ เล่นน้ำที่ริมสระ จิบไวน์ดีๆ ไปด้วยช่างเพลิดเพลินจริงๆ ชีวิตคนรวยมันดีอย่างนี้นี่เอง สักพักสาวๆ หุ่นนางแบบพวกนั้นก็ขึ้นจากสระมานั่งประกบผมซ้ายขวา บีบนวดแขนขาให้อย่างออเซาะ ผมชอบนะ รู้สึกมีความสุขมากๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองดื่มไวน์ไปกี่แก้วหรือกี่ขวดแล้วเพราะตอนนี้มึนหัวไปหมด รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องนอนกับผู้หญิง 3 คน ผมไม่คิดว่าคนแก่อย่างผมจะสามารถรับมือกับผู้หญิง 3 คนไหวหรอกนะ จริงๆ แล้วอายุปูนนี้น่าจะเข้าวัดเข้าวามากกว่ามาทำเรื่องอะไรแบบนี้ แต่เมื่อสถานการณ์พามา ผมก็คงต้องไหลไปตามน้ำ
ผมบิดกายอย่างเมื่อยล้าตื่นขึ้นมาท่ามกลางผู้หญิงที่นอนแก้ผ้าล่อนจ้อนหลับไหลอยู่รอบกาย ผมลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวใหม่ ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่มีเสื้อผ้าราคาแพงอยู่เป็นร้อยๆ ตัว ใส่ทั้งปีก็ไม่มีทางซ้ำ เสร็จแล้วก็ออกมาเดินสำรวจเรือยอร์ชลำหรูของตัวเอง ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องๆ หนึ่ง ภายในเป็นผับขนาดย่อม มีเสียงเพลงสากลเปิดคลอเบาๆ เวทีเล็กๆ ตั้งอยู่กลางห้องมีเสาอะลูมิเนียมตั้งอยู่ 2 ต้น บาร์เครื่องดื่มทางซ้ายมือมีบาร์เทนเดอร์ประจำอยู่ ส่วนทางขวามีโต๊ะพูล เล้งกำลังก้มๆ เงยๆ เล็งลูกพูลโดยมีสองสาวยืนเชียร์อยู่อย่างดี๊ด๊า
“อ้าว เสร็จกิจแล้วหรอเพื่อน” เล้งแซวเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอผม ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ส่งยิ้มให้อย่างพอใจ
“มาดวลกันสักเกมส์ดีกว่า นึกถึงสมัยตอนอยู่ฮาร์วาร์ด” เขาท้าก่อนจะไล่สาวๆ ขึ้นไปเต้นบนเวที เสียงดนตรีถูกเปลี่ยนเป็นจังหวะเร้าใจ พวกหล่อนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชะเวิบชะวาบร่อนกายตามจังหวะเพลงกับเสาที่ตั้งอยู่บนเวทีคนละต้น ดูแล้วก็บันเทิงตาดีเหมือนกัน ผมกับเล้งดวลเกมส์กันอยู่พักใหญ่ แทงพูลไปจิบวิสกี้ไปในที่สุดผมก็เป็นฝ่ายชนะ
“ฉันแพ้นายตลอดเลย ไม่ว่าจะเรื่องอะไร” เล้งพูดขึ้น ไม่แน่ใจว่าในน้ำเสียงมีความเจ็บแค้นเจือปนอยู่ด้วยหรือไม่ ผมฟังไม่ทันแต่ใบหน้าเขาก็ยังยิ้มแย้มดี
“ไปหละ” ผมบอก
“จะไปไหนหละ” เขาถามตามหลัง
“เดินเล่น” ผมตอบสั้นๆ ขณะเดินออกจากผับ ถัดกันนั้นไม่ไกลมีโรงภาพยนต์ขนาดย่อม ผมจึงลองเข้าไปสำรวจ ภายในถึงจะไม่ได้โอ่โถงเท่าโรงภาพยนต์ในห้างสรรพสินค้า แต่ก็หรูหราและสะดวกสบายไม่น้อย ผมนั่งลงบนโซฟากำมะหยี่สีแดงเข้มขนาดใหญ่ก่อนที่จอภาพจะฉายหนังขึ้นอัตโนมัติ ผมเอนกายนอนดูสบายใจเฉิบจนจบเรื่อง ขณะที่จอฉายหนังเปลี่ยนเป็นสีดำและมีตัวหนังสือวิ่งขึ้นนั้นเองผมเห็นเงาของใครบางคนยืนอยู่ข้างหลังในมือถือมีดครัวเล่มใหญ่
“เล้ง!!!” ผมอุทานอย่างตกใจ เมื่อหันมาพบว่าคนนั้นคือเพื่อนสนิทของตัวเอง เขามองมาด้วยแววตามาดร้ายสุดๆ
“ไอ้ทอง กูจะฆ่ามึง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“เล้งใจเย็นๆ นายโกรธฉันเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องสารปนเปื้อนในอาหารของโรงงานนาย ฉันขอโทษนะ เรามาค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันดีกว่า” ผมพยายามเกลี้ยกล่อม
“ทุกเรื่องนั้นแหละไม่ใช่แค่เรื่องนั้นหรอก ตั้งแต่เรื่องเรียน เรื่องวิภาดา เรื่องธุรกิจ เรื่องสมาคม ทำไม ทำไมมึงถึงได้ทุกอย่าง ทำไมกูต้องเป็นลูกกะจ๊อกของมึงตลอด” เขาค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ผมก็ถอยหลังจนจะติดจอฉายหนังอยู่แล้ว ที่เขาพูดเมื่อกี้นี้ผมสะดุดอยู่คำหนึ่ง เรื่องวิภาดา วิภาดาคือใคร???
“เล้งฉันว่านายอาจจะเมา ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่านะเพื่อน อย่าทำอย่างนี้เลย”
“หึหึ ไม่ให้ทำอย่างนี้แล้วจะให้ทำยังไงวะ กูทนไม่ไหวแล้ว” เขาตวาด
“คนเราแค่คิดดี ทำดี พูดดี ทุกอย่างก็จะดีเอง” ผมไม่รู้จะงัดอะไรมาพูดเพื่อให้สถานการณ์นี้ดีขึ้น จึงหยิบคำสอนของพ่อที่กรอกหูอยู่เป็นประจำมาใช้ ทั้งๆ ที่ผมเองก็ไม่ยักกะอินเท่าไหร่
“ฮ่าๆๆๆ อยากจะหัวเราะให้ฟันหัก คิดดี ทำดี พูดดี อย่างกับมึงเป็นคนดีมากอย่างนั้นแหละ ทุกวันนี้ที่มีทุกอย่างได้ไม่ใช่เพราะมึงทำแต่เรื่องชั่วๆ หรอวะ”
“นายพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“หึหึ ใช่มึงอาจจะหัวดีที่เรียนจบได้เกียรตินิยมมาอย่างใสสะอาด แต่ธุรกิจที่มึงไปเทคโอเวอร์คนอื่นมาได้ในราคาถูกก็เพราะจ้างคนไปเป็นหนอนบ่อนไส้ทำโรงงานเขาเกือบเจ๊ง ไหนจะชอบปั่นหุ้นอีก วิภาดาเห็นมึงรวยกว่าเลยทิ้งกูไปแต่งงานกับมึง แล้วที่ได้เป็นประธานสมาคมอุตสาหกรรมก็เพราะยัดเงินใต้โต๊คณะกรรมการทุกคน พอได้เป็นประธานสมใจมึงก็ทำงานเอื้อผลประโยชน์ให้แต่ธุรกิจตัวเอง เรื่องหาเงินมึงนี่หัวหมอจริงๆ กูยอมรับว่าสู้ไม่ได้เพราะเลวไม่เท่ามึง คนอย่างมึงนี่มันเลวบริสุทธิ์ ไม่มีความดีเจือปนเลย” เขาเล่าเป็นฉากๆ ผมตกใจมาก ไม่คิดว่าเรื่องที่เขาพูดจะเป็นความจริง ทองที่ผมรู้จักไม่ใช่คนอย่างนั้น
“อย่าอยู่เลยมึง ไอ้ทอง!!!” พูดจบก็เดินตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ดีที่ผมเบี่ยงตัวหนีได้ทัน จึงรีบวิ่งออกมาจากโรงภาพยนต์ ข้างนอกมีบอดีการ์ดรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูตสีดำ สวมแว่นตาดำ ยืนมือไพล่หลังหน้านิ่งอยู่เกือบ 10 คน
“เล้งจะฆ่าฉัน ถ้าเขาออกมารีบจับตัวไว้เลยนะ” ผมสั่ง พวกนั้นไม่หือไม่อืออะไร พูดไม่ทันขาดคำเล้งก็เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าที่สงบกว่าเมื่อครู่นี้ เขายื่นมีดให้บอดีการ์ดคนหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“จัดการมัน” พูดจบก็เดินจากไปอย่างเย็นชา กลุ่มบอดีการ์ดมองผมเป็นตาเดียว พวกนั้นเป็นคนของเล้ง ผมก้าวเท้าถอยช้าๆ ก่อนจะหันหลังวิ่งหนีเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยความร้อนรน แต่มือปืนพวกนั้นดูไม่รีบร้อนที่จะตามมาเท่าไหร่นัก คงคิดว่ายังไงผมก็ไม่มีทางรอดอยู่แล้ว ผมวิ่งออกมาหยุดอยู่บริเวณสระว่ายน้ำ เห็นพวกบอดีการ์ดเดินเรียงหน้ากระดานเข้ามาชักปืนออกจากซองที่เน็บอยู่กับเข็มขัด ผมกลายเป็นเป้านิ่ง!
“ใครก็ได้ ใครก็ได้ช่วยด้วย!!!” ผมแหกปากร้องอย่างสิ้นคิด อยู่กลางมหาสมุทรแบบนี้ใครที่ไหนจะมาช่วยได้ ทันใดนั้นเองเสียงเจ็ทแพ็คก็ดังมาแต่ไกลและบินใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ใครหรืออะไรบางอย่างจะทิ้งตัวลงมาตรงหน้าผม
“ทองไม่ต้องกลัวนะ พวกเราจะปกป้องคุณเอง” หมาสีดำตัวใหญ่ยืนสองขาความสูงเกือบเท่าผมพูดขึ้นขณะถอดเจ็ทแพ็คออก หมาพูดได้เนี่ยนะ!!!??? แถมยังยืนสองขาอีก!!!??? ผมอาจจะกลัวตายจนขี้ขึ้นสมองเลยเพี้ยนไปแล้วแน่ๆ
“ทองหนีไปหาที่ซ่อนตัว ตรงนี้พวกเราจัดการเอง” หมาอีกตัวบอก ตัวนี้สีขาวมีลายด่างๆ สีดำทั่วตัว ไม่เท่านั้นในมือพวกมันยังถือปืนเอ็ม 16 ไว้ด้วย โว๊ะ!!! บ้าไปกันใหญ่แล้ว
“ไปสิทอง เร็วเข้า!!!” หมาสีดำสั่งเสียงเข้ม ผมจึงรีบวิ่งมาหลบหลังอ่างน้ำวนที่อยู่ใกล้กันนั้น เสียงปืนดังขึ้นเปรี้ยงปร้าง ผมแอบดูการต่อสู้ที่แสนดุเดือดระหว่างหมาพูดได้กับบอดีการ์ดสมุนของเล้ง เจ้าหมาสองตัวนั้นหลบกระสุนอย่างคล่องแคล่ว แถมท่ายิงปืนเท่ห์อย่างกับเอฟบีไอ พวกบอดีการ์ดโดนกระสุนล้มไปสองสามคนจึงมีที่ว่างพอให้ผมวิ่งหลบเข้าไปในตัวเรือได้ ผมลงมาที่ชั้นล่างจึงรู้ว่ามีห้องใต้ท้องเรือที่อยู่ลึกลงไปในทะเลด้วย ผมเดินไปตามป้ายบอกทางคิดว่าที่นั่นน่าจะปลอดภัยที่สุดแล้ว
ผมหยุดอยู่หน้าประตูทรงกลมมีที่เปิดลักษณะเหมือนพวงมาลัยเรือสีดำอยู่ตรงกลาง ผมหมุนๆ จนประตูเปิดออกและเมื่อก้าวเข้ามาก็ต้องตกใจมากเมื่อเห็นภาพโลกใต้ท้องทะเลอยู่ภายในนั้น ปลาตัวเล็กแหวกว่ายเป็นฝูงใหญ่ ปะการังสีสดหลากหลายสีพริ้วไหวไปตามกกระแสน้ำ ห้องนี้ผนัง เพดานและพื้นทำจากกระจกหนาเหมือนตู้กระจกที่ยื่นออกไปจากตัวเรือ ทำให้เห็นความสวยงามใต้ท้องทะเลได้ทุกทิศทุกทาง ปลาฉลามตัวหนึ่งว่ายผ่านหัวผมไป ผมยืนมองตาค้างโดยลืมไปแล้วว่ากำลังหนีตายอยู่
“อ้าวทองมาทำอะไรอยู่ตรงนี้” เสียงที่ดังขึ้นทำผมขนลุกขนชัน พึ่งนึกได้ว่ายังไม่ปิดประตู ผมค่อยๆ เอี้ยวคอหันมามองต้นเสียงอย่างช้าๆ เล้งยืนยิ้มให้อย่างน่ากลัว น่าสยดสยอง หรือจะเรียกอะไรก็ได้ที่ทำให้หัวใจผมหล่นวูบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“อ้าวเล้ง ดูปลาไหม” ผมถามกลับอย่างบ้าบอ นึกอะไรถึงไปถามมันอย่างนั้น ดูเหมือนว่าเล้งจะไม่ตลกด้วย เขาเดินตรงเข้ามาชกผมอย่างแรงจนล้มลงไปกอง
“มึงคิดหรอว่าจะรอด” เล้งถามอย่างเลือดเย็น
“อย่าทำอย่างนี้เลยนะเล้ง ต่อให้นายฆ่าฉันได้ ยังไงนายก็หนีไม่พ้นตารางอยู่ดี”
“ฮ่าๆๆๆ มันก็ไม่ได้ยากหนิ แค่โยนศพมึงให้ฉลามกินพอกลับไปก็บอกทุกคนว่ามึงเมาแล้วผลัดตกลงไปเอง แค่นี้ก็ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องได้แล้ว” เขาบรรยายถึงแผนการที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี เล้งจับผมยืนขึ้น ผมอาศัยจังหวะนั้นพุ่งตัววิ่งหนีออกมาจากห้องชมวิวใต้ทะเล เพื่อจะกลับขึ้นไปข้างบน แต่ดันมีบอดี้การ์ดลูกสมุนของเล้ง 2 คนยืนขวางบันไดอยู่
“จับมัน!!!” เล้งที่ตามออกมาทีหลังสั่งเสียงดัง สมุนของเขาเดินตรงเข้ามาหาผม ยังไงคราวนี้ผมคงไม่รอดแน่ ผมสิ้นหวังแล้ว ผมจะไม่หนีและไม่กรี๊ด ขณะที่ผมหลับตาเพื่อนึกถึงหน้าพ่อกับแม่เป็นครั้งสุดท้าย ทันใดนั้นเองเจ้าหมาตัวสีดำก็กระโจนเข้ามายืนขวางผมเอาไว้
“อย่าแตะต้องนายข้า” เจ้าหมาตัวนั้นบอกเสียงเข้ม หน้าตาดุดัน
“นี่มันเรื่องของคนหมาไม่เกี่ยว จับมัน!!!” เล้งตะโกนสั่ง ผมแปลกใจที่เล้งและลูกสมุนดูไม่ตกใจเลยที่เห็นหมาพูดได้และยืนสองขาเหมือนคน
“ทองหนีไป!!!” เจ้าหมาหันมาบอกผมก่อนจะแลกหมัดกับบอดีการ์ดสองคนนั้น ท่วงท่าอย่างกับคนที่ถูกฝึกการต่อสู้มา ไม่สิถ้าจะพูดให้ถูกคืออย่างกับหมาที่ถูกฝึกการต่อสู้มาต่างหาก
“ไปสิทอง!!!” มันสั่งเสียงดัง เลยนึกขึ้นได้ว่าต้องหนี ผมรีบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว
“เห้ย!!! จะหนีไปไหนไอ้ทอง” เล้งตะโกนตามหลัง เขาคงตามมาทันในอีกไม่ช้า ผมวิ่งออกมายังลานจอดเฮลิคอปเตอร์ด้านนอก คิดว่านี่เป็นทางเดียวที่จะพาตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้ ถ้าหากว่าผมขับเจ้าแมงปอยักษ์นั่นเป็นนะ ยังไม่ทันที่ผมจะไปถึง ลูกสมุนของเล้งก็โผล่มาอีกเกือบ 10 คน
“ฮ่าๆๆๆ มึงคิดหรอว่าจะหนีพ้น” เล้งพูดแล้วหัวเราะเสียงดังอย่างเหี้ยมเกรียม เจ้าหมา 2 ตัวอาวุธครบมือเข้ามาป้องกันผม พวกมันพาผมวิ่งหลบกระสุนของฝ่ายตรงข้ามที่สาดเข้ามาอย่างกับห่าฝน ก่อนจะยิงโต้ตอบจนสมุนของเล้งร่วงไปหลายคน พวกมันพาผมวิ่งมาจนถึงขอบเรือ
“โดด!!!” ตัวสีดำสั่งเสียงดัง
“จะบ้าหรอ” ผมแย้ง ใครจะบ้ากระโดดลงไป ถึงจะรอดจากสมุนของเล้งได้ แต่ก็ต้องกลายเป็นอาหารฉลามอยู่ดี
“ด่างนายพาทองโดดลงไปก่อน”
“รับทราบ” เจ้าด่างคว้าตัวผมแล้วกระโจนลงจากเรืออย่างรวดเร็ว ผมหลับตาปี๋กลั้นหายใจไว้ก่อน เตรียมตัวดำดิ่งสู่ท้องทะเล แต่ว่า... ตุ๊บ!!! ร่างกายของผมกระแทกกับพื้นแข็งๆ แทนที่จะเป็นน้ำทะเลเย็นสดชื่น ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นพบว่าตัวเองอยู่บนสปีดโบ๊ทกับหมา 3 ตัว เจ้าตัวสีดำและตัวลายด่างยืนยิงป้องกันอยู่ท้ายเรือ ส่วนตัวสีขาวขับเรือ โว๊ะ!!! หมาขับเรือเนี่ยนะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ผมชักจะประสาทกินแล้ว
“นวลเร่งความเร็วเต็มกำลัง พวกมันกำลังจะใช้จรวด!!!” เจ้าด่างตะโกนบอก
“รับทราบ” ตัวที่ถูกเรียกว่านวลตอบรับพร้อมเร่งเครื่องเต็มที่ ผมมองไปยังเรือยอร์ชที่อยู่ไกลออกไปพอสมควรแล้ว เห็นมีลำแสงสว่างวาบขึ้นที่ข้างๆ ลำเรือ
“มันไม่ใช่จรวดธรรมดา มันคือมิสซายด์จับพิกัด!!!” เจ้าด่างว่าหลังจากใช้กล้องส่องทางไกลดูอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง
“ทุกคนใช้แผนบี” เจ้าตัวสีดำสั่ง
“รับทราบ” หมาอีกสองตัวขานรับอย่างพร้อมเพรียง เจ้านวลหักพวกมาลัยเลี้ยวกลับไปยังเรือยอร์ช ส่วนเจ้าด่างรื้ออาวุธยุทโธปกรณ์บางอย่างออกมาประกอบอย่างรีบเร่ง และเจ้าตัวสีดำยังยืนรั้งอยู่ท้ายเรือท่าทางเตรียมพร้อมลุยทุกสถานการณ์ ไม่นานจรวดก็พุ่งตรงเข้ามาหาพวกเรา ทันใดนั้นเจ้าด่างก็ลุกขึ้นยิงบางสิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้จรวดนั้นเปลี่ยนวิถีจากสปีดโบ๊ทไปหาสิ่งนั้นแทน ตู้ม!!! เสียงระเบิดดังตูมใหญ่แสงสีส้มสว่างวาบบนท้องฟ้าเป็นวงกว้าง
“นั่นอะไรน่ะ???” ผมสงสัยว่ามันยิงอะไรออกไป ถึงได้ทำให้จรวจเปลี่ยนเป้าหมาย
“แฟลร์น่ะ ลูกไฟชนิดหนึ่งที่มีความร้อนสูง จรวดมันล็อคเป้าหมายจากความร้อน เราก็แค่ล่อให้มันไปอีกทาง” เจ้าด่างอธิบายในมือก็ยังง้วนอยู่กับเจ้าลูกแฟลร์หรือลูกไฟอะไรนั่น ไม่ทันไรจรวดอีกลูกก็พุ่งตรงเข้ามา เจ้านวลขับตีโค้งอ้อมเรือยอร์ชไปทางด้านหลังในระยะที่ไม่ห่างมากนัก ทำให้เจ้าตัวสีดำต้องคอยยิงโต้กับสมุนของเล้งที่สาดกระสุนเข้ามา จังหวะนั้นเองเจ้าด่างยิงแฟลร์ใส่เรือยอร์ช จรวดเปลี่ยนเป้าหมายตามลูกแฟลร์นั้นไปทันที ตูม!!! เรือยอร์ชของผมโดนจรวดเข้าไปเต็มๆ จนพังเป็นแถบใหญ่ ที่เสียหายที่สุดน่าจะเป็นห้องเครื่องยนต์ เล้งและสมุนคงไม่สามารถตามมาฆ่าผมได้อีกแล้วอย่างน้อยๆ ก็ตอนนี้
ผมคิดว่ามันจะจบแล้วแต่ไม่เป็นเช่นนั้น มีสปีดโบ๊ท 3 ลำขับมาจากเรือยอร์ชตรงเข้ามาหาพวกเรา บนเรือยอร์ชนั่นเก็บสปีดโบ๊ทไว้ด้วยหรอเนี่ย
“กัดไม่ปล่อยจริงๆ” เจ้านวลพรึมพรำพรางเร่งเครื่องหนีเต็มกำลัง แต่สมุนของเล้งก็ยังตามมาได้ เรือของเราโดนประกบซ้ายขวาเรียกได้ว่ากำลังเข้าตาจน
“ไม่ได้การแล้วด่าง เอาบาซูกาออกมา” เจ้าตัวสีดำสั่งการ ห๊ะ!? อะไรนะ!? บาซูกาหรอ!? หมามีบาซูกา!!! โว๊ะ!!! ผมอยากจะเป็นบ้า
“รับทราบ” ว่าแล้วเจ้าด่างก็เปิดกระเป๋าอลูมิเนียมใบใหญ่ หยิบปืนบาซูกามาบรรจุกระสุนอย่างรีบเร่งแล้วส่งให้เจ้าตัวสีดำ
“ทักทายคุณแม่พวกแกหน่อยสิ” มันตั้งลำปืนพร้อมยิง พวกบอดีการ์ดเห็นอย่างนั้นก็ตกใจสุดขีดกลับเรือแทบไม่ทัน คงคิดไม่ถึงว่าหมาจะมีบาซูกา เจ้าตัวสีดำสอยเรือสมุนของเล้งร่วงไป 2 ลำ ส่วนอีกลำที่รอดไปได้ก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังเรือยอร์ชของผม
“นั่นมันเรือของฉัน ทำไมมีแต่คนของเล้งเต็มไปหมด” ผมถามอย่างสงสัย
“เล้งทำการเปลี่ยนชุดบอดีการ์ดที่ฝั่งก่อนจะออกเรือมา บอดีการ์ดของคุณถูกวางยา” เจ้านวลเล่า
“เล้งฆ่าบอดีการ์ดของฉันหมดเลยหรอ ทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น”
“เขาวางแผนจะฆ่าคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้วน่ะสิ” เจ้าตัวสีดำบอก
“ฉันไปทำอะไรให้เขาเกลียดนักหนา ฉันไม่เข้าใจ”
“ใครที่รู้จักคุณก็เกลียดคุณทั้งนั้นแหละทอง” เจ้าด่างตอบข้อสงสัยของผม
“ทำไมหละ ฉันทำอะไรไม่ดีอย่างนั้นหรอ”
“ก็ทุกอย่างที่คุณทำนั้นแหละทั้งฉ้อโกง เห็นแก่ตัว เผด็จการ เหลี่ยมจัด เลือดเย็น อำมหิต ไร้มนุษยธรรม และก็อื่นๆ อีกมากมายเล่าวันเดียวก็ไม่จบ” เจ้าตัวสีดำบรรยายยาวเหยียด ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมในอนาคตหลังจากถูกลอตเตอรี่รางวัลแจ็คพ็อตจะเป็นคนแบบนั้น เงินเปลี่ยนผมกลายเป็นอีกคนอย่างนั้นหรือ
“แล้วพวกนายเป็นใคร ถ้าฉันเลวขนาดนั้นจะมาช่วยเหลือฉันทำไม ไม่ปล่อยให้ฉันตายๆ ไปซะ” ผมถามอย่างหงุดหงิดเพราะรู้สึกเหมือนถูกหมารุมด่า
“พวกเราคือผู้พิทักษ์คุณยังไงหละ ฉันนวล นั่นพี่ดำและพี่ด่าง” เจ้านวลแนะนำตัว
“เราไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดีหรือคนเลว เมื่อใดที่คุณตกอยู่ในอันตราย พวกเรามีหน้าที่ปกป้องคุณ” เจ้าด่างพูดขึ้นบ้าง
“ทำไม???”
“คุณจำได้ไหมตอนที่คุณเป็นเด็กเข็นผักอยู่ในตลาดสด คุณเคยแบ่งลูกชิ้นเอ็นหมูให้พวกเรากิน” เจ้าดำท้าวความ ผมจำได้แน่นอนเพราะเหตุการณ์พึ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ผมจะกดปุ่ม Skip และพาตัวเองมาอยู่ที่นี่
“อ๋อ ไอ้ดำ ไอ้ด่าง นังนวล”
“ใช่แล้ว” เจ้าดำย้ำความเข้าใจของผมให้ชัดเจนขึ้น
“แล้วนี่เราจะไปไหนกัน” ผมถามต่อ
“พาคุณกลับคฤหาสน์ยังไงหละ” เจ้านวลตอบ
“คฤหาสน์หรอ!?” ผมเผลอทำเสียงตื่นเต้นออกไป
“ใช่สิ มันใหญ่เกินกว่าจะเรียกว่าบ้านแล้วหละ” เจ้าด่างบอก พวกมันพาผมมุ่งหน้าไปยังฝั่งที่ใกล้ที่สุด แล้วเปลี่ยนมาขึ้นเครื่องบินส่วนตัว ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองมีเครื่องบินส่วนตัวด้วย ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยขึ้นเครื่องบินเลยสักครั้ง ผมมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างตื่นเต้นตลอดการเดินทาง แต่ตื่นเต้นที่กำลังจะกลับไปคฤหาสน์มากว่า เมื่อไหร่จะถึงนะ
คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ