Skip ความจนทะลุมิติ (Poor boy & Dogs)

9.0

เขียนโดย January13

วันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 22.37 น.

  7 บท
  1 วิจารณ์
  10.03K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2563 20.45 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

3) นักฆ่า​ขนตางอน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ในที่สุดผมก็มาถึงท่าอากาศยานไทย​ หลังจากใช้เวลาเดินทางเป็นวันๆ​ ผมลงจากเครื่องบินมาขึ้นรถลีมูซีนกันกระสุนสีบรอนซ์ทองคันงาม ช่างเป็นบุญก้นของผมจริงๆ ที่ได้นั่งรถหรูเช่นนี้ ภายในบุหนังทั้งคัน เบาะนั่งเป็นโซฟาหนังสีครีม มีโทรทัศน์จอแบนระบบ HD ผมนอนดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์สบายใจเฉิบ แทบจะลืมไปแล้วว่าพึ่งหนีเอาตัวรอดจากการโดนเพื่อนสั่งฆ่ามาอยู่หยกๆ ไม่นานนักก็มาถึงคฤหาสน์สุดหรูของผม

 

          “โอ้โห” ผมอ้าปากค้างเมื่อประตูรั้วสีทองบานใหญ่เปิดออกด้วยระบบอัตโนมัติ เผยให้เห็นคฤหาสน์สไตล์ฝรั่งเศสสีส้มออกครีมๆ หลังใหญ่ตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม กินเนื้อที่กว่า 2,000 ตารางเมตร มีน้ำพุสามชั้นประดับอยู่หน้าบ้าน ที่จอดรถทางด้านซ้ายมือมีรถหรูหลากหลายยี่ห้อจอดเรียงรายมากกว่า 20 คัน ต้นไม้และสวนหน้าบ้านก็ถูกจัดแต่งไว้อย่างสวยงามและเป็นระเบียบ

 

          “นี่มันคฤหาสน์ของฉันจริงๆ หรอเนี่ย” ผมพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

 

          “ทำอย่างกับไม่เคยเห็นอย่างนั้นแหละ” เจ้านวลที่ตอนนี้กลายเป็นคนขับรถพูดขึ้น หมาอะไรขับยานพาหนะเป็นแทบทุกชนิด ไม่ว่าจะสปีดโบ๊ทเอย เครื่องบินส่วนตัวเอย แล้วก็ลีมูซีนคันงามของผมอีก บางทีผมก็สงสัยนะว่ามันขับรถสิบล้อเป็นด้วยหรือเปล่า

 

          เมื่อรถจอดสนิทเจ้าดำก็ลงมาเปิดประตูรถให้ผม ทำให้ผมรู้สึกยิ่งใหญ่ยังไงบอกไม่ถูก ผมรีบตรงเข้าไปภายในคฤหาสน์เจอห้องโถงขนาดใหญ่ มีโคมไฟแชงเดอเรียประกายวุบวับราวกับเพชรห้อยระย้าลงมาจากเพดาน บันไดหินอ่อนสีขาวแยกเป็นสองฝั่งซ้ายขวาแล้วมาบรรจบกันที่ชั้นลอยด้านบน ผมเดินขึ้นมาเห็นรูปตายายแก่ๆ แต่งตัวดูดีด้วยเสื้อผ้าราคาแพงใส่เพชรใส่ทองเต็มไม้เต็มมือไปหมด แต่ใบหน้าของเขาทั้งสองกลับดูเหมือนคนไม่มีความสุข

 

          “พ่อ แม่” ผมจำเค้าโครงหน้าได้ถึงแม้พวกท่านจะดูแก่มากกว่าที่ผมเคยเห็น นึกสงสัยว่าพ่อกับแม่อยู่ที่ไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

 

          “คิดถึงพวกท่านหรอ” เจ้าด่างถามขึ้น ผมพยักหน้าหงึกๆ  

 

          “ไม่ช้าไปหน่อยหรอ ตอนที่พวกท่านอยู่ไม่เคยเห็นคุณจะมาดูดำดูดี มีแต่ให้เงินใช้อย่างเดียว” นวลต่อว่า ผมแทบทรุดลงไปกองเมื่อรู้ว่าพ่อกับแม่จากโลกไปแล้ว และไม่อยากจะเชื่อว่าผมปฏิบัติ​กับพ่อแม่อย่างนั้น ครอบครัวเราถึงแม้จะยากจนแต่ก็อบอุ่นมาก กับพ่อเองแม้ท่านจะต้องไปทำงานไกลๆ ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันแต่พอพ่อกลับบ้านมาทุกครั้งเราก็จะพูดคุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้ตามประสาผู้ชาย ส่วนแม่ถึงจะเสียงแหลมไปหน่อยแต่ก็เป็นคนมีเหตุผลไม่เคยดุด่าผมแรงๆ หรือใช้กำลังทุบตี แต่จะชอบแซวเล่นขำๆ แกมสอนให้คิดมากกว่า ผมไม่เคยคิดว่าจะปล่อยให้พวกท่านต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวยามแก่เฒ่าอย่างที่เจ้านวลว่าเลย ผมเหลือบไปเห็นอีกรูปหนึ่งที่อยู่ติดกัน ในนั้นมีผม มีหญิงวัยใกล้เคียงกันนั่งอยู่ข้างๆ และชายหนุ่มอายุราว 30 ต้นๆ

 

          “สองคนนี้คือใคร” ผมสงสัยว่าผมไปถ่ายรูปกับพวกเขาได้ยังไง

 

          “อ้าว ก็คุณวิภาดากับคุณสุพร ภรรยาและลูกชายของคุณยังไงหละ จำไม่ได้หรอ” เจ้าดำตอบหน้างง ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้แต่ผมไม่รู้จักเลยต่างหาก ปุ่ม Skip นั่นพาผมข้ามเหตุการณ์ต่างๆ มาไกลเกินไป ที่เสียใจที่สุดคือพบว่าพ่อกับแม่ตายแล้ว

 

          “พวกเราพาคุณกลับมาได้อย่างปลอดภัย หมดหน้าที่ของพวกเราแล้ว ขอตัวหละ” เจ้าดำบอกก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับลูกน้อง 2 ตัว

 

          “กลับมาแล้วหรอคะ” เสียงนิ่มๆ ถามขึ้น ผมหันไปมองผู้หญิงคนเดียวกับที่เห็นในรูปกำลังเดินลงมาจากชั้นบน เธอแต่งกายด้วยกระโปรงสีดำยาวถึงเข่าชายกระโปรงระบายจีบกับเสื้อผ้าไหมสีขาวแขนสั้นคอบัวกระดุมผ่าหน้า ผมยาวประบ่าปลายผมงอนออก ด้านบนตีกระบังลมเล็กๆ รับกับหน้ารูปไข่ ทรวดทรงองเอวก็ยังดูดี จัดได้ว่าเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งแม้จะอายุเยอะแล้ว

 

          “ไปเที่ยวมาสนุกไหมคะ” เธอถาม ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงนั้นฟังดูเย็นชานัก ตรงกันข้ามกับรอยยิ้มของเธอที่ส่งมาให้อย่างอ่อนโยน

 

          “เอ่อ...” ผมคิดนานมาก ไม่รู้จะตอบยังไง คือถ้าจะเล่าว่าผมหนีตายจากการโดนเพื่อนสนิทและลูกสมุนตามฆ่าเกือบเอาตัวไม่รอดแต่เคราะห์ดีที่มีหมาพูดได้มาช่วยไว้สนุกดีนะจ๊ะที่รัก วิภาดาจะว่าผมบ้าหรือเปล่า

 

          “ดูคุณเหนื่อยๆ นะคะ ขึ้นไปพักผ่อนก่อนเถอะค่ะ ฉันจะเตรียมมื้อค่ำให้” เธอบอกแล้วเดินเนิบๆ ลงไปข้างล่าง การเดินทางข้ามทวีปทำให้ผมรู้สึกเพลีย​เอาการ​ ผมหาวหวอด​ๆ​ ขณะมองหาที่เอนกายเพื่อนอนพักสักงีบ แต่พอเดินขึ้นมาถึงชั้นบนก็พบว่าสองฝั่งทางเดินมีประตูเยอะแยะเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าห้องไหนคือห้องนอนของตัวเอง ผมจึงตัดสินใจเปิดประตูดูทุกบานเลย ทั้งชั้นนี้มีห้องนอนขนาดใหญ่ตกแต่งอย่างหรูหราทั้งหมด 4 ห้อง​ มีห้องน้ำในตัวทุกห้องพร้อมกับห้องแต่งตัวที่มีตู้เสื้อผ้ายาวเป็นเป็นกิโล ภายในจัดเก็บเสื้อผ้า เครื่องประดับ กระเป๋า รองเท้าและของใช้แบรนด์เนมหลากหลายยี่ห้อเต็มไปหมด นอกจากนั้นยังมีห้องสปา ห้องโฮมเธียเตอร์ ห้องห่อของขวัญ??? อันนี้มีไว้ทำไมผมก็ไม่เข้าใจ มีห้องสมุด ห้องเก็บของสะสมและก็ห้องอื่นๆ อีกมากมาย ผมเดินสำรวจคฤหาสน์ของตัวเองจนเมื่อยขา คิดว่าเดินไปเดินมาระยะทางน่าจะได้หลายกิโลอยู่ ผมจึงนั่งพักบนเก้าอี้เอนสุดนุ่มนิ่มในห้องสมุด​ แล้วเผลอหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนโดยไม่รู้ตัว​

 

          “คุณผู้ชายคะอาหารเย็นพร้อมแล้ว คุณผู้หญิงให้มาตามค่ะ” เสียงใสๆ ปลุกผมตื่นขึ้น เจ้าของเสียงนั้นคือสาวใช้หน้าตาน่ารักในชุดเมดสีกรมท่า มีปกคอเสื้อ ขอบแขนเสื้อ ชายประโปรง ผ้ากันเปื้อนและที่คาดผมเป็นสีขาว

 

          “อ่อรู้แล้ว เธอลงไปก่อนเถอะเดี๋ยวฉันตามลงไป”

 

          “ไม่ได้ค่ะ” เจ้าหล่อนเสียงแข็งอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทำคนขวัญอ่อนอย่างผมตกใจเล็กน้อย

 

          “เดี๋ยวซุปไก่ของโปรดของคุณผู้ชายเย็นแล้วจะไม่อร่อยค่ะ” คราวนี้เสียงเปลี่ยนเป็นปกติผมจึงไม่ได้ถือสาอะไร ยอมเดินตามลงไปแต่โดยดี มาถึงห้องรับประทานอาหารที่แสนกว้างขวาง โต๊ะทานข้าวยาวเฟื้อย มีอาหารหน้าตาน่ารับประทานวางเรียงรายเต็มไปหมด วิภาดานั่งรออยู่หัวโต๊ะฝั่งหนึ่ง

 

          “นั่งก่อนสิคะ” เธอเอ่ย ผมกำลังจะเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ แต่โดนเบรคซะก่อน

 

          “ที่รัก ที่นั่งของคุณตรงโน้น” เธอชี้ไปที่หัวโต๊ะอีกฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ไกลกันเป็นโยชน์ ผมหน้าเหวอเดินไปนั่งประจำที่ ไม่แน่ใจว่าที่ผ่านมาเรานั่งกินข้าวด้วยกันอย่างนี้เป็นปกติหรือว่าวันนี้วิภาดาเธอโกรธอะไรผม

 

          “วันนี้จะมีแขกมาร่วมมื้อค่ำกับเราหรอ” ผมถามขึ้น เพราะเห็นอาหารบนโต๊ะเยอะมากเหมือนทำกินกันทั้งหมู่บ้าน

 

          “ไม่หนิคะ ก็มีแค่คุณกับฉัน”

 

          “อ้าวแล้วสุพรหละ” ผมถามถึงลูกชายที่ยังไม่เคยเจอตัวจริง

 

          “สุพรก็อยู่ที่ทำงานไงคะ”

 

          “แต่นี่มันค่ำแล้วนะยังไม่เลิกงานอีกหรอ”

 

          “สุพรไม่มีเวลาเลิกงานหรอกค่ะ ชีวิตของเขามีแต่งานกับงาน” ภรรยาอธิบาย

 

          “อ๋อ อย่างงั้นหรอ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ กำลังสงสัยว่าทำไมลูกชายถึงได้บ้างานขนาดนั้น หรือเขาอาจจะเป็นคนขยันมากแต่ยังไงก็ไม่ควรปล่อยให้พ่อแม่กินข้าวตามลำพัง

 

          “คุณยังไม่ได้เล่าให้ฉันฟังเลยว่าไปเที่ยวมาเป็นยังไงบ้าง”

 

          “ก็...ก็ดีนะ” ผมไม่แน่ใจว่าควรจะเล่าเรื่องเล้งให้เธอฟังหรือเปล่า แล้วเธอจะคิดอย่างไรที่สามีโดนเพื่อนสนิทที่เป็นคนรักเก่าสมัยเรียนของเธอตามฆ่า

 

          “อะไรคะ ที่ว่าดี” เธอยังรั้นที่จะถามต่อ

 

          “เอ่อ...อาหาร ไวน์ แล้วก็สาวๆ พวกนั้น” ผมหลุดพูดออกไปอย่างพลั้งปาก สังเกตได้ทันทีว่าวิภาดาไม่พอใจเป็นอย่างมาก พึ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองหลับนอนกับผู้หญิงพวกนั้นด้วย เท่ากับว่าผมนอกใจภรรยาแต่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าตัวเองแต่งงานแล้วนี่นา วิภาดานั่งเงียบอยู่นานก่อนจะพูดขึ้น

 

          “คุณมันไม่เคยพอจริงๆ หึหึ” เสียงของเธอเริ่มน่ากลัวยังไงชอบกลทำเอาผมขนลุกซู่

 

          “ช่างเถอะค่ะ ฉันชินแล้ว” พูดอย่างนี้แสดงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมทำผิดกับเธอน่ะสิ ทองที่รวยแล้วชอบนอกใจภรรยาอย่างนั้นหรือ ผมว่าตัวเองไม่ใช่คนเจ้าชู้นะ ผมแอบชอบมะลิตั้งแต่อนุบาลแล้วก็ชอบมาโดยตลอดไม่เคยสนใจผู้หญิงคนอื่นเลย

 

          “ทานซุปไก่ของโปรดของคุณสิคะ ประเดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อย” เธอบอก ซุปไก่สีสันน่ารับประทานในถ้วยกระเบื้องสีขาวขนาดกลางวางอยู่ใกล้ๆ ผมยกถ้วยขึ้นมากะจะซดให้ชื่นใจแต่ถ้วยนั้นร้อนมาก    เพล้ง!!! ไม่ทันจะได้ลิ้มรสชาติความอร่อย​ ถ้วยซุปก็ร่วงลงพื้นไปซะก่อน เศษกระเบื้องแตกกระจาย น้ำซุปกลายเป็นฟองฟอดขึ้นมาทันตา

 

          “นี่มันอะไรกัน ทำไมถึงได้...” ผมถามไม่ถูกเลยเพราะอึ้งกับสิ่งที่เห็น ความรู้สึกบอกว่ามีบางอย่างผสมอยู่ในซุปไก่นั่นและมันต้องไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายแน่ๆ

 

          “คุณนี่มันนอกจากจะมักมาก แก่ตัณหากลับ ใจดำ เห็นแก่ตัว แล้วยังซุ่มซ่ามอีกนะ” วิภาดาต่อว่ากึ่งพูดเล่นกึ่งพูดจริง ผมเดาไม่ถูกว่าตอนนี้เธออยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่

 

          “วิคุณโอเคไหม” ผมถามอย่างห่วงใย ถึงแม้จะไม่คุ้นชินกับเธอเท่าไหร่แต่เธอก็ดูน่าเป็นห่วง

 

          “ไม่โอเค” เธอตอบเสียงแข็ง

 

          “ฉันมันโง่เองที่แต่งงานกับคนอย่างคุณ ฉันไม่คิดว่าคุณมันจะน่ารังเกียจขนาดนี้ ฉันทนมา 30 กว่าปีแล้วและจะไม่ทนอีกต่อไป ตายซะเถอะ!!!” พูดจบก็ปามีดปลอกผลไม้ใส่ผม ผมอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกแต่มีดกำลังพุ่งเข้ามา

 

          “ผู้หญิงเวลาโมโหทำไมชอบคว้างปาข้าวของนะ” เจ้าดำโผล่มาจากไหนไม่รู้จับมีดไว้ได้ทัน ปลายมีดอยู่ห่างจากลูกตาผมไม่กี่เซนติเมตรเอง​ ผมตกใจฉี่แถบราด

 

          “เรื่องของคน หมาไม่เกี่ยว” วิภาดาพูดเสียงดุดัน เธอก็เป็นอีกคนนะที่เห็นหมาพูดได้แล้วไม่ตกใจ

 

          “ห้ามแตะต้องนายผม” ดำบอกน้ำเสียงเอาจริงเช่นกัน

 

          “ฮ่าๆๆๆๆ แจ๋ว... จัดการ!!!” ภรรยาจอมโหดของผมหัวเราะร่าแล้วหันไปสั่งสาวใช้คนที่ตามผมมาทานอาหาร​ ก่อนจะเดินหนีไป ผมหลุดขำออกไปเล็กน้อยเพราะคิดว่าผู้หญิงตัวแค่นี้จะฆ่าใครได้ ยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวเจ้าดำก็โดนสาวเจ้ากระโดดเตะเต็มแรงจนกระเด็นไปติดผนัง เธอหยิบมีดปลอกผลไม้เล่มเดิมที่ร่วงจากมือเจ้าดำแล้วเดินตรงเข้ามาหาผมอย่างสโลโมชั่นหมายจะปลิดชีพผมอย่างทารุณ แต่เดชะบุญที่เจ้าดำลุกขึ้นมากระโดดถีบกลับอย่างรวดเร็วจนสาวเมดสุดสวยกระเด็นไปกระแทกผนังอีกฝั่งหนึ่งบ้าง

 

          “ปกติฉันไม่ชอบใช้กำลังกับผู้หญิงหรอกนะ แต่คราวนี้มันจำ...โอ๊ย” เจ้าดำยืนพูดเท่ห์ๆ ได้ยังไม่ทันจบประโยคเมดสาวก็ลุกขึ้นมาเตะเอาๆ อย่างหนักหน่วง ทำอย่างกับมันเป็นกระสอบทรายไปได้ ผมสงสัยจังว่าขาเรียวๆ อย่างนั้นไปเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน พอตั้งตัวได้เจ้าดำก็สวนหมัดอัดเข้าใบหน้างามๆ อย่างเต็มแรง อู๊ย ผมรู้สึกเจ็บแทน

 

          “ทองหนีไป!!!” เจ้าดำร้องบอกก่อนจะโดนกระโดดถีบหน้าคว่ำลงไปกองกับพื้น ผมเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งออกมาที่ห้องโถงเพื่อจะหาทางหนีต่อไป ในใจนึกสงสัยว่าคฤหาสน์หลังใหญ่โตขนาดนี้มีสาวใช้เพียงคนเดียวเองหรอ ทันใดนั้นสายตาของผมก็เหลือบไปพบเมดสาวนับ 10 คนเดินออกมาจากมุมต่างๆของห้อง พวกเธอหน้าตาสะสวยและรูปร่างดีทุกคน ถ้าไม่ได้มาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้คงทำให้ผมรู้สึกดีไม่น้อย คราวหลังผมจะไม่สงสัยอะไรอย่างนี้อีกสาบาน พวกหล่อนมองอย่างเอาเรื่องและกำลังตีวงล้อมเข้ามาหาผม

 

          “ที่รัก ขอให้คุณตายอย่างทรมานนะคะ” วิภาดายืนอยู่บนชั้นลอยพูดน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมมาก เธอมองอย่างหมายมาดหวังจะดูผมโดนรุมสะกำจนตายอย่างสะใจ ผมเห็นใจเธอนะที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับสามีที่มีพฤติกรรมชอบนอกใจอยู่เป็นประจำ แต่จริงๆ ไม่น่าถึงกับจะต้องฆ่าแกงกันเลย

 

          “เอ่อ...ฉันให้พวกเธอลาพักร้อน 1 วัน กลับบ้านกลับช่องกันไปได้แล้วไป๊ ไปสิๆ” ผมบอกพร้อมทำมือไล่แต่ดูจะไม่เป็นผล

 

          “ฆ่ามัน!!!” ภรรยาผมสั่งเสียงดัง สาวเมดนักฆ่าพวกนั้นต่างมองผมเป็นตาเดียว อีกครั้งที่ผมกลายเป็นเป้านิ่ง ทันใดนั้นเจ้าด่างและเจ้านวลก็โผล่มายืนกันผมจากศัตรู

 

          “ทั้งหมดมี 11 คน แบ่งกันยังไงดี” เจ้าด่างถามขึ้น

 

          “พวกนายเอาไปหมดเลยไม่ต้องแบ่งฉันนะ” ผมออกตัวแรงมาก

 

          “ผมถามนวลต่างหากหละทอง อย่างคุณจะไปสู้อะไรได้ หลบให้ดีๆ ก็พอแล้ว”

 

          “ฉันว่าไม่ต้องแบ่งหรอก มาแข่งกันดีกว่าว่าใครจะเก็บได้มากกว่ากัน” นวลท้าทาย

 

          “เอาอย่างนั้นหรอ ใครแพ้เลี้ยงบุฟเฟ่ต์นานาชาตินะ” เจ้าด่างว่า

 

          “โอเคเลย” พูดจบเจ้านวลก็ออกลีลาแม่ไม้มวยไทยสั่งสอนเมดหน้าสวยร่วงไปคนหนึ่งด้วยท่า หนุมานถวายแหวน โว๊ะ!!!นึกว่าจาพนม

 

          “1” เจ้านวลนับ เจ้าด่างไม่ยอมน้อยหน้าฟันศอกแทงเข่าเมดสาวอีกคนอย่างไม่ปราณี มันคงลืมไปแล้วว่าเขาเป็นผู้หญิงถึงได้ซ้อมเอาๆ ขนาดนั้น

 

          “1 เท่า” เจ้าด่างขานแต้ม นี่พวกมันนึกว่าแข่งแบดมินตันกันอยู่หรือยังไง

 

          “ดูสนุกกันเนอะ” ผมแซว ไม่ทันระวังตัวจึงโดนกระโดดถีบจากข้างหลังจนล้มไปกอง

 

          “ห้ามแตะต้องนายฉัน นังบ้า!!!” เจ้านวลบอกเสียงกร้าวแล้วเตะสูงก่อนจะพลิกตัวกลับมาเตะซ้ำอีกครั้ง การต่อสู้ระหว่างเมดนักฆ่าขนตางอนกับหมาผู้พิทักษ์ของผมเป็นไปอย่างดุเดือด

 

          “2”

 

          “3”

          

          “2-3”

 

          “3 เท่า” ตอนนี้เหลือคู่ต่อสู้อีก 5 คนเจ้าดำก็ออกมาสมทบพอดี

 

          “พี่ดำเล่นท่ายากอยู่หรือไง ทำไมถึงได้นานนัก” นวลแซวแรง

 

          “บ้าน่า ยัยนั่นน่ะหัวหน้าคนใช้เลยนะโหดเป็นบ้า แต้มเท่าไหร่แล้วนะ”

 

          “3-3-1 ใครแพ้เลี้ยงบุฟเฟ่ต์นานาชาติ” ด่างย้ำ

 

          “ได้เลย” ดำรับคำท้า ระหว่างที่เจ้าหมา 3 ตัวกำลังต่อสู้กับเมดสาวอยู่นั้น ผมมองไปที่ชั้นลอยไม่เห็นวิภาดาอยู่ตรงนั้นแล้ว

 

          “หายไปไหนนะ” พูดยังไม่ทันขาดคำพอหันกลับมาก็พบเธอยืนอยู่ข้างหลังผมในมือกำมีดปลอกผลไม้​ไว้แน่น

 

          “ที่รักคุณรู้ไหมว่าคุณ...สมควรตาย!!!” ว่าแล้วก็ง้างมือขึ้นหมายจะแทงเข้าที่หัวใจของผม แต่ผมคว้ามือเธอไว้ได้ทัน เรายื้อแย่งมีดกันไปมา

 

          “2 3 4 5” ดำไล่เก็บแต้มอย่างเมามัน

 

          “พี่ดำอย่ามาแย่งฉันสิ” นวลโวยวาย

 

          “ไม่รู้แหละ ฉันเป็นจ่าฝูงฉันแพ้ไม่ได้”

 

          “งกก็บอกมาเถอะน่า ไม่เคยได้จ่ายค่าข้าวเลยนะพี่” เจ้าด่างแซว พวกมันไม่เห็นหรือไงว่าผมกำลังจะโดนเมียฆ่า หันมามองกันบ้างสิ

 

          “6 เยส ฉันชนะ” เจ้าดำซัดเมดคนสุดท้ายจนล้มลงไปกองกับพื้น

 

          “วิยอมแพ้เถอะ สาวใช้ของคุณตายหมดแล้วนะ” ผมพยายยามเกลี้ยกล่อม เธอลดมือลงเลิกยื้อยุดมีดกับผม

 

          “หึๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ” จู่ๆ เธอก็หัวเราะเสียงดัง วิภาดาทำผมกลัวจนขนหัวลุก แม่เคยบอกว่าผู้ชายกลัวเมียแล้วจะเจริญ ผมว่าใช้ไม่ได้ในกรณีนี้ ไม่ทันที่เจ้าหมา 3 ตัวจะได้พักเหนื่อย เมดสาวนักฆ่าเซตใหม่ก็ค่อยๆ เดินลงมาจากชั้นบน คราวนี้ไม่ได้มาตัวเปล่าแต่ละนางสะพายปืนอาก้ามาด้วย

 

          “ดูซิ คราวนี้จะมีปัญญาสู้ไหม” วิภาดาพูดทำน้ำเสียงเหนือกว่า

 

          “พี่ดำ เราไม่ได้เอาปืนมานะ” เจ้านวลบอก

 

          “อืม ฉันคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้อยู่แล้วหละ” ดำพูดอย่างสุขุมตามแบบฉบับจ่าฝูง

 

          “พูดอย่างนี้นายมีแผนใช่ไหม” ผมถาม

 

          “มีสิ”

 

          “แผนอะไร???” ด่างสงสัย

 

          “วิ่งงงงงงง!!!!!” จบประโยคก็รีบวิ่งนำไปก่อนอย่างรวดเร็ว นี่ใช่ไหมที่เรียกเขาว่าใส่เกียร์หมา คนแก่อย่างผมวิ่งตามแทบไม่ทัน พวกเรากระโจนขึ้นรถลีมูซีนคันเดิมที่ยังจอดอยู่หน้าบ้านและรีบออกรถไปอย่างรวด สาวๆ เมดนั่นกำลังตามออกมา แต่ยังไม่ทันจะเห็นตัวกระสุนก็นำออกมาก่อน พอนวลขับมาถึงประตูรั้วมันไม่เปิดอัตโนมัติเหมือนเดิมเสียแล้ว สงสัยว่าวิภาดาคงจะจัดการปิดระบบควบคุมทั้งหมด

 

          “ทุกคนหาที่เกาะนะ” นวลบอกพรางถอยรถ ก่อนเบิ้ลเครื่องเสียงดังกังวาล

 

          “นี่อย่าบอกนะว่าจะชนกำแพงออกไปน่ะ” ผมถาม

 

          “แหงสิ คุณคิดว่าฉันสามารถขับเหาะข้ามกำแพงได้หรือไงสูงขนาดนั้น มันมีแต่ในหนังไซไฟเท่านั้นแหละ” นวลต่อปากต่อคำ ผมว่ามันไซไฟตั้งแต่หมาพูดได้แล้วนะ เอาเถอะเรือยอร์ชของผมก็พังไปแล้ว รถลีมูซีนจะพังอีกสักคันคงไม่เป็นไร เหล่าสาวใช้นักฆ่าขาโหดพวกนั้นกำลังกรูเข้ามาหาพวกเรา นวลเร่งเครื่องเดินหน้าเต็มกำลังและโครม!!! รถคันงามของผมชนรั้วหน้าบ้านอย่างแรงจนทะลุออกไปข้างนอก ไม่ต้องเดานะว่าสภาพจะเป็นยังไง คงมีลวดลายสวยงามรอบคัน แต่ความเสียหายครั้งนี้ยังไงก็คุ้มค่าเพราะสามารถรักษาชีวิตของผมจากการโดนภรรยาสั่งฆ่าไว้ได้

 

          ด่างและนวลพามาเลี้ยงบุฟเฟ่ต์นานาชาติตามที่ได้ตกลงไว้ มื้อนี้ผมร่วมโต๊ะกินข้าวกับหมา 3 ตัว รู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก

 

          “แล้วเราจะเอายังไงต่อไป” ผมถามขึ้นระหว่างที่พวกมันกำลังเอร็ดอร่อย

 

          “ไม่รู้สิ แต่ยังไงคุณคงกลับบ้านไม่ได้แล้วหละ” เจ้านวลพูด

 

          “ใช่” ด่างเห็นด้วย

 

          “แล้วฉันจะไปอยู่ที่ไหนหละ” ผมถามต่อ

 

          “เหลืออยู่ที่เดียวเท่านั้นแหละ ทองวิลเลจบริษัทของคุณ” ดำบอก ใช่สิ ถึงแม้ผมจะโดนเพื่อนสนิทและภรรยาสั่งฆ่า แต่ผมก็ยังมีลูกชายนี่น่า สุพรอยู่ที่บริษัทและผมจะไปหาเขา

 

          “แต่ว่าวันนี้คุณคงต้องไปพักกับพวกเราที่เกสเฮ้าส์ก่อน พรุ่งนี้เช้าพวกเราถึงจะไปส่งคุณ” ดำบอก ผมพยักหน้าหงึกๆ รับทราบอย่างเชื่อฟัง ไม่รู้ตกลงใครเป็นนายใครเป็นบ่าวกันแน่

 

          “หวังว่าคงไม่มีใครวางแผนฆ่าคุณอีกนะ วันนี้ทำเอาพวกเราแทบเดี้ยง นี่ฉันไม่ได้เตรียมตัวไปสู้กับสาวเมดหน้าตาพอใช้ได้พวกนั้นนะ ให้ตายเถอะ” เจ้านวลบ่น มันอคติไปหน่อยหรือเปล่า เมดสาวนักฆ่าพวกนั้นไม่มีใครหน้าตาพอใช้ได้เลยสักคน เพราะทุกคนสวยมาก วันนี้ไม่ใช่แค่พวกมันหรอกที่แทบเดี้ยง ผมเองก็ด้วย ขนาดแค่วิ่งหนีเฉยๆ นะ รู้สึกกระดูกกระเดี้ยวมันกร๊อบแกร๊บไปหมด สมเพชตัวเองอยู่เหมือนกันที่ร่ำรวยล้นฟ้าแต่กลับไม่สามารถอยู่บ้านได้อย่างสุขกายสบายใจ ต้องหนีตายหัวซุกหัวซุนอย่างนี้ ขอบคุณเจ้าหมา 3 ตัวที่คอยช่วยเหลือ ตอนนี้ผมยกให้พวกมันเป็นฮีโร่ไปซะแล้ว

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา